หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน / รายวิชาเพิ่มเติม ระดับชั้น ม.ปลายระดับชั้น ม.ปลาย คูมือครู , หลักสูตรแกนกลางฯ 51 ทั้งฉบับอนุญาต (อญ.) และฉบับประกันฯ 㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº ตามที่ ศธ. ประกาศขึ้นเว็บไซต ตั้งแต ม.ค. 2555 เปนตนไป ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ©ºÑº ÍÞ. เพื่อใหสถานศึกษาเลือกใชในปการศึกษา 2555 ·Õè ȸ. ¨Ð»ÃСÒÈÃÒ¡Òú¹àÇçºä«µ µÑé§áµ‹ Á. ¤. ’55 ໚¹µŒ¹ä» รายการที่ ศธ. อนุญาตใหโรงเรียนใชได รายการที่ ศธ. จะประกาศบนเว็บไซต (โปรดดูรายการจากประกาศบนเว็บไซตของ ศธ. ในป 2553-2554) ตั้งแต ม.ค. 2555 เพื่อใหโรงเรียนใชได ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ม.4 ม.5 ม.6 หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย หลักภาษาและการใชภาษา อญ. อญ. อญ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม อญ. อญ. อญ. หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ วรรณกรรมทองถิ่น ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ การแตงคำประพันธ ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ชีวิตกับสิ่งแวดลอม ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สารและสมบัติของสาร ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน กระบวนการเปลี่ยนแปลงของโลก ดาราศาสตรและอวกาศ ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา อญ. อญ. อญ. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน พระพุทธศาสนา ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ¾Åѧ§Ò¹ Á. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน หนาที่พลเมืองฯ ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เศรษฐศาสตร ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ประวัติศาสตรไทย ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ประวัติศาสตรสากล ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ภูมิศาสตร ม.4-6 อญ. (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ ศาสนาสากล ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) - หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ กฎหมายที่ประชาชนควรรู ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) ๖ ๔ Á. หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ โลกศึกษา ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ ประชากรกับสิ่งแวดลอม ม.4-6 ประกันฯ (ชวงชั้น) หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษา ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน พลศึกษา ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ทัศนศิลป ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน ดนตรี ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน นาฏศิลป ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน การงานอาชีพและเทคโนโลยี ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน Upstream ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ แบบฝกหัด รายวิชาพื้นฐาน Upstream ประกันฯ ประกันฯ ประกันฯ หนังสือเรียน รายวิชาเพิ่มเติม ชุดเพิ่มศักยภาพ ภาษาอังกฤษ เสริมสรางสมรรถนะการอาน Mastery in Reading 1-3 (3 เลม) ประกันฯ (ชวงชั้น) ͨ·. ¨Ñ´·Ó “¤Ù‹Á×ͤÃÙ” ãˌ㪌»ÃСͺ¡ÒÃÊ͹ËÇÁ¡Ñº “˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹” ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ ·Ø¡àÅ‹Á ·Ø¡¡ÅØ‹ÁÊÒÃÐ ·Ø¡ªÑé¹»‚ ·Õè ȸ. »ÃСÒÈãËŒâçàÃÕ¹㪌䴌 คูมือครู คูมือครู คูมือครู คูมือครู คูมือครู แรงและการเคลื่อนที่ฯ ม.4-6 (โปรดดูราคาหนังสือเรียนจากประกาศบนเว็บไซตของ ศธ. หรือดูจากใบสั่งซื้อของ อจท. ปี ’55) 8 858649 113764 ภาพปกนี้มีขนาดเทากับหนังสือเรียนฉบับจริงของนักเรียน
เอกสารประกอบคูมือครู กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร รายวิชา สําหรับครู แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 ประกอบดวยประกอบดวย เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 เอกสารหลักสูตรแกนกลางฯ ’51 ● คําแนะนําการใชคูมือครูคําแนะนําการใชคูมือครูคําแนะนําการใชคูมือครูคําแนะนําการใชคูมือครู ● แถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครูแถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครูแถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครูแถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครูแถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครูแถบสี/สัญลักษณที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ● ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลางตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง ● คําอธิบายรายวิชาคําอธิบายรายวิชา ● ตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรูตารางวิเคราะหเนื้อหากับมาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัด ● เฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอนเฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอนเฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอนเฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอนเฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอนเฉลยกิจกรรมสําหรับผูสอน * ตารางแสดงความแตกตางระหวาง “คูมือครู” กับ “หนังสือเรียน ” ความแตกตาง คูมือครู หนังสือเรียน ขนาดตัวอักษร ยอลงจากปกติ 30% ขนาดปกติ 100% : ตัวอักษรใหญกวา ที่พิมพในคูมือครูนี้ ปกดานหลัง - มีใบอนุญาต/ใบประกันคุณภาพ ระบบการจัดพิมพ พิมพ 4 สี พิมพ 4 สี สวนเสริมดานหนา มี เอกสารหลักสูตร - ● ● คําอธิบายรายวิชา เนื้อหาในเลม มี กิจกรรมแบบ 5E มีเฉพาะเนื้อหาสาระตามที่ ศธ. ● พิมพสอดแทรกไวตลอดทั้งเลม อนุญาตฯ/สนพ.ประกันคุณภาพ ความรูเสริมสําหรับครู ● * ที่ ศธ. อนุญาตใหโรงเรียนใชได
คําแนะนําการใชคูมือครู : การจัดการเรียนรูสูหองเรียนคุณภาพ 1) ความรูเดิมของนักเรียน 2) ความรูเดิมของนักเรียนถูกตอง 3) นักเรียนสรางความหมาย คูมือครู แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 จัดทําขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการวางแผน การสอนที่ดีจึงตองเริ่มตนจากจุดที่วา หรือไม ผูสอนตองปรับเปลี่ยนความรู สําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมให นักเรียนมีความรูอะไรมาบาง แลวจึงให ความเขาใจเดิมของนักเรียนใหถูกตอง นักเรียนนําขอมูลความรูที่ไดไปลงมือ และเตรียมการสอนโดยใชหนังสือเรียน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด ความรูหรือประสบการณใหมเพื่อตอยอด และเปนพฤติกรรมการเรียนรูใหมที่มี ปฏิบัติ และประยุกตใชความรูอยาง เสร�ม เปนสื่อหลัก(Core Material) ประกอบการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู จากความรูเดิม คุณคาตอนักเรียน เพื่อสรางเจตคติหรือ ถูกตอง ในบริบทที่เปนจริงของชีวิต เสร�ม 3 2 และตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยจัดทํา ทัศนคติที่ดีตอการเรียน นักเรียน เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและ ตามหลักการสําคัญ ดังนี้ มีคุณคาตอตัวนักเรียนมากที่สุด 1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน 1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 จัดทําเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระการเรียนรูที่ระบุ แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง ไวในมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศการเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความ Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณความรูใหม ผูเรียนจะพยายามปรับขอมูลใหม ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนเปาหมาย กับประสบการณที่มีอยูเดิม แลวสรางเปนความรูใหมหรือแนวคิดใหมๆ ไดดวยตนเอง การเรียนรูของแตละหนวยการเรียนรู (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลการจัดการเรียนการสอนไดอยางมั่นใจ 3. การบูรณาการกระบวนการคิด มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรู การเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่รูคิด ภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และ มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐานการเรียนรู ตัวชี้วัดชั้นป ตัวชี้วัดชั้นป ตัวชี้วัดชั้นป ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของนักเรียน การจัดกระบวนการ ตัวชี้วัดชั้นป ตัวชี้วัดชั้นป ตัวชี้วัดชั้นป เรียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผูเรียนนั้น จะชวยกระตุนใหสมองรับรูและสามารถเรียนรูไดอยางมี ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย 2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ 3) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ ทักษะการคิด ทักษะการคิด ทักษะการคิด ทักษะการคิด ทักษะการคิด การสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง สิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจาก ปฏิบัติ จนคนพบความรูความเขาใจได วิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือ เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสาน การวัดประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู อยางรวดเร็ว ตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้น กับความรู หรือประสบการณเดิมที่ถูก การเรียนรู การเรียนรู ในขณะที่เรียนรู จัดเก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรอง เพื่อสังเคราะหเปนความรูความเขาใจ ใหมๆ หรือเปนเหตุผลทัศนคติใหมที่จะ ฝงแนนในสมองของผูเรียน เทคนิคการสอน จุดประสงคการเรียนรู สภาพผูเรียน แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะ เกิดขึ้นเมื่อสมองรูคิดและตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมอง โดยเริ่มตนจาก 2. การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ 1) ระดับการคิดขั้นพื้นฐาน ไดแก 2) ระดับลักษณะการคิด ไดแก 3) ระดับกระบวนการคิด ไดแก แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ พัฒนามาจากปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดหลากหลาย กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสราง การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล คิดไกล คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิด ความรูโดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดพบเห็นกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู การสรุปผล เปนตน เปนตน สรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา นักเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีความรูความเขาใจสิ่งตางๆ ติดตัวมากอนที่จะเขาสู วิจัย เปนตน หองเรียน ซึ่งเปนการเรียนรูที่เกิดจากบริบทและสิ่งแวดลอมรอบตัวนักเรียนแตละคน ดังนั้นการจัดกระบวนการเรียนรู ในแตละบทเรียน ผูสอนจะตองคํานึงถึง คูมือครู คูมือครู
คําแนะนําการใชคูมือครู : การจัดการเรียนรูสูหองเรียนคุณภาพ 1) ความรูเดิมของนักเรียน 2) ความรูเดิมของนักเรียนถูกตอง 3) นักเรียนสรางความหมาย คูมือครู แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 จัดทําขึ้นเพื่ออํานวยความสะดวกแกครูผูสอนในการวางแผน การสอนที่ดีจึงตองเริ่มตนจากจุดที่วา หรือไม ผูสอนตองปรับเปลี่ยนความรู สําหรับตนเอง ผูสอนตองสงเสริมให นักเรียนมีความรูอะไรมาบาง แลวจึงให ความเขาใจเดิมของนักเรียนใหถูกตอง นักเรียนนําขอมูลความรูที่ไดไปลงมือ และเตรียมการสอนโดยใชหนังสือเรียน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 ของบริษัท อักษรเจริญทัศน อจท. จํากัด ความรูหรือประสบการณใหมเพื่อตอยอด และเปนพฤติกรรมการเรียนรูใหมที่มี ปฏิบัติ และประยุกตใชความรูอยาง เสร�ม เปนสื่อหลัก(Core Material) ประกอบการออกแบบกิจกรรมการเรียนรูใหสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรู จากความรูเดิม คุณคาตอนักเรียน เพื่อสรางเจตคติหรือ ถูกตอง ในบริบทที่เปนจริงของชีวิต เสร�ม 3 2 และตัวชี้วัดกลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 โดยจัดทํา ทัศนคติที่ดีตอการเรียน นักเรียน เพื่อขยายความรูใหลึกซึ้งและ ตามหลักการสําคัญ ดังนี้ มีคุณคาตอตัวนักเรียนมากที่สุด 1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน 1. ออกแบบการสอนเปนหนวยการเรียนรูอิงมาตรฐาน คูมือครู แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ม.4-ม.6 จัดทําเปนหนวยการเรียนรูตามลําดับสาระการเรียนรูที่ระบุ แนวคิด Constructivism เนนใหผูเรียนสรางความรูโดยผานกระบวนการคิดและความอยากรูของตนเอง ไวในมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด แตละหนวยจะกําหนดเปาหมายการสอนและจุดประสงคการเรียนรู (Objective โดยมีผูสอนเปนผูสรางบรรยากาศการเรียนรูและกระตุนความสนใจ คอยจัดสถานการณใหผูเรียนเกิดความ Learning) กิจกรรมการเรียนรู (Learning Activities) และแนวทางการประเมินผลการเรียนรู (Learning Evaluation) ขัดแยงทางความคิดระหวางประสบการณเดิมกับประสบการณความรูใหม ผูเรียนจะพยายามปรับขอมูลใหม ไวชัดเจน ครูผูสอนสามารถจัดทําแผนการสอนใหครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนเปาหมาย กับประสบการณที่มีอยูเดิม แลวสรางเปนความรูใหมหรือแนวคิดใหมๆ ไดดวยตนเอง การเรียนรูของแตละหนวยการเรียนรู (ตามแผนภูมิ) และสามารถบันทึกผลการจัดการเรียนการสอนไดอยางมั่นใจ 3. การบูรณาการกระบวนการคิด การเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่รูคิด ภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และรเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่รูคิด ภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และรเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่รูคิด ภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และรเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่รูคิด ภายใตสภาพแวดลอมที่เอื้ออํานวย และรเรียนรูของนักเรียนแตละคนจะเกิดขึ้นที่สมองซึ่งทําหนาที่ มาตรฐานการเรียนรู กา กา กา กา กา ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความตองการของนักเรียน การจัดกระบวนการองการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน องการของนักเรียน ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต ตัวชี้วัดชั้นป ไดรับการกระตุนจูงใจอยางเหมาะสมสอดคลองกับสภาพจิตใจและความต เรียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผูเรียนนั้น จะชวยกระตุนใหสมองรับรูและสามารถเรียนรูไดอยางมีียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผูเรียนนั้น จะชวยกระตุนใหสมองรับรูและสามารถเรียนรูไดอยางมีียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผูเรียนนั้น จะชวยกระตุนใหสมองรับรูและสามารถเรียนรูไดอยางมีียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผูเรียนนั้น จะชวยกระตุนใหสมองรับรูและสามารถเรียนรูไดอยางมีียนรูและสาระการเรียนรูที่มีความหมายตอผู เร เร เร เร เร เร เร เร ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ ประสิทธิภาพตามขั้นตอนการทํางานของสมอง ดังนี้ 1 1 1 2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ2) สมองจะแยกแยะคุณคาของ 3) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ ) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ ) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ ) สมองจะประมวลเนื้อหาสาระ 1) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย) สมองจะเรียนรูและสืบคนโดย 3 3 3 ทักษะการคิด การสังเกต การสังเกต คนหา ซักถาม และทดลอง สิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจากสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษคนหา ซักถาม และทดลอง สิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ โดยการสรุปเปนความคิดรวบยอดจากสิ่งตางๆ โดยการลงมติ ตัดสินใจ วิพากษ ปฏิบัติ จนคนพบความรูความเขาใจได วิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือ เรื่องราวที่ไดเรียนรูใหมนําไปผสมผสานวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือวิจารณ แสดงความคิดเห็น ยอมรับหรือ การวัดประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู อยางรวดเร็ว ตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้น กับความรู หรือประสบการณเดิมที่ถูกตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้นตอตานตามอารมณความรูสึกที่เกิดขึ้น จัดเก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรองัดเก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรองัดเก็บอยูในสมอง ผานการกลั่นกรอง การเรียนรู ในขณะที่เรียนรูในขณะที่เรียนรูในขณะที่เรียนรูในขณะที่เรียนรูในขณะที่เรียนรู จ จ เพื่อสังเคราะหเปนความรูความเขาใจื่อสังเคราะหเปนความรูความเขาใจื่อสังเคราะหเปนความรูความเขาใจ เพ เพ ใหมๆ หรือเปนเหตุผลทัศนคติใหมที่จะ ฝงแนนในสมองของผูเรียน เทคนิคการสอน จุดประสงคการเรียนรู สภาพผูเรียน แผนภูมิแสดงองคประกอบของการออกแบบการเรียนรูอิงมาตรฐานและเนนผูเรียนเปนสําคัญ การเรียนรูที่มีประสิทธิภาพจึงตองเปนการเรียนรูที่เกิดจากกระบวนการคิดของผูเรียน เพราะการเรียนรูจะ เกิดขึ้นเมื่อสมองรูคิดและตองเปนการคิดไดครบถวนตามขั้นตอนการทํางานของสมอง โดยเริ่มตนจาก 2. การจัดการเรียนรูที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ 1) ระดับการคิดขั้นพื้นฐาน ไดแก 2) ระดับลักษณะการคิด ไดแก 3) ระดับกระบวนการคิด ไดแก แนวคิดในการจัดการเรียนการสอนที่ยึดผูเรียนเปนสําคัญ พัฒนามาจากปรัชญาและทฤษฎีการเรียนรู การสังเกต การจําแนก การคาดคะเน การคิดกวาง คิดลึกซึ้ง คิดหลากหลาย กระบวนการคิดอยางมีวิจารณญาณ Constructivism ที่เชื่อวาการเรียนรูเปนกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในสมองของผูเรียนแตละคน ผูเรียนเปนผูสราง การสื่อความหมาย การรวบรวมขอมูล คิดไกล คิดคลอง คิดอยางมีเหตุผล กระบวนการแกปญหา กระบวนการคิด ความรูโดยการเชื่อมโยงระหวางสิ่งที่ไดพบเห็นกับความรูหรือประสบการณเดิมที่มีอยู การสรุปผล เปนตน เปนตน สรางสรรค กระบวนการคิดสังเคราะห ทฤษฎีนี้มีความเชื่อวา นักเรียนทุกคนไดเรียนรูและมีความรูความเขาใจสิ่งตางๆ ติดตัวมากอนที่จะเขาสู วิจัย เปนตน หองเรียน ซึ่งเปนการเรียนรูที่เกิดจากบริบทและสิ่งแวดลอมรอบตัวนักเรียนแตละคน ดังนั้นการจัดกระบวนการเรียนรู ในแตละบทเรียน ผูสอนจะตองคํานึงถึง คูมือครู คูมือครู
4. การบูรณาการกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ ท 2.1 ม.1/8 เขียนรายงานการศึกษาคนควาและโครงงาน กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสงเสริมการเรียนพื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเสริมสรางทักษะที่ ท 1.1 ม.4-6/8 สังเคราะหความรูจากการอานสื่อสิ่งพิมพ สื่ออิเล็กทรอนิกส และแหลงเรียนรู จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพ และดํารงชีวิตในสังคมทองถิ่นของผูเรียนอยางมีความสุข และเปนการเตรียมความพรอม ตางๆ มาพัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรูทางอาชีพ เสร�ม ดานกําลังคนใหมีทักษะพื้นฐานและศักยภาพในการทํางาน เพื่อการแขงขันและกาวสูประชาคมอาเซียนหรือประชาคมโลก ท 2.1 ม.4-6/4 ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบตางๆ เสร�ม 5 4 ตอไป ท 2.1 ม.4-6/5 ประเมินงานเขียนของผูอื่น แลวนํามาพัฒนางานเขียนของตนเอง 4.1 ทักษะพื้นฐานเพื่อการประกอบอาชีพ การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผูเรียนในรายวิชาพื้นฐาน การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตน จะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพ ทุกกลุมสาระการเรียนรูและทุกระดับชั้นเรียน ผูสอนควรบูรณาการประสบการณการเรียนรูพื้นฐานอาชีพควบคู ทุกอาชีพ และเปนการปูทางไปสูอาชีพเฉพาะเกี่ยวกับการเขียน เชน นักเขียน นักประพันธ นักหนังสือพิมพ ไปกับการเรียนการสอนดานวิชาการ โดยฝกทักษะสําคัญตามที่สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สวก.) นักวิจารณ เปนตน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอแนะไว ดังนี้ 2. กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร 1. ฝกทักษะกระบวนการคิด มีการวางแผนตลอดแนว เพื่อศึกษาขอมูลอาชีพ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรมุงเนนการพัฒนาผูเรียนในการเชื่อมโยงความรูกับกระบวนการ 2. ฝกการตัดสินใจอยางเปนระบบ โดยใชขอมูลจากการศึกษา คนควาแหลงเรียนรูในชุมชน เพื่อลดความ มีทักษะสําคัญในการคนควาและสรางองคความรู พัฒนาวิธีการคิด ทั้งความคิดที่เปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค เสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มความมั่นใจเรื่องการตลาด คิดวิเคราะห วิจารณ โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหาที่หลากหลาย เพื่อใหมีความรู 3. ฝกกระบวนการวางแผน การผลิต และการจัดจําหนาย โดยนักเรียนคิดตนทุน กําไรดวยตนเอง ความเขาใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี นําความรูไปใชอยางมีเหตุผล มีคุณธรรม และอยูในสังคมแหงการเรียนรู 4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุม โดยมีจิตอาสาเพื่อ4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุม โดยมีจิตอาสาเพื่อ4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุม โดยมีจิตอาสาเพื่อ 4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุม โดยมีจิตอาสาเพื่อ ไดอยางเหมาะสม โดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน สวนรวม ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ 5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต 5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต5. ว 1.1 ม.2/4 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุง 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ การจัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง การจ การจ การจ การจ การจัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง ัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง ัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง ัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง ัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะ มีทักษะ ความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสูความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสูความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสูความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสูความสามารถ ม ม ม ม ม ม มีทักษะ ความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสููีทักษะ ีทักษะ ีทักษะ ีทักษะ ีทักษะ ีทักษะ และนําความรูไปใชประโยชน ตลาดแรงงานในอนาคต การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่ 4.2 การจัดกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ การจัดกระบวนการเรียนรูมีความสําคัญอยางยิ่งที่จะชวยให 4.2 การจัดกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ การจัดกระบวนการเรียนรูมีความสําคัญอยางยิ่งที่จะชวยใหการจัดกระบวนการเรียนรูมีความสําคัญอยางยิ่งที่จะชวยให นักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียน เกี่ยวกับเกษตรกร วิทยาศาสตร การเกษตร นักวิจัย เปนตน น น น น น น น น น น น นักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียนักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียนักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียนักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียนักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียนักเรียนมีการพัฒ 3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานท ดานทักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ ดานทักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ ักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ ักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ ักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ ักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะน เทคนิควิธีการตางๆ ที่ผูสอนจะตองพิจารณาใหเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาและวัยของผูเรียน โดยใหความสําคัญกับ กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมมุงเนนการพัฒนาใหผูเรียนมีความรูความ การฝกปฏิบัติและเนนการวัดประเมินผลจากการปฏิบัติตามสภาพจริง ดวยวิธีการที่จัดกิจกรรมการบูรณาการ เขาใจเกี่ยวกับการดํารงชีวิตของมนุษย การอยูรวมกันในสังคมที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธกัน มีความแตกตางกัน ใหเหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผูเรียน สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดของกลุมสาระตางๆ อยางหลากหลาย สามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยูอยางจํากัด และเขาใจการเปลี่ยนแปลง เพื่อชวยใหสามารถปรับ ที่กําหนดไวในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 การวิเคราะหมาตรฐานและตัวชี้วัดที่จะนําไป ตนเองกับบริบทและสภาพแวดลอม เปนพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู ทักษะ คุณธรรม และคานิยมที่ จัดเนื้อหาความรูและทักษะ เพื่อพัฒนาผูเรียนดานพื้นฐานอาชีพ ดังตัวอยางตอไปนี้ เหมาะสม มีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ เชน 1. กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ส 4.3 ม.1/3 วิเคราะหอิทธิพลของวัฒนธรรมและภูมิปญญาไทยสมัยสุโขทัยและสังคมไทยใน กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทยมุงเนนการพัฒนาใหผูเรียนมีความรูความสามารถในการใชภาษาไทย ปจจุบัน เพื่อการสื่อสาร เปนเครื่องมือในการเรียนรู การแสวงหาความรู และประสบการณตางๆ เพื่อพัฒนาความรู ส 4.3 ม.2/3 ระบุภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี และอิทธิพลของภูมิปญญา กระบวนการคิดวิเคราะห วิจารณ และสรางสรรค ใหทันตอการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความกาวหนาทาง ดังกลาวตอการพัฒนาชาติไทยในยุคตอมา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี จึงเปนกลุมสาระการเรียนรูที่เปนทักษะพื้นฐานการประกอบอาชีพทุกอาชีพ ตัวชี้วัดที่ ส 4.3 ม.3/3 วิเคราะหภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร และอิทธิพลตอการพัฒนา สามารถนํามาพัฒนาทักษะอาชีพ เชน ชาติไทย คูมือครู คูมือครู
4. การบูรณาการกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ ท 2.1 ม.1/8 เขียนรายงานการศึกษาคนควาและโครงงาน กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายสงเสริมการเรียนพื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อเสริมสรางทักษะที่ ท 1.1 ม.4-6/8 สังเคราะหความรูจากการอานสื่อสิ่งพิมพ สื่ออิเล็กทรอนิกส และแหลงเรียนรู จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพ และดํารงชีวิตในสังคมทองถิ่นของผูเรียนอยางมีความสุข และเปนการเตรียมความพรอม ตางๆ มาพัฒนาตน พัฒนาการเรียน และพัฒนาความรูทางอาชีพ เสร�ม ดานกําลังคนใหมีทักษะพื้นฐานและศักยภาพในการทํางาน เพื่อการแขงขันและกาวสูประชาคมอาเซียนหรือประชาคมโลก ท 2.1 ม.4-6/4 ผลิตงานเขียนของตนเองในรูปแบบตางๆ เสร�ม 4 ตอไป ท 2.1 ม.4-6/5 ประเมินงานเขียนของผูอื่น แลวนํามาพัฒนางานเขียนของตนเอง 5 4.1 ทักษะพื้นฐานเพื่อการประกอบอาชีพ การจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผูเรียนในรายวิชาพื้นฐาน การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตน จะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพ ทุกกลุมสาระการเรียนรูและทุกระดับชั้นเรียน ผูสอนควรบูรณาการประสบการณการเรียนรูพื้นฐานอาชีพควบคู ทุกอาชีพ และเปนการปูทางไปสูอาชีพเฉพาะเกี่ยวกับการเขียน เชน นักเขียน นักประพันธ นักหนังสือพิมพ ไปกับการเรียนการสอนดานวิชาการ โดยฝกทักษะสําคัญตามที่สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (สวก.) นักวิจารณ เปนตน สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เสนอแนะไว ดังนี้ 2. กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร 1. ฝกทักษะกระบวนการคิด มีการวางแผนตลอดแนว เพื่อศึกษาขอมูลอาชีพ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรมุงเนนการพัฒนาผูเรียนในการเชื่อมโยงความรูกับกระบวนการ 2. ฝกการตัดสินใจอยางเปนระบบ โดยใชขอมูลจากการศึกษา คนควาแหลงเรียนรูในชุมชน เพื่อลดความ มีทักษะสําคัญในการคนควาและสรางองคความรู พัฒนาวิธีการคิด ทั้งความคิดที่เปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค เสี่ยงในการลงทุนและเพิ่มความมั่นใจเรื่องการตลาด คิดวิเคราะห วิจารณ โดยใชกระบวนการในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหาที่หลากหลาย เพื่อใหมีความรู 3. ฝกกระบวนการวางแผน การผลิต และการจัดจําหนาย โดยนักเรียนคิดตนทุน กําไรดวยตนเอง ความเขาใจในธรรมชาติและเทคโนโลยี นําความรูไปใชอยางมีเหตุผล มีคุณธรรม และอยูในสังคมแหงการเรียนรู 4. ฝกการเรียนรูเรื่องคุณธรรม จริยธรรม ดานการประกอบอาชีพ และการทํางานกลุม โดยมีจิตอาสาเพื่อ ไดอยางเหมาะสม ไดอยางเหมาะสม โดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน ไดอยางเหมาะสม ไดอยางเหมาะสม ไดอยางเหมาะสม ไดอยางเหมาะสม โดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชนโดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชนโดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชนโดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชนโดยมีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน สวนรวม ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม.1/13 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ว 1.1 ม 5. ฝกการทํางานอยางมีประสิทธิภาพ มีการประเมินผล ปรับปรุง พัฒนา และสรางสรรคตอยอดผลผลิต ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน ปรับปรุงพันธุและเพิ่มผลผลิตของพืช และนําความรูไปใชประโยชน 6. ฝกการเสริมสรางความเชื่อมั่น ความเพียรพยายาม เห็นคุณคาและภาคภูมิใจในตนเอง (Self ว 1.1 ม.2/4 อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุงิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุง อธิบายหลักการและผลของการใชเทคโนโลยีชีวภาพในการขยายพันธุ ปรับปรุง ว 1.1 ม.2/4 ว 1.1 ม.2/4 ว 1.1 ม.2/4 ว 1.1 ม.2/4 ว 1.1 ม.2/4 อธ อธ อธ อธ Esteem) ในการประกอบอาชีพ และเจตคติในพื้นฐานทางอาชีพ พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน พันธุและเพิ่มผลผลิตของสัตว และนําความรูไปใชประโยชน การจัดการเรียนการสอนที่ใหผูเรียนไดลงมือปฏิบัติทักษะดังกลาว จะชวยใหผูเรียนไดรับประสบการณจริง ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/3 สืบคนขอมูลและอภิปรายผลของเทคโนโลยีชีวภาพที่มีตอมนุษยและสิ่งแวดลอม ว 1.2 ม.4-6/ มีทักษะ ความสามารถ และความชํานาญในการทํางานที่จะใชในการประกอบอาชีพและเปนแรงงานที่มีคุณภาพเขาสู และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน และนําความรูไปใชประโยชน ตลาดแรงงานในอนาคต การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพทการจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานของการนําไปสูอาชีพที่ี่ 4.2 การจัดกระบวนการเรียนรูพื้นฐานอาชีพ การจัดกระบวนการเรียนรูมีความสําคัญอยางยิ่งที่จะชวยให เกี่ยวกับเกษตรกร วิทยาศาสตร การเกษตร นักวิจัย เปนตน นักเรียนมีการพัฒนาทั้งดานความรู ทักษะ และคุณลักษณะตามเปาหมายของหลักสูตร การพัฒนาผูเรียน เกี่ยวกับเกษตรกร วิทยาศาสตร การเกษตร นักวิจัย เปนตน 3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม 3. กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ดานทักษะพื้นฐานอาชีพตองอาศัยกระบวนการเรียนรูที่หลากหลายเปนเครื่องมือที่จะนําไปสูคุณภาพที่ตองการ เทคนิควิธีการตางๆ ที่ผูสอนจะตองพิจารณาใหเหมาะสมกับเนื้อหาวิชาและวัยของผูเรียน โดยใหความสําคัญกับ กลุมสาระการเรียนรูสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมมุงเนนการพัฒนาใหผูเรียนมีความรูความ การฝกปฏิบัติและเนนการวัดประเมินผลจากการปฏิบัติตามสภาพจริง ดวยวิธีการที่จัดกิจกรรมการบูรณาการ เขาใจเกี่ยวกับการดํารงชีวิตของมนุษย การอยูรวมกันในสังคมที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธกัน มีความแตกตางกัน ใหเหมาะสมกับวัยและระดับชั้นของผูเรียน สอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดของกลุมสาระตางๆ อยางหลากหลาย สามารถจัดการทรัพยากรที่มีอยูอยางจํากัด และเขาใจการเปลี่ยนแปลง เพื่อชวยใหสามารถปรับ ที่กําหนดไวในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 การวิเคราะหมาตรฐานและตัวชี้วัดที่จะนําไป ตนเองกับบริบทและสภาพแวดลอม เปนพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู ทักษะ คุณธรรม และคานิยมที่ จัดเนื้อหาความรูและทักษะ เพื่อพัฒนาผูเรียนดานพื้นฐานอาชีพ ดังตัวอยางตอไปนี้ เหมาะสม มีมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ เชน 1. กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทย ส 4.3 ม.1/3 วิเคราะหอิทธิพลของวัฒนธรรมและภูมิปญญาไทยสมัยสุโขทัยและสังคมไทยใน กลุมสาระการเรียนรูภาษาไทยมุงเนนการพัฒนาใหผูเรียนมีความรูความสามารถในการใชภาษาไทย ปจจุบัน เพื่อการสื่อสาร เปนเครื่องมือในการเรียนรู การแสวงหาความรู และประสบการณตางๆ เพื่อพัฒนาความรู ส 4.3 ม.2/3 ระบุภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยอยุธยาและธนบุรี และอิทธิพลของภูมิปญญา กระบวนการคิดวิเคราะห วิจารณ และสรางสรรค ใหทันตอการเปลี่ยนแปลงของสังคมและความกาวหนาทาง ดังกลาวตอการพัฒนาชาติไทยในยุคตอมา วิทยาศาสตร เทคโนโลยี จึงเปนกลุมสาระการเรียนรูที่เปนทักษะพื้นฐานการประกอบอาชีพทุกอาชีพ ตัวชี้วัดที่ ส 4.3 ม.3/3 วิเคราะหภูมิปญญาและวัฒนธรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร และอิทธิพลตอการพัฒนา สามารถนํามาพัฒนาทักษะอาชีพ เชน ชาติไทย คูมือครู คูมือครู
ส 4.3 ม.4-6/3 วางแผนกําหนดแนวทางและการมีสวนรวมในการอนุรักษภูมิปญญาไทยและ ดนตรี วัฒนธรรมไทย ศ 2.1 ม.1/3 รองเพลงและใชเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการรองเพลงดวยบทเพลงที่หลากหลาย การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานและสรางเจตคติตออาชีพ ศ 2.1 ม.2/3 รองเพลงและเลนดนตรีเดี่ยวและรวมวง เสร�ม เกี่ยวกับภูมิปญญาไทยในทองถิ่น เชน นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร แพทยแผนโบราณ นวดแผนไทย ชางทอผา ศ 2.1 ม.3/3 รองเพลง เลนดนตรีเดี่ยวและรวมวง โดยเนนเทคนิคการรอง การเลน เสร�ม 7 6 จักสาน นักดนตรีไทย การทําขนมหรืออาหารไทย เปนตน และเปนรากฐานของการศึกษาเพื่อพัฒนาตอยอดอาชีพ การแสดงออก และคุณภาพเสียง ที่มีฐานของภูมิปญญาไทย 4. กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา ศ 2.1 ม.4-6/4 อาน เขียน โนตดนตรีไทยและสากลในอัตราจังหวะตางๆ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทางดนตรี กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา เปนการศึกษาเพื่อการดํารงสุขภาพ การเสริมสราง เชน นักรอง นักดนตรี นักแตงเพลง เปนตน สุขภาพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต มุงใหผูเรียนพัฒนาพฤติกรรมดานความรู เจตคติ คุณธรรม คานิยม และ นาฏศิลป การปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพ และการใชกิจกรรมเคลื่อนไหว การออกกําลังกาย การเลนเกมและกีฬา เปนเครื่องมือ ศ 3.1 ม.1/3 แสดงนาฏศิลปและละครในรูปแบบงายๆ พัฒนาทั้งดานรางกาย จิตใจ อารมณ สังคม สติปญญา รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา โดยมีมาตรฐาน และตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ เชน ศ 3.1 ม.2/2 สรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศิลปและการละคร พ 3.2 ม.1/2 ออกกําลังกายและเลือกเขาเลนกีฬาตามความถนัด ความสนใจ อยางเต็ม ศ 3.1 ม.3/6 รวมจัดงานการแสดงในบทบาทหนาที่ตางๆ ความสามารถ พรอมทั้งมีการประเมินการเลนของตนและผูอื่น ศ 3.1 ม.4-6/2 สรางสรรคละครสั้นในรูปแบบที่ชื่นชอบ พ 3.2 ม.4-6/1 ออกกําลังกายและเลนกีฬาที่เหมาะสมกับตนเองอยางสมํ่าเสมอและใชความ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทาง พ 3.2 ม.4-6/1 ออกกําลังกายและเลนกีฬาที่เหมาะสมกับตนเองอยางสมํ่าเสมอและใชความ พ 3.2 ม.4-6/1 ออกกําลังกายและเลนกีฬาที่เหมาะสมกับตนเองอยางสมํ่าเสมอและใชความ พ 3.2 ม.4-6/1 ออกกําลังกายและเลนกีฬาที่เหมาะสมกับตนเองอยางสมํ่าเสมอและใชความ สามารถของตนเองเพิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผล สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพ นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํากับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตน สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพ สามารถของตนเองเพิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผลิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผล ที่เกิดตอสังคม 6. กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ที่เกิดตอสังคม ที่เกิดตอสังคม ที่เกิดตอสังคม ที่เกิดตอสังคม ที่เกิดตอสังคม การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ กลุมสาระการ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ ดานการกีฬา ดานการกีฬา และทักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยาง ดานการกีฬา เชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะเชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะเชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะเชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะเชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะ ดานการกีฬา ดานการกีฬา ดานการกีฬา เชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะ และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําค และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําคัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวยัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวยัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวยัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวยัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวย และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําค และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําค หลากหลาย รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําค และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําคัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวย 5. กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ มาตรฐานและตัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการ กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค มี กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค มี กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค มี กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใ กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค มี มี จินตนาการทางศิลปะ จินตนาการทางศิลปะ เพื่อพัฒนาไปสูการประกอบอาชีพตางๆ เชน จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ซึ่งมีผลตอคุณภาพชีวิตมนุษย พัฒนาใหผูเรียนเกิดความรู จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ซึ่งมีผลตอคุณภาพชีวิตมนุษย พัฒนาใหผูเรียนเกิดความรูชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ซึ่งมีผลตอคุณภาพชีวิตมนุษย พัฒนาใหผูเรียนเกิดความรูชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ซึ่งมีผลตอคุณภาพชีวิตมนุษย พัฒนาใหผูเรียนเกิดความรู ความเขาใจ ความเขาใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระมีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระมีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระมีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระมีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยาง ความเขาใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระ ความเขาใจ ความเขาใจ ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ ความเขาใจ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ ง 1.1 ม.4-6/7 ใชพลังงาน ทรัพยากรในการทํางานอยางคุมคาและยั่งยืน เพื่อการอนุรักษ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน ตางๆ มากมาย เชน โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพ ทัศนศิลป สิ่งแวดลอม ศ 1.1 ม.1/5 ออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ หรือกราฟกอื่นๆ ในการนําเสนอความคิดและขอมูล ศ 1.1 ม.2/3 วาดภาพดวยเทคนิคที่หลากหลายในการสื่อความหมายและเรื่องราวตางๆ ง 4.1 ม.2/3 มีทักษะพื้นฐานที่จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพที่สนใจ ศ 1.1 ม.3/7 สรางสรรคงานทัศนศิลปสื่อความหมายเปนเรื่องราวโดยประยุกตใชทัศนธาตุและ ง 4.1 ม.3/3 ประเมินทางเลือกในการประกอบอาชีพที่สอดคลองกับความรู ความถนัด และความ หลักการออกแบบ สนใจของตนเอง ศ 1.1 ม.4-6/10 สรางสรรคงานทัศนศิลปไทย สากลโดยศึกษาจากแนวคิดและวิธีการสรางงาน ง 4.1 ม.4-6/2 เลือกและใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมกับอาชีพ ของศิลปนที่ตนชื่นชอบ ง 4.1 ม.4-6/3 มีประสบการณในอาชีพที่ถนัดและสนใจ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพที่แสดงออก การจัดรายวิชาพื้นฐานในกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีจึงสามารถดําเนินการ ทางศิลปะและการสรางสรรค เชน จิตรกร นักออกแบบเสื้อผา เครื่องแตงกายและเครื่องใช สถาปนิก มัณฑนากร ไดอยางหลากหลาย ทั้งอาชีพในกลุมเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสรางสรรค การบริหาร เปนตน จัดการ และการบริการ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และสอดคลองกับบริบทของทองถิ่น ความพรอม ของสถานศึกษา และความตองการของผูเรียนเปนสําคัญ คูมือครู คูมือครู
ส 4.3 ม.4-6/3 วางแผนกําหนดแนวทางและการมีสวนรวมในการอนุรักษภูมิปญญาไทยและ ดนตรี วัฒนธรรมไทย ศ 2.1 ม.1/3 รองเพลงและใชเครื่องดนตรีบรรเลงประกอบการรองเพลงดวยบทเพลงที่หลากหลาย การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวขางตนจะเปนทักษะพื้นฐานและสรางเจตคติตออาชีพ ศ 2.1 ม.2/3 รองเพลงและเลนดนตรีเดี่ยวและรวมวง เสร�ม เกี่ยวกับภูมิปญญาไทยในทองถิ่น เชน นักโบราณคดี นักประวัติศาสตร แพทยแผนโบราณ นวดแผนไทย ชางทอผา ศ 2.1 ม.3/3 รองเพลง เลนดนตรีเดี่ยวและรวมวง โดยเนนเทคนิคการรอง การเลน เสร�ม 7 6 จักสาน นักดนตรีไทย การทําขนมหรืออาหารไทย เปนตน และเปนรากฐานของการศึกษาเพื่อพัฒนาตอยอดอาชีพ การแสดงออก และคุณภาพเสียง ที่มีฐานของภูมิปญญาไทย 4. กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา ศ 2.1 ม.4-6/4 อาน เขียน โนตดนตรีไทยและสากลในอัตราจังหวะตางๆ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทางดนตรี กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา เปนการศึกษาเพื่อการดํารงสุขภาพ การเสริมสราง เชน นักรอง นักดนตรี นักแตงเพลง เปนตน สุขภาพ และการพัฒนาคุณภาพชีวิต มุงใหผูเรียนพัฒนาพฤติกรรมดานความรู เจตคติ คุณธรรม คานิยม และ นาฏศิลป การปฏิบัติเกี่ยวกับสุขภาพ และการใชกิจกรรมเคลื่อนไหว การออกกําลังกาย การเลนเกมและกีฬา เปนเครื่องมือ ศ 3.1 ม.1/3 แสดงนาฏศิลปและละครในรูปแบบงายๆ พัฒนาทั้งดานรางกาย จิตใจ อารมณ สังคม สติปญญา รวมทั้งสมรรถภาพเพื่อสุขภาพและกีฬา โดยมีมาตรฐาน และตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ เชน ศ 3.1 ม.2/2 สรางสรรคการแสดงโดยใชองคประกอบนาฏศิลปและการละคร พ 3.2 ม.1/2 ออกกําลังกายและเลือกเขาเลนกีฬาตามความถนัด ความสนใจ อยางเต็ม ศ 3.1 ม.3/6 รวมจัดงานการแสดงในบทบาทหนาที่ตางๆ ความสามารถ พรอมทั้งมีการประเมินการเลนของตนและผูอื่น ศ 3.1 ม.4-6/2 สรางสรรคละครสั้นในรูปแบบที่ชื่นชอบ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทาง พ 3.2 ม.4-6/1 ออกกําลังกายและเลนกีฬาที่เหมาะสมกับตนเองอยางสมํ่าเสมอและใชความ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทาง การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทาง การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพทาง นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํากับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตน นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํากับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตนกับการแสดง นักแตงบทละคร เปนตน นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา สามารถของตนเองเพิ่มศักยภาพของทีม ลดความเปนตัวตน คํานึงถึงผล นาฏศิลปหรือการแสดง เชน นาฏลีลา นักแสดง นักจัดการแสดง ผูกํา 6. 6. 6. 6. 6. 6. กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี ที่เกิดตอสังคม 6. กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวนอกจากจะเปนการสรางทักษะพื้นฐานในอาชีพ กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ กลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีมุงพัฒนาใหผูเรียนมีฐานความรูความสามารถ ดานการกีฬา เชน นักฟุตบอล นักวอลเลยบอล นักมวย นักเทนนิส นักลีลาศ ฯลฯ ยังชวยเสริมสรางปลูกฝงทักษะ และทักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยาง และท และทักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยางักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยางักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยางักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยางักษะที่จําเปนสําหรับนําไปปรับใชในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอในสาขาอาชีพตางๆ ไดอยาง และท และท และท และเจตคติในการทํางานเปนทีมและทํางานกับผูอื่น ซึ่งเปนสิ่งสําคัญในการประกอบอาชีพทุกประเภทอีกดวย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ หลากหลาย รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาตอตามความรู ความถนัด และความสนใจ รวมทั้งใหเห็นแนวทางในการประกอบอาชีพและการศึกษาต หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย หลากหลาย 5. กลุมสาระการเรียนรูศิลปะ มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและต มาตรฐานและตัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการัวชี้วัดของกลุม มาตรฐานและต มาตรฐานและตัวชี้วัดของกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีสวนใหญมีลักษณะเปนทักษะกระบวนการ กลุมสาระการเรียนรูศิลปะเปนกลุมสาระการเรียนรูที่ชวยพัฒนาใหผูเรียนมีความคิดสรางสรรค มี ท ท ท ท ท ท ทํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเรียนและทองถิ่นได ํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเรียนและทองถิ่นได ํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเรียนและทองถิ่นได ํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเรียนและทองถิ่นได ํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตอง ทํางาน ซึ่งผูสอนสามารถจัดเนื้อหาและกิจกรรมการสอนใหสอดคลองกับความตองการของผูเรียนและทองถิ่นได จินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงาม มีสุนทรียภาพ ซึ่งมีผลตอคุณภาพชีวิตมนุษย พัฒนาใหผูเรียนเกิดความรู เพื่อพัฒนาไปสูการประกอบอาชีพตางๆ เชน ความเขาใจ มีทักษะวิธีการทางศิลปะ เกิดความซาบซึ้งในคุณคาของศิลปะ เปดโอกาสใหผูเรียนแสดงออกอยางอิสระ ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอย ง 1.1 ม.4-6/2 สรางผลงานอยางมีความคิดสรางสรรค และมีทักษะการทํางานรวมกัน โดยมีตัวอยางมาตรฐานและตัวชี้วัดที่เปนพื้นฐานของการประกอบอาชีพตางๆ มากมาย เชน ง 1.1 ม.4-6/7 ใชพลังงาน ทรัพยากรในการทํางานอยางคุมคาและยั่งยืน เพื่อการอนุรักษ ทัศนศิลป สิ่งแวดลอม ศ 1.1 ม.1/5 ออกแบบรูปภาพ สัญลักษณ หรือกราฟกอื่นๆ ในการนําเสนอความคิดและขอมูล ศ 1.1 ม.2/3 วาดภาพดวยเทคนิคที่หลากหลายในการสื่อความหมายและเรื่องราวตางๆ ง 4.1 ม.2/3 มีทักษะพื้นฐานที่จําเปนสําหรับการประกอบอาชีพที่สนใจ ศ 1.1 ม.3/7 สรางสรรคงานทัศนศิลปสื่อความหมายเปนเรื่องราวโดยประยุกตใชทัศนธาตุและ ง 4.1 ม.3/3 ประเมินทางเลือกในการประกอบอาชีพที่สอดคลองกับความรู ความถนัด และความ หลักการออกแบบ สนใจของตนเอง ศ 1.1 ม.4-6/10 สรางสรรคงานทัศนศิลปไทย สากลโดยศึกษาจากแนวคิดและวิธีการสรางงาน ง 4.1 ม.4-6/2 เลือกและใชเทคโนโลยีอยางเหมาะสมกับอาชีพ ของศิลปนที่ตนชื่นชอบ ง 4.1 ม.4-6/3 มีประสบการณในอาชีพที่ถนัดและสนใจ การจัดการเรียนการสอนตามตัวชี้วัดดังกลาวจะเปนทักษะพื้นฐานในการพัฒนาไปสูอาชีพที่แสดงออก การจัดรายวิชาพื้นฐานในกลุมสาระการเรียนรูการงานอาชีพและเทคโนโลยีจึงสามารถดําเนินการ ทางศิลปะและการสรางสรรค เชน จิตรกร นักออกแบบเสื้อผา เครื่องแตงกายและเครื่องใช สถาปนิก มัณฑนากร ไดอยางหลากหลาย ทั้งอาชีพในกลุมเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรม ความคิดสรางสรรค การบริหาร เปนตน จัดการ และการบริการ ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ และสอดคลองกับบริบทของทองถิ่น ความพรอม ของสถานศึกษา และความตองการของผูเรียนเปนสําคัญ คูมือครู คูมือครู
เพื่อเปนแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนใหสนองตามนโยบายการจัดการเรียนการสอน ขั้นที่ 4 ขยายความเขาใจ (Expand) พื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ผูจัดทําจึงวิเคราะหมาตรฐาน เปนขั้นที่ผูสอนไดใชเทคนิควิธีการสอนที่จะชวยพัฒนาผูเรียนใหนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนตอๆ ไป การเรียนรูและตัวชี้วัดในรายวิชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ที่สอดคลองกับทักษะปฏิบัติเพื่อชวยเตรียมความพรอม เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน เสร�ม ดานพื้นฐานอาชีพ โดยเสนอแนะกิจกรรมการเรียนรูไวเปนแนวทางจัดการเรียนการสอนบูรณาการประสบการณ นักเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยงกับประสบการณเดิม โดยนําขอสรุปที่ไดไปอธิบาย เสร�ม 8 การทํางานแกผูเรียน ใหบรรลุเจตนารมณของพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 ที่ระบุ ในเหตุการณตางๆ หรือนําไปปฏิบัติในสถานการณใหมๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของตนเอง เพื่อขยาย 9 ใหการจัดการศึกษาตองปลูกฝงใหเยาวชนมีความรูอันเปนสากล มีจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม ตลอดจนมีความสามารถในการประกอบอาชีพ รูจักพึ่งตนเอง และมีความคิดสรางสรรค เพื่อ ความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น สมองของผูเรียนทําหนาที่คิดริเริ่มสรางสรรคอยางมีคุณภาพ เสริมสราง การดํารงชีวิต การศึกษาตอและการประกอบอาชีพอยางมีคุณภาพของผูเรียนตอไปในอนาคต วิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป 5. การใชวัฏจักรการเรียนรู 5E ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) รูปแบบการสอนที่สัมพันธกับกระบวนการคิดและการทํางานของสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย เปนขั้นที่ผูสอนใชประเมินมโนทัศนของผูเรียน โดยตรวจสอบจากความคิดที่เปลี่ยนไปและความคิดรวบยอด คือ วัฏจักรการเรียนรู 5E ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในคูมือครู ที่เกิดขึ้นใหม ตรวจสอบทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพ ฉบับนี้ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการสรางสรรคความรูรวมกัน ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage) นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage) มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิด เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อก โดยใชเทคนิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาส โดยใชเทคน โดยใชเทคนิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสููิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสูิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียน โดยใชเทคน โดยใชเทคน โดยใชเทคน บทเรียนใหม บทเรียนใหม บทเรียนใหม บทเรียนใหม การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน บทเรียนใหม บทเรียนใหม ชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอนชว การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเ การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเ การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเ การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเ ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนการคิด และ การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเ การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียนรียนรูแกผูเรียนรียนรูแกผูเรียนรียนรูแกผูเรียนรียนรูแกผูเรียนรียนรูแกผูเรียน กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการ ขั้นที่ 2 สํารวจคนหา (Explore) ปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเก คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คณะผูจัดทํา คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ เมื่อนักเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลวก็ลงมือปฏิบัติ เพื่อเก็บ รวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว ขั้นที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา หรือตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนไดคนหา คําตอบ และนําขอมูลความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห แปลผล สรุปผล และนําเสนอผล ที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน สมองของผูเรียนจะทําหนาที่คิดวิเคราะห สังเคราะหอยางเปนระบบ คูมือครู คูมือครู
เพื่อเปนแนวทางการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนใหสนองตามนโยบายการจัดการเรียนการสอน ขั้นที่ 4 ขยายความเขาใจ (Expand) พื้นฐานอาชีพในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐบาลและกระทรวงศึกษาธิการ ผูจัดทําจึงวิเคราะหมาตรฐาน เปนขั้นที่ผูสอนไดใชเทคนิควิธีการสอนที่จะชวยพัฒนาผูเรียนใหนําความรูที่เกิดขึ้นไปคิดคนตอๆ ไป การเรียนรูและตัวชี้วัดในรายวิชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ที่สอดคลองกับทักษะปฏิบัติเพื่อชวยเตรียมความพรอม เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรูและการทํางานรวมกันเปนกลุม ระดมสมองเพื่อคิดสรางสรรครวมกัน เสร�ม ดานพื้นฐานอาชีพ โดยเสนอแนะกิจกรรมการเรียนรูไวเปนแนวทางจัดการเรียนการสอนบูรณาการประสบการณ นักเรียนสามารถนําความรูที่สรางขึ้นใหมไปเชื่อมโยงกับประสบการณเดิม โดยนําขอสรุปที่ไดไปอธิบาย เสร�ม 9 8 การทํางานแกผูเรียน ใหบรรลุเจตนารมณของพระราชบัญญัติการศึกษาแหงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 7 ที่ระบุ ในเหตุการณตางๆ หรือนําไปปฏิบัติในสถานการณใหมๆ ที่เกี่ยวของกับชีวิตประจําวันของตนเอง เพื่อขยาย ใหการจัดการศึกษาตองปลูกฝงใหเยาวชนมีความรูอันเปนสากล มีจิตสํานึกในการอนุรักษทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดลอม ตลอดจนมีความสามารถในการประกอบอาชีพ รูจักพึ่งตนเอง และมีความคิดสรางสรรค เพื่อ ความรูความเขาใจใหกวางขวางยิ่งขึ้น สมองของผูเรียนทําหนาที่คิดริเริ่มสรางสรรคอยางมีคุณภาพ เสริมสราง การดํารงชีวิต การศึกษาตอและการประกอบอาชีพอยางมีคุณภาพของผูเรียนตอไปในอนาคต วิสัยทัศนใหกวางไกลออกไป 5. การใชวัฏจักรการเรียนรู 5E ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluate) รูปแบบการสอนที่สัมพันธกับกระบวนการคิดและการทํางานของสมองของผูเรียนที่นิยมใชอยางแพรหลาย เปนขั้นที่ผูสอนใชประเมินมโนทัศนของผูเรียน โดยตรวจสอบจากความคิดที่เปลี่ยนไปและความคิดรวบยอด คือ วัฏจักรการเรียนรู 5E ซึ่งผูจัดทําคูมือครูไดนํามาใชเปนแนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในคูมือครู ที่เกิดขึ้นใหม ตรวจสอบทักษะ กระบวนการปฏิบัติ การแกปญหา การตอบคําถามรวบยอด และการเคารพ ฉบับนี้ตามลําดับขั้นตอนการเรียนรู ดังนี้ ความคิดหรือยอมรับเหตุผลของคนอื่น เพื่อการสรางสรรคความรูรวมกัน นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมา นักเรียนสามารถประเมินผลการเรียนรูของตนเอง เพื่อสรุปผลวานักเรียนมีความรูอะไรเพิ่มขึ้นมาบาง ขั้นที่ 1 กระตุนความสนใจ (Engage) น น น น มากนอยเพ มากนอยเพ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิดียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิดียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิดียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิดียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรีย มากนอยเพ มากนอยเพียงใด และจะนําความรูเหลานั้นไปประยุกตใชในการเรียนรูเรื่องอื่นๆ ไดอยางไร นักเรียนจะเกิด มากนอยเพ มากนอยเพ มากนอยเพ มากนอยเพ มากนอยเพ เปนขั้นที่ผูสอนนําเขาสูบทเรียน เพื่อกระตุนความสนใจของนักเรียนดวยเรื่องราวหรือเหตุการณที่นาสนใจ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริงปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเปนการเรียนรูที่มีความสุขอยางแทจริง เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ เจตคติและเห็นคุณคาของตนเองจากผลการเรียนรูที่เกิดขึ้น ซึ่งเ โดยใชเทคนิควิธีการสอนและคําถามทบทวนความรูหรือประสบการณเดิมของผูเรียน เพื่อเชื่อมโยงผูเรียนเขาสู บทเรียนใหม ชวยใหนักเรียนสามารถสรุปประเด็นสําคัญที่เปนหัวขอการเรียนรูของบทเรียนได จึงเปนขั้นตอน การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนารจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนารจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนารจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนนารจัด ก ก ก ก การจัดกิจกรรมการเรียนรูตามวัฏจักรการสรางความรูแบบ 5E จึงเปนรูปแบบการเรียนการสอนที่เนน การสอนที่สําคัญ เพราะเปนการเตรียมความพรอมและสรางแรงจูงใจใฝเรียนรูแกผูเรียน ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนการคิด และูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนการคิด และูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนการคิด และูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนก ผ ผ ผ ผ ผ ผ ผ ผูเรียนเปนสําคัญ โดยสงเสริมใหผูเรียนใชกระบวนการสรางความรูดวยตนเอง ฝกฝนใหใชกระบวนการคิด และ กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการ ก ก ก ก ก ก ก ก กระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการระบวนการกลุมอยางชํานาญ กอใหเกิดทักษะการเรียนรูและทักษะชีวิตที่มีคุณภาพ ตามเปาหมายของการร ขั้นที่ 2 สํารวจคนหา (Explore) ปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ ปฏิรูปก ปฏิรูปก ปฏิรูปก ปฏิรูปการศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการารศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการารศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการารศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการารศึกษาทศวรรษที่ 2 (พ.ศ. 2552-2561) ทุกประการ ปฏิรูปก เปนขั้นที่ผูสอนเปดโอกาสใหผูเรียนไดสังเกตและรวมมือกันสํารวจ เพื่อใหเห็นปญหา รวมถึงวิธีการศึกษา คนควาขอมูลความรูที่จะนําไปสูความเขาใจประเด็นปญหานั้นๆ คณะผูจัดทํา เมื่อนักเรียนทําความเขาใจในประเด็นหัวขอที่จะศึกษาคนควาอยางถองแทแลวก็ลงมือปฏิบัติ เพื่อเก็บ รวบรวมขอมูลความรู สํารวจตรวจสอบ โดยวิธีการตางๆ เชน สัมภาษณ ทดลอง อานคนควาขอมูลจากเอกสาร แหลงขอมูลตางๆ จนไดขอมูลความรูตามที่ตั้งประเด็นศึกษาไว ขั้นที่ 3 อธิบายความรู (Explain) เปนขั้นที่ผูสอนมีปฏิสัมพันธกับผูเรียน เชน ใหการแนะนํา หรือตั้งคําถามกระตุนใหคิด เพื่อใหผูเรียนไดคนหา คําตอบ และนําขอมูลความรูจากการศึกษาคนควาในขั้นที่ 2 มาวิเคราะห แปลผล สรุปผล และนําเสนอผล ที่ไดศึกษาคนความาในรูปแบบสารสนเทศตางๆ เชน เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน เขียนความเรียง เขียนรายงาน เปนตน สมองของผูเรียนจะทําหนาที่คิดวิเคราะห สังเคราะหอยางเปนระบบ คูมือครู คูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.4-ม.6)* ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.4-ม.6)* 1. แถบสี สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะ เสร�ม แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม เสร�ม แบบ 5E เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด 10 11 สีแดง สีแดง สีเขียว สีเขียว สีสม สีสม สีฟา สีฟา สีมวงสีมวง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ม.4-6 1. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • ในสนามโนมถวงจะมีแรงกระทําตอวัตถุ ทําใหวัตถุมีนํ้าหนัก ซึ่งเมื่อ ปลอยวัตถุ วัตถุจะตกแบบเสรี สนามโนมถวงทําใหวัตถุตางๆ ไมหลุด ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ • เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอน วัตถุในสนามโนมถวง และนํา จากโลก เชน การโคจรของดาวเทียมรอบโลก และอาจใชแรงโนมถวง เทคนิคกระตุนความ ผูเรียนสํารวจปญหา ผูเรียนคนหาคําตอบ ผูเรียนนําความรูไป ประเมินมโนทัศน ความรูไปใช ไปใชประโยชนเพื่อหาแนวดิ่งของชางกอสราง สนใจ เพื่อโยงเขาสู และศึกษาขอมูล จนเกิดความรูเชิง คิดคนตอๆ ไป ของผูเรียน บทเรียน ประจักษ 2. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟา จะมีแรงกระทําตอ ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ อนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป 2. สัญลักษณ อนุภาคในสนามไฟฟา และนํา สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางเครื่องมือบางชนิด เชน เครื่อง กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป ความรูไปใชประโยชน สัญลักษณ @ @ @ @ NET B 3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทํา ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B อนุภาคในสนามแมเหล็ก และนํา สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน ความรูไปใชประโยชน เปาหมาย หลักฐาน เกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครูเกร็ดแนะครู นักเรียน มุม IT ขอสอบ พื้นฐาน 4. วิเคราะหและอธิบายแรงนิวเคลียร • อนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวย นักเรียน นักเรียน นักเรียน นักเรียน ควรรู ควรรู การเรียนรู แสดงผล ควรรู อาชีพ และแรงไฟฟาระหวางอนุภาค โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย การเรียนรู ในนิวเคลียส แรงนิวเคลียร ซึ่งมีคามากกวาแรงผลักทางไฟฟาระหวางนิวคลีออน นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได • ขยายความรู ขยายความรู ขยายความรู ขยายความรู • แทรกความรู • • • • • • • • • • แสดงรองรอย แสดงรองรอย • แนะนําแหลง แนะนําแหลง แนะนําแหลง วัตถุประสงค • แสดงเปาหมาย • แสดงรองรอย • แทรกความรู แทรกความรู แทรกความรู แทรกความรู • ขยายความรู • แนะนําแหลง • วิเคราะหแนว • กิจกรรม เสริมสําหรับครู เพิ่มเติมจาก หลักฐานที่ การเรียนรูที่ หลักฐานที่ หลักฐานที่ เพิ่มเติมจาก เพิ่มเติมจาก เพิ่มเติมจาก ขอสอบ O-NET สําหรับครู คนควาจาก เนื้อหา เพื่อให แสดงผล เพื่อใหครู นักเรียนตอง ขอเสนอแนะ เว็บไซต เพื่อให เพื่อใชเปน บรรลุตาม แนวทางใน และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ตามตัวชี้วัด ไดเขาถึงขอมูล ที่มักออก ขอสังเกต ตัวชี้วัด การเรียนรู ขอควรระวัง นักเรียนไดมี ครูและนักเรียน เนนยํ้าเนื้อหา การชวยพัฒนา มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบตางๆ ของวัตถุในธรรมชาติ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู ความรูมากขึ้น แนวทางการ ความรูที่ ขอสอบ O-NET อาชีพใหกับ จัดกิจกรรม หลากหลาย • ขอสอบ O-NET นักเรียน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง และอื่นๆ พิจารณาออก เพื่อประโยชน ขอสอบจาก ม.4-6 1. อธิบายและทดลองความสัมพันธ • การเคลื่อนที่แนวตรงเปนการเคลื่อนที่ในแนวใดแนวหนึ่ง เชน แนว ในการจัดการ เนื้อหา ม.4, 5 ระหวางการกระจัด เวลา ความเร็ว ราบหรือแนวดิ่งที่มีการกระจัด ความเร็ว ความเรง อยูในแนวเสนตรง เรียนการสอน และ 6 ความเรงของการเคลื่อนที่ใน เดียวกัน โดยความเรงของวัตถุหาไดจากความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่ง แนวตรง หนวยเวลา * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 55 - 104. คูมือครู คูมือครู
แถบสีและสัญลักษณ ที่ใชสื่อความหมายในคูมือครู ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.4-ม.6)* ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง (เฉพาะชั้น ม.4-ม.6)* 1. แถบสี สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ มาตรฐาน ว 4.1 เขาใจธรรมชาติของแรงแมเหล็กไฟฟา แรงโนมถวง และแรงนิวเคลียร มีกระบวนการสืบเสาะ เสร�ม แถบสีแสดงขั้นตอนการสอนและการจัดกิจกรรม หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชนอยางถูกตองและมีคุณธรรม เสร�ม แบบ 5E เพื่อใหครูทราบวาเปนขั้นการสอนขั้นใด 11 10 สีแดง สีแดง สีเขียว สีเขียว สีสม สีสม สีฟา สีฟา สีมวงสีมวง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate ม.4-6 1. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • ในสนามโนมถวงจะมีแรงกระทําตอวัตถุ ทําใหวัตถุมีนํ้าหนัก ซึ่งเมื่อ ปลอยวัตถุ วัตถุจะตกแบบเสรี สนามโนมถวงทําใหวัตถุตางๆ ไมหลุด ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ • เปนขั้นที่ผูสอนเลือกใช • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอนให • เปนขั้นที่ผูสอน วัตถุในสนามโนมถวง และนํา จากโลก เชน การโคจรของดาวเทียมรอบโลก และอาจใชแรงโนมถวง เทคนิคกระตุนความ ผูเรียนสํารวจปญหา ผูเรียนคนหาคําตอบ ผูเรียนนําความรูไป ประเมินมโนทัศน ความรูไปใช ไปใชประโยชนเพื่อหาแนวดิ่งของชางกอสราง สนใจ เพื่อโยงเขาสู และศึกษาขอมูล จนเกิดความรูเชิง คิดคนตอๆ ไป ของผูเรียน บทเรียน ประจักษ 2. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาอยูในสนามไฟฟา จะมีแรงกระทําตอ ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ อนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางเครื่องมือบางชนิด เชน เครื่อง 2. สัญลักษณ อนุภาคในสนามไฟฟา และนํา สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางเครื่องมือบางชนิด เชน เครื่อง กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป ความรูไปใชประโยชน กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป กําจัดฝุน ออสซิลโลสโคป • เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทํา 3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ สัญลักษณ @ NET B 3. ทดลองและอธิบายความสัมพันธ • • เมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื่อนที่ในสนามแมเหล็ก จะมีแรงกระทําเมื่ออนุภาคที่มีประจุไฟฟาเคลื ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป นไป นไป นไป ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ย ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ย ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป ตออนุภาคนั้น ซึ่งอาจทําใหสภาพการเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ย ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ข ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ข ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของ ระหวางแรงกับการเคลื่อนที่ของององ B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B B สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน อนุภาคในสนามแมเหล็ก และนําุภาคในสนามแมเหล็ก และนําุภาคในสนามแมเหล็ก และนํา อน อน สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน อนุภาคในสนามแมเหล็ก และนํา สามารถนําสมบัตินี้ไปประยุกตสรางหลอดภาพโทรทัศน ความรูไปใชประโยชน ความรูไปใชประโยชน ความรูไปใชประโยชน เปาหมาย หลักฐาน เกร็ดแนะครู นักเรียน มุม IT ขอสอบ พื้นฐาน 4. วิเคราะหและอธิบายแรงนิวเคลียร • • อนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวยอนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวยอนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวยอนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวยอนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวยอนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ป 4. วิเคราะหและอธิบายแรงนิวเคลียร • อนุภาคในนิวเคลียส เรียกวา นิวคลีออน ซึ่งนิวคลีออน ประกอบดวย การเรียนรู แสดงผล ควรรู อาชีพ และแรงไฟฟาระหวางอนุภาค โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย โปรตอนและนิวตรอน นิวคลีออนในนิวเคลียสยึดเหนี่ยวกันดวย การเรียนรู ในนิวเคลียส แรงนิวเคลียร ซึ่งมีคามากกวาแรงผลักทางไฟฟาระหวางนิวคลีออน แรงนิวเคลียร ซึ่งมีคามากกวาแรงผลักทางไฟฟาระหวางนิวคลีออน แรงนิวเคลียร ซึ่งมีคามากกวาแรงผลักทางไฟฟาระหวางนิวคลีออน แรงนิวเคลียร ซึ่งมีคามากกวาแรงผลักทางไฟฟาระหวางนิวคลีออน นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได นิวคลีออนจึงอยูรวมกันในนิวเคลียสได วัตถุประสงค • แสดงเปาหมาย • แสดงรองรอย • แทรกความรู • ขยายความรู • แนะนําแหลง • วิเคราะหแนว • กิจกรรม คนควาจาก การเรียนรูที่ ขอสอบ O-NET หลักฐานที่ เสริมสําหรับครู เพิ่มเติมจาก สําหรับครู เว็บไซต เพื่อให เพื่อใชเปน แสดงผล ขอเสนอแนะ เนื้อหา เพื่อให นักเรียนตอง เพื่อใหครู แนวทางใน บรรลุตาม และจิตวิทยาศาสตร สื่อสารสิ่งที่เรียนรูและนําความรูไปใชประโยชน ตามตัวชี้วัด ขอสังเกต ความรูมากขึ้น ไดเขาถึงขอมูล ที่มักออก ตัวชี้วัด การเรียนรู ขอควรระวัง นักเรียนไดมี ครูและนักเรียน เนนยํ้าเนื้อหา การชวยพัฒนา มาตรฐาน ว 4.2 เขาใจลักษณะการเคลื่อนที่แบบตางๆ ของวัตถุในธรรมชาติ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู แนวทางการ ความรูที่ ขอสอบ O-NET อาชีพใหกับ จัดกิจกรรม หลากหลาย • ขอสอบ O-NET นักเรียน ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง และอื่นๆ พิจารณาออก เพื่อประโยชน ขอสอบจาก ม.4-6 1. อธิบายและทดลองความสัมพันธ • การเคลื่อนที่แนวตรงเปนการเคลื่อนที่ในแนวใดแนวหนึ่ง เชน แนว ในการจัดการ เนื้อหา ม.4, 5 ระหวางการกระจัด เวลา ความเร็ว ราบหรือแนวดิ่งที่มีการกระจัด ความเร็ว ความเรง อยูในแนวเสนตรง เรียนการสอน และ 6 ความเรงของการเคลื่อนที่ใน เดียวกัน โดยความเรงของวัตถุหาไดจากความเร็วที่เปลี่ยนไปในหนึ่ง แนวตรง หนวยเวลา * สํานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร. (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพชุมนุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย, 2551), หนา 55 - 104. คูมือครู คูมือครู
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ม.4-6 2. สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ • การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคลื่อนที่วิถีโคงที่มีความเร็วใน 4. อธิบายคลื่นแมเหล็กไฟฟา • คลื่นแมเหล็กไฟฟาประกอบดวยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟาที่ แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม และ แนวราบคงตัวและความเรงในแนวดิ่งคงตัว สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟาจะมีความถี่ เสร�ม แบบฮารมอนิกอยางงาย • การเคลื่อนที่แบบวงกลมปนการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วในแนวเสน และนําเสนอผลการสืบคนขอมูล ตอเนื่องกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงความถี่ตางๆ มีลักษณะเฉพาะตัว เสร�ม ซึ่งสามารถนําไปใชประโยชนไดแตกตางกัน เชน การรับ-สงวิทยุ เกี่ยวกับประโยชน และการ 13 12 • การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ปองกันอันตราย โทรทัศน การปองกันอันตรายจากคลื่นแมเหล็กไฟฟา เชน ไมอยูใกล สัมผัสวงกลม และมีแรงในทิศทางเขาสูศูนยกลาง ซํ้าทางเดิม เชน การแกวงของลูกตุมอยางงาย โดยที่มุมสูงสุดที่เบน เตาไมโครเวฟขณะเตาทํางาน จากแนวดิ่งมีคาคงตัวตลอด 5. อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน • ปฏิกิริยานิวเคลียรเปนปฏิกิริยาที่ทําใหนิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลง 3. อภิปรายผลการสืบคนและประโยชน • การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลสามารถนําไปใชประโยชน เชน การเลน ฟวชัน และความสัมพันธระหวาง ปฏิกิริยาที่นิวเคลียสของธาตุที่มีเลขมวลมากแตกตัว เรียกวา ฟชชัน เกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เทนนิส บาสเกตบอล มวลกับพลังงาน ปฏิกิริยาที่เกิดจากการหลอมรวมนิวเคลียสของธาตุที่มีเลขมวลนอย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิก • การเคลื่อนที่แบบวงกลมสามารถนําไปใชประโยชน เชน การวิ่งทางโคง เรียกวา ฟวชัน ความสัมพันธระหวางมวลและพลังงานเปนไปตาม สมการ E = mc 2 อยางงาย ของรถยนตใหปลอดภัย • การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายสามารถนําไปใชประโยชนใน 6. สืบคนขอมูลเกี่ยวกับพลังงานที่ได • ปฏิกิริยานิวเคลียรทําใหเกิดผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม การสรางนาฬกาแบบลูกตุม จากปฏิกิริยานิวเคลียรและผลตอ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม สาระที่ 5 พลังงาน 7. อภิปรายผลการสืบคนขอมูล • โรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งได มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เขาใจความสัมพันธระหวา ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน สาระการเรียนรูแกนกลาง สาระการเรียนรูแกนกลาง สาระการเรียนรูแกนกลาง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง 8. อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจาก • รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ธาตุกัมมันตรังสี • คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน 1. ทดลองและอธิบายสมบัติของคลื่นกล ม.4-6 1. ทดลองและอธิบายสมบัติของคลื่นกล • คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน และอธิบายความสัมพันธระหวาง • อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นมีความสัมพันธกัน ดังนี้ อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นมีความสัมพันธกัน ดังนี้ อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นมีความสัมพันธกัน ดังนี้ อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นมีความสัมพันธกัน ดังนี้ 9. อธิบายการเกิดกัมมันตภาพรังสี • กัมมันตภาพรังสีเกิดจากการสลาย อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น และบอกวิธีการตรวจสอบรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี อ อ อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น ในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน แตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามาก 2. อธิบายการเกิดคลื่นเสียง บีตสของ • คลื่นเสียงเกิดจากการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง ผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและ • รังสีมีประโยชนในดานอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย โบราณคดี เสียง ความเขมเสียง ระดับความเขม • บีตสของเสียงเกิดจากคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดสองแหลงที่มีความถี่ สิ่งแวดลอม รังสีในระดับสูงมีอันตรายตอสิ่งมีชีวิต เสียง การไดยินเสียง คุณภาพเสียง ตางกันเล็กนอยมารวมกัน ทําใหไดยินเสียงดังคอยเปนจังหวะ และนําความรูไปใชประโยชน • ความเขมเสียง คือ พลังงานเสียงที่ตกตั้งฉากบนหนึ่งหนวยพื้นที่ใน หนึ่งหนวยเวลา • ระดับความเขมเสียงจะบอกความดังคอยของเสียงที่ไดยิน • เครื่องดนตรีแตละชนิดที่ใชตัวโนตเดียวกัน จะใหรูปคลื่นที่แตกตางกัน เรียกวามีคุณภาพเสียงตางกัน 3. อภิปรายผลการสืบคนขอมูล • มลพิษทางเสียงมีผลตอสุขภาพมนุษย ถาฟงเสียงที่มีระดับความเขม เกี่ยวกับมลพิษทางเสียงที่มีตอ เสียงสูงกวามาตรฐานเปนเวลานาน อาจกอใหเกิดอันตรายตอการไดยิน สุขภาพของมนุษย และการ และสภาพจิตใจได การปองกันโดยการหลีกเลี่ยงหรือใชเครื่องครอบหู เสนอวิธีปองกัน หรือลดการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง เชน เครื่องจักร คูมือครู คูมือครู
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ม.4-6 2. สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่ • การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคลื่อนที่วิถีโคงที่มีความเร็วใน 4. อธิบายคลื่นแมเหล็กไฟฟา • คลื่นแมเหล็กไฟฟาประกอบดวยสนามแมเหล็กและสนามไฟฟาที่ แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม และ แนวราบคงตัวและความเรงในแนวดิ่งคงตัว สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟาจะมีความถี่ เสร�ม แบบฮารมอนิกอยางงาย • การเคลื่อนที่แบบวงกลมปนการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วในแนวเสน และนําเสนอผลการสืบคนขอมูล ตอเนื่องกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟาชวงความถี่ตางๆ มีลักษณะเฉพาะตัว เสร�ม ซึ่งสามารถนําไปใชประโยชนไดแตกตางกัน เชน การรับ-สงวิทยุ เกี่ยวกับประโยชน และการ 12 • การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายเปนการเคลื่อนที่กลับไปกลับมา ปองกันอันตราย โทรทัศน การปองกันอันตรายจากคลื่นแมเหล็กไฟฟา เชน ไมอยูใกล 13 สัมผัสวงกลม และมีแรงในทิศทางเขาสูศูนยกลาง ซํ้าทางเดิม เชน การแกวงของลูกตุมอยางงาย โดยที่มุมสูงสุดที่เบน เตาไมโครเวฟขณะเตาทํางาน จากแนวดิ่งมีคาคงตัวตลอด 5. อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน • ปฏิกิริยานิวเคลียรเปนปฏิกิริยาที่ทําใหนิวเคลียสเกิดการเปลี่ยนแปลง 3. อภิปรายผลการสืบคนและประโยชน • การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลสามารถนําไปใชประโยชน เชน การเลน ฟวชัน และความสัมพันธระหวาง ปฏิกิริยาที่นิวเคลียสของธาตุที่มีเลขมวลมากแตกตัว เรียกวา ฟชชัน เกี่ยวกับการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เทนนิส บาสเกตบอล มวลกับพลังงาน ปฏิกิริยาที่เกิดจากการหลอมรวมนิวเคลียสของธาตุที่มีเลขมวลนอย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิก • การเคลื่อนที่แบบวงกลมสามารถนําไปใชประโยชน เชน การวิ่งทางโคง เรียกวา ฟวชัน ความสัมพันธระหวางมวลและพลังงานเปนไปตาม สมการ E = mc 2 อยางงาย ของรถยนตใหปลอดภัย • การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายสามารถนําไปใชประโยชนใน 6. สืบคนขอมูลเกี่ยวกับพลังงานที่ได • ปฏิกิริยานิวเคลียรทําใหเกิดผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม การสรางนาฬกาแบบลูกตุม จากปฏิกิริยานิวเคลียรและผลตอ สิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดลอม สาระที่ 5 พลังงาน 7. อภิปรายผลการสืบคนขอมูล อภิปรายผลการสืบคนขอมูล • • โรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งไดโรงไฟฟ 7. อภิปรายผลการสืบคนขอมูล • โรงไฟฟานิวเคลียรเปนโรงไฟฟาพลังงานความรอนประเภทหนึ่ง ซึ่งได 7. มาตรฐาน ว 5.1 เขาใจความสัมพันธระหวางพลังงานกับการดํารงชีวิต การเปลี่ยนรูปพลังงาน ปฏิสัมพันธ เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร พลังงานความรอนจากพลังงานนิวเคลียร เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร เกี่ยวกับโรงไฟฟานิวเคลียร พลังงานความรอนจากพลังงานนิวเคลียร พลังงานความรอนจากพลังงานนิวเคลียร พลังงานความรอนจากพลังงานนิวเคลียร พลังงานความรอนจากพลังงานนิวเคลียร ระหวางสารและพลังงาน ผลของการใชพลังงานตอชีวิตและสิ่งแวดลอม มีกระบวนการสืบเสาะ และนําไปใชประโยชนและนําไปใชประโยชน และนําไปใชประโยชน หาความรู สื่อสารสิ่งที่เรียนรู และนําความรูไปใชประโยชน • รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา 8. 8. อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจาก ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง 8. อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจากอธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจาก • รังสีจากธาตุกัมมันตรังสีมี ๓ ชนิด คือ แอลฟา บีตา และแกมมา ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ธาตุกัมมันตรังสี ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ซึ่งมีอํานาจทะลุผานตางกัน ม.4-6 1. ทดลองและอธิบายสมบัติของคลื่นกล • คลื่นกลมีสมบัติการสะทอน การหักเห การแทรกสอด และการเลี้ยวเบน กัมมันตภาพรังสีเกิดจากการสลายของไอโซโทปของธาตุที่ไมเสถียร กัมมันตภาพรังสีเกิดจากการสลายของไอโซโทปของธาตุที่ไมเสถียร กัมมันตภาพรังสีเกิดจากการสลายของไอโซโทปของธาตุที่ไมเสถียร และอธิบายความสัมพันธระหวาง • อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่นมีความสัมพันธกัน ดังนี้ 9. อธิบายการเกิดกัมมันตภาพรังสี • กัมมันตภาพรังสีเกิดจากการสลายของไอโซโทปของธาตุที่ไมเสถียร สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี และบอกวิธีการตรวจสอบรังสี และบอกวิธีการตรวจสอบรังสี และบอกวิธีการตรวจสอบรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี อัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น อัตราเร็ว = ความถี่ x ความยาวคลื่น และบอกวิธีการตรวจสอบรังสี สามารถตรวจจับไดโดยเครื่องตรวจวัดรังสี ในธรรมชาติมีรังสี ในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน ในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน ในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน แตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามาก ในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน แตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามากแตสวนใหญอยูในระดับตํ่ามาก 2. อธิบายการเกิดคลื่นเสียง บีตสของ • คลื่นเสียงเกิดจากการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง ผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและ • รังสีมีประโยชนในดานอุตสาหกรรม การเกษตร การแพทย โบราณคดี เสียง ความเขมเสียง ระดับความเขม • บีตสของเสียงเกิดจากคลื่นเสียงจากแหลงกําเนิดสองแหลงที่มีความถี่ สิ่งแวดลอม รังสีในระดับสูงมีอันตรายตอสิ่งมีชีวิต เสียง การไดยินเสียง คุณภาพเสียง ตางกันเล็กนอยมารวมกัน ทําใหไดยินเสียงดังคอยเปนจังหวะ และนําความรูไปใชประโยชน • ความเขมเสียง คือ พลังงานเสียงที่ตกตั้งฉากบนหนึ่งหนวยพื้นที่ใน หนึ่งหนวยเวลา • ระดับความเขมเสียงจะบอกความดังคอยของเสียงที่ไดยิน • เครื่องดนตรีแตละชนิดที่ใชตัวโนตเดียวกัน จะใหรูปคลื่นที่แตกตางกัน เรียกวามีคุณภาพเสียงตางกัน 3. อภิปรายผลการสืบคนขอมูล • มลพิษทางเสียงมีผลตอสุขภาพมนุษย ถาฟงเสียงที่มีระดับความเขม เกี่ยวกับมลพิษทางเสียงที่มีตอ เสียงสูงกวามาตรฐานเปนเวลานาน อาจกอใหเกิดอันตรายตอการไดยิน สุขภาพของมนุษย และการ และสภาพจิตใจได การปองกันโดยการหลีกเลี่ยงหรือใชเครื่องครอบหู เสนอวิธีปองกัน หรือลดการสั่นของแหลงกําเนิดเสียง เชน เครื่องจักร คูมือครู คูมือครู
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี คําอธิบายรายวิชา มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวาปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและ รายวิชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ตรวจสอบได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวาวิทยาศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ภาคเรียนที่ ……… เสร�ม เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน รหัสวิชา ว………………………………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป เสร�ม 14 15 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคนขอมูล วิเคราะห สํารวจ ตรวจสอบ เกี่ยวกับความสัมพันธระหวางแรงกับ ม.4-6 1. ตั้งคําถามที่อยูบนพื้นฐานของความรูและความเขาใจทางวิทยาศาสตร หรือความสนใจ - การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโนมถวง อนุภาคในสนามไฟฟา และอนุภาคในสนามแมเหล็ก แรงนิวเคลียร หรือจากประเด็นที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ที่สามารถทําการสํารวจตรวจสอบหรือศึกษา และแรงไฟฟาระหวางอนุภาคในนิวเคลียส ความสัมพันธระหวางการกระจัด เวลา ความเร็ว และความเรงของ คนควาไดอยางครอบคลุม การเคลื่อนที่ในแนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย สมบัติของคลื่นกล 2. สรางสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับ หรือคาดการณสิ่งที่จะพบ หรือสรางแบบจําลอง หรือ - และอธิบายความสัมพันธระหวางอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น การเกิดคลื่นเสียง บีตสของเสียง ความ สรางรูปแบบ เพื่อนําไปสูการสํารวจตรวจสอบ เขมเสียง ระดับความเขมเสียง การไดยินเสียง คุณภาพเสียง และนําความรูไปใชประโยชน มลพิษทางเสียง 3. คนควารวบรวมขอมูลที่ตองพิจารณาปจจัยหรือตัวแปรสําคัญ ปจจัยที่มีผลตอ - ที่มีตอสุขภาพของมนุษยและเสนอวิธีการปองกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟา สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา และนําเสนอผล ปจจัยอื่น ปจจัยที่ควบคุมไมได และจํานวนครั้งของการสํารวจ ตรวจสอบ การสืบคนขอมูลเกี่ยวกับประโยชนและการปองกันอันตรายจากคลื่นแมเหล็กไฟฟา ปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน ฟวชัน เพื่อใหไดผลที่มีความเชื่อมั่นอยางเพียงพอ และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม 4. เลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยาง 4. 4. 4. 4. 4. 4. 4. - โรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังสี 4. เลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยางเลื ถูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพ ถ ถ ถ ถ ถูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพ บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม 5. รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง - โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการ 5. รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง . รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง . รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง . รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง . รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง 5 5 5 5 ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล อภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคา 6. จัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และ และ. 6. 6. 6. 6. 6. 6. จัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง จัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และจัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และจัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และจัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และจัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และจัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรา 6 - ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่เหมาะสม นําเสนอขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสมําเสนอขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสมําเสนอขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสม นําเสนอขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสม น น 7 7. วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล และประเมินความสอดคลองของขอสรุป หรือ - 7. วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล และประเมินความสอดคลองของขอสรุป หรือ. วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล และประเมินความสอดคลองของขอสรุป หรือ สาระส สาระส สาระส สาระสําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไวําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไวําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไวําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไวําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว สาระส สาระสําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว ตัวชี้วัด 8. พิจารณาความนาเชื่อถือของวิธีการและผลการสํารวจตรวจสอบ โดยใชหลักความคลาด - ว 4.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 เคลื่อนของการวัดและการสังเกต เสนอแนะการปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ ว 4.2 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 9. นําผลของการสํารวจตรวจสอบที่ได ทั้งวิธีการและองคความรูที่ไดไปสรางคําถาม - ว 5.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ใหม นําไปใชแกปญหาในสถานการณใหมและในชีวิตจริง ว 8.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 10. ตระหนักถึงความสําคัญในการที่จะตองมีสวนรวมรับผิดชอบการอธิบาย ลงความเห็น - ม.4-6/10 ม.4-6/11 ม.4-6/12 และการสรุปผลการเรียนรูวิทยาศาสตร ที่นําเสนอตอสาธารณชนดวยความถูกตอง 11. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจตรวจสอบอยางมีเหตุผล ใชพยานหลักฐานอางอิง - รวม 28 ตัวชี้วัด หรือคนควาเพื่อเติม เพื่อหาหลักฐานอางอิงที่เชื่อถือได และยอมรับวาความรูเดิมอาจ มีการเปลี่ยนแปลงได เมื่อมีขอมูลและประจักษพยานใหมเพิ่มเติมหรือโตแยงจากเดิม ซึ่งทาทายใหมีการตรวจสอบอยางระมัดระวัง อันจะนํามาสูการยอมรับเปนความรู 12. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผล - ของโครงงานหรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ คูมือครู คูมือครู
สาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี คําอธิบายรายวิชา มาตรฐาน ว 8.1 ใชกระบวนการทางวิทยาศาสตรและจิตวิทยาศาสตรในการสืบเสาะหาความรู การแกปญหา รูวาปรากฏการณทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นสวนใหญมีรูปแบบที่แนนอน สามารถอธิบายและ รายวิชา แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน กลุมสาระการเรียนรู วิทยาศาสตร ตรวจสอบได ภายใตขอมูลและเครื่องมือที่มีอยูในชวงเวลานั้นๆ เขาใจวาวิทยาศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ภาคเรียนที่ ……… เสร�ม เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอมมีความเกี่ยวของสัมพันธกัน รหัสวิชา ว………………………………… เวลา 60 ชั่วโมง/ป เสร�ม 14 15 ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรียนรูแกนกลาง ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคนขอมูล วิเคราะห สํารวจ ตรวจสอบ เกี่ยวกับความสัมพันธระหวางแรงกับ ม.4-6 1. ตั้งคําถามที่อยูบนพื้นฐานของความรูและความเขาใจทางวิทยาศาสตร หรือความสนใจ - การเคลื่อนที่ของวัตถุในสนามโนมถวง อนุภาคในสนามไฟฟา และอนุภาคในสนามแมเหล็ก แรงนิวเคลียร หรือจากประเด็นที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ที่สามารถทําการสํารวจตรวจสอบหรือศึกษา และแรงไฟฟาระหวางอนุภาคในนิวเคลียส ความสัมพันธระหวางการกระจัด เวลา ความเร็ว และความเรงของ คนควาไดอยางครอบคลุม การเคลื่อนที่ในแนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย สมบัติของคลื่นกล 2. สรางสมมติฐานที่มีทฤษฎีรองรับ หรือคาดการณสิ่งที่จะพบ หรือสรางแบบจําลอง หรือ - และอธิบายความสัมพันธระหวางอัตราเร็ว ความถี่ และความยาวคลื่น การเกิดคลื่นเสียง บีตสของเสียง ความ สรางรูปแบบ เพื่อนําไปสูการสํารวจตรวจสอบ เขมเสียง ระดับความเขมเสียง การไดยินเสียง คุณภาพเสียง และนําความรูไปใชประโยชน มลพิษทางเสียง 3. คนควารวบรวมขอมูลที่ตองพิจารณาปจจัยหรือตัวแปรสําคัญ ปจจัยที่มีผลตอ - ที่มีตอสุขภาพของมนุษยและเสนอวิธีการปองกัน คลื่นแมเหล็กไฟฟา สเปกตรัมคลื่นแมเหล็กไฟฟา และนําเสนอผล ปจจัยอื่น ปจจัยที่ควบคุมไมได และจํานวนครั้งของการสํารวจ ตรวจสอบ การสืบคนขอมูลเกี่ยวกับประโยชนและการปองกันอันตรายจากคลื่นแมเหล็กไฟฟา ปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน ฟวชัน เพื่อใหไดผลที่มีความเชื่อมั่นอยางเพียงพอ และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม พลังงานที่ไดจากปฏิกิริยานิวเคลียร และผลตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน 4. เลือกวัสดุ เทคนิควิธี อุปกรณที่ใชในการสังเกต การวัด การสํารวจตรวจสอบอยาง - โรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังสีีโรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังสีโรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังสีโรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจา โรงไฟฟานิวเคลียร และการนําไปใชประโยชน ชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี การเกิดกัมมันตภาพรังส ถูกตอง ทั้งทางกวางและลึกในเชิงปริมาณและคุณภาพ บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต บอกวิธีการตรวจสอบรังสีในสิ่งแวดลอม การใชประโยชน และผลกระทบต 5. รวบรวมขอมูลและบันทึกผลการสํารวจตรวจสอบอยางเปนระบบ ถูกตอง - โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร การสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการการสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการการสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการการสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการการสืบเสาะหาความรู การสํารวจตรวจสอบ การสืบคนขอมูล และการ โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร โดยใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ครอบคลุมทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ โดยตรวจสอบความเปนไปได ความเหมาะสม หรือความผิดพลาดของขอมูล อภิปราย เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคาื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สาม เพื่อใหเกิดความรู ความคิด ความเขาใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่ไดเรียนรู มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณคา เพ เพ เพ เพ เพ เพ เพ 6. จัดทําขอมูล โดยคํานึงถึงการรายงานผลเชิงตัวเลขที่มีระดับความถูกตอง และ - ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่เหมาะสม ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร ของการนําความรูไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน มีจิตวิทยาศาสตร จริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่เหมาะสมจริยธรรม คุณธรรม และคานิยมที่เหมาะสม นําเสนอขอมูลดวยเทคนิควิธีที่เหมาะสม 7. วิเคราะหขอมูล แปลความหมายขอมูล และประเมินความสอดคลองของขอสรุป หรือ - สาระสําคัญ เพื่อตรวจสอบกับสมมติฐานที่ตั้งไว ตัวชี้วัด 8. พิจารณาความนาเชื่อถือของวิธีการและผลการสํารวจตรวจสอบ โดยใชหลักความคลาด - ว 4.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 เคลื่อนของการวัดและการสังเกต เสนอแนะการปรับปรุงวิธีการสํารวจตรวจสอบ ว 4.2 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 9. นําผลของการสํารวจตรวจสอบที่ได ทั้งวิธีการและองคความรูที่ไดไปสรางคําถาม - ว 5.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 ใหม นําไปใชแกปญหาในสถานการณใหมและในชีวิตจริง ว 8.1 ม.4-6/1 ม.4-6/2 ม.4-6/3 ม.4-6/4 ม.4-6/5 ม.4-6/6 ม.4-6/7 ม.4-6/8 ม.4-6/9 10. ตระหนักถึงความสําคัญในการที่จะตองมีสวนรวมรับผิดชอบการอธิบาย ลงความเห็น - ม.4-6/10 ม.4-6/11 ม.4-6/12 และการสรุปผลการเรียนรูวิทยาศาสตร ที่นําเสนอตอสาธารณชนดวยความถูกตอง 11. บันทึกและอธิบายผลการสํารวจตรวจสอบอยางมีเหตุผล ใชพยานหลักฐานอางอิง - รวม 28 ตัวชี้วัด หรือคนควาเพื่อเติม เพื่อหาหลักฐานอางอิงที่เชื่อถือได และยอมรับวาความรูเดิมอาจ มีการเปลี่ยนแปลงได เมื่อมีขอมูลและประจักษพยานใหมเพิ่มเติมหรือโตแยงจากเดิม ซึ่งทาทายใหมีการตรวจสอบอยางระมัดระวัง อันจะนํามาสูการยอมรับเปนความรู 12. จัดแสดงผลงาน เขียนรายงาน และ/หรืออธิบายเกี่ยวกับแนวคิด กระบวนการ และผล - ของโครงงานหรือชิ้นงานใหผูอื่นเขาใจ คูมือครู คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate 12 ✓ ✓ ✓ ✓ 11 ✓ ✓ ✓ ✓ 10 ✓ ✓ ✓ ✓ ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ ✓ ✓ ✓ ✓ 9 เสร�ม 8 ✓ ✓ ✓ ✓ แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน 16 สาระที่ 8 มาตรฐาน ว 8.1 ตัวชี้วัด 7 6 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 4 5 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ✓ ✓ ✓ ✓ 3 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบความสอดคลองของเน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ผูเรียบเรียง 9 ÇÔà¤ÃÒÐËÁҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅеÑǪÕéÇÑ´ ÃÒÂÇÔªÒ áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ¾Åѧ§Ò¹ Á. 4 - Á. 6 8 ✓ นางอรุณี เรืองวิเศษ 7 ✓ ✓ ผูตรวจ นางอรุณี ศรีสวรรค สาระที่ 5 มาตรฐาน ว 5.1 ตัวชี้วัด 6 5 4 ✓ ✓ ✓ นางสาวอบพวรรณ กายพันธ นายปยะพงษ ทวีพงษ 3 3 ✓ ✓ ✓ ✓ บรรณาธิการ ✓ ✓ ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ 2 2 1 1 ✓ ✓ ✓ นางสาววราภรณ ทวมดี มาตรฐาน ว 4.2 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 3 3 3 2 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ คณะผูจัดทําคูมือครู สาระที่ 4 1 4 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ อบพวรรณ กายพันธ ปยะพงษ ทวีพงษ มาตรฐาน มาตรฐาน ว 4.1 ว 4.1 ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด ตัวชี้วัด 3 2 2 ✓ ✓ ✓ ✓ 1 ✓ พิมพครั้งที่ 1 สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด การเคลื่อนที่ คลื่น กัมมันตรังสีและพลังงาน นิวเคลียร รหัสสินคา 3018003 รหัสสินคา 3048010 ตาราง คําชี้แจง : หนวยการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 1 : หนวยการเรียนรูที่ 2 : สนามของแรง หนวยการเรียนรูที่ 3 : หนวยการเรียนรูที่ 4 : ¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ G ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก EB UIDE ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate 12 ✓ ✓ ✓ ✓ 11 ✓ ✓ ✓ ✓ 10 ✓ ✓ ✓ ✓ ˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ ÃÒÂÇÔªÒ¾×é¹°Ò¹ ✓ ✓ ✓ ✓ 9 เสร�ม 8 ✓ ✓ ✓ ✓ แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน 16 สาระที่ 8 มาตรฐาน ว 8.1 ตัวชี้วัด 7 6 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 4 5 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ✓ ✓ ✓ ✓ 3 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ใหผูสอนใชตารางน�้ตรวจสอบความสอดคลองของเน�้อหาสาระการเรียนรูในหนวยการเรียนรูกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัดชั้นป 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 1 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ ผูเรียบเรียง 9 ÇÔà¤ÃÒÐËÁҵðҹ¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒáÅеÑǪÕéÇÑ´ ÃÒÂÇÔªÒ áçáÅСÒÃà¤Å×è͹·Õè ¾Åѧ§Ò¹ Á. 4 - Á. 6 8 ✓ นางอรุณี เรืองวิเศษ 7 ✓ ✓ ผูตรวจ นางอรุณี ศรีสวรรค สาระที่ 5 มาตรฐาน ว 5.1 ตัวชี้วัด 6 5 4 ✓ ✓ นางสาวอบพวรรณ กายพันธ นายปยะพงษ ทวีพงษ 3 ✓ บรรณาธิการ ✓ ดร.ฤทธิ์ วัฒนชัยยิ่งเจริญ 2 1 ✓ นางสาววราภรณ ทวมดี มาตรฐาน ว 4.2 ตัวชี้วัด 3 2 ✓ ✓ คณะผูจัดทําคูมือครู สาระที่ 4 1 4 ✓ ✓ อบพวรรณ กายพันธ ปยะพงษ ทวีพงษ มาตรฐาน ว 4.1 ตัวชี้วัด 3 2 ✓ ✓ 1 ✓ พิมพครั้งที่ 1 สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ มาตรฐานการเรียนรูและตัวชี้วัด การเคลื่อนที่ คลื่น กัมมันตรังสีและพลังงาน นิวเคลียร รหัสสินคา 3018003 รหัสสินคา 3048010 ตาราง คําชี้แจง : หนวยการเรียนรู หนวยการเรียนรูที่ 1 : หนวยการเรียนรูที่ 2 : สนามของแรง หนวยการเรียนรูที่ 3 : หนวยการเรียนรูที่ 4 : ¤Œ¹¤ÇÒÁÃÙŒ¢ÂÒ¤ÇÒÁ¤Ô´¨Ò¡ G ผาน www.aksorn.com ไปยังแหลงความรูทั่วไทย-ทั่วโลก EB UIDE ที่พิมพกํากับหัวขอสําคัญในหนังสือเรียนหลักสูตรแกนกลางฯ คูมือครู
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate ¤íÒ¹íÒ ¤íÒá¹Ð¹íÒ¡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร นอกจาก หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน เลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียน จะกําหนดมาตรฐานที่ผูเรียนจะตองผานเกณฑการประเมินแลว ยังไดกําหนดตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู การสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 แกนกลางไวอยางชัดเจน ซึ่งเมื่อผูเรียนศึกษาจบแลวจะตองมีคุณลักษณะเปนไปตามที่หลักสูตรกําหนดไว เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียน สําหรับหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอน เลมนี้ ประกอบดวยสาระที่ผูเรียนตองศึกษา 3 สาระ ไดแก สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ สาระที่ 5 พลังงาน และการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําใหผูเรียนไดรับความรูอยางมีประสิทธิภาพ และสาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี µÑǪÕéÇÑ´µÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊٵáíÒ˹´ สําหรับเนื้อหาสาระที่นักเรียนจะไดศึกษาตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง ประกอบไปดวย ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ¾ÔÁ¾ 4 ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРเรื่องการเคลื่อนที่ สนามของแรง คลื่น กัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลียร โดยจะแบงเนื้อหาแยกเปน Íѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤ ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨧‹Ò หนวยการเรียนรู อานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรูตรงตามประเด็ดในสาระการเรียนรูแกนกลาง 1. สนามแมเหล็ก เปนสื่อที่สามารถใชสอนไดจบภายใน 1 ภาคเรียน และเมื่อนําแมเหล็กมาวางไวดวยกันจะสามารถดูดหรือผลักกันได ซึ่ง ประมาณ 4 × 10 -7 เมตร หรือ 400 นาโนเมตร) คราม น้ําเงิน เขียว แมเหล็ก (magnet) คือ สารที่สามารถดูดสารแมเหล็กได 4) แสง (light) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ประสาทตารับรู แมเหล็ก มี 2 ชนิด คือ แมเหล็กถาวร ซึ่งพบอยูในธรรมชาติ และ ไดดวยการมองเห็นแสง ซึ่งมี 7 สี คือ สีมวง (มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด แมเหล็กชั่วคราว ที่เกิดจากการประดิษฐขึ้น ท ท ท ท ท เหลือง แสด และแดง (มีความยาวคลื่นยาวที่สุด ประมาณ 7 × 10 -7 เมตร ทั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนาผูเรียนั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนาผูเรียนั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนาผูเรียนั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนาผูเรียนั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่ substance) เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม โคบอลต แมงกานีส เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 5.6 × 10 -7 เมตร หรือ 560 นาโนเมตร ผงตะไบเหล็ก ลวดหนีบกระดาษ เปนตน จะพบไดวา ผงตะไบเหล็ก หรือ ใหเปนคนที่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น มีความสามารถี่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่นี่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่นี่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่นี่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่นี่มีความรู มีความมุงมั่น มีคว ใหเปนคนท ตัวชี้วัดชวงชั้น ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก 400 cm 500 nm 600 mn 700 nm ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ใหเปนคนท ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ม เ ห ล ็ ก ด ว ย ก ั น น ี ้ ว 5.1 (ม.4-6/5-9) เรียกวา แรงแมเหล็ก (magnetic force) ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ■ อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน ฟวชัน แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง จากสารแมเหล็กได ในการสื่อสาร รูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู สามารถทํางานรวมกับรูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู รูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู รูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิตรูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิตรูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู ■ อภิปรายผลการสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ จ และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน (ที่มาของภาพ : http://www.natural (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ■ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับพลังงานไฟฟาที่ได pole) ซึ่งหากแขวนกึ่งกลางแทงแมเหล็กดวยเชือกเสนเล็กแลวให bodyhealing.com) จากปฏิกิริยานิวเคลียรและผลตอสิ�งมีชีวิต และสิ�งแวดลอม แทงแมเหล็กวางตัวในแนวระดับ และสามารถจะหมุนไดอยางอิสระ 5) รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet rays) มี ความถี่อยูในชวง 10 15 - 10 18 เฮิรตซ ดวงอาทิตยเปนแหลงกําเนิด โรงไฟฟานิวเคลียรและนําความรูไปใช ประโยชน ผูอื่นไดอยางสรางสรรค เปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรม และคานิยมในการใชความรูทางวิทยาศาสตรผูอื่นไดอยางสรางสรรคผูอื่นไดอยางสรางสรรค เปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรม และคานิยมในการใชความรูทางวิทยาศาสตรเปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรมผูอื่นไดอยางสรางสรรค เปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรม และคานิยมในการใชความรูทางวิทยาศาสตร 4 ■ อธิบายการเกิดกัมมันตภาพรังสี และบอก แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปท และคานิยมในการใชความรูทางวิทยาศาสตร ขั้วเหนือ (N) และอีกปลายหนึ่งนั้นจะชี้ไปทางทิศใต เรียกปลายนี้วา รังสีอัลตราไวโอเลตที่สําคัญในระบบสุริยะ บรรยากาศชั้นบนของโลก ■ อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุ กัมมันตรังสี จะดูดกลืนรังสีนี้ เชน ชั้นสตราโทสเฟยร (stratosphere) ประกอบ ขั้วใต (S) ดวยแกสโอโซน (ozone : O 3 ) ซึ่งเกิดจากแกสออกซิเจนทําปฏิกิริยา ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè วิธีการตรวจสอบรังสีในสิ�งแวดลอม การ ตอกัน เมื่อรังสีอัลตราไวโอเลตตกกระทบ แกสโอโซนจะเปลี่ยนรังสี ใชประโยชน ผลกระทบตอสิ�งมีชีวิตและ สิ�งแวดลอม และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแ และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแ และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแ และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแ และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแวดลอมวดลอมวดลอมวดลอมวดลอมวดลอม ป จจุบันสังคมมนุษยขยายตัวมากขึ้น จึงมีการใชประโยชนจากพลังงานตางๆ มากขึ้น ปจจุบันโอโซนบางสวนถูกทําลายดวยแกสที่ใชในทางอุตสาหกรรม เชน และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแ ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕáÅйÔÇà¤ÅÕÂà ฟรีออน ที่ใชทําความเย็นของตูเย็น และใชผสมกับสารบางชนิดใน กระปองสเปรย เปนตน ปจจุบันมักนิยมใชรังสีอัลตราไวโอเลตในการเปลี่ยนสีผิวให อยางไ อยางไรก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม รก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม รก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม รก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม รก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม รก็ตาม เนื่ อยางไ อยางไ จากการเผาไหม แตโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียรก็ยังมีขอเสีย คือ ตองอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ซึ่งเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิดโรคมะเร็ง มากเกินไป เพราะอาจทําใหเกิดมะเร็วผิวหนังหรือตาบอดได โดยควรสวม อยางไ อยางไ อยางไ อยางไ อยางไ เปนสีน้ําตาล รวมทั้งเพื่อการสรางวิตามินดีใหกับผิวหนัง อยางไรก็ตาม ในขณะที่แหลงพลังงานจากเชื้อเพลิงธรรมชาติมีอยูอยางจํากัด จึงมีความพยายามหาแหลง รังสีนี้ก็มีอันตราย ซึ่งตองระวังอันตรายไมใหผิวหนังและลูกนัยนตาถูกรังสี พลังงานอื่นๆ เขามาทดแทน พลังงานนิวเคลียรเปนแหลงพลังงานทางเลือกที่ใหพลังงานอยาง และหันขั้วใตไปทางทิศใตเสมอ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มหาศาลโดยใชวัตถุดิบเพียงเล็กนอยเทานั้น ทั้งยังไมกอปญหาดานฝุนละอองหรือเขมาที่เกิด ภาพที่ 3.37 แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต แวนตาสีดําปองกันไวทุกครั้ง นอกจากนี้การเชื่อมโลหะดวยไฟฟายังทําให ผิวหนังได ดังนั้นผูเรียนพึงศึกษาเพิ่มเติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ จะชวยใหผูเรียนไดรับความรูเพิ่มเติมและเปนปจจุบัน ังนั้นผูเรียนพึงศึกษาเพิ่มเติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ จะชวยใหผูเรียนไดรับความรูเพิ่มเติมและเปนปจจุบัน ังนั้นผูเรียนพึงศึกษาเพิ่มเติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ จะชวยใหผูเรียนไดรับความรูเพิ่มเติมและเปนปจจุบัน ังนั้นผูเรียนพึงศึกษาเพิ่มเติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ จะชวยใหผูเรียนไดรับความรูเพิ่มเติมและเปนปจจุบัน ังนั้นผูเรี เกิดรังสีอัลตราไวโอเลตความเขมสูง ซึ่งจะเปนอันตรายตอนัยนตาจึงจําเปน ด ด ด ด ด ด ด ด ด สารกัมมันตรังสีซึ่งจะกอใหเกิดผลเสียอยางมากตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม 26 72 (ที่มาของภาพ : http://bayhealing.com) ตองสวมแวนสําหรับปองกันโดยเฉพาะ และการดูแลอยางมีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมไมใหเกิดการระเบิดหรือการรั่วไหลของ อันจะชวยใหการจัดการเ อันจะชวยใหการจัดการเ อันจะชวยใหการจัดการเ อันจะชวยใหการจัดการเ อันจะชวยใหการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมายรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมายรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมายรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมายรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมายรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมา อันจะชวยใหการจัดการเ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹ ผ ผ ผ ผ ผูเรียบเร ผ ผ ผูเรียบเรียง ียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียงูเรียบเรียง ผ ผ ผ ผ ผ àÊÃÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁ ¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ¡Ò÷´Åͧ ผ ผ ¤ÇÒÁÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ à¾×èÍ¢ÂÒ¢ͺࢵ¤ÇÒÁÃÙŒ ãËŒ¡Ñº¼ÙŒàÃÕ¹ ÊíÒËÃѺãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹ÇÂÊÌҧ·Ñ¡ÉÐ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅЪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ãËŒÁդسÀÒ¾ µÒÁµÑǪÕéÇÑ´ เสริมประสบการณ พัฒนาทักษะ 2.3 วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร และกัน ซึ่งขั้วแมเหล็กชนิดเดียวกันจะมีแรงผลักกัน แตหากมีขั้วตางกัน สรางนาฬกาที่มีความเที่ยงตรงสูง แตปรากฏวาไมมีใครประดิษฐได จนกระทั่ง อุปกรณ เมื่อนําแมเหล็ก 2 แทง มาวางใกลกัน จะเกิดแรงกระทําซึ่งกัน นาฬกาแบบลูกตุม ผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของตัวนําที่มีกระแสไฟฟาผาน จะมีแรงดูดกัน โดยขั้วเหนือกับขั้วเหนือจะผลักกัน ขั้วใตกับขั้วใตจะผลักกัน เมื่อป ค.ศ. 1600 นักวิทยาศาสตรและนักประดิษฐ ไดพยายามที่จะ สวนขั้วเหนือกับขั้วใตจะดูดกัน สวนขั้วเหนือกับขั้วใตจะดูดกัน คริสเตียน ฮอยเกน นักดาราศาสตรชาวดัตช เปนคนแรกที่ประสบความสําเร็จ 1. แถบอะลูมิเนียมฟอยล 1 แผน 2. เครื่องแปลงกระแสไฟฟาโวลตตํ่า 1 เครื่อง โดยเขาได คนพบวา คาบการแกวงของลูกตุมนาฬกา ขึ้นอยูกับความยาวของ เสนเชือกที่แขวนลูกตุมนาฬกาเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวลของลูกตุม 3. แทงแมเหล็ก 2 แทง 4. หลอดไฟฟา 1 หลอด วิธีทํา ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน มนุษยเริ่มมีการใชนาฬกาแบบลูกตุมมาตั้งแตป ค.ศ. 1659 ซึ่งใน ภาพท ภาพท ภาพที่ 2.4 ขั้วแมเหล็กตางกันจะดูดกัน สวนๆ จะยังคงมีขั้วคูเสมอ ขณะนั้นถือวามีความเที่ยงตรงสูงมาก โดยชิ้นสวนสําคัญของนาฬกาแบบ ภาพที่ 2.4 ขั้วแมเหล็กตางกันจะดูดกัน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ลูกตุม มีดังนี้ 1. นําแถบอะลูมิเนียมฟอยลที่ตออยูกับเครื่องแปลงกระแสไฟฟาโวลตตํ่า ไปวางระหวางแมเหล็ก 2 แทงที่ ภาพที่ 2.3 ขั้วแมเหล็กเหมือนกันจะผลักกัน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : physics for you.) ■ หนาปดมีเข็มชั่วโมง นาที และวินาที หันขั้วตางชนิดกันเขาหากัน โดยจัดใหแผนอะลูมิเนียมฟอยลตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขึ้นมา จะใชสปริงขดเปนวงแทน) 2. กดสวิตชใหกระแสไฟฟาผานแถบอะลูมิเนียมฟอยล สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแถบอะลูมิเนียมฟอยล ■ มีตุมนํ้าหนักจํานวน 1 หรือมากกวา (ถาเปนนาฬกาที่ทันสมัย แลวรีบตัดวงจรทันที ที่แบงออกมายังคงเปนแทงแมเหล็กโดยสมบรูณ คือ มีทั้งขั้วเหนือและ จะแกวง 1 ครั้งตอ 2 วินาที ภาพที่ 1.26 นาิกาแบบลูกตุม 4. ทําการทดลองซํ้า โดยใหกระแสไฟฟาที่ไหลผานแถบอะลูมิเนียมฟอยล มีทิศเดียวกับสนามแมเหล็ก ในกรณีที่นําแทงแมเหล็กมาแบงออกเปนสวนๆ พบวา แตละสวน วินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามาก 3. ทําการทดลองซํ้า โดยกลับทิศของกระแสไฟฟาหรือทิศของสนามแมเหล็ก สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแถบ อะลูมิเนียมฟอยล เปรียบเทียบกับการทดลองในครั้งแรก ■ ลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่ง ขั้วใต โดยไมสามารถแยกขั้วทั้งสองของแมเหล็กออกเปนขั้วแมเหล็ก ขั้วเดี่ยวได (เปนขั้วเหนืออยางเดียว หรือขั้วใตอยางเดียว) จึงอาจ สังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของแถบอะลูมิเนียมฟอยล 5. สรุปผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของแถบอะลูมิเนียมฟอยล 5. สรุปผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของแถบอะลูมิเนียมฟอยล กลาวไดวา แทงแมเหล็กแตละแทงจะมีขั้วคูเสมอ (ที่มาของภาพ : http://www. เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก แมเหล็กจะ ภาพที่ 2.6 ลักษณะเสนแรงแมเหล็ก รอบๆ แทงแมเหล็ก ออกแรงดูดวัตถุนั้น และเมื่อนําเข็มทิศมาวางบริเวณรอบๆ แทงแมเหล็ก ภาพที่ 2.6 ลักษณะเสนแรงแมเหล็ก kingwoodlaser.com) แมเหล็ก อะลูมิเนียมฟอยล (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) จะพบวาเข็มทิศเบี่ยงเบนไปจากทิศทางปกติ ซึ่งเกิดจากมีแรงแมเหล็กที่ กระทําตอเข็มทิศ โดยแรงที่กระทํานี้จะเกิดขึ้นรอบแทงแมเหล็ก ซึ่งบริเวณ อะลูมิเนียมฟอยล รอบแทงแมเหล็กที่แมเหล็กสงแรงกระทําไปถึง เรียกวา สนามแมเหล็ก สนามแมเหล็กไมสามารถมองเห็นได แตสามารถตรวจสอบไดโดย (magnetic fi eld) คําถาม ชวนคิด ใชผงตะไบเหล็ก หรือเข็มทิศ โดยนําแทงแมเหล็กไปวางลงบนกระดาษขาว 2. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย มีความเรงหรือไม เพราะเหตุใด ภาพที่ 2.21 การจัดอุปกรณการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เครื่องแปลงกระแสไฟฟา โรยผงตะไบเหล็กลงบนกระดาษอยางสม่ําเสมอ แลวเคาะเบาๆ จะเห็น การเรียงตัวของผงตะไบเหล็กเปนแนวรอบๆ แทงแมเหล็ก แสดงวา มี โวลตตํ่า motion) ของวัตถุ มีลักษณะอยางไร สนามแมเหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งแนวการเรียงตัวของผงตะไบเหล็กรอบ 1. การเคลื่อนที่แบบครบรอบ (periodic motion) และฮารมอนิกอยางงาย (simple harmonic แทงแมเหล็กนี้ เรียกวา เสนแรงแมเหล็ก (magnetic lines of force) ภาพที่ 2.21 การจัดอุปกรณการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) หรือเสนสนามแมเหล็ก (magnetic fi eld lines) 3. ปจจัยใดบางที่มีผลตอการแกวงของลูกตุมนาฬกา และจะสงผลตอการทํางานของนาฬกา อยางไร สามารถนําไปสรางเปนอุปกรณหรือเครื่องมือชนิดใดไดอีกบาง 24 4. หลักการของการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย นอกจากนําไปสรางนาฬกาแบบลูกตุมแลว EB G UIDE 27 http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/03 36 Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ ¤íÒ¶ÒÁªÇ¹¤Ô´ ໚¹¤íÒ¶ÒÁà¾×èÍ¡Ãе،¹ ¢ŒÍÁÙÅà¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online ¤ÇÒÁ¤Ô´ÊÌҧÊÃä¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate ¤íÒ¹íÒ ¤íÒá¹Ð¹íÒ¡ÒÃ㪌˹ѧÊ×ÍàÃÕ¹ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร นอกจาก หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน เลมนี้ สรางขึ้นเพื่อใหเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียน จะกําหนดมาตรฐานที่ผูเรียนจะตองผานเกณฑการประเมินแลว ยังไดกําหนดตัวชี้วัด และสาระการเรียนรู การสอนในรายวิชาพื้นฐาน กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 แกนกลางไวอยางชัดเจน ซึ่งเมื่อผูเรียนศึกษาจบแลวจะตองมีคุณลักษณะเปนไปตามที่หลักสูตรกําหนดไว เนื้อหาตรงตามสาระการเรียนรูแกนกลางขั้นพื้นฐาน อานทําความเขาใจงาย ใหทั้งความรูและชวยพัฒนาผูเรียน สําหรับหนังสือเรียนสาระการเรียนรูพื้นฐาน แรงและการเคลื่อนที่ พลังงาน ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4-6 ตามหลักสูตรและตัวชี้วัด เนื้อหาสาระแบงออกเปนหนวยการเรียนรูตามโครงสรางรายวิชา สะดวกแกการจัดการเรียนการสอน เลมนี้ ประกอบดวยสาระที่ผูเรียนตองศึกษา 3 สาระ ไดแก สาระที่ 4 แรงและการเคลื่อนที่ สาระที่ 5 พลังงาน และการวัดผลประเมินผล พรอมเสริมองคประกอบอื่นๆ ที่จะชวยทําใหผูเรียนไดรับความรูอยางมีประสิทธิภาพ และสาระที่ 8 ธรรมชาติของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี µÑǪÕéÇÑ´µÒÁ·ÕèËÅÑ¡ÊٵáíÒ˹´ สําหรับเนื้อหาสาระที่นักเรียนจะไดศึกษาตามตัวชี้วัดและสาระการเรียนรูแกนกลาง ประกอบไปดวย ¨Ñ´¡ÅØ‹Áà¹×éÍËÒ໚¹Ë¹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ à¾×èÍãËŒ·ÃÒº¶Ö§à»‡ÒËÁÒÂ㹡ÒÃÈÖ¡ÉÒ à¹×éÍËҵçµÒÁÊÒÃСÒÃàÃÕ¹Ãٌ᡹¡ÅÒ§ Design ˹ŒÒẺãËÁ‹ ÊǧÒÁ Êдǡᡋ¡ÒèѴ¡ÒÃàÃÕ¹¡ÒÃÊ͹ ãËŒ¤ÇÒÁÃÙŒáÅÐàÍ×é͵‹Í¡ÒùíÒä»ãªŒÊ͹à¾×èÍ ¾ÔÁ¾ 4 ÊÕ µÅÍ´àÅ‹Á ª‹ÇÂãˌ͋ҹ ãËŒºÃÃÅصÑǪÕéÇÑ´ áÅÐÊÌҧ¤Ø³ÅѡɳРเรื่องการเคลื่อนที่ สนามของแรง คลื่น กัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลียร โดยจะแบงเนื้อหาแยกเปน Íѹ¾Ö§»ÃÐʧ¤ ·íÒ¤ÇÒÁࢌÒ㨧‹Ò หนวยการเรียนรู อานทําความเขาใจไดงาย ชัดเจน ไดรับความรูตรงตามประเด็ดในสาระการเรียนรูแกนกลาง 1. สนามแมเหล็ก เปนสื่อที่สามารถใชสอนไดจบภายใน 1 ภาคเรียน และเมื่อนําแมเหล็กมาวางไวดวยกันจะสามารถดูดหรือผลักกันได ซึ่ง ประมาณ 4 × 10 -7 เมตร หรือ 400 นาโนเมตร) คราม น้ําเงิน เขียว แมเหล็ก (magnet) คือ สารที่สามารถดูดสารแมเหล็กได 4) แสง (light) เปนคลื่นแมเหล็กไฟฟาที่ประสาทตารับรู แมเหล็ก มี 2 ชนิด คือ แมเหล็กถาวร ซึ่งพบอยูในธรรมชาติ และ แมเหล็ก มี 2 ชนิด คือ แมเหล็กถาวร ซึ่งพบอยูในธรรมชาติ และ ไดดวยการมองเห็นแสง ซึ่งมี 7 สี คือ สีมวง (มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด แมเหล็กชั่วคราว ที่เกิดจากการประดิษฐขึ้น แมเหล็กชั่วคราว ที่เกิดจากการประดิษฐขึ้น แมเหล็กชั่วคราว ที่เกิดจากการประดิษฐขึ้น สารที่ถูกแมเหล็กดูดได เรียกวา สารแมเหล็ก (magnetic เหลือง แสด และแดง (มีความยาวคลื่นยาวที่สุด ประมาณ 7 × 10 -7 เมตร ทั้งนี้คณะผูเรียบเรียงคาดหวังวา จะเปนสื่อสําหรับใชประกอบการเรียนการสอน ที่จะชวยพัฒนาผูเรียน สารที่ถูกแมเหล็กดูดได เรียกวา สารแมเหล็ก (magnetic หรือ 700 นาโนเมตร) ประสาทตาของคนปกติไวตอแสงสีเหลืองแกมเขียว สารที่ถูกแมเหล็กดูดได เรียกวา substance) เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม โคบอลต แมงกานีส substance) เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม โคบอลต แมงกานีส เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม โคบอลต แมงกานีส substance) เชน เหล็ก นิกเกิล อะลูมิเนียม โคบอลต แมงกานีส เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน เปนตน เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก เชน ซึ่งมีความยาวคลื่นประมาณ 5.6 × 10 -7 เมตร หรือ 560 นาโนเมตร ผงตะไบเหล็ก ลวดหนีบกระดาษ เปนตน จะพบไดวา ผงตะไบเหล็ก หรือ ผงตะไบเหล็ก ลวดหนีบกระดาษ เปนตน จะพบไดวา ผงตะไบเหล็ก หรือ ผงตะไบเหล็ก ลวดหนีบกระดาษ เปนตน จะพบไดวา ผงตะไบเหล็ก หรือ ผงตะไบเหล็ก ลวดหนีบกระดาษ เปนตน จะพบไดวา ผงตะไบเหล็ก หรือ ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก ใหเปนคนที่มีความรู มีความมุงมั่น มีความรับผิดชอบ รูจักรับฟงความคิดเห็นของผูอื่น มีความสามารถ ตัวชี้วัดชวงชั้น ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ลวดหนีบกระดาษจะเคลื่อนมาติดแทงแมเหล็ก โดยแทงแมเหล็ก 400 cm 500 nm 600 mn 700 nm ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน ไมตองสัมผัสกับวัตถุนั้นๆ รวมทั้งแทงแมเหล็กยังสามารถออกแรงดัน แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได แมเหล็กแทงอื่นใหเคลื่อนที่ไปยังทิศทางหรือตําแหนงที่ตองการได ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ม เ ห ล ็ ก ด ว ย ก ั น น ี ้ ั น น ี ้ ั น น ี ้ ั น น ี ้ ั น น ี ้ ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ม เ ห ล ็ ก ด ว ย ก ว ย ก ว ย ก ว ย ก ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ม เ ห ล ็ ก ด ล ็ ก ด ล ็ ก ด ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ซ ึ ่ ง แ ร ง ท ี ่ แ ม เ ห ล ็ ก ก ร ะ ท ํ า ต อ ว ั ต ถ ุ ห ร ื อ ก ร ะ ท ํ า ต อ แ ท ง แ ม เ ห ม เ ห ว 5.1 (ม.4-6/5-9) เรียกวา แรงแมเหล็ก (magnetic force) แรงแมเหล็ก (magnetic force) แรงแมเหล็ก (magnetic force) เรียกวา แรงแมเหล็ก (magnetic force) เรียกวา แรงแมเหล็ก (magnetic force) ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา ภาพที่ 2.1 แมเหล็กสามารถดูดวัตถุที่ทํา แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง ■ อธิบายปฏิกิริยานิวเคลียรฟชชัน ฟวชัน แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง จากสารแมเหล็กได ในการสื่อสาร รูจักใชกระบวนการทางวิทยาศาสตร ในการดํารงชีวิต การสืบเสาะหาความรู สามารถทํางานรวมกับ ■ อภิปรายผลการสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ จากสารแมเหล็กได เรียกวา แรงแมเหล็กจะมีอํานาจมากที่สุดบริเวณปลายทั้งสองขางของแทง ภาพที่ 3.36 สเปกตรัมของแสง และความสัมพันธระหวางมวลกับพลังงาน (ที่มาของภาพ : http://www.natural แมเหล็ก เรียกบริเวณปลายแทงแมเหล็กวา ขั้วแมเหล็ก (magnetic แมเหล็ก เรียกบริเวณปลายแทงแมเหล็กวา ขั้วแมเหล็ก (magnetic ขั้วแมเหล็ก (magnetic (ที่มาของภาพ : http://www.natural (ที่มาของภาพ : http://www.natural ขั้วแมเหล็ก (magnetic (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ■ สืบคนขอมูลเกี่ยวกับพลังงานไฟฟาที่ได pole) ซึ่งหากแขวนกึ่งกลางแทงแมเหล็กดวยเชือกเสนเล็กแลวให bodyhealing.com) pole) ซึ่งหากแขวนกึ่งกลางแทงแมเหล็กดวยเชือกเสนเล็กแลวให pole) ซึ่งหากแขวนกึ่งกลางแทงแมเหล็กดวยเชือกเสนเล็กแลวให bodyhealing.com) bodyhealing.com) จากปฏิกิริยานิวเคลียรและผลตอสิ�งมีชีวิต และสิ�งแวดลอม แทงแมเหล็กวางตัวในแนวระดับ และสามารถจะหมุนไดอยางอิสระ แทงแมเหล็กวางตัวในแนวระดับ และสามารถจะหมุนไดอยางอิสระ pole) pole) แทงแมเหล็กวางตัวในแนวระดับ และสามารถจะหมุนไดอยางอิสระ แทงแมเหล็กวางตัวในแนวระดับ และสามารถจะหมุนไดอยางอิสระ 5) รังสีอัลตราไวโอเลต (ultraviolet rays) มี แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ เรียกปลายนี้วา แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ เรียกปลายนี้วา แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ เรียกปลายนี้วา แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ เรียกปลายนี้วา ความถี่อยูในชวง 10 15 - 10 18 เฮิรตซ ดวงอาทิตยเปนแหลงกําเนิด โรงไฟฟานิวเคลียรและนําความรูไปใช ประโยชน ผูอื่นไดอยางสรางสรรค เปนผูมีจิตวิทยาศาสตร มีจริยธรรม และคานิยมในการใชความรูทางวิทยาศาสตร 4 ■ อธิบายการเกิดกัมมันตภาพรังสี และบอก แมเหล็กจะหยุดหมุนเมื่อปลายหนึ่งชี้ไปทางทิศเหนือ เรียกปลายนี้วา อัลตราไวโอเลตเปนความรอน ทําใหรังสีอัลตราไวโอเลตมาถึงโลกนอยลง ขั้วเหนือ (N) และอีกปลายหนึ่งนั้นจะชี้ไปทางทิศใต เรียกปลายนี้วา ขั้วเหนือ (N) และอีกปลายหนึ่งนั้นจะชี้ไปทางทิศใต เรียกปลายนี้วา ขั้วเหนือ (N) และอีกปลายหนึ่งนั้นจะชี้ไปทางทิศใต เรียกปลายนี้วา ขั้วเหนือ (N) และอีกปลายหนึ่งนั้นจะชี้ไปทางทิศใต เรียกปลายนี้วา รังสีอัลตราไวโอเลตที่สําคัญในระบบสุริยะ บรรยากาศชั้นบนของโลก อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุ ■ อธิบายชนิดและสมบัติของรังสีจากธาตุ กัมมันตรังสี จะดูดกลืนรังสีนี้ เชน ชั้นสตราโทสเฟยร (stratosphere) ประกอบ ขั้วใต (S) ขั้วใต (S) ขั้วใต (S) อธิบายการเกิดกัมมันตภาพรังสี และบอก ดวยแกสโอโซน (ozone : O 3 ) ซึ่งเกิดจากแกสออกซิเจนทําปฏิกิริยา ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè วิธีการตรวจสอบรังสีในสิ�งแวดลอม การ การ วิธีการตรวจสอบรังสีในสิ�งแวดลอม ตอกัน เมื่อรังสีอัลตราไวโอเลตตกกระทบ แกสโอโซนจะเปลี่ยนรังสี ใชประโยชน ผลกระทบตอสิ�งมีชีวิตและ สิ�งแวดลอม ใชประโยชน ผลกระทบตอสิ�งมีชีวิตและ และเทคโนโลยีอยางมีคุณธรรมตอสังคมและสิ่งแวดลอม ป จจุบันสังคมมนุษยขยายตัวมากขึ้น จึงมีการใชประโยชนจากพลังงานตางๆ มากขึ้น ปจจุบันโอโซนบางสวนถูกทําลายดวยแกสที่ใชในทางอุตสาหกรรม เชน ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕáÅйÔÇà¤ÅÕÂà ฟรีออน ที่ใชทําความเย็นของตูเย็น และใชผสมกับสารบางชนิดใน กระปองสเปรย เปนตน ปจจุบันมักนิยมใชรังสีอัลตราไวโอเลตในการเปลี่ยนสีผิวให อยางไรก็ตาม เนื่องจากเนื้อหาในหนังสือเรียนเลมนี้ กลาวถึงเทคโนโลยี ตลอดจนวิทยาการสมัยใหม จากการเผาไหม แตโรงไฟฟาพลังงานนิวเคลียรก็ยังมีขอเสีย คือ ตองอาศัยเทคโนโลยีขั้นสูง ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ซึ่งเปนสาเหตุหนึ่งที่ทําใหเกิดโรคมะเร็ง มากเกินไป เพราะอาจทําใหเกิดมะเร็วผิวหนังหรือตาบอดได โดยควรสวม เปนสีน้ําตาล รวมทั้งเพื่อการสรางวิตามินดีใหกับผิวหนัง อยางไรก็ตาม ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ภาพที่ 2.2 การวางตัวของแมเหล็กในแนวทิศเหนือ-ใต โดยแมเหล็กจะหันขั้วเหนือไปทางทิศเหนือ ในขณะที่แหลงพลังงานจากเชื้อเพลิงธรรมชาติมีอยูอยางจํากัด จึงมีความพยายามหาแหลง รังสีนี้ก็มีอันตราย ซึ่งตองระวังอันตรายไมใหผิวหนังและลูกนัยนตาถูกรังสี พลังงานอื่นๆ เขามาทดแทน พลังงานนิวเคลียรเปนแหลงพลังงานทางเลือกที่ใหพลังงานอยาง และหันขั้วใตไปทางทิศใตเสมอ และหันขั้วใตไปทางทิศใตเสมอ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ภาพที่ 3.37 แสงแดดมีรังสีอัลตราไวโอเลต แวนตาสีดําปองกันไวทุกครั้ง นอกจากนี้การเชื่อมโลหะดวยไฟฟายังทําให มหาศาลโดยใชวัตถุดิบเพียงเล็กนอยเทานั้น ทั้งยังไมกอปญหาดานฝุนละอองหรือเขมาที่เกิด ผิวหนังได เกิดรังสีอัลตราไวโอเลตความเขมสูง ซึ่งจะเปนอันตรายตอนัยนตาจึงจําเปน ดังนั้นผูเรียนพึงศึกษาเพิ่มเติมจากแหลงขอมูลสารสนเทศ จะชวยใหผูเรียนไดรับความรูเพิ่มเติมและเปนปจจุบัน สารกัมมันตรังสีซึ่งจะกอใหเกิดผลเสียอยางมากตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอม 26 26 72 (ที่มาของภาพ : http://bayhealing.com) ตองสวมแวนสําหรับปองกันโดยเฉพาะ และการดูแลอยางมีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมไมใหเกิดการระเบิดหรือการรั่วไหลของ อันจะชวยใหการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตรสาระพื้นฐานรายวิชานี้ ประสบผลสําเร็จตามความมุงหมาย à¡ÃÔè¹¹íÒà¾×èÍãˌࢌÒ㨶֧ÊÒÃÐÊíÒ¤ÑÞ ã¹Ë¹‹Ç·Õè¨ÐàÃÕ¹ ผูเรียบเรียง àÊà àÊà àÊà àÊà ¾Ñ²¹Ò·Ñ¡ÉÐÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¡Ô¨¡ÃÃÁ¡Ò÷´Åͧ àÊÃÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁ àÊÃÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁÔÁ»ÃÐʺ¡ÒóÇÔ·ÂÒÈÒʵà ໚¹¢ŒÍÁÙÅàÊÃÔÁ ¤ÇÒÁÃÙŒà¾ÔèÁàµÔÁ¨Ò¡à¹×éÍËÒ à¾×èÍ¢ÂÒ¢ͺࢵ¤ÇÒÁÃÙŒ ãËŒ¡Ñº¼ÙŒàÃÕ¹ ÊíÒËÃѺãËŒ¼ÙŒàÃÕ¹½ƒ¡»¯ÔºÑµÔ à¾×èͪ‹ÇÂÊÌҧ·Ñ¡ÉÐ ÇÔ·ÂÒÈÒʵà áÅЪ‹Ç¾Ѳ¹Ò¼ÙŒàÃÕ¹ãËŒÁդسÀÒ¾ µÒÁµÑǪÕéÇÑ´ เสริมประสบการณ พัฒนาทักษะ 2.3 วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร วิทยาศาสตร และกัน ซึ่งขั้วแมเหล็กชนิดเดียวกันจะมีแรงผลักกัน แตหากมีขั้วตางกัน สรางนาฬกาที่มีความเที่ยงตรงสูง แตปรากฏวาไมมีใครประดิษฐได จนกระทั่ง อุปกรณ เมื่อนําแมเหล็ก 2 แทง มาวางใกลกัน จะเกิดแรงกระทําซึ่งกัน นาฬกาแบบลูกตุม ผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของตัวนําที่มีกระแสไฟฟาผาน จะมีแรงดูดกัน โดยขั้วเหนือกับขั้วเหนือจะผลักกัน ขั้วใตกับขั้วใตจะผลักกัน เมื่อป ค.ศ. 1600 นักวิทยาศาสตรและนักประดิษฐ ไดพยายามที่จะ สวนขั้วเหนือกับขั้วใตจะดูดกัน สวนขั้วเหนือกับขั้วใตจะดูดกัน คริสเตียน ฮอยเกน นักดาราศาสตรชาวดัตช เปนคนแรกที่ประสบความสําเร็จ 1. แถบอะลูมิเนียมฟอยล 1 แผน 2. เครื่องแปลงกระแสไฟฟาโวลตตํ่า 1 เครื่อง โดยเขาได คนพบวา คาบการแกวงของลูกตุมนาฬกา ขึ้นอยูกับความยาวของ เสนเชือกที่แขวนลูกตุมนาฬกาเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวลของลูกตุม 3. แทงแมเหล็ก 2 แทง 4. หลอดไฟฟา 1 หลอด วิธีทํา มนุษยเริ่มมีการใชนาฬกาแบบลูกตุมมาตั้งแตป ค.ศ. 1659 ซึ่งใน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ภาพท ภาพท ภาพที่ 2.4 ขั้วแมเหล็กตางกันจะดูดกัน ภาพที่ 2.5 แทงแมเหล็กที่ถูกตัดออกเปน ลูกตุม มีดังนี้ 1. นําแถบอะลูมิเนียมฟอยลที่ตออยูกับเครื่องแปลงกระแสไฟฟาโวลตตํ่า ไปวางระหวางแมเหล็ก 2 แทงที่ ภาพที่ 2.4 ขั้วแมเหล็กตางกันจะดูดกัน ขณะนั้นถือวามีความเที่ยงตรงสูงมาก โดยชิ้นสวนสําคัญของนาฬกาแบบ สวนๆ จะยังคงมีขั้วคูเสมอ ภาพที่ 2.3 ขั้วแมเหล็กเหมือนกันจะผลักกัน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : physics for you.) ■ หนาปดมีเข็มชั่วโมง นาที และวินาที หันขั้วตางชนิดกันเขาหากัน โดยจัดใหแผนอะลูมิเนียมฟอยลตั้งฉากกับสนามแมเหล็ก (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขึ้นมา จะใชสปริงขดเปนวงแทน) 2. กดสวิตชใหกระแสไฟฟาผานแถบอะลูมิเนียมฟอยล สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแถบอะลูมิเนียมฟอยล ■ มีตุมนํ้าหนักจํานวน 1 หรือมากกวา (ถาเปนนาฬกาที่ทันสมัย แลวรีบตัดวงจรทันที ที่แบงออกมายังคงเปนแทงแมเหล็กโดยสมบรูณ คือ มีทั้งขั้วเหนือและ จะแกวง 1 ครั้งตอ 2 วินาที ภาพที่ 1.26 นาิกาแบบลูกตุม 4. ทําการทดลองซํ้า โดยใหกระแสไฟฟาที่ไหลผานแถบอะลูมิเนียมฟอยล มีทิศเดียวกับสนามแมเหล็ก ในกรณีที่นําแทงแมเหล็กมาแบงออกเปนสวนๆ พบวา แตละสวน วินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามาก 3. ทําการทดลองซํ้า โดยกลับทิศของกระแสไฟฟาหรือทิศของสนามแมเหล็ก สังเกตการเปลี่ยนแปลงของแถบ อะลูมิเนียมฟอยล เปรียบเทียบกับการทดลองในครั้งแรก ■ ลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่ง ขั้วใต โดยไมสามารถแยกขั้วทั้งสองของแมเหล็กออกเปนขั้วแมเหล็ก ขั้วเดี่ยวได (เปนขั้วเหนืออยางเดียว หรือขั้วใตอยางเดียว) จึงอาจ สังเกตและบันทึกการเปลี่ยนแปลงของแถบอะลูมิเนียมฟอยล 5. สรุปผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของแถบอะลูมิเนียมฟอยล 5. สรุปผลของสนามแมเหล็กตอการเคลื่อนที่ของแถบอะลูมิเนียมฟอยล กลาวไดวา แทงแมเหล็กแตละแทงจะมีขั้วคูเสมอ (ที่มาของภาพ : http://www. เมื่อนําแทงแมเหล็กเขาใกลวัตถุที่ทําดวยสารแมเหล็ก แมเหล็กจะ ภาพที่ 2.6 ลักษณะเสนแรงแมเหล็ก รอบๆ แทงแมเหล็ก ออกแรงดูดวัตถุนั้น และเมื่อนําเข็มทิศมาวางบริเวณรอบๆ แทงแมเหล็ก ภาพที่ 2.6 ลักษณะเสนแรงแมเหล็ก kingwoodlaser.com) แมเหล็ก อะลูมิเนียมฟอยล (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) จะพบวาเข็มทิศเบี่ยงเบนไปจากทิศทางปกติ ซึ่งเกิดจากมีแรงแมเหล็กที่ กระทําตอเข็มทิศ โดยแรงที่กระทํานี้จะเกิดขึ้นรอบแทงแมเหล็ก ซึ่งบริเวณ อะลูมิเนียมฟอยล รอบแทงแมเหล็กที่แมเหล็กสงแรงกระทําไปถึง เรียกวา สนามแมเหล็ก (magnetic fi eld) คําถาม สนามแมเหล็กไมสามารถมองเห็นได แตสามารถตรวจสอบไดโดย ชวนคิด ใชผงตะไบเหล็ก หรือเข็มทิศ โดยนําแทงแมเหล็กไปวางลงบนกระดาษขาว 2. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย มีความเรงหรือไม เพราะเหตุใด ภาพที่ 2.21 การจัดอุปกรณการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เครื่องแปลงกระแสไฟฟา โรยผงตะไบเหล็กลงบนกระดาษอยางสม่ําเสมอ แลวเคาะเบาๆ จะเห็น การเรียงตัวของผงตะไบเหล็กเปนแนวรอบๆ แทงแมเหล็ก แสดงวา มี โวลตตํ่า motion) ของวัตถุ มีลักษณะอยางไร สนามแมเหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งแนวการเรียงตัวของผงตะไบเหล็กรอบ 1. การเคลื่อนที่แบบครบรอบ (periodic motion) และฮารมอนิกอยางงาย (simple harmonic แทงแมเหล็กนี้ เรียกวา เสนแรงแมเหล็ก (magnetic lines of force) ภาพที่ 2.21 การจัดอุปกรณการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) หรือเสนสนามแมเหล็ก (magnetic fi eld lines) 3. ปจจัยใดบางที่มีผลตอการแกวงของลูกตุมนาฬกา และจะสงผลตอการทํางานของนาฬกา อยางไร สามารถนําไปสรางเปนอุปกรณหรือเครื่องมือชนิดใดไดอีกบาง 24 4. หลักการของการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย นอกจากนําไปสรางนาฬกาแบบลูกตุมแลว EB G UIDE 27 http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/03 36 Web Guide á¹Ð¹íÒáËÅ‹§¤Œ¹¤ÇŒÒ ¤íÒ¶ÒÁªÇ¹¤Ô´ ໚¹¤íÒ¶ÒÁà¾×èÍ¡Ãе،¹ ¢ŒÍÁÙÅà¾ÔèÁàµÔÁ¼‹Ò¹Ãкº Online ¤ÇÒÁ¤Ô´ÊÌҧÊÃä¢Í§¼ÙŒàÃÕ¹
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Elaborate Evaluate ÊÒúÑÞ เปาหมายการเรียนรู 1 ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè 1 - 26 1. อธิบาย ทดลอง และคํานวณ หาปริมาณตางๆ ที่เกี่ยวของกับ การเคลื่อนที่ในแนวตรง แบบ โพรเจกไทล แบบวงกลม และ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè แบบฮารมอนิกอยางงายได ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õèá¹ÇµÃ§ 2 2. สังเกตและอธิบายลักษณะ ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺâ¾Ãਡä·Å 16 การเคลื่อนที่แบบตางๆ และ ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺǧ¡ÅÁ 19 นําความรูไปประยุกตใชใหเกิด ประโยชนได ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺÎÒÃÁ͹ԡÍ‹ҧ§‹Ò 22 กระตุนความสนใจ จากนั้นรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 2 ʹÒÁ¢Í§áç 27 - 48 ครูใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย ● ʹÒÁáÁ‹àËÅç¡ 28 เครื่องเลนในสวนสนุกพรอมทั้งใช ʹÒÁä¿¿‡Ò ● ʹÒÁä¿¿‡Ò 39 ตัวชี้วัดชวงชั้น คําถามเชื่อมโยงใหเกิดการเรียนรู ʹÒÁ⹌Á¶‹Ç§ ʹÒÁ⹌Á¶‹Ç§ ● ʹÒÁ⹌Á¶‹Ç§ 43 ว 4.2 (ม.4-6/1-3) • เครื่องเลนในสวนสนุกมีลักษณะ การเคลื่อนที่อยางไรบาง áç¹ÔÇà¤ÅÕÂà áç¹ÔÇà¤ÅÕÂà ● ● ● áç¹ÔÇà¤ÅÕÂà 46 ■ อธิบายและทดลองและความสัมพันธระหวาง • นอกจากเครื่องเลนในสวนสนุก การกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรงของการ เคลื่อนที่แนวตรง ■ สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจก ในชีวิตประจําวันของนักเรียนมี ความเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ไทล แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 3 ¤Å×è¹ 49 - 74 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ■ อภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับ อยางไรบาง และแบบฮารมอนิกอยางงาย ● ¤Å×蹡Š50 ● ● ͧ¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ 52 1 ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè ͧ¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ Í§¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ Í§¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ Í§¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ Í§¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ ● ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ 55 ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ ● àÊÕ§áÅСÒÃä´ŒÂÔ¹ 61 ก ารเคลื่อนที่เปนการเปลี่ยนแปลงอยางหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันของเรา ● ¤Å×è¹áÁ‹àËÅç¡ä¿¿‡Ò 67 ไมวาจะเปนการเคลื่อนที่ของตัวเราเอง หรือการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งการเคลื่อนที่ 4 ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕáÅоÅѧ§Ò¹¹ÔÇà¤ÅÕÂà 75- 106 การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรงของวัตถุ โดยการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเกิดขึ้น ของสิ่งตางๆ จะกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ไดแก ระยะทาง ไดหลายรูปแบบ ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล การเคลื่อนที่ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè แบบวงกลม ซึ่งมนุษยสามารถนําความรูเกี่ยวกับการเคลื่อนที่มาใชในประโยชนในชีวิตประจําวันได ● ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕ 76 ● ÃѧÊաѺÁ¹ØÉ 86 ● ¾Åѧ§§Ò¹¹ÔÇà¤ÅÕÂà 97 ºÃóҹءÃÁ 107 บูรณาการสูอาเซียน อาเซียนมีเปาหมายที่จะรวมตัวเปนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 โดยจะมีการเคลื่อนยายสินคา บริการ การลงทุน เงินทุนและแรงงานฝมือไดอยางอิสระ ซึ่งแรงงานฝมือในที่นี้ หมายถึง ผูประกอบวิชาชีพดาน วิศวกร แพทย ทันตแพทย พยาบาล สถาปนิก นักสํารวจ นักบัญชี จะเห็นไดวาความรูทางดานวิทยาศาสตร ลวนแตเปนพื้นฐานที่จะนําไปสูการประกอบอาชีพดังกลาวได ดังนั้น นักเรียนจึงควรใหความสนใจศึกษาวิทยาศาสตร เพื่อพัฒนาตนเองใหมีศักยภาพซึ่งนําไปสูการเปนแรงงานฝมือที่มีคุณภาพของประชาคมอาเซียนในอนาคต คูมือครู 1
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ Engage Explore Explain Expand Evaluate Engage สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Explain Elaborate Evaluate ÊÒúÑÞ เปาหมายการเรียนรู 1 ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õè 1 - 26 1. อธิบาย ทดลอง และคํานวณ หาปริมาณตางๆ ที่เกี่ยวของกับ การเคลื่อนที่ในแนวตรง แบบ โพรเจกไทล แบบวงกลม และ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè แบบฮารมอนิกอยางงายได ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·Õèá¹ÇµÃ§ 2 2. สังเกตและอธิบายลักษณะ ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺâ¾Ãਡä·Å 16 การเคลื่อนที่แบบตางๆ และ ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺǧ¡ÅÁ 19 นําความรูไปประยุกตใชใหเกิด ประโยชนได ● ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèẺÎÒÃÁ͹ԡÍ‹ҧ§‹Ò 22 กระตุนความสนใจ จากนั้นรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 2 ʹÒÁ¢Í§áç 27 - 48 ครูใหนักเรียนดูภาพหนาหนวย ● ʹÒÁáÁ‹àËÅç¡ 28 เครื่องเลนในสวนสนุกพรอมทั้งใช ● ʹÒÁä¿¿‡Ò 39 ตัวชี้วัดชวงชั้น คําถามเชื่อมโยงใหเกิดการเรียนรู ตัวชี้วัดชวงชั้น ตัวชี้วัดชวงชั้น ตัวชี้วัดชวงชั้น ● ʹÒÁ⹌Á¶‹Ç§ 43 ว 4.2 (ม.4-6/1-3) • เครื่องเลนในสวนสนุกมีลักษณะ ว ว ว 4.2 (ม.4-6/1-3)4.2 (ม.4-6/1-3)4.2 (ม.4-6/1-3) การเคลื่อนที่อยางไรบาง ● áç¹ÔÇà¤ÅÕÂà 46 ■ ■ อธิบายและทดลองและความสัมพันธระหวางอธิบายและทดลองและความสัมพันธระหวางอธิบายและทดลองและความสัมพันธระหวางอธิบายและทดลองและความสัมพันธระหวาง • นอกจากเครื่องเลนในสวนสนุก การกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรงของการ การกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรงของการารกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรงของการารกระจัด เวลา ความเร็ว ความเรงของการ ก ก เคลื่อนที่แนวตรงวตรงวตรง ■ ■ สังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจกสังเกตและอธิบายการเคลื่อนที่แบบโพรเจก ในชีวิตประจําวันของนักเรียนมี เคลื่อนที่แน เคลื่อนที่แนวตรง เคลื่อนที่แน ความเกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ไทล แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย ไทล ไทล ไทล ไทล ไทล แบบวงกลม และแบบฮารมอนิกอยางงาย การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ารเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ารเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ารเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ารเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล แบบวงกลม ก ก ก ก ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè 3 ¤Å×è¹ 49 - 74 ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè ■ ■ ■ อภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับอภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับอภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับอภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับอภิปรายผลการสืบคนและประโยชนเกี่ยวกับ อยางไรบาง และแบบฮารมอนิกอยางงาย และแบบฮารมอนิกอยางงาย และแบบฮารมอนิกอยางงาย และแบบฮารมอนิกอยางงาย ● ¤Å×蹡Š50 ¡ÒÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·ÕèÃà¤Å×è͹·Õè ● ͧ¤»ÃСͺ¢Í§¤Å×è¹ 52 1 ¡Ò ¡Ò ¡Ò ¡Ò ¡Ò ¡Ò ¡Ò ¡Ò ● ÊÁºÑµÔ¢Í§¤Å×è¹ 55 ● àÊÕ§áÅСÒÃä´ŒÂÔ¹ 61 ก ารเคลื่อนที่เปนการเปลี่ยนแปลงอยางหนึ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวันของเรา ● ¤Å×è¹áÁ‹àËÅç¡ä¿¿‡Ò 67 ไมวาจะเปนการเคลื่อนที่ของตัวเราเอง หรือการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งการเคลื่อนที่ 4 ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕáÅоÅѧ§Ò¹¹ÔÇà¤ÅÕÂà 75- 106 การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรงของวัตถุ โดยการเคลื่อนที่ของวัตถุสามารถเกิดขึ้น ของสิ่งตางๆ จะกอใหเกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณที่เกี่ยวของกับการเคลื่อนที่ ไดแก ระยะทาง ไดหลายรูปแบบ ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล การเคลื่อนที่ ˹‹Ç¡ÒÃàÃÕ¹ÃÙŒ·Õè แบบวงกลม ซึ่งมนุษยสามารถนําความรูเกี่ยวกับการเคลื่อนที่มาใชในประโยชนในชีวิตประจําวันได ● ¡ÑÁÁѹµÀÒ¾ÃѧÊÕ 76 ● ÃѧÊաѺÁ¹ØÉ 86 ● ¾Åѧ§§Ò¹¹ÔÇà¤ÅÕÂà 97 ºÃóҹءÃÁ 107 บูรณาการสูอาเซียน อาเซียนมีเปาหมายที่จะรวมตัวเปนประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในป พ.ศ. 2558 โดยจะมีการเคลื่อนยายสินคา บริการ การลงทุน เงินทุนและแรงงานฝมือไดอยางอิสระ ซึ่งแรงงานฝมือในที่นี้ หมายถึง ผูประกอบวิชาชีพดาน วิศวกร แพทย ทันตแพทย พยาบาล สถาปนิก นักสํารวจ นักบัญชี จะเห็นไดวาความรูทางดานวิทยาศาสตร ลวนแตเปนพื้นฐานที่จะนําไปสูการประกอบอาชีพดังกลาวได ดังนั้น นักเรียนจึงควรใหความสนใจศึกษาวิทยาศาสตร เพื่อพัฒนาตนเองใหมีศักยภาพซึ่งนําไปสูการเปนแรงงานฝมือที่มีคุณภาพของประชาคมอาเซียนในอนาคต คูมือครู 1
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล สํารวจคนหา ขยายความเขาใจ Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explain Explore Ev Elaborate Explain Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Elaborate Evaluatealuate กระตุนความสนใจ (หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็กกวาฉบับนักเรียน 20%) อธิบายความรู ครูใหนักเรียนดูภาพการแขงขัน ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการ วายนํ้าแลวถามคําถามใหนักเรียน หาระยะทางและการกระจัด แลวให รวมกันแสดงความคิดเห็น 1. การเคลืื่อนที่แนวตรง ตัวอยางที่ 1.1 นักเรียนรวมกันสรุปความแตกตาง • นักกีฬาคนที่สวมหมวกวายนํ้า การเคลื่อนที่แนวตรง เปนการเคลื่อนที่ที่อยูในแนวเสนตรง การเคลื่อนที่ของวัตถุจาก A ไป B ตามแนวเสนทาง ดังภาพที่ 1.2 จงบอกระยะทางและการกระ ระหวางระยะทางและการกระจัด สีเหลืองมีโอกาสชนะหรือไม ซึ่งอาจเคลื่อนที่ไปขางหนาและถอยหลังได เชน รถยนตเคลื่อนที่บน จัดของการเคลื่อนที่ในแตละเสนทาง โดยครูใชคําถามนําเพื่อหาขอสรุป เพราะเหตุใด ถนนตรง นักวายน้ําแขงในลูวาย กอนหินตกลงในแนวดิ่ง วัตถุถูกโยน (1) s 1 B • การเคลื่อนที่ของวัตถุแตละครั้ง (แนวตอบ มีโอกาสหากสามารถ ขึ้นไปในแนวดิ่ง เปนตน ซึ่งการเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีปริมาณตางๆ ระยะทางและการกระจัดที่ (2) เพิ่มความเร็วขึ้น และระยะทาง เกี่ยวของกัน ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรง A ภาพที่ 1.1 (3) s 2 เกิดขึ้นมีลักษณะอยางไร การวายนํ้ายังคงเหลืออยู เมื่อปริมาณใดปริมาณหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงก็จะมีผลใหปริมาณอื่น (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) s 3 (แนวตอบ ระยะทางและ พอสมควร) ภาพที่ 1.1 การแขงขันวายน้ําในลูวาย มี เปลี่ยนแปลงตามไปดวย ภาพที่ 1.2 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) การกระจัดในการเคลื่อนที่มี 2 ลักษณะการเคลื่อนที่ในแนวตรง (ที่มาของภาพ : swimmingpictures.org) 1.1 ระยะทางและการกระจัด วิธีทํา จากภาพที่ 1.2 วัตถุเคลื่อนที่จาก A ไป B ใน 3 เสนทาง ดังนี้ ลักษณะ ดังนี้ สํารวจคนหา การเคลื่อนที่ของวัตถุเปนการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ เชน ขณะ ตามเสนทางที่ (1) ไดระยะทาง = s 1. ระยะทางมากกวาการกระจัด 2. ระยะทางเทากับการกระจัด) 1 การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.1-1.3 ที่รถยนตแลนไปตามถนน การเปลี่ยนตําแหนงจะพิจารณาได ดังนี้ ตามเสนทางที่ (2) ไดระยะทาง = s • จากตัวอยางที่ 1.2 ถาเด็กคนนั้น 2 จากหนา 3-4 แลวบอกความแตกตาง 1) ระยะทาง (distance) คือ ระยะทั้งหมดที่วัดไดตาม การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B วิ่งกลับมายังจุด A ระยะทาง 2 ระหวางระยะทางและการกระจัด แนวการเคล 2 และการกระจัดมีคาเทาใด แนวการเคลื่อนที่จริงของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตนไปจนถึงตําแหนงสุดทายื่อนที่จริงของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตนไปจนถึงตําแหนงสุดทาย แนวการเคลื่อนที่จริงของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตนไปจนถึงตําแหนงสุดทาย ของการเคลื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปนื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปนื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปนื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปนื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปน ของการเคลื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปน ตามเสนทางที่ (3) ไดระยะทาง = s (แนวตอบ ของการเคล ของการเคล ของการเคล ของการเคล 3 ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B ระยะทาง = AB + BA 2 2) การกระจัด (displacement)) การกระจัด (displacement)) การกระจัด (displacement) 2 2 2 2 2 2) การกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดไดในแนว 2) การกระจัด (displacement)) การกระจัด (displacement)) การกระจัด (displacement)) การกระจัด (displacement) เกร็ดแนะครู เสนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอรนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอรนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอรนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอร = 500 + 500 = 1,000 เมตร เส เส เส เสนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอร ครูอาจใหนักเรียนแตละคนบอก ที่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทน ตัวอยางที่ 1.2 การกระจัด = 0 ที่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทนี่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทนี่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทนี่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทน ท ท ท ตําแหนงของเพื่อน และระยะหาง เวกเตอร คือ เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน A ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทาง เนื่องจากเมื่อสิ้นสุดการเคลื่อนที่ เวกเตอร คือ เวกเตอร คือ sss ระหวางตัวนักเรียนกับเพื่อน เพื่อให ด ด ด และการกระจัดของเด็กคนนี้วามีคากี่เมตร แลวไมมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู) ดังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริง ดังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริงังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริงังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริงังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริง เขาใจความแตกตางระหวาง สวนการกระจัดจะขึ้นอยูกับตําแหนงเร่ิมตนและตําแหนงสุดทายของการ C ส ส สวนการกระจัดจะขึ้นอยูกับตําแหนงเร่ิมตนและตําแหนงสุดทายของการวนการกระจัดจะขึ้นอยูกับตําแหนงเร่ิมตนและตําแหนงสุดทายของการวนการกระจัดจะขึ้นอยูกับตําแหนงเร่ิมตนและตําแหนงสุดทายของการ B การกระจัดกับระยะทาง เคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่โดยทั่วไประยะทางจะมีคามากกวาการกระจัด A 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 เคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่โดยทั่วไประยะทางจะมีคามากกวาการกระจัด เสมอ เสมอ เสมอ ภาพที่ 1.3 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เกร็ดแนะครู เสมอ เสมอ เสมอ ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง เสมอ ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s วิธีทํา ระยะทาง วัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A → B → C การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s นักเรียนควรรู เสริมประสบการณ จะได ระยะทาง = 500 เมตร + 250 เมตร ครูควรฝกใหนักเรียนเติมหนวย ของปริมาณตางๆ ทุกครั้งระหวาง วิทยาศาสตร การกระจัด ถาวัตถุเคลื่อนที่โดย ปริมาณทางฟสิกส เปนปริมาณทางกายภาพ แบงออกได 2 ประเภท ดังนี้ = 750 เมตร การคํานวณ เพื่อชวยใหจดจําหนวย มีตําแหนงเริ่มตนและตําแหนง 1. ปริมาณสเกลาร คือ ปริมาณที่บอกแตขนาดเพียงอยางเดียว เชน มวล ระยะทาง อัตราเร็ว เวลา พื้นที่ การกระจัด วัดจากจุดเริ่มตน A ไปในแนวตรงถึงจุดสุดทาย C ของปริมาณตางๆ ไดอยางถูกตอง สุดทายเปนตําแหนงเดียวกัน เชน ปริมาตร ความหนาแนน เปนตน จะได ระยะทาง = 250 เมตร 2. ปริมาณเวกเตอร คือ ปริมาณที่ตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง เชน นํ้้าหนัก การกระจัด แรง ความเร็ว การวิ่งรอบสนามครบ 1 รอบ การ 2. ปริมาณเวกเตอร คือ ปริมาณที่ตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง เชน นํ้้าหนัก การกระจัด แรง ความเร็ว ดังนั้น เด็กคนนี้วิ่งระยะทาง 750 เมตร และมีการกระจัด 250 เมตร กระจัดจะมีคาเปนศูนย เนื่องจาก ความเรง โมเมนต เปนตน มีทิศจาก A ไป C ตอบ ไมมีการเปลี่ยนตําแหนงเมื่อสิ้นสุด การเคลื่อนที่ 2 3 @ มุม IT นักเรียนควรรู ดูการทดลองเสมือนจริงเกี่ยวกับ ระยะทางและการกระจัด ไดจาก ปริมาณเวกเตอร การเขียนปริมาณเวกเตอร www.physics.gatech.edu ทําไดหลายแบบ เชน A , A , a 2 คูมือครู คูมือครู 3
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ สํารวจคนหา Explain Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Explore Evaluatealuate Elaborate Explain Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Elaborate Ev กระตุนความสนใจ (หนาพิมพและตัวอักษรในกรอบนี้มีขนาดเล็กกวาฉบับนักเรียน 20%) อธิบายความรู ครูใหนักเรียนดูภาพการแขงขัน ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการ วายนํ้าแลวถามคําถามใหนักเรียน หาระยะทางและการกระจัด แลวให รวมกันแสดงความคิดเห็น 1. การเคลืื่อนที่แนวตรง ตัวอยางที่ 1.1 นักเรียนรวมกันสรุปความแตกตาง • นักกีฬาคนที่สวมหมวกวายนํ้า การเคลื่อนที่แนวตรง เปนการเคลื่อนที่ที่อยูในแนวเสนตรง การเคลื่อนที่ของวัตถุจาก A ไป B ตามแนวเสนทาง ดังภาพที่ 1.2 จงบอกระยะทางและการกระ ระหวางระยะทางและการกระจัด สีเหลืองมีโอกาสชนะหรือไม ซึ่งอาจเคลื่อนที่ไปขางหนาและถอยหลังได เชน รถยนตเคลื่อนที่บน จัดของการเคลื่อนที่ในแตละเสนทาง โดยครูใชคําถามนําเพื่อหาขอสรุป เพราะเหตุใด ถนนตรง นักวายน้ําแขงในลูวาย กอนหินตกลงในแนวดิ่ง วัตถุถูกโยน (1) s 1 B • การเคลื่อนที่ของวัตถุแตละครั้ง (แนวตอบ มีโอกาสหากสามารถ ขึ้นไปในแนวดิ่ง เปนตน ซึ่งการเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีปริมาณตางๆ ระยะทางและการกระจัดที่ (2) เพิ่มความเร็วขึ้น และระยะทาง เกี่ยวของกัน ไดแก ระยะทาง การกระจัด อัตราเร็ว ความเร็ว และความเรง A ภาพที่ 1.1 (3) s 2 เกิดขึ้นมีลักษณะอยางไร การวายนํ้ายังคงเหลืออยู เมื่อปริมาณใดปริมาณหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงก็จะมีผลใหปริมาณอื่น (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) s 3 (แนวตอบ ระยะทางและ พอสมควร) ภาพที่ 1.1 การแขงขันวายน้ําในลูวาย มี เปลี่ยนแปลงตามไปดวย ภาพที่ 1.2 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) การกระจัดในการเคลื่อนที่มี 2 ลักษณะการเคลื่อนที่ในแนวตรง (ที่มาของภาพ : swimmingpictures.org) 1.1 ระยะทางและการกระจัด วิธีทํา จากภาพที่ 1.2 วัตถุเคลื่อนที่จาก A ไป B ใน 3 เสนทาง ดังนี้ ลักษณะ ดังนี้ สํารวจคนหา การเคลื่อนที่ของวัตถุเปนการเปลี่ยนตําแหนงของวัตถุ เชน ขณะ ตามเสนทางที่ (1) ไดระยะทาง = s 1. ระยะทางมากกวาการกระจัด 2. ระยะทางเทากับการกระจัด) 1 การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.1-1.3 ที่รถยนตแลนไปตามถนน การเปลี่ยนตําแหนงจะพิจารณาได ดังนี้ ตามเสนทางที่ (2) ไดระยะทาง = s • จากตัวอยางที่ 1.2 ถาเด็กคนนั้น 2 จากหนา 3-4 แลวบอกความแตกตาง 1) ระยะทาง (distance) คือ ระยะทั้งหมดที่วัดไดตาม การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B วิ่งกลับมายังจุด A ระยะทาง 2 ระหวางระยะทางและการกระจัด แนวการเคลื่อนที่จริงของวัตถุจากตําแหนงเริ่มตนไปจนถึงตําแหนงสุดทาย 2 และการกระจัดมีคาเทาใด ของการเคลื่อนที่ ระยะทางจะระบุแตขนาดเพียงอยางเดียว จึงจัดวาเปน ตามเสนทางที่ (3) ไดระยะทาง = s (แนวตอบ 3 การกระจัด = s= s การกระจัด ปริมาณสเกลาร มีหนวยเปน เมตร (m) โดยทั่วไปแทนดวยสัญลักษณ s การกระจัด = s มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B มีทิศจาก A ไป B ระยะทาง = AB + BA 2 2 2 2) การกระจัด (displacement) คือ ระยะที่วัดไดในแนว 2) การกระจัด (displacement) เกร็ดแนะครู เสนตรงจากตําแหนงเริ่มตนไปยังตําแหนงสุดทาย ซึ่งเปนปริมาณเวกเตอร = 500 + 500 = 1,000 เมตร ครูอาจใหนักเรียนแตละคนบอก ที่ตองระบุทั้งขนาดและทิศทาง มีหนวยเปนเมตร (m) สัญลักษณแทน ตัวอยางที่ 1.2 การกระจัด = 0 ตําแหนงของเพื่อน และระยะหาง เวกเตอร คือ s เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน A ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทางA ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระย เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน A ไปยังตําแหนง B แลววิ่งยอนกลับไปตําแหนง C จงหาระยะทาง เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน เด็กคนหนึ่งวิ่งจากจุดเร่ิมตน ระหวางตัวนักเรียนกับเพื่อน เพื่อให ดังนั้น จะเห็นไดวาระยะทางขึ้นอยูกับเสนทางการเคลื่อนที่จริง และการกระจัดของเด็กคนนี้วามีคากี่เมตร แลวไมมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู) เขาใจความแตกตางระหวาง สวนการกระจัดจะขึ้นอยูกับตําแหนงเร่ิมตนและตําแหนงสุดทายของการ C B B การกระจัดกับระยะทาง เคลื่อนที่ ในการเคลื่อนที่โดยทั่วไประยะทางจะมีคามากกวาการกระจัด A 50 100 150 200 250 300 350 400 450 500 เสมอ ยกเวนกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปนเสนตรงและไมเปลี่ยนแปลงทิศทาง ภาพที่ 1.3 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เกร็ดแนะครู (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) การกระจัดจะมีขนาดเทากับระยะทาง ซึ่งใชแทนดวยสัญลักษณ s วิธีทํา ระยะทาง ระยะทาง ระยะทาง ระยะทาง ระยะทาง วัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A → B → Cวัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A วัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A วัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A วัดความยาวตามเสนทางวิ่ง A นักเรียนควรรู เสริมประสบการณ จะได ระยะทาง = 500 เมตร + 250 เมตร ครูควรฝกใหนักเรียนเติมหนวย ของปริมาณตางๆ ทุกครั้งระหวาง วิทยาศาสตร การกระจัด ถาวัตถุเคลื่อนที่โดย ปริมาณทางฟสิกส เปนปริมาณทางกายภาพ แบงออกได 2 ประเภท ดังนี้ = 750 เมตร การคํานวณ เพื่อชวยใหจดจําหนวย มีตําแหนงเริ่มตนและตําแหนง 1. ปริมาณสเกลาร คือ ปริมาณที่บอกแตขนาดเพียงอยางเดียว เชน มวล ระยะทาง อัตราเร็ว เวลา พื้นที่ การกระจัด วัดจากจุดเริ่มตน A ไปในแนวตรงถึงจุดสุดทาย C ของปริมาณตางๆ ไดอยางถูกตอง สุดทายเปนตําแหนงเดียวกัน เชน ปริมาตร ความหนาแนน เปนตน จะได ระยะทาง = 250 เมตร 2. ปริมาณเวกเตอร คือ ปริมาณที่ตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง เชน นํ้้าหนัก การกระจัด แรง ความเร็ว การวิ่งรอบสนามครบ 1 รอบ การ 2. ปริมาณเวกเตอร คือ ปริมาณที่ตองบอกทั้งขนาดและทิศทาง เชน นํ้้าหนัก การกระจัด แรง ความเร็ว ดังนั้น เด็กคนนี้วิ่งระยะทาง 750 เมตร และมีการกระจัด 250 เมตร กระจัดจะมีคาเปนศูนย เนื่องจาก ความเรง โมเมนต เปนตน มีทิศจาก A ไป C ตอบ ไมมีการเปลี่ยนตําแหนงเมื่อสิ้นสุด การเคลื่อนที่ 2 3 @ มุม IT นักเรียนควรรู ดูการทดลองเสมือนจริงเกี่ยวกับ ระยะทางและการกระจัด ไดจาก ปริมาณเวกเตอร การเขียนปริมาณเวกเตอร www.physics.gatech.edu ทําไดหลายแบบ เชน A , A , a 2 คูมือครู คูมือครู 3
อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ขยายความเขาใจ อธิบายความรู อธิบายความรู Engage Explore Expand Evaluate Explain Elaborate Evaluatealuatealuate Ev Ev Elaborateate Elabor Explain Explain (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การหาระยะทาง ครูถามคําถามใหนักเรียนแสดง จากแตละจุด สามารถนําระยะหาง ความคิดเห็น ของแตละจุดมารวมกันไดเลยตามวิธี ตัวอยางที่ 1.3 1.2 อัตราเร็วและความเร็ว • ในการเคลื่อนที่นั้น การ มาชากับ การบวก ลบปริมาณสเกลาร แต D นายโจเดินไปตามขอบสนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD ที่มีดาน AB = CD = 4 เมตร ดาน การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งนั้น นอกจากจะคํานึง มาเร็ว มีปริมาณใดที่แตกตาง C การกระจัดตองใชวิธีการแบบเวกเตอร AD = BC = 3 เมตร และระยะ AC = 5 เมตร จงหาระยะทางและการกระจัดที่ ถึงระยะทางและการกระจัดแลว ตองคํานึงถึงเวลาที่ใชเคลื่อนที่ดวย กันบาง หรือลากลูกศรจากจุดเริ่มตนไปยัง นายโจเดินจาก A → B, จาก A → B → C, จาก A → B → C → D ถามีเสนทางใหเลือกหลายเสนทาง โดยทั่วไปจะเลือกเสนทางที่สั้นที่สุด (แนวตอบ หากระยะทางในการ จุดสุดทายเปนเสนตรงแลวจึงวัดขนาด และจาก A → B → C → D → A และใชเวลานอยที่สุด เพื่อใหถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุด ในการ เคลื่อนที่เทากัน การมาถึงชาหรือ A B แขงขันกีฬาหลายประเภท เชน การวิ่งหรือวายน้ําจะใชนาิกาจับเวลา เร็วตางกันนั้น คือการใชเวลา ภาพที่ 1.4 (ที่มาของภาพ : photo ของนักกีฬาแตละคน ซึ่งผูชนะจะเปนผูที่ใชเวลานอยที่สุดในระยะทาง ในการเคลื่อนที่ตางกัน ซึ่งนั่น bank ACT.) ที่กําหนด หมายถึงการใชความเร็วตางกัน นักเรียนควรรู วิธีทํา เดินจาก A → B การบอกวาวัตถุใดเคลื่อนที่เร็วหรือชา จะพิจารณาถึงระยะทาง ภาพที่ 1.5 การหาอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ หากมาชา คือ ใชเวลามาก แสดง ของวัตถุจะคิดเปนอัตราเร็วเฉลี่ยเพราะ AB + BC หาขนาดของ ระยะทาง = การกระจัด ที่ไดหรือการกระจัดเทียบกับเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ ซึ่งเกี่ยวกับ วัตถุเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วไมคงที่ วาใชความเร็วตํ่า ในทางตรงขาม 2 2 ดาน AC ดวยทฤษฎีปทาโกรัส = ระยะ AB ปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุ (ที่มาของภาพ : www.caradvice.com.au) หากมาเร็ว คือใชเวลานอย ของสามเหลี่ยมมุมฉาก = 4 เมตร 1) อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน แสดงวาใชความเร็วสูง) C b = a + c 2 เดินจาก A → B → C 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางโดยไมกําหนดทิศทาง เดินจาก A → B 2 2 ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC b a b = a + c 2 ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC เปนปริมาณสเกลาร แทนดวยสัญลักษณ v 2 = = 4 เมตร + 3 เมตร = 4 เมตร + 3 เมตร4 เมตร + 3 เมตร สํารวจคนหา A c B = ระยะทาง ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.4 -1.6 = 7 เมตร7 เมตร = 7 เมตร การกระจัด เวลา การกระจัด = ระยะจาก A → C= ระยะจาก A = ระยะจาก A = ระยะจาก A อัตราเร็ว = เมื่อ v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) จากหนา 7-8 การกระจัด การกระจัด = = 2 2 2 2 2 2 2 2 หรือ v s s = ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m) ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติกิจกรรม = AB + BCAB + BC + BC + BC + BC + BC + BC + BCAB + BCABABABAB + BC + BC + BC + BC + BC + BC + BC + BC + BCABABABABAB 2 = = √(4 เมตร) + (3 เมตร)(4 เมตร)(4 เมตร)(4 เมตร) = √√√ เกร็ดแนะครู = 2 2 t พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 หนา 15 = = = 5 เมตร 5 เมตร 5 เมตร ครูอาจนําตัวอยางอื่นๆ อีก 2-3 เดินจาก A → B B t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) เดินจาก A → B → C → D D เดินจาก A เดินจาก A B → C → → → เดินจาก A → ตัวอยาง มาใหนักเรียนฝกคํานวณ ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD ถานักเรียนคนใดตอบถูกอาจมีการ = 4 เมตร + 3 เมตร + 4 เมตร ในกรณีการเคลื่อนที่ของวัตถุดวยอัตราเร็วที่ไมเปลี่ยนแปลง เกร็ดแนะครู ใหคะแนนเพิ่ม เพื่อเปนการชวยให = 11 เมตร 11 เมตร แสดงวา วัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวย ครูอาจนําแผนที่ประเทศไทย หรือ แสดงวา วัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวย = = 11 เมตร นักเรียนมีความเขาใจเนื้อหามากขึ้น การกระจัด อัตราเร็วคงที่เสมอไป ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ภาพอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวััน การกระจัด = ระยะจาก A → D = ระยะจาก A = ระยะจาก A = ระยะจาก A = ระยะจาก A = ระยะจาก A การกระจัด การกระจัด การกระจัด การกระจัด = 3 เมตร ซึ่งเคลื่อนที่ไปดวยอัตราเร็วไมเทากันตลอดระยะทาง บางชวงเวลาอาจมีการ มาแสดงประกอบการอธิบายเพิ่มเติม เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว เดินจาก A → B → C → D → A เคล เคล เพื่อใหไดขอสรุปเกี่ยวกับระยะทาง ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD + ระยะ DA ลดลง เพื่อจอดรับผูโดยสาร เมื่อคิดอัตราเร็วโดยรวมตลอดระยะทาง จะคิด และการกระจัด = 4 เมตร + 3 เมตร + 4 เมตร + 3 เมตร เปนอัตราเร็วเฉลี่ย = 7 เมตร ดังนั้น การคํานวณหาอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ จาก การกระจัด = 0 เมตร อัตราสวนระหวางระยะทางทั้งหมดที่เคลื่อนที่ไดกับชวงเวลาที่ใชเคลื่อนที่ จึงเปนการบอกคา อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed : v ) และคาอัตราเร็ว เกร็ดแนะครู av 4 5 ครูอาจแนะนําใหนักเรียน จําสูตรโดยใชกฎสามเหลี่ยม s นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู v t อัตราเร็ว สัตวบกที่วิ่่งเร็วที่สุดในโลก คือ เสือชีตาร อัตราเร็วคงที่ วัตถุที่วางนิ่งนั้นมี ซึ่งสามารถวิ่งไดอัตราเร็วสูงสุดถึง 100 กิโลเมตรตอ อัตราเร็วเปนศูนย ก็ถือวามีอัตราเร็ว ชั่วโมง คงที่เชนกัน 4 คูมือครู คูมือครู 5
อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ อธิบายความรู ขยายความเขาใจ อธิบายความรู Engage Explore Expand Evaluate Explain Elaborate Evaluatealuatealuate Ev Ev Elaborateate Elabor Explain Explain (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) อธิบายความรู (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูอธิบายเพิ่มเติมวา การหาระยะทาง ครูถามคําถามใหนักเรียนแสดง จากแตละจุด สามารถนําระยะหาง ความคิดเห็น ของแตละจุดมารวมกันไดเลยตามวิธี ตัวอยางที่ 1.3 1.2 อัตราเร็วและความเร็ว • ในการเคลื่อนที่นั้น การ มาชากับ การบวก ลบปริมาณสเกลาร แต D นายโจเดินไปตามขอบสนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ABCD ที่มีดาน AB = CD = 4 เมตร ดาน การเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งนั้น นอกจากจะคํานึง มาเร็ว มีปริมาณใดที่แตกตาง C การกระจัดตองใชวิธีการแบบเวกเตอร AD = BC = 3 เมตร และระยะ AC = 5 เมตร จงหาระยะทางและการกระจัดที่ ถึงระยะทางและการกระจัดแลว ตองคํานึงถึงเวลาที่ใชเคลื่อนที่ดวย กันบาง หรือลากลูกศรจากจุดเริ่มตนไปยัง นายโจเดินจาก A → B, จาก A → B → C, จาก A → B → C → D ถามีเสนทางใหเลือกหลายเสนทาง โดยทั่วไปจะเลือกเสนทางที่สั้นที่สุด (แนวตอบ หากระยะทางในการ จุดสุดทายเปนเสนตรงแลวจึงวัดขนาด และจาก A → B → C → D → A และใชเวลานอยที่สุด เพื่อใหถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุด ในการ เคลื่อนที่เทากัน การมาถึงชาหรือ A B แขงขันกีฬาหลายประเภท เชน การวิ่งหรือวายน้ําจะใชนาิกาจับเวลา เร็วตางกันนั้น คือการใชเวลา ภาพที่ 1.4 (ที่มาของภาพ : photo ของนักกีฬาแตละคน ซึ่งผูชนะจะเปนผูที่ใชเวลานอยที่สุดในระยะทาง ในการเคลื่อนที่ตางกัน ซึ่งนั่น bank ACT.) ที่กําหนด หมายถึงการใชความเร็วตางกัน นักเรียนควรรู วิธีทํา เดินจาก A → B การบอกวาวัตถุใดเคลื่อนที่เร็วหรือชา จะพิจารณาถึงระยะทาง ภาพที่ 1.5 การหาอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ หากมาชา คือ ใชเวลามาก แสดง ของวัตถุจะคิดเปนอัตราเร็วเฉลี่ยเพราะ AB + BC หาขนาดของ ระยะทาง = การกระจัด ที่ไดหรือการกระจัดเทียบกับเวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ ซึ่งเกี่ยวกับ วัตถุเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วไมคงที่ วาใชความเร็วตํ่า ในทางตรงขาม 2 2 ดาน AC ดวยทฤษฎีปทาโกรัส = ระยะ AB ปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุ (ที่มาของภาพ : www.caradvice.com.au) หากมาเร็ว คือใชเวลานอย ของสามเหลี่ยมมุมฉาก = 4 เมตร 1) อัตราเร็ว (speed) คือ ระยะทางที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน แสดงวาใชความเร็วสูง) C b = a + c 2 เดินจาก A → B → C 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงระยะทางโดยไมกําหนดทิศทาง 2 2 b a b = a + c 2 ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC เปนปริมาณสเกลาร แทนดวยสัญลักษณ v 2 = 4 เมตร + 3 เมตร สํารวจคนหา A c B = 7 เมตร ระยะทาง ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.4 -1.6 เมื่อ v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = อัตราเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) เมื่อ เมื่อ เมื่อ เมื่อ การกระจัด = ระยะจาก A → C อัตราเร็ว = เมื่อ จากหนา 7-8 เวลา = AB + BCAB + BC + BC 2 หรือ v s s = ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m)= ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m)= ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m)= ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m)= ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m)= ระยะทาง หนวยเปน เมตร (m) ใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติกิจกรรม 2 2 2 s s s s s = 2 เกร็ดแนะครู = √(4 เมตร) + (3 เมตร) 2 t พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 หนา 15 = 5 เมตร t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) )t t t = เวลา หนวยเปน วินาที (= เวลา หนวยเปน วินาที (= เวลา หนวยเปน วินาที (= เวลา หนวยเปน วินาที (s)= เวลา หนวยเปน วินาที ( ครูอาจนําตัวอยางอื่นๆ อีก 2-3 เดินจาก A → B → C → D t t ตัวอยาง มาใหนักเรียนฝกคํานวณ ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD ถานักเรียนคนใดตอบถูกอาจมีการ = 4 เมตร + 3 เมตร + 4 เมตร ในกรณีการเคลื่อนที่ของวัตถุดวยอัตราเร็วที่ไมเปลี่ยนแปลง เกร็ดแนะครู ในกรณีการเคลื่อนที่ของวัตถุดวยอัตราเร็วที่ไมเปลี่ยนแปลง ใหคะแนนเพิ่ม เพื่อเปนการชวยให = 11 เมตร แสดงวา วัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวย ครูอาจนําแผนที่ประเทศไทย หรือ แสดงวา วัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวยวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวยวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวยวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวยวัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวย แสดงวา วัตถุนั้นมีอัตราเร็วคงที่ แตในบางครั้งวัตถุอาจไมไดเคลื่อนที่ดวย แสดงวา แสดงวา แสดงวา แสดงวา นักเรียนมีความเขาใจเนื้อหามากขึ้น การกระจัด = ระยะจาก A → D อัตราเร็วคงที่เสมอไป ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ภาพอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวััน อัตราเร็วคงที่เสมอไป อัตราเร็วคงที่เสมอไป อัตราเร็วคงที่เสมอไป ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง ตัวอยางเชน การเคลื่อนที่ของรถโดยสารประจําทาง อัตราเร็วคงที่เสมอไป อัตราเร็วคงที่เสมอไป อัตราเร็วคงที่เสมอไป = 3 เมตร ซึ่งเคลื่อนที่ไปดวยอัตราเร็วไมเทากันตลอดระยะทาง บางชวงเวลาอาจมีการ มาแสดงประกอบการอธิบายเพิ่มเติม เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว เคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วื่อนที่ดวยอัตราเร็วมาก และบางชวงเวลาอาจมีการเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็ว เดินจาก A → B → C → D → A เคล เพื่อใหไดขอสรุปเกี่ยวกับระยะทาง ระยะทาง = ระยะ AB + ระยะ BC + ระยะ CD + ระยะ DA ลดลง เพื่อจอดรับผูโดยสาร เมื่อคิดอัตราเร็วโดยรวมตลอดระยะทาง จะคิด และการกระจัด = 4 เมตร + 3 เมตร + 4 เมตร + 3 เมตร เปนอัตราเร็วเฉลี่ย = 7 เมตร ดังนั้น การคํานวณหาอัตราเร็วของการเคลื่อนที่ จาก การกระจัด = 0 เมตร อัตราสวนระหวางระยะทางทั้งหมดที่เคลื่อนที่ไดกับชวงเวลาที่ใชเคลื่อนที่ จึงเปนการบอกคา อัตราเร็วเฉลี่ย (average speed : v ) และคาอัตราเร็ว เกร็ดแนะครู av 4 5 ครูอาจแนะนําใหนักเรียน จําสูตรโดยใชกฎสามเหลี่ยม s นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู v t อัตราเร็ว สัตวบกที่วิ่่งเร็วที่สุดในโลก คือ เสือชีตาร อัตราเร็วคงที่ วัตถุที่วางนิ่งนั้นมี ซึ่งสามารถวิ่งไดอัตราเร็วสูงสุดถึง 100 กิโลเมตรตอ อัตราเร็วเปนศูนย ก็ถือวามีอัตราเร็ว ชั่วโมง คงที่เชนกัน 4 คูมือครู คูมือครู 5
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ขยายความเขาใจ อธิบายความรู Explain Explore Engage สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Evaluatealuatealuate Explore Elaborate Evaluate Explain Elaborate Ev Ev Explain Elaborateate Elabor (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูถามคําถามใหนักเรียนแสดง จากโจทยในตัวอยางที่ 1.4 ความคิดเห็น นักเรียนคิดวาอัตราเร็วและความเร็ว • นักเรียนคิดวา ความเร็วตางจาก ของการเคลื่อนที่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือจุดใดจุดหนึ่ง เรียกวา อัตราเร็ว การใชความเร็วบอกปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุ ทําใหเรา จะมีขนาดเทากันหรือไม เพราะเหตุใด อัตราเร็วหรือไม อยางไร ขณะหนึ่ง (instantaneous speed : v) เชน อัตราเร็วในชวงเวลาหนึ่ง ทราบวาการเคลื่อนที่นั้นมีขนาดความเร็วเทาใดและมีทิศทางใด เชน การ (แนวตอบ ไมเทากัน เพราะ t (แนวตอบ ตางกัน โดยอัตราเร็ว ของรถยนตที่กําลังเคลื่อนที่ จะอานคาไดจากมาตรวัดอัตราเร็วของรถยนต บอกความเร็วลม ทําใหทราบวาลมพัดมาทางทิศไหน มีขนาดความเร็ว การกระจัด และระยะทางมี เปนระยะทางที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอัตราเร็วขณะหนึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยสังเกตจากเข็ม มากนอยเพียงใด เพื่อประโยชนสําหรับการเตรียมตัวปองกัน ในกรณีลม ขนาดไมเทากัน) ใน 1 หนวยเวลา เปนปริมาณ ของมาตรวัดที่ไมไดชี้ที่คาเดิมตลอดการเคลื่อนที่ มีความเร็วสูงในลักษณะที่เปนพายุ ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาการคํานวณ สเกลาร สวนความเร็วเปนการ ภาพที่ 1.6 มาตรวัดความเร็วบนหนาปด ถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วคงที่ อัตราเร็วเฉลี่ยและอัตราเร็ว ความเร็วของวัตถุไดจากตัวอยาง ตอไปนี้ กระจัดที่เปลี่ยนแปลงไปใน 1 รถยนตจะบอกอัตราเร็วเทียบกับเวลา ขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับอัตราเร็วคงที่นั้น สํารวจคนหา (ในที่นี้เปนกิโลเมตรตอชั่วโมง) 2) ความเร็ว (velocity) หนวยเวลา เปนปริมาณเวกเตอร) (ที่มาของภาพ : www.seriouswheels. 2) ความเร็ว (velocity) คือ การกระจัดที่เปลี่ยนแปลง ตัวอยางที่ 1.4 ใหนักเรียนลองหาคําตอบจาก com) ไปใน 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงการกระจัด เนื่องจาก จากภาพ มนตรีออกเดินจากจุด A ไป B ไป C จนถึงจุด D ในเวลา 20 วินาที จงหาอัตราเร็วและ ตัวอยางดวยตนเอง การกระจัดเปนปริมาณเวกเตอร ความเร็วจึงเปนปริมาณเวกเตอร ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมนตรี สํารวจคนหา และมีทิศเดียวกันกับการกระจัด ความเร็วแทนดวยสัญลักษณ v B 50 เมตร C ใหนักเรียนพิจารณาสมการของ 40 เมตร 30 เมตร อธิบายความรู อัตราเร็วและความเร็ว และศึกษาวา การกระจัดการกระจัดการกระจัดการกระจัดการกระจัด ครูอธิบายตัวอยางที่ 1.4 โดยอาจ ความเร็ว ความเร็ว เมื่อ เมื่อ v = ความเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = ความเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)v = ความเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) จะสามารถหาปริมาณอื่น เชน การ ความเร็ว = = = เมื่อ A 90 เมตร D เปรียบเทียบการกระจัดเหมือน เวลา เวลา เวลา เวลา เวลา กระจัด ระยะทาง หรือเวลาไดหรือไม s s s s s s s s s s s s s s ภาพที่ 1.7 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ทางลัดที่ทําใหเดินทางไดเร็วกวา s s s s s s โดยการปรับรูปสมการ หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v หรือ v = = = = = = = = = = s = การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m)= การกระจัด หนวยเปน เมตร (m) วิธีทํา ระยะทาง (s) = AB + BC + CD = 40 + 50 + 30 = 120 เมตร ดังนั้น ความเร็ t t หรือเทากับอัตราเร็วเสมอ t = เวลา หนวยเปน วินาที (s)= เวลา หนวยเปน วินาที (s)= เวลา หนวยเปน วินาที (s)= เวลา หนวยเปน วินาที (s)= เวลา หนวยเปน วินาที (s) t t t t t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) ใชเวลา (t) = 20 วินาที อธิบายความรู จาก v s = t 120 เมตร ครูใหนักเรียนออกมาอธิบาย โดยปกต แทนคา v = NET ขอสอบ ป 50 โดยปกต โดยปกต โดยปกต โดยปกติแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการิแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการิแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการิแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการิแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการิแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการ โดยปกต ความแตกตางระหวางอัตราเร็วกับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน ความเร็ว 20 วินาที เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน ี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน ี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน ี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน เปล เปล เปล ความเร็ว จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติม เฉล v = 6 เมตร/ วินาที ชายคนหนึ่งเดินทางไปทางทิศเหนือ เฉลี่ยี่ย (average velocity : v เฉลี่ย (average velocity : v ) ถาความเร็วเกิดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง av วาเหตุใด ความเร็วจึงเปนปริมาณ ของการเคลื่อนที่ ซึ่งเปนชวงเวลาที่มีคานอยมาก เรียกความเร็วขณะนั้นวา ดังนั้น มนตรีเดินดวยอัตราเร็ว = 6 เมตร/วินาที ตอบ 100 เมตร ใชเวลา 60 วินาที แลวเดิน เวกเตอร วาความเร็วที่เกิดจาก ความเร็วขณะหนึ่ง การกระจัด (s) = ระยะ AD = 90 เมตร ตอไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร ความเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous velocity : v) โดยขนาดของ ความเร็วขณะหนึ่ง ความเร็วขณะหนึ่ง ความเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous velocity : v(instantaneous velocity : v การหารการกระจัดซึ่งเปนปริมาณ ความเร t ใชเวลา 40 วินาที เขาเดินทางดวย ความเร ความเร ความเร ความเร็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาด ความเร ความเร ความเร เวกเตอรดวยเวลา ทําใหความเร็ว จะไมเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชเวลา (t) = 20 วินาที อัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด ตองเปนปริมาณเวกเตอรไปดวย ถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ ความเร็วเฉลี่ยและความเร็ว จาก v = s 1. 1.0 m/s 2. 1.4 m/s 3. 2.0 m/s 4. 2.8 m/s ขณะหนึ่งจะมีคาเทากับความเร็วคงที่นั้น และในกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปน t (วิเคราะหคําตอบ 90 เมตร เสนตรงในทิศทางเดียว ขนาดของการกระจัดจะมีคาเทากับระยะทาง ดังนั้น แทนคา v = 20 วินาที หาอัตราเร็ว v = s t ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย นักเรียนควรรู ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชแทนดวยสัญลักษณ v v ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย = 4.5 เมตร/ วินาที 200 = 100 เหมือนกัน ความเร็ว คําวา ความ สื่อถึงปริมาณ ดังนั้น มนตรีเดินดวยความเร็ว = 4.5 เมตร/วินาที ตอบ = 200 m/s ที่เปนเวกเตอร สวนคําวา อัตรา สื่อถึง 6 http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/01 7 ตอบ ขอ 3.) ปริมาณที่เปนสเกลาร ตัวอยางเชน EB G UIDE ความเร็ว อัตราเร็ว ความเรง อัตราเรง เกร็ดแนะครู นักเรียนควรรู ครูอาจยกตัวอยางโจทยที่ไมมี รูปภาพแลวฝกใหนักเรียนวาดภาพ สัญลักษณ v แมความเร็วและอัตราเร็วจะแทนดวยสัญลักษณ v เหมือนกัน แสดงการเคลื่อนที่อยางคราวๆ เพื่อ แตวาความเร็วเปนปริมาณเวกเตอร ตองมีลูกศรกํากับเปน v ทุกครั้ง ใหเห็นภาพการเคลื่อนที่ดวยตนเอง 6 คูมือครู คูมือครู 7
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล ขยายความเขาใจ ขยายความเขาใจ อธิบายความรู Explain Explore Engage สํารวจคนหา Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Ev Ev Explore Elaborate Evaluate Explain Elaborate Evaluatealuatealuate Elabor Elaborateate Explain (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูถามคําถามใหนักเรียนแสดง จากโจทยในตัวอยางที่ 1.4 ความคิดเห็น นักเรียนคิดวาอัตราเร็วและความเร็ว • นักเรียนคิดวา ความเร็วตางจาก ของการเคลื่อนที่ ณ เวลาใดเวลาหนึ่งหรือจุดใดจุดหนึ่ง เรียกวา อัตราเร็ว การใชความเร็วบอกปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุ ทําใหเรา จะมีขนาดเทากันหรือไม เพราะเหตุใด อัตราเร็วหรือไม อยางไร ขณะหนึ่ง (instantaneous speed : v) เชน อัตราเร็วในชวงเวลาหนึ่ง ทราบวาการเคลื่อนที่นั้นมีขนาดความเร็วเทาใดและมีทิศทางใด เชน การ (แนวตอบ ไมเทากัน เพราะ t (แนวตอบ ตางกัน โดยอัตราเร็ว ของรถยนตที่กําลังเคลื่อนที่ จะอานคาไดจากมาตรวัดอัตราเร็วของรถยนต บอกความเร็วลม ทําใหทราบวาลมพัดมาทางทิศไหน มีขนาดความเร็ว การกระจัด และระยะทางมี เปนระยะทางที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอัตราเร็วขณะหนึ่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยสังเกตจากเข็ม มากนอยเพียงใด เพื่อประโยชนสําหรับการเตรียมตัวปองกัน ในกรณีลม ขนาดไมเทากัน) ใน 1 หนวยเวลา เปนปริมาณ ของมาตรวัดที่ไมไดชี้ที่คาเดิมตลอดการเคลื่อนที่ มีความเร็วสูงในลักษณะที่เปนพายุ ซึ่งนักเรียนสามารถศึกษาการคํานวณ สเกลาร สวนความเร็วเปนการ ภาพที่ 1.6 มาตรวัดความเร็วบนหนาปด ถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยอัตราเร็วคงที่ อัตราเร็วเฉลี่ยและอัตราเร็ว ความเร็วของวัตถุไดจากตัวอยาง ตอไปนี้ กระจัดที่เปลี่ยนแปลงไปใน 1 รถยนตจะบอกอัตราเร็วเทียบกับเวลา ขณะใดขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับอัตราเร็วคงที่นั้น สํารวจคนหา (ในที่นี้เปนกิโลเมตรตอชั่วโมง) 2) ความเร็ว (velocity) หนวยเวลา เปนปริมาณเวกเตอร) (ที่มาของภาพ : www.seriouswheels. 2) ความเร็ว (velocity) คือ การกระจัดที่เปลี่ยนแปลง ตัวอยางที่ 1.4 ใหนักเรียนลองหาคําตอบจาก com) ไปใน 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงการกระจัด เนื่องจาก จากภาพ มนตรีออกเดินจากจุด A ไป B ไป C จนถึงจุด D ในเวลา 20 วินาที จงหาอัตราเร็วและ ตัวอยางดวยตนเอง การกระจัดเปนปริมาณเวกเตอร ความเร็วจึงเปนปริมาณเวกเตอร ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมนตรี สํารวจคนหา และมีทิศเดียวกันกับการกระจัด ความเร็วแทนดวยสัญลักษณ v B 50 เมตร C ใหนักเรียนพิจารณาสมการของ 40 เมตร 30 เมตร อธิบายความรู อัตราเร็วและความเร็ว และศึกษาวา การกระจัด ครูอธิบายตัวอยางที่ 1.4 โดยอาจ จะสามารถหาปริมาณอื่น เชน การ ความเร็ว = เมื่อ v = ความเร็ว หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) A 90 เมตร D DD เปรียบเทียบการกระจัดเหมือน เวลา กระจัด ระยะทาง หรือเวลาไดหรือไม s ภาพที่ 1.7 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ทางลัดที่ทําใหเดินทางไดเร็วกวา โดยการปรับรูปสมการ หรือ v = s = การกระจัด หนวยเปน เมตร (m) วิธีทํา ระยะทาง (s) = AB + BC + CD = 40 + 50 + 30 = 120 เมตร ระยะทาง (s) = AB + BC + CD = 40 + 50 + 30 = 120 เมตร ระยะทาง (s) = AB + BC + CD = 40 + 50 + 30 = 120 เมตร ดังนั้น ความเร็วจึงมีคามากกวา t หรือเทากับอัตราเร็วเสมอ = = = 20 วินาที ใชเวลา (t) ใชเวลา (t) ใชเวลา (t) t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) ใชเวลา (t) = 20 วินาที20 วินาที20 วินาที อธิบายความรู จาก v s s s s s s s s จาก v = = = = = จาก v จาก v จาก v t t t t ครูใหนักเรียนออกมาอธิบาย โดยปกติแลวความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีการ แทนคา v = 120 เมตร NET ขอสอบ ป 50 120 เมตร 20 วินาที ความแตกตางระหวางอัตราเร็วกับ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงนิยมบอกความเร็วของวัตถุเปน ความเร็ว 20 วินาที = 6 เมตร/ วินาที ความเร็ว จากนั้นครูอธิบายเพิ่มเติม เฉลี่ย (average velocity : v ) ถาความเร็วเกิดขึ้น ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง v v = 6 เมตร/ วินาที ชายคนหนึ่งเดินทางไปทางทิศเหนือ av วาเหตุใด ความเร็วจึงเปนปริมาณ ของการเคลื่อนที่ ซึ่งเปนชวงเวลาที่มีคานอยมาก เรียกความเร็วขณะนั้นวา ดังนั้น มนตรีเดินดวยอัตราเร็ว = 6 เมตร/วินาที ตอบ 100 เมตร ใชเวลา 60 วินาที แลวเดิน เวกเตอร วาความเร็วที่เกิดจาก ความเร็วขณะหนึ่ง (instantaneous velocity : v) โดยขนาดของ การกระจัด (s) = ระยะ AD ระยะ AD ระยะ AD ระยะ AD ระยะ AD = = = = ตอไปทางตะวันออกอีก 100 เมตร การกระจัด (s) = ระยะ AD = 90 เมตร90 เมตร90 เมตร90 เมตร90 เมตร = 90 เมตร t การหารการกระจัดซึ่งเปนปริมาณ ความเร็วขณะหนึ่งจะเทากับอัตราเร็วขณะหนึ่ง แตขนาดของความเร็วเฉลี่ย ใชเวลา 40 วินาที เขาเดินทางดวย เวกเตอรดวยเวลา ทําใหความเร็ว จะไมเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชเวลา (t) = 20 วินาที อัตราเร็วเฉลี่ยเทาใด ตองเปนปริมาณเวกเตอรไปดวย ถาวัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ ความเร็วเฉลี่ยและความเร็ว จาก v = s 1. 1.0 m/s 2. 1.4 m/s 3. 2.0 m/s 4. 2.8 m/s ขณะหนึ่งจะมีคาเทากับความเร็วคงที่นั้น และในกรณีที่วัตถุเคลื่อนที่เปน t (วิเคราะหคําตอบ 90 เมตร s เสนตรงในทิศทางเดียว ขนาดของการกระจัดจะมีคาเทากับระยะทาง ดังนั้น แทนคา v = 20 วินาที หาอัตราเร็ว v = t ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ใชแทนดวยสัญลักษณ v ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย นักเรียนควรรู ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย ใชแทนดวยสัญลักษณ v v ขนาดของความเร็วเฉลี่ยจะเทากับอัตราเร็วเฉลี่ย = 4.5 เมตร/ วินาที 200 = 100 เหมือนกัน ความเร็ว คําวา ความ สื่อถึงปริมาณ ดังนั้น มนตรีเดินดวยความเร็ว = 4.5 เมตร/วินาที ตอบ = 200 m/s ที่เปนเวกเตอร สวนคําวา อัตรา สื่อถึง 6 http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/01 7 ตอบ ขอ 3.) ปริมาณที่เปนสเกลาร ตัวอยางเชน EB G UIDE ความเร็ว อัตราเร็ว ความเรง อัตราเรง เกร็ดแนะครู นักเรียนควรรู ครูอาจยกตัวอยางโจทยที่ไมมี รูปภาพแลวฝกใหนักเรียนวาดภาพ สัญลักษณ v แมความเร็วและอัตราเร็วจะแทนดวยสัญลักษณ v เหมือนกัน แสดงการเคลื่อนที่อยางคราวๆ เพื่อ แตวาความเร็วเปนปริมาณเวกเตอร ตองมีลูกศรกํากับเปน v ทุกครั้ง ใหเห็นภาพการเคลื่อนที่ดวยตนเอง 6 คูมือครู คูมือครู 7
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Evaluate Expand Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ใหนักเรียนลองหาคําตอบจาก ครูใหนักเรียนดูภาพนักวิ่งแลว ตัวอยางดวยตนเอง ถามคําถามใหนักเรียนชวยกัน ตัวอยางที่ 1.5 1.3 ความเรง ยกตัวอยางสถานการณที่คลายกัน สุนทรซอมวิ่งรอบสนามรูปวงกลมที่มีความยาวเสนรอบวง 400 เมตร ครบ 3 รอบ ใชเวลา 3 นาที บางครั้งการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีความเร็วเพ่ิมขึ้นหรือลดลง กับสถานการณนี้ อธิบายความรู จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของสุนทร และมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเคลื่อนที่ได การเคลื่อนที่ที่มีการ ครูถามคําถามใหนักเรียนรวมกัน ครูอธิบายตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เปลี่ยนแปลงขนาดหรือทิศทางของความเร็ว จะเรียกวา การเคลื่อนที่ แสดงความคิดเห็น วิธีการหาอัตราเร็วและความเร็ว แลว วิธีทํา ระยะทางที่ว่ิงได (s) = 400 x 3 = 1,200 เมตร แบบมีความเรง • นักเรียนเคยไดยินคําวา ความเรง ใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและสรุป ความเรง (acceleration) หมายถึง ความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปใน หรือไม แลวคิดวามันคืออะไร ใชเวลา (t) 3 นาที = ความแตกตางระหวางอัตราเร็วและ ใชเวลา (t) 3 นาที = 3 x 60 = 180 วินาที3 x 60 = 180 วินาที 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว เปนปริมาณเวกเตอร (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น = ความเร็ว จาก v s ซึ่งทิศทางของความเรงจะเปนทิศเดียวกันกับความเร็วที่เปลี่ยนไปเสมอ ภาพที่ 1.8 นักวิ่งเพ่ิมความเร็วในการวิ่ง ของนักเรียน) t = ดังนั้น สุนทรวิ่งดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 1,200 เมตร = 6.68 เมตร/วินาที ตอบ ถาพิจารณาอัตราความเร็วที่ปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เรียกวา ความเรง เพื่อแซงคูแขงขัน ซึ่งทําใหเกิดความเรง • การเรงฝเทาหมายถึงอะไร เกี่ยวกับความเรงหรือไม (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขยายความเขาใจ การกระจัด (s) = 0 180 วินาที เนื่องจากวิ่งครบรอบ เฉลี่ย (average acceleration : a ) และถาชวงเวลาที่พิจารณามี (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น av คานอยมากหรือการเปลี่ยนแปลงความเร็วเกิดขึ้นในชวงเวลาสั้นหรือ ครูใหนักเรียนยกตัวอยางโจทย ใชเวลา (t) 3 นาที = 3 นาที x 60 = 180 วินาที ชวงเวลาที่มีคานอยมาก เรียกวา ความเรงขณะหนึ่ง (instantaneous ของนักเรียน) คํานวณหาปริมาณอื่นๆ เมื่อกําหนด acceleration : a) t จาก v จาก v จาก v จาก v = = = = = จาก v จาก v อัตราเร็วหรือความเร็วมาให โดยอาจ จาก v = = s เมื่อการเคลื่อนที่ของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยาง t ปรับจากตัวอยางในหนังสือเรียน สม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคา สํารวจคนหา 0 0 0 ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย = = สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย ดังนั้น สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย = = = = = = = = = = ครูเพิ่มเติมวิธีการปรับคาจาก ดังนั้น 180 วินาที = 0 ตอบ ของความเรงเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่ ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.7 - 1.9 180 วินาที 180 วินาที 180 วินาที 180 วินาที เมตร/วินาที เปนหนวยอื่น เชน ของวัตถุนั้น กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v < u ) ความเรง จากหนา 10-11 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวอยางที่ 1.61.61.61.61.61.6 ( a ) จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก ) จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก ตัวอยางที่ ตัวอยางที่ ตัวอยางที่ ตัวอยางที่ ตัวอยางที่ ตัวอยางที่ 1.6 นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ 6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ ความเรง ( a ) ที่เปนลบวา ความหนวง (decelerate) อธิบายความรู นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ เหนื่อย จึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ย ครูใหนักเรียนแบงกลุมกัน แตละ เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย เหนื่อย จึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ย เหนื่อย จึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ยจึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ยจึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ยจึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ยจึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ยจึงเดินดวยอัตราเร นักเรียนควรรู ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ความเรง (a) = = = v - u กลุมยกตัวอยางการเคลื่อนที่ที่มี ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไป Δv s sssssss จะได v v = = v = v = v = จะได จาก จาก จาก จาก ใชเวลา (t) 3 นาที ในการคํานวณ วิธีทํา จาก t = t = เวลา Δt t ความเรงแลวอธิบายใหเพื่อนๆ ฟง s t t 2 2 ตองปรับคาปริมาณตางๆ ใหอยูใน 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร 180 เมตร เมื่อ a = = = = = = = = = = = = = = = = = เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก 180 เมตร หนวยมูลฐาน เชน กิโลเมตรเปน เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก 6 เมตร/วินาที = 30 วินาที Δv = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) การเคลื่อนที่นั้นๆ มีความเรง 6 เมตร/วินาที 6 เมตร/วินาที เมตร กรัมเปนกิโลกรัม นาทีเปน เวลาที่ใชในการเดิน 220 เมตร ตอมา = = 110 วินาที u = ความเร็วตน หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) 220 เมตร วินาที เปนตน 2 เมตร/วินาที ดังนั้น เวลารวมที่ใชทั้งหมด = 30 วินาที + 110 วินาที = 140 วินาที v = ความเร็วปลาย หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) นักเรียนควรรู ไดระยะทาง = 180 เมตร + 220 เมตร = 400 เมตร Δt = เวลาที่เปลี่ยนไป หนวยเปน วินาที (s) นักเรียนควรรู t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) มีคาเปนลบ หากความเรงมีคาเปน ลบ ไมไดแสดงวาความเรงมีคานอย 400 เมตร อัตราเร็วเฉลี่ย การหาอัตราเร็ว ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ยการเคลื่อนที่นี้ = = 2.86 เมตร/ วินาที ตอบ แตแสดงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ของ 140 วินาที เฉลี่ย หามนําอัตราเร็วแตละชวง วัตถุ เนื่องจากความเรงเปนปริมาณ มารวมกันแลวหารดวยจํานวนชวง 8 9 เวกเตอร จึงตองบอกทิศทางดวย เหมือนอยางการหาความสูงเฉลี่ย ของเด็กในหองหรือนํ้าหนักตัวเฉลี่ย แตตองคํานวณตามนิยาม คือ ตองหา @ อัตราสวนของระยะทางทั้งหมดตอ NET ขอสอบ ป 52 (วิเคราะหคําตอบ (วิเคราะหคําตอบ มุม IT เวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ทั้งหมด เด็กคนหนึ่งวิ่งเปนเสนตรงไปทางขวา 20 เมตร ในเวลา 4 วินาที การกระจัดทั้งหมด s = 20 - 2 m การกระจัดทั้งหมด s = 20 - 2 m ศึกษาการทดลองเสมือนจริงเกี่ยว จากนั้นก็หันกลับแลววิ่งเปนเสนตรงไปทางซายอีก 2 เมตร เวลาที่ใชทั้งหมด t = 5 sเวลาที่ใชทั้งหมด t = 5 s กับความเรง ไดจาก www.atom. ในเวลา 1 วินาที ขนาดความเร็วเฉลี่ยของเด็กคนนี้เปนตามขอใด ∴ ∴ ความเร็วเฉลี่ย v = s = 18 ความเร็วเฉลี่ย v = s = 18 rmutphystes.com t 5 8 คูมือครู 1. 3.5 เมตรตอนาที 2. 3.6 เมตรตอวินาที = 3.6 m/s = 3.6 m/s คูมือครู 9 3. 6.0 เมตรตอวินาที 4. 7.0 เมตรตอวินาที ตอบ ขอ 2.) ตอบ ขอ 2.)
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Evaluate Expand Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ใหนักเรียนลองหาคําตอบจาก ครูใหนักเรียนดูภาพนักวิ่งแลว ตัวอยางดวยตนเอง ถามคําถามใหนักเรียนชวยกัน ตัวอยางที่ 1.5 1.3 ความเรง ยกตัวอยางสถานการณที่คลายกัน สุนทรซอมวิ่งรอบสนามรูปวงกลมที่มีความยาวเสนรอบวง 400 เมตร ครบ 3 รอบ ใชเวลา 3 นาที บางครั้งการเคลื่อนที่ของวัตถุอาจมีความเร็วเพ่ิมขึ้นหรือลดลง กับสถานการณนี้ อธิบายความรู จงหาอัตราเร็วเฉลี่ยและความเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของสุนทร และมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเคลื่อนที่ได การเคลื่อนที่ที่มีการ ครูถามคําถามใหนักเรียนรวมกัน ครูอธิบายตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับ เปลี่ยนแปลงขนาดหรือทิศทางของความเร็ว จะเรียกวา การเคลื่อนที่ แสดงความคิดเห็น วิธีการหาอัตราเร็วและความเร็ว แลว วิธีทํา ระยะทางที่ว่ิงได (s) = 400 x 3 = 1,200 เมตร แบบมีความเรง • นักเรียนเคยไดยินคําวา ความเรง ใหนักเรียนรวมกันวิเคราะหและสรุป ความเรง (acceleration) หมายถึง ความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไปใน หรือไม แลวคิดวามันคืออะไร ใชเวลา (t) 3 นาที = ความแตกตางระหวางอัตราเร็วและ ใชเวลา (t) 3 นาที = 3 x 60 = 180 วินาที3 x 60 = 180 วินาที 1 หนวยเวลา หรืออัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว เปนปริมาณเวกเตอร (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น ความเร็ว จาก v s ซึ่งทิศทางของความเรงจะเปนทิศเดียวกันกับความเร็วที่เปลี่ยนไปเสมอ ภาพที่ 1.8 นักวิ่งเพ่ิมความเร็วในการวิ่ง ของนักเรียน) = t = ดังนั้น สุนทรวิ่งดวยอัตราเร็วเฉลี่ย 1,200 เมตร = 6.68 เมตร/วินาที ตอบ ถาพิจารณาอัตราความเร็วที่ปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด เรียกวา ความเรง เพื่อแซงคูแขงขัน ซึ่งทําใหเกิดความเรง • การเรงฝเทาหมายถึงอะไร เกี่ยวกับความเรงหรือไม (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ขยายความเขาใจ การกระจัด (s) = 0 180 วินาที เนื่องจากวิ่งครบรอบ เฉลี่ย (average acceleration : a ) และถาชวงเวลาที่พิจารณามี (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น av คานอยมากหรือการเปลี่ยนแปลงความเร็วเกิดขึ้นในชวงเวลาสั้นหรือ ครูใหนักเรียนยกตัวอยางโจทย ใชเวลา (t) 3 นาที = 3 นาที x 60 = 180 วินาที ชวงเวลาที่มีคานอยมาก เรียกวา ความเรงขณะหนึ่ง (instantaneous ของนักเรียน) คํานวณหาปริมาณอื่นๆ เมื่อกําหนด acceleration : a) t อัตราเร็วหรือความเร็วมาให โดยอาจ จาก v = s เมื่อการเคลื่อนที่ของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยาง เมื่อการเคลื่อนที่ของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยาง เมื่อการเคลื่อนที่ของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยาง เมื่อการเคลื่อนที่ของวัตถุมีการเปลี่ยนแปลงความเร็วอยาง t ปรับจากตัวอยางในหนังสือเรียน สม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคา สํารวจคนหา ส ส ส สม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคาม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคาม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคาม่ําเสมอ ไมวาจะเปนชวงเวลาใด แสดงวา วัตถุนั้นมีความเรงคงที่ ซึ่งคา 0 ครูเพิ่มเติมวิธีการปรับคาจาก ดังนั้น สุนทรวิ่งดวยความเร็วเฉลี่ย = 180 วินาที = 0 ตอบ ของความเร ใหนักเรียนศึกษาตัวอยางที่ 1.7 - 1.9 ของความเรงเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่ี่งเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่งเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่งเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่งเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่งเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงที่ ของความเร ของความเรงเฉลี่ยและคาความเรงขณะหนึ่ง จะมีคาเทากับความเรงคงท ของความเร ของความเร ของความเร เมตร/วินาที เปนหนวยอื่น เชน ของวัตถุนั้น จากหนา 10-11 ของวัตถุนั้น ของวัตถุนั้น ของวัตถุนั้น กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v < u) ความเรง ) ความเรง กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v < u) ความเรง กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v ของวัตถุนั้น กรณีที่วัตถุเคลื่อนที่ดวยความเร็วลดลง (v < u ) ความเรง กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวอยางที่ 1.6 ( a ) จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก ) จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก ) จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก จะมีคาเปนลบและมีทิศตรงขามกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ เรียก ) ) ) ความหนวง (decelerate) ความหนวง (decelerate) ความหนวง (decelerate) นพพรวิ่งออกกําลังกายดวยอัตราเร็วคงที่ 6 เมตร/ วินาที เมื่อวิ่งไดระยะทาง 180 เมตร เขารูสึก ความเรง ( a ) ที่เปนลบวา ความหนวง (decelerate) อธิบายความรู เหนื่อย จึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ย ครูใหนักเรียนแบงกลุมกัน แตละ เหนื่อย จึงเดินดวยอัตราเร็วคงที่ 2 เมตร/ วินาที ในระยะทาง 220 เมตรตอมา อัตราเร็วเฉลี่ย นักเรียนควรรู ในการวิ่งออกกําลังกายของนพพรมีคาเทาใด ความเรง (a) = = Δvv = = = = v v v - u กลุมยกตัวอยางการเคลื่อนที่ที่มี Δ ความเร็วที่เปลี่ยนแปลงไป Δv v - u t t t Δ s จะได v = ใชเวลา (t) 3 นาที ในการคํานวณ วิธีทํา จาก s t = เวลา Δt t t t t ความเรงแลวอธิบายใหเพื่อนๆ ฟง t t หนวยเปน เมตร/วินาที 2 เมื่อ a = ความเรง 2 ตองปรับคาปริมาณตางๆ ใหอยูใน 180 เมตร เมื่อ a = ความเรง หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s ) วาเปนอยางไร หรืออะไรบงบอกวา = หนวยมูลฐาน เชน กิโลเมตรเปน เวลาที่ใชในการวิ่ง 180 เมตร แรก 6 เมตร/วินาที = 30 วินาที Δv = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) การเคลื่อนที่นั้นๆ มีความเรง v v v v v v v = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที = ความเร็วที่เปลี่ยนไป หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s)(m/s) เมตร กรัมเปนกิโลกรัม นาทีเปน เวลาที่ใชในการเดิน 220 เมตร ตอมา = = 110 วินาที u = ความเร็วตน หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) 220 เมตร วินาที เปนตน 2 เมตร/วินาที ดังนั้น เวลารวมที่ใชทั้งหมด = 30 วินาที + 110 วินาที = 140 วินาที v = ความเร็วปลาย หนวยเปน เมตร/วินาที (m/s) นักเรียนควรรู ไดระยะทาง = 180 เมตร + 220 เมตร = 400 เมตร Δt = เวลาที่เปลี่ยนไป หนวยเปน วินาที (s) นักเรียนควรรู t = เวลา หนวยเปน วินาที (s) มีคาเปนลบ หากความเรงมีคาเปน ลบ ไมไดแสดงวาความเรงมีคานอย 400 เมตร อัตราเร็วเฉลี่ย การหาอัตราเร็ว ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ยการเคลื่อนที่นี้ = = 2.86 เมตร/ วินาที ตอบ แตแสดงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ของ 140 วินาที เฉลี่ย หามนําอัตราเร็วแตละชวง วัตถุ เนื่องจากความเรงเปนปริมาณ มารวมกันแลวหารดวยจํานวนชวง 8 9 เวกเตอร จึงตองบอกทิศทางดวย เหมือนอยางการหาความสูงเฉลี่ย ของเด็กในหองหรือนํ้าหนักตัวเฉลี่ย แตตองคํานวณตามนิยาม คือ ตองหา @ อัตราสวนของระยะทางทั้งหมดตอ NET ขอสอบ ป 52 (วิเคราะหคําตอบ (วิเคราะหคําตอบ มุม IT เวลาที่ใชในการเคลื่อนที่ทั้งหมด เด็กคนหนึ่งวิ่งเปนเสนตรงไปทางขวา 20 เมตร ในเวลา 4 วินาที การกระจัดทั้งหมด s = 20 - 2 m การกระจัดทั้งหมด s = 20 - 2 m ศึกษาการทดลองเสมือนจริงเกี่ยว จากนั้นก็หันกลับแลววิ่งเปนเสนตรงไปทางซายอีก 2 เมตร เวลาที่ใชทั้งหมด t = 5 sเวลาที่ใชทั้งหมด t = 5 s กับความเรง ไดจาก www.atom. ในเวลา 1 วินาที ขนาดความเร็วเฉลี่ยของเด็กคนนี้เปนตามขอใด ∴ ∴ ความเร็วเฉลี่ย v = s = 18 ความเร็วเฉลี่ย v = s = 18 rmutphystes.com t 5 8 คูมือครู 1. 3.5 เมตรตอนาที 2. 3.6 เมตรตอวินาที = 3.6 m/s = 3.6 m/s คูมือครู 9 4. 7.0 เมตรตอวินาที 3. 6.0 เมตรตอวินาที ตอบ ขอ 2.) ตอบ ขอ 2.)
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล Engage Evaluate Engage Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ใหนักเรียนศึกษาตัวอยาง 1.9 เครื่องเคาะสัญญาณเวลาจากแหลง จากหนา 11 เรียนรู และจากเสริมประสบการณ ตัวอยางที่ 1.7 ทําใหเกิดรอยจุดบนแถบกระดาษจํานวน 50 ชวงจุด ใน 1 วินาที ดังนั้น วิทยาศาสตร หนา 11 รวมทั้งศึกษา รถยนตคันหนึ่งกําลังแลนบนเสนทางตรงดวยความเร็ว 5 เมตร/วินาที เมื่อเวลาผานไป 4 วินาที ระยะ 1 ชวงจุด ใชเวลา 1/50 วินาที ซึ่งสามารถนําจุดบนแถบกระดาษ วิธีการใชจากกิจกรรมพัฒนาทักษะ ความเร็วเปลี่ยนเปน 17 เมตร/วินาที รถยนตคันนี้มีความเรงเทาใด ไปหาอัตราเร็วของวัตถุได โดยชวงเวลาการเคลื่อนที่ของวัตถุ คํานวณ อธิบายความรู วิทยาศาสตร 1.1 หนา 15 ไดจากจํานวนชวงจุดคูณดวย 1/50 สวนระยะทางที่เคลื่อนที่จะ ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย วิธีทํา จาก v - u วัดจากระยะหางระหวางชวงจุดนั้น และสรุปขอมูลเกี่ยวกับเครื่องเคาะ a = t สัญญาณเวลา 17 เมตร/วินาที - 5 เมตร/วินาที อธิบายความรู ดังนั้น รถยนตมีความเรง = ตัวอยาง 1.9 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีหา 4 วินาที การเคลื่อนที่ของวัตถุจาก A ไป B ตามแนวเสนทาง ดังภาพ ครูอธิบายตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับ = 3 เมตร/วินาที 2 ตอบ เวลา 0 3 อัตราเร็วเฉลี่ยจากแถบกระดาษ 1 2 วิธีการหาความเรง แลวใหนักเรียน (วินาที) 50 50 50 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา รวมทั้ง รวมกันสรุปโดยใชคําถามนําสรุป ตัวอยางที่ 1.8 ภาพที่ 1.1 การแปลความหมายจุดบนกระดาษ • นักเรียนทราบไดอยางไรวาวัตถุ A 12 เซนติเมตร B โดยการนําแถบกระดาษที่ปรากฏจุด (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มีความเรง ขณะที่นพพรขับรถดวยความเร็ว 30 เมตร/ วินาที มีเด็กวิ่งตัดหนารถจึงเหยียบเบรกทําใหรถลด ภาพที่ 1.10 แถบกระดาษจากเครื่องเคาะสัญญาณเวลา แตกตางกัน มาใหนักเรียนสังเกต (แนวตอบ ความเร็วของวัตถุ ความเร็วลงเหลือ 5 เมตร/ วินาที ในเวลา 5 วินาที จงหาความเรงของรถในชวงที่รถเบรก (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) และรวมกันสรุปผล เปลี่ยนแปลงไปในหนึ่งหนวย วิธีทํา จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก จาก v - u วิธีทํา จากภาพ จุด A ถึง B หางกัน 6 ชวงจุด a = = a = a = a = a = a = a = a = a = a = a = a = วิธีทํา จาก a 1 เวลา) t t t t t t t ดังนั้น ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = x 6 = 0.12 วินาที 50 5 เมตร/วินาที - 30 เมตร/วินาที ดังนั้น รถยนตมีความเรง 5 เมตร/วินาที - 30 เมตร/วินาที วัดระยะทางจากจุด A ถึง B ได = 12 เซนติเมตร ขยายความเขาใจ ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง = = = = = = = = = = ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง ดังนั้น รถยนตมีความเรง 5 วินาที 5 วินาที 5 วินาที 5 วินาที 5 วินาที ขยายความเขาใจ 5 วินาที ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ย ในชวง AB 12 เซนติเมตร ครูใหนักเรียนศึกษาการเคลื่อนที่ = - 5 เมตร/วินาที = - 5 เมตร/วินาที = - 5 เมตร/วินาที = - 5 เมตร/วินาที = - 5 เมตร/วินาที 2 = - 5 เมตร/วินาที = รูปแบบตางๆ ดวยเครื่องเคาะสัญญาณ 2 2 หรือ ความหนวงของรถ = 5 เมตร/วินาทีเมตร/วินาที = 5 เมตร/วินาที = 5 = 5 เมตร/วินาที หรือ ความหนวงของรถ หรือ ความหนวงของรถ ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น หรือ ความหนวงของรถ ตอบ 0.12 วินาที เวลา ทั้งการเคลื่อนที่แนวราบ และ = 100 เซนติเมตร/วินาที ตอคําถามวา = 1 เมตร/วินาที ตอบ แนวดิ่ง โดยใหนักเรียนชวยกัน • ถาเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ 1.4 ยกตัวอยางการเคลื่อนที่ในชีวิต 1.4 อุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุอุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุอุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุอุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุอุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุอุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุ 1.4 1.4 1.4 1.4 แตมีการเปลี่ยนทิศทางการ ประจําวันขึ้นมาแลววิเคราะหวา เราจะทราบการเคล เราจะทราบการเคล เคลื่อนที่จะเกิดความเรงหรือไม เราจะทราบการเคลื่อนที่ของยานพาหนะตางๆ วามีอัตราเร็วื่อนที่ของยานพาหนะตางๆ วามีอัตราเร็วื่อนที่ของยานพาหนะตางๆ วามีอัตราเร็ว เสริมประสบการณ จุดบนแถบกระดาษจะมีรูปแบบใด เคลื่อนที่จะเกิดความเรงหรือไม เพราะเหตุใด มากหรือนอยไดจากเครื่องมือวัดที่ติดมากับยานพาหนะนั้น แตถา วิทยาศาสตร เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่ง เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่งนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่งนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่งนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่งนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่งนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักก (แนวตอบ เกิดความเรง เพราะ เป เป เป เป เป แถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลา จุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบ ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ผลไมหลนจากตน ลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกา แมวาจะมีความเร็วขนาดเทาเดิม แมวาจะมีความเร็วขนาดเทาเดิม ผลไมหลนจากตน ลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกาลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกา กระดาษ ซึ่งจุดบนแถบกระดาษที่สามารถสังเกตเห็น มีลักษณะ ดังนี้ แตมีการเปลี่ยนทิศทางการ จับเวลาในชวงระยะทางที่กําหนด แตถาเปนการวัดอัตราเร็วของวัตถุซึ่ง ■ ระยะหางระหวางจุดไมเทากัน แสดงวา แถบกระดาษแตละชวงจุดมีการเคลื่อนที่ดวยความเร็วไมสมํ่าเสมอ เกร็ดแนะครู เคลื่อนที่ ความเรงก็จะเปลี่ยนไป เคลื่อนที่ในชวงเวลาสั้นๆ จะใชอุปกรณที่เรียกวา เครื่องเคาะสัญญาณ หรือไมคงที่ ถาชวงใดดึงแถบกระดาษดวยความเร็วตํ่า ระยะหางระหวางจุดจะนอย แตถาชวงใดที่ดึงแถบกระดาษ ครูอาจนําตัวอยางอื่นมาใหนักเรียน เคลื่อนที่ ความเรงก็จะเปลี่ยนไป เนื่องจากความเรงเปนปริมาณ ภาพที่ 1.9 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา เวลา (ticker timer) ที่มีหลักการทํางานดวยไฟฟากระแสสลับความถี่ ดวยความเร็วสูงระยะหางระหวางจุดจะมาก ฝกทําเพื่อใหเกิดความเขาใจมากขึ้น เวกเตอร หากจะเทากันตอง (ที่มาของภาพ : Physics Insights.) 50 รอบ/วินาที โดยสอดแถบกระดาษที่ผูกไวกับวัตถุซึ่งจะเคลื่อนที่ ■ ระยะหางระหวางจุดเทากัน แสดงวา แถบกระดาษแตละชวงจุดมีการเคลื่อนที่ดวยความเร็วสมํ่าเสมอ เทากันทั้งขนาดและทิศทาง) ผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่มีเข็มตอกลงไปบนแถบกระดาษ หรือคงที่ NET ขอสอบ ป 50 10 11 เกร็ดแนะครู จากรูปแสดงจุดหางสมํ่าเสมอ กันบนแถบกระดาษที่ผานเครื่อง ครูฝกใหนักเรียนอานโจทยแลว เคาะสัญญาณเวลา 50 ครั้ง/วินาที เขียนตัวแปรที่ทราบลงในโจทย เชน 1. ความเร็วเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ 2. ความเรงเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ ขอความใดถูกตองสําหรับการ กํากับตัวแปร u ไวเหนือขอความที่วา NET ขอสอบ ป 52 3. ความเรงคงตัวและไมเปนศูนย 4. ระยะทางเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ เคลื่อนที่นี้ ความเร็ว 5 เมตร/วินาที เปนตน รถยนต A เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น (วิเคราะหคําตอบ จาก a = v - u (วิเคราะหคําตอบ จุดที่มีระยะหางสมํ่าเสมอแสดงวามีความเร็วคงตัว นั่นคือมีระยะทางเพิ่มขึ้น ครูอาจหาตัวอยางอื่นมาใหนักเรียน 2 เมตร/วินาที ทุก 1 วินาที เมื่อสิ้นวินาทีที่ 5 รถจะมี t สมํ่าเสมอ และความเรงเปนศูนย ตอบ ขอ 4.) ฝกทําเพื่อใหเกิดความเขาใจมากขึ้น อัตราเร็วเทาใด v = at + u 2 = (2 m/s ) (5 s) + 0 10 คูมือครู 1. 5 m/s 2. 10 m/s = 10 m/s คูมือครู 11 4. 20 m/s 3. 15 m/s ตอบ ขอ 2.)
สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ Explore Explain Expand ตรวจสอบผล Engage Evaluate Engage Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) สํารวจคนหา ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับ ใหนักเรียนศึกษาตัวอยาง 1.9 เครื่องเคาะสัญญาณเวลาจากแหลง จากหนา 11 เรียนรู และจากเสริมประสบการณ ตัวอยางที่ 1.7 ทําใหเกิดรอยจุดบนแถบกระดาษจํานวน 50 ชวงจุด ใน 1 วินาที ดังนั้น วิทยาศาสตร หนา 11 รวมทั้งศึกษา รถยนตคันหนึ่งกําลังแลนบนเสนทางตรงดวยความเร็ว 5 เมตร/วินาที เมื่อเวลาผานไป 4 วินาที ระยะ 1 ชวงจุด ใชเวลา 1/50 วินาที ซึ่งสามารถนําจุดบนแถบกระดาษ วิธีการใชจากกิจกรรมพัฒนาทักษะ ความเร็วเปลี่ยนเปน 17 เมตร/วินาที รถยนตคันนี้มีความเรงเทาใด ไปหาอัตราเร็วของวัตถุได โดยชวงเวลาการเคลื่อนที่ของวัตถุ คํานวณ อธิบายความรู วิทยาศาสตร 1.1 หนา 15 ไดจากจํานวนชวงจุดคูณดวย 1/50 สวนระยะทางที่เคลื่อนที่จะ ครูและนักเรียนรวมกันอภิปราย วิธีทํา จาก v - u วัดจากระยะหางระหวางชวงจุดนั้น และสรุปขอมูลเกี่ยวกับเครื่องเคาะ a = t สัญญาณเวลา 17 เมตร/วินาที - 5 เมตร/วินาที อธิบายความรู ดังนั้น รถยนตมีความเรง = ตัวอยาง 1.9 ครูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีหา 4 วินาที การเคลื่อนที่ของวัตถุจาก A ไป B ตามแนวเสนทาง ดังภาพ ครูอธิบายตัวอยางเพิ่มเติมเกี่ยวกับ = 3 เมตร/วินาที 2 ตอบ เวลา 0 3 อัตราเร็วเฉลี่ยจากแถบกระดาษ 1 2 วิธีการหาความเรง แลวใหนักเรียน (วินาที) 50 50 50 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา รวมทั้ง รวมกันสรุปโดยใชคําถามนําสรุป ตัวอยางที่ 1.8 ภาพที่ 1.1 การแปลความหมายจุดบนกระดาษ • นักเรียนทราบไดอยางไรวาวัตถุ A 12 เซนติเมตร B โดยการนําแถบกระดาษที่ปรากฏจุด (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มีความเรง ขณะที่นพพรขับรถดวยความเร็ว 30 เมตร/ วินาที มีเด็กวิ่งตัดหนารถจึงเหยียบเบรกทําใหรถลด ภาพที่ 1.10 แถบกระดาษจากเครื่องเคาะสัญญาณเวลา แตกตางกัน มาใหนักเรียนสังเกต (แนวตอบ ความเร็วของวัตถุ ความเร็วลงเหลือ 5 เมตร/ วินาที ในเวลา 5 วินาที จงหาความเรงของรถในชวงที่รถเบรก (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) และรวมกันสรุปผล เปลี่ยนแปลงไปในหนึ่งหนวย วิธีทํา จาก v - u วิธีทํา จากภาพ จุด A ถึง B หางกัน 6 ชวงจุด a = ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ดังนั้น ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B = ดังนั้น เวลา) t ดังนั้น ชวงเวลาการเคลื่อนที่จากจุด A ไปจุด B 1 1 1 1 1 1 1 1 x 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาทีx 6 = 0.12 วินาที 50 50 50 5 เมตร/วินาที - 30 เมตร/วินาที ดังนั้น รถยนตมีความเรง = วัดระยะทางจากจุด A ถึง B ได = ขยายความเขาใจ วัดระยะทางจากจุด A ถึง B ได วัดระยะทางจากจุด A ถึง B ได = 12 เซนติเมตร = 12 เซนติเมตร12 เซนติเมตร ขยายความเขาใจ 5 วินาที ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ย ในชวง AB 12 เซนติเมตร ครูใหนักเรียนศึกษาการเคลื่อนที่ 12 เซนติเมตร 12 เซนติเมตร 12 เซนติเมตร = - 5 เมตร/วินาที 2 = = = = = = = ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ย ในชวง AB ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ย ในชวง AB ดังนั้น อัตราเร็วเฉลี่ย ในชวง AB รูปแบบตางๆ ดวยเครื่องเคาะสัญญาณ 2 ครูใหนักเรียนแสดงความคิดเห็น หรือ ความหนวงของรถ = 5 เมตร/วินาที ตอบ 0.12 วินาที 0.12 วินาที 0.12 วินาที 0.12 วินาที 0.12 วินาที เวลา ทั้งการเคลื่อนที่แนวราบ และ = 100 เซนติเมตร/วินาที100 เซนติเมตร/วินาที100 เซนติเมตร/วินาที = = = 100 เซนติเมตร/วินาที ตอคําถามวา = 1 เมตร/วินาที ตอบ แนวดิ่ง โดยใหนักเรียนชวยกัน 1 เมตร/วินาที = 1 เมตร/วินาที 1 เมตร/วินาที 1 เมตร/วินาที ตอบ • ถาเคลื่อนที่ดวยความเร็วคงที่ 1.4 อุปกรณชวยศึกษาการเคลื่อนที่ของวัตถุ ยกตัวอยางการเคลื่อนที่ในชีวิต แตมีการเปลี่ยนทิศทางการ ประจําวันขึ้นมาแลววิเคราะหวา เคลื่อนที่จะเกิดความเรงหรือไม เราจะทราบการเคลื่อนที่ของยานพาหนะตางๆ วามีอัตราเร็ว เสริมประสบการณ จุดบนแถบกระดาษจะมีรูปแบบใด เคลื่อนที่จะเกิดความเรงหรือไม เพราะเหตุใด มากหรือนอยไดจากเครื่องมือวัดที่ติดมากับยานพาหนะนั้น แตถา วิทยาศาสตร แถบกระดาษเคร แถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลา (แนวตอบ เกิดความเรง เพราะ เปนการเคลื่อนที่ของวัตถุอื่นๆ ซึ่งไมมีเครื่องมือวัด เชน นักกีฬาวิ่ง แถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลา ื่องเคาะสัญญาณเวลา จ จ จ จ จ จ จ จ จ จ จ จ จุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบ จุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบุดที่ปรากฏบนแถบกระดาษเครื่องเคาะสัญญาณเวลาจะมีลักษณะแตกตางกันขึ้นอยูกับความเร็วที่ดึงแถบุดที่ปรากฏบ แมวาจะมีความเร็วขนาดเทาเดิม แมวาจะมีความเร็วขนาดเทาเดิม ผลไมหลนจากตน ลูกบอลกลิ้งบนพื้น เราจะวัดอัตราเร็วโดยใชนาิกา กระดาษ ซึ่งจุดบนแถบกระดาษที่สามารถสังเกตเห็น มีลักษณะ ดังนี้ แตมีการเปลี่ยนทิศทางการ จับเวลาในชวงระยะทางที่กําหนด แตถาเปนการวัดอัตราเร็วของวัตถุซึ่ง ■ ระยะหางระหวางจุดไมเทากัน แสดงวา แถบกระดาษแตละชวงจุดมีการเคลื่อนที่ดวยความเร็วไมสมํ่าเสมอ เกร็ดแนะครู เคลื่อนที่ ความเรงก็จะเปลี่ยนไป เคลื่อนที่ในชวงเวลาสั้นๆ จะใชอุปกรณที่เรียกวา เครื่องเคาะสัญญาณ หรือไมคงที่ ถาชวงใดดึงแถบกระดาษดวยความเร็วตํ่า ระยะหางระหวางจุดจะนอย แตถาชวงใดที่ดึงแถบกระดาษ ครูอาจนําตัวอยางอื่นมาใหนักเรียน เคลื่อนที่ ความเรงก็จะเปลี่ยนไป เนื่องจากความเรงเปนปริมาณ ภาพที่ 1.9 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา เวลา (ticker timer) ที่มีหลักการทํางานดวยไฟฟากระแสสลับความถี่ ดวยความเร็วสูงระยะหางระหวางจุดจะมาก ฝกทําเพื่อใหเกิดความเขาใจมากขึ้น เวกเตอร หากจะเทากันตอง (ที่มาของภาพ : Physics Insights.) 50 รอบ/วินาที โดยสอดแถบกระดาษที่ผูกไวกับวัตถุซึ่งจะเคลื่อนที่ ■ ระยะหางระหวางจุดเทากัน แสดงวา แถบกระดาษแตละชวงจุดมีการเคลื่อนที่ดวยความเร็วสมํ่าเสมอ เทากันทั้งขนาดและทิศทาง) ผานเครื่องเคาะสัญญาณเวลาที่มีเข็มตอกลงไปบนแถบกระดาษ หรือคงที่ NET ขอสอบ ป 50 10 11 เกร็ดแนะครู จากรูปแสดงจุดหางสมํ่าเสมอ กันบนแถบกระดาษที่ผานเครื่อง ครูฝกใหนักเรียนอานโจทยแลว เคาะสัญญาณเวลา 50 ครั้ง/วินาที เขียนตัวแปรที่ทราบลงในโจทย เชน 1. ความเร็วเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ 2. ความเรงเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ ขอความใดถูกตองสําหรับการ กํากับตัวแปร u ไวเหนือขอความที่วา NET ขอสอบ ป 52 3. ความเรงคงตัวและไมเปนศูนย 4. ระยะทางเพิ่มขึ้นสมํ่าเสมอ เคลื่อนที่นี้ ความเร็ว 5 เมตร/วินาที เปนตน รถยนต A เริ่มเคลื่อนที่จากหยุดนิ่ง โดยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น (วิเคราะหคําตอบ จาก a = v - u (วิเคราะหคําตอบ จุดที่มีระยะหางสมํ่าเสมอแสดงวามีความเร็วคงตัว นั่นคือมีระยะทางเพิ่มขึ้น ครูอาจหาตัวอยางอื่นมาใหนักเรียน 2 เมตร/วินาที ทุก 1 วินาที เมื่อสิ้นวินาทีที่ 5 รถจะมี t สมํ่าเสมอ และความเรงเปนศูนย ตอบ ขอ 4.) ฝกทําเพื่อใหเกิดความเขาใจมากขึ้น อัตราเร็วเทาใด v = at + u 2 = (2 m/s ) (5 s) + 0 10 คูมือครู 1. 5 m/s 2. 10 m/s = 10 m/s คูมือครู 11 4. 20 m/s 3. 15 m/s ตอบ ขอ 2.)
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา ครูถามคําถามเพื่อขยายความ เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตรที่เกี่ยวของ เขาใจของนักเรียน กับการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกแบบ 1.5 ความเรงของวัตถุที่ตกแบบอิสระ เมื่อวัตถุตกแบบอิสระ วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วตนเปนศูนย เมื่อวัตถุตกแบบอิสระ วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วตนเปนศูนย • นักเรียนสามารถนําความรูที่ 2 อิสระ รวมทั้งภาพยนตรไทย เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรงที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน นอกจากวัตถุ และมีความเรง g ถากําหนดให g = 10 เมตร/วินาที วัตถุจะเคลื่อนที่ เกี่ยวกับปริมาณการเคลื่อนที่ \"หนีตามกาลิเลโอ\" ซึ่งเปนภาพยนตร เคลื่อนที่แนวตรงในแนวระดับแลว วัตถุยังสามารถเคลื่อนที่แนวตรงใน ลงดวยความเร็วเพิ่มขึ้นวินาทีละ 10 เมตร/วินาที หากโยนวัตถุขึ้นไป ของวัตถุไปประยุกตใชใน วัยรุนที่มีเนื้อหาบางตอนกลาวถึง แนวดิ่งไดอีกดวย เชน ผลไมที่ตกจากตนลงสูพื้น วัตถุตกจากที่สูง หรือ ในแนวดิ่ง ความเร็วเริ่มตนของวัตถุไมเทากับศูนย วัตถุจะเคลื่อนที่ขึ้น ชีวิตประจําวันไดอยางไรบาง โดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถุุโดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถุ การตกของวัตถุในลักษณะนี้ นักกีฬากระโดดขึ้นสูงจากพื้นดินแลวตกกลับลงมาสูพื้นดิน เปนตน โดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถ (แนวตอบ เมื่อปลอยวัตถุตกลงมาในแนวดิ่ง ความเร็วขณะปลอยมีคาเทากับ จะลดลงวินาทีละ 10 เมตร/วินาที จนกระทั่งความเร็วสุดทายเปนศูนย - การวิเคราะหเสนทางที่ ศูนย วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอ แสดงวา เรียกตําแหนงนี้วา ตําแหนงสูงสุดของการเคลื่อนที่ หลังจากนี้แลววัตถุ เหมาะสมที่จะชวยประหยัด สํารวจคนหา วัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ จะเคลื่อนที่ตกลงมาแบบอิสระจนถึงพื้น ถาระยะระหวางตําแหนงเริ่มตน เวลาในการเดินทาง ว ว วัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ใหนักเรียนศึกษาเสริมประสบการณ (free fall) และเคลื่อนที่ภายใตแรงโนมถวงของโลก จึงเรียกความเรง และสุดทายเทากันเวลาของการเคลื่อนที่ขึ้นจะเทากับเวลาของการ - นําความรูไปใชสําหรับ วิทยาศาสตร จากหนา 13 และใหแบง ในการตกของวัตถุวา ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก เคลื่อนที่ลง u = 0 การแขงขันกีฬาตางๆ เชน กลุมปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ (gravitational acceleration) ใชแทนดวยสัญลักษณ g และมีทิศทาง วายนํ้า วิ่ง เปนตน วิทยาศาสตร โดยใหนักเรียนแตละ เขาสูจุดศูนยกลางของโลก (ทิศลงในแนวดิ่ง) g v = 0 g - การใชความเร็วใหเหมาะสม กลุมรวมกันออกแบบการทดลองและ ในการพิจารณาวัตถุที่ตกแบบอิสระซึ่งมีน้ําหนักไมเทากันพบวา ในการขับขี่รถ เพื่อความ ในการพิจารณาวัตถุที่ตกแบบอิสระซึ่งมีน้ําหนักไมเทากันพบวา ดําเนินการทดลองดวยตนเอง วัตถุที่มีน้ําหนักตางกันจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทากัน และความเรงนี้ี้ัตถุที่มีน้ําหนักตางกันจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทากัน ัตถุที่มีน้ําหนักตางกันจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทากัน ปลอดภัย นําไปใชกับระบบ ว ว วัตถุที่มีน้ําหนักตางกันจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทากัน และความเรงนและความเรงนี้และความเรงนี้ คือ คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิด GPS เพื่อคํานวณเสนทาง คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิดความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิดความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิดความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิดความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิด คือ คือ คือ ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรงณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรงณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรงณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรงณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรงณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรง ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรง อธิบายความรู ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ u v การเดินทาง) เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 เน เน เน เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 ื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 ื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 ื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน เมตร/ว 2 2 เมตร/ว เมตร/วินาทีินาทีินาที เมตร/วินาที เพื่อความสะดวกตอการคํานวณจะนิยมใชคา g = 10 เพื่อความสะดวกตอการคํานวณจะนิยมใชคา g = 10 เพื่อความสะดวกตอการคํานวณจะนิยมใชคา g = 10 เพื่อความสะดวกตอการคํานวณจะนิยมใชคา g = 10 วิเคราะห อธิบายผล และสรุปผล เมตร/วินาที 2 2 ภาพที่ 1.12 ความเร็วของวัตถุลดลงขณะ ภาพที่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะ เมตร/วินาที เมตร/วินาที เมตร/วินาที ตกลงมา เคลื่อนที่ขึ้น 13-2 การทดลอง แลวนําผลการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) นักเรียนควรรู มานําเสนอหนาหอง โดยครูชวย เสริมประสบการณ ทิศตรงขาม การพิจารณาทิศหรือ 13-1 อธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหไดขอสรุป วิทยาศาสตร เครื่องหมายของคา ความเรง (g) ที่ถูกตอง กาล ขึ้นอยูกับทิศทางการเคลื่อนที่ หรือ กาล กาล กาลิเลโอิเลโอิเลโอิเลโอ กาลิเลโอ ในป ค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติล ทิศของความเร็วตน (u) โดยหากมี g = 10 m/s 2 มาทดสอบเพื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบา แตเมื่อ ทิศตรงขามกับความเร็วตน ความเรง กาลิเลโอทดลองแลวปรากฏวาวัตถุที่มีนํ้าหนักมากและวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาจะตกถึงพื้นพรอมกัน แตการที่อริสโตเติล NET ขอสอบ ป 52 สรุปทฤษฎีเชนนี้เปนผลเนื่องมาจากอากาศไดชวยพยุงวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาไดมากกวาวัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา แตถา จะเปนลบ (-g) ขอใดตอไปนี้ไมไดทําใหการเคลื่อนที่ mg ทําการทดลองในสุญญากาศจะเห็นไดอยางชัดเจนวาวัตถุตกถึงพื้นพรอมกัน กาลิเลโอไดนําความจริงขอนี้ไปชี้แจง กับทางมหาวิทยาลัย ผลปรากฏวา มีทั้งคนเห็นดวยและไมเห็นดวย เขาจึงทําการทดลองอีกครั้งหนึ่งเพื่อใหทุกคน ของวัตถุเปนการตกแบบเสรีกําหนดให ภาพที่ 1.11 วัตถุตกอยางอิสระเกิดจาก เห็นอยางชัดเจน โดยนํากอนตะกั่ว 2 กอน กอนหนึ่งหนัก 10 ปอนด อีกกอนหนึ่งหนัก 20 ปอนด ทิ้งลงมาจาก นักเรียนควรรู การเคลื่อนที่ทุกขอ ไมคิดแรงตาน ความเรงโนมถวงของโลก หอเอนปซาพรอมกัน ปรากฏวา กอนตะกั่วทั้ง 2 กอนตกถึงพื้นภายใตแรงโนมถวงโลกพรอมกัน ซึ่งเปนการพิสูจน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) อากาศ วาความคิดของอริสโตเติลนั้นไมถูกตอง กาลิเลโอ ทดลองหาความเรง 1. โยนกอนหินขึ้นไปในแนวดิ่ง เนื่องจากแรงโนมถวงของโลก 2. ปลอยลูกกอลฟจากยอดตึกให โดยวัดการแกวงของโคมไฟใน ตกลงในแนวดิ่ง 12 13 หอเอนปซา 3. ยิงลูกปนจากยอดหนาผาออกไป ในแนวระดับ 4. ผูกถุงทรายเขากับสปริงในแนวดิ่ง (วิเคราะหคําตอบ การตกอยางเสรีหรืออิสระตองไมมีแรงใดๆ ซึ่งตรึงไวกับเพดาน ดันถุงทราย นอกจากแรงโนมถวงของโลกมากระทํา ดังนั้นการผูกถุงทราย นักเรียนควรรู ขึ้นแลวปลอย กับสปริงแลวปลอยจึงไมใชการตกแบบเสรี เพราะมีแรงสปริง มากระทําตอถุงทรายดวย ตอบ ขอ 4.) การตกแบบอิสระเปนการตกของ วัตถุที่ไมมีแรงใดๆ มากระทํานอกจาก แรงโนมถวงของโลก 12 คูมือครู คูมือครู 13
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา ครูถามคําถามเพื่อขยายความ เกี่ยวกับนักวิทยาศาสตรที่เกี่ยวของ เขาใจของนักเรียน กับการเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกแบบ 1.5 ความเรงของวัตถุที่ตกแบบอิสระ เมื่อวัตถุตกแบบอิสระ วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วตนเปนศูนย เมื่อวัตถุตกแบบอิสระ วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วตนเปนศูนย • นักเรียนสามารถนําความรูที่ 2 อิสระ รวมทั้งภาพยนตรไทย เรื่อง การเคลื่อนที่แนวตรงที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน นอกจากวัตถุ และมีความเรง g ถากําหนดให g = 10 เมตร/วินาที วัตถุจะเคลื่อนที่ เกี่ยวกับปริมาณการเคลื่อนที่ \"หนีตามกาลิเลโอ\" ซึ่งเปนภาพยนตร เคลื่อนที่แนวตรงในแนวระดับแลว วัตถุยังสามารถเคลื่อนที่แนวตรงใน ลงดวยความเร็วเพิ่มขึ้นวินาทีละ 10 เมตร/วินาที หากโยนวัตถุขึ้นไป ของวัตถุไปประยุกตใชใน วัยรุนที่มีเนื้อหาบางตอนกลาวถึง แนวดิ่งไดอีกดวย เชน ผลไมที่ตกจากตนลงสูพื้น วัตถุตกจากที่สูง หรือ ในแนวดิ่ง ความเร็วเริ่มตนของวัตถุไมเทากับศูนย วัตถุจะเคลื่อนที่ขึ้น ชีวิตประจําวันไดอยางไรบาง โดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถุุโดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถุ การตกของวัตถุในลักษณะนี้ นักกีฬากระโดดขึ้นสูงจากพื้นดินแลวตกกลับลงมาสูพื้นดิน เปนตน โดยมีความเรงซึ่งมีทิศลงและมีทิศตรงขามกับความเร็ว ความเร็วของวัตถ (แนวตอบ เมื่อปลอยวัตถุตกลงมาในแนวดิ่ง ความเร็วขณะปลอยมีคาเทากับ จะลดลงวินาทีละ 10 เมตร/วินาที จนกระทั่งความเร็วสุดทายเปนศูนย - การวิเคราะหเสนทางที่ ศูนย วัตถุจะเคลื่อนที่ลงดวยความเร็วที่เพิ่มขึ้นอยางสม่ําเสมอ แสดงวา เรียกตําแหนงนี้วา ตําแหนงสูงสุดของการเคลื่อนที่ หลังจากนี้แลววัตถุ เหมาะสมที่จะชวยประหยัด สํารวจคนหา วัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ จะเคลื่อนที่ตกลงมาแบบอิสระจนถึงพื้น ถาระยะระหวางตําแหนงเริ่มตน เวลาในการเดินทาง ว ว วัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ัตถุมีความเรงคงที่ วัตถุที่ถูกปลอยใหตกลงมานี้จะเปนการตกแบบอิสระ ใหนักเรียนศึกษาเสริมประสบการณ (free fall) และเคลื่อนที่ภายใตแรงโนมถวงของโลก จึงเรียกความเรง และสุดทายเทากันเวลาของการเคลื่อนที่ขึ้นจะเทากับเวลาของการ - นําความรูไปใชสําหรับ วิทยาศาสตร จากหนา 13 และใหแบง ในการตกของวัตถุวา ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก เคลื่อนที่ลง u = 0 การแขงขันกีฬาตางๆ เชน กลุมปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ (gravitational acceleration) ใชแทนดวยสัญลักษณ g และมีทิศทาง วายนํ้า วิ่ง เปนตน วิทยาศาสตร โดยใหนักเรียนแตละ เขาสูจุดศูนยกลางของโลก (ทิศลงในแนวดิ่ง) g v = 0 g - การใชความเร็วใหเหมาะสม กลุมรวมกันออกแบบการทดลองและ ในการพิจารณาวัตถุที่ตกแบบอิสระซึ่งมีน้ําหนักไมเทากันพบวา ในการขับขี่รถ เพื่อความ ดําเนินการทดลองดวยตนเอง วัตถุที่มีน้ําหนักตางกันจะเคลื่อนที่ดวยความเรงเทากัน และความเรงนี้ ปลอดภัย นําไปใชกับระบบ คือ ความเรงเนื่องจากแรงโนมถวงของโลก จึงสรุปไดวา วัตถุทุกชนิด GPS เพื่อคํานวณเสนทาง อธิบายความรู ที่เคลื่อนที่ตกแบบอิสระ ณ บริเวณหนึ่งบนโลกจะเคลื่อนที่ดวยความเรง u v v การเดินทาง) เนื่องจากแรงโนมถวงของโลกที่มีคาเดียวกัน ซึ่งมีคาเทากัน คือ 9.8 ใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน เมตร/วินาที เพื่อความสะดวกตอการคํานวณจะนิยมใชคา g = 10 2 ภาพท ภาพท ภาพที่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะี่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะี่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะี่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะี่ 1.13 ความเร็วของวัตถุเพ่ิมขึ้นขณะ ภาพท วิเคราะห อธิบายผล และสรุปผล เมตร/วินาที ภาพที่ 1.12 ความเร็วของวัตถุลดลงขณะ ภาพท 13-2 2 ตกลงมา ตกลงมา ตกลงมา ตกลงมา เคลื่อนที่ขึ้น การทดลอง แลวนําผลการทดลอง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) นักเรียนควรรู (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มานําเสนอหนาหอง โดยครูชวย เสริมประสบการณ ทิศตรงขาม การพิจารณาทิศหรือ 13-1 อธิบายเพิ่มเติมเพื่อใหไดขอสรุป วิทยาศาสตร เครื่องหมายของคา ความเรง (g) ที่ถูกตอง กาล ขึ้นอยูกับทิศทางการเคลื่อนที่ หรือ กาล กาลิเลโอิเลโอิเลโอิเลโอ กาล กาลิเลโอ ในป ในป ในป ค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติลค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติลค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติลค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติลค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติลค.ศ. 1591 ระหวางที่กา ในป ค.ศ. 1591 ระหวางที่กาลิเลโอเขาทํางานอยูในมหาวิทยาลัยปซา เขาไดนําทฤษฎีของอริสโตเติล ทิศของความเร็วตน (u) โดยหากมี ในป ในป ในป ในป ในป ในป ในป มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบา แตเมื่อ มาทดสอบเพ มาทดสอบเพื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะตกถึงพื้นกอนวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาื่อหาขอเท็จจริง ทฤษฎีที่วานี้ คือ วัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา จะต มาทดสอบเพ มาทดสอบเพ g = 10 m/s 2 มาทดสอบเพ ทิศตรงขามกับความเร็วตน ความเรง กาลิเลโอทดลองแลวปรากฏวาวัตถุที่มีนํ้าหนักมากและวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาจะตกถึงพื้นพรอมกัน แตการที่อริสโตเติล NET ขอสอบ ป 52 สรุปทฤษฎีเชนนี้เปนผลเนื่องมาจากอากาศไดชวยพยุงวัตถุที่มีนํ้าหนักเบาไดมากกวาวัตถุที่มีนํ้าหนักมากกวา แตถา จะเปนลบ (-g) ขอใดตอไปนี้ไมไดทําใหการเคลื่อนที่ mg ทําการทดลองในสุญญากาศจะเห็นไดอยางชัดเจนวาวัตถุตกถึงพื้นพรอมกัน กาลิเลโอไดนําความจริงขอนี้ไปชี้แจง กับทางมหาวิทยาลัย ผลปรากฏวา มีทั้งคนเห็นดวยและไมเห็นดวย เขาจึงทําการทดลองอีกครั้งหนึ่งเพื่อใหทุกคน ของวัตถุเปนการตกแบบเสรีกําหนดให ภาพที่ 1.11 วัตถุตกอยางอิสระเกิดจาก เห็นอยางชัดเจน โดยนํากอนตะกั่ว 2 กอน กอนหนึ่งหนัก 10 ปอนด อีกกอนหนึ่งหนัก 20 ปอนด ทิ้งลงมาจาก นักเรียนควรรู การเคลื่อนที่ทุกขอ ไมคิดแรงตาน ความเรงโนมถวงของโลก หอเอนปซาพรอมกัน ปรากฏวา กอนตะกั่วทั้ง 2 กอนตกถึงพื้นภายใตแรงโนมถวงโลกพรอมกัน ซึ่งเปนการพิสูจน (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) อากาศ วาความคิดของอริสโตเติลนั้นไมถูกตอง กาลิเลโอ ทดลองหาความเรง 1. โยนกอนหินขึ้นไปในแนวดิ่ง เนื่องจากแรงโนมถวงของโลก 2. ปลอยลูกกอลฟจากยอดตึกให โดยวัดการแกวงของโคมไฟใน ตกลงในแนวดิ่ง 12 13 หอเอนปซา 3. ยิงลูกปนจากยอดหนาผาออกไป ในแนวระดับ 4. ผูกถุงทรายเขากับสปริงในแนวดิ่ง (วิเคราะหคําตอบ การตกอยางเสรีหรืออิสระตองไมมีแรงใดๆ ซึ่งตรึงไวกับเพดาน ดันถุงทราย นอกจากแรงโนมถวงของโลกมากระทํา ดังนั้นการผูกถุงทราย นักเรียนควรรู ขึ้นแลวปลอย กับสปริงแลวปลอยจึงไมใชการตกแบบเสรี เพราะมีแรงสปริง มากระทําตอถุงทรายดวย ตอบ ขอ 4.) การตกแบบอิสระเปนการตกของ วัตถุที่ไมมีแรงใดๆ มากระทํานอกจาก แรงโนมถวงของโลก 12 คูมือครู คูมือครู 13
ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain Elaborate Engage Explore Explain Elaborate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) หลักฐาน บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม แสดงผลการเรียนรู พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 คําถาม พัฒนาทักษะ 1.1 • แบบบันทึกการตอบคําถาม บันทึกการตอบคําถามชวนคิด ชวนคิด วิทยาศาสตร ชวนคิด การหาอัตราเร็วเฉลี่ย จากหนา 14 • แบบบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม เขียนแผนผังมโนทัศนสรุปความ 1. ถาพูดวา “โดยปกตินายอุทัยขับรถเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง” และ “วันนี้นายอุทัยขับรถมา อุปกรณ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 แตกตางระหวางระยะทางกับการ ทํางานเร็วถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง” ทานคิดวามีความแตกตางกันหรือไม อยางไร 1. เครื่องเคาะสัญญาณเวลา 1 เครื่อง 2. แถบกระดาษ 1 มวน • ผังมโนทัศนสรุปความแตกตาง 4. หมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่า A 1 ตัว กระจัด อัตราเร็วกับความเร็ว 2. นักเรียน 2 คน วิ่งแขงขัน จาก A ไป B คนหนึ่งวิ่ง B 3. รถทดลอง 1 คัน ระหวางระยะทางกับการกระจัด สรุปความสัมพันธระหวาง ไปตามแนวเสนตรง สวนอีกคนหนึ่งวิ่งไปตามแนวโคง วิธีทํา อัตราเร็วกับความเร็ว ดังภาพ ถานักเรียนทั้งสองคนใชเวลาในการวิ่งเทากัน การกระจัด เวลา ความเร็ว และ นักเรียนคนใดวิ่งเร็วกวา เพราะเหตุใด 1. ตอเครื่องเคาะสัญญาณเวลาเขากับหมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่าที่มีความตางศักยไฟฟา 4 - 6 โวลต สอดแถบ • แบบบันทึกการสรุปความสัมพันธ ความเรงของการเคลื่อนไหวใน ภาพที่ 1.14 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) กระดาษเขากับเครื่องเคาะสัญญาณเวลา และติดปลายดานหนึ่งของแถบกระดาษกับรถทดลอง เปดสวิตช ระหวางการกระจัด เวลา แนวตรง 3. วัตถุ 2 ชิ้น เคลื่อนที่ไดระยะทางเทากันในเวลาเทากัน และปริมาณในการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้ง 2 ชิ้น หมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่า แลวผลักรถทดลองใหแถบกระดาษเคลื่อนที่ผานคันเคาะของเครื่องเคาะสัญญาณเวลา มีคาเทากัน เปนไปไดหรือไมวาวัตถุทั้งสองจะมีความเร็วตางกัน จงอธิบาย จากนั้นเลือกจุดเริ่มตน และจุดสุดทายบนแถบกระดาษที่สามารถวัดระยะทางไดสะดวก ความเร็ว และความเรงของ รถทดลอง แถบกระดาษ การเคลื่อนที่ในแนวตรง ชื่อผูแขง เวลาที่ใช (วินาที) นักเรียนควรรู นายนพดล 10.45 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา ตกจากที่สูงในแนวดิ่ง หากวัตถุมี นายชัยพร 10.56 ภาพที่ 1.15 วิธีการติดตั้งแถบกระดาษกับเครื่องเคาะสัญญาณเวลาและรถทดลอง นักเรียนควรรู นายชัยพร นายชัยพร นายชัยพร การตกในแนวดิ่งจะมีแรงโนมถวง นายสิงหา 11.04 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน นายสิงหา นายสิงหา นายสิงหา ของโลกกระทําตอวัตถุเสมอ นายกนก 10.32 2. นําขอมูลมาอภิปรายในประเด็นตอไปนี้ กลาววาเมื่อมีแรงลัพธที่มีคาไมเทากับ นายกนก ■ ระยะทางระหวางจุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุด ศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุ 4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังน ■ ชวงเวลาระหวางจุดเริ่มตน และจุดสุดทายเปนเทาใด เกิดความเรงในทิศเดียวกับแรงลัพธ 4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังนี้ี้4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังนี้4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังนี้4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังนี้4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชา อัตราเร็วเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงดังกลาวเปนเทาใด จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด ■ NET ขอสอบ ป 50 จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด 3. สรุปและนําเสนอผลการศึกษา ที่มากระทํา และขนาดของความเรง ข. ถาใหเวลาเทากัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุดัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุดัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุดัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุดัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุด ข. ถาใหเวลาเทาก ข. ถาใหเวลาเทาก ข. ถาใหเวลาเทาก ข. ถาใหเวลาเทากัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุด ข. ถาใหเวลาเทาก 5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียน ถาปลอยใหวัตถุตกลงในแนวดิ่ง 5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย จะแปรผันตรงกับขนาดของแรงลัพธ ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปได อยางเสรี หากวัตถุนั้นตกกระทบพื้นดิน ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล 6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางท 6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก ในเวลา 5 วินาที ถามวาวัตถุกระทบดิน เปนไปไดหรือไม จงอธิบาย เปนไปไดหรือไม จงอธิบาย ดวยความเร็วเทากับกี่เมตร/วินาที 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจ 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจ 1. 4.9 m/s 2. 9.8 m/s จงอธิบาย วิทยาศาสตร กฎการอนุรักษพลังงาน กลาววา จงอธิบาย จงอธิบาย จงอธิบาย 3. 39 m/s 4. 49 m/s 8. วัตถุ 2 กอน มีนํ้าหนักตางกัน ถูกปลอยใหตกจากความสูงระดับเดียวกัน วัตถุทั้งสองจะตกถึงพื้น เครื่องเคาะสัญญาณเวลา พลังงานไมสามารถสรางขึ้นมาใหม 8. วัตถุ 2 กอน มีนํ้าหนักตางกัน ถูกปลอยใหตกจากความสูงระดับเดียวกัน วัตถุทั้งสองจะตกถึงพื้น (วิเคราะหคําตอบ วัตถุตกดวยความเรง พรอมกันหรือไม เพราะเหตุใด เครื่องเคาะสัญญาณเวลา สามารถใชประกอบการทดลองไดหลายเรื่อง ไดแก หรือทําใหสูญหายไปได แตพลังงาน (g) = 9.8 m/s ในเวลา (t) = 5 s 1. การเคลื่อนที่แนวตรง เพื่อวัดความเร็ว ความเรง และหาความเรงโนมถวงของโลก สามารถเกิดการถายโอนระหวาง 2 2. กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตันื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน 2. กฎการเคล จาก a = v 2. กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน พลังงานดวยกันได หรือการเปลี่ยน t 3. การเปลี่ยนรูปของงานเปนพลังงานจลน และกฎการอนุรักษพลังงานกล 3. การเปลี่ยนรูปของงานเปนพลังงานจลน และกฎการอนุรักษพลังงานกล v = at = gt 4. กฎการอนุรักษโมเมนตัมใน 1 มิติ รูปพลังงานไดนั่นเอง v = (9.8 m/s )(5 s) 2 v = 49 m/s ตอบ ขอ 4.) 14 15 นักเรียนควรรู ถูกปลอย เมื่อวัตถุถูกปลอย หมายถึง วัตถุเริ่มเคลื่อนที่จากจุดหยุดนิ่ง คือ ความเร็วเร็วตนเปนศูนย (u = 0) 14 คูมือครู คูมือครู 15
ตรวจสอบผล ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain Elaborate Engage Explore Explain Elaborate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) หลักฐาน บันทึกผลการปฏิบัติกิจกรรม แสดงผลการเรียนรู พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 คําถาม พัฒนาทักษะ 1.1 • แบบบันทึกการตอบคําถาม บันทึกการตอบคําถามชวนคิด ชวนคิด วิทยาศาสตร ชวนคิด การหาอัตราเร็วเฉลี่ย จากหนา 14 • แบบบันทึกการปฏิบัติกิจกรรม เขียนแผนผังมโนทัศนสรุปความ 1. ถาพูดวา “โดยปกตินายอุทัยขับรถเร็วประมาณ 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง” และ “วันนี้นายอุทัยขับรถมา อุปกรณ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.1 แตกตางระหวางระยะทางกับการ ทํางานเร็วถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง” ทานคิดวามีความแตกตางกันหรือไม อยางไร 1. เครื่องเคาะสัญญาณเวลา 1 เครื่อง 2. แถบกระดาษ 1 มวน • ผังมโนทัศนสรุปความแตกตาง A 1 ตัว 4. หมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่า กระจัด อัตราเร็วกับความเร็ว 2. นักเรียน 2 คน วิ่งแขงขัน จาก A ไป B คนหนึ่งวิ่ง B 3. รถทดลอง 1 คัน ระหวางระยะทางกับการกระจัด สรุปความสัมพันธระหวาง ไปตามแนวเสนตรง สวนอีกคนหนึ่งวิ่งไปตามแนวโคง วิธีทํา อัตราเร็วกับความเร็ว ดังภาพ ถานักเรียนทั้งสองคนใชเวลาในการวิ่งเทากัน การกระจัด เวลา ความเร็ว และ นักเรียนคนใดวิ่งเร็วกวา เพราะเหตุใด 1. ตอเครื่องเคาะสัญญาณเวลาเขากับหมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่าที่มีความตางศักยไฟฟา 4 - 6 โวลต สอดแถบ • แบบบันทึกการสรุปความสัมพันธ ความเรงของการเคลื่อนไหวใน ภาพที่ 1.14 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) กระดาษเขากับเครื่องเคาะสัญญาณเวลา และติดปลายดานหนึ่งของแถบกระดาษกับรถทดลอง เปดสวิตช ระหวางการกระจัด เวลา แนวตรง 3. วัตถุ 2 ชิ้น เคลื่อนที่ไดระยะทางเทากันในเวลาเทากัน และปริมาณในการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้ง 2 ชิ้น หมอแปลงไฟฟาโวลตตํ่า แลวผลักรถทดลองใหแถบกระดาษเคลื่อนที่ผานคันเคาะของเครื่องเคาะสัญญาณเวลา มีคาเทากัน เปนไปไดหรือไมวาวัตถุทั้งสองจะมีความเร็วตางกัน จงอธิบาย จากนั้นเลือกจุดเริ่มตน และจุดสุดทายบนแถบกระดาษที่สามารถวัดระยะทางไดสะดวก ความเร็ว และความเรงของ รถทดลอง แถบกระดาษ การเคลื่อนที่ในแนวตรง ชื่อผูแขง เวลาที่ใช (วินาที) นักเรียนควรรู นายนพดล 10.45 เครื่องเคาะสัญญาณเวลา ตกจากที่สูงในแนวดิ่ง หากวัตถุมี นายชัยพร 10.56 ภาพที่ 1.15 วิธีการติดตั้งแถบกระดาษกับเครื่องเคาะสัญญาณเวลาและรถทดลอง นักเรียนควรรู การตกในแนวดิ่งจะมีแรงโนมถวง นายสิงหา 11.04 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน ของโลกกระทําตอวัตถุเสมอ นายกนก 10.32 2. นําขอมูลมาอภิปรายในประเด็นตอไปนี้ กลาววาเมื่อมีแรงลัพธที่มีคาไมเทากับ ระยะทางระหวางจุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุดุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุดุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุดุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุดุดเริ่มตนและจุดสุดทายเปนเทาใด และมีกี่ชวงจุด ระยะทางระหวางจ ระยะทางระหวางจ ■ ระยะทางระหวางจ ศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุ ระยะทางระหวางจ ชวงเวลาระหวางจ ชวงเวลาระหวางจุดเริ่มตน และจุดสุดทายเปนเทาใดุดเริ่มตน และจุดสุดทายเปนเทาใดุดเริ่มตน และจุดสุดทายเปนเทาใดุดเริ่มตน และจุดสุดทายเปนเทาใด ชวงเวลาระหวางจ 4. สถิติการแขงขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร ในการแขงกีฬาเยาวชนแหงชาติ ป 2553 มีดังนี้ ■ ชวงเวลาระหวางจ เกิดความเรงในทิศเดียวกับแรงลัพธ อ อ อ อัตราเร็วเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงดังกลาวเปนเทาใดัตราเร็วเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงดังกลาวเปนเทาใดัตราเร็วเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงดังกลาวเปนเทาใดัตราเร็วเฉลี่ยของการเคลื่อนที่ในชวงดังกลาวเปนเทาใด ■ NET ขอสอบ ป 50 จากสถิติในตาราง ก. นักกรีฑาคนใดวิ่งเร็วที่สุด 3. สรุปและนําเสนอผลการศึกษา ที่มากระทํา และขนาดของความเรง ข. ถาใหเวลาเทากัน นักกรีฑาคนใดวิ่งไดระยะทางมากที่สุด ถาปลอยใหวัตถุตกลงในแนวดิ่ง 5. ถาเราขับรถยนตจากบานมาโรงเรียนซึ่งอยูหางกัน 30 กิโลเมตร แลวปรากฏวาเราคํานวณอัตราเร็วเฉลี่ย จะแปรผันตรงกับขนาดของแรงลัพธ อยางเสรี หากวัตถุนั้นตกกระทบพื้นดิน ของรถยนตมีคาเทากับ 0 กรณีนี้เปนไปไดหรือไม จงอธิบายเหตุผล 6. ถารถยนตวิ่งบนทางตรงไปทางทิศตะวันออก โอกาสที่รถยนตคันนี้จะมีความเรงไปทางทิศตะวันตก ในเวลา 5 วินาที ถามวาวัตถุกระทบดิน เปนไปไดหรือไม จงอธิบาย ดวยความเร็วเทากับกี่เมตร/วินาที 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร เสริมประสบการณ นักเรียนควรรู เสริมประสบการณ 7. ในขณะที่วัตถุตกจากที่สูงในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ของวัตถุจะมีลักษณะการเคลื่อนที่เปนอยางไร 1. 4.9 m/s 2. 9.8 m/s จงอธิบาย วิทยาศาสตร กฎการอนุรักษพลังงาน กลาววา 3. 39 m/s 4. 49 m/s 8. วัตถุ 2 กอน มีนํ้าหนักตางกัน ถูกปลอยใหตกจากความสูงระดับเดียวกัน วัตถุทั้งสองจะตกถึงพื้น เครื่องเคาะสัญญาณเวลา พลังงานไมสามารถสรางขึ้นมาใหม 8. วัตถุ 2 กอน มีนํ้าหนักตางกัน ถูกปลอยใหตกจากความสูงระดับเดียวกัน วัตถุทั้งสองจะตกถึงพื้น (วิเคราะหคําตอบ วัตถุตกดวยความเรง พรอมกันหรือไม เพราะเหตุใด เครื่องเคาะสัญญาณเวลา สามารถใชประกอบการทดลองไดหลายเรื่อง ไดแก หรือทําใหสูญหายไปได แตพลังงาน (g) = 9.8 m/s ในเวลา (t) = 5 s 1. การเคลื่อนที่แนวตรง เพื่อวัดความเร็ว ความเรง และหาความเรงโนมถวงของโลก สามารถเกิดการถายโอนระหวาง 2 2. กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน 2. กฎการเคล จาก a = v 2. กฎการเคลื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตันื่อนที่ขอที่ 2 ของนิวตัน พลังงานดวยกันได หรือการเปลี่ยน t 3. การเปลี่ยนรูปของงานเปนพลังงานจลน และกฎการอนุรักษพลังงานกล 3. การเปลี่ยนรูปของงานเปนพลังงานจลน และกฎการอนุรักษพลังงานกล v = at = gt 4. กฎการอนุรักษโมเมนตัมใน 1 มิติ รูปพลังงานไดนั่นเอง v = (9.8 m/s )(5 s) 2 v = 49 m/s ตอบ ขอ 4.) 14 15 นักเรียนควรรู ถูกปลอย เมื่อวัตถุถูกปลอย หมายถึง วัตถุเริ่มเคลื่อนที่จากจุดหยุดนิ่ง คือ ความเร็วเร็วตนเปนศูนย (u = 0) 14 คูมือครู คูมือครู 15
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate Elaborate Evaluate Engage Explore Explain (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ ครูใหนักเรียนดูภาพการเคลื่อนที่ ครูใหนักเรียนอธิบายเหตุการณ ของลูกบาสเกตบอล (ภาพที่ 1.16) ตางๆ ตอไปนี้วามีความเกี่ยวของกับ แลวรวมกันสนทนาเกี่ยวกับลักษณะ 2. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล จากภาพที่ 1.17 หากพิจารณาการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้งสองที่ตกใน การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอลโดย ในชีวิตประจําวันอาจพบเห็นการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งมีแนว แนวดิ่งและแนวระดับ พบวา วัตถุที่ตกในแนวดิ่ง (วัตถุ A) เคลื่อนที่เปน อยางไร ครูใชคําถามกระตุนเพื่อใหนักเรียน การเคล เสนตรงและมีการกระจัดในแนวดิ่งเพียงแนวเดียว สวนวัตถุที่ถูกขวาง • การใชสายยางรดนํ้าตนไม การเคลื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับ การเคลื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับ การเคล เกิดการเรียนรู กอนหินจะเคลื่อนที่เปนแนวโคงจนกระทั่งตกกระทบพื้น ลูกบอลที่ถูกเตะ ออกไปในแนวระดับ ณ ตําแหนงเดียวกัน (วัตถุ B) จะเคลื่อนที่เปน • นักกีฬายิงปนกระทบเปา • แนวทางการเคลื่อนที่ของลูก ขึ้นไปในอากาศจะเคลื่อนที่เปนแนวโคง การเคลื่อนที่ของลูกบอล แนวโคง จึงมีการกระจัดทั้งในแนวดิ่งและแนวระดับ วัตถุทั้งสองจึงตก • การยิงปนใหญ บาสเกตบอลมีแนวใดบาง จากการเลนบาสเกตบอล ฟุตบอล เบสบอล มีลักษณะเปนแนวโคง ถึงพื้นพรอมกัน โดยเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ตกแนวดิ่งแบบ • การทิ้งเสบียงอาหารลงจาก และแตกตางกันอยางไร เชนกัน เรียกการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้วา การเคลื่อนที่แบบวิถีโคงหรือ อิสระ กับวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะมีคาเทากัน เครื่องบินเพื่อชวยผูประสบภัย (แนวตอบ แนวโคง แนวตรง) การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล (projectile motion) ถาพิจารณาการขวางวัตถุออกไปในแนวระดับที่ระดับความสูง ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเกิด • เหตุใดเมื่อโยนลูกบาสเกตบอล การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เปนการเคลื่อนที่ภายใตแรง จากพื้นเทากัน วัตถุที่เคลื่อนที่ดวยความเร็วตางกัน จะตกถึงพื้นไดไกล ความคิดสรางสรรค ออกไปแลวลูกจึงโคงตกลงมา ภาพที่ 1.16 การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอล โนมถวงของโลก ที่ทําใหวัตถุตกในแนวดิ่งเชนเดียวกับการตกแบบอิสระ ตางกัน วัตถุที่มีความเร็วในแนวระดับมากกวาจะเคลื่อนที่ไปตกถึงพื้น • นักเรียนสามารถนําความรูเรื่อง เสมอ (ที่มาของภาพ : sportsdrills.net) ของวัตถุ แตการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลวัตถุจะเคลื่อนที่ตกลงสูพื้น ไดระยะไกลกวาวัตถุที่มีความเร็วในแนวระดับนอย แตจะใชเวลาใน การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล (แนวตอบ มีแรงโนมถวงของโลก หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 การตกถึงพื้นพรอมกัน หรือถาตําแหนงที่ขวางวัตถุมีระดับความสูงจาก ไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ กระทํา) ลักษณะ คือ การเคลื่อนที่ในแนวระดับ และการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง พื้นไมเทากัน เวลาที่วัตถุตกถึงพื้นจะไมเทากันดวย ยิ่งระดับความสูงจาก ไดอยางไรบาง ลักษณะ คือ การเคลื่อนที่ในแนวระดับ และการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง • วัตถุที่มีลักษณะการเคลื่อนที่ ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะประกอบดวยการเคลื่อนทการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะประกอบดวยการเคลื่อนที่การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะประกอบดวยการเคลื่อนที่ พื้นของวัตถุมากขึ้นเทาใดก็จะใชเวลามากขึ้นเทานั้น (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิด ด ด ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะประกอบดวยการเคลื่อนที่ี่ังนั้น ังนั้น เชนเดียวกับลูกบาสเกตบอลมี 2 2 ลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถุุ 2 2 เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เห็นของนักเรียน) 2 ลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถุลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถุลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถุ อะไรอีกบาง เคลื่อนที่เปนแนวโคง โดยความเร็วในแนวดิ่งจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ จนวัตถุโดยความเร็วในแนวดิ่งจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ จนวัตถุ แบบอิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูใน เคลื่อนที่เปนแนวโคง เคลื่อนที่เปนแนวโคง โดยความเร็วในแนวดิ่งจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ จนวัตถุ (แนวตอบ การรดนํ้าตนไม ตกถ แนวราบตกถึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ ตกถึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับ ตกถ ตกถ ตกถึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับ การโยนวัตถุในแนวโคง ฯลฯ) จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ เคลื่อนที่ทั้ง 2 แบบมีคาเทากัน จึงสรุปไดวา การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ตรวจสอบผล จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ t 0 t 0 ของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกใน บันทึกการตอบคําถามชวนคิด สํารวจคนหา t 1 แนวดิ่งทั่วไป และจะไมขึ้นกับความเร็วในการเคลื่อนที่ตามแนว จากหนา 17 อธิบายเหตุการณตางๆ เกี่ยวกับ ระดับของโพรเจกไทล ครูใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติกิจกรรม การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลและ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 จาก นําความรูไปประยุกตใชในชีวิต หนา 18 แลวบันทึกผลการทดลอง t 2 คําถาม ประจําวันได โดยครูเปนผูแนะนําเกี่ยวกับวิธีการ ชวนคิด ปฏิบัติ รวมถึงการใชอุปกรณตางๆ t 3 1. ถาตองการจะเตะลูกบอลไปใหไกลสุด ควรจะเตะในลักษณะใด 2. ขณะเครื่องบินบินอยู นักบินจะตองทิ้งระเบิดลงมากอนถึงจุดเปาหมายที่กําหนด เพราะเหตุใด จงอธิบาย NET ขอสอบ ป 50 อธิบายความรู 3. เหรียญขนาดเทากัน 2 เหรียญ เหรียญหนึ่งถูกดีดบนพื้นโตะราบ ขณะที่เหรียญนั้นหลุดออกจากขอบโตะ วัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล อีกเหรียญหนึ่งก็จะถูกปลอยจากขอบโตะ นักเรียนคิดวาเวลาที่เหรียญทั้งสองอยูในอากาศแตกตางกัน ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน วัตถุ A วัตถุ B t 4 หรือไม อยางไร ขณะที่วัตถุอยูที่จุดสูงสุด ขอใดตอไปนี้ อภิปรายสรุปผลการทดลองและเขียน ภาพที่ 1.17 การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกในแนวดิ่งและเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่เวลาตางๆ ถูกตอง รายงานการทดลองจากการปฏิบัติ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) การแบงเซลลแบบไมโอซิส 1. ความเร็วของวัตถุมีคาเปนศูนย กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 2. ความเรงของวัตถุมีคาเปนศูนย 1.2 แลวออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน 16 EB G UIDE http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/02 17 3. ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมี โดยครูผูสอนชวยอธิบายความรู คาเปนศูนย เพิ่มเติม 4. ความเร็วของวัตถุในแนวราบมี • วิเคราะหการทดลองทั้ง 2 ตอน (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคลื่อนที่ภายใต คาเปนศูนย วามีความเหมือนหรือแตกตาง นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู แรงโนมถวงในแนวดิ่ง จึงมีความเรง (g) กระทําในทิศชี้ลงตลอด กันอยางไร ขวาง การขวาง แสดงถึง แนวระดับ หมายถึง แนวที่ขนาน ขณะที่ในแนวราบความเรงเปนศูนยเนื่องจากความเร็วในแนวราบ การเคลื่อนที่ที่มีความเร็วตน กับพื้นโลก คงที่ ที่จุดสูงสุดพิจารณาในทํานองเดียวกับการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ไมเทากับศูนย คือ ความเร็วในแนวดิ่งจะมีคาเปนศูนยที่จุดสูงสุด ตอบ ขอ 3.) 16 คูมือครู คูมือครู 17
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate Elaborate Evaluate Engage Explore Explain กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ครูใหนักเรียนดูภาพการเคลื่อนที่ ครูใหนักเรียนอธิบายเหตุการณ ของลูกบาสเกตบอล (ภาพที่ 1.16) ตางๆ ตอไปนี้วามีความเกี่ยวของกับ แลวรวมกันสนทนาเกี่ยวกับลักษณะ 2. การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล จากภาพที่ 1.17 หากพิจารณาการเคลื่อนที่ของวัตถุทั้งสองที่ตกใน การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอลโดย ในชีวิตประจําวันอาจพบเห็นการเคลื่อนที่ของวัตถุ ซึ่งมีแนว แนวดิ่งและแนวระดับ พบวา วัตถุที่ตกในแนวดิ่ง (วัตถุ A) เคลื่อนที่เปน อยางไร ครูใชคําถามกระตุนเพื่อใหนักเรียน การเคล เสนตรงและมีการกระจัดในแนวดิ่งเพียงแนวเดียว สวนวัตถุที่ถูกขวาง • การใชสายยางรดนํ้าตนไม การเคลื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับ การเคล การเคลื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับื่อนที่ไมเปนเสนตรง เชน ขวางกอนหินออกไปในแนวระดับ เกิดการเรียนรู กอนหินจะเคลื่อนที่เปนแนวโคงจนกระทั่งตกกระทบพื้น ลูกบอลที่ถูกเตะ ออกไปในแนวระดับ ณ ตําแหนงเดียวกัน (วัตถุ B) จะเคลื่อนที่เปน • นักกีฬายิงปนกระทบเปา • แนวทางการเคลื่อนที่ของลูก ขึ้นไปในอากาศจะเคลื่อนที่เปนแนวโคง การเคลื่อนที่ของลูกบอล แนวโคง จึงมีการกระจัดทั้งในแนวดิ่งและแนวระดับ วัตถุทั้งสองจึงตก • การยิงปนใหญ บาสเกตบอลมีแนวใดบาง จากการเลนบาสเกตบอล ฟุตบอล เบสบอล มีลักษณะเปนแนวโคง ถึงพื้นพรอมกัน โดยเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ตกแนวดิ่งแบบ • การทิ้งเสบียงอาหารลงจาก และแตกตางกันอยางไร เชนกัน เรียกการเคลื่อนที่ในลักษณะนี้วา การเคลื่อนที่แบบวิถีโคงหรือ อิสระ กับวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะมีคาเทากัน เครื่องบินเพื่อชวยผูประสบภัย (แนวตอบ แนวโคง แนวตรง) การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล (projectile motion) ถาพิจารณาการขวางวัตถุออกไปในแนวระดับที่ระดับความสูง ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเกิด • เหตุใดเมื่อโยนลูกบาสเกตบอล การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เปนการเคลื่อนที่ภายใตแรง จากพื้นเทากัน วัตถุที่เคลื่อนที่ดวยความเร็วตางกัน จะตกถึงพื้นไดไกล ความคิดสรางสรรค ออกไปแลวลูกจึงโคงตกลงมา ภาพที่ 1.16 การเคลื่อนที่ของลูกบาสเกตบอล โนมถวงของโลก ที่ทําใหวัตถุตกในแนวดิ่งเชนเดียวกับการตกแบบอิสระ ตางกัน วัตถุที่มีความเร็วในแนวระดับมากกวาจะเคลื่อนที่ไปตกถึงพื้น • นักเรียนสามารถนําความรูเรื่อง เสมอ (ที่มาของภาพ : sportsdrills.net) ของวัตถุ แตการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลวัตถุจะเคลื่อนที่ตกลงสูพื้น ไดระยะไกลกวาวัตถุที่มีความเร็วในแนวระดับนอย แตจะใชเวลาใน การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล (แนวตอบ มีแรงโนมถวงของโลก หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 การตกถึงพื้นพรอมกัน หรือถาตําแหนงที่ขวางวัตถุมีระดับความสูงจาก ไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ หางจากตําแหนงที่ตกในแนวระดับ จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 จึงทําใหมีลักษณะการเคลื่อนที่ 2 กระทํา) ลักษณะ คือ การเคลื่อนที่ในแนวระดับ และการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง พื้นไมเทากัน เวลาที่วัตถุตกถึงพื้นจะไมเทากันดวย ยิ่งระดับความสูงจาก ไดอยางไรบาง • วัตถุที่มีลักษณะการเคลื่อนที่ ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลจะประกอบดวยการเคลื่อนที่ พื้นของวัตถุมากขึ้นเทาใดก็จะใชเวลามากขึ้นเทานั้น (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิด เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เชนเดียวกับลูกบาสเกตบอลมี 2 ลักษณะ ที่เปนอิสระจากกัน แตจะเกิดขึ้นพรอมกัน ซึ่งจะทําใหวัตถุ เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวัตถุที่ตกในแนวดิ่ง เนื่องจากที่ระดับความสูงจากพื้นเทากัน ทําใหวั แบบอ แบบอิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูใน แบบอ อะไรอีกบาง เคลื่อนที่เปนแนวโคง โดยความเร็วในแนวดิ่งจะเพ่ิมขึ้นเรื่อยๆ จนวัตถุ แบบอ แบบอ แบบอ แบบอิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูในิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูในิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูในิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูในิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูในิสระและวัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่มีความเร็วตนอยูใน (แนวตอบ การรดนํ้าตนไม ตกถึงพื้น เนื่องมาจากแรงโนมถวงของโลก สวนความเร็วในแนวระดับ แนวราบตกถ แนวราบตกถึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุท แนวราบตกถ แนวราบตกถ แนวราบตกถึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ี่ึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ึงพื้นพรอมกัน แสดงวาเวลาที่ใชในการตกถึงพื้นของวัตถุที่ การโยนวัตถุในแนวโคง ฯลฯ) จะมีคาคงตัวตลอดการเคลื่อนที่ เคลื่อนที่ทั้ง 2 แบบมีคาเทากัน จึงสรุปไดวา การเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ตรวจสอบผล เคลื่อนที่ทั้ง 2 แบบมีคาเทากัน จึงสรุปไดวา 2 แบบมีคาเทากัน จึงสรุปไดวา การเคลื่อนที่ในแนวดิ่งการเคลื่อนที่ในแนวดิ่งการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง เคลื่อนที่ทั้ง ข ข ข ของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกใน t 0 ของการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกในองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกในองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกในองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล มีลักษณะเดียวกับการตกใน บันทึกการตอบคําถามชวนคิด แนวดิ่งทั่วไป และจะไมขึ้นกับความเร็วในการเคลื่อนที่ตามแนว แนวดิ่งทั่วไป และจะไมขึ้นกับความเร็วในการเคลื่อนที่ตามแนวนวดิ่งทั่วไป และจะไมขึ้นกับความเร็วในการเคลื่อนที่ตามแนว สํารวจคนหา t 1 แ จากหนา 17 อธิบายเหตุการณตางๆ เกี่ยวกับ ระดับของโพรเจกไทล ครูใหนักเรียนแบงกลุมปฏิบัติกิจกรรม การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลและ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 จาก นําความรูไปประยุกตใชในชีวิต หนา 18 แลวบันทึกผลการทดลอง t 2 คําถาม ประจําวันได โดยครูเปนผูแนะนําเกี่ยวกับวิธีการ ชวนคิด ปฏิบัติ รวมถึงการใชอุปกรณตางๆ t 3 1. ถาตองการจะเตะลูกบอลไปใหไกลสุด ควรจะเตะในลักษณะใด 2. ขณะเครื่องบินบินอยู นักบินจะตองทิ้งระเบิดลงมากอนถึงจุดเปาหมายที่กําหนด เพราะเหตุใด จงอธิบาย NET ขอสอบ ป 50 อธิบายความรู 3. เหรียญขนาดเทากัน 2 เหรียญ เหรียญหนึ่งถูกดีดบนพื้นโตะราบ ขณะที่เหรียญนั้นหลุดออกจากขอบโตะ วัตถุที่เคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล อีกเหรียญหนึ่งก็จะถูกปลอยจากขอบโตะ นักเรียนคิดวาเวลาที่เหรียญทั้งสองอยูในอากาศแตกตางกัน ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน วัตถุ A วัตถุ B t 4 หรือไม อยางไร ขณะที่วัตถุอยูที่จุดสูงสุด ขอใดตอไปนี้ อภิปรายสรุปผลการทดลองและเขียน ภาพที่ 1.17 การเคลื่อนที่ของวัตถุที่ตกในแนวดิ่งและเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลที่เวลาตางๆ ถูกตอง รายงานการทดลองจากการปฏิบัติ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) การแบงเซลลแบบไมโอซิส 1. ความเร็วของวัตถุมีคาเปนศูนย กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 2. ความเรงของวัตถุมีคาเปนศูนย 1.2 แลวออกมานําเสนอหนาชั้นเรียน 16 EB G UIDE http://www.aksorn.com/LC/Force/M4-6/02 17 3. ความเร็วของวัตถุในแนวดิ่งมี โดยครูผูสอนชวยอธิบายความรู คาเปนศูนย เพิ่มเติม 4. ความเร็วของวัตถุในแนวราบมี • วิเคราะหการทดลองทั้ง 2 ตอน (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลเปนการเคลื่อนที่ภายใต คาเปนศูนย วามีความเหมือนหรือแตกตาง นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู แรงโนมถวงในแนวดิ่ง จึงมีความเรง (g) กระทําในทิศชี้ลงตลอด กันอยางไร ขวาง การขวาง แสดงถึง แนวระดับ หมายถึง แนวที่ขนาน ขณะที่ในแนวราบความเรงเปนศูนยเนื่องจากความเร็วในแนวราบ การเคลื่อนที่ที่มีความเร็วตน กับพื้นโลก คงที่ ที่จุดสูงสุดพิจารณาในทํานองเดียวกับการเคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ไมเทากับศูนย คือ ความเร็วในแนวดิ่งจะมีคาเปนศูนยที่จุดสูงสุด ตอบ ขอ 3.) 16 คูมือครู คูมือครู 17
ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Elaborate Elaborate Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูใหนักเรียนตอบคําถามและรวม ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา แสดงความคิดเห็น พัฒนาทักษะ 1.2 เกี่ยวกับวัตถุที่มีลักษณะการเคลื่อนที่ • หากโลหะกลมเคลื่อนที่จาก วิทยาศาสตร 3. การเคลื่อนที่แบบวงกลม แบบวงกลมที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน การเคลื่อนที่ในแนวโคง จุดเริ่มตนดวยความเร็วที่มาก ตอนที่ 1 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชชุดการทดลอง การเคลื่อนที่แบบวงกลม (circular motion) เปนการเคลื่อนที่ V เชน ชิงชาสวรรค มาหมุน รถเลี้ยวโคง หรือนอยกวาการทดลอง ผลที่ได ตามแนวโคงแบบครบรอบ ซึ่งเราจะพบเห็นลักษณะการเคลื่อนที่แบบนี้ รถไฟเหาะตีลังกา เปนตน โดยครูใช จะเปนอยางไร และแนวโคงของ อุปกรณ ในชีวิตประจําวันได เชน รถยนตหรือรถจักรยานยนตที่กําลังเลี้ยวโคง V V คําถามกระตุนเพื่อใหนักเรียนเกิด การเคลื่อนที่เปนโคงแบบใด 1. ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคง 1 ชุด รถไฟเหาะตีลังกา ดาวเทียมที่โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย การเรียนรู (แนวตอบ ถามีความเร็วตนมากก็ วิธีทํา เปนตน F c V • วัตถุสามารถเคลื่อนที่เปน จะโคงไปตกไกลขึ้น ในทาง 1. ปลอยโลหะกลมบนรางที่ระดับความสูงตางๆ กัน แลวสังเกตแนวการเคลื่อนที่ของวัตถุหลังจากที่หลุดจากราง จากที่ไดศึกษามาแลววา หากวัตถุเคลื่อนที่โดยมีความเร็วตนใน V a c วงกลมไดอยางไร ในแนวระดับ บันทึกตําแหนงที่วัตถุตกลงบนพื้น ตรงขามถาความเร็วตนนอยก็จะ 2. ปลอยโลหะกลม ณ ตําแหนงหนึ่ง แลวใชที่กั้นวางดักไวดังภาพ เนื่องจากที่กั้นมีกระดาษคารบอนติดอยู 2 มิติ และมีแรงกระทําจากแรงโนมถวงในทิศลงเพียงอยางเดียว วัตถุ V (แนวตอบ วัตถุมีการเคลื่อนที่ โคงไปตกในระยะสั้นลง ซึ่งจะ จึงปรากฏรอยกระแทกบนที่กั้น ทําเครื่องหมายบนกระดาษกราฟใหตรงกับรอยกระแทกของโลหะกลมบนที่กั้น จะมีการเคลืี่อนที่แบบโพรเจกไทล แตถามีแรงกระทําตอวัตถุนั้นในทิศ ภาพที่ 1.20 วัตถุเคลื่อนที่แบบวงกลม แรง ตามแนวโคง โดยมีแรงที่มี เปนโคงแบบพาราโบลา) 3. ปลอยโลหะกลม ณ ตําแหนงเดิมอีก 6 - 8 ครั้ง ในแตละครั้งเลื่อนที่กั้นใหหางออกไป 1 เซนติเมตร ทํามุม 90 องศากับทิศการเคลื่อนที่ จะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคง ที่กระทําตอวัตถุจะมีทิศเขาหาจุดศูนยกลาง ทิศทางตั้งฉากกับความเร็ว ของการเคลื่อนที่ แลวบันทึกตําแหนงที่โลหะกระแทกที่กั้นบนกระดาษกราฟ แบบวงกลม (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มากระทําตลอดเวลา วัตถุจึง หลักฐาน 4. สรุปผลการทํากิจกรรมชวยทําลูกโลหะใหชัดขึ้นลูกใหญขึ้นนิด สีเทาเขมๆ ถาเราใชเชือกผูกวัตถุกอนหนึ่งไว แลวจับปลายอีกดานหนึ่งของ เคลื่อนที่แบบวงกลม) ลูกโลหะ แสดงผลการเรียนรู รางโลหะ กระดาษกราฟ เชือกเหวี่ยงใหวัตถุที่ผูกไวเคลื่อนที่ตามแนวโคงจนอยูในลักษณะวงกลม รางโลหะ รางโลหะ รอบๆ มือ แนววงกลมที่วัตถุเคลื่อนที่อาจจะอยูในระนาบดิ่ง แนวเอียง • รายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม หรืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือก สํารวจคนหา พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 ที่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลม ครูใหนักเรียนแบงกลุมเพื่อปฏิบัติ แปนไม • แบบบันทึกการตอบคําถามชวนคิด แปนไม ที่กั้นติดกระดาษคารบอน รอบๆ มือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูก กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 วัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวา หนา 21 แลวบันทึกผลการทดลอง ภาพที่ 1.18 ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคงาพที่ 1.18 ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคงาพที่ 1.18 ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคงาพที่ 1.18 ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคง แรงดึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได พรอมทั้งตอบคําถามในการทดลอง ภ ภ ภ และศึกษาเสริมประสบการณ เกร็ดแนะครู ตอนที่ 2 ตอนที่ 2 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง วิทยาศาสตร หนา 21 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เขาหาจุดศูนยกลางของการเคลื่อนที่ เรียกแรงนี้วา แรงสูศูนยกลาง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ ครูควรแนะนําวิธีการใชอุปกรณ อุปกรณ (centripetal force : F ) โดยแรงสูศูนยกลางมีทิศตั้งฉากกับความเร็ว c ใหแกนักเรียน 1. เหรียญ 2 เหรียญ ของวัตถุตลอดเวลา ซึ่งแรงสูศูนยกลางที่ทําใหวัตถุเคลื่อนที่แบบวงกลมได อธิบายความรู 2. ไมบรรทัดยาว 2 อันไมบรรทัดยาว 2 อันไมบรรทัดยาว 2 อันไมบรรทัดยาว 2 อันไมบรรทัดยาว 2 อัน 2. 2. 2. 2. ตองมีขนาดที่พอเหมาะ จึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวย 2. ไมบรรทัดยาว 2 อัน วิธีทํา วิธีทํา วิธีทํา รัศมีคาหนึ่งและความเร็วคาหนึ่ง ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน @ มุม IT 1. จัดอุปกรณดังภาพ โดยวางหรียญหนึ่งบนขอบโตะในแนวราบ การเคลื่อนที่ของวัตถุตามแนววงกลมจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทาง อภิปราย สรุปผลการทดลองและ เขียนรายงานการทดลองจาก สวนอีกเหรียญวางอยูบนไมบรรทัด ศึกษาการทดลองเสมือนจริงเรื่อง 2. ใชไมบรรทัดอีกอันตีไมบรรทัดที่วางบนโตะแรงๆ ตลอดเวลา จึงอาจกลาวไดวาเปนการเคลื่อนที่แบบมีความเรง ซึ่งทิศ การปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ ของความเรงจะตั้งฉากกับทิศของความเร็วในทุกจุดบนแนววงกลม โดย การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลไดจาก จนเหรียญทั้งสองตกจากโตะ ความเร็วของวัตถุอยูตามแนวเสนสัมผัสวงกลม และเสนสัมผัสตั้งฉากกับ วิทยาศาสตร 1.2 แลวออกมา เว็บไซตของภาควิชาฟสิกส 3. สังเกตการเคลื่อนที่ของเหรียญทั้งสองเหรียญ ใชมือจับไมบรรทัด รัศมีของวงกลม ณ จุดสัมผัส ดังนั้น เราเรียกความเรงของวัตถุมีทิศทาง นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูผูสอน คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัย 4. สรุปผลการทํากิจกรรม ภาพที่ 1.19 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เขาสูจุดศูนยกลางตามแนวรัศมีวงกลมเชนเดียวกับแรงสูศูนยกลาง วา ชวยอธิบายความรูเพิ่มเติมเพื่อให เทคโนโลยีราชมงคล www.rmut (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ความเรงสูศูนยกลาง นักเรียนเกิดความเขาใจมากขึ้น ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง physics.com/charud/virtualex 18 19 ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะห periment/Wxplore/ProjectileM/ การเคลื่อนที่ของดาวเทียมจากการ ProjectileM1.htm ศึกษาเสริมประสบการณวิทยาศาสตร หนา 21 นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู ความเรงสูศูนยกลาง จากกฎขอที่ 2 ของนิวตัน เมื่อมีแรงกระทําวัตถุเขา สูศูนยกลาง ยอมมีความเรงดวยเสมอ ( F = ma) โดยที่ความเรงดังกลาว Σ มีทิศเขาสูศูนยกลางตลอดการเคลื่อนที่ 18 คูมือครู คูมือครู 19
ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Engage Explore Explain Elaborate Elaborate Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ ครูใหนักเรียนตอบคําถามและรวม ครูและนักเรียนรวมกันสนทนา แสดงความคิดเห็น พัฒนาทักษะ 1.2 เกี่ยวกับวัตถุที่มีลักษณะการเคลื่อนที่ • หากโลหะกลมเคลื่อนที่จาก วิทยาศาสตร 3. การเคลื่อนที่แบบวงกลม แบบวงกลมที่พบเห็นในชีวิตประจําวัน การเคลื่อนที่ในแนวโคง จุดเริ่มตนดวยความเร็วที่มาก ตอนที่ 1 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชชุดการทดลอง การเคลื่อนที่แบบวงกลม (circular motion) เปนการเคลื่อนที่ V เชน ชิงชาสวรรค มาหมุน รถเลี้ยวโคง หรือนอยกวาการทดลอง ผลที่ได ตามแนวโคงแบบครบรอบ ซึ่งเราจะพบเห็นลักษณะการเคลื่อนที่แบบนี้ รถไฟเหาะตีลังกา เปนตน โดยครูใช จะเปนอยางไร และแนวโคงของ อุปกรณ ในชีวิตประจําวันได เชน รถยนตหรือรถจักรยานยนตที่กําลังเลี้ยวโคง V V คําถามกระตุนเพื่อใหนักเรียนเกิด การเคลื่อนที่เปนโคงแบบใด 1. ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคง 1 ชุด รถไฟเหาะตีลังกา ดาวเทียมที่โคจรรอบโลก โลกโคจรรอบดวงอาทิตย การเรียนรู (แนวตอบ ถามีความเร็วตนมากก็ วิธีทํา เปนตน F c V • วัตถุสามารถเคลื่อนที่เปน จะโคงไปตกไกลขึ้น ในทาง 1. ปลอยโลหะกลมบนรางที่ระดับความสูงตางๆ กัน แลวสังเกตแนวการเคลื่อนที่ของวัตถุหลังจากที่หลุดจากราง จากที่ไดศึกษามาแลววา หากวัตถุเคลื่อนที่โดยมีความเร็วตนใน V a c วงกลมไดอยางไร ในแนวระดับ บันทึกตําแหนงที่วัตถุตกลงบนพื้น ตรงขามถาความเร็วตนนอยก็จะ 2. ปลอยโลหะกลม ณ ตําแหนงหนึ่ง แลวใชที่กั้นวางดักไวดังภาพ เนื่องจากที่กั้นมีกระดาษคารบอนติดอยู 2 มิติ และมีแรงกระทําจากแรงโนมถวงในทิศลงเพียงอยางเดียว วัตถุ V (แนวตอบ วัตถุมีการเคลื่อนที่ โคงไปตกในระยะสั้นลง ซึ่งจะ จึงปรากฏรอยกระแทกบนที่กั้น ทําเครื่องหมายบนกระดาษกราฟใหตรงกับรอยกระแทกของโลหะกลมบนที่กั้น จะมีการเคลืี่อนที่แบบโพรเจกไทล แตถามีแรงกระทําตอวัตถุนั้นในทิศ ภาพที่ 1.20 วัตถุเคลื่อนที่แบบวงกลม แรง ตามแนวโคง โดยมีแรงที่มี เปนโคงแบบพาราโบลา) 3. ปลอยโลหะกลม ณ ตําแหนงเดิมอีก 6 - 8 ครั้ง ในแตละครั้งเลื่อนที่กั้นใหหางออกไป 1 เซนติเมตร ทํามุม 90 องศากับทิศการเคลื่อนที่ จะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคง ที่กระทําตอวัตถุจะมีทิศเขาหาจุดศูนยกลาง ทิศทางตั้งฉากกับความเร็ว ของการเคลื่อนที่ แลวบันทึกตําแหนงที่โลหะกระแทกที่กั้นบนกระดาษกราฟ แบบวงกลม (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) มากระทําตลอดเวลา วัตถุจึง หลักฐาน 4. สรุปผลการทํากิจกรรมชวยทําลูกโลหะใหชัดขึ้นลูกใหญขึ้นนิด สีเทาเขมๆ ถาเราใชเชือกผูกวัตถุกอนหนึ่งไว แลวจับปลายอีกดานหนึ่งของ เคลื่อนที่แบบวงกลม) ลูกโลหะ เชือกเหวี่ยงใหวัตถุที่ผูกไวเคลื่อนที่ตามแนวโคงจนอยูในลักษณะวงกลม แสดงผลการเรียนรู รางโลหะ กระดาษกราฟ เชือกเหวี่ยงใหวัตถุที่ผูกไวเคลื่อนที่ตามแนวโคงจนอยูในลักษณะวงกลม รอบๆ รอบๆ รอบๆ มือ แนววงกลมที่วัตถุเคลื่อนที่อาจจะอยูในระนาบดิ่ง แนวเอียง รอบๆ มือ แนววงกลมที่วัตถุเคลื่อนที่อาจจะอยูในระนาบดิ่ง แนวเอียง มือ แนววงกลมที่วัตถุเคลื่อนที่อาจจะอยูในระนาบดิ่ง แนวเอียง มือ แนววงกลมที่วัตถุเคลื่อนที่อาจจะอยูในระนาบดิ่ง แนวเอียง • รายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม หร หร หร สํารวจคนหา หรืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือกืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือกืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือกืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือก หรืออยูในระนาบระดับก็ได ทั้งนี้ยอมแลวแตลักษณะและตําแหนงของเชือก พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.2 ที่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมี่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมี่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมี่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมี่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมี่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลม ครูใหนักเรียนแบงกลุมเพื่อป ที่เราผูกวัตถุ ตลอดจนแรงที่เหวี่ยงวัตถุ ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลม ท ท ท ท ท • แบบบันทึกการตอบคําถามชวนคิด แปนไม ที่กั้นติดกระดาษคารบอน รอบๆ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 รอบๆ มือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูกมือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูกมือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูกมือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูก รอบๆ รอบๆ รอบๆ มือ จะรูสึกวามีแรงตึงในเสนเชือกดึงวัตถุเขาสูตัวเรา ถาเชือกที่ผูก วัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวา ว ว ว วัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวาัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวาัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวาัตถุขาดขณะเหวี่ยง วัตถุจะเคลื่อนที่ในทิศทางออกไปเปนเสนตรง แสดงวา หนา 21 แลวบันทึกผลการทดลอง แรงด แรงด แรงด แรงดึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได ภาพที่ 1.18 ชุดการทดลองการเคลื่อนที่ในแนวโคง แรงดึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได ึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได ึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได ึงในเสนเชือกที่มีทิศเขาสูศูนยกลางทําใหวัตถุเคลื่อนที่เปนวงกลมได พรอมทั้งตอบคําถามในการทดลอง และศึกษาเสริมประสบการณ ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง เกร็ดแนะครู ตอนที่ 2 การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล โดยใชการตกของเหรียญ ดังนั้น การเคลื่อนที่แบบวงกลม จะมีแรงกระทําตอวัตถุในทิศพุง วิทยาศาสตร หนา 21 (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) แรงส เขาหาจุดศูนยกลางของการเคลื่อนที่ เรียกแรงนี้วา แรงสูศูนยกลาง แรงส แรงส แรงส แรงสูศูนยกลางูศูนยกลางูศูนยกลางูศูนยกลางูศูนยกลาง ครูควรแนะนําวิธีการใชอุปกรณ อุปกรณ (centripetal force : F ) โดยแรงสูศูนยกลางมีทิศตั้งฉากกับความเร็ว โดยแรงสูศูนยกลางมีทิศตั้งฉากกับความเร็ว โดยแรงสูศูนยกลางมีทิศตั้งฉากกับความเร็ว c ใหแกนักเรียน 1. เหรียญ 2 เหรียญ ของวัตถุตลอดเวลา ซึ่งแรงสูศูนยกลางที่ทําใหวัตถุเคลื่อนที่แบบวงกลมได อธิบายความรู ตองมีขนาดที่พอเหมาะ จึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวย ตองมีขนาดที่พอเหมาะ จึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวยจึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวยจึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวยจึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวยจึงจะทําใหวัตถุเคลื่อนที่ในแนวโคงของวงกลมดวย ตองมีขนาดที่พอเหมาะ ตองมีขนาดที่พอเหมาะ ตองมีขนาดที่พอเหมาะ 2. ไมบรรทัดยาว 2 อัน ตองมีขนาดที่พอเหมาะ วิธีทํา รัศมีคาหนึ่งและความเร็วคาหนึ่ง ครูใหนักเรียนแตละกลุมรวมกัน @ มุม IT 1. จัดอุปกรณดังภาพ โดยวางหรียญหนึ่งบนขอบโตะในแนวราบ การเคลื่อนที่ของวัตถุตามแนววงกลมจะมีการเปลี่ยนแปลงทิศทาง อภิปราย สรุปผลการทดลองและ เขียนรายงานการทดลองจาก สวนอีกเหรียญวางอยูบนไมบรรทัด ศึกษาการทดลองเสมือนจริงเรื่อง 2. ใชไมบรรทัดอีกอันตีไมบรรทัดที่วางบนโตะแรงๆ ตลอดเวลา จึงอาจกลาวไดวาเปนการเคลื่อนที่แบบมีความเรง ซึ่งทิศ การปฏิบัติกิจกรรมพัฒนาทักษะ ของความเรงจะตั้งฉากกับทิศของความเร็วในทุกจุดบนแนววงกลม โดย การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทลไดจาก จนเหรียญทั้งสองตกจากโตะ ความเร็วของวัตถุอยูตามแนวเสนสัมผัสวงกลม และเสนสัมผัสตั้งฉากกับ วิทยาศาสตร 1.2 แลวออกมา เว็บไซตของภาควิชาฟสิกส 3. สังเกตการเคลื่อนที่ของเหรียญทั้งสองเหรียญ ใชมือจับไมบรรทัด รัศมีของวงกลม ณ จุดสัมผัส ดังนั้น เราเรียกความเรงของวัตถุมีทิศทาง นําเสนอหนาชั้นเรียน โดยครูผูสอน คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัย 4. สรุปผลการทํากิจกรรม ภาพที่ 1.19 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล เขาสูจุดศูนยกลางตามแนวรัศมีวงกลมเชนเดียวกับแรงสูศูนยกลาง วา ชวยอธิบายความรูเพิ่มเติมเพื่อให เทคโนโลยีราชมงคล www.rmut (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) ความเรงสูศูนยกลาง นักเรียนเกิดความเขาใจมากขึ้น ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง ความเรงสูศูนยกลาง physics.com/charud/virtualex 18 19 ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะห periment/Wxplore/ProjectileM/ การเคลื่อนที่ของดาวเทียมจากการ ProjectileM1.htm ศึกษาเสริมประสบการณวิทยาศาสตร หนา 21 นักเรียนควรรู นักเรียนควรรู ความเรงสูศูนยกลาง จากกฎขอที่ 2 ของนิวตัน เมื่อมีแรงกระทําวัตถุเขา สูศูนยกลาง ยอมมีความเรงดวยเสมอ ( F = ma) โดยที่ความเรงดังกลาว Σ มีทิศเขาสูศูนยกลางตลอดการเคลื่อนที่ 18 คูมือครู คูมือครู 19
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain Evaluate Engage Explore Explain Elaborate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล ครูใหนักเรียนอธิบายเหตุการณ บันทึกการตอบคําถามชวนคิด ตอไปนี้วามีปจจัยใดบางที่มีผล จากหนา 20 ตอการเคลื่อนที่แบบวงกลมของ การขับรถไปบนถนนโคง ตองระมัดระวังการใชอัตราเร็ว ซึ่งควร พัฒนาทักษะ 1.3 อธิบายเหตุการณตางๆ เกี่ยวกับ วัตถุ และปจจัยนั้นมีผลตอ ขับรถดวยอัตราเร็วตามที่กฎหมายกําหนดไว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย วิทยาศาสตร การเคลื่อนที่แบบวงกลม และ การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดับ การเคลื่อนที่อยางไร หากใชอัตราเร็วสูงกวาที่กําหนดไว อาจทําใหรถไถลออกจากถนนและ นําความรูไปประยุกตใชในชีวิต • นักแขงจักรยานกับจํานวนลู เกิดอุบัติเหตุขึ้นได เพราะไมสามารถเลี้ยวรถในรัศมีนั้นได เนื่องจาก อุปกรณ ประจําวันได ที่เปนทางโคง มีแรงสูศูนยกลางที่เกิดจากแรงเสียดทานระหวางลอกับพื้นถนนที่มีคา 1. ชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม 1 ชุด • การแกวงถังนํ้าผูกเชือกแลวนํ้า จํากัดไดคาหนึ่งเทานั้น ดวยเหตุนี้จึงจําเปนตองสรางถนนใหเอียงเขาสู วิธีทํา ไมหก ภาพที่ 1.21 การเลี้ยวรถยนตบนถนนโคง ศูนยกลางของความโคงถนนเพื่อชวยเพิ่มแรงสูศูนยกลางที่กระทําตอรถ 1. เหวี่ยงจุกยางในชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม ใหเคลืื่อนที่เปนวงเหนือศีรษะ ดังภาพ สังเกตเสนทางการเคลื่อนที่ เกร็ดแนะครู • การแสดงรถมอเตอรไซค ควรใชอัตราเร็วตามที่กําหนด เพื่อใหรถ- และทําใหการขับขี่รถบนถนนโคงมีความปลอดภัยมากขึ้น ของจุกยาง อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ ความยาวของเชือกและแรงดึงเชือก ไตถัง ยนตเคลื่อนที่ในแนวโคงได ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกก็เปนการเคลื่อนที่แบบวงกลมที่มี ครูใหนักเรียนลองเหวี่ยงจุกยาง (ที่มาของภาพ : http://www.phuphi- • การหมุน Hula Hoop phat.com) แรงดึงดูดระหวางมวลหรือแรงโนมถวงของโลกเปนแรงสูศูนยกลาง ใหหมุนในแนวดิ่งแลวสังเกตลักษณะ ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเกิด ทําใหดาวเทียมโคจรรอบโลกได แรงดึงเชือกที่เกิดขึ้น การเคลื่อนที่ของวัตถุแบบวงกลมเปนการเคลื่อนที่ครบรอบ ความคิดสรางสรรค การเคลื่อนที่ของวัตถุแบบวงกลมเปนการเคลื่อนที่ครบรอบ • นักเรียนสามารถนําความรูเรื่อง โดยชวงเวลาที่วัตถุใชในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ เรียกวา คาบ (period) มีหนวยเปน วินาที ใชแทนดวย T และจํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน 1 มีหนวยเปน วินาที ใชแทนดวย T และจํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน 1 วินาที ใชแทนดวย T และจํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน 1 การเคลื่อนที่แบบวงกลมไปใช มีหนวยเปน ภาพที่ 1.22 ชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม นักเรียนควรรู หนวยเวลา เรียกวา ความถี่ (frequency) มีหนวยเปน รอบ/วินาที หรือ หนวยเวลา เรียกวาเรียกวาเรียกวาเรียกวา หนวยเวลา หนวยเวลา ประโยชนในเรื่องใดไดบาง หนวยเวลา (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ 2. ลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เหวี่ยงดวยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น แตความยาวของเชือกเทาเดิมหรือ มีแรงดึง แรงดึงในเชือกแตละเสน ของนักเรียน) เหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบาย จะมีคาเทากันตลอดทั้งเสน หนวย T = = = 1 1 1 1 1 1 1 1 T เสนทางการเคลื่อนที่ของจุกยางในแตละกรณี ของแรงเปน นิวตัน เชนเดียวกับ 1 1 1 1 1 1 1 1 หรือ f = หรือ f = หรือ f = หรือ f = หรือ f = T T 3. อภิปรายรวมกัน แลวสรุปและนําเสนอผลการศึกษา แรงอื่นๆ f f f นักเรียนควรรู 4. ตอบคําถามตอไปนี้ จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบาง ■ มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม การเคลื่อนที่ครบรอบ คือ ■ มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม วิเคราะหความสัมพันธระหวางอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ รัศมีการเคลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือก ■ การเคลื่อนที่วนซํ้าเสนทางเดิม หรือ NET ขอสอบ ป 50 การเคลื่อนที่แบบกลับไปกลับมา โดย คําถาม เสริมประสบการณ ผูกวัตถุดวยเชือกแลวเหวี่ยงให คําถาม คําถาม ชวนคิด ชวนคิด ชวนคิด เมื่อเคลื่อนที่มายังตําแหนงเดิม คาของ ชวนคิด วิทยาศาสตร เคลื่อนที่เปนวงกลมในแนวระนาบดิ่ง ปริมาณตางๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ 1. \"ขณะขับรถจักรยานยนตผานบริเวณถนนโคง ถาถนนโคงเลี้ยวไปทางซาย คนขับจะตองเอียงตัวไปทางซาย การเคลื่อนที่ของดาวเทียม ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มาถึงตําแหนง จะมีคาเทาเดิม แตถาถนนโคงเลี้ยวไปทางขวาคนขับก็จะตองเอียงตัวไปทางขวา\" ทานเห็นดวยตามคํากลาวนี้หรือไม ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกแตละดวงจะมีรัศมีวงโคจรตางกัน ซึ่งตางก็เคลื่อนที่รอบโลกในแนววงกลม โดยมี สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดในขอ เพราะเหตุใด แรงที่โลกดึงดูดดาวเทียมเปนแรงสูศูนยกลางกระทําตอดาวเทียม ดังนั้น การสงดาวเทียมขึ้นไปสูวงโคจรรอบโลก ตอไปนี้ทําหนาที่เปนแรงสูศูนยกลาง ตองมีการกําหนดรัศมีวงโคจรไวกอน แลวจึงคํานวณหาแรงสูศูนยกลางที่กระทํากับดาวเทียมและอัตราเร็วเชิงเสน 2. ในขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนววงกลม อยากทราบวาอัตราเร็วหรือความเร็วมีคาคงที่ เพราะเหตุใด ในวงโคจรนั้นๆ เมื่อยิงดาวเทียมขึ้นไปจนมีความสูงหรือรัศมีของการโคจรตามที่ตองการแลว จึงปรับทิศทางและ 1. แรงดึงเชือก 3. เหตุใดดาวเทียมจึงโคจรรอบโลกไดโดยไมตกลงสูพื้นผิวโลก 2. นํ้าหนักของวัตถุ อัตราเร็วของดาวเทียมเพื่อใหเขาสูวงโคจรรอบโลกตามที่กําหนดไว 3. แรงดึงเชือกบวกกับนํ้าหนัก ของวัตถุ 20 21 4. ตําแหนงนั้นแรงสูศูนยกลาง เปนศูนย (วิเคราะหคําตอบ แรงที่กระทํากับ วัตถุมีทั้งแรงดึงเชือกและนํ้าหนัก เนื่องจากแรงโนมถวง แรงสูศูนยกลาง เกร็ดแนะครู หลักฐาน จึงเปนผลรวมของแรงดึงเชือกซึ่งมีคา แสดงผลการเรียนรู ครูอาจจะยกตัวอยางการคํานวณหาคาบและความถี่ • รายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม ไมคงที่ รวมกับนํ้าหนักซึ่งมีคาคงที่ เมื่อรวมกันแบบเวกเตอรจะทําให ของการเคลื่อนที่แบบวงกลมมาใหนักเรียนฝกคํานวณ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 แรงสูศูนยกลางมีขนาดเทากันทุกจุด • แบบบันทึกการตอบคําถาม ตอบ ขอ 3.) 20 คูมือครู ชวนคิด คูมือครู 21
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ Evaluate Engage Explore Explain Evaluate Engage Explore Explain Elaborate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ตรวจสอบผล ครูใหนักเรียนอธิบายเหตุการณ บันทึกการตอบคําถามชวนคิด ตอไปนี้วามีปจจัยใดบางที่มีผล จากหนา 20 ตอการเคลื่อนที่แบบวงกลมของ การขับรถไปบนถนนโคง ตองระมัดระวังการใชอัตราเร็ว ซึ่งควร พัฒนาทักษะ 1.3 อธิบายเหตุการณตางๆ เกี่ยวกับ วัตถุ และปจจัยนั้นมีผลตอ ขับรถดวยอัตราเร็วตามที่กฎหมายกําหนดไว ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย วิทยาศาสตร การเคลื่อนที่แบบวงกลม และ การเคลื่อนที่แบบวงกลมในแนวระดับ การเคลื่อนที่อยางไร หากใชอัตราเร็วสูงกวาที่กําหนดไว อาจทําใหรถไถลออกจากถนนและ นําความรูไปประยุกตใชในชีวิต • นักแขงจักรยานกับจํานวนลู เกิดอุบัติเหตุขึ้นได เพราะไมสามารถเลี้ยวรถในรัศมีนั้นได เนื่องจาก อุปกรณ ประจําวันได ที่เปนทางโคง มีแรงสูศูนยกลางที่เกิดจากแรงเสียดทานระหวางลอกับพื้นถนนที่มีคา 1. ชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม 1 ชุด • การแกวงถังนํ้าผูกเชือกแลวนํ้า จํากัดไดคาหนึ่งเทานั้น ดวยเหตุนี้จึงจําเปนตองสรางถนนใหเอียงเขาสู วิธีทํา ไมหก ภาพที่ 1.21 การเลี้ยวรถยนตบนถนนโคง ศูนยกลางของความโคงถนนเพื่อชวยเพิ่มแรงสูศูนยกลางที่กระทําตอรถ 1. เหวี่ยงจุกยางในชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม ใหเคลืื่อนที่เปนวงเหนือศีรษะ ดังภาพ สังเกตเสนทางการเคลื่อนที่ เกร็ดแนะครู • การแสดงรถมอเตอรไซค ควรใชอัตราเร็วตามที่กําหนด เพื่อใหรถ- และทําใหการขับขี่รถบนถนนโคงมีความปลอดภัยมากขึ้น ของจุกยาง อัตราเร็วในการเคลื่อนที่ ความยาวของเชือกและแรงดึงเชือก ไตถัง ยนตเคลื่อนที่ในแนวโคงได ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกก็เปนการเคลื่อนที่แบบวงกลมที่มี ครูใหนักเรียนลองเหวี่ยงจุกยาง (ที่มาของภาพ : http://www.phuphi- • การหมุน Hula Hoop phat.com) แรงดึงดูดระหวางมวลหรือแรงโนมถวงของโลกเปนแรงสูศูนยกลาง ใหหมุนในแนวดิ่งแลวสังเกตลักษณะ ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียนเกิด ทําใหดาวเทียมโคจรรอบโลกได แรงดึงเชือกที่เกิดขึ้น การเคลื่อนที่ของวัตถุแบบวงกลมเปนการเคลื่อนที่ครบรอบ ความคิดสรางสรรค การเคลื่อนที่ของวัตถุแบบวงกลมเปนการเคลื่อนที่ครบรอบ • นักเรียนสามารถนําความรูเรื่อง โดยชวงเวลาที่วัตถุใชในการเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ เรียกวา คาบ (period) การเคลื่อนที่แบบวงกลมไปใช มีหนวยเปน วินาที ใชแทนดวย T และจํานวนรอบที่วัตถุเคลื่อนที่ไดใน 1 ภ ภาพที่ 1.22 ชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลมาพที่ 1.22 ชุดการเคลื่อนที่แบบวงกลม นักเรียนควรรู ประโยชนในเรื่องใดไดบาง หนวยเวลา เรียกวา ความถี่ (frequency) มีหนวยเปน รอบ/วินาที หรือ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น เฮิรตซ (Hertz) ใชแทนดวย f โดยมีความสัมพันธ ดังนี้ 2. ลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เหวี่ยงดวยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น แตความยาวของเชือกเทาเดิมหรือลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เหวี่ยงดวยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น แตความยาวของเชือกเทาเดิมหรือลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เหวี่ยงดวยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น แตความยาวของเชือกเทาเดิมหรือลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เห 2. ลองเหวี่ยงจุกยางดวยเงื่อนไขที่ตางไปจากเดิม เชน เหวี่ยงดวยอัตราเร็วเพิ่มขึ้น แตความยาวของเชือกเทาเดิมหรือ 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. ของนักเรียน) เหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบายเหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบายเหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบายเหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบายเหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาว เหวี่ยงดวยอัตราเร็วคงตัว แตเปลี่ยนความยาวเชือก หรือเปลี่ยนเงื่อนไขอื่นๆ ตามความสนใจ สังเกต และอธิบาย เสนทางการเคลื่อนที่ของจุกยางในแตละกรณี T = หรือ f = T เสนทางการเคลื่อนที่ของจุกยางในแตละกรณีเสนทางการเคลื่อนที่ของจุกยางในแตละกรณี ของแรงเปน นิวตัน เชนเดียวกับ 1 1 3. อภิปรายรวมกัน แลวสรุปและนําเสนอผลการศึกษา 3. อภิปรายรวมกัน แลวสรุปและนําเสนอผลการศึกษาอภิปรายรวมกัน แลวสรุปและนําเสนอผลการศึกษาอภิปรายรวมกัน แลวสรุปและนําเสนอผลการศึกษา 3. 3. แรงอื่นๆ f นักเรียนควรรู 4. ตอบคําถามตอไปนี้ จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบา จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบา จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบา จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบางง จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบา จุกยางจะคงสภาพการเคลื่อนที่แบบวงกลมอยูไดภายใตเงื่อนไขอะไรบา ■ มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม การเคลื่อนที่ครบรอบ คือ ■ มีแรงดึงที่เชือกกระทําตอจุกยางหรือไม วิเคราะหความสัมพันธระหวางอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ รัศมีการเคลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือกลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือกลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือกลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือกลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือกลื่อนที่ของจุกยางและแรงดึงเชือก วิเคราะหความสัมพันธระหวางอัตราเร็วในการเคลื่อนที่ รัศมีการเค ■ การเคลื่อนที่วนซํ้าเสนทางเดิม หรือ NET ขอสอบ ป 50 การเคลื่อนที่แบบกลับไปกลับมา โดย คําถาม เสริมประสบการณ ผูกวัตถุดวยเชือกแลวเหวี่ยงให เสริมประสบการณ เมื่อเคลื่อนที่มายังตําแหนงเดิม คาของ ชวนคิด วิทยาศาสตร เคลื่อนที่เปนวงกลมในแนวระนาบดิ่ง ปริมาณตางๆ ที่เกี่ยวกับการเคลื่อนที่ 1. \"ขณะขับรถจักรยานยนตผานบริเวณถนนโคง ถาถนนโคงเลี้ยวไปทางซาย คนขับจะตองเอียงตัวไปทางซาย การเคลื่อนที่ของดาวเทียม ขณะที่วัตถุเคลื่อนที่มาถึงตําแหนง จะมีคาเทาเดิม แตถาถนนโคงเลี้ยวไปทางขวาคนขับก็จะตองเอียงตัวไปทางขวา\" ทานเห็นดวยตามคํากลาวนี้หรือไม ดาวเทียมที่โคจรรอบโลกแตละดวงจะมีรัศมีวงโคจรตางกัน ซึ่งตางก็เคลื่อนที่รอบโลกในแนววงกลม โดยมี สูงสุดของวงกลม แรงชนิดใดในขอ เพราะเหตุใด แรงที่โลกดึงดูดดาวเทียมเปนแรงสูศูนยกลางกระทําตอดาวเทียม ดังนั้น การสงดาวเทียมขึ้นไปสูวงโคจรรอบโลก ตอไปนี้ทําหนาที่เปนแรงสูศูนยกลาง ตองมีการกําหนดรัศมีวงโคจรไวกอน แลวจึงคํานวณหาแรงสูศูนยกลางที่กระทํากับดาวเทียมและอัตราเร็วเชิงเสน 2. ในขณะที่วัตถุเคลื่อนที่ตามแนววงกลม อยากทราบวาอัตราเร็วหรือความเร็วมีคาคงที่ เพราะเหตุใด ในวงโคจรนั้นๆ เมื่อยิงดาวเทียมขึ้นไปจนมีความสูงหรือรัศมีของการโคจรตามที่ตองการแลว จึงปรับทิศทางและ 1. แรงดึงเชือก 3. เหตุใดดาวเทียมจึงโคจรรอบโลกไดโดยไมตกลงสูพื้นผิวโลก 2. นํ้าหนักของวัตถุ อัตราเร็วของดาวเทียมเพื่อใหเขาสูวงโคจรรอบโลกตามที่กําหนดไว 3. แรงดึงเชือกบวกกับนํ้าหนัก ของวัตถุ 20 21 4. ตําแหนงนั้นแรงสูศูนยกลาง เปนศูนย (วิเคราะหคําตอบ แรงที่กระทํากับ วัตถุมีทั้งแรงดึงเชือกและนํ้าหนัก เนื่องจากแรงโนมถวง แรงสูศูนยกลาง เกร็ดแนะครู หลักฐาน จึงเปนผลรวมของแรงดึงเชือกซึ่งมีคา แสดงผลการเรียนรู ครูอาจจะยกตัวอยางการคํานวณหาคาบและความถี่ • รายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม ไมคงที่ รวมกับนํ้าหนักซึ่งมีคาคงที่ เมื่อรวมกันแบบเวกเตอรจะทําให ของการเคลื่อนที่แบบวงกลมมาใหนักเรียนฝกคํานวณ พัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.3 แรงสูศูนยกลางมีขนาดเทากันทุกจุด • แบบบันทึกการตอบคําถาม ตอบ ขอ 3.) 20 คูมือครู ชวนคิด คูมือครู 21
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ครูใหนักเรียนดูภาพ 1.23 การแกวง NET ขอสอบ ป 51 ของชิงชา แลวรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ พัฒนาทักษะ ขอใดตอไปนี้ไมไดทําใหวัตถุมีการ ลักษณะการแกวงของชิงชา พรอมทั้ง 4. การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก วิทยาศาสตร 1.4 เคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยาง อยางงาย การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย 1. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ลักษณะนี้ที่พบเห็น การเคลื่อนที่อีกแบบหนึ่งที่พบในชีวิตประจําวัน คือ การเคลื่อนที่ อุปกรณ ผลักลูกตุมใหแกวงเปนวงกลม ในชีวิตประจําวัน โดยครูใชคําถาม ผานจุดใดจุดหนึ่งกลับไปกลับมาบนเสนทางเดิมในชวงเวลาเทาๆ กัน 1. นอต 1 ตัว 4. ไมหนีบหลอดทดลอง โดยเสนเชือกทํามุมคงตัวกับ กระตุนเพื่อใหเกิดการเรียนรู มีลักษณะการเคลื่อนที่เปนคาบ (periodic motion) ถาวัตถุใดมีการ 2. เชือกยาว 1 เสน 5. แทงตะกั่วหรือโลหะอื่นๆ แนวดิ่ง • เวลาแปรงฟน เราแปรงซํ้าๆ ที่ เคลื่อนที่เปนคาบกลับไปกลับมาซ้ําทางเดิม เรียกวา วัตถุเกิดการสั่น 3. นาิกาจับเวลา 1 เรือน 2. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง วัตถุเกิดการสั่น เดิมขึ้นลงหรือไม (vibration) หรือการแกวงกวัด (oscillation) เชน การแกวงของ วิธีทํา ดึงลูกตุมออกมาจนเชือกทํามุม (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น ลูกตุมนาิกา การแกวงของชิงชา การสั่นของสายกีตาร การเคลื่อนที่ 1. จัดอุปกรณดังภาพ ผลักนอตใหแกวงโดยเสนเชือกทํามุมแคบๆ กับแนวดิ่ง จับเวลาที่นอตแกวงครบ 10 รอบ กับแนวดิ่งเล็กนอยแลวปลอยมือ ของนักเรียน) ภาพที่ 1.23 การแกวงของชิงชาเปนการ ของลูกสูบในกระบอกสูบ เปนตน การเคลื่อนที่ดังกลาวอาจเรียกวา แลวคํานวณการแกวง โตะ แทงตะกั่ว ไมหนีบหลอดทดลอง 3. ผูกวัตถุกับปลายสปริงในแนว • นักเรียนเคยสังเกตการแกวง เคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย (simple harmonic motion) ระดับ ตรึงอีกดานของสปริงไว ของลูกตุมนาฬกาหรือไม และ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) พิจารณาการแกวงของลูกตุมนาิกา หรือการแกวงของวัตถุที่ผูก ดึงวัตถุใหสปริงยืดออกเล็กนอย เปนการเคลื่อนที่ลักษณะใด ติดกับปลายหนึ่งของเสนเชือก พบวาวัตถุจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ํา แลวปลอยมือ (แนวตอบ เปนการเคลื่อนที่แบบ ทางเดิม มีตําแหนงเคลื่อนที่ไดไกลสุด 2 ดาน เรียกวา จุดปลาย 4. ผูกวัตถุกับปลายสปริงในแนวดิ่ง ทางเดิม มีตําแหนงเคลื่อนที่ไดไกลสุด 2 ดาน เรียกวา ฮารมอนิกอยางงาย) แล แล ตรึงอีกดานของสปริงไว ดึงวัตถุ และตําแหนงกึ่งกลางการเคลื่อนที่ เรียกวา ะตําแหนงกึ่งกลางการเคลื่อนที่ เรียกวา ะตําแหนงกึ่งกลางการเคลื่อนที่ เรียกวา และตําแหนงกึ่งกลางการเคลื่อนที่ เรียกวา จุดสมดุล หรือแนวสมดุล โดยระยะห โดยระยะห โดยระยะห โดยระยะหางระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา างระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา างระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา างระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา ใหสปริงยืดออกเล็กนอย แลว โดยระยะหางระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา การกระจัด ปลอยมือ ซึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวงึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวงึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวงึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวงึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวงึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการ ซ ซ ซ ซ ซ สํารวจคนหา ซึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวง เชือก ความยาวของเชือก (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่ ของว ของวัตถุนี้ เรียกวาัตถุนี้ เรียกวา ของวัตถุนี้ เรียกวา แอมพลิจูด ถาไมคิดแรงตานของอากาศและแรง แนวสมดุล แนวสมดุล แนวสมดุล ครูใหนักเรียนแบงกลุมเพื่อปฏิบัติ แนวสมดุล ของวัตถุนี้ เรียกวา แอมพลิจูดแอมพลิจูดแอมพลิจูด แบบฮารมอนิกอยางงายจะสั่น เสียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอ เสียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอ เส เส เส กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล ดวยการกระจัดเล็กๆ สมํ่าเสมอ และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล หนา 23 แลวบันทึกผลการทดลอง การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน ดังนั้นขอที่ไมใชการเคลื่อนที่ การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน A ผานจุดสมดุล B ไปอีก การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน A ผานจุดสมดุล B ไปอีกA ผานจุดสมดุล B ไปอีกA ผานจุดสมดุล B ไปอีกA ผานจุดสมดุล B ไปอีกA ผานจุดสมดุล B ไปอีกA ผานจุดสมดุล B ไปอีก การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน นักเรียนศึกษาเสริมประสบการณ ด ด ด ด ดานหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ านหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ านหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ านหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ านหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ นอต แบบฮารมอนิกอยางงาย ดานหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ วิทยาศาสตร หนา 24 1 รอบ เวลาของการแกวงครบ 1 รอบ ขึ้นอยูกับความยาวของเชือกเพียงรอบ เวลาของการแกวงครบ 1 รอบ ขึ้นอยูกับความยาวของเชือกเพียง ภาพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย คือ ขอ 4. ตอบ ขอ 4.) 1 รอบ เวลาของการแกวงครบ 1 รอบ ขึ้นอยูกับความยาวของเชือกเพียง 1 อยางเดียวโดยไมขึ้นกับมวลของวัตถุหรือชวงกวางของการแกวง อยางเดียวโดยไมขึ้นกับมวลของวัตถุหรือชวงกวางของการแกวง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) อธิบายความรู การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ 2. ร 2. ระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบ การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ เคร เคร เคร เคร เคร เคร เครื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็มื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็มื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็มื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็มื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็มื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็ ครูใหนักเรียนแตละกลุมชวยกัน เครื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็ม การแกวงอยางไร นักเรียนควรรู 3. นําเสนอผลการทดลองในรูปกราฟ และอธิบายความสัมพันธจากกราฟ อภิปราย สรุปผล และเขียนรายงาน แกวงไปมาขณะใชงาน หรือนาิกาแบบลูกตุม ซึ่งทําใหมีความเที่ยงตรง คาตัวแปรตางๆ ตัวแปรในการ การทดลอง แลวออกมานําเสนอ A B ดวยการปรับเวลาครบรอบของการแกวงใหคงที่และตรงกับมาตรฐานเวลา แกวงของลูกตุม ไดแก ความ หนาชั้นเรียน โดยครูผูสอนชวย เสมอ ถานาิกาเดินเร็วไปก็เลื่อนใหลูกตุมนาิกาต่ําลง (เชือกยาวขึ้น) ยาวเชือก (l) และความเรง อธิบายความรูเพิ่มเติม เพื่อทําใหลูกตุมแกวงครบรอบชาลง ในทางตรงขามถานาิกาเดินชาไป เนื่องจากแรงโนมถวง (g) ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะห ภาพที่ 1.24 แสดงลักษณะการแกวงของวัตถุ ก็เลื่อนลูกตุมนาิกาใหสูงขึ้น (เชือกสั้นลง) เพื่อใหเวลาของการแกวงครบ ปจจัยที่มีผลตอการแกวงของ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) รอบเร็วขึ้น ลูกตุมนาฬกา 22 23 นักเรียนควรรู วัตถุเกิดการสั่น กาลิเลโอสังเกตการสั่นของ NET ขอสอบ ป 50 โคมไฟที่อยูในโบสถใกลๆ กับหอเอนเมืองปซา แลวลองจับเวลาจากการเตนของชีพจร พบวา ขอความใดถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุมอยางงาย ไมวาโคมไฟจะแกวงกวางหรือแคบมันจะใชคาบ 1. ไมขึ้นกับความยาวเชือก 2. ไมขึ้นกับมวลของลูกตุม การแกวงเทากัน 3. ไมขึ้นกับแรงโนมถวงของโลก 4. มีคาบเทาเดิมถาไปแกวงบนดวงจันทร 22 คูมือครู (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่แบบคาบของลูกตุม ขึ้นอยูกับความยาวเชือกและคาความเรงเนื่องจาก คูมือครู 23 แรงโนม ถวงเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวล ตอบ ขอ 2.)
กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล Elaborate Evaluate Engage Explore Explain Expand Evaluate (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) กระตุนความสนใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ครูใหนักเรียนดูภาพ 1.23 การแกวง NET ขอสอบ ป 51 ของชิงชา แลวรวมกันสนทนาเกี่ยวกับ พัฒนาทักษะ ขอใดตอไปนี้ไมไดทําใหวัตถุมีการ ลักษณะการแกวงของชิงชา พรอมทั้ง 4. การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก วิทยาศาสตร 1.4 เคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย ใหนักเรียนชวยกันยกตัวอยาง อยางงาย การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย 1. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง การเคลื่อนที่ลักษณะนี้ที่พบเห็น การเคลื่อนที่อีกแบบหนึ่งที่พบในชีวิตประจําวัน คือ การเคลื่อนที่ อุปกรณ ผลักลูกตุมใหแกวงเปนวงกลม ในชีวิตประจําวัน โดยครูใชคําถาม ผานจุดใดจุดหนึ่งกลับไปกลับมาบนเสนทางเดิมในชวงเวลาเทาๆ กัน 1. นอต 1 ตัว 4. ไมหนีบหลอดทดลอง โดยเสนเชือกทํามุมคงตัวกับ กระตุนเพื่อใหเกิดการเรียนรู มีลักษณะการเคลื่อนที่เปนคาบ (periodic motion) ถาวัตถุใดมีการ 2. เชือกยาว 1 เสน 5. แทงตะกั่วหรือโลหะอื่นๆ แนวดิ่ง • เวลาแปรงฟน เราแปรงซํ้าๆ ที่ เคลื่อนที่เปนคาบกลับไปกลับมาซ้ําทางเดิม เรียกวา วัตถุเกิดการสั่น 3. นาิกาจับเวลา 1 เรือน 2. แขวนลูกตุมดวยเชือกในแนวดิ่ง วัตถุเกิดการสั่น เดิมขึ้นลงหรือไม (vibration) หรือการแกวงกวัด (oscillation) เชน การแกวงของ วิธีทํา ดึงลูกตุมออกมาจนเชือกทํามุม (แนวตอบ ขึ้นอยูกับความคิดเห็น ลูกตุมนาิกา การแกวงของชิงชา การสั่นของสายกีตาร การเคลื่อนที่ 1. จัดอุปกรณดังภาพ ผลักนอตใหแกวงโดยเสนเชือกทํามุมแคบๆ กับแนวดิ่ง จับเวลาที่นอตแกวงครบ 10 รอบ กับแนวดิ่งเล็กนอยแลวปลอยมือ ของนักเรียน) ภาพที่ 1.23 การแกวงของชิงชาเปนการ ของลูกสูบในกระบอกสูบ เปนตน การเคลื่อนที่ดังกลาวอาจเรียกวา แลวคํานวณการแกวง โตะ แทงตะกั่ว ไมหนีบหลอดทดลอง 3. ผูกวัตถุกับปลายสปริงในแนว • นักเรียนเคยสังเกตการแกวง เคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย (simple harmonic motion) ระดับ ตรึงอีกดานของสปริงไว ของลูกตุมนาฬกาหรือไม และ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) พิจารณาการแกวงของลูกตุมนาิกา หรือการแกวงของวัตถุที่ผูก ดึงวัตถุใหสปริงยืดออกเล็กนอย เปนการเคลื่อนที่ลักษณะใด ติดกับปลายหนึ่งของเสนเชือก พบวาวัตถุจะเคลื่อนที่กลับไปกลับมาซ้ํา แลวปลอยมือ (แนวตอบ เปนการเคลื่อนที่แบบ ทางเดิม มีตําแหนงเคลื่อนที่ไดไกลสุด 2 ดาน เรียกวา จุดปลาย 4. ผูกวัตถุกับปลายสปริงในแนวดิ่ง ฮารมอนิกอยางงาย) และตําแหนงกึ่งกลางการเคลื่อนที่ เรียกวา จุดสมดุล หรือแนวสมดุล ตรึงอีกดานของสปริงไว ดึงวัตถุ โดยระยะหางระหวางตําแหนงใดๆ เทียบกับจุดสมดุล เรียกวา การกระจัด ใหสปริงยืดออกเล็กนอย แลว ปลอยมือ สํารวจคนหา ซึ่งจะมีคาสูงสุด เมื่อวัตถุแกวงไปไดไกลสุด การกระจัดสูงสุดของการแกวง เชือก ความยาวของเชือก (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่ ความยาวของเชือก ความยาวของเชือก เชือก เชือก ครูใหนักเรียนแบงกลุมเพื่อปฏิบัติ แนวสมดุล ของวัตถุนี้ เรียกวา แอมพลิจูด ถาไมคิดแรงตานของอากาศและแรง แบบฮารมอนิกอยางงายจะสั่น เสียดทานที่จุดแขวนเชือก วัตถุจะหยุดการเคลื่อนที่ชั่วขณะที่ปลายเสมอ กิจกรรมพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร 1.4 และมีอัตราเร็วสูงสุดขณะผานจุดสมดุล ดวยการกระจัดเล็กๆ สมํ่าเสมอ หนา 23 แลวบันทึกผลการทดลอง การเคลื่อนที่ของวัตถุจากจุดเริ่มตน A ผานจุดสมดุล B ไปอีก ดังนั้นขอที่ไมใชการเคลื่อนที่ นักเรียนศึกษาเสริมประสบการณ ดานหนึ่ง แลวกลับมาที่จุดเริ่มตน A อีกครั้งหนึ่ง เปนการเคลื่อนที่ครบ นอต แบบฮารมอนิกอยางงาย วิทยาศาสตร หนา 24 1 รอบ เวลาของการแกวงครบ 1 รอบ ขึ้นอยูกับความยาวของเชือกเพียง ภ ภ ภ ภ ภ ภาพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย าพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย าพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย าพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย าพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย าพที่ 1.25 การจัดอุปกรณการทดลองการเคลื่อนที่แ อยางเดียวโดยไมขึ้นกับมวลของวัตถุหรือชวงกวางของการแกวง (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) อธิบายความรู การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงายนี้ไดนําไปใชสรางอุปกรณ 2. ระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบ 2. ระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิ 2. ระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบระดมความคิดออกแบบการทดลองเพื่อการศึกษาวาการเปลี่ยนแปลงคาตัวแปรตางๆ ในชุดทดลองมีผลตอคาบ 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. 2. ครูใหนักเรียนแตละกลุมชวยกัน เครื่องใชหรือเครื่องเลนหลายชนิด เชน เครื่องชั่งความไวสูง ซึ่งมีเข็ม การแกวงอยางไร นักเรียนควรรู 3. นําเสนอผลการทดลองในรูปกราฟ และอธิบายความสัมพันธจากกราฟ อภิปราย สรุปผล และเขียนรายงาน แกวงไปมาขณะใชงาน หรือนาิกาแบบลูกตุม ซึ่งทําใหมีความเที่ยงตรง คาตัวแปรตางๆ ตัวแปรในการ การทดลอง แลวออกมานําเสนอ A B ดวยการปรับเวลาครบรอบของการแกวงใหคงที่และตรงกับมาตรฐานเวลา แกวงของลูกตุม ไดแก ความ หนาชั้นเรียน โดยครูผูสอนชวย เสมอ ถานาิกาเดินเร็วไปก็เลื่อนใหลูกตุมนาิกาต่ําลง (เชือกยาวขึ้น) ยาวเชือก (l) และความเรง อธิบายความรูเพิ่มเติม เพื่อทําใหลูกตุมแกวงครบรอบชาลง ในทางตรงขามถานาิกาเดินชาไป เนื่องจากแรงโนมถวง (g) ครูใหนักเรียนชวยกันวิเคราะห ภาพที่ 1.24 แสดงลักษณะการแกวงของวัตถุ ก็เลื่อนลูกตุมนาิกาใหสูงขึ้น (เชือกสั้นลง) เพื่อใหเวลาของการแกวงครบ ปจจัยที่มีผลตอการแกวงของ (ที่มาของภาพ : photo bank ACT.) รอบเร็วขึ้น ลูกตุมนาฬกา 22 23 นักเรียนควรรู วัตถุเกิดการสั่น กาลิเลโอสังเกตการสั่นของ NET ขอสอบ ป 50 โคมไฟที่อยูในโบสถใกลๆ กับหอเอนเมืองปซา แลวลองจับเวลาจากการเตนของชีพจร พบวา ขอความใดถูกตองเกี่ยวกับคาบของลูกตุมอยางงาย ไมวาโคมไฟจะแกวงกวางหรือแคบมันจะใชคาบ 1. ไมขึ้นกับความยาวเชือก 2. ไมขึ้นกับมวลของลูกตุม การแกวงเทากัน 3. ไมขึ้นกับแรงโนมถวงของโลก 4. มีคาบเทาเดิมถาไปแกวงบนดวงจันทร 22 คูมือครู (วิเคราะหคําตอบ การเคลื่อนที่แบบคาบของลูกตุม ขึ้นอยูกับความยาวเชือกและคาความเรงเนื่องจาก คูมือครู 23 แรงโนม ถวงเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวล ตอบ ขอ 2.)
ขยายความเขาใจ ตรวจสอบผล กระตุนความสนใจ สํารวจคนหา อธิบายความรู Expand Evaluate Engage Explore Explain ขยายความเขาใจ (ยอจากฉบับนักเรียน 20%) ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียน ทบทวนความรู ความเขาใจ • การดึงมวลที่ติดกับสปริง และ เสริมประสบการณ วิทยาศาสตร การสั่นของคลื่นนิ่งในเสนเชือก นาฬกาแบบลูกตุม เปนการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก เมื่อป ค.ศ. 1600 นักวิทยาศาสตรและนักประดิษฐ ไดพยายามที่จะ อยางงายหรือไม อยางไร สรางนาฬกาที่มีความเที่ยงตรงสูง แตปรากฏวาไมมีใครประดิษฐได จนกระทั่ง (แนวตอบ เปนแบบฮารมอนิก คริสเตียน ฮอยเกน นักดาราศาสตรชาวดัตช เปนคนแรกที่ประสบความสําเร็จ อยางงายเมื่อสั่นดวยระยะ โดยเขาได คนพบวา คาบการแกวงของลูกตุมนาฬกา ขึ้นอยูกับความยาวของ แอมพลิจูดนอยๆ และคงที่) เสนเชือกที่แขวนลูกตุมนาฬกาเทานั้น ไมขึ้นอยูกับมวลของลูกตุม • การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก มนุษยเริ่มมีการใชนาฬกาแบบลูกตุมมาตั้งแตป ค.ศ. 1659 ซึ่งใน อยางงายมีการสูญเสียพลังงาน ขณะนั้นถือวามีความเที่ยงตรงสูงมาก โดยชิ้นสวนสําคัญของนาฬกาแบบ หรือไม อยางไร ลูกตุม มีดังนี้ (แนวตอบ การเคลื่อนที่แบบ ■ หนาปดมีเข็มชั่วโมง นาที และวินาที มีตุมนํ้าหนักจํานวน 1 หรือมากกวา (ถาเปนนาฬกาที่ทันสมัย ■ ฮารมอนิกอยางงาย ไมเกิดการ ขึ้นมา จะใชสปริงขดเปนวงแทน) สูญเสียพลังงาน) ■ ลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่งลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่งลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่งลูกตุมที่แกวงไปมา ซึ่งการแกวงทั่วๆ ไป คือ หนึ่งครั้งตอหนึ่ง ครูถามคําถามเพื่อใหนักเรียน วินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามาก ว ว ว ว ว ว วินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงสองครั้งตอวินาที สวนนาฬการุนที่เกามากินาที หรือบางรุนก็แกวงส เกิดความคิดสรางสรรค จะแกวง 1 คร ภาพที่ 1.26 นาิกาแบบลูกตุม จะแกวง 1 คร จะแกวง 1 ครั้งตอ 2 วินาที จะแกวง 1 คร จะแกวง 1 คร จะแกวง 1 ครั้งตอ 2 วินาที ั้งตอ 2 วินาที ั้งตอ 2 วินาที ั้งตอ 2 วินาที ั้งตอ 2 วินาที ั้งตอ 2 วินาที จะแกวง 1 คร (ที่มาของภาพ : http://www. • นักเรียนสามารถนําความรูเรื่อง kingwoodlaser.com) การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิก อยางงายไปใชประโยชนใน เรื่องใดบาง (แนวตอบ การแกวงของลูกตุม- นาฬกา การทํางานของนาฬกา การสั่นของคลื่น ฯลฯ) คําถาม ตรวจสอบผล คําถาม ชวนคิด ชวนคิด ชวนคิด บันทึกการตอบคําถามชวนคิด 1. การเคลื่อนที่แบบครบรอบ (periodic motion) และฮารมอนิกอยางงาย (simple harmonic จากหนา 24 motion) ของวัตถุ มีลักษณะอยางไร อธิบายเหตุการณตางๆ เกี่ยวกับ 2. วัตถุที่มีการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย มีความเรงหรือไม เพราะเหตุใด การเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย 3. ปจจัยใดบางที่มีผลตอการแกวงของลูกตุมนาฬกา และจะสงผลตอการทํางานของนาฬกา อยางไร และสามารถนําความรูไปประยุกตใช 4. หลักการของการเคลื่อนที่แบบฮารมอนิกอยางงาย นอกจากนําไปสรางนาฬกาแบบลูกตุมแลว ในชีวิตประจําวันได สามารถนําไปสรางเปนอุปกรณหรือเครื่องมือชนิดใดไดอีกบาง หลักฐาน 24 แสดงผลการเรียนรู • รายงานผลปฏิบัติกิจกรรมพัฒนา ทักษะวิทยาศาสตร 1.4 B B B B B B B B B B B B B B B B B B B • แบบบันทึกการตอบคําถามชวนคิด B B พื้นฐานอาชีพ B B ครูอาจแนะนําใหนักเรียนศึกษาคนควาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเคลื่อนที่ แบบตางๆ ซึ่งเปนพื้นฐานความรูในการทํางานทางดานวิศวกรรมได 24 คูมือครู
Search
Read the Text Version
- 1 - 45
Pages: