Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ———

———

Published by cirnanthkxngekew, 2022-02-15 16:17:00

Description: ———

Search

Read the Text Version

เทคโนโลยีดิทัล เพื่อการจัดการอาชีพ

เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ อการ จัดการอาชีพ จัดทำโดย นางสาวจิรนันท์ กองแก้ว ชั้นปวส1 ห้อง 3

หน่วยที่ 1 Big Data Big Data สําคัญอย่างไรในยุค ปัจจุบัน ? https://www.techtrendai.com/big-data-

BIG DATA (บิ๊ก ดาต้า) บิ๊กดาต้า (BIG DATA) คือคํานิยามของข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ทุกชนิดที่อยู่ในองค์กร ของเราไม่ว่า จะเป็น ข้อมูลบริษัท ข้อมูลลูกค้า SUPPLIERS พฤติกรรมผู้บริโภค TRANSACTION ไฟล์เอกสารต่างๆที่ เกี่ยวข้องท้ังหมด รวมไปจนถึง รูปภาพ URLS ลิงค์ต่างๆที่คุณเก็บไว้ ฯลฯ ท่ีมีปริมาณมากจนกระทั่ง ซอฟต์แวร์ปกติท่ัวไป ไม่สามารถรองรับการเก็บข้อมูลหรือประมวลผลได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เพิ่มซึ่งอีกนัยนึง Big Data คือ ข้อมูลจํานวนมากมหาศาลของบริษัททุกเร่ือง ทุกแง่มุม ทุกรูปแบบที่ คุณพอจะนึกออก ซึ่งอาจเป็นข้อมูลที่มีโครงสร้าง ชัดเจน (Structured Data) เช่น ข้อมูลที่เก็บอยู่ใน ตารางข้อมูลต่างๆ หรือ อาจเป็นข้อมูลกึ่งมีโครงสร้าง (Semi-Structured Data) เช่น ล็อกไฟล์ (Log files) หรือแม้กระท่ังข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้าง (Unstructured Data) เช่น ข้อมูลการโต้ตอบปฏิสัมพันธ์ผ่าน สังคมเครือข่าย (Social Network) เช่น Facebook, twitter หรือ ไฟล์จําพวกมีเดีย เป็นต้น โดยอาจจะ เป็นข้อมูล ที่มาจากภายในองค์กร และภายนอกที่มาจากการติดต่อกับ Supplier หรือ จากทุกช่องทางการ ติดต่อกับลูกค้า แต่ทั้งหมดนี้ก็ยังคงเป็นเพียงข้อมูลดิบท่ี รอการนํามาประมวลและวิเคราะห์ เพ่ือนําผลท่ี ได้มาสร้างมูลค่าทางธุรกิจ ข้อมูลเหล่าน้ีอาจจะไม่ได้อยู่ในรูปแบบที่องค์กรสามารถนําไปใช้ได้ทันที แต่อาจ มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อองค์กรบางอย่างแฝงอยู่

https://digitalmarketingwow.com 1. มีปริมาณมาก (Volume) ปัจจัยข้อแรกแน่นอนว่าคําว่า Big Data มีคําว่า “Big” นั่นก็คือข้อมูลที่มีขนาด ใหญ่ ซึ่งสามารถเป็นได้ท้ังรูปแบบ Online และ Offline ซึ่ง ส่วนมากแล้วจะมีปริมาณมากกว่าหน่วย TB (Terabyte) ขึ้นไป หรือ ปริมาณของ ข้อมูล ที่ต้องมีคุณค่า และมีมากพอ 2. มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว (Velocity) ส่งผ่านข้อมูล Update กัน อย่างต่อเน่ือง (Real-time) จนทํา ให้การวิเคราะห์ง่ายๆแบบ Manual เกิด ข้อจํากัด หรือไม่สามารถจับรูปแบบหรือทิศทางของข้อมูลได้ หรือ ความเร็ว ของข้อมูลท่ีเข้ามา และการค้นหาข้อมูล แต่ถ้าเข้ามาแล้วค้นหาไม่เร็วไม่ ถือว่าเร็ว 3. หลากหลายประเภทหรือแหล่งที่มา (Variety) หมายถึงรูปแบบของข้อมูลท่ีแตก ต่างกันออกไป ทั้งใน รูปแบบ ตัวอักษร วิดีโอ รูปภาพ ไฟล์ต่างๆ ฯลฯ และหลาก หลายแหล่งท่ีมาเช่น Social Network หรือ Platform E- Commerce ต่างๆ 4. ยังไม่ผ่านการประมวลผล (Veracity) ยังไม่ผ่านการ Process ให้อยู่ในรูป แบบของข้อมูลดิบ (Raw Data) ที่สามารถใช้สร้างประโยชน์ต่อองค์กรได้ หรือ คุณภาพของข้อมูล ต้องเช่ือถือได

ทําไมต้อง Big Data? คุณเป็นลูกค้าของธุรกิจเหล่าน้ีหรือไม่ Netflix, Youtube, Facebook, Twitter, Google, Walmart, Starbucks หนึ่งใน เทคโนโลยีที่ทําให้บริษัทเหล่านี้ประสบความสําเร็จคือ Big Data พวกเขามีข้อมูลในมือจํานวม หาศาล สามารถนํามาใช้วิเคราะห์เพ่ือ หาโอกาสทางธุรกิจ และตัดสินใจในเรื่องสําคัญๆจากผลประมวลจาก ข้อมูล เหล่านั้น ไม่ใช่แค่ต่างชาติเท่านั้นที่กระโจนเข้าสู่เร่ืองราวของ Big Data ใน ประเทศไทยก็เช่นกัน การตื่นตัวในการ นําข้อมูลไปใช้ของภาคธุรกิจที่ เพ่ิมมากขึ้น เป็นหน่ึงสิ่งท่ีสะท้อนความสําคัญและการเติบโตของ Big Data ใน ประเทศไทยได้เป็นอย่างดี ข้อมูลจากศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ และธุรกิจ (Economic Intelligence Center) เมื่อเดือน กันยายน 2017 ท่ีผ่านมา พบว่าบริษัทช้ันนําของไทยจากหลากหลาย อุตสาหกรรมรวม 62 แห่ง กว่า 56% เร่ิมใช้ Big Data เพื่อ พัฒนาการขายและการตลาดเป็นหลัก และใช้ประโยชน์จากการ ปรับปรุงสินค้า/ บริการให้ตอบ โจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุค ใหม่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ภาคการผลิตสนใจนํา ข้อมูล Big Data ไปใช้ในการวิเคราะห์เพื่อเพิ่ม Productivity ใน กระบวนการผลิตและการดําเนินงาน

กระบวนการจาก Big Data สู่ความสัมพันธ์ของข้อมูล ข้อมูล 1. Storage: การรวบรวมข้อมูลมาจัดเก็บ การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ท้ังข้อมูลที่มีคุณภาพ ข้อมูลที่คาดว่า จะมีประโยชน์ / ไม่ครบถ้วน ข้อมูล รูปภาพ วิดีโอ ไฟล์เสียงทั้งหลาย ถูกส่งมาจัดเก็บที่ถังข้อมูล 2. Processing: การประมวลผล เมื่อข้อมูลต่างๆถูกนํามารวมกันไว้ในที่เดียวแล้ว จะถูกนําไปจัดหมวดหมู่ ข้อมูลท่ีมีความเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน ให้ผลคล้ายคลึงกัน แล้วนํามาเปล่ียนเป็นรูปแบบข้อมูลเพื่อเอาเข้าระบบ คลังข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว 3. Analyst: การวิเคราะห์และนําเสนอ จากน้ันข้อมูลมากมายท้ังหมดท่ีถูกจัดเรียงแล้วในหลายมิติจะถูกนํามา วิเคราะห์หา Pattern ของข้อมูลที่มองไม่ เห็นด้วยตาเปล่า เช่น หารูป แบบความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่ หาแนวโน้มการตลาด เทรนด์ความชอบของ ลูกค้า และ ข้อมูลอื่นๆท่ีเป็นประโยชน์ทางธุรกิจ และถูกนําเสนอออกมา ในรูปแบบท่ีเข้าใจง่ายผ่านทางสถิติ กราฟ หรือรูปภาพ นั่นเอง

ทําความรู้จักเก่ียวกับ คุกกี้ และ แคช ■ คุกกี้ (Cookie) หมายถึง ข้อมูลท่ีถูกเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์ชนิดหนึ่ง เป็น ไฟล์ที่จะบรรจุข้อมูลการใช้งานของเราอยู่ เช่น ข้อมูลที่ บอกว่าเราเข้าไปเย่ียมชม เว็บไซต์ไหนมาแล้วบ้าง ดูลักษณะว่าเราจะมีความสนใจเร่ืองใดบ้าง ซ่ึงข้อมูลเหล่าน้ี จะถูกส่งกลับไปยัง เว็บไซต์ท่ีเราไปเย่ียมชม เพื่อติดตามดูพฤติกรรมของเรา ด้วยจุด ประสงค์ทางการตลาด หรือจุดประสงค์อื่น ๆ ยกตัวอย่างเช่น เพ่ือ วิเคราะก์ว่าเรา สนใจอะไรเป็นพิเศษ หรือเพ่ือส่งโฆษณามาให้เราได้อย่างตรงความต้องการของเรา อันที่จริงแล้ว สําหรับการเข้าชม บางเว็บไซต์ เราสามารถที่จะปฏิเสธไม่รับคุกก้ีได้ แต่ถ้าปฏิเสธ ก็อาจส่งผลให้เราไม่สามารถใช้เว็บไซต์นั้น ๆ ได้อย่างเต็ม ประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน ส่วนมากคนจึงเลือกที่จะรับคุกกี้ และเข้าชมเว็บไซต์ตาม ■ปกติ แล้วจึงค่อยมาลบคุกกี้ออกภายหลังนั่นเอง แคช (Cache) เป็นข้อมูลท่ีมาจากการท่ีเราเข้าชมเว็บไซต์ต่าง ๆ เช่นเดียวกัน และเป็นข้อมูลท่ีถูกเก็บไว้ในรูปแบบของไฟล์ชนิดหนึ่ง ซึ่งมีหน้าที่คล้ายตัวช่วยอํา นวยความสะดวก เพราะเม่ือเรากลับเข้าไปที่เว็บไซต์ที่เคยเข้าไปชมแล้วก่อนหน้าน้ี มันจะทําหน้าที่ค้นหา ภายในเครื่องให้ก่อนเป็นลําดับแรก ช่วยให้เราสามารถเข้า เว็บไซต์ที่เคยเข้าแล้ว หรือเข้าชมเป็นประจําได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น แต่ ในทางกลับ กัน หากเราสะสมเจ้าแคชนี้ไว้มาก ๆ ก็อาจไม่เป็นผลดีต่อการทํางาน เนื่องจาก เปรียบเสมือนไฟล์ขยะที่ทําให้สิ้นเปลือง เนื้อที่ในเครื่อง ส่งผลให้การทํางานช้าลง หนืด อดื ไม่รวดเร็วปรู๊ดปร๊าดอย่างที่ควรจะเป็น

http://bigdataexperience.org/big-data/ ข้ันตอนในการสร้าง Big Data 1. Problem analysis วิเคราะห์และระบุโจทย์ส่ิงที่เราอยากรู้ ปัญหาที่เราต้องการแก้ 2. Data Preparation เตรียมข้อมูลให้พร้อมปรับเปลี่ยนข้อมูลให้ อยู่ในรูปแบบที่เหมาะ สม ครบถ้วน ถูกต้อง 3. Modeling ออกแบบโครงสร้างข้อมูลให้ตอบโจทย์ในสิ่งที่เราอยากรู้ หรือปัญหาที่เรา ต้องการแก้ 4. Data Analytics นําข้อมูลท่ีเตรียมไว้มาวิเคราะห์ เพื่อหาความสัมพันธ์ เพ่ือเข้า ใจ สาเหตุของปัญหา เพ่ือคาดการณ์ส่ิงที่จะเกิดข้ึนในอนาคต และนําไปสู่แนวทางแก้ไข ปัญหา ท่ีเราต้ังเอาไว้ 5. Deployment นําผลที่ได้จากการวิเคราะห์ไปแสดงผล และใช้งานต่อ เช่น ออก report, Dashbord และนําแนวทางการแก้ปัญหาจากการวิเคราะห์ไปปฏิบัติจริง 6.Evaluation/Monitoring ประเมินว่าผลที่ได้จากการวิเคราะห์ มีความถูกต้อง แม่นยํา เป็นประโยชน์หรือไม่ หรือแนวทาง การแก้ไขปัญหาที่ได้จากการวิเคราะห์มี ประสิทธิภาพ ต่อโจทย์ที่ตั้งไว้หรือไม่

www.iok2u.com ประโยชน์ท่ีจะนํา Big Data ไปใช้ มี 3 เร่ืองใหญ่ 1. ลดค่าใช้จ่าย ช่วยตัดสินใจ สร้างโอกาสให้ธุรกิจ 2.การออกโปรดักส์หรือบริการใหม่ มีข้อมูลทําให้ออกผลิตภัณฑ์ได้ถูกใจ ลูกค้า แม้อาจไม่ได้ดีที่สุด ก็ตาม ซ่ึงองค์กรขนาดใหญ่จะใช้ big data มา วิเคราะห์ตลาด แม้แต่วิเคราะห์คู่แข่ง และ ดูพฤติกรรมลูกค้า สนใจอะไร ใช้วัดเสียงสะท้อนผู้บริโภค 3. การมีข้อมูลทําให้ออกผลิตภัณฑ์ได้รวดเร็วกว่า และถูกใจลูกค้ากว่า แม้ อาจไม่ได้ดีท่ีสุดก็ตาม “หลายๆ ผู้ประกอบการนํา Big data มาวิเคราะห์ตลาด และดูข้อมูลคู่ แข่งว่า ทําอะไรบ้าง ไปถึง ไหนแล้ว และดูพฤติกรรมลูกค้าว่าสนใจอะไร ชอบอะไร โดยดูจาก consumer voice ดู keyword อะไรที่จะโดนใจผู้ บริโภคทําให้ปีเดียวอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่งทํายอดขายได้ 600 ล้านบาท”

กรณีศึกษา Source : www.muvi.com กรณีศึกษา : บทความ Deciphering the unstoppable Netflix and the role of Big Data วิเคราะห์ว่า Netflix ประสบความสําเร็จอย่างรวดเร็วจากการเก็บข้อมูลผู้ ชมท้ังในด้านประวัติการ เข้าชม, การกดหยุดเล่น, อุปกรณ์ที่ใช้, การค้นหา, การให้ คะแนน ฯลฯ นํามาทําเป็น Big Data ที่ วิเคราะห์จากการเลือกดูหนังที่ผ่านมาว่า ผู้ ชมน่าจะอยากดูเร่ืองใดเป็นเรื่องต่อไป แล้วนําเสนอได้ ตรงหรือใกล้เคียงกับความชอบ และรสนิยมของผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อประสบการณ์และ ความพึงพอใจ ทํา ให้มีผู้สมัครสมาชิกมากกว่า 137 ล้านราย (ข้อมูล ณ ส้ินปี 2018). ตัวอย่างของการใช้ Big Data ขอยกตัวอย่าง Netflix ย้อนกลับไปราวๆปี 2008 ลูกค้าผู้ใช้บริการ Video on demand กลุ่มใหญ่ต้อง เผชิญหน้ากับปัญหาจอดํา ในขณะท่ีลูกค้า Streaming ที่ใช้บริการผ่านคลาวด์บาง รายสามารถใช้งานได้ เป็นปกติ ผลกระทบคร้ังใหญ่ในครั้งน้ี กดดันให้ Netflix ต้องเร่งหาทางแก้ไข ก่อนที่คิดจะให้ขยายการให้ บริการออกไปยังต่างประเทศ Big Data คือกุญแจสําคัญในการ แก้ปัญหา ทีมงานนําข้อมูลในทุกด้าน ทั้ง ส่วนท่ีมีความหนาแน่นในการใช้บริการ เครื่องข่าย ความเร็วเน็ต จุดเชื่อมต่อระหว่างการให้บริการด้าน ข้อมูล ฯลฯ ถูกนํามาวิเคราะห์เพื่อหาทาง ป้องกันปัญหา Down-time ที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต และนี่คือคําอธิบายของคําว่า Big Data คําจํากัดความของข้อมูลต่างๆมากมายท่ีมา รวมตัวกันเพ่ือรอ การนําไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆท่ีแตกต่างกันโดยผ่านการใช้เคร่ืองมือ เฉพาะทางในการวิเคราะห์

หน่วยที่ 2 Ilot INTERNET OF THINGS (IOT) INTERNET OF THINGS (IOT) คือ การที่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเช่ือม โยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ด้วยอินเทอร์เน็ต โดย ไม่ต้องป้อนข้อมูล การเช่ือมโยงน้ีง่าย จนทําให้เราสามารถส่ังการควบคุมการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทาง เครือข่ายอินเตอร์เน็ตได้ ไป จนถึงการเช่ือมโยงการใช้งานอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเข้ากับการใช้งานอ่ืนๆ จนเกิดเป็นบรรดา SMART ต่างๆ ได้แก่ SMART DEVICE, SMART GRID, SMART HOME, SMART NETWORK, SMART INTELLIGENT TRANSPORTATION

“อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง” หรือ “อินเทอร์เน็ตของสรรพส่ิง” คือการท่ีอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเช่ือมโยงหรือส่งข้อมูลถึงกันได้ ด้วยอินเทอร์เน็ต การเช่ือมโยงนี้ง่ายจนทําให้เราสามารถสั่งการ ควบคุมการใช้งานอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ ซ่ึง คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า เทคโนโลยี INTERNET OF THINGS น้ีสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพที่ตรง ใจผู้ใช้ ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ย่ิงไปกว่านั้น INTERNET OF THINGS มีการเช่ือมโยงกันอย่างเป็นระบบ สามารถช่วยแก้ปัญหาต่างๆได้ ไม่ว่าจะ เป็นปัญหาทางธุรกิจ ทางสังคม หรือ แม้แต่ช่วยแก้ไขปัญหาในชีวิตประจําวันได ประโยชน์และความเสี่ยงของ IOT เทคโนโลยี INTERNET OF THINGS มีประโยชน์ในหลายด้านทั้งเรื่องการเก็บข้อมูลที่แม่น ยําและเป็นปัจจุบัน ช่วยลดต้นทุน แถมยังช่วยเพิ่มผลผลิตของพนักงานหรือผู้ใช้งานได้ แม้ว่าแนวโน้มของ IOT มีแต่จะเพิ่มขึ้นด้วยคุณาประโยชน์ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ประโย ชน์ใดๆนั้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยง เพราะความท้าทายในการรักษาความปลอดภัยของ เครือข่ายใหม่ที่เกิดขึ้นน้ัน จะผลักดันให้ผู้เชี่ยวชาญมีการรับมือทางด้านความปลอดภัยมาก ข้ึน ในทางตรงกันข้ามแฮกเกอร์ หรือผู้ไม่หวังดีก็ทํางานหนักเพ่ือที่จะเข้าควบคุม โจมตีเครือ ข่าย หรือเรียกค่าไถ่ในช่องโหว่ที่ IOT มีอยู่ ฉะนั้นผู้เชี่ยวชาญ ด้านความปลอดภัยทาง IOT จึงจําเป็นต้องพัฒนามาตรการ และระบบรักษาความปลอดภัยไอทีควบคู่กันไป เพื่อให้ธุรกิจ และการใช้งาน IOT

วิวัฒนาการยุค 5G https://thananon6.wordpress.com https://today.line.me/th/v2/article/G1GyN6 วิวัฒนาการยุค 5G ยุค 1G ซ่ึงเป็นยุคท่ีใช้ระบบ ANALOG คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่ รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆท้ังส้ินซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถ ใช้งาน ทางด้าน VOICEได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสายเท่านั้นไม่มีการรองรับการใช้งานด้าน DATAใดๆ ทั้งส้ิน แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทํา ไม่ได้ในยุค 1G ยุค 2G สามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ขึ้นเร่ือยๆ จนเกิดการกําหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่ เรียกว่า CELL SITE และ ก่อให้เกิด ระบบ GSM (GLOBAL SYSTEM FOR MOBILIZATION) ซึ่ง ทําให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไป ใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือท่ีเรียกว่า ROAMING ยุค 2G น้ี ถือเป็นยุคเริ่มต้นแห่งการเฟื่องฟูของโทรศัพท์มือถือเลย (พิท วัส กัลยาและเจริญชัย บวรธรรม รัตน , 2551)

ยุค 3G หรือ THIRD GENERATION ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 จุดเด่นท่ีสุดของ 3G นั้นเป็นเรื่องของความเร็วในการเช่ือมต่อและการ รับ-ส่งข้อมูล โดยเน้นการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง ทําให้ ประสิทธิภาพในการรับ ส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมท้ังสามารถใช้ บริการ MULTIMEDIA ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และ มีประสิทธิภาพแบบมาก ย่ิงขึ้น เช่น การรับ-ส่ง FILE ท่ีมีขนาดใหญ่ , การใช้บริการ VIDEO/CALL CONFERENCE , DOWNLOAD เพลง , ดู TV STREAMING ต่างๆ ซ่ึงถ้า เปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว ... 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่าเยอะเลยคุณสมบัติ หลักที่เด่นๆ อีกอย่างหน่ึงของระบบ 3G ก็คือ ALWAYS ON คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบ เครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดโทรศัพท์ด้วย (พิทวัส กัลยาและ เจริญชัย บวรธรรมรัตน , 2551) ยุค 4G คือเทคโนโลยีการส่ือสารไร้สายผ่านอุปกรณ์แบบเคลื่อนท่ี (โทรศัพท์มือ ถือและแทบเล็ต) ในยุคท่ี 4 หรือ 4TH GENERATION MOBILE COMMUNICATIONS อาจจะเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า LTE (LONG TERM EVOLUTION) แต่เดิมได้ถูกวางไว้เป็นระบบ 3.9G แต่ต่อมาได้ถูกพัฒนา ความเร็วการเชื่อมต่อให้มากขึ้นและเปลี่ยนชื่อเป็นระบบ 4G นั่นเองจุดกําเนิด ของระบบ 4G ความเร็วของระบบ 4G ไว้ท่ี 1GBPS แต่ด้วยขีดจํากัด ทางด้าน เทคโนโลยีและความพร้อมของผู้ให้บริการ จึงทําให้ความเร็วได้เพียง 100-120 MBPS และอัพโหลดท่ีระดับความเร็ว 50 MBPS เท่านั้น

ยุค 5G ตอนน้ีเป็นเทคโนโลยีใหม่ ของเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้มีการพัฒนาไป อย่างรวดเร็ว รวมถึงการเกิดขึ้นและเติบโตของอุปกรณ์ดีไวซ์ชนิด ใหม่ๆ หลาย ประเทศก็เริ่มทดลองเทคโนโลยีน้ีเพื่อนําออกมาใช้อยู่ จะผสมผสานเทคโนโลยี สารพัด สามารถส่งข้อมูลจาก WIFI จาก 900 1800 2100 เข้ามาที่เครื่อง ของเรา ใน TRAFFIC ที่เราต้องการ เพราะมันก็จะกระโดดขึ้นไปในระดับกิ๊กกะ บิทต่อวินาที ไม่ใช่เมกะบิทแล้ว มีความเร็วสูง กว่า 4G เป็น 1,000 เท่า สามารถดาวน์โหลดไฟล์ขนาด 8 ก๊ิกกะไบท์ ใช้เวลา 6 วินาทีเท่านั้น โดย 5G จะเช่ือมโยงกับอุปกรณ์หรือ THINGS หรือ สิ่งของทุกสรรพสิ่งท่ีเราต้องการ ธุรกิจโมเดลก็จะเปล่ียนไปอย่างมากมาย SME ที่เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีนวัต กรรมก็จะรุ่งขึ้นมา 5G จะเข้ามาแทนที่ เครือข่ายแบบมีสายและ WI-FI ที่เราใช้ กันอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานส่วนบุคคล หรือใช้งานในองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจาก เร่ืองความเร็วของการรับส่งข้อมูล การตอบ สนองที่รวดเร็วกว่าและการปรับปรุงประสิทธิภาพในการใช้คลื่นความถ่ีท่ีดีขึ้นแล้ว อุปกรณ์บน เครือข่าย 5G ยังใช้พลังงานน้อยกว่า 4G อีกด้วย ซึ่งถือเป็นความ สามารถที่จําเป็นสําหรับการเติบโตของ INTERNET OF THINGS ในอนาคต อีก ทั้ง 5G ยังสามารถเข้ามาแก้ปัญหาบางอย่างของ 4G ได้แก่ การเชื่อมต่อ อุปกรณ์ที่หลากหลายขึ้น การใช้พลังงานที่มีประสิทธิภาพสูง และมาตรฐาน ทาง เทคนิคท่ียอมรับท่ัวโลก ซ่ึงจะทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมและ สังคมอย่างรวดเร็วอย่างท่ีไม่เคยปรากฏมาก่อน เช่น ทําให้เกิดโอกาส สําหรับ การเช่ือมต่อในเมืองอัจฉริยะ (SMART CITY) การผ่าตัดระยะไกลในวงการ แพทย์ รถยนต์ไร้คนขับ และ INTERNET OF THING (เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ, 2559)

วิวัฒนาการยุค 5G สรุป ระบบ 5G เป็นพื้นฐานของแนวคิด INTERNET OF THING และ MACHINE TO MACHINE ซึ่งเป็นการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ ไม่ว่า จะเป็น เครื่องมือ ยาน พาหนะ หรือ อาคารส่ิงก่อสร้างที่มีการติดตั้งวงจรอิเลคทรอนิกส์ ซอฟแวร์ เซ็นเซอร์ และเครือข่ายการเช่ือมต่อต่างๆ ท่ีทําให้ อุปกรณ์เหล่านี้สามารถส่งผ่านข้อมูลถึงกัน โดยมีความล่าช้าของเวลา (TIME LAG) น้อยมาก ทําให้สามารถใช้เพื่อการพัฒนา เทคโนโลยีต่างๆ ท่ีเคยทํา ไม่ได้ในอดีต เช่น การผ่าตัดทางไกลที่แพทย์สามารถทําการ ผ่าตัดให้คนไข้ที่อยู่ในอีกซีกโลกได้ ดังนั้น หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนจึงต้อง เร่งพัฒนา เทคโนโลยีให้รองรับกับระบบน้ี ซึ่งการพัฒนาเหล่าน้ีจะเปล่ียนวิถีชีวิตใน อนาคตของผู้คนโดยส้ินเชิง เครือข่ายแบบไร้สายในยุค 5G ซึ่งมีความสามารถในการ ส่งข้อมูลในปริมาณท่ีมากกว่าระบบ 4G ถึง 1,000 เท่า โดยผิวเผินระบบ 5G ถูก มองว่า เป็นเพียงระบบใหม่ที่ถูกนํามาใช้ทดแทนระบบเดิมด้วย ประสิทธิภาพท่ีสูงกว่า ดังเช่นท่ีระบบ 4G มาทดแทนระบบ 3G แต่ในความจริงแล้ว 5G เป็นเทคโนโลยีท่ีมี ความเร็วสูง และความสามารถในการส่งข้อมูล ปริมาณมาก จึงทําให้อุปกรณ์ที่รองรับ ระบบนี้ จะไม่จํากัดเพียงแค่โทรศัพท์ อีกต่อไป แต่จะรวมไปถึงเครื่องมือ เครื่องใช้ และระบบสาธารณูปโภคทั้งหมด https://news.siamphone.com/news-44583.html

ประโยชน์ของ INTERNET OF THING ในยุคดิจิทัล 1. ช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทํางาน IOT จะช่วยเพ่ิมประสิทธิภาพในการทํางานให้แม่นยําและรวดเร็วยิ่งข้ึน เนื่องจากความ สามารถในการทํางานและการ ส่งผ่านข้อมูลของ IOT น้ันสูงกว่าการใช้มนุษย์ทํางาน การทํางานของมนุษย์อาจจะทําให้เกิด HUMAN ERROR และเกิด ข้อจํากัดด้าน พลังงาน, เวลา และสถานท่ีได้ แต่ IOT มีความสามารถในการเก็บข้อมูล ประมวลผล ส่งผ่าน และแสดงผลได้ อย่างรวดเร็วและสามารถรองรับข้อมูลได้เป็นจํานวนมหาศาล 2.ไร้ข้อจํากัดด้านเวลาและสถานที่ IOT สามารถทํางานได้แบบไร้พรมแดน เพราะขับเคลื่อนด้วยอินเทอร์เน็ต อย่างที่เราทราบ กันดีว่าอินเทอร์เน็ต สามารถเชื่อมส่ิงท่ีอยู่ห่างไกล ให้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น สามารถติดตามผลการดําเนินงานและเช็คสถานะการผลิต ได้แม้ว่าโรงงานจะอยู่คนละ จังหวัดหรือประเทศก็ตามและIOT ยังสามารถทํางานได้ตลอดเวลาต่างจากมนุษย์ที่มี พลังงาน จํากัด ต้องการการพักผ่อน สิ่งน้ีทําให้เห็นว่าการใช้ IOT ช่วยทําลายกําแพงด้าน เวลาและสถานที่ได 3. ช่วยลดต้นทุนในหลาย ๆ ด้าน ประโยชน์ของ INTERNET OF THING ในยุคดิจิทัล เนื่องจาก IOT มีความแม่นยําและไรข้อจํากัดด้านเวลาและสถานท่ี ทํา ให้ช่วยลดต้นทุนได้หลาย ๆ ด้าน อย่างเช่นต้นทุนการจ้างงาน ต้นทุน ค่าเสียโอกาส หรือต้นทุนการผลิต

ข้อดี - ข้อเสีย INTERNET OF THINGS ข้อดี INTERNET OF THINGS - เพิ่มความสะดวกสบายในการทํางานและการดําเนินชีวิต เช่น หลอดไฟท่ีเปิดหรือ ปิดเองได้เตามเวลาที่ตั้งไว้ผ่านมือถือ เป็นต้น - เพ่ิมความรวดเร็วและประสิทธิภาพในการทํางาน ทําให้สามารถทํางานได้อย่าง รวดเร็ว ถูกต้อง และแม่นยําขึ้นได้ - ช่วยลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ ลงได้จากการใช้ IOT เช่น แผงเกษตรกรรมที่มีการใช้ IOT ให้รดน้ําตามเวลาและระดับความช้ืนที่กําหนด เป็นต้น ข้อเสีย INTERNET OF THINGS - เพิ่งพาระบบอินเทอร์เน็ต หากไม่สามารถเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้อาจเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น ไม่สามารถส่ังงานอุปกรณ์ได้ เป็นต้น - ความปลอดภัยของข้อมูล เนื่องจากอุปกรณ์ถูกเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายเดียวกัน ทําให้ต้องการบํารุงและรักษาความปลอดภัยของข้อมูลกับซอฟต์แวร์ของ อุปกรณ์อยู่ เสมอ - ความผิดพลาดที่เกิดจากการประมวลผลผิดพลาด อุปกรณ์ IOT อาจเกิดปัญหา ประมวลผลผิดพลาดได้ เนื่องจากการเขียนโปรแกรมที่ไม่รัดกุม และ พอมีอุปกณ์ ตัว ไหนตัวหน่ึงประมวลผลผิดพลาดจะส่งผลทําให้อุปกรณ์อื่น ๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ด้วย ประมวลผลผิดพลาดไปตาม

BOT NET BOTNE Tเป็นกลุ่มของอุปกรณ์ที่ติดมัลแวร์และถูกเปลี่ยนเป็น BOT (ย่อมาจาก ROBOT) ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เว็บแคม เราท์เตอร์ หรืออุปกรณ์ I0T อื่นๆ ในบ้านของเรา เพื่อรอรับคำสั่งจากแอ็กเกอร์ โดยแอ็กเกร์จะนำ BOTNET ที่มี ไปใช้ในแคมเปญการโจมตีขนาดใหญ่ เช่น DDOS อย่างกรณีของMIRAI BOTNET ที่ โด่งดังเมื่อ 2 ปีก่อนซึ่งใช้ BOTNET กว่า 300,000 เครื่องในการถล่มระบบของ NETFLIX, TWITTER หรือ REDDIT วิธีป้องกัน BOTNET 1. เปลี่ยนรหัสผ่านของอุปกรณ์ - อุปกรณ์ I0T ที่ใช้รหัสผ่านดั้งเดิมจากโรงงานมัก ถูกแฮกแล้วเปลี่ยนเป็น BOTNET ได้ง่าย 2. อัปเดตซอฟเเวร์สม่ำเสมอ - เพื่ออุดช่องโหว่ไม่ให้แฮกเกอร์ใช้โจมตีอุปกรณ์ 3. ใช้ FIREWALL - FIREWALL ปัจจุบันช่วยตรวจจับทราฟฟิกไม่พึ่งประสงค์และ ป้องกันการโจมตีอุปกรณ์ในระบบเครือข่ายจากแฮกเกอร์ 4. แยกวงอุปกรณ์ 10T ออกมา - แทนที่จะรวมอุปกรณ์ 0T ไว้ในเครื่อข่ายหลัก ให้ สร้างเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ I0T โดยเฉพาะขึ้นมา และไม่มีการแชร์ข้อมูลข้าม เครือข่าย เมื่ออุปกรณ์ I0T ถูกโจมตี เครือข่ายหลักจะไม่ได้รับผลกระทบ 5. ควรระมัดระวังในการใช้งานอินเทอร์เน็ต - หลีกเลี่ยงการเข้าถึงเว็บโป๊หรือเว็บ การพนัน ไม่กดโฆษณาที่ดูให้ผลตอบแทนเกินจริง รวมไปถึงติดตั้ง โปรแกรมANTIVIRUS และ ADBLOCKER เพื่อป้องกันการลอบขุดเหรียญเงินดีจิทัล

SMART HOME SMART HOME ( SMART BUILDING ) หรือเรียกอย่างนั่นคือ \"บ้านอัจฉริยะ\" เป็นการนำเอาเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ เข้ามาใช้ทั้ง ภายนอก และภายในบ้าน โดยเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ โดยผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุม (CONTROL) อุปกรณ์ต่างๆ เหล่านี้ได้ผ่านทางสมาร์ทโฟน และอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้ได้รับความ สะดวกสบาย(CONVENIENCE) แถมยังช่วยประหยัด (SAVINGS) ค่าใช้จ่ายด้าน พลังงาน รวมไปถึงความปลอดภัย (SAFETY) ที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้บ้าน อัจฉริยะ ยังรวมถึงการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้างอันล้ำสมัย เช่นการใช้โครงสร้างแบบ โมดูลาร์ ป้องกันแผ่นดินไหว และนวัตกรรมแห่งการพักอาศัยอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มคุณภาพ ชีวิตให้กับทุกคนที่อยู่ในบ้าน https://www.lifesmartthailand.com/content/13027/%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0 %B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B9%82%E0%B8%AE%E0%B8 %A1-smart-home

งานวิจัยของ SMART HOME ในปัจจุบันจะเป็นการวิจัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ ของผู้อยู่อาศัยภายในบ้าน สามารถแบ่งกลุ่มงานวิจัยออกได้ เป็น 4 กลุ่ม ตามความต้องการคือ 1. เพื่อความสะดวกสบาย งานวิจัยพวกนี้จะเป็นระบบอัตนมัติต่าง เช่นประตูอัต นมัติ,รีโมทอัจฉริยะ ซึ่งสินค้าที่มีในท้องตลาดส่วนใหญ่ก็จะเป็นในกลุ่มนี้ 2. เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและรัพย์สิน จะเป็นงานวิจัยในการเพิ่มความสามารถให้กับ กล้องวงจรปิดคือนอกจากจะทำการบันทึกภาพอย่างเดียวแล้ว แต่ยังรวมเซนซร์ต่าง เข้ามาเพื่อใช้ในการตรวจตราเช่นเซนเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และเพิ่มระบบการ ขับไล่ผู้ร้ายด้วยการเชื่อมต่อกับ ALARM หรือแจ้งไปยังสถานีตำรวจ นั่นคือเพิ่มความ สามารถในการช่วยระงับเหตุเข้ามาด้วย ซึ่งสินค้าในท้องตลาดในกลุ่มนี้ก็มีเช่นกัน 3. เพื่อประหยัดพลังงาน เช่นการเปิดปิดฟอัตนมัติตามแสงอาทิตย์ หรือปิดไฟอัตนมัติ เมื่อไม่มีคนอยู่ รวมไปถึงการบริหารจัดการพลังงานในกรณีที่ติดตั้งแผงวงจรโซลาร์เซลล์ 4. เพื่อดูแลสุขภาพของผู้อาศัยภายในบ้าน เช่นจะติดตั้งเซนเซอร์ตรวจคลื่นหัวใจ ตรวจ จับไฟไหม้ โดยส่งสัญญาณ เมื่อเวลาเกิดเหตุการณ์ที่ผิดปกติ

หน่วยที่ 3 Blockchain https://www.krungsri.com/th/plearn-plearn/blockchain-innovation-transfer-realtime

Blockchain เปน นวัตกรรมเทคโนโลยีใหมที่คิดคน ขึ้นมาเพื่อความปลอดภัยสําหรับขอ มูลที่เปดเผยได  โดยมีแนวคิดวา การสรางขอมูลที่ทุกฝายยอมรับซึ่งกันและกัน จากนั้น นําขอ มูลบันทึก ลงในกลองสี่เหลี่ยมโดยมีขอ มูลเหมือนกันทุกกลอง (Block) และเชื่อมโยงขอ มูลระหวา งกันแบบหว งโซ (Chain) ทําใหบ ล็อกเชนไมต องผา นตัวกลางในการสงขอ มูลอีกตอ ไป ยก ตัวอยางเชนปจ จุบัน เครื่องมือสื่อสารตองเดินทางผา นโอเปอเรเตอรเ พื่อเชื่อมตอ ขอ มูล ระหวางกัน ตอนนี้ก็เริ่มมีการ พัฒนาการสง ขอความตัวอักษรระหวา งเครื่องตอ เครื่อง (P2P : Peer to Peer) ซึ่งอาจจะทําใหเ กิดเครือขา ยใหมขึ้นใน อนาคต แมว าตอนนี้ยัง ทําไดแคตัวอักษรเทา นั้นก็ตาม ความทา ทายของการนําบล็อกเชนไปใชยังไมไ ดจํากัดอยูเพียงแคโ ลกการเงินเทานั้น กา รสรางเอกสารเพื่อการ ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินอยา งในประเทศฮอนดูรัส ก็เปน ตัว อยางที่ดี ซึ่งผูท ี่ครอบครองที่ดินกวา 70% เขาใจวา ที่ดิน เปนของตนเอง และมีกรรมสิ ทธิ์อยางแนน อน แตแ ลว การถือครองที่ดินกลับมีการเปลี่ยนเจาของโดยที่ไมร ูตัว ทําใหตอ งถูก บังคับออกจากที่ดินอยา งไรขอตอ สู ซึ่งแนนอนวา บล็อกเชนจะ เขา ไปชว ยใหเ กิดการเปลี่ยนแปลง แกไขเอกสารกรรมสิทธิ์ ที่ดิน ใหม ีความถูกต้องมาก ขึ้น ซึ่งก็เปนไปตามแนวคิดของบล็อกเชนที่วา ขอ มูลจะตอ งมีความปลอดภัย มีการเผย แพร และ บันทึกไวใ นทุกที่อยา งเปนธรรม เพื่อปองกันการปลอมแปลงโดยมิชอบนั่นเอง

Blockchain จึงกลาวไดว า; การทํางานของ Blockchain คือ เมื่อเกิดการทําธุรกรรมตา งๆ ขึ้นในระบบ ขอมูลจะถูกบันทึกแบบเขารหัสไวเ ปน บล็อกๆ และจะถูกเชื่อมโยง ตอ ๆ กัน โดยที่จะไมม ีใครคนใดคนหนึ่งสามารถเขาไปแกไขเปลี่ยนแปลงขอมูลใน บล็อกใดๆ ไดเ ลย สาเหตุก็เพราะทุกคน ตา งก็มีสําเนาหรือประวัติการทํา ธุรกรรมทั้งหมดอยูก ับตัว จึงเปน เรื่องที่ยากหรือเปนไปไมไดหากจะมีใครซักคน เขามาแกไ ขหรือปลอมแปลงขอมูล โดยปราศจากการรับรูจ ากคนสว นใหญใ น ระบบ โดยระบบที่สามารถตรวจสอบขอมูลยอนกลับไดท ั้งหมดนี้ถือเปนเครื่อง มือสําคัญที่สรางความ นาเชื่อถือใหกับเทคโนโลยี Blockchain นั่นเอง

ที่มาที่ไปของการมาเปน Blockchain กอนอื่นเราตองขอยอนกลับไปทําความรูจักกับBitcoin กันกอ นซึ่งเชื่อวา หลายทานพอ ทราบกันแลว วาเปนระบบสกุลเงินใหม A Peer-to-Peer Electronic Cash System หรือทุกวันนี้ก็เรียกกันอีกอยา ง หนึ่งวา “Cryptocurrency (or crypto currency)” หรือสกุลเงินอิเล็กทรอนิกส เปน ผลงานการออกแบบ ของบุรุษที่ไมเ ปด เผยตัวตนชื่อ Satoshi Nakamoto ที่เผยแพรเอกสารการทํางานของ Bitcoin ออกมา ในเดือน พฤศจิกายนป 2008 และเอกสารอันลึกลับวาเปนของใครนั้นเองก็ไดเปลี่ยนโลก เทคโนโลยีครั้ง ใหญเลยทีเดียว ในเอาสารฉบับนั้นของ Satoshi มีการพูดถึงหลักการ ของสง เงินระหวา งกันเอาไวโ ดย อาศัยการทํางานของ Blockchain อยูดว ย นั่นจึง เปนที่มาของการเกิดเทคโนโลยี Blockchain ขึ้นมาใน เดือนมกราคมในป 2009 ซึ่ง ขณะนั้นทําขึ้นมาเพื่อใชง านกับการสง เงินสกุล Bitcoin นั่นเอง https://www.scimath.org/article-technology/item/7818-2018-01-10-06-35-59

ทำความเข้าใจ Blockchain กอนอื่นขอใหค ุณนึกถึงภาพเปรียบเทียบการสงสิ่งของหากหากัน โดยมีบุคคลอื่นเปนพ ยานรับรูดวยกอน ตัวอยางที่นาจะทําให หลายคนเห็นภาพไดง า ยๆก็คือ “การเลนไพ” การเลนไพนนั้ ผูเ ลนจะถูก จัดใหอยูในวงไพ่ที่เปดรับในที่นี้เราขอเทียบวงไพแ ตละ วงที่ เกิดขึ้นก็เหมือนกับการมี Network ตางๆในแตละอุตสาหกรรม พูดงา ยๆก็คือวงไพท ี่ เกิดขึ้นนั้น ก็เปรียบไดกับ Blockchain Network ในแตละอุตสหกรรมเชน วงไพข อง ธนาคารเรียก Blockchain for Financial, วงไพของระบบสง สินคา เรียก Blockchain for Logistic, วงไพข องเครือขา ยรถสาธารณะ เรียกวา Blockchain for Public Transpotation เปน ตน ซึ่งใคร อยากจะเขารว มวงไพว งไหนก็เขา ไปดูเงื่อนไขกันว่าเรา สนใจอยากเขารวมดว ยไหม หรือเราอยากจะตั้งวงไพใหมข ึ้นมาก็สามารถทําไดเชนกัน เมื่อเราเขาใจหลักการของ Blockchain Network วาเปรียบเทียบไดกับการเลนไพ  คราวนี้เราขอใหคุณจํากัดประเภทไพที่ จะเลนกันดว ยวาเปนการเลน ไพ Poker หรือ เลน ไพส ลาฟ(Slave) ที่ผูเ ลนจะตอ งทิ้งไพ่ใหอีกคนในวงไปเรื่อยๆ ตรงนี้เพื่อที่จะ เทียบใหเห็นภาพของการสงขอ มลู ในระบบ Blockchain ที่ระบุเปนเงื่อรไขเอาไว้ว่าทุก คนในแตล ะ Blockchain Network ใดๆ ก็ตามจะตองเห็นรายการรับ-สงขอมูลร่วมกัน ทั้งหมดทุกคน ซึ่งก็เหมือนกับการเลน ไพ่ที่ผูเลนทุกคนในวงไพ่จะรับรู้การเคลื่อนไหว ของทุกคนที่เลน ดว ยกัน (เทียบเฉพาะหลักการเลนไพ่เเบบไม่่โกงและทุกคนในวงร่วมกัน เปนพยาน

ทําความเขา ใจทําไมเรียกวา Chain ตอ มาคือวา “Chain” ซึ่งขออธิบายหลักการทํางานในการรับ-สง ในระบบทั่วไปกอ น ตัว อยา งเชน การสง พัสดุของธุรกิจ Logistic วา จะมีการจดจําขอ มูลของผูร ับของ ขอ มูลของ ผูสง ที่ระบุเอาไวบนหนา กลองพัสดุ และผูนําสง (บุรุษไปรษณีย ซึ่งจะเปน มีเพียง 3 บุคคล เทา นั้นท่ีเกี่ยวขอ งกันในรับรูข อ มูลของการสงในแตล ะครั้ง แตใ น Blockchain นั้น ผูส ง (ขอมูล นั้นไมใชบ ุรุษไปรษณียแ ตเ ปน คนใดคนหนึ่ง ในระบบที่สามารถแกโจทยท าง คณิตศาสตรแบบเดาคําตอบเพื่อใหไ ดผ ลลัพธที่ถูกตอ งไดก อน ซึ่งคนๆน้ันก็ จะเปน ผูไ ดส ราง Block ลําดับ ตอไป ขอยอ นกลับไปเทียบกับการเลนไพในตัว อยา งกอ นหนา นี้อีกครั้งวาการจะสง ไพ( ไพ = ขอมูล ตอ ไปหาใครหรือผูเลนคนตอ ไปที่จะ ได ทิ้งไพล งมาไดก ็ตอ งอยูใ นเง่อื นไขของการเลน ไพอ ยา ง Poker หรือ Slave คือคนท่สี ามารถวางไพล าํ ดับถัดไปไดนนั่ เอง และในการเลนไพ นั้นทุกคนในวงไพจ ะตอ งจดจําการ รับสงของขอมูลในที่นี้คือทุกคนตองจําใหไดวาใครสง ไพหาใครหรือใครทิ้งไพใ บไหนไปใหใคร เปรียบ เหมือนการจดจําทุกๆรายการ(transactions) เอาไวต ลอดการเลน เหมือนกับวา ทุกๆคนในระบบจะมีบัญชีประจําตัว(สมองจดจํา ที่ไมได เอาไวจดบันทึกรายการของตัว เอง(ไพใ นมือของเรา เพียงอยางเดียว แตการเลนไพจะเหมือนกับวา ทุกคนมีบัญชีที่เก็บ ขอ มูลการทํา รายการของทุกๆคนในระบบเอาไวต ้ังแตเริ่มตน การเลนเลย และการ จดจําขอมูลในลักษณะแบบนี้ก็เปรียบไดกับเปนหว งโซของทุกๆ ธุรกรรมตอกันไปเรื่อยๆ นั่นจึงเปนความหมายและที่มาของคําวา Chain ในระบบ Blockchain นั่นเอง คําศัพท Chain = การจดจำ ทุกๆ ธุรกรรมของทุกๆคนในระบบและ บันทึกไวกับบัญชีของทุกคน เรียก วา Chain

การทํางานจริงๆของ Blockchain 1.อันดับแรกเลย Alex ก็จะกรอกขอ มูลบัญชีของ Katie ลงไปพรอมกับจํานวนเงนิ ที่ตอ ง การโอนและ Sign การ ดําเนินการดวย Private Key ของเขาลงไป ซึ่งตามทได้อธิบายไปใน บทความที่แลววา ตัว Blockchain มันไม่ได้บอกว่าใครเปนใคร ดังนั้นบัญชีของ Alex กับ Katie จะถูกเก็บเปน ตัวเลขรหัสบัญชียาวๆเทา นั้น ตามรูปดานลา งเลย 2.จากการดําเนินการที่เกิดขึ้นระบบจะทําการสรางสิ่งที่เรียกวาTransactionเพื่อบอกวา ใครทําอะไร และทําการบันทึกลายน้ำลงไปดว ยHashfunctionเพื่อปองกันมีคนมาแกไ ขกา รดําเนนิการตามรูป ดา นลา ง 3.ซึ่งในการสรา ง Transaction แตละครั้ง ระบบก็จะไปตรวจสอบ Transaction อื่นๆ กอ นหนาเพื่อดู ความถูกตอ งวา Alex มีเงินพอที่จะโอนหรือเปลา ดวย ดังนั้น transaction แตละตัวระบบก็จะรูค วาม เปนไปของบัญชีแตล ะบัญชีนั่นเอง

4.พอถึงชว งเวลานึง ระบบก็จะเอา transaction ที่เกิดขึ้นในชว งเวลานั้นทั้งหมดมารวม กันในสิ่งที่ เรียกวา Block และระบบก็จะนําขอมูลทั้งหมดใน Block นั้นไปเขา Hash function ขึ้นมาเพื่อปอ งกัน คนมาแกไ ข block นั้นๆ เชนในตัวอยาง Block 0 ไดต ัว เลขเปน 0x23e 5.ถัดมาระบบก็จะนํา block ไปเก็บ โดยมันจะมีการบันทึกไวด ว ยวา Block ที่มันสรา ง นั้นมันตอกับ Block รหัสอะไร ซึ่งเราเรียกขั้นตอนนี้วาการตอ กันหรือการ Chain กัน นั่นเอง

ลักษณะเด่นๆของ Blockchain 1. ทุกๆ ขอมูลที่มีการบันทึกลงไปใน Blockchain นั้นจะไมสามารถถูกลบออกไป ได และสามารถติดตามลําดับการบันทึก ขอ มูลย้อนหลังทั้งหมดได้อยางโปรง ใส 2. ขอมูลภายใน Blockchain นี้จะถูกกระจายไปจัดเก็บบน Hardware หลายๆ เครื่องซ่ึงเราจะเรียก Hardware แตล ะ ชุดน้ีวา Node โดยจะมีการรับประกันว่า ขอ มูลเหลาน้ันจะเหมือนกันทั้งหมด ซึ่ง Node เหลา นี้จะเก็บเอาไวใ นองคกร เดียวกัน หรือกระจายช่วยกันเก็บในหลายองคก รก็ไดเช่นกัน 3. การบันทันทึกขัอมูลใดๆ ลงไปใน Blockchain น้ันจะต้องไดร ับการตรวจสอบ และยืนยันจาก Node อื่นๆ ตามเงื่อนไข การตรวจสอบที่กําหนด ก่อนที่จะมีการ บันทึกขอ มูลเหลานั้นเขาระบบและกระจายให Node ตา งๆ บันทึกขอมูลชุด เดียวกันลงไป เพื่อให้สามารถปรับใชง านได้ตามความต้องการ 4. รองรับการเขารหัสสําหรับขอ มูลแตล ะชุดได ดังนั้นถึงแมข อ มูลของเราจะถูก กระจายไปยัง Node อื่นๆ และอาจถูก บางคนมองเห็น แตค นอนื่ ๆ ก็ จะไมส ามารถถอดรหัสขอความของเราได นอกจากตัวเราเอง และผูที่เกี่ยวขอ งกับ ขอมูลเหลานี้ที่เราอนุญาตใหเ ขา ถึงได้เทา นั้น

Bitcoin (บิทคอยน์ กับ Blockchain (บล็อกเชน เกี่ยวข้องกันอย่างไร บล็อกเชน เปน เทคโนโลยี ดา นความปลอดภัยของขอ มูล บิทคอยน วาดว ยเรื่องสกุล เงินบนโลกดิจิตอล จะเห็นไดวา บล็อกเชน ไมใ ช บิทคอยน และบิทคอยน ก็ไมใชบล็อกเชน แตโ มเดลบิท คอยน มีความตอ งการนํา เทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช เพื่อใหก ารซื้อขายสกุลเงิน ดิจิตอลนี้ มีความปลอดภัย และเพราะวา บล็อกเชน วา ดวยเรื่องความปลอดภัยของขอมูล ดังนั้นมันจึงเปนเรื่อง ที่เกี่ยวขอ งไดกับทุก อุตสาหกรรม ไมเจาะจงเฉพาะบิทคอยน หรือ FinTech เพียง แตเทคโนโลยีนี้เรียกไดว า สงผลกระทบตอ วงการ FinTech คอนขางเห็นไดชัดเจน และ การบูมของเทคโนโลยีตัวนี้ มาจากความพยายามในการทําบิทคอยน์

หน่วยที่ 4 ธุรกรรม ในธุรกิจ ดิจิตอล

1.ความหมายของธุรกรรมในธุรกิจดิจิทัล ธุรกรรม ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า transaction (อ่านว่า แทรน-แซก-ชั่น หมายถึง การประกอบกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะด้า ธุรกิจและการเงิน ธุรกิจดิจิทัล หมายถึง การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่เพื่อ เพิ่มความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในการ เลือกซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ https://ciba.dpu.ac.th/program/bachelor/informationsystem/

2. การทำธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม (Platform Business) การทำธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม (Platform Business) ได้ Geoffrey Parker, Marshal Van Alstyne และ Sanged Choudary ซึ่งเป็นผู้แต่งหนังสือที่มีซื่อว่า Platform Revolutioได้นิยามคำว่า Platform Business คือ โมเดลทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าจากการอำนวยความสะดวกให้ เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างกลุ่มคนหรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป โดยทั่วไปก็ดี กลุ่ม หนึ่งเป็นผู้บริโภคและอีกกลุ่มเป็นผู้ผลิต https://www.live-platforms.com/knowledge/1/7704

3.นวัตกรรมกับธุรกิจดิจิทัล เป็นการสร้างผลิตภัณฑ์ การให้บริการ หรือกระบวนการรูปแบบใหม่ อาศัยข้อมูล ข่าวสารและการดำเนินการทางด้านเทคโนโลยีโดยมีเครื่องมือ(Tools) หรือแอปพลิ เคชั่นโปรแกรม (ApplicationProgram) เข้ามาช่วยในการบริหารจัดการ จัดเก็บ รวบรวม วิเคราะห์ พยากรณ์ข้อมูล เพื่อช่วยให้การดำเนินธุรกิจหรือการค้าของตนเอง ได้เปรียบเชิงการแข่งขัน สร้างผลกำไรและสนองตอบต่อความต้องการให้กับลูกค้าเป็น หลักfacebook การเป็นเจ้าของแพลตฟอร์มไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์ในสินค้าและบริการที่เกิด ขึ้น แต่จะทำหน้าที่ในการเป็นผู้ที่จัดหาและอำนวยความสะดวก ดังต่อไปนี้ 1.การวางโครงสร้างพื้นฐานการออกแบบกฎเกณฑ์และบริหารจัดการสิ่งที่เกิดขึ้นบนพื้นที่ 2.การดำเนินการสร้างกลุ่มผู้ใช้งานให้เกิดขึ้น 3.การดำเนินการบริหารจัดการ จัดเก็บ และส่งต่อของคุณค่าและข้อมูลE9Sh TbBL ZhTE EZTh 3.การเปรียบเทียบระหว่าง ธุรกิจเเบบดั้งเดิมกับธุรกิจ เเบบเเฟลตฟอร์ม ธุรกิจดั้งเดิมในกลุ่มผู้ผลิตจะดำเนินการ การจัดหาวัตถุดิบ การประกอบ การผลิต การจัด จำหน่ายทำการส่งต่อกลุ่มผู้บริโภค ซึ่งธุรกิจแบบดั้งเดิมจะมีลักษณะเป็นเจ้าของสินทรัพย์และ ทรัพยากรเน้นกระบวนการทางอุปทาน (Supply) การผลิตสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นกระบวน การภายในของห่วงซ่อุปทานส่วนแพลตฟอร์ม จะเน้นกระบวนการภายนอกของห่วงโซ่อุปทาน การสร้างและครอบครองกระบวนการในทางอุปสงค์ (Demand)

5. เเพลตฟอร์มโมเดลธุรกิจ ระบบนิเวศใหม่ของธุรกิจแบบแพลตฟอร์ม รูปแบบในการหารายได้มีหลากหลายรูปแบบ ส่วนมากจะเป็นการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จาก คุณค่าที่เกิดขึ้นจากการปฏิสัมพันธ์ของ กลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งานตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไป รูปแบบการหารายได้จะไม่มีผลต่อการลด จำนวนของการปฏิสัมพันธ์และจำนวนกลุ่มลูกค้าหรือผู้ใช้งาน โดยมีรูปแบบของ แพลตฟอร์มดังนี้

6.โมเดลธุรกิจ (Business Model Canvas) การที่จะทราบรายละเอียดของกิจการว่าประกอบกิจการ อะไร ขายอะไร กลุ่มลูกค้าคือใคร ค่าใช้จ่ายอะไร และอื่น ๆ ที่ดูแล้วทราบรายละเอียดของกิจการว่ามีการเชื่อมอะไรบ้าง ก็จะเป็นโมเดลทางธุรกิจ (Business Model Canvas) จะ เป็นลักษณะของเทมเพลต (Template) โมเดลธุรกิจที่มี ส่วนประกอบกัน 9 ต้าน ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานในกลุ่ม ธุรกิจต่าง ๆ และได้รับความนิยมจากนักการตลาดและ SMEsใช้เป็นเครื่องมือพื้นฐาน แสดงแผนภูมิภาพ Business Model Canvas 7.ธุรกรรมการซื้อขายสินค้าเเละบริการในธุรกิจดิจิทัล การซื้อขายสินค้าและบริการเป็นสิ่งที่มีความคัญของธุรกิจและเป็นธุรกรรมในธุรกิจ ดิจิทัลด้วยซึ่งจะก่อให้เกิด รายได้เข้าธุรกิจโดยทำการเเยกธุรกิจดิจิทัลตามแพลตฟอร์ม เป็นกลุ่มดังต่อไปนี้ 1.กลุ่มโมเดลการแลกเปลี่ยนหรือ Marketplace เช่น Grab Airbnb เป็นต้น 2.กลุ่มโฆษณา เช่น YouTube Instagram Facebook 3.กลุ่มค่าธรรมเนียมจากการใช้บริการ เช่น PayPal AliPay 4.กลุ่มระบบเก็บค่าสมาชิก (Subscription) เช่น Netflix ifix HOOQ VIU 5.กลุ่มฟรีเมียม (Freemium) เช่น Spotify Joox 6.กลุ่มโมเดลทางระบบนิเวศ เช่น แพลตฟอร์มของ iOS และ Android

8. การชำระเงินออนไลน์ การโอนเงิน กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Wallet) พร้อมเพล์ บริการชำระบิลข้ามธนาคาร (Croos-Bank Bill payment) Mobile Payment https://www.webpakpay.com/industry/detail/4/4.ts

หน่วยที่ 5 สื่อสังคม ออนไลน์กับธุรกิจ ดิจิทัล

1.ความหมายของสื่อสังคมออนไลน์กับธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจดิจิทัล หมายถึง การนำเทคโนโลยี ต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่เพื่อเพิ่ม ความสะดวกสบายให้ทั้งผู้ประกอบการและ ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการ ต่าง ๆ สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (Office of the Royal Society) ให้ความหมายสื่อสังคม หมายถึงการ สื่อสารของมนุษย์ได้รับการพัฒนาให้สื่อสารถึงกัน อย่างรวดเร็ว อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าด้าน เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่ได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์ มากขึ้น สื่อชนิดหนึ่งที่ผู้ใช้สามารถมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความ คิดเห็นต่าง ๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้

2.คุณลักษณะของสื่อสังคมออนไลน์ 1.สื่อสังคมออนไลน์เป็นอินเทอร์เน็ตแอปพลิเคชั่น 2.เนื้อหาในสื่อสังคมออนไลน์ถูกสร้างโดยผู้ใช้งานสื่อสังคม 3.ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์สามารถสร้างข้อมูลส่วนตัวที่เป็นตัวแทนของผู้ใช้งานบนเว็บไซต์ 4.สื่อสังคมออนไลน์ช่วยในการสร้างกลุ่มสังคมออนไลน์ https://researchcafe.org/social-media-think-differently/

3. ความแตกต่างของสื่อสังคมออนไลน์กับสื่อประเภทอื่น 1.การกระจายตวัของเน้ือหาบนสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งเป็นแบบไวรลั(Viral) 2.การที่เนื้อหาบนสื่อสังคมออนไลน์สามารถถูกเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา 3.ปริมาณเน้ือหาบนสื่อสังมออนไลน์มีจำนวนมาก การที่เนื้อหาบนสื่อสังคม ออนไลน์สามารถถูกดัดเเปลงลงแก้ไขได้ตลอดเวลา 4. ประเภทสื่อสังคอมออนไลน์ ส่ือสังคมออนไลน์ได้มีความก้าวหน้าอย่างมากมีการ สนับสนุนทางด้าน เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารต่าง ๆ อาทิ การ live รายการต่าง ๆ ที่มีการปรับ ปรุงด้านความ ปลอดภัยโดยการใช้โพลโตคอล https แทน http เพื่อเพิ่ม ความมั่นในการใช้สื่อสังคมออนไลน์

5. หน้าที่ของสื่อสังคมออนไลน์ 6. ผลกระทบของสื่อสังคมออนไลน์ในธุรกิจดิจิตอล ในยุคดิจิทัลผลิตภัณฑ์ที่ผู้ผลิตสร้างขึ้นมามีความ จำเป็นที่จะต้องทำการตอบโจทย์ของผู้ใช้สินค้าและผู้ใช้ มีผลย้อนกลับที่ดีก็จะทำให้มีคนมาซื้อสินค้าอีกก็จะ กลายเป็นวัฏจักรการบริโภค

หน่วยที่ 6 ธุรกิจ ดิจิทัลโมไบล์

1.ความหมายของธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ ธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ (Digital Mobile Business) เป็นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่าง ๆ และอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ในการพกพาเข้ามาพัฒนาธุรกิจเพื่ออำนวยความสะดวก ให้แก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภค 2.คุณลักษณะธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ สามารถสร้างสินด้าหรือบริการใหม่ ที่เรียกว่าการบูรณาการในแนวตั้ง (Vertical integration) สามารถสร้างตลาดหลายด้าน (Multi-sided markets) สามารถสร้างการผูกขาดของธุรกิจ สามารถสนับสนุนให้ผู้ใช้งานทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้ง่าย สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันระบบการให้บริการได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน สามารถรองรับมไบล์แอปพลิเคชันสำหรับบริการธุรกิจดิจิทัลจากหลากหลายผู้ให้บริการ หรือนักพัฒนาแอปพลิเดชั่นทั่วไปได้ สามารถรองรับเทคโนโลยีหรือเทคนิคใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา สามารถคงรักษาข้อมูลธุรกรรมสำคัญต่าง ๆ ไว้ได้

3.โครงสร้างของระบบธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ กลุ่มผู้ใช้งาน มีรายละเอียดดังนี้ 01 โครงสร้างพื้นฐานการเชื่อมต่อ 02 เครือข่ายเคลื่อนที่ไร้สายมิดเดิลแวร์ของระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สาย โมบายมิดเดิลแวร์ เป็นชอฟต์แวร์ที่ทำการเชื่อมต่อการใช้งานระหว่าง ระบบปฏิบัติการหรือเชื่อมแอปพลิเคชันที่แตกต่างกันคือเป็นซอฟด์แวร์ที่ทำงานกัน ระหว่างระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สายประเภทต่าง ๆ และ แอปพลิเคชันหรือโมบายแอปพลิเคชันที่ติดตั้งอยู่บนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้ สายเหล่านั้น สามารถเชื่อมต่อประสาน (Interface) เข้ากับอุปกรณ์ที่มีระบบปฏิบัติการ หรือแอปพลิเคชันที่ต่างกันได้เพื่อให้การใช้งานสามารถใช้งานต่อไปได้อย่างอัดโนมัติ กลุ่มนักพัฒนาระบบและองค์กรธุรกิจ มีรายละเอียดดังนี้ 03 โครงสร้างพื้นฐานระบบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สาย 04 แอปพลิเคชันธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ 05 การให้บริการธุรกรรมต่าง ๆ 06 การให้ข้อมูลเเละเนื้อหาต่างๆ 07 การพัฒนาแอปพลิเคชัน https://www.sub-brain.com/business/digital-business/

4.แอปพลิเคชันของกลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านสุขภาพ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการจราจร กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการวางเเผนทรัพยากรองค์กร กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านความบันเทิง กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการศึกษา กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการคลังเเละการขนส่ง กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์ด้านการประกัน กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโมไบส์การค้าขาย

5.การประยุกต์เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ ช่องทางการทำธุรกิจดิจิทัลโมไบล์ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เคลื่อนที่ไร้สาย การตลาดเคลื่อนที่ (Mobile Marketing) การใช้โมไบล์คูปอง การชำระเงินเคลื่อนที่ ผู้ช่วยส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Assistant) การสร้างความภักดีในตัวสินค้าและการบริการเคลื่อนที่ (Mobile Loyalty) การให้บริการของธุรกิจแบบเคลื่อนที่

หน่วยที่ 7 ความมั่นคง ปลอดภัยในการทำ ธุรกรรมดิจิทัล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook