การป้องกันก้าจดั โรคใบรว่ งของยางพาราทเี่ กิดจากเชื้อราชนิดนี้ เราสามารถท้าการ ปอ้ งกนั และรกั ษาได้โดยใช้ยาฆา่ เช้ือราบางประเภท เชน่ สารประกอบทองแดง ผสมน้ามันบางชนดิ ฉดี ป้องกนั กอ่ นถึงฤดูกาลของโรคระบาด อย่างไรกด็ กี าร ปฏิบตั ิเพื่อปอ้ งกนั รักษาโรคโดยวธิ ีดังกล่าวในสวนยางที่มีตน้ ยางขนาดใหญ่มี อุปสรรคหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เกี่ยวกับเครอ่ื งพน่ ยาและนอกจากนี้ ผลประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากการพน่ ยาป้องกันรกั ษาโรคในสภาพปจั จุบนั ไม่คุ้มกับ ค่าใช้จ่ายที่เสยี ไป ทง้ั นเี้ พราะตน้ ยางท่ีมีขนาดใหญท่ แ่ี สดงอาการใบรว่ งน้ไี ม่ได้ รบั อนั ตรายจนถึงกับทา้ ใหต้ น้ ยางตายได้ เพยี งแต่ปริมาณน้ายางหรือผลผลติ ที่ ไดล้ ดลงเทา่ นนั้ จงึ ไม่แนะน้าใหช้ าวสวนยางท้าการพน่ ยารกั ษาโรคในสวนยาง ขนาดใหญ่ แต่ขอแนะนา้ ใหเ้ จ้าของสวนยางที่มีตน้ ยางอายนุ อ้ ยกวา่ 2 ปี ท้า การฉดี ป้องกนั รกั ษาโรคเพือ่ มิใหต้ น้ ยางเน่าตายเนอ่ื งจากการเปน็ โรค โดยใช้ ยา ไดโฟลาแทน 80 ผสมนา้ มอี ัตราส่วน ยา 2 กรัมต่อน้า 1 ลติ รฉดี พุม่ ใบเพ่ือ ป้องกันโรคทกุ ๆ สัปดาห์ ระหว่างที่เกิดโรคระบาดในท้องทีน่ ัน้ ๆ ส้าหรบั ตน้ ยาง ขนาดใหญท่ เี่ กิดโรคใบร่วงอย่างรุนแรงจนใบร่วงหมดตน้ ให้เจ้าของสวนเรง่ การเจรญิ เติบโตของต้นยางต่อไป
8. โรคใบทเี่ กิดจากเชอื้ ออยเดียม (Oidium Leaf Disease) เช้อื สาเหตเกิดจากเชอื้ รา Oidium heveae ลกั ษณะอาการ จะมองเห็นปุยของกลมุ่ สปอร์ และเสน้ ใยสขี าวเทาของเชื้อราทีส่ ร้างขน้ึ บนผวิ ด้านล่างของแผ่นใบ มองดคู ล้ายแป้งถา้ เกดิ กบั ใบยางอายนุ ้อยกจ็ ะรว่ งหลดุ ไป แต่ ถา้ ใบแข็งแรงแลว้ ก็เจริญเติบโตต่อไปได้ แต่รอยแผลจะเป็นสเี หลอื งซดี แลว้ เปลยี่ นเป็นสีนา้ ตาลขนาดและรูปร่างของแผลไมแ่ น่นอน ถ้าโรคน้ที า้ ลายมากๆ ใบ ย่อยจะร่วงเหลือแตก่ า้ นใบติดอยู่ ใบท่ีรว่ งสว่ นมากมีขนาดเลก็ ยาวประมาณ 2 นวิ้ และยังไม่คล่ีขยายตวั ใบท่หี ลน่ อยู่บนพ้ืนดินจะมลี กั ษณะปลายใบบดิ งอเนา่ มสี ดี ้า จากปลายใบเข้ามา เชอ้ื นนี้ อกจากท้าใหเ้ กดิ โรคใบร่วง และใบจดุ แลว้ ยังท้าให้ ดอกยางรว่ งดว้ ย โรคนมี้ ีระบาดในชว่ งระยะแรกของฤดูยางผลิใบใหม่ ซงึ่ จะมผี ล ท้าใหพ้ มุ่ ใบของตน้ ยางในปีนั้น ๆ เสยี หาย การปอ้ งกนั กา้ จดั 1. ท้าความสะอาดสวนยาง โดยเกบ็ กวาดใบทีร่ ว่ งเผาไฟใหห้ มด 2. ฉีดพ่นต้นยางด้วยสารเคมี ก้ามะถนั ผง ในอัตรา 1.5 - 4 กโิ ลกรัมตอ่ พ้นื ที่ 1 ไร่ (แล้วแตข่ นาดของต้นยาง) ทุกๆ 5 - 7 วัน ประมาณ 5 - 6 ครง้ั ในระยะทใี่ บ ออ่ นเริม่ ผลิ 3. ใสป่ ยุ๋ เพอ่ื ให้ต้นยางแข็งแรง ในระยะทต่ี ้นยางก้าลังจะผลใิ บใหม่
9. โรครากแดง (Red root disease) เช้อื สาเหตเุ กิดจากเชอื้ รา Gonoderma pseudojerreum ลกั ษณะอาการ เสน้ ใยของเชือ้ ราสาเหตุของโรคน้จี ะมสี แี ดง และเปน็ มันปกคลมุ ผวิ รากของ ยางที่ เป็นโรค หากเชอ้ื ราอยู่ในระยะเจรญิ เสน้ ใยจะมีสขี าวครมี เมื่อแกข่ ้นึ จะ กลายเปน็ สีแดง รากยางท่ี เปน็ โรคน้ีในระยะแรกจะมสี นี ้าตาลซดี และแขง็ ต่อมา เปลี่ยนเปน็ สีเน้ืออ่อน เนือ้ ไม้ทเี่ ป็นโรคจะพรนุ อาจเปียกหรอื แห้งแลว้ แต่สภาพของ ดนิ เน้ือเยือ่ แตล่ ะวงจะหลดุ ลยุ่ แยกออกจากกนั ไดง้ ่าย ดอกเห็ดจะเป็นวงแขง็ ผวิ ดา้ นบนเปน็ รอยย่นสีนา้ ตาลแดงเข้ม ผวิ ดา้ นลา่ งเปน็ สีขาวข้ีเถ้า รอบ ๆ ของดอกเหด็ มสี ขี าวครมี การปอ้ งกนั กา้ จัด 1. การเตรยี มพนื้ ท่ปี ลูกยาง จะตอ้ งทา้ การถอนราก และเผาทา้ ลายตอไม้ ท่อน ไม้ เพ่อื ทา้ ลายเชอ้ื ราอันอาจทา้ ใหเ้ กดิ โรครากได้ 2. หมนั่ ตรวจตราหาดตู ้นท่ีเป็นโรค โดยการขดุ โคนดรู ากหลงั จากปลูกยางไป แลว้ ประมาณ 1 ปี หากไมพ่ บต้นทเี่ ป็นโรคให้ทาสารเคมพี ีซีเอน็ บี (PCNB) 20% เคลอื บไว้ท่ีโคนตน้ ตรงคอดิน รากแกว้ และฐานของรากแขนง 3. หากพบต้นทเ่ี ป็นโรค ท่โี คนตน้ โคนราก และรากแขนงให้ตัด หรอื เฉือนท้งิ แล้วทาด้วยสารเคมี PCNB 20% ผสมน้า และควรทา้ การตรวจซา้ ในเวลา 12 เดือน ต่อมา 4. ถา้ พบโรคในต้นยางอายุน้อยให้ทา้ การขดุ รากที่เป็นโรคขึน้ มาเผาทา้ ลาย
10. โรคราสีชมพู (Pink Disease) เช้ือสาเหตุเชอื้ รา Corticium salmonicolor ลกั ษณะอาการ บรเิ วณกิ่งหรอื คาคบ อาการขั้นแรกที่เชือ้ ราเข้าทา้ ลายเห็นเป็นรอย น้ายางถูก ขบั ไหลออกมาเปน็ ทางยาวใตร้ อยแผล เม่ือนา้ ยางแหง้ จะมรี าดา้ เข้าจับ เวลาอากาศ ชมุ่ ชน้ื เชอื้ ราจะเจรญิ เติบโตเตม็ ท่ีและเปลย่ี นเปน็ สีชมพู มรี อยแตกระแหงเลก็ ๆ กระจายทว่ั ไป สว่ นของตน้ ยางเหนอื ส่วนท่ีเปน็ โรคจะแห้งตายไป มกี ิง่ ออ่ นแตกเจรญิ ข้ึนมาใหม่จากสว่ นใตร้ อยแผล่ สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การเกดิ โรค อากาศมคี วามชมุ่ ช้นื การป้องกันก้าจดั 1. ดูแลรักษาสวนยางใหม้ ีอากาศถ่ายเทได้สะดวกไม่อบั ช้นื 2. เม่อื พบตน้ ท่เี ป็นโรค ใหร้ บี ตัดสว่ นท่ีเป็นโรคท้งิ และทา้ ลายเสีย 3. ส้าหรับต้นยางที่ยังไมเ่ ปิดกรดี หากพบโรคนใ้ี หใ้ ช้บอรโ์ ดมิกซ์เจอร์ ซึ่งมี อัตราส่วนของจุนสี 120 กรมั ปูนขาว 240 กรมั (ถา้ เปน็ ปนู เผาใหมใ่ ช้ประมาณ 150 กรัม) ผสมน้า 10 ลติ ร ทา 4. ส้าหรบั ยางที่เปิดกรดี แล้ว หากเปน็ โรคนี้ ใหใ้ ช้สารเคมีไตรเดมอ้ ฟ (Tridemorph) ฉดี พ่นหรือทาบรเิ วณทเ่ี ปน็ โรคโดยขดู สว่ นที่เป็นโรคก่อนฉีดหรอื ทา
แมลงศัตรูพืช 1. ดว้ ง เปน็ แมลงปกั เปา้ ขนาดใหญ่ ล้าตวั อว้ นป้อมสั้น ยาว ประมาณ 3-5 เซนตเิ มตร มีนสิ ยั ชอบหลบอย่ใู นดินเวลากลางวันและบินออกหากนิ ในเวลา พลบค้่า ดว้ งตวั เมยี ออกไข่ในดิน ตวั หนอนของดว้ งนี้ปกติมีสีขาวรปู งอ ๆ ลา้ ตวั ยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร อาศยั และเจรญิ อยใู่ นดินกินอินทรยี ว์ ตั ถุ และราก ยางตลอดจนรากพืชอน่ื ๆ เปน็ อาหาร จนกวา่ จะเป็นดักแดอ้ ยู่ในดนิ ลึกลงไป และเปน็ ตวั เตม็ วยั บินออกหากนิ ผสมพนั ธ์ุในฤดูตอ่ มา การปอ้ งกันก้าจดั โดยธรรมชาติตวั หนอนดว้ งจะมตี ่อขุดรูเปน็ ตวั เบียฬทส่ี ้าคัญอยแู่ ลว้ แตถ่ า้ มจี า้ นวนมากกค็ วรใชย้ าฆา่ แมลงกา้ จัด ยาทแี่ นะนา้ มี เบนซนิ เฮกซาคลอไรด์ ดี ลดรนิ หรือเฮบตาคลอ ใส่ลงดนิ ใหท้ ว่ั บริเวณทพี่ บหนอนด้วงอาศยั อยู่
2. ปลวก ช่อื คอปโตเทอเมส เซอวคิ นาตสั (Coptotermes curvignathus) วงจรชวี ิต ปลวกในแตล่ ะรงั จะมีจา้ นวนมากนบั พันนับหมนื่ ตวั โดยฟกั ออกจากไข่ และเจรญิ เตบิ โตจนถงึ ขนั้ ตวั เตม็ วยั ดว้ ยการเปล่ยี นรปู ร่างทลี ะ นอ้ ยไมม่ ีวัยดกั แด้ แมร่ งั ทา้ หน้าท่วี างไขเ่ กอื บตลอดเวลาและตลอดปี เพ่อื ออกลกู เป็นปลวกงาน และปลวกทหาร ปลวกงานจะทา้ หนา้ ทีด่ แู ลรกั ษาไข่ ท้ังหมดจนกวา่ จะฟกั เปน็ ตวั แมร่ ังจะออกไขเ่ พอื่ เป็นปลวกจ้าพวกที่สามารถ ผสมพนั ธไุ์ ด้ปลี ะครั้ง ปลวกจา้ พวกทส่ี ามารถผสมพันธ์ุได้ ท่อี อกมาปลี ะคร้ัง นีจ้ ัดแบง่ ได้เปน็ 2 จ้าพวก จา้ พวกแรกมีปกี ใสสองค่ทู งั้ ตวั ผแู้ ละตวั เมีย เพ่ือ บินออกไปผสมพันธใุ์ นฤดฝู น ซึ่งเรียกพวกนวี้ า่ แมลงเมา่ สว่ นจา้ พวกทีส่ อง คอื พวกสา้ รองผสมพนั ธุ์ จะมีสีขาว ไมม่ ีปีกหรืออาจมปี รากฏเป็นเพยี งปุ่ม ปกี ท้งั เพศผแู้ ละเพศเมีย ปลวกพวกนจ้ี ะทา้ หน้าทีผ่ สมพันธุ์และวางไข่แทน ในกรณที ่เี กิดมแี มร่ งั ตวั หนงึ่ ตัวใดตายลง ซงึ่ ปลวกจา้ พวกท่ีสองนีจ้ ะมอี ยู่ จ้านวนหนง่ึ เสมอ เพื่อสา้ รองสบื พันธ์ุ การปอ้ งกันกา้ จดั การปอ้ งกันกา้ จดั ปลวกใหใ้ ช้สารเคมอี อลดรนิ 0.5%, ดีลดริน 0.5%, เฮปตาคลอ 0.5% คลอเดน 1.0% หรือสารอน่ื ๆ ทีม่ คี ณุ สมบตั ิคงทนอยู่ใน ดินได้นานและมี ประสทิ ธิภาพในการก้าจดั แมลงในดนิ ได้ดี ผสมนา้ รดดิน รอบ ๆ ตน้ ยางแตล่ ะตน้ ท่ไี ด้ท้าการขุด เปน็ รอ่ งตน้ื ๆ รอบ ๆ โคนตน้ ไวแ้ ลว้ เพือ่ กนั สารเคมีไหลลน้ ออกไป ซงึ่ วธิ นี ้จี ะทา้ ใหส้ ารเคมีไหลลงไปตามราก ของยางไดม้ ากขึ้นและปอ้ งกนั ปลวกไดผ้ ลดี ในกรณที เ่ี ป็นฤดูฝน หรือกรณี ท่ีดินมคี วามชนื้ แฉะอยูแ่ ลว้ การใช้สารเคมชี นิดเม็ด เช่น ฟรู าดาน 3 จี หรือ อื่น ๆ ในการป้องกนั กา้ จัดปลวกกส็ ามารถทา้ ได้ ซ่งึ เปน็ วิธีการสะดวกและ ได้ผลดเี ชน่ กัน
การทา้ ลายของศตั รพู ชื ปลวกคอปโตเทอเมส เซอวิคนาตสั ทท่ี า้ อันตรายต้นยางน้ี มลี ักษณะทแี่ ตกตา่ งจากปลวก ทว่ั ไปคือ จะมปี ุ่มเลก็ ๆ กลางหัว สว่ นหน้าของปลวกทหาร เมอ่ื ให้ปลวกชนิดนใี้ ชก้ รามงบั สิง่ ใด สิ่งหน่ึง จะขบั ของเหลวสีขาวคลา้ ยน้ายางออกมาทางป่มุ เลก็ ๆ บนส่วนหน้าของหวั ทนั ทจี นเหน็ เปน็ หยดไดช้ ดั เจน ปลวกคอปโตเทอเมส เซอวิคนาตัส ทท่ี า้ อนั ตรายตอ่ ตน้ ยางคือ ปลวกงาน (ปลวกทหารและ ปลวกจา้ พวกทส่ี ามารถผสมพนั ธ์ุได้จะไมท่ า้ อันตรายตน้ ยาง) โดยปลวกงานจะ กัดกนิ สว่ นราก ของต้นยางทมี่ ชี วี ติ อยู่ โดยเฉพาะบรเิ วณโคนตน้ ใตผ้ วิ ดิน และกดั กินตอ่ ไปภายใน ล้าตน้ จนเปน็ โพรง ในระยะนี้ตน้ ยางจะแสดงอาการใบเหลอื ง ตอ่ มาเม่ือระบบรากถกู ทา้ ลาย เปน็ ส่วนมากตน้ ยางจะตายในท่ีสุด ตน้ ยางที่ตายเพราะถกู ปลวกท้าลายน้ี สว่ นมากจะยนื ต้นตายอยา่ งรวดเรว็ การ ระบาดของปลวกสงั เกตไดจ้ ากต้นยางทแี่ สดงอาการใบผิดปกติ จะลกุ ลามออกไปยงั ตน้ ขา้ งเคยี ง ค่อนขา้ งรวดเรว็ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ เรว็ กวา่ กรณีทีต่ ้นยางเสียหาย โดยมสี าเหตุ เน่อื งมาจากโรค มาก มีผลทา้ ให้ต้นยางตายเปน็ บรเิ วณกวา้ งในระยะเวลาอันส้นั ซงึ่ เจ้าของสวนยางจะไม่สามารถ มองเหน็ ลกั ษณะโพรงทป่ี ลวกท้าลายตามสว่ นตา่ ง ๆ ภายนอกตน้ ยางไดเ้ ลย ถา้ ไม่ ขดุ ดนิ บริเวณ โคนต้นดู หรือเกดิ ลมพัดต้นยางล้ม (ยกเว้นบางกรณที ่ีอาจมที างดนิ เป็นอุโมงค์ที่ปลวกสร้างขึ้นไว้ เปน็ ทางเดนิ ไปหาอาหารบนตน้ ยางปรากฏให้เห็นได้) การแพรร่ ะบาด ปลวกชนดิ นี้ นอกจากจะทา้ อนั ตรายกบั ต้นยางทกุ ๆ ระยะการเจรญิ เติบโตแลว้ ยงั ทา้ ลาย พืชอืน่ อีกหลายชนดิ รงั ของปลวกอาจอยู่ไกลจากแหลง่ ทม่ี นั หาอาหารมาก และบางคร้ังอาจสรา้ ง รังยอ่ ยขึ้นเป็นระยะ ๆ ระหวา่ งทางเดินจากรงั ใหญ่ไปสู่แหลง่ อาหาร รังของปลวกชนิดนี้ จะไม่มี ลักษณะเปน็ จอมปลวกขึน้ มา ฉะน้นั การ ก้าจดั ปลวกชนดิ น้ใี หห้ มดสน้ิ จงึ กระทา้ ได้ลา้ บาก สว่ น ใหญม่ กั ปอ้ งกันแต่เพียงตน้ ยางทีป่ ลกู อย่ใู นบรเิ วณทมี่ ีปลวกอาศยั อย่เู ทา่ น้ี
3. หนอนทราย วงจรชวี ติ หนอนทราย เป็นตวั อ่อนของดว้ งปกี แขง็ ชนดิ หนึง่ อยใู่ นตระกูลเม โลลอนติดี้ เป็นหนอนทมี่ ขี นาดใหญ่ ลา้ ตวั อว้ นป้อม มกี รามใหญ่ แข็งแรง ล้าตัวสี ขาวครีม เคลอ่ื นทไ่ี ด้ดว้ ยการยดื และหดของล้าตวั สว่ นทอ้ งมีขนและหนาม ซึง่ เปน็ ลักษณะเฉพาะท่ีใชแ้ ยกชนิดของหนอนทราย วงจรชวี ิตของดว้ งปีกแข็งชนดิ น้ี ตั้งแต่เกิดจนถึงออกลูกออกหลานใชเ้ วลา ประมาณ 1 ปี โดยดว้ งตัวเมยี จะวางไข่ไว้ในดินราวเดือนมีนาคมถงึ เดอื นเมษายน หลังจากน้ี 2-3 สปั ดาห์ ไข่ก็จะฟักเปน็ ตวั หนอน เรยี กว่า \"หนอนทราย\" เพราะส่วน ใหญ่อาศัยอยู่ในดนิ ทราย กัดกินรากพชื เปน็ อาหาร เมือ่ ถงึ ระยะหนง่ึ จะขดุ รเู ขา้ ดักแด้ จนถงึ เดอื นมกราคมถึงกุมภาพันธ์ดว้ งจะออกจากดกั แดแ้ ละอยู่ในดินจนถงึ หนา้ ฝน จงึ จะขึ้นจากดนิ เพอ่ื หาอาหารและผสมพันธุ์ตอ่ ไป ตวั เมยี เมือ่ ผสมพนั ธุ์ เสรจ็ แลว้ มกั จะกลับไปวางไขท่ ี่บริเวณเดมิ อกี การทา้ ลายของหนอนทราย หนอนทรายประมาณ 7 ชนิด เปน็ ศตั รขู องต้นยาง ทา้ ความเสียหายใหก้ ับต้น ยางตลอดมา โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ยางอ่อนทป่ี ลกู ในดินทรายแถบบรเิ วณชายปา่ ถา้ เห็นตน้ ยางตายเปน็ แถบ ๆ กอ็ าจสันนิษฐานไดว้ า่ เกดิ จากสาเหตขุ องหนอนทราย กินราก จะมอี าการใบสเี หลอื ง รว่ ง และเกดิ อาการตายจากยอดอยา่ งรวดเรว็ ใน ยางแก่ทถ่ี กู ท้าลาย ถา้ ตน้ ยางไมต่ าย ผลผลติ จะลดลง
การปอ้ งกันกา้ จดั หนอนทรายมีศตั รูธรรมชาติคอยควบคุมอยู่แลว้ หลายชนดิ เชน่ นก หนู ด้วง ตวั ต่อ หมารา่ มดตะนอย แมลงวนั และเชื้อรา อย่างไรก็ ตาม เราก็สามารถปอ้ งกันกา้ จัดหนอนทรายได้ โดยการใช้สารเคมีฆ่า แมลงประเภทรมดิน หรือสารเคมฆี ่าแมลงในดนิ ท้าลายหนอนทราย เชน่ เฮพตาคลอ หรือ ออลดริน เข้มข้น 0.1% (เฮพตาคลอ หรอื ออ ลดริน 10 กรัม ผสมน้า 10 ลติ ร) เทราดลงไปในดนิ ตามรูท่ที ้าข้นึ รอบๆ ต้นยางโดยใชส้ ารเคมีที่ผสมน้าเรยี บรอ้ ยแลว้ ประมาณ 1 - 2 ลติ รต่อต้น (ขนึ้ กบั ขนาดของตน้ ยาง) การทา้ รรู อบต้นยางให้ใช้ ชะแลงหรอื ไมเ้ น้ือแขง็ ท่เี สยี้ มปลายจนแหลมแทงลงไปในดนิ รอบ ๆ ต้นยาง ลึกประมาณ 6 - 8 นิว้ และห่างจากตน้ ยางโดยรอบ ประมาณ 1 - 2 ฟตุ
การก้าจัดวชั พืชในสวนยางพารา การก้าจัดวัชพชื ท้าได้ 3 วิธคี อื 1. ใช้จอบถากหรือแทรกเตอร์ไถ วิธีน้ีเกษตรกรนยิ มใชม้ ากแต่มีขอ้ เสีย คือจะกระทบกระเทือนตอ่ ราก ทา้ ใหต้ ้นยางชะงักการเจรญิ เติบโต 2. ใช้วธิ ปี ลกู พืชคลุมดิน โดยนา้ เมลด็ พืชคลมุ ดินแตล่ ะชนดิ มาผสมกนั แล้วนา้ ไปปลกู โดยใชเ้ มลด็ พชื คลมุ ดนิ ในอตั รา 1 กโิ ลกรมั ตอ่ พ้นื ทป่ี ลูกยาง 1 ไร่ ยกเวน้ ในทอ้ งทแ่ี หง้ แลง้ ใช้อตั รา 1.5 กิโลกรมั ต่อไร่ 3. การใชส้ ารเคมี เป็นวิธที ีใ่ ห้ผลดี ประหยัดแรงงาน และเวลา นิยมใช้กบั ต้นยางที่มอี ยายุ 1 ปขี น้ึ ไป หรือตน้ ยางทม่ี ีเปลือกบริเวณโคนตน้ เปน็ สนี ้าตาลสงู จากพนื้ ดนิ มากกว่า 75 เซนตเิ มตรไปแลว้ สว่ นตน้ ยางทมี่ ีเปลือกบรเิ วณโคนตน้ เปน็ สีนา้ ตาลสูงจากพน้ื ดนิ นอ้ ยกวา่ 75 เซนติเมตรไมค่ วรใช้วิธนี ี้
การกรดี ยาง การกรดี หมายถงึ การน้าผลผลติ น้ายางออกมาจากตน้ ยาง ซง่ึ เจา้ ของสวนยางควรศึกษาและวธิ ีการปฏบิ ัติอย่างถูกตอ้ ง ซง่ึ จะท้าให้ ผลผลิตทีม่ ากแบบยั่งยืนไมท่ ้าใหต้ ้นยางเสียหาย มีอายุการกรดี นาน การเจรญิ เตบิ โตของต้นยางดี ขายไม้ไดร้ าคาเมอ่ื โคน่ ลม้ เพ่ือปลกู แทนใหม่ ยางพันธุ์ดีทใ่ี หผ้ ลผลิตสูงจา้ เปน็ ต้องใช้วิธกี ารปฏิบตั ิท่ี ถกู ต้อง จงึ จะได้ผลคมุ้ คา่ การเลือกใช้วธิ ีการตา่ งๆ เช่น การเปิดกรีด วธิ ีการกรีด ระบบกรดี และมีดกรีดยางท่ถี กู ต้อง สามารถที่จะรกั ษาตน้ ยางเพ่ือใหก้ รดี ไดน้ าน แตห่ ากใชว้ ธิ ีการปฏบิ ัตทิ ่ไี ม่ถกู ต้อง นอกจากได้น้ายางนอ้ ยแลว้ ยังทา้ ให้ต้นยางเสียหาย เปน็ เหตุให้ รายไดข้ องเกษตรกรลดนอ้ ยลงด้วย โดยการกรดี ยางจะต้องยดึ หลัก ท่วี ่า เม่ือกรีดแล้วต้องได้น้ายางมาก เปลือกเสยี น้อยท่ีสุด แลว้ ยงั สามารถกรดี ไดน้ าน 25-30 ปี
ความส้าคัญของยางพาราต่อเศรษฐกจิ และสงั คม ยางพาราเปน็ พชื ท่ีมคี วามส้าคญั ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอกี ชนดิ หนึ่ง พบวา่ มี เกษตรกรตลอดจนผู้ทท่ี า้ ธุรกิจเก่ยี วขอ้ งกบั ยางพาราประมาณ 1 ลา้ นครอบครวั จา้ นวนไม่นอ้ ย กว่า 6 ล้านคน ประเทศไทยเป็นประเทศท่ีสง่ ออกยางพาราและผลติ ภณั ฑย์ างพาราเปน็ อนั ดับ 1 ของโลก นบั ตงั้ แต่ พ.ศ. 2534 เปน็ ตน้ มา โดยใน พ.ศ. 2552 ประเทศไทยมกี ารผลิต ยางพารา จา้ นวน 3.16 ลา้ นตัน มีการส่งออก จ้านวน 2.73 ลา้ นตนั (ร้อยละ 86 ของผลผลติ ทั้งหมด) ผลติ เพ่อื ใช้ในประเทศ จา้ นวน 399,415 ตัน (ร้อยละ 12 ของผลผลติ ทงั้ หมด) ซง่ึ สามารถทา้ รายไดเ้ ข้าประเทศไดป้ ลี ะกว่า 400,000 ลา้ นบาท ยางพาราเปน็ พชื เศรษฐกจิ ทีม่ ีความสา้ คัญต่อเศรษฐกิจของภาคใตแ้ ละของประเทศไทย โดยเฉพาะนา้ ยาง (Latex) ซ่ึงเปน็ ผลติ ผลทไี่ ดจ้ ากทอ่ ลา้ เลยี งอาหารในสว่ นเปลือกของต้น ยางพารา สามารถนา้ มาใชเ้ ป็นวัตถดุ ิบในการทา้ ผลติ ภณั ฑ์ยางชนิดต่างๆ ส้าหรับใช้ใน อตุ สาหกรรมหลายประเภท ตง้ั แตอ่ ตุ สาหกรรมหนกั เชน่ การผลติ ยางรถยนต์ ไปจนถงึ อปุ กรณ์ ทใ่ี ชใ้ นครัวเรือน นา้ ยางทีไ่ ด้จากต้นยางพารามคี ณุ สมบตั บิ างอยา่ งทยี่ างสังเคราะห์ (Synthetic Rubber) ไมส่ ามารถท้าใหเ้ หมอื นได้ ดงั นั้นยางพาราจงึ มคี วามส้าคญั ต่อประเทศไทยดา้ นตา่ งๆ ดังนี้ 1. ความสา้ คัญทางเศรษฐกิจ ยางพารามคี วามสา้ คญั ทางเศรษฐกิจของประเทศไทยใน 3 ดา้ น คือ 1.1 การฟ้นื ฟูเศรษฐกิจของประเทศ เน่ืองจากยางพาราเป็นพืชทที่ ้ารายได้ให้กับประเทศ เปน็ จา้ นวนมาก โดยในปี พ.ศ. 2553 มมี ลู คา่ การส่งออกยางธรรมชาติ จา้ นวน 94,508 ลา้ น บาท (เดอื นมกราคมถงึ เดอื นพฤษภาคม พ.ศ. 2553) ซึง่ มีจ้านวนเพ่ิมขึ้นร้อยละ 91.45 เมือ่ เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2552 โดยมีมลู คา่ การสง่ ออกมากเป็นอันดบั หนงึ่ ของ ประเทศ 1.2 การกระจายรายได้ของเกษตรกรที่ประกอบอาชีพทา้ สวนยางพารา จา้ นวนมากกว่า 6 ล้านคนทว่ั ประเทศ 1.3 เกษตรกรมรี ายไดท้ แ่ี นน่ อนและมจี ้านวนเพ่ิมขน้ึ เมอื่ พจิ ารณาจากสถิตยิ างพารา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2509 ซง่ึ ผลผลติ เฉลีย่ 60 กโิ ลกรมั ต่อไรต่ ่อปี เมื่อมกี ารปลกู ทดแทนด้วยยางพันธุ์ ดี จนถึงปจั จบุ ันในปี พ.ศ. 2552 มกี ารผลติ เฉล่ียเพม่ิ ขึ้นถงึ 276 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ต่อปี ทา้ ให้ เกษตรกรชาวสวนยางพารามีรายไดจ้ ากการทา้ สวนยางพาราเพ่มิ ข้นึ นอกจากน้ียางพารายงั เป็นพชื ทปี่ ลกู แลว้ สง่ ผลใหม้ รี ายไดส้ ม่า้ เสมอเกือบตลอดท้งั ปี ราคาผันผวนไมม่ ากนกั จงึ สรา้ ง รายไดท้ แ่ี นน่ อนให้แกเ่ กษตรกรผู้ปลกู ยางมากกวา่ ปลกู พชื ชนิดอื่นๆ
2. ความสา้ คัญทางสังคม ยางพาราเปน็ พืชที่ทา้ ใหเ้ กดิ การสร้างงานและอาชีพในชนบท จงึ สามารถ ช่วยลดและแกป้ ัญหาการเคล่ือนยา้ ยของแรงงานจากชนบทสสู่ งั คมเมอื ง และส่งผล ใหเ้ กิดความเขม้ แขง็ ของชมุ ชนใหค้ รอบครวั มคี วามอบอ่นุ มากข้นึ 3. การรักษาสภาพแวดลอ้ ม ยางพาราเปน็ พืชท่ที ีอายมุ ากกว่า 20 ปี มพี ้นื ทีป่ ลกู ทวั่ ประเทศมากกวา่ 12.3 ล้านไร่ กระจายอยู่ทกุ จังหวดั ในภาคใต้ ยางพาราจึงเปน็ พชื ทดแทนปา่ ไม้ทีม่ จี า้ นวน ลดลง และเป็นการเพม่ิ พื้นท่ีสเี ขยี วของประเทศใหม้ ีมากข้ึน อกี ทงั้ ภายในสวน ยางพารายังมพี ชื ชนิดอนื่ ๆ ที่สามารถปลูกร่วมได้ จึงทา้ ให้เกิดความหลากหลายทาง ชีวภาพมากข้ึน รวมทง้ั เปน็ ทีอ่ าศัยของสัตว์ต่างๆ ตามธรรมชาติ 4. อุตสาหกรรมไมย้ างพารา อตุ สาหกรรมไมย้ างพาราเปน็ อุตสาหกรรมทีเ่ ป็นอนาคตของประเทศไทย เนอ่ื งจากประเทศตา่ งๆ เกือบทวั่ โลกมกี ารปดิ ปา่ ท้าให้เกิดการขาดแคลนไม้ในการ บริโภค จึงส่งผลใหไ้ ม้ยางพาราเปน็ ทตี่ อ้ งการมากขน้ึ นอกจากจะท้ารายได้ให้ เกษตรกรชาวสวนยางทางหนึ่งแลว้ ยงั ทา้ ให้เกิดรายไดเ้ ขา้ ประเทศมากข้ึนจากการ สง่ ออกผลติ ภณั ฑ์จากไม้ยางพารา และมแี นวโน้มเพ่มิ มากข้ึนทกุ ปดี ว้ ย โดยในเดือน เมษายน พ.ศ. 2553 ประเทศไทยสง่ ออกไมย้ างพาราและเฟอรน์ เิ จอรจ์ ากไม้ ยางพารา คดิ เป็นมลู คา่ 1,454.80 ลา้ นบาท 5. อุตสาหกรรมยางพารา ผลผลิตของยางพารายงั สามารถพัฒนาต่อไปในอนาคตได้ เน่ืองจาก ผลติ ภณั ฑย์ างพาราหลายประเภทไดน้ ้ามาใช้ในชีวติ ประจา้ วันของคนท่วั โลก เชน่ ยางรถยนต์ และเครื่องมือแพทย์ เป็นตน้ หากมกี ารผลติ ผลิตภัณฑใ์ หมๆ่ เชน่ เขื่อน ยาง หรอื ใช้ยางพาราทา้ ถนน กจ็ ะทา้ ให้มีการใช้ยางพารามากขน้ึ ซึ่งจะทา้ ให้ ยางพารามมี ูลคา่ เพ่ิมสงู ขนึ้ นอกจากนยี้ งั เป็นโอกาสในการพัฒนาของประเทศไทย ในฐานะผู้ผลิตยางพารามากเปน็ อันดับหน่งึ ของโลกดว้ ย 6. อตุ สาหกรรมถงุ มือยาง อตุ สาหกรรมถุงมอื ยางจะมกี ารขยายตัวได้ดจี ากความตอ้ งการถุงมอื ยางใน ตลาดโลกทม่ี ีอย่างตอ่ เนือ่ ง อันเป็นผลมาจากกระแสความวติ กกังวลตอ่ การรกั ษา สุขภาพอนามยั ของผบู้ รโิ ภค แม้วา่ ชว่ งตน้ ปี พ.ศ. 2553 ผปู้ ระกอบการผลติ ถงุ มือ ยางจะไดร้ บั ผลกระทบจากการทร่ี าคาน้ายางข้นซึ่งเปน็ วตั ถดุ บิ หลักปรับตวั สูงและ ขาดแคลน แต่มกี ารคาดวา่ สถานการณ์ดังกล่าวจะดขี ึ้นในชว่ งระยะเวลาเม่ือเข้าสฤู่ ดู กรดี ยางพาราใหม่ โดยปรมิ าณสง่ ออกถุงมือยางในเดอื นเมษายน พ.ศ. 2553 ทงั้ ประเทศ มจี า้ นวน 955.7 ล้านคู่ คิดเปน็ มลู ค่า 2,274.9 ลา้ นบาท
ความส้าคญั ของยางพาราต่อเศรษฐกิจภาคใต้ ยางพารามคี วามส้าคัญตอ่ เศรษฐกิจภาคใตค้ อ่ นขา้ งมาก รายไดจ้ ากการ ส่งออกยางพาราแปรรปู ทางภาคใต้ในแตล่ ะปมี มี ลู ค่ากวา่ หน่ึงแสนลา้ นบาท นบั เปน็ พืชเศรษฐกิจทสี่ ร้างรายไดใ้ ห้กับประชากรในพ้นื ทีแ่ ละกอ่ ให้เกดิ การจา้ ง งานในภาคใต้เปน็ จ้านวนมาก ภาคใตม้ กี ารส่งออกยางพารา มมี ลู คา่ รวม 87,154.65 ล้านบาท ในชว่ ง ระยะเวลาเดอื นมกราคมถงึ เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 เฉพาะการสง่ ออกไม้ ยางพาราและเฟอร์นิเจอร์ มมี ลู คา่ 7,794.89 ล้านบาท ถงุ มอื ยาง มีมูลค่าการ ส่งออก 7,691.62 ล้านบาท และยางพารายงั จดั เปน็ สนิ ค้าส่งออกทีส่ า้ คัญท่ีสดุ ใน ภาคใตแ้ ละมมี ูลคา่ การสง่ ออกมากกวา่ สนิ คา้ ประเภทอืน่ ด้วย รายละเอียดดังตาราง แสดงการสง่ ออกยางพารา (ธนาคารแหง่ ประเทศไทย สา้ นักงานภาคใต้) ตารางมลู ค่าการสง่ ออกยางพารา หนว่ ย: ลา้ นบาท ผลติ ภณั ฑ์ พ.ค. 2553 เม.ย. 2553 ม.ี ค. 2553 ก.พ. 2553 ม.ค. 2553 ลาดบั 13,543.24 11,481.59 16,283.92 14,572.68 15,615.74 1 ยางรวม 1,973.82 2,153.93 3,752.93 3,174.69 3,705.12 2 ยางแผน่ รมควนั 6,987.01 5,666.56 7,865.50 6,447.47 7,119.84 3 ยางแทง่ 4,127.18 3,321.52 4,187.59 4,137.39 4,414.93 4 น้ายาง 4,125.80 3,321.52 4,187.59 4,137.39 4,411.46 5 น้ายางขน้ 1.38 0.00 0.00 0.00 3.47 6 น้ายางสด 1,703.39 1,454.80 1,916.93 1,431.19 1,288.58 7 ไมย้ างพาราแปรรปู และเฟอรน์ เิ จอร์ 1,815.48 1,516.24 1,817.11 1,382.05 1,331.71 8 ถงุ มอื ยาง
Search