คูมือ การเขยี นรายงานการวจิ ยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพ การจดั การเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก คํานาํ คูมือการเขียนรายงานการวิจยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศึกษาเลม นี้ จัดทําขึ้น เพ่ือใหครูผูสอนสามารถนํากระบวนการแกปญหา หรือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดขึ้นในหองเรียน มาใชในการนําเสนอผลการแกปญหา หรือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ในรูปแบบของรายงานการวิจัยได เนื่องจากการเขียนรายงานการวิจัย เปนข้ันตอนการนําเสนอผลจากการศึกษา คนควา อยางเปนระบบ สามารถ เผยแพรและนําไปใชประโยชน เกิดคุณคาดานวิชาการและวิชาชีพ และเปนประโยชนตอการยกระดับหรือพัฒนา วชิ าชีพใหม ีมาตรฐานสูงข้ึน คูมือการเขียนรายงานการวจิ ัยเพื่อพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศกึ ษา ประกอบดวย 3 สวน ไดแก สวนที่ 1 บทนํา ประกอบดวย จุดมุงหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษา แหลงท่ีมาของปญหาการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา การวิเคราะหสภาพปญหา เพื่อกําหนดหัวขอวิจัย การออกแบบวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สิบคําถามสําหรับการวางแผนการวิจัย และแนวทางในการประเมินผลงานวิจัย สวนท่ี 2 รูปแบบรายงานการวิจัยเพื่อ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ประกอบดวย จุดมุงหมายของการเขียนรายงานการวิจัย ความสําคัญของรายงานการวิจัย ลักษณะสําคัญของรายงานการวิจัยการประเมินคุณภาพของรายงานการวิจัย องคประกอบของรายงานการวจิ ัยเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศกึ ษา และรปู แบบรายงานการวิจัย เพ่ื อพั ฒ น าคุณ ภ าพ การจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษ า แล ะสวน ท่ี 3 แน วท างการเขียน รายงาน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ประกอบดวย แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย สวนนํา แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยสวนเนื้อเรื่อง แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยบทที่ 1 บทนํา แนวทาง การเขียนรายงานการวิจัยบทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยบทที่ 3 วธิ ดี าํ เนนิ การวิจัย แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยบทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข อมลู แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัย บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอเสนอแนะ แนวทางการเขียนบรรณนุกรม ภาคผนวก ขอบกพรองที่ทําใหการเขียน รายงานการวิจัยไมมีคุณคา ซ่ึงครูผูสอนสามารถใชเปนแนวทางในการพัฒนาทักษะการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจดั การเรยี นการสอนของตนเองได สํานกั มาตรฐานการอาชีวศกึ ษาและวชิ าชพี สํานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา
ข สารบัญ หนา คาํ นาํ ………………………………………………………………………………………………………………………………….…………................ก สารบญั ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……............ข สวนท่ี 1 บทนาํ ……………………………………………………………………………………………………………………..........................1 จดุ มุง หมายของการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศกึ ษา……………….........................1 แหลง ทม่ี าของปญหาการวจิ ยั เพื่อพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา…………………...........................1 การวิเคราะหส ภาพปญ หาเพื่อกําหนดหัวขอ วิจัย…………………………………………………………….........................2 การออกแบบวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารเพือ่ พัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอนอาชวี ศกึ ษา…….........................5 สิบคาํ ถามสาํ หรับการวางแผนการวจิ ัย……………………………………………………………........................................9 แนวทางในการประเมินผลงานวจิ ยั ……………………………………………………………………………….......................10 สว นที่ 2 รูปแบบรายงานการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา……….........................16 จุดมงุ หมายของการเขยี นรายงานการวจิ ยั ………………………………………………………………………......................16 ความสาํ คัญของรายงานการวิจัย…………………………………………………………………………………….....................16 ลกั ษณะสาํ คญั ของรายงานการวจิ ัย……………………………………………………………………………….......................16 การประเมินคณุ ภาพของรายงานการวิจยั ………………………………………………………………………......................17 องคประกอบของรายงานการวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา…........................17 รูปแบบรายงานการวจิ ยั เพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา………………….....................18 สว นท่ี 3 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยเพื่อพฒั นาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา…..............37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยสว นนาํ ………………………………………………………………………......................37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ยั สว นเนือ้ เรอ่ื ง…………………………………………………….................................37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ยั บทท่ี 1 บทนาํ ……………………………………………………………......................37 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วของ………………………......................46 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัย บทท่ี 3 วธิ ดี าํ เนินการวิจัย………………………………………….......................48 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมลู ……………………………………......................50 แนวทางการเขยี นรายงานการวิจัย บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและขอเสนอแนะ………………….......................52 แนวทางการเขียนบรรณานุกรม……………………………………………..........…………………………….........................56 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………………..........................59 ขอ บกพรองที่ทําใหการเขียนรายงานการวจิ ยั ไมม ีคุณภาพ……………………………………………...........................59 เอกสารอางองิ ……………………………………………………………………………………………………………….................................63 ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………………..................................64
สวนท่ี 1 บทนํา 1. จดุ มุงหมายของการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอนอาชีวศกึ ษา การวิจัยคือการคนควาเพ่ือหาขอมูลตามหลักวิชาการอยางมีระบบแบบแผน การวิจัยโดยท่ัวไปมี จุดมุงหมาย ท่ีหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับศาสตรและธรรมชาติของสาขานั้นๆ มีนักวิชาการแบงจุดมุงหมายของ การวิจัยทางการศึกษาไวแตกตางกันตามมุมมองของแตละบุคคล เชน นิภา ศรีไพโรจน ไดแบงจุดมุงหมาย การวิจัยไว 5 ประเภท ไดแก เพื่อการทํานาย อธิบาย บรรยาย ควบคุมและพัฒนาและ สมบัติ ทายเรือคํา ที่แบงจุดมุงหมายการวิจัยออกเปน4ประเภท ไดแก เพื่อบรรยาย อธิบาย ทํานาย ไปสูการควบคุม สวนพวงรัตน ทวีรัตน ไดแบงจุดมุงหมายการวิจัยออกเปน 3 ประเภท ไดแก เพ่ือแกปญหา เพ่ือสรางทฤษฏี และเพื่อพิสูจน ทฤษฏี ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับลักษณะงานวิจัยเพื่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สามารถจําแนกจุดมุงหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ออกเปน 3 ประเภทดังน้ี 1.1 เพ่ือแกปญหาหรือพัฒนา เปนการหาทางแกปญหาหรือพัฒนากระบวนการ กิจกรรมตาง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งจะเห็นไดวาในกระบวนการจัดกิจกรรม จัดการเรียนการสอนนั้นจะมี ประเด็นปญหาตาง ๆ เกิดข้ึนมากมาย ซ่ึงสวนใหญเปนปญหาที่ปรากฏและแสดงออกมาของผูเรียน ทั้งในดาน วิชาการ ทักษะ คุณลักษณะท่ีพึงประสงค ซ่ึงตองอาศัยกระบวนการวิจัยมาใชในการแกปญหาหรือพัฒนาประเด็น ตาง ๆ ท่ีเกิดขึ้นดวยวิธีการที่เหมาะสมและเปนระบบ เพื่อใหไดขอสรุปท่ีถูกตองและชัดเจน อันนําไปสูการ แกปญหาหรือพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษาที่มปี ระสิทธภิ าพ 1.2 เพ่ือสรางทฤษฏี เนื่องจากในธรรมชาติมีความรู ความจริงท่ีดํารงอยูหรือเกิดข้ึนตลอดเวลา จึงจําเปนตองมีการสรางองคความรูเหลาน้ันไวในเชิงทฤษฏี โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนที่เกี่ยวของกับ พฤติกรรมของผูเรียน ท่ีจําเปนตองนําผลท่ีไดจากการวิจัยไปใชในการบรรยายสภาพและลักษณะของประเด็น ปญหาตาง ๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ นัน้ มีสภาพและลักษณะอยา งไรและใชอ ธิบายปญหาหรือเหตุการณตางๆที่ยังไมทราบสาเหตุ วาสิ่งใดเปนสาเหตุท่ีทําใหเกิดผล หรือสิ่งใดเปนผลที่ทําใหเกิดสาเหตุน้ันๆ หรือการทํานายผลท่ีไดจากการวิจัย วา สามารถนําไปใชพยากรณ หรือทาํ นายเหตุการณในอนาคตไดวามีอะไรเกิดขึ้นหรือมีแนวโนมอยางไร เพ่ือเตรียม ตัวรับสถานการณไวลวงหนา ตลอดท้ังการควบคุมเพ่ือนําผลที่ไดจากการวิจัยไปวางแผนหรือกําหนดวิธีการ ในการควบคุมสิง่ ตา ง ๆ ใหม ีประสทิ ธิภาพย่งิ ขึ้น 1.3 เพ่ือพิสูจนทฤษฏี เนื่องจากทฤษฏีตาง ๆ ท่ีเก่ียวของการการจัดการเรียนการสอนนั้นสามารถ เปล่ียนแปลงไดภายใตกฎเกณฑธรรมชาติ จึงจําเปนตองมีการตรวจสอบวาขอคนพบท่ีเปนขอสรุปท่ีมีมากอนนั้น ยังคงถูกตองอยูหรือไม ถาหากไมถูกตองก็จะตองสรางทฤษฏีใหมจากความจริงท่ีปรากฏ เชน ทฤษฎีสรางสรรค นยิ ม (constructivism) ทฤษฎีพหปุ ญญา(multiple intelligence) แมว า การวจิ ยั เพ่ือการพฒั นาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนจะมีขอบเขตของจุดมงุ หมายการวิจัยเสมือน การวิจัยทั่วไป แตจุดมุงหมายหลักของการวิจัยเพ่ือการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนน้ัน เปนไปเพ่ือ การแกปญหาหรือพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน นักการศึกษาสวนใหญ จงึ มักเรยี กการวิจยั เพอ่ื การพฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนวาการวิจยั ในชั้นเรยี น 2. แหลงทม่ี าของปญหาการวจิ ยั เพื่อพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา หัวขอเรื่องหรือการกําหนดปญหาการวิจัยในการวิจัย เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา จะเปนประเด็นปญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรูของครู ดังน้ันที่มาของหัวขอเรื่อง
2 หรือการกําหนดปญหาการวิจัยสวนใหญ จึงมาจากผลการจัดการเรียนการสอนท่ีปรากฏในบันทึกหลังสอน แตเพ่ือใหกรอบของการกําหนดหัวขอเรื่อง หรือการกําหนดปญหาการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษามีมุมมองที่กวางขึ้น สามารถจําแนกที่มาของการกําหนดหัวขอเรื่องหรือกําหนดปญหาการวิจัย เพือ่ พัฒนาการจดั การเรียนการสอนอาชีวศึกษาไวดงั น้ี 2.1 จากบันทึกหลังการสอน เปนปญหาการวิจัยท่ีเกิดข้ึนจากการจัดการเรียนการสอนของผูวิจัย และผูวิจัยตองการคนหาวิธีการท่ีจะแกปญหานั้น ๆ โดยการนําปญหามาตั้งเปนหัวขอวิจัย เพ่ือแสวงหา นวัตกรรมใหม ๆ ที่นาสนใจและมีหลักฐานทางการวิจัยท่ีสําคัญวาจะสามารถนํามาวิจัยกับบริบทของตนเองได ซึ่งเปนแนวทางที่ครูผูสอนทําการวิจัย เพ่ือแกปญหาหรือพัฒนาการเรียนรูของผูเรียนในช้ันเรียนระหวางการจัด การเรียนการสอน เพอื่ นําผลท่ีไดมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง ซ่ึงหลักการดังกลาวน้ีเปนแนวคิด ของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการในช้ันเรียน (classroom action research) 2.2 จากรายงานการวิจัย เปนปญหาการวิจัยท่ีเกิดจากความสนใจของผูวิจัยท่ีตองการศึกษาทํา ความเขาใจ และตองการหาคําตอบ โดยการศึกษารายงานการวิจัยของบุคคลอ่ืนท่ีเสร็จสมบูรณแลว โดยเฉพาะ อยางยิ่งประเด็นขอเสนอแนะจากรายงานการวิจัย ซึ่งเปนแหลงขอมูลสําคัญในการไดมาของหัวขอเรื่องหรือ การกาํ หนดปญหาการวิจัยเพอื่ พัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศึกษา 2.3 จากการพัฒนาหลักสูตร เปนปญหาการวิจัยที่เกิดจากการที่ครูผูสอนพัฒนาหลักสูตร รายวิชา เพ่ือใหทันตอการเปล่ียนแปลงหรือความกาวหนาทางวิทยาการตาง ๆ จึงเปนประเด็นที่ครูผูสอนสามารถ นํ า ม า ใ ช กํ า ห น ด หั ว ข อ เ รื่ อ ง ห รื อ ก า ร กํ า ห น ด ป ญ ห า ก า ร วิ จั ย เ พื่ อ ค น ห า น วั ต ก ร ร ม ใ น ก า ร แ ก ป ญ ห า ห รื อ พฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 3. การวิเคราะหส ภาพปญหาเพ่ือกําหนดหวั ขอวิจยั เพอ่ื พฒั นาการจดั การเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา การวิเคราะหสภาพปญหาเพ่ือกําหนดหัวขอวิจัย เปนความพยายามของผูวิจัยในการจําแนก แจกแจง แยกแยะ และการมองเห็นส่ิงสําคัญที่เปนปจจัยสัมพันธและสงผลตอปญหาในการจัดการเรียนการสอน สภาพปญหาและหัวขอปญหาเปนประเด็นท่ีเกี่ยวเนื่องกัน สภาพปญหาเกิดขึ้นกอนหัวขอปญหา สภาพปญหา ตองอาศัยการบรรยายใหเกิดความเขาใจ สวนหัวขอปญหาเกิดจากการนําเอาตัวแปรมาเก่ียวของ ดงั นัน้ หวั ขอ ปญ หาหรอื ชือ่ ปญหาจึงมใี จความสนั้ กระชบั กวา สภาพปญ หา ในการวิเคราะหสภาพปญหาการจัดการเรียนการสอน จึงมักเร่ิมจากการบรรยายสภาพปญหา ทเี่ กิดขนึ้ ซ่งึ เรมิ่ ตน จากการมองปรากฏการณท เี่ กิดขึ้นในหอ งเรียน หรือสิ่งท่ีเกิดขึ้นกับผูเรียน ซ่ึงเปนปญหาท่ีสงผล ใหการเรียนการสอนไมบรรลุเปาหมาย การวิเคราะหสภาพปญหาในหองเรียนจึงเปนข้ันตอนสําคัญ ที่จะตองพิจารณาวามีอะไรเกิดขึ้นกับการจัดการเรียนการสอนหรือไม หากปญหาน้ันมีหลายประการ ตองเรียงลําดับสําคัญกอนหลังอยางไร วิธีวิเคราะหสภาพปญหามีหลากหลายวิธี แตในท่ีน้ีเสนอแนวทาง ในการวิเคราะหสภาพปญ หา ดงั นี้ 3.1 วิธีวิเคราะหโดยการใชคําถาม การวิเคราะหโดยวิธีนี้จะใชคําถามเก่ียวกับสภาพปญหาท่ีเกิดขึ้นใน การจัดการเรียนการสอน โดยมคี าํ ถาม ดงั น้ี (สุวิมล วอ งวาณชิ ) 3.1.1 ปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ คอื อะไร 3.1.2 ปญ หาที่เกดิ ขนึ้ เปน ปญหาของใคร 3.1.3 ปญ หาทีเ่ กิดขึน้ สงผลกระทบตอใคร อะไรบาง 3.1.4 ปญหาทเี่ กดิ ขึ้นสาํ คัญระดับใด เม่อื เทียบกับปญ หาอน่ื ปญ หาใดสําคัญกวากนั 3.1.5 ปญหาที่เกดิ ขน้ึ เก่ยี วของสมั พนั ธกับปญ หาหรือเหตุการณอ ืน่ ๆ อะไรบาง อยางไร 3.1.6 ใครเปนผรู ับผิดชอบในการแกปญ หาดงั กลา ว และการแกปญ หาเหลา นัน้ เกยี่ วขอ งกบั ใคร หรอื ไม
3 3.2 วิธีวิเคราะหโดยใชแผนภาพความคิด การวิเคราะหโดยวิธีนี้จะใชแผนผังความคิดเขามาเปน สวนประกอบในการวิเคราะห โดยใหกําหนดปญหาจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งอาจจะเปนดานพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรอื ทักษะพสิ ยั แลวใหระบุสาเหตุของปญหา ซึ่งปญหาการจัดการเรียนการสอนมี 3 ระดับ ประกอบดวย ระดับปจจัยหรือส่ิงจําเปนพ้ืนฐานในการจัดการเรียนการสอน เชน ลักษณะผูเรียน ครู ชุมชน สังคมรอบขาง เปนตน ระดับกระบวนการจัดการเรียนการสอน เชน กระบวนการพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู และระดบั ผลผลิต ไดแ ก คณุ ภาพท่เี กดิ ขน้ึ กบั ผเู รียน การวิเคราะหปญหาการจัดการเรียนการสอน โดยพิจารณาจากปรากฏการณที่เกิดข้ึนในหองเรียน รองรอย หลักฐาน ที่เก่ียวของกับการจัดการเรียนการสอน เชน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียน ผลการวัด และประเมินผลจุดประสงคการเรียนรู การทําแบบฝกหัดของผูเรียน ผลการตรวจผลงานของผูเรียน ผลจาก การสอน เมื่อไดศึกษาปญหาการจัดการเรียนการสอนและพบปญหาที่แทจริงแลว ตองศึกษาวิเคราะหหาสาเหตุ ของปญหาน้ันวาเกิดจากสาเหตุใด ซ่ึงอาจเกิดจากตัวครู ผูเรียน ผูบริหารสถานศึกษา ส่ือหรือวิธีสอน ฯลฯ แลว นํามาจัดลําดบั ความสําคัญหรือความตองการจาํ เปน ในการพัฒนาดังตวั อยางการวิเคราะหด ังน้ี วิธีวเิ คราะหโดยใชคําถาม สภาพปญหา : จากการพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรชางอุตสาหกรรม เร่ือง สมการ ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางยนต พบวา โดยเฉลี่ยมีผลสัมฤทธิ์ไมผานเกณฑที่ครูผูสอน กําหนด และเม่ือพิจารณาเปนรายบุคคล พบวา นักเรียนมีคะแนนแตกตางกันมาก เม่ือพิจารณารองรอยหลักฐาน จากแบบฝกหัด นักเรียนมีการลอกแบบฝกหัดกัน นักเรียนบางคนอานโจทยไมออก และนักเรียนเกงบางคน กร็ วมกลมุ กันทํางานรว มกัน 1) ปญ หาที่เกิดขึ้นคอื อะไร - ผลสัมฤทธ์ติ าํ่ การลอกการบาน การทํางานรวมกัน 2) ปญหาทีเ่ กิดขึ้นเปน ปญหาของใคร - นกั เรยี น ครูผสู อน 3) ปญหาท่เี กิดข้ึนสงผลกระทบตอ ใคร อะไรบาง - นักเรียนขาดพ้ืนฐานในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ขาดทักษะการทํางานรวมกัน ครูผูสอน มีปญ หาในการสอนเน้อื หาทเี่ กย่ี วขอ ง 4) ปญหาท่เี กิดขึ้นสําคญั ระดับใด เม่ือเทยี บกับปญหาอนื่ ปญ หาใดสาํ คัญกวา กนั - สาํ คญั มาก เพราะการแกสมการ และทักษะการทํางานรว มกันมจี าํ เปน สาํ หรบั นกั เรยี นมาก ในอนาคต 5) ปญ หาท่เี กดิ ขน้ึ เก่ยี วขอ งสมั พนั ธกบั ปญ หาหรอื เหตุการณอ ่ืน ๆ อะไรบาง อยา งไร - ครูไมมีวธิ สี อนท่ีกอ ใหเกิดผลสมั ฤทธแิ์ ละการทํางานรว มกันทีด่ ี 6) ใครเปนผูรับผิดชอบในการแกปญหาดังกลาว และการแกปญหาเหลานั้นเก่ียวของกับ ใครหรอื ไม - ครคู ณิตศาสตร ครูภาษาไทย นกั เรยี นกลุมเปา หมาย
4 วิธีวิเคราะหโดยใชแผนภาพความคิด นาํ สภาพปญหาดังที่กลา วมาแลวมาวิเคราะหโดยใชแ ผนภาพความคิด ไดด งั นี้ อา่ นไม่ ผลสมั ฤทธ์ิตํา่ ขาดการทํางานร่วมกนั กิจกรรมไมเ่ หมาะสม เบ่อื ปัจจยั กระบวน วธิ ีสอนไม่ คณิตศาสตร์ จํานวนนกั เรียน เหมาะสม สอ่ื ไมช่ ่วยให้เกดิ การเรียนรู้ จากแผนภาพดังกลาวแสดงใหเ หน็ วา ปญหาดานผลสัมฤทธิ์ตาํ่ และขาดการทาํ งานรวมกันอาจเกิดจากดาน ปจจยั ไดแ ก ปญ หาดา นการอานของนกั เรยี นทาํ ใหไ มสามารถเขาใจโจทยปญหา ประกอบกับเจตคติเดิมท่ีมีตอวิชา คณิตศาสตร หรือจํานวนนักเรียนที่มากเกินไป สวนดานกระบวนการอาจเกิดจากครูไมมีวิธีการสอนที่เหมาะสม ขาดสือ่ ทน่ี าสนใจ หรอื ไมมีกจิ กรรมท่ีหลากหลาย ผลจากการวิเคราะหสภาพปญหาดังกลาวขางตน จะนําไปสูการกําหนดคําถามการวิจัยที่สอดคลองกับ สภาพการจัดการเรียนการสอน ทําใหผูวิจัยสามารถเลือกวางแผนในการวิจัยไดอยางถูกตองและเหมาะสม เพราะจะทําใหทราบวาปญหาใดเรงดวนที่ตองทําวิจัยกอนหลัง ทําใหทราบวาจะตองเกี่ยวกับใคร และกลุมเปา หมายคือใคร หลังจากการวิเคราะหส ภาพปญหาท่ชี ัดเจนแลว สิง่ ทีป่ รากฏข้ึนของข้ันตอนน้ีอีกประการ หนึ่งคอื การไดต วั แปรในงานวิจยั ทีช่ ัดเจน 3.3 การกําหนดหวั ขอ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา กําหนดหัวขอ วจิ ยั ปจจยั สําคญั ท่นี ักวจิ ยั ตองคํานึงถึงในการกําหนดหัวขอวิจัย ไดแก หัวขอวิจัยที่ กําหนดจะตองแสดงใหเห็นตัวแปรท่ีศึกษา ขอบเขต วิธีดําเนินการวิจัยหรือรูปแบบการวิจัย เปนตน การวิจัยเชิง ปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา เปนการวิจัยเพื่อการแกปญหาหรือพัฒนา คุณภาพการจัดการเรียนการสอน เพื่อสงเสริมการเรียนรูของผูเรียน ดังน้ันในการกําหนดหัวขอการวิจัยเชิง ปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา จึงควรมีลักษณะของการแกปญหาและ การพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนของครู ซึ่งสามารถกําหนดเปนรูปแบบเชิงโครงสรางของการกําหนดหัวขอการ วจิ ัยไดดงั น้ี “การแกป ญ หา / การพัฒนา…..(ระบุประเด็นหรือหัวขอท่ีตองการแกปญหา / พัฒนา)…… (ระบทุ ํากับใคร เมื่อไร)….(ระบุทําอยา งไร/วธิ กี าร/เครอ่ื งมือวิจยั )……” ตัวอยา ง ท่ี 1 “การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษา ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา ชางกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผ งั ความคดิ วเิ คราะหต นเอง” ตวั อยา ง ท่ี 2 “การแกปญ หาดา นคุณธรรมและจริยธรรม 5 ประการ ในรายวิชามารยาทและการสมาคมของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา การบัญชี โดยใชแ บบบันทกึ พฤตกิ รรมรายบคุ คล” 4. การออกแบบวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา
5 การวิชยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรียนการสอนอาชวี ศึกษา หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในชั้นเรียน (classroom action research) เปนการวิจัยท่ีผสู อนเปนผูดําเนินการ โดยการศึกษาวิเคราะหแสวงหา ขอมูล หรือพยายามดึงปญหาในการเรียนการสอนออกมา และแสวงหาวิธีการเพ่ือแกปญหาดังกลาวดวย กระบวนการทีเ่ ชอื่ ถือได แลวนําผลที่ไดไปแกปญหาหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ในช้ันเรียนทก่ี ําลังดําเนนิ การอยใู หมีคณุ ภาพ และประสิทธิภาพดยี ่ิงขึ้น ซึ่งผลของการวิจัยอาจเกิดประโยชนเฉพาะ ตอปญหานั้นในเวลานั้นเทานั้น อาจไมเกิดประโยชนตอปญหาอ่ืนก็ได การวิชัยเชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) จึงมลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงตา งจากการวจิ ัยทางการศึกษาทัว่ ๆ ไป 4.1 เปา หมายการออกแบบการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารดา นการสอน เปาหมายหลักท่ีสําคัญของการออกแบบการวิจัยดังกลาวจึงมีเปาหมายเพ่ือใหไดความเที่ยงตรง ภายในวาการออกแบบดังกลาวกอใหเกิดผลของการวิจัยที่เท่ียงตรงหรือไม ซ่ึงอาศัยการวัดที่หลากหลาย ที่สอดคลองกับความเปนจริง ดังน้ันเปาหมายที่สําคัญในการออกแบบวิจัยเชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (classroom action research) จงึ มีเปาหมายทีส่ ําคัญ ดังน้ี (สวุ ัฒนา สวุ รรณเขตนิยม. 2540, พิมพันธ เดชะคปุ ต. 2546) 4.1.1 ผเู รยี นจะมกี ารเรียนรทู ่ีมีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพยิง่ ข้นึ 4.1.2 ชวยใหค รมู ีวิถีชวี ิตการทํางานอยา งเปนระบบ เห็นผลการปฏบิ ตั กิ ารสอนที่ชดั เจน มีการตัดสนิ ใจทม่ี คี ุณภาพ ชว ยพฒั นาสมรรถนะไปสคู วามเปน ครูมอื อาชพี (professional teacher) 4.1.3 ชวยทําใหเกดิ การพัฒนาท้ังตัวผูเรียนและผูสอนอยางตอเน่ือง โดยเกิดการเปล่ียนแปลง ผานกระบวนการวิจัยในงานที่ปฏิบัติ ซ่ึงเปนประโยชนตอองคกรเน่ืองจากนําไปสูการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการ ปฏบิ ัติและการแกปญหา 4.1.4 เปน การสรางชมุ ชนแหงการเรียนรูนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะทอนผล การทํางาน 4.1.5 ทําใหค รเู ปน ผนู าํ การเปลีย่ นแปลง (change agent) 4.2 หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัย เชิงปฏิบตั ิการในช้ันเรียน (classroom action research) หลักการที่สําคัญในการออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียน การสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) นําเสนอใหเห็น ความแตกตา งกับงานวจิ ัยทางการศึกษาทวั่ ไป ดังตารางตอ ไปน้ี ประเดน็ การวิจัยเชงิ ปฏิบตั ิการในชน้ั เรียน การวจิ ยั ทางการศกึ ษาทว่ั ไป 1.ผูทาํ วจิ ัย ครู นักวจิ ยั ทางการศึกษา 2.จดุ มงุ หมาย พัฒนาหรือแกปญ หาการเรยี นการสอน พฒั นาการศึกษา 3.การเลอื กปญหา จากการปฏบิ ตั ิงานของครู ศึกษาจากทฤษฎี การวจิ ยั 4.ขอบเขต แคบ กวา งใหญ 5.กลุมที่ศึกษา ผูเรยี นในช้นั เรียน ใชการสมุ กลมุ ตัวอยา ง ประเดน็ การวิจยั เชิงปฏิบัติการในช้ันเรยี น การวจิ ัยทางการศกึ ษาทั่วไป
6 6.วิธีการ ครใู ชการเช่อื มโยงการทาํ งานของตนจนเกิดทฤษฎี นกั วิจัยใหทฤษฎีทางการศึกษาและงาน เชื่อมโยงทฤษฎีทางการศกึ ษากบั การทํางานของตน วิจัยอน่ื ท่เี ก่ยี วของเปนกรอบการวจิ ยั 7.กระบวนการวัด ใชว ธิ ีการอยา งงาย หลากหลาย มรี ะบบแบบแผนรัดกมุ 8.การวิเคราะหข อมลู ใชสถิติพ้ืนฐานเสนอผลแบบงา ยเนนทผี่ ลการ ใชส ถิตขิ น้ั สงู หรือมีความยงุ ยาก ปฏบิ ตั ิอิงขอ มูลเชงิ คุณลกั ษณะมากกวา อิงสถิตแิ ละขอ มูลเชงิ ปรมิ าณมากกวา 9.การใชผลการวจิ ัย เนนการแกไ ขก ารปฏบิ ัตงิ าน เนนการสรางทฤษฎีใหม 4.2 วิธีการออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา หรือการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในช้ันเรยี น (classroom action research) การออกแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) สวนใหญพัฒนามาจากข้ันตอนของ Action Research ท่เี สนอโดย Kemmis & Mctaggart.1990(ยาใจ พงษบ ริบรู ณ. 2537) ซง่ึ มขี ั้นตอนดังนี้ ขั้นท่ี 1 ข้ันวางแผน (plan) เริ่มตนดวยการสํารวจปญหาที่ตองการใหมีการแกไข โดยมีการ ปรกึ ษารวมกันระหวางผูเกี่ยวของ การใชแนวคิดวิเคราะหสิ่งท่ีเกี่ยวของกับปญหา ทําใหมองเห็นสภาพของปญหา ชัดเจนขึน้ ขนั้ ที่ 2 ขั้นปฏิบัติ (act) เปน การดาํ เนินการตามแผนทวี่ างไว ขั้นที่ 3 ข้ันสังเกตการณ (observe) เปนการใชเทคนิควิธีตางๆ ท่ีเหมาะสมมาชวยในการ รวบรวมขอมูล ในขณะท่ดี ําเนินกิจกรรมตามท่ีวางไว ขั้นที่ 4 ขั้นสะทอนผลการปฏิบัติ (reflect) เปนการประเมินตรวจสอบกระบวนการแกปญหา ท่เี กิดข้ึนเพ่ือใหไ ดขอ มลู ท่จี ะนาํ ไปสูการปรับปรงุ และวางแผนการปฏิบตั ิตอไป สุวิมล วองวาณิช (2544) ไดสรุปวิธีการทําวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยอธิบายวาการทําวิจัย เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในชนั้ เรียนบางครัง้ อาจมีการแทรกส่ิงทดลอง (intervention) ระหวางการพัฒนากระบวนการเรียนรู ซ่ึงหมายถึงการนําแนวคิดใหมหรือวิธีการใหมๆ มาทดลองใชหรือแทรกระหวางการเรียนการสอน ตัวอยางการ แทรกสิ่งทดลองระหวางการเรียนการสอน เชน การนําวิธีการจัดกิจกรรมท่ีเนนผูเรียนเปนสําคัญมาใช เพือ่ พฒั นาการเรยี นรขู องผูเรยี น วิธกี ารท่ีครูใชไมว า เปนการเลนเกมส การใหแรงเสริมรูปแบบตางๆ ถือวาเปนสิ่งที่ ผวู ิจยั แทรกเขา ไปใหม จะแสดงใหเหน็ วาเดมิ ครูมีการจัดสภาพการเรียนรูอยางไร และเมื่อทําการศึกษาวิจัยในรอบ แรก พบวาวิธีการเดิมๆ ที่ใชอยูไมคอยประสบความสําเร็จ (วงจรที่ 1) จึงคิดคนวิธีการใหมมาแทรกระหวา งการเรียนการสอนแลวมุงสิ่งท่ีเกิดข้ึนตามมา (วงจรท่ี 2) หลักการสะทอนผลกลับ หากเห็นวาจําเปนตองปรับ วิธกี ารใหมก ็นาํ วิธที ปี่ รบั นนั้ ไปทดลองใชใหม (วงจรท่ี 3) ทั้งน้ีขึ้นอยูกับปญหาหรือคําถามวิจัยที่กําหนดข้ึน ดังภาพ ที่ 1.1
7 การปรับปรุง การวางแผน การปฏิบตั ิ วเิ คราะห์ สภาพปัญหา การประเมนิ การปรับปรุง การวางแผน การปฏบิ ตั ิ ทดลอง วิธีแก้ปัญหา การประเมนิ การปรับปรุง การวางแผน การปฏิบตั ิ ทดลอง วธิ ีแก้ปัญหา การประเมนิ ภาพที่ 1.1 วงจรการทาํ วจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารเพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอน หรอื การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรียน (สวุ ิมล วอ งวาณิช.2544 : 44) นงลักษณ วิรัชชัย (2545) พิมพันธ เดชะคุปต (2545) ไดกลาวถึงขั้นตอนการวิจัย เชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน โดยนําเอา ข้ันตอนของการวิจัยปฏิบัติการ (action research) ไปเปรียบเทียบกับวงจรพัฒนาคุณภาพงาน พบวามี ความสอดคลองกันดังน้ี P-D-C-A เปนวงจรพัฒนาคุณภาพงาน เปนวงจรพัฒนาพื้นฐานหลักของการพัฒนาคุณภาพ ท้ังระบบ (Total Quality Management : TQM) ผูที่คิดคนกระบวนการหรือวงจรพัฒนาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart นักวิทยาศาสตรชาวอเมริกัน แต Deming ไดเผยแพรท่ีประเทศญ่ีปุนจนประสบผลสําเร็จ จนผลักดันใหญี่ปุนเปนประเทศมหาอํานาจโลก คนท่ัวไปจึงรูจักวงจร PDCA จากการเผยแพรของ Deming จึงเรียกวา วงจร Deming วงจร PDCA ประกอบดว ยขัน้ ตอนดงั ตอไปน้ี 1) วางแผน (Plan-P) คือ การทํางานใดๆ ตองมีขั้นการวางแผน เพราะทําใหมีความม่ันใจวา ทาํ งานไดส าํ เร็จ เชน วางแผนการสอน วางแผนการวิจัย ซึ่งในการวางแผนนั้นมีประเด็นคําถามสําคัญที่ผูทําหนาท่ี วางแผนควรหาคําตอบ ไดแก ทําทําไม ทําอะไร ใครทํา ทํากับกลุมเปาหมายใดหรือใคร ทําเวลาใด ทําท่ีไหน และทําอยางไร ใชงบประมาณเทาไร การวางแผนวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียนก็เชนเดียวกันท่ีผูวางแผนวิจัยจะตองวางแผนตามประเด็นคําถาม Why, What และ How
8 2) การปฏิบัติ (Do-D) เปนข้ันตอนการลงมือปฏิบัติตามแผนท่ีวางไว การวิจัย เชิงปฏิบัติการเพือ่ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ตามแผนการวิจัย คือ การลงมือเก็บรวบรวมขอมูลเพอื่ ตอบปญ หาการวิจัยในแผนท่ีวางไว 3) ตรวจสอบ (Check-C) เปนข้ันตอนของการประเมินการทํางานวาเปนไปตามท่ีวางไว หรือไม มีเร่ืองอะไรบางท่ีสามารถปฏิบัติไดตามแผน มีเร่ืองอะไรบางท่ีไมสามารถปฏิบัติไดตามหรือปฏิบัติแลว ไมไดผ ล การตรวจสอบน้จี ะไดส ่งิ ทส่ี าํ เรจ็ ตามแผน และสิ่งทเ่ี ปน ขอ บกพรอ งทต่ี อ งแกไข 4) การปรับปรุงแกไข (Action-A) เปนขั้นของการนําขอบกพรองมาวางแผน การปฏิบัติการแกไขขอบกพรองแลวลงมือแกไข ซึ่งในข้ันนี้อาจพบวาประสบความสําเร็จหรืออาจพบวามี ขอบกพรองอีก ผูวิจัยหรือผูทํางานก็ตองตรวจสอบเน้ือหาเพื่อแกไข แลวไปแกไขอีกตอไป งานของการวิจัย เชิงปฏิบัตกิ ารเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน จึงเปนการทําไป เร่ือยๆ ไมมีการหยดุ กระบวนการวิจยั เปน การพัฒนาใหด ขี ้ึนเรอื่ ยๆ เปนการพัฒนาอยา งยัง่ ยืน ดังนั้นอาจกลาวไดวาวงจร PDCA ก็เปนกระบวนการพัฒนางานวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เปนการพัฒนาการเรียน การสอนที่เริ่มทีละข้ันตามกระบวนการพัฒนาคุณภาพ P-D-C-A และเคลื่อนหมุนไปเร่ือยๆ โดยในแตละข้ันหรือ แตล ะตัวของวงจร ก็จะตองมีวงจรของ PDCA ดวย ดังภาพท่ี 1.2 (พมิ พันธ เดชะคุปต.2545: 4) P = การวางแผน D = ปฏบิ ตั ิการ C = ตรวจสอบ A = ทดลองแกไ ข - วางแผนการสอน (P) - เขียนแผนการสอน (D) - วางแผนปฏิบัติการ - วางแผนสาํ รวจ - วางแผนทดลองแกไข - ตรวจสอบแผนการ สอน (P) นักเรียน (P) (P) สอน (C) - สอน (D) - ปฏบิ ตั ิการสาํ รวจ - แกไ ขแผนการสอน (A) - ตรวจสอบผลการ (D) - ปฏิบัติการทดลองแกไข สอน(C) - ตรวจสอบการสาํ รวจ (D) - ปรับปรงุ แผนการ (C) สอน (A) - แกไ ข (A) - ตรวจสอบผลการแกไข (C) - ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นา (A) ภาพที่ 1.2 กระบวนการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารในชัน้ เรยี นควบคไู ปกบั การพฒั นาคุณภาพจัดการเรียนการสอน
9 5. สิบคําถามสําหรบั การวางแผนการวิจยั โกวิท ประวาลพฤกษ (2534 : 1-22) กลาววาการวางแผนการวิจัย นักวิจัยควรหาคําตอบใหกระจาง ชดั ใน 10 ประเดน็ คาํ ถาม ดงั น้ี ท่ี ประเดน็ ตองรู คําถาม 1 ชื่อเร่อื ง 1. ศึกษาอะไร แบบสาํ รวจ 2. ศกึ ษาจากใคร แบบเปรียบเทยี บ 2 ปญ หาและที่มาของ 3. ศกึ ษาแบบใด แบบภาครวมสมั พันธ ปญ หา แบบหาสาเหตุ อนื่ ๆ 3 จุดมงุ หมาย/สมมติฐาน 4. นําผลไปใชแ กป ญ หาใด 4 วธิ ดี ําเนินการ 5. ปญ หานั้นมีจรงิ หรือไม 6. ปญ หานม้ี ีความสาํ คญั เพยี งใด 7. คาดวาผลจะเปนอยางไร 8. ใชเคร่ืองมืออยางใดบา ง ประเภทตัวแปร เครอื่ งมือ - ผลสัมฤทธิ์ - แบบทดสอบ - ความถนดั - แบบทดสอบ - ความสนใจ - แบบวดั ความสนใจ - เจตคติ - แบบวดั เจตคติและการจัดอนั ดบั คุณภาพ - พฤตกิ รรมตา ง ๆ - การสงั เกต - ขอมลู ทางกายภาพ - การสังเกตหรือแบบสอบถาม - ขอมูลทีต่ องการรายละเอยี ดเฉพาะ - การสัมภาษณหรือแบบสอบถาม - ขอมลู ในเรื่องท่เี กิดมาแลว - การวิเคราะหหลักฐานตาง ๆ หรือ แบบสอบถาม 9. มีแผนการเกบ็ ขอมลู อยา งใด 5 การวเิ คราะหขอ มลู 10. วเิ คราะหข อมูลอยางไร
10 6. แนวทางในการประเมินผลงานวจิ ัย การประเมินงานวิจยั เปน งานพจิ ารณาวางานวจิ ัยนัน้ ๆ มคี วามถูกตองสมบูรณและมคี ุณภาพเชื่อถือไดมาก นอยเพียงใด ในทางปฏิบัติยังไมปรากฏเครื่องมือประเมินที่เปนมาตรฐาน หรือ เปนท่ียอมรับได จากสภาพ ท่ีควรจะเปน ในการประเมนิ งานวจิ ยั น้นั มรี ายการท่ีควรพิจารณา และ แนวทางการพิจารณา โดยยึดตามประเด็น หลักของงานวจิ ัย ดงั น้ี รายการทค่ี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 1. ชอ่ื เรอ่ื ง/หัวขอ ปญหา/หวั ขอวจิ ัย 1) มคี วามชัดเจน รัดกุม เพยี งใด 2. สว นนําของรายงานการวจิ ัย 2) บอกความหมายและแนวทางการวิจัย หรือ ไม 3) บอกขอบเขตของการวิจยั หรือไม 3. ความสาํ คญั ของปญ หาการวิจยั 4) สามารถหาคาํ ตอบดว ยวิธกี ารวิจัย หรือไม 1) มรี ายการประกอบที่ควรจะมีครบถวนหรอื ไม เชน หนาชอื่ เรอื่ ง บทคัดยอ กิตติกรรม ประกาศ สารบญั รายการตาราง รายการภาพ ประกอบ 2) การใชถ อยคาํ ภาษาในแตละรายการ เหมาะสมเพยี งใด 3) หวั ขอที่ปรากฏในสารบัญ รายการตาราง และราย การภาพประกอบ มีการเรียงลําดบั สอดคลองกันหรือไม และตรงตาม เลขหนาทร่ี ะบุหรือไม 4) รปู แบบการนําเสนอสวนนําถกู ตองตามที่สถาบันหรือหนวยงานกําหนด หรอื ไม 1) เสนอความเปน มาและความสําคญั ของปญ หาชดั เจน เพียงใด 2) ปญหาท่ีศึกษานน้ั เปนปญ หาทสี่ าํ คัญ ควรแกก าร ศกึ ษาหรือไม และกอใหเกดิ ประโยชนหรอื ไม 3) ส่ิงท่ีเปน ปญ หาน้ันเกดิ ขึ้นตามสภาวะหรอื สภาพท่ี เปนจริงในปจจบุ ัน หรอื ไม 4) การศึกษาปญหานน้ั มุงศึกษาหรอื มุงแกปญหาใน ประเด็นใด และมีความชดั เจน เพยี งใด 5) ระบกุ รอบแนวคิด หลักการหรอื ทฤษฎี ในการ กาํ หนดตวั แปรท่ีเก่ยี วของกบั ปญ หา ชัดเจน หรือไม 6) บรรยายรายละเอียดของปญหา อยา งมรี ะบบ ตาม ความสมั พันธของสิ่งที่เก่ียวของตามลาํ ดับ ดี เพียงใด
11 รายการท่คี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 4. ขอบเขตการวิจัย 1) ระบุขอบเขตการวิจยั ในสวนของประชากร ตัวแปร 5. นิยามศพั ทเฉพาะ และชว งเวลาในการศึกษา ชัดเจน หรือไม 6. ขอตกลงเบ้ืองตน(ถาม)ี 2) ขอบเขตการวิจัยทกี่ ําหนด เหมาะสม และสอดคลอง 7. การศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ที่ เกย่ี วของ กบั ปญ หา หรอื ไม 1) ตัวแปร และคําศัพทอืน่ ๆ ไดนิยามไวชดั เจน หรือไม 2) การนยิ ามในเชิงปฏิบัตกิ าร ไดนิยามถูกตอง และ สอดคลอ งกบั การนยิ ามตามทฤษฎี หรอื ไม 3) การนยิ ามในเชิงปฏิบัติ มเี หตุผลและอา งองิ หรอื ไม 4) การนยิ ามศัพทเฉพาะ ไดระบไุ วในสว นตนของรายงาน หรือไม 1) ขอตกเบื้องตนเปน เงือ่ นไขท่ีจาํ เปน และเหมาะสม เพียงใด 2) ขอ ตกลงเบื้องตน ที่ระบุไว มีความเกยี่ วของ มลี ักษณะ เปนเหตุ เปนผล กับเรอ่ื งท่ีศึกษาเพียงใด 3) ขอ ตกลงที่ควรจะมี ไดร ะบุไวอ ยางครบถว น หรอื ไม 1) ไดศ ึกษาแนวคดิ ทฤษฎี ที่เกยี่ วของกบั ตวั แปรที่ ไดศ ึกษา ไวครบถว น หรือไม 2) ไดส รปุ สาระสําคัญของงานวิจัยทเ่ี กย่ี วของแตล ะ เรอื่ ง ไวอ ยา งครบถว น รัดกุม ชดั เจน สื่อความหมาย และ เหมาะสมเพียงใด 3) งานวิจยั ทีน่ าํ มาสนบั สนุน เกีย่ วของและเปน ประโยชน กับ ปญหา หรอื ตัวแปรท่ีศึกษา หรือไม 4) มีการวิเคราะห สงั เคราะห เพ่อื เชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎี และผลการวจิ ยั ตา งๆ ใหเ หน็ ความสมั พันธก บั ปญหา หรือ ตวั แปรทศี่ ึกษา ทั้งในเชิงความขดั แยง และความ สอดคลอ งสนบั สนนุ ไดชัดเจนเพียงใด 5) ไดน ําเสนอ เอกสารการวจิ ัยท่เี กี่ยวของเปนประเดน็ ๆ เรยี งตามลาํ ดบั ลักษณะการจัดเปนหมวดหมหู รอื ไม
12 รายการท่คี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 8. สมมติฐานการวจิ ัย(ถา ม)ี 1) ระบุ สมมตฐิ านไวครบถว น สอดคลองกับปญ หาวิจยั 9. วธิ กี ารวจิ ยั หรอื การออกแบบการ หรอื ไม วิจัย 2) สมมติฐานสอดคลองกับแนวคดิ ทฤษฎี หลักการหรือ ขอ เทจ็ จรงิ เพียงใด 3) สมมตฐิ าน มคี วามชดั เจน และชเี้ ฉพาะ หรอื ไม 4) สมมตฐิ าน สามารถทําการทดสอบดวยวิธกี ารทางสถิติ หรอื ไม การวิจัยแตละประเภทมีจุดเนน หรือ ลักษณะเดนในการออกแบบที่ แตกตางกัน วิธีการวิจัยในแตละประเภทก็มีความแตกตางกัน มีลักษณะเฉพาะ เหมาะสําหรับแตละประเภท ดังนั้นการประเมินงานวิจัย แตละประเภทจะ แตกตางกัน แตเม่ือพิจารณาในเชิงของคุณภาพการวิจัย โดยภาพกวางๆ สามารถประเมินในสวนของความตรงภายใน (Internal Validity) และ ความตรงภายนอก (External Validity) ของแตละประเภทไดวามี หรือไม ความตรงใน พจิ ารณา จาก 1) รปู แบบและวธิ ีการวดั คาตัวแปรอิสระและตวั แปรตาม มีความถูกตอง เหมาะสม หรือไม 2) เคร่ืองมือท่ีใชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู เหมาะสมกับ ลกั ษณะ ของตัวแปร หรือไม 3) เคร่อื งมือทใ่ี ชไ ดผา นการตรวจสอบคุณภาพ หรือไม 4) มีวิธีการเกบ็ รวบรวมขอมลู ที่นา เช่ือถือ เพียงใด 5) มวี ิธีการเลือกตวั อยา ง ไดถูกตอ ง ตามทฤษฎีเพียงใด 6) การเลอื กใชส ถิติทั้งเชงิ บรรยาย และเชงิ อนุมานเหมาะสม กับสเกลของ การวดั และ วตั ถปุ ระสงคของการวิจยั หรอื ไม 7) มีวธิ ีการควบคุมตวั แปรเกิน หรือ จัดสภาพเพื่อขจัดตัวแปรเกิน หรือไม ความตรงภายนอก พจิ ารณาจาก 7.1) จดั ทํากรอบการสุม ท่ีสมบูรณ และเลือกใชว ธิ ีการสุมทเ่ี หมาะสม หรอื ไม 7.2) กาํ หนดขนาดของกลุมตวั อยา ง ไดเ หมาะสมหรือไม 7.3) เลอื กใชสถิตใิ นการทดสอบสมมตฐิ าน ไดเ หมาะสม หรือไม 7.4) เลอื กใชส ถิติไดเหมาะสมกับขอ ตกลงเบ้ืองตน และวัตถปุ ระสงค ของการวิจยั หรือไม 7.5) วเิ คราะห แปลความหมาย ไดถ ูกตอง ชดั เจน หรือไม
รายการท่คี วรพจิ ารณา 13 10. ประชากรและกลมุ ตวั อยาง 11. เคร่อื งมือในการวิจยั แนวทางการพจิ ารณา 1) กําหนดขอบขา ยของประชากรทศ่ี ึกษา ไดชัดเจน เพยี งใด 12. การเกบ็ รวบรวมขอมูล 2) วธิ กี ารกาํ หนดขนาดกลุม ตัวอยาง ถูกตอง เหมาะสม เพียงใด 3) วิธีการเลอื กกลมุ ตวั อยา ง เหมาะสม และเปน ตัวแทน ประชากรทศี่ กึ ษาไดดเี พียงใด 4) การอธิบายวิธไี ดม าของกลมุ ตัวอยาง ชดั เจน เพยี งใด 1) เครื่องมือท่ีใช เหมาะสมกับ ปญ หาทศี่ ึกษาหรอื ไม 2) เครื่องมือที่ใช มคี วามเที่ยงตรง และมีความเชอ่ื ม่ันเพียงใด 3) การตรวจใหค ะแนน สะดวก งา ยตอการปฏบิ ตั ิและมีความเปน ปรนยั หรอื ไม 4) การตรวจสอบความเท่ียงตรง และความเช่อื ม่ันไดใ ช วิธกี ารทถ่ี กู ตอ ง เหมาะสมเพียงใด และได อธิบาย วิธีการตรวจสอบ ใหเปนขน้ั ตอนชัดเจนเพยี งใด 5) คาํ ชแี้ จงในการเกบ็ รวบรวมขอมลู คําชี้แจงเก่ียวกับ แนวทางการตอบ ชัดเจน หรอื ไม 6) เน้อื หาของคาํ ถาม ครอบคลุม ปญ หาที่ศึกษา หรือไม 7) การเรยี งลําดบั ขอ ความ ภาษา ถอ ยคํา ทใ่ี ชเหมาะสม หรือไม 8) คําถามมคี วามเปน ปรนยั หรือไม 9) รปู แบบเครื่องมือ และวธิ ีการตอบ มีความกะทัดรดั สะดวก งายแกก ารตอบ หรือไม 1) มกี ารกําหนดวธิ กี ารเก็บรวบรวมขอมลู และอธิบาย ไวอ ยางชัดเจนหรอื ไม 2) การรวบรวมขอมูลและการบนั ทึกขอมลู ทําอยา งมรี ะบบ และเปนปรนัย หรอื ไม 3) มีการตรวจสอบวธิ ีการไดมาของขอมูล และแหลงขอมูล หรือไม 4) มกี ารตรวจสอบความอคติ ซอื่ ตรง และรอบคอบ ของผเู ก็บรวบรวมขอ มูล หรือไม 5) มีการระบจุ ุดออน หรือ ขอจํากดั ของการเก็บรวบรวม ขอมูลไวอยา งชัดเจนหรือไม
รายการที่ควรพิจารณา 14 13. การวเิ คราะหขอมูล 14. การนําเสนอขอมูล ผลการวิเคราะห แนวทางการพจิ ารณา 1) วิธีการทางสถิติเหมาะสมกับลักษณะของขอมูล การแปลความหมาย 15. การอภปิ รายผลและขอเสนอแนะ หรือไม 2) การวเิ คราะหข อมูลทําอยางเปนปรนยั ปราศจากอคติ 16. บรรณานกุ รม ของผวู เิ คราะห หรือไม 3) การสรปุ ผลการวิเคราะห ไดสรุปเกินขอบเขตของ ขอมูล หรือไม 1) ใชวธิ ีการนาํ เสนอขอมลู ท่ีชดั เจน นาสนใจ หรือไม 2) การอธิบายสญั ลักษณต าง ๆ ชัดเจน หรือไม 3) การสรปุ ความหมายขอมลู สอดคลอ งกับวิธีการ ทางสถิติ หรือไม 4) การสรปุ ผลการวจิ ยั ครอบคลมุ ครบถว น ตาม วัตถุประสงค และ สมมติฐาน การวจิ ยั หรอื ไม 5) การสรปุ ผลการวจิ ัย อยูในขอบเขตของการวจิ ยั หรอื ไม 1) ใชก รอบแนวคดิ ทฤษฎี หรือผลการวจิ ัย เปน ฐาน ขอ มูลในการอภปิ รายผล หรือไม 2) การอภิปรายผลเรียงลาํ ดับ สอดคลอง กับวตั ถุ ประสงค และสมมตฐิ านการวิจัย หรอื ไม 3) ไดอภปิ รายในเชงิ วิเคราะหเงือ่ นไข ขอจํากดั ในการ วจิ ัยไว อยางชดั เจน หรือไม 4) ขอเสนอแนะตา ง ๆ ตงั้ อยูบนฐานขอมลู จาการคน พบในงานวิจยั หรือไม 5) ขอเสนอแนะมคี วามเปน ไปไดทง้ั ในทางทฤษฎี และ แนวปฏบิ ัติ หรอื ไม 6) ไดเสนอแนะการนําผลวจิ ัยไปใช และการทาํ วิจัย ในครง้ั ตอ ไป อยางชดั เจน หรือไม 1) การเขียนบรรณานกุ รม มีความถกู ตอ งตามแบบที่ สถาบันกาํ หนดหรอื ไม 2) การเขยี นบรรณานุกรม มีความถูกตองในเรอ่ื งการ สะกดคาํ การเวน วรรคตอน และ เครอื่ งหมาย วรรคตอน หรือไม
15 รายการทีค่ วรพจิ ารณา แนวทางการพิจารณา 17. ภาคผนวก 1) รายการขอมลู ท่ีนําเสนอไวใ นภาคผนวก เหมาะสม 18. รูปแบบและแนวการเขยี นรายงาน หรือไม 19. บทคัดยอ 2) ขอมูลท่นี ําเสนอในภาคผนวก ไดจัดหมวดหมูอยา ง เปน ลําดับ สะดวกตอการตรวจสอบ หรือไม 1) รปู แบบของรายงานถกู ตองตามหลกั เกณฑ ท่ี สถาบนั หรือหนว ยงานกําหนดหรอื ไม 2) การจัดเรยี งลําดบั เนื้อหา ถูกตอง เหมาะสม และ ครบถวนตามท่ีสถาบนั กาํ หนดหรอื ไม 3) ภาษาท่ใี ชเขียนมีความกะทดั รัด ชดั เจน และเขาใจ งายหรือไม 4) การใชคํา และ ภาษาในรายงานมีความคงท่ี ตลอด ทงั้ เลม หรือไม 5) การนําเสนอขอมูลตาง ๆ และการต้ังชอ่ื หัวขอยอย มีความถกู ตอ ง เหมาะสมเพียงใด 6) ในรายงานไดอ ธิบายและตอบคาํ ถามปญหาวิจัยไว ครบถว นหรอื ไม 7) การอางองิ ในเนอ้ื หา และบรรณานกุ รม สอดคลอง ตรงกัน หรอื ไม 8) รายงานมีความเรยี บรอย และทาํ ดว ยความประณีต เพยี งใด 9) มีบทคดั ยอสะดวกตอการสืบคน หรือไม 1) ไดกลา วถึงสงิ่ สาํ คัญตา ง ๆ เชน วัตถปุ ระสงค สมมติฐาน กลุม ตัวอยา ง เคร่ืองมือในการวจิ ยั สถติ ิทีใ่ ชวเิ คราะหขอมูล และสรปุ ผลการวิจัย หรอื ไม 2) รูปแบบและการเขียนบทคัดยอ ถูกตองตามท่ี สถาบนั หรือหนวยงานกาํ หนดหรือไม
สวนท่ี 2 รูปแบบรายงานการวิจัยเพ่อื พัฒนาคุณภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา การเขียนรายงานการวิจัยเปนข้ันตอนสําคัญของกระบวนการวิจัย ซึ่งนักวิจัยจะตองนําเสนอขอมูล รายละเอียดทั้งหมดของการดําเนินการวิจัยไวเปนหลักฐาน โดยบอกเลาถึงส่ิงที่ไดดําเนินการไปแลวใหผูสนใจได ทราบถึงเหตุผลในการดําเนินการวิจัย ท่ีมาของปญหาการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย และ ผลลัพธหรือขอคนพบที่ไดจากการวิจัย รายงานการวิจัยจึงเปนเอกสารที่นักวิจัยไดเรียบเรียงขึ้นหลังจากที่ได ดําเนินการวิจัยเสร็จสิ้นแลว เพื่อบอกเลาส่ิงที่ไดดําเนินการไปแลวและผลลัพธหรือขอคนพบที่ไดจากการวิจัย และใชเปน ส่อื กลางสรางความรคู วามเขาใจระหวางผูวิจัยกับผูใชผลการวิจัย รายงานการวิจัยจึงเปนแหลงขององค ความรูและนวัตกรรมตางๆ ท่ีจะเปนประโยชนตอการพัฒนาคุณภาพงานและพัฒนาศาสตรสาขาวิชาชีพตางๆ ใหมคี วามเจรญิ กา วหนา และมีความเขม แข็งมากขนึ้ การเขยี นรายงานการวิจัยจึงถือวาเปนภารกิจและหนาท่ีสําคัญ ของนกั วิจยั ทจ่ี ะตอ งดําเนนิ การใหม คี ณุ ภาพ เพื่อใหเ กดิ คณุ คา และเปน ประโยชนตอวงวิชาการและวชิ าชีพ 1. จุดมงุ หมายของการเขียนรายงานการวจิ ยั การเขยี นรายงานการวิจัยมีจดุ มุงหมายทสี่ ําคัญๆ ดงั นี้ 1.1 เพือ่ เปนหลกั ฐานแสดงความมีคณุ คา หรือประโยชนข องงานวจิ ัยท่ที าํ และศกั ยภาพของนักวจิ ัย 1.2 เพือ่ เปนสะพานเชอื่ มโยงความรู ความจริงท่ีเปนผลงานวิจัยท้ังในอดีต ปจจุบัน และอนาคตซ่ึงจะเปน การเพ่ิมพูน บูรณาการและสงั เคราะหอ งคค วามรใู หเกดิ ประโยชนตอ การพัฒนาอยา งตอเนื่อง 1.3 เพอื่ เผยแพรผลงานการวิจัย และสง เสริมสนบั สนุนการใชประโยชนจากผลงานวจิ ยั ใหคุม 1.4 เพ่ือเปนแหลงขอมูลสารสนเทศใหกับองคกร สถาบัน ชุมชน ผูบริหาร นักวิจัย และสาธารณชน นําไปใชเพือ่ การกําหนดนโยบาย การวางแผนแกป ญหาและพัฒนางาน รวมทง้ั เสริมสรา งและพฒั นาองคความรูของ ศาสตรส าขาตางๆ 2. ความสาํ คญั ของรายงานการวิจยั รายงานการวิจยั มีความสาํ คัญหรือคณุ คา ในหลายลกั ษณะทส่ี าํ คญั ๆ สรปุ ไดด งั นี้ 2.1 รายงานการวิจัยเปนเอกสารหลักฐานท่ีแสดงถึงขอมูลสารสนเทศท่ีเก่ียวกับการศึกษาคนควาของ นกั วิจยั และขอคนพบท่ไี ดจ ากการวจิ ยั 2.2 รายงานการวิจัย เปนสื่อกลางสรางความเขาใจกอใหเกิดการเรียนรูรวมกันระหวางนักวิจัย และผูใช ประโยชนจากงานวิจัย ทําใหไดทราบกรอบแนวคิด แนวทาง วิธีดําเนินการวิจัย และผลการวิจัย ทําใหไมเกิดการ วิจัยซ้ําซอ น และไดม ีโอกาสเรียนรแู ละพฒั นาวธิ กี ารวจิ ัยหรอื รูปแบบในการวิจยั หลากหลายมากขึ้น 2.3 รายงานการวิจัยกอใหเกิดการส่ังสมและขยายพรมแดนขององคความรูในศาสตรสาขาตางๆ ทําให ศาสตรเหลานั้นมคี วามกระจางและมคี วามเขม แข็งมากข้นึ 2.4 รายงานการวิจัยกอใหเกิดการยกระดับหรือพัฒนาวิชาชีพตางๆ เนื่องจากการวิจัยท่ีตอเนื่องสืบทอด ระหวา งนกั วจิ ยั แตล ะรุน ทําใหมีการพฒั นาผลงานวิจยั สาขาวิชาชีพตางๆ มคี ุณภาพมากย่ิงขึน้ 3. ลักษณะสาํ คัญของรายงานการวิจัย รายงานการวิจัย มลี กั ษณะทส่ี ําคญั ๆ ดงั นี้ 3.1 รายงานการวิจัยเปนเอกสารที่นักวิจัยเรียบเรียงขึ้น หลังจากท่ีไดดําเนินการวิจัยเสร็จส้ินแลว เพื่อนําเสนอรายละเอียดเก่ียวกับการวิจัยใหผูสนใจไดทราบเหตุผล และที่มาของปญหา กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีดาํ เนนิ การวจิ ัย และผลการวจิ ัย 3.2 มุงนําเสนอสารสนเทศเชิงคุณคาท่ีไดจากการวิจัย เพ่ือการเผยแพรและการนําไปใชประโยชนตอการ เรียนรู เสรมิ สรา งปญญา การแกป ญหาและพฒั นางาน
17 3.3 สาระของรายงานการวิจัยในแตละหัวขอ หรือแตละบทจะมีลักษณะเฉพาะที่มีความเปนเอกภาพ และแตกตางกนั แตม ีความสมั พนั ธสอดคลอ งกัน 3.4 ประโยคภาษาท่ปี รากฏในรายงานการวิจัยเปน ประโยคอดตี กาล 4. การประเมินคุณภาพของรายงานการวจิ ยั การประเมินคุณภาพของรายงานการวิจัย ถือเปนขอกําหนดท่ีบงชี้ถึงคุณลักษณะของรายงานการวิจัยที่มี คุณภาพ และใชส ําหรับพิจารณาตัดสนิ คณุ ภาพของรายงานการวิจยั ซึ่งมีเกณฑการประเมินทสี่ ําคัญๆ ดงั ตอ ไปน้ี 4.1 ความเปนระบบ (systematic) รูปแบบวิธีการเขียน วิธีการอางอิงและการพิมพ จะตองเปนไปตาม กรอบโครงสรางหรือสวนประกอบของรายงานที่กําหนดไว โดยนําเสนอสาระใหสอดคลองตามบทหรือหัวขอ ท่กี าํ หนดไว 4.2 ความถูกตอง (correctness หรือ accuracy) เนื้อหาสาระทุกรายการท่ีเขียน รวบรวม หรือนํามา เรียบเรียงไวใ นรายงานการวิจัย จะตอ งมคี วามถูกตองตามหลกั วิชา หลักการใชภาษา ระบบการอางอิงและรูปแบบ ของรายงานการวิจัยที่กาํ หนดไว 4.3 ความสมบูรณครบถวน (completeness) เนื้อหาสาระในรายงานการวิจัยตองมีความสมบูรณ ครบถวนทุกหวั ขอ ตามข้ันตอนของกระบวนการวจิ ยั หรือตามกรอบโครงสราง หรือสวนประกอบของรายงานท่ีควร จะเปนหรือตามรูปแบบท่ีกําหนดไว โดยเฉพาะอยางย่ิงตองนําเสนอผลการวิจัยใหครบถวนตามวัตถุประสงคของ การวจิ ยั 4.4 ความสัมพันธสอดคลองเช่อื มโยง (correspondence) เน้อื หาสาระระหวางบท ระหวางตอนจะตอง มกี ารจดั ระเบียบ เรียบเรียงใหม ีความสมั พันธเชอ่ื มโยงกนั โดยตลอด เปนเหตุเปนผลสอดรับกันอยางตอเนื่อง ซ่ึงจะ ชวยทําใหผ ูอ า นทราบแนวความคดิ ของนักวจิ ัยไดอ ยา งตอเนอ่ื งเชื่อมโยงกนั 4.5 ความคงเสนคงวาหรือความสมํ่าเสมอ (consistency) การใชถอยคําหรือขอความในรายงานการ วิจัยจะตองมีความคงเสนคงวาหรือความคงท่ีในการใช เพ่ือมิใหผูอานเกิดความสับสน เชน การใชขอความ \"การเรียนการสอนทเี่ นนผูเรียนเปนศนู ยก ลาง การเรยี นการสอนท่ีเนน ผเู รียนเปนสําคัญ การเรียนการสอนที่ผูเรียน สาํ คญั ทีส่ ุด การเรยี นการสอนท่ียึดผเู รียนเปนสาํ คัญ” เปนการใชข อความท่ไี มสมา่ํ เสมอ 4.6 ความกระจางชัด (clarity) ขอความหรือภาษาที่ใชในรายงานการวิจัยตองมีความชัดเจน ไมกํากวม หรอื คลุมเครอื ผอู า นตอ งสามารถเขาใจไดง ายโดยไมตองตีความขอความเหลานั้น 4.7 ความตรงประเด็น (pertinent) เนอ้ื หาสาระทีน่ าํ เสนอตอ งมงุ ตอบคาํ ถามวิจัย (research question) หรอื วัตถุประสงคข องการวิจยั ทก่ี าํ หนดไวเปน หลกั หลกี เลย่ี งการเขยี นวกวน หรอื ยดื ยาวที่มสี าระไมต รงประเด็น 4.8 ความเปนเอกภาพ (unity) เนื้อหาสาระในแตละบท แตละตอนหรือแตละเร่ืองจะตองมีความเปน เอกภาพหรือเปน เร่ืองเดยี วกนั 4.9 ความเปนประโยชน (utility) รายงานการวิจัยท่ีดีจะตองนําเสนอสารสนเทศที่ไดจากกการวิจัยท่ีมี คุณคา และสามารถนําไปใชใหเกิดประโยชนท้ังทางวิชาการ กอใหเกิดองคความรูใหมและเปนประโยชนในการ ปฏบิ ัติ หรือพัฒนางาน องคก ร ชุมชนและสงั คม 5. องคป ระกอบของรายงานการวิจัยเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา องคป ระกอบของรายงานการวิจัยขึ้นอยูกับมาตรฐานที่หนวยงานหรือสถาบันการศึกษาแตละแหงกําหนด ไว ซึ่งอาจมีการกําหนดสวนประกอบหัวขอยอยแตกตางกันไปบาง แตสวนใหญจะมีลักษณะคลายคลึงกัน สําหรับ องคประกอบของรายงานการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สํานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษากําหนดใหมีองคประกอบที่สําคัญ 3 สวน ไดแก สวนนํา (preliminary section) สวนเน้ือเร่ือง (body of report) และสวนอางอิง (referenced materials) โดยมีสาระสําคัญของแตละสวน แสดงดังภาพที่ 2.1
18 องคป์ ระกอบของรายงานการวจิ ยั ส่วนนาํ ส่วนเน้ือเรื่อง ส่วนอา้ งอิง ประกอบดวย ประกอบดว ยเน้อื หา 5 บท ประกอบดวย - ปกนอก บทที่ 1 บทนํา - บรรณานุกรม - ปกใน - ความเปนมาและความสาํ คัญของปญหาการวจิ ัย - ภาคผนวก - บทคัดยอ - วัตถุประสงคข องการวิจยั - กติ ติกรรมประกาศ - สมมติฐานของการวจิ ัย - ตัวอยางเครือ่ งมือ - สารบัญ - กรอบแนวคิดการวจิ ัย - เกบ็ รวบรวมขอ มลู - สารบัญตาราง - ขอบเขตของการวจิ ยั - ตวั อยางการวิเคราะห - สารบญั ภาพ - ประโยชนท ่ไี ดร บั จากการวิจยั ขอ มูล - คํานยิ ามศัพทเ ฉพาะ - รายนาม บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ ง ผูทรงคณุ วฒุ ทิ ต่ี รวจ บทที่ 3 วธิ ีดําเนนิ การวิจยั สอบคุณภาพ บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอ มลู เคร่ืองมอื วิจยั ฯลฯ บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอ เสนอแนะ ภาพท่ี 2.1 แสดงองคประกอบของรายงานการิวจิ ัย ภาพท่ี 2.1 แสดงองคประกอบของรายงานการวจิ ัย 6. รูปแบบรายงานการวิจัยเพอ่ื พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา จากองคป ระกอบขา งตน สามารถนาํ มากาํ หนดเปนรปู แบบรายงานการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการ เรียนการสอนอาชีวศกึ ษาของครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ในสังกดั สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ดังตอไปน้ี
19 ปกนอก ปกใน เปน ปกเดียวกนั รายงานการวจิ ัย เรือ่ ง ……………………………………………………………………………………………… โดย นาย/นาง/นางสาว……………………………………………………………. ตําแหนง ……………………………………… แผนกวชิ า ……………………………………. วิทยาลัย……………………………………….. สํานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร ช่ือเรอ่ื ง : …………………………………………………….
20 ชอ่ื ผูวจิ ัย : …………………………………………………….. ปที่วิจัย : ………………………………………………….. บทคัดยอ การวิจยั เรอ่ื ง……………………………………………..มีวตั ถุประสงค (1) เพ่อื …………………………………………………………….. (2) เพอ่ื ……………………………… (3)เพ่อื ………………………………(ระบวุ ิธีดาํ เนินการวิจัย ซง่ึ ประกอบดว ย รูปแบบของ การวิจยั ประชากรและกลุม ตัวอยา ง เคร่อื งมือเกบ็ รวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอ มูล)……………………………….……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการวิจยั พบวา (ผลการวิจยั ตามวัตถุประสงคแตล ะขอ) 1. ………(ผลการวจิ ัยตามวตั ถุประสงคข อท่ี 1)……………………. 2. ………(ผลการวจิ ัยตามวตั ถุประสงคข อท่ี 2)……………………. 3. ………(ผลการวจิ ยั ตามวัตถปุ ระสงคขอที่ 3)……………………. กติ ติกรรมประกาศ
21 รายงานการวิจัย เร่ือง ………………………………….………………………………………ฉบับน้ีสําเร็จลุลวงไปไดดวย ความกรุณาและการใหคําแนะนําเกี่ยวกับเปนอยางดีอยางดีย่ิงจาก (ระบุ บุคคล/หนวยงาน หรือแหลงที่ใหเงิน ทนุ อุดหนนุ การวิจัย ผูใหคําปรึกษา หนวยงานหรือบุคคลท่ีเปนแหลงขอมูล ผูใหความชวยเหลือในการพิมพ จัดทํา รปู เลม รายงานการวิจยั การเกบ็ รวบรวมขอ มูล และวเิ คราะหข อ มลู เปน ตน )………………………………………................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สดุ ทายผูว จิ ยั ขอขอบคุณ….(ระบเุ ปนใคร บุคคล/หนว ยงาน : ซ่ึงไมซ้ํากบั บุคคล/หนว ยงานทีก่ ลาวไวขางตน )ท่ีใหความชวยเหลือ สนับสนุนและใหกําลังใจ กระทั่งรายงานการวิจัยฉบับนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ บรรลุผลตาม วัตถปุ ระสงคด วยความเรยี บรอย มา ณ โอกาสน้ี ……………..…………ช่ือผูวิจยั ………… วนั ท่…ี …เดือน….…..…พ.ศ. ………….. กิตตกิ รรมประกาศ เปน สว นท่นี กั วจิ ัยเขียนแสดงความขอบคุณแกผูใ หค วามชวยเหลอื สนบั สนนุ จนทําใหก ารวจิ ัยเร่อื งน้ันสาํ เรจ็ สารบญั
22 หนา บทคัดยอ………………..............................................................................................................................................ก กิตตกิ รรมประกาศ.................................................................................................................................................ข สารบัญ..................................................................................................................................................................ค สารบญั ตาราง........................................................................................................................................................จ สารบญั ภาพ...........................................................................................................................................................จ บทที่ 1 บทนํา...................................................................................................................................................1 ความเปนมาและความสาํ คญั ของปญ หาการวิจยั ..................................................................................... วัตถปุ ระสงคของการวิจยั ......................................................................................................................... สมมตฐิ านของการวจิ ยั ............................................................................................................................. กรอบแนวคิดการวิจัย.............................................................................................................................. ขอบเขตของการวจิ ยั ............................................................................................................................... ประโยชนท่ีไดรับจากการวจิ ัย.................................................................................................................. คาํ นิยามศัพทเ ฉพาะ................................................................................................................................ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวของ............................................................................................................ (ระบุหัวขอเร่อื งทศ่ี ึกษา).......................................................................................................................... (ระบุหวั ขอเรอ่ื งที่ศึกษา).......................................................................................................................... (ระบหุ ัวขอเร่ืองท่ีศึกษา).......................................................................................................................... (ระบุหวั ขอเรื่องทศ่ี ึกษา).......................................................................................................................... บทท่ี 3 วิธีดําเนนิ การวิจยั .................................................................................................................................. ประชากรและกลมุ ตวั อยาง...................................................................................................................... การสรางเครื่องมือทใ่ี ชใ นการวิจัย........................................................................................................... การรวบรวมขอมูล…………....................................................................................................................... การวเิ คราะหขอ มลู .................................................................................................................................. สถติ ิท่ใี ชในการวิเคราะหขอ มูล................................................................................................................ บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข อมูล........................................................................................................................... บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผลและขอเสนอแนะ..................................................................................... สรปุ ผลการวจิ ยั ....................................................................................................................................... อภปิ รายผล.............................................................................................................................................. ขอ เสนอแนะ............................................................................................................................................ บรรณานกุ รม......................................................................................................................................................... ภาคผนวก ภาคผนวก ก …..(ระบุประเด็น)…….. ………………………………………………………………………………….......... ภาคผนวก ข …..(ระบุประเด็น)…….. ………………………………………………………………………………….......... ประวัตินักวจิ ัย……………………………………………………………………………………………………………………………….........
23 สารบญั ตาราง หนา ตารางท่ี 4.1 …..(ระบชุ ่ือตาราง).............................................................................................. ตารางท่ี 4.2 …..(ระบุชื่อตาราง).............................................................................................. เปน สว นท่ีแสดงรายการตารางที่มที ้งั หมดในรายงานการวจิ ัย นักวจิ ยั ตอ งระบเุ ลขทตี่ าราง ชือ่ ตาราง และเลขหนากํากบั ไวเ พอ่ื ความสะดวกในการคน หา . สารบัญภาพ
24 หนา ภาพที่ 2.1 …..(ระบชุ อื่ ภาพ).................................................................................................... ภาพที่ 2.2 …..(ระบุช่ือภาพ).................................................................................................... เปนสวนที่แสดงรายการภาพประกอบท่ีมีท้ังหมดในรายงานการวิจัย ไดแก รูปภาพ แผนภูมิ แผนผัง แผนภาพทางสถติ ิตา งๆ ทป่ี รากฏในรายงานการวิจัย วิธกี ารเขียนนกั วจิ ยั กท็ ําเชน เดียวกับสารบัญ ตาราง คือ บอกเลขท่ภี าพ ชอื่ ภาพ และบอกเลขหนา กํากบั ดวย บทที่ 1
25 บทนํา 1. ความเปน มาและความสาํ คญั ของปญหา ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. แนวทางการเขยี นความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา การนําเขาสูปญ หาวจิ ยั ที่มาของปญหาวจิ ยั ปญหาวิจัย ความสําคัญของ ปญหาวจิ ัย ในสวนสรปุ นกั วิจัยตองเขยี นขมวดทา ย หรอื สรุปใหมีสวนเช่อื มโยงหรอื สงตอกับวตั ถุประสงคของการวจิ ัย และความสําคัญของการวิจัย ทัง้ นส้ี ามารถศกึ ษารายละเอยี ดการเขยี นไดในสว นท่ี 3 ขอ ท่ี 2.1.1 การเขยี นความ เปนมาและความสําคญั ของปญหาวิจัย ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. 2. วตั ถปุ ระสงคของการวจิ ยั 2.1 เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะหโดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง วิชาเพศศึกษาของนักเรียนช้ัน ปวช.1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยมีเปาหมายเพ่ือพัฒนา ความสามารถในการคิดวิเคราะหตนเอง เกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนเช่ือมโยงกับตนไมของนักเรียนใหมีคะแนนผาน เกณฑ รอ ยละ 80 ทกุ คน 2.1 เพื่อแกปญหานักเรียนขาดคุณธรรมและจริยธรรม 5 ประการ ในรายวิชามารยาทและ การสมาคมของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา การบัญชี โดยใชแบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคล ประกอบดวย
26 ความสนใจใฝรู ความรับผิดชอบ การแตงกายถูกตองตามระเบียบของสถานศึกษา การมีความซื่อสัตยและตรงตอ เวลา โดยมเี ปาหมายใหนักเรยี นทกุ คนมคี ะแนนคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมไม นอ ยกวา รอยละ 70 ทกุ คน 2.2 เพื่อศกึ ษา………………………………………………………………………………………………….…………………... 2.3 เพ่ือประเมนิ ความพึงพอใจของผเู รยี นท่ีมตี อ การเรียนการสอนโดยใช… ………….…….………….…… รายวิชา………………….. รหสั วชิ า ………………………………………………….......................................... 3. สมมติฐานของการวจิ ัย (ถา ม)ี 3.1 …………………………………………………………………………………………………………………………............ 3.2 …………………………………………………………………………………..………………………........................... สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดใ นสว นท่ี 3 ขอท่ี 2.1.3 การเขยี นสมมติการวิจยั พรอมตวั อยาง 4. กรอบแนวคิดในการวิจยั ในงานวิจัยเร่ืองหนึ่งนักวิจัยสามารถศึกษาไดหลายแบบ หลายแงมุม เน่ืองจากนักวิจัยมองปญหาเรื่อง เดียวกันในลักษณะท่ีแตกตางกัน ใชทฤษฎีหรือแนวคิดในการมองปญหาแตกตางกัน นักวิจัยจําเปนตองเลือก แนวคิดหรือทฤษฎีมาเปนฐานในการสรางกรอบแนวคิดในการวิจัยของตนเอง ซึ่งกรอบแนวคิดที่ดีตองชี้ใหเห็น ภาพรวมของเร่อื งท่จี ะทาํ การวจิ ัย โดยช้ีใหเห็นโครงสรางความสัมพันธระหวา งตวั แปรทงั้ หมดทีใ่ ชใ นการวจิ ัย สามารถศกึ ษารายละเอียดการเขยี นไดใ นสว นที่ 3 ขอที่ 2.1.4 การเขยี นกรอบแนวคิดการวิจัย พรอมตวั อยา ง 5. ขอบเขตของการวจิ ัย 5.1 ขอบเขตดานโครงสรา ง/เนอ้ื หา 5.1.1……(นวัตกรรม)………………รายวชิ า…………………..…….. รหัสวิชา ……………………….. ดําเนนิ การสรางข้ึนตามหลักเกณฑ จุดมุงหมายและเกณฑการใชหลักสูตร…………….. พุทธศักราช……………………... ประเภทวิชาอตุ สาหกรรม สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา 5.1.2…(นวัตกรรม)……เน้ือหาครอบคลุมคําอธิบาย จุดประสงค รายวิชา………….............. รหัสวิชา.............. ใชส ําหรับการเรียนการสอน ระดับ……..……….. ช้ันปที่………..สาขางาน…..…………………............. สาขาวิชา……………………...วทิ ยาลัย………………. สงั กัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ขอบเขตดานเนือ้ หามีในงานวจิ ยั บางประเภทเทานั้น เชน การวิจยั เชงิ ทดลองหรือการวิจัยเชงิ พัฒนาท่ี ตองการพฒั นาสื่อหรือนวตั กรรมทางการศึกษา จาํ เปนตอ งมเี น้อื หาสาระในการสรางส่ือหรือนวตั กรรม จึง ตองระบุขอบเขตของเนอ้ื หาที่ใชใ นการวิจยั ไวด วยวาประกอบดวยเนอ้ื หาเรอ่ื งอะไรบา ง
27 5.2 ขอบเขตดา นประชากรและกลมุ ตวั อยาง 5.2.1 ประชากร คือ (นักเรียน/นักศึกษา) ระดับ……………………………………............. ช้ันปท่ี……..สาขางาน…………………….. สาขาวิชา……………………...วิทยาลัย……….. ............................................. สงั กัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา 5.2.2 กลุมตัวอยาง คือ (นักเรียน/นักศึกษา) ระดับ……………………......... ช้ันปท่ี…….. หองท่ี……………..สาขางาน…………………….. สาขาวิชา……………………...วิทยาลัย…………....................................... สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา จํานวน……………..…คน โดย สมุ /เลอื ก แบบ………………………………. ทั้งน้ีในการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา นักวิจัยสามารถกําหนดประชากรและกลุมตัวอยาง โดยการระบุกลุมเปาหมายในการวิจัยเปนประชากรและกลุม ตัวอยา งกไ็ ด เชน 5.2.1 กลุมเปาหมาย นักเรียน ระดบั ปวช. 1 ทลี่ งทะเบียนเรียนในรายวิชา เพศศึกษา ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2560 แผนกวิชา ชา งกลโรงงาน กลมุ 5,6 จํานวน 38 คน 5.3 ขอบเขตดานตัวแปร 5.3.1 ตวั แปรตน คือ ………………………………………………………………………………. 5.3.2 ตวั แปรตาม คอื ……………………………………………………………………………… 5.4 ขอบเขตดา นระยะเวลา ระยะเวลาในการดําเนนิ การวิจยั เริ่มตั้งแต เดือน……..พ.ศ. ………. ถึง เดือน………..พ.ศ. ………. รวมระยะเวลา …………. เดอื น/ป 6. ประโยชนทีค่ าดวาจะไดร บั ตัวอยาง จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัย รักการอานของนักเรียน............ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที่........แผนกวิชา………………………............... วทิ ยาลยั ………………… สามารถเขียนประโยชนท ไ่ี ดร ับจากการวิจยั ไดดังนี้ 6.1 นักเรียนที่ผานการเขารวมกิจกรรมตามลาหาความรูมีลักษณะนิสัยรักการอาน การศึกษาคน ควาหาความรดู วยตนเองดขี ึ้น และมเี จตคติทดี่ ตี อ การอาน 6.2 นักเรียนที่ผานการเขารวมกิจกรรมตามลาหาความรู อานหนังสือดวยตนเอง และมลี กั ษณะนสิ ัยใฝเรยี นรูมากขึน้ 6.3 ไดแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน และการ พัฒนานักเรียนในคุณลักษณะดานอนื่ ๆ ตอไป สามารถศึกษารายละเอยี ดการเขียนไดใ นสว นที่ 3 ขอท่ี 2.1.6 การเขยี นประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัย พรอมตัวอยา ง
28 7. นยิ ามศพั ท ตวั อยาง การวิจยั เรอื่ ง ผลการจดั กิจกรรมตามลาหาความรเู พอ่ื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ............ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ช้ันปที.่ .......แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………...................... ผูวิจัยไดกําหนดนิยามคําศพั ทส าํ หรบั การวิจัยในครงั้ นี้ ดังนี้ 7.1 การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง กิจกรรมกําหนดขึ้นสําหรับเสริมสราง และพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน โดยการจัดกลุมใหนักเรียนรวมกันศึกษาคนควาดวยการอานและเรียนรู จากศูนยการเรียนรูภายในวิทยาลัยฯ จํานวน 10 ศูนย และแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ นอกวิทยาลัยฯ แลวบันทึกสาระ ความรูและประสบการณท่ีไดรวมท้ังการนําเสนอแลกเปล่ียนเรียนรูรวมกันโดยมีครูท่ีปรึกษา และครูผูสอน เปนผูสรางพลังกระตุนจูงใจใหความชวยเหลือ เอ้ืออํานวยความสะดวก สงเสริมสนับสนุนและประเมินผล การเขา รว มกิจกรรมตามลาหาความรู 7.2 ลักษณะนิสัยรักการอาน หมายถึง พฤติกรรมหรือการปฏิบัติตนของนักเรียนท่ีแสดงออกถึง ความสนใจ ความกระตือรือรน และความมุงม่ันตอการอาน การศึกษาคนควาอยางสม่ําเสมอ ซึ่งวัดไดจากการ สงั เกตพฤติกรรมการอา นของนักเรยี นโดยผูปกครองและครู การสอบถามนักเรียน รวมทั้งการใชขอมูลจากเอกสาร หลกั ฐานการใชห อ งสมุดของนกั เรยี น 7.3 เจตคติตอการอาน หมายถึง ความรูสึก หรือความคิดของนักเรียนที่สะทอนถึงการอานใน ลักษณะที่ชอบหรอื ไมช อบ สนับสนนุ หรอื ไมสนบั สนุนตอการอานและการศึกษาคนควา ซ่ึงวัดไดจากแบบวัดเจตคติ ทผี่ ูวจิ ยั สรางขน้ึ และจากการสนทนากลุม นกั เรียนที่เขา รวมกจิ กรรมตามลาหาความรู 7.4 ความพงึ พอใจตอ การจดั กจิ กรรมตามลาหาความรู หมายถึง ความรูสึกนึกคิดของนักเรียน และผูปกครองในลักษณะเห็นดวย ยอมรับ หรือใหการสนับสนุนตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูที่ไดจัดขึ้น เพอ่ื เสริมสรา งลักษณะนสิ ัยรกั การอา นของนกั เรียน ซง่ึ วดั ไดจ ากแบบวัดความพึงพอใจทีผ่ วู ิจยั สรางขึน้ สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดใ นสวนท่ี 3 ขอท่ี 2.1.7 การเขยี นนิยามศพั ทพรอมตัวอยา ง
29 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวของ การวิจัย เรื่อง ………………………………………มีวัตถุประสงคเพ่ือ…(นําวัตถุประสงคมาเขียนเปนความเรียง)…… โดยผวู ิจยั ไดศึกษา แนวคดิ ทฤษฏี เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ ง ดงั นี้ 1. ช่ือหัวขอ สาํ คญั ลําดับที่ 1 2. ชื่อหวั ขอ สาํ คญั ลําดบั ท่ี 2 3. ช่ือหัวขอ สาํ คัญลําดบั ที่ 3 4. งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ ง 1. ชือ่ หวั ขอสาํ คัญลาํ ดับท่ี 1 …..(ขอ ความ)…………………………………………………………………………………….................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอ ความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.1 .…………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2 ………………………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2.1 ………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2.2 ….………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1) …………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2)………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชอื่ หวั ขอสาํ คญั ลาํ ดับที่ 2 …..(ขอความ)…………………………………………………………………………………….................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอ ความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.1.1 …………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 2.1.2 ……….……………………………………………………………………………………….…………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………..
30 2.1.2.1 ………………………………………………….…………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 2.1.2.2 ………………………………………………………………………………..…………………………… 1) …………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 3. ชอื่ หัวขอ สาํ คัญลําดับท่ี 3 …..(ขอ ความ)……………………………………………………………………………………................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… 3.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….. 3.1.1 …………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2 ……………………………………………………………………….…………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2.1 ………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2.2 ….………………………………………………………………………………………………………… 1) .………………………………………………………………………………………………………. 2)………………………………………………………………………………………………………… 4. งานวิจัยท่ีเก่ยี วของ …..(ขอความ)…………………………….………………………………………………………...………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. งานท่เี กีย่ วของเรื่องท่ี 1……(งานวจิ ยั ของใคร …เร่ือง……..ผลการศกึ ษาเปนอยา งไร)……….………………………… งานทเี่ กี่ยวของเร่ืองที่ 2……(งานวิจยั ของใคร …เรือ่ ง……..ผลการศกึ ษาเปน อยางไร)……………….………………… ……..(ขอ ความสรุปงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วของ)………………………………………………………………………………….…………… สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดในสวนที่ 3 ขอท่ี 2.2 การเขียนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ พรอ มตัวอยาง
31 บทที่ 3 วิธดี าํ เนนิ การวจิ ัย รายงานการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชา งกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง มีวัตถปุ ระสงคเพื่อพัฒนาการคิดวเิ คราะหโ ดยใชผ ังความคดิ วเิ คราะหตนเอง วิชาเพศศึกษาของนักเรียนชั้น ปวช.1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยมีเปาหมายเพ่ือพัฒนาความสามารถใน การคิดวิเคราะหตนเอง เก่ียวกับอัตลักษณแหงตนเชื่อมโยงกับตนไมของนักเรียนใหมีคะแนน ผา นเกณฑ รอยละ 80 ซ่ึงผูว ิจัยไดด าํ เนินการวจิ ัยตามข้นั ตอน ดังตอไปนี้ 1. ประชากร ประชากรทเี่ ปน กลมุ เปาหมายในการพัฒนาและเปน แหลงขอ มูลเก่ียวกบั ผลการพัฒนาพฒั นาการ คดิ วเิ คราะหเ กี่ยวกับอตั ลกั ษณแ หง ตน วิชาเพศศกึ ษา ของนักเรียนช้นั ปวช. 1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผงั ความคดิ วเิ คราะหตนเอง จาํ นวน 38 คน 2. เครื่องมือและการสรางเคร่ืองมือในการวิจัย 2.1 เครอ่ื งมือท่ีใชในการวิจัย 2.1.1 ใบงานการวิเคราะห ตนเอง เกีย่ วอัตลกั ษณแ หง ตนเชื่อมโยงกับตน ไม 2.1.2 แบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห 2.1.3 แบบสัมภาษณความพงึ พอใจตอ การสอนโดยใชผังความคิดวเิ คราะหตนเอง 2.2 การสรา งเครื่องมือในการวิจยั เครื่องมือในการวิจัยในครั้งนี้ เปนเคร่ืองมือท่ีผูวิจัยสรางขึ้นเอง โดยการประยุกตเทคนิคการคิด วเิ คราะหโดยใชผ ังความคดิ ของ สวุ ทิ ย มูลคํา มาใชส รา งใบงานและแบบประเมนิ การคิดวเิ คราะห 3. การเกบ็ รวบรวมขอมูล ผูวิจยั ไดพฒั นาการคิดวเิ คราะหของนกั เรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปก ารศึกษา 2560 โดยการใชก จิ กรรมเทคนิคการคดิ วเิ คราะห โดยใชผงั ความคดิ ของ สวุ ทิ ย มูลคํา วิเคราะหตนเอง เก่ยี วกับอตั ลกั ษณแหง ตนเช่ือมโยงกับตนไม เก็บรวบรวมขอมูล โดยปฏิบัติการสอนเปนระยะเวลา 1 สัปดาห ตาม ข้ันตอนดงั นี้ 3.1 ขั้นเตรียมการ ผูวิจัยสนทนากับนักเรียนกลุมเปาหมาย ใหความรูเกี่ยวกับความแตกตางของ ตนไมแตละชนดิ ถึงรปู ราง การเจริญเติบโต การดแู ล จํานวน 3 ตัวอยาง 3.2 ข้ันปฏบิ ัติ ผูวิจัยใหนักเรียนสํารวจพฤติกรรมของตนเองวาเหมือนหรือคลายกับตนไมชนิดใด โดยใหระบุสิ่งท่ีนักเรียนวิเคราะหบันทึกลงในใบงานโดยให เวลา 20 นาที หลังจากน้ันใหแตละคนนําเสนอผลการ วเิ คราะหข องตนเองหนาช้นั เรียน 3.3 ข้ันสรุป หลังจากทุกคนนําเสนอ ผูวิจัยนํานักเรียนทุกคนชวยกันสรุปถึงความแตกตางและ คุณคาของแตล ะคน 3.4 ขั้นการวัดและประเมินผล ผูวิจัยวัดและประเมินผล โดยใชแบบประเมินการคิดวิเคราะห เทคนคิ การคิดวิเคราะหโ ดยใชผงั ความคิดที่ผวู จิ ัยสรา งคดิ 3.5 สมั ภาษณความพึงพอใจของนักเรียนเรียนตอ การจัดการเรียนรโู ดยใชผังความคิดวเิ คราะหต นเอง
32 4. การวเิ คราะหขอมูล ในการวิจัย เร่ือง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง ครง้ั น้ี ผวู จิ ยั ดาํ เนนิ การวเิ คราะห ดังนี้ 4.1 ประเมินผลจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห และนําคะแนนท่ีไดจากการประเมินมาเทียบ กบั เกณฑการประเมนิ ทก่ี าํ หนดไว 4.2 ประเมินความพึงพอใจจากการสัมภาษณ โดยการวิเคราะห สังเคราะหเน้ือหา (Content Analysis) 5. สถิตใิ นการวิจัย สถิติในการวิจัยคร้งั น้ี ไดแ ก คาความถ่ี และคา รอยละ จากทีก่ ลาวมาขางตน เปน กรณตี ัวอยางการเขียนรายงานวิธีการดําเนินการวิจัย ซ่ึงมีรูปแบบวธิ กี ารเขยี น ท่ีหลากหลายนักวจิ ัยสามารถปรบั รปู แบบวิธีการเขียนใหสอดคลอ งกบั วธิ กี ารดําเนินการวจิ ัยของตนเองได แตตองยงั คงสาระสาํ คัญของวิธีดาํ เนินการวจิ ยั ไวใ หครบถวน ซงึ่ สามารถศกึ ษารายละเอียดเพ่ิมเตมิ ไดใ น สวนท่ี 3 หวั ขอท่ี 2.3 การเขียนวธิ ดี าํ เนนิ การวิจยั พรอมตัวอยา ง
33 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข อมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง ผูวิจัย นําเสนอผลการวิเคราะหขอมูล ตามลําดับ ดังนี้ 1. ผลการประเมนิ จากแบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห โดยใชผังความคิดวเิ คราะหต นเอง ผูวิจัยไดวิเคราะหผลจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง จากการ จดั การเรียนการสอน วิชาเพศศกึ ษา ของนักเรียนชน้ั ปวช. 1 แผนกวิชาชา งกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ป การศึกษา 2560 และนําคะแนนที่ไดจากการประเมินมาเทียบกับเกณฑการผานท่ีรอยละ 80 ปรากฏผล การประเมนิ ดังตารางท่ี 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการประเมินจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง จากการจัด การเรียนการสอน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศึกษา 2560 ผลการประเมินจากแบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห (20 คะแนน) ผลการประเมนิ คะแนนท่ีไดจากการประเมิน ความถ่ี (คน) รอยละของคะแนนทไี่ ดรับ ตามเกณฑการผา น 20 10 100 ผา นเกณฑ 19 5 95 ผานเกณฑ 18 11 90 ผานเกณฑ 17 6 85 ผา นเกณฑ 16 4 80 ผานเกณฑ คะแนนเฉลย่ี 18.38 รวม 38 คน เฉล่ีย รอยละ 91.90 ผา นเกณฑ รอยละ 100 จากตารางท่ี 4.1 ผลการวิเคราะหการคิดวิเคราะหตนเอง โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง เกี่ยวกับ อตั ลกั ษณแ หง ตนเชื่อมโยงกบั ตนไม พบวา ………………(อธิบายผลจากตารางเทา นัน้ โดยไมต อ งมคี วามคดิ เห็นใด ๆ) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
34 2. ผลการวิเคราะหค วามพึงพอใจของนกั เรยี นตอ การจดั การเรยี นรูโ ดยใชผงั ความคดิ วเิ คราะหตนเอง ผูวิจัยไดวิเคราะหความพึงพอใจของนักเรียนตอการจัดการเรียนรูโดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง จากการจัดการเรียนการสอน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาค เรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยการสัมภาษณนักเรียนเปนรายบุคล และนําขอมูลจากการสัมภาษณมาวิเคราะห สังเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) พบวา…................(เสนอเฉพาะขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณ โดยไมตอง แสดงความคิดเห็นใด ๆ สวนใหญนิยมนําเสนอขอมูลที่ไดเปนขอ ๆ ทั้งน้ีนักวิจัยสามารถออกแบบการนําเสนอ ขอมลู ไดอยางอสิ ระ)……………………………………………………........................................................................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………........................................................................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… จากที่กลาวมาขางตน เปนกรณีตัวอยางการเขียนรายงานผลการวิเคราะหขอมูลหรือผลการวิจัย ซึ่งมี รูปแบบวิธีการเขียนท่ีหลากหลาย นักวิจัยสามารถปรับรูปแบบวิธีการเขียนใหสอดคลองกับวิธีการ ดาํ เนนิ การวิจยั และวัตถปุ ระสงคการวิจัยของตนเองได แตตองยังคงสาระสําคัญของการเขียนรายงานผล การวิเคราะหขอมูลหรือผลการวิจัย ไวใหครบถวน ซ่ึงสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมไดในสวนที่ 3 หวั ขอท่ี 2.4 การเขยี นรายงานผลการวิเคราะหขอมูลพรอ มตัวอยาง
35 บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภปิ รายผล และขอเสนอแนะ การพัฒนาการคิดวิเคราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรูของครู และพัฒนาการคิดวิเคราะหของนักเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทชางอุตสาหกรรม ผูวจิ ัย สรปุ ผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ ดังนี้ 1. สรปุ ผลการวจิ ัย ..................................(เปนการสรุปผลการวิจัยสั้นๆ ใหกระชับและสอดคลองหรือเรียงลําดับตาม วัตถปุ ระสงคของการวิจยั หรอื เปน การนาํ เสนอผลการวจิ ยั ในระดับตีความ (interpretation)……………..………......... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2. การอภปิ รายผล ……….(เปนการแปลผลในระดับการขยายความ (extrapolation) โดยมุงวิพากษวิจารณเกี่ยวกับ ผลการวิจัยที่ได วามีความสอดคลองท่ีขัดแยงกับสมมุติฐานการวิจัยท่ีต้ังไวหรือไม เพราะเหตุใด และอภิปราย เชื่อมโยงระหวางผลการวิจัยท่ีไดกับผลการวิจัยในอดีต และแนวคิดทฤษฎีท่ีใชเปนกรอบในการวิจัยวามีความ สอดคลอ งหรือขดั แยงกันอยา งไร)………....................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3. ขอ เสนอแนะ 3.1 ขอเสนอแนะเพือ่ การนําผลการวจิ ยั ไปใช 3.1.1............................................................................................................................................. 3.1.2............................................................................................................................................. 3.2 ขอ เสนอแนะเพอื่ การศกึ ษาในคร้ังตอ ไป 3.2.1............................................................................................................................................. 3.2.2............................................................................................................................................. จากท่ีกลาวมาขางตน เปนกรณีตัวอยางการเขียนรายงานการสรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมไดในสวนที่ 3 หัวขอท่ี 2.4 การเขียนรายงานการสรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ พรอ มตวั อยา ง
36 บรรณานุกรม ช่ือ-สกุลผูแตง .//ปท พ่ี ิมพ.//ชื่อหนังสอื .//ฉบับพมิ พ. //ชื่อชดุ ,// ////////อนั ดับที่.//สถานท่ีพิมพ/ :/สาํ นักพมิ พ หรือโรงพมิ พ. (กําหนดให / เปนระยะพิมพที่เวน 1 ตัวอักษรพิมพ ท้ังน้ีสามารถดูรายละเอียดการเขียนบรรณานุกรม ตามประเภทของวัสดุที่ใชอา งองิ ในสวนท่ี 3 ขอที่ 3.1.1 รปู แบบการพมิ พบ รรณานุกรม พรอ มตัวอยาง) ภาคผนวก เปนรายละเอียดตางๆ ที่เกี่ยวของกับงานวิจัยท่ีตองการนําเสนอ เพ่ือยืนยันและแสดงถึงการดําเนินการ วิจัยอยางเปนระบบ และเพ่ิมความนาเช่ือถือของผลงานวิจัย อีกท้ังจะเปนการชวยใหผูอานเขาใจรายงานการวิจัย ไดดียิ่งข้ึนและไดเห็นแบบอยางหรือแนวทางการดําเนินงานในบางประการ ภาคผนวกมีหลายลักษณะซ่ึงอาจ นาํ เสนอแยกเปน หมวดหมเู ปน ภาคผนวก ก - ข หรอื ค ฯลฯ และอาจเรียงลําดบั ตามข้นั ตอนของกระบวนการวิจัย ดังตวั อยา ง ภาคผนวก ก เครือ่ งมือที่ใชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู ภาคผนวก ข รายนามผทู รงคณุ วุฒทิ ่ีชว ยตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือวจิ ยั ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะหขอ มลู โดยใชสถิติ ภาคผนวก ง ประวัตนิ ักวิจยั หรอื ประวตั ผิ วู ิจัย เปน ตน
สว นที่ 3 แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา 1. แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัยสวนนาํ 1.1 ปกนอกและปกใน ใหพิมพรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อเรื่องวิจัย ช่ือผูวิจัย ชื่อหนวยงาน หรือ สถาบันการศึกษาของผูวิจัยและปที่ทําการวิจัยสําเร็จ โดยจัดขอความไวในแนวกึ่งกลางของหนากระดาษ แบงขอความออกเปน 3 สวน ใหสวนบนเปนชื่อเรื่องวิจัย สวนกลางเปนชื่อผูวิจัย และสวนลางเปนช่ือ สถาบนั การศกึ ษาหรอื หนว ยงานที่ทําการวจิ ยั และปท ่ที าํ การวจิ ัยสําเรจ็ 1.2 บทคัดยอ เปนสวนที่กลาวถึงกระบวนการวิจัยและผลการวิจัยอยางสั้นๆ และยอที่สุด โดยให ครอบคลุมถึงวตั ถุประสงคของการวิจยั วิธดี ําเนินการวจิ ัยซึ่งประกอบดวย รูปแบบของการวิจัย ประชากรและกลุม ตัวอยางเครื่องมือเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล และผลการวิจัย มีความยาวไมเกิน 2 หนากระดาษพิมพ โดยทั่วไปมักเขยี นทัง้ ภาษาไทยและภาษาตา งประเทศ 1.3 กิตติกรรมประกาศ หรือประกาศคุณูปการ เปนสวนที่นักวิจัยเขียนแสดงความขอบคุณแกผูใหความ ชวยเหลือสนับสนุนจนทําใหการวิจัยเรื่องน้ันสําเร็จ เชน หนวยงาน หรือแหลงท่ีใหเงินทุนอุดหนุนการวิจัย ผูให คําปรึกษาหนวยงาน หรือบุคคลที่เปนแหลงขอมูล ผูใหความชวยเหลือในการพิมพ จัดทํารูปเลมรายงานการวิจัย การเกบ็ รวบรวมขอ มลู และวิเคราะหขอ มูล เปนตน 1.4 สารบญั เปน สวนท่บี อกโครงสรา งหรือหวั ขอเรอื่ งของรายงานการวิจัยทง้ั หมด เพ่ือชวยใหผูอานคนหา แตละหัวขอไดสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเขียนรายการหัวขอเรื่องแยกเปนบท ๆ และเรียงลําดับหัวขอตาม เน้อื หาพรอมทง้ั ระบุเลขหนา กํากบั ไวดวย 1.5 สารบัญตาราง เปนสวนที่แสดงรายการตารางท่ีมีทั้งหมดในรายงานการวิจัย โดยบอกเลขที่ตาราง ช่ือตาราง และเลขหนา กาํ กับไวเ พ่อื ความสะดวกในการคน หา 1.6 สารบญั ภาพหรือสารบัญภาพประกอบ เปนสวนที่แสดงรายการภาพประกอบท่ีมีท้ังหมดในรายงาน การวิจัย ไดแก รูปภาพ แผนภูมิ แผนผัง แผนภาพทางสถิติตางๆ ที่ปรากฏในรายงานการวิจัย วิธีการเขียนก็ทํา เชน เดียวกบั สารบัญตาราง คือ บอกเลขที่ภาพ ชอื่ ภาพ และบอกเลขหนากํากบั ดวย 2. แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัยสวนเนื้อเรื่อง สวนเน้ือเรื่องเปนสวนที่สําคัญท่ีสุดของรายงานการวิจัย เพราะประกอบดวยรายละเอียดท่ีเก่ียวของกับ งานวิจยั ท้ังหมด โดยท่ัวไปจะแบงเน้อื หาออกเปน 5 บท ซง่ึ แตล ะบทมสี าระสาํ คญั และหลักการเขยี น ดังนี้ 2.1 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยบทที่ 1 บทนํา (introduction) เปนการนําเขาสูเร่ืองท่ีทําการวิจัยเพ่ือใหผูอานเขาใจ และเห็นความสําคัญของปญหาท่ีทํา การวิจัย ซง่ึ มีหวั ขอ และรายละเอียดคลายกับที่เขียนไวในโครงการวิจัยตางกันท่ีโครงการวิจัยเปนแผนการทําวิจัยท่ี ยังไมไดดําเนินการ แตรายงานการวิจัยเปนการนําเสนอสาระเกี่ยวกับการวิจัยท่ีไดดําเนินการเสร็จแลว ภาษาท่ีใช จึงเปนประโยคอดีตกาล และในบางหัวขอมีการขยายความ หรือรายละเอียดเพ่ิมข้ึน หัวขอสําคัญที่ควรระบุไวใน บทนาํ มดี งั นี้ 2.1.1 ความเปนมาและความสําคัญของปญหาวิจัย เปนการเขียนถึงภูมิหลัง (background) ท่ีมาของปญหาที่จะทําการวิจัย โดยมุงตอบคําถามวาทําไมจึงตองทําการวิจัยเรื่องนี้ มีเหตุผลและความจําเปน อยางไร และเม่ือทําการวิจัยแลวคาดวาจะไดประโยชนอะไร การเขียนจะเร่ิมตนดวยการนําเขาสูปญหาการวิจัย อธบิ ายที่มาของปญ หาวิจัย ระบุปญหาวิจัย และสรุปดวยความสําคัญของปญหาวิจัย รูปแบบการเขียนจะนําเสนอ เปน ภาพกวางสูภาพเล็ก ในลกั ษระรปู สามเหลี่ยมควาํ่ ดังภาพท่ี 2
38 การนาํ เขา สูปญหาวิจัย ทม่ี าของปญ หาวิจัย ปญหาวจิ ยั ความสําคัญของ ปญ หาวิจัย ภาพที่ 2 แสดงรูปแบบการเขียนความเปนมาและความสาํ คัญของปญ หาวจิ ยั แนวทางการเขยี นความเปน มาและความสําคญั ของปญหาวิจยั มีหลกั การเขยี นดังนี้ 1) ความตรงประเด็น ตองเขียนใหตรงประเด็น โดยชี้ใหเห็นวาปญหาที่จะศึกษาน้ันคืออะไร เรื่องที่จะ ศกึ ษามคี วามสาํ คญั อยางไร หลกี เลีย่ งการเสนอรายละเอียดตางๆ ที่ไมเกีย่ วของ 2) ความมเี หตผุ ล ตอ งเขยี นใหมเี หตุผลโดยมีการนําทฤษฎี แนวคิดของบุคคลทเ่ี ช่ือถือได เปนที่ยอมรับมา กลา วเปน ขอมูลสนับสนุนเรื่องท่จี ะทําการวิจัยพรอมทั้งมีหลักฐานอา งองิ เพื่อความเชอื่ ถอื ได 3) ความสัมพันธเช่ือมโยง ตองเขียนใหสาระระหวางประเด็น หรือแตละตอนมีความตอเนื่องสัมพันธ เชอ่ื มโยงกนั อยาใหเน้ือหาสาระขาดตอนเปนทอ นๆ 4) ความกระชับ รัดกุม ตองเขียนแตละประเด็นใหมีสาระท่ีกระชัย รัดกุมไมยืดยาวจนผูอานเกิด ความเบื่อหนาย 5) เขาใจไดงาย สาระที่นําเสนอตองทําใหเกิดความเขาใจไดงายเสนอประเด็นตางๆ เปนลําดับขั้นตอน โดยใชภ าษางายๆ 6) การลงสรปุ ในสว นตอนทา ยตองเขยี นขมวดทาย หรือสรุปใหม ีสวนเชื่อมโยงหรือสงตอกับวัตถุประสงค ของการวิจัยและความสําคัญของการวิจัยตอ ไปไมใชเขียนสรปุ จบประโยคหว นๆ ตัวอยางท่ี 1 การเขยี นความเปน มาและความสําคัญของปญหา การวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที่........แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………แนวทางการเขียน อาจกาํ หนดกรอบโครงรางประเด็นท่ีควรเขยี นไดดงั น้ี 1) ระบุความสาํ คญั ความมุงหวังและเปา หมายของการพฒั นานสิ ัยรกั การอาน 2) ระบุสภาพทเ่ี ปน จรงิ เก่ยี วกับพฤติกรรมหรอื นิสยั รักการอานของนักเรียน 3) ระบสุ ภาพปญ หาเกีย่ วกบั ลักษณะนิสัยรักการอา น (ความแตกตา งกันระหวางสภาพท่ี มุงหวังและสภาพทีเ่ ปนจรงิ ) และสาเหตุท่นี กั เรยี นไมรักการอาน 4) ระบุผลกระทบของปญหาทีน่ กั เรียนไมรักการอา น 5) แสวงหาทางเลือกเพ่ือการแกปญหาหรืพัฒนานิสัยรักการอาน โดยเลือกใชกิจกรรม ตามลาหาความรู พรอ มอธิบายเหตผุ ล 6) สรุปเหตุผลเพื่อการศกึ ษาวจิ ยั และความคาดหวงั ท่จี ะไดร ับจากการวิจัย
39 ตัวอยา งท่ี 2 การเขยี นความเปน มาและความสําคญั ของปญหา การวิจัยเร่ือง การแกปญหาความรับผิดชอบและการรูจักคนควาดวยตนเอง จากศูนยการเรียนรูดวย ตนเอง รายวิชา………………..ของนักเรยี นระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ช้ันปท่ี........แผนกวิชา…………………โดยการ เสริมแรงและการใชแบบฟอรม Self – Access Learning Report แนวทางการเขียนอาจกําหนดกรอบโครงราง ประเดน็ ทีค่ วรเขียนไดด งั นี้ 1) ระบุความสําคัญ ความมุงหวังและเปาหมายของการแกปญหาความรับผิดชอบและ การรจู ักคน ควาดวยตนเอง 2) ระบสุ ภาพท่ีเปนจริงเก่ยี วกับพฤตกิ รรมดา นความรบั ผิดชอบและการรจู กั คนควา ดวยตนเอง 3) ระบสุ ภาพปญ หาเก่ียวกับลักษณะพฤติกรรมดา นความรับผิดชอบและการรจู ักคน ควา ดวยตนเอง (ความแตกตางกันระหวางสภาพท่ีมุงหวังและสภาพที่เปนจริง) และสาเหตุที่นักเรียนไมมีความ รบั ผดิ ชอบและรจู ักคน ควาดวยตนเอง 4) ระบผุ ลกระทบของปญหาทนี่ ักเรยี นไมมีความรบั ผิดชอบและรจู กั คน ควา ดว ยตนเอง 5) แสวงหาทางเลือกเพ่ือการแกปญหาความรับผิดชอบและรูจักคนควาดวยตนเอง โดยเลอื กใชกิจกรรมเสรมิ แรงและการใชแ บบฟอรม Self – Access Learning Report พรอมอธิบายเหตุผล 6) สรุปเหตุผลเพ่อื การศึกษาวจิ ยั และความคาดหวังทจ่ี ะไดร ับจากการวจิ ยั ตัวอยางท่ี 3 การเขยี นความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา การวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาความคดิ สรา งสรรคในการออกแบบช้นิ งานยานยนต เรอ่ื ง การสรางช้ินงาน 3 มิติ วิชา…………….ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปท่ี…..สาขาวิชา………โดยใชวิธีคิดอยาง เปน ระบบแนวทางการเขยี นอาจกาํ หนดกรอบโครงรางประเดน็ ที่ควรเขียนไดดังน้ี 1) ระบคุ วามสาํ คญั ความมุง หวงั และเปาหมายของการพัฒนาความคดิ สรา งสรรคใ นการ ออกแบบช้ินงานยานยนต 2) ระบุสภาพท่เี ปน จริงเกีย่ วกับพฤตกิ รรมของนักศึกษาในการออกแบบชน้ิ งานยานยนต 3) ระบสุ ภาพปญหาเกยี่ วกับพฤตกิ รรมของนักศึกษาในการออกแบบช้นิ งานยานยนต (ความแตกตางกันระหวางสภาพท่ีมุงหวังและสภาพที่เปนจริง) และสาเหตุท่ีนักศึกษาไมมีความคิดสรางสรรค ในการออกแบบชน้ิ งานยานยนต 4) ระบผุ ลกระทบของปญหาทน่ี ักศกึ ษาไมม ี ความคิดสรางสรรคใ นการออกแบบชิ้นงาน ยานยนต 5) แสวงหาทางเลอื กเพือ่ พฒั นาความคดิ สรา งสรรคใ นการออกแบบชน้ิ งานยานยนต โดยเลอื กใชก ิจกรรมคิดอยางเปนระบบ พรอมอธบิ ายเหตุผล 6) สรุปเหตผุ ลเพอ่ื การศึกษาวจิ ยั และความคาดหวงั ท่ีจะไดรบั จากการวจิ ัย 2.1.2 วัตถุประสงคของการวิจัย (research objective) หรือจุดมุงหมายของการวิจัย (research purposes) เปนขอความที่แสดงถึงความตองการ หรือเปาหมายของนักวิจัยท่ีจะดําเนินการวิจัยให บรรลผุ ลในแตล ะคร้งั การเขียนวตั ถุประสงคของการวจิ ัยจึงเปน การกําหนดเปาหมายของการวิจัยวาตองการศึกษา คนควาหาคําตอบในเรื่องอะไร สวนใหญนิยมเขียนในรูปประโยคบอกเลาท่ีเปนเปาหมายรวม และเขียน วตั ถปุ ระสงคยอยตามปญ หาวิจยั แยกเปนปญ หายอ ๆ ออกไปอีก โดยมหี ลักการเขยี น ดงั นี้
40 1) ตองเขยี นสง่ิ ทเ่ี ปนเปา หมายในการศึกษาคนควาหาคาํ ตอบ มใิ ชเ ขยี นสิง่ ทเี่ ปนวธิ กี าร ดาํ เนินงานวิจยั สิง่ ทตี่ อ งการใหเกดิ ขึ้น หรอื ประโยชนท ่ีคาดวา จะไดรับจากการวจิ ัย เชน “เพ่ือใหนักเรียนมีทักษะการอานและการเขียนภาษาไทยดีขึ้น” การเขียนลักษณะนี้เปนการเขียนสิ่งท่ี ตอ งการใหเ กดิ ขึ้นซึ่งเปน วัตถุประสงคของการแกป ญ หาหรือพฒั นา “เพ่ือใหไดแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร” การเขียนลักษณะน้ีเปนการเขียน ประโยชนท ่ีคาดวา จะไดรับจากการวิจัย 2) เขยี นใหส อดคลองหรอื อยใู นขอบขายและครอบคลุมประเดน็ ปญหาวจิ ยั 3) เขียนใหชัดเจน ใชภาษาที่เขาใจงาย ส้ัน กะทัดรัด ช้ีเฉพาะเจาะจงวาตองการจะทํา อะไร ตองการศึกษาคนหาคาํ ตอบอะไร ซึ่งจะสะทอนถงึ ตวั แปรทศ่ี ึกษา 4) เขียนเรียงลําดับตามความสําคัญของการวิจัย หรือตามข้ันตอนของการวิจัยโดยขอแรกๆ ควรเปน วตั ถปุ ระสงคที่ตรงหรือสอดคลอ งกับชื่อเรื่อง หรือหัวขอวิจัย ขอตอๆ ไปจึงควรเปนวัตถุประสงคท่ีตองการ ศกึ ษารองลงมา 5) วัตถุประสงคของการวิจัยท่ีกําหนดขึ้นจะตองมีความเปนไปไดมีขอบเขตที่พอเหมาะ และสามารถหาขอมูลเพอื่ ตอบคําถามหรือทดสอบได 6) วัตถุประสงคของการวิจัย ควรเขียนข้ึนตนดวยคําสําคัญตอไปนี้ เพ่ือบรรยาย(describe) เพ่ือการศึกษา (study) เพื่อสํารวจ (explore) เพ่ือเปรียบเทียบ (compare) เพื่อศึกษาความสัมพันธ (assodiation หรอื correlation) เพอ่ื วิเคราะห (analyze) เพื่อสังเคราะห (synthesize) เพื่อประเมิน/ตรวจสอบ (evaluate) เพ่ือสราง (construct) เพื่อพัฒนา (develop) เพื่อตรวจสอบความตรง (validate) (นงลักษณ วิรัชชัย, 2543 : 405) ตัวอยาง การเขยี นวัตถปุ ระสงคของการวิจยั 1) เพ่ือศกึ ษาความสามารถในการแกปญ หาสิง่ แวดลอมของนักเรยี นระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปท่ี........แผนกวิชา………………… ท่ีเรียนวิชา…………………….โดยใชวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร 2) เพอื่ พฒั นาพฒั นาความคิดสรางสรรคใ นการออกแบบชิ้นงานยานยนต เรอ่ื ง การสราง ชิ้นงาน 3 มติ ิ วชิ า…………….ของนกั ศกึ ษาระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้ันสงู ช้นั ปท่ี…..สาขาวิชา………โดยใชวิธีคิด อยางเปน ระบบ 3) เพื่อแกปญหาความรับผิดชอบและการรูจักคนควาดวยตนเอง จากศูนยการเรียนรู ดวยตนเอง รายวิชา………………..ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปท่ี........แผนกวิชา………………… โดยการเสรมิ แรงและการใชแบบฟอรม Self – Access Learning Report จากการวิจยั เรื่อง ผลการจัดกจิ กรรมตามลาหาความรูเพ่อื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปท่ี........แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………............................. อาจกําหนดวตั ถุประสงคข องการวจิ ยั ไดดงั น้ี 1) เพื่อการศึกษา (หรือประเมิน) ลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียนท่ีไดรับ การเสริมสรางจากการจดั กิจกรรมตามลาหาความรู หรือเพื่อเปรยี บเทียบลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียนกอน และหลังทีไ่ ดร ับการเสรมิ สรางจากการจดั กิจกรรมตามลาหาความรู 2) เพือ่ ศกึ ษาเจตคตติ อ การอานของนักเรยี นทไ่ี ดรับการเสรมิ สรา งจากการจัดกจิ กรรม ตามลาหาความรู 3) เพื่อศึกษาความพงึ พอใจตอการจัดกิจกรรมตามลา หาความรูของนักเรียนและผปู กครอง
41 2.1.3 สมมติฐานการวิจัย (research hypothesis) เปนขอความท่ีคาดคะเนคําตอบของ ปญ หาวจิ ัยไวล วงหนาอยางมีเหตุผล โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีแลเงานวิจัยที่เก่ียวของ เพื่อเปนฐานความคิดในการ ตัง้ สมมุติฐานรองรับ โดยมหี ลักการเขยี นดงั นี้ 1) ควรเขยี นสมมตฐิ านการวิจัยอยางมเี หตุผล โดยเขียนขนึ้ ภายหลงั จากทไี่ ดมีการศึกษา เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขออยา งละเอยี ดแลว 2) เขียนสมมติฐานการวิจัยใหสอดคลอง สัมพันธกับปญหาวิจัยและวัตถุประสงค ของการวิจยั 3) เขียนใหมีความชัดเจนเฉพาะเจาะจง โดยระบุทิศทางของการคาดคะเนคําตอบของ ปญ หาวจิ ัยวา จะเกดิ สงิ่ ใดมากกวา สงิ่ ใด หลีกเลีย่ งคําทีม่ ีความหมายกวา งซ่งึ จะตีความไดย าก 4) เขียนเปนประโยคบอกเลาท่ีแสดงความสัมพันธระหวางตัวแปร อาจระบุทิศทางของ ความสัมพันธห รอื บอกถึงความแตกตา งระหวา งตัวแปรก็ได 5) สมมติฐานการวิจัยเปนสิ่งที่สามารถทดสอบหาคําตอบไดดวยขอมูลหรือหลักฐานตางๆ หากไมส ามารถทดสอบได กไ็ มสามารถหาคาํ ตอบปญ หาวจิ ัยได 6) เขียนใหเขาใจงาย ไมใ ชข อความที่สลับซบั ซอน ยืดยาว และควรเขยี นแยกเปน ขอ ๆ ตวั อยา งการเขียนสมมตฐิ านการวจิ ยั จากงานวิจัยเรื่อง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรที่มีตอสัมฤทธิ์ผลและ พฤตกิ รรมการเรยี นวทิ ยาศาสตรของนักเรียน…………………………………………….. ผวู จิ ยั กําหนดสมมตฐิ านดังน้ี 1) นักเรียนที่ไดรับการสอนดวยวิธีวงจรการเรียนรู มีมโนทัศนเกี่ยวกับเน้ือหาวิชา วิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และการใหเหตุผลเชิงวิทยาศาสตรสูงกวานักเรียนที่ไดรับการ สอนดว ยวิธีการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรแบบปกติ 2) นักเรียนท่ีมีระดับความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตรสูง ท่ีไดรับการสอนดวยวิธี วงจรการเรียนรู มีมโนทัศนเก่ียวกับเน้ือหาวิชาวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และการให เหตุผลเชิงวิทยาศาสตรสูงกวานักเรียนท่ีมีระดับความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตรสูง ที่ไดรับการสอนดวย วิธกี ารเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแบบปกติ 2.1.4 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ในงานวิจัยเรื่องหนึ่งสามารถศึกษาไดหลายแบบ หลายแงมุม เนื่องจากนักวิจัยมอง ปญหาเร่ืองเดียวกันในลักษณะท่ีแตกตางกัน เพราะใชทฤษฎีหรือแนวคิดในการมองปญหาแตกตางกัน นักวิจัย จําเปน ตองเลอื กแนวคิดหรือทฤษฎีมาเปน ฐานในการสรางกรอบแนวคิดในการวิจัยของตนเองซึ่งมีหลักในการเลือก ดังน้ี 1) เลอื กทฤษฎที ี่มีสาระตรงกบั หัวขอ วจิ ัยมากท่ีสุด กลาวคอื มีความตรงประเดน็ ในดา น เน้อื หาสาระโดยเฉพาะตัวแปรทศ่ี ึกษาทัง้ ตัวแปรอสิ ระและตวั แปรตาม รวมทง้ั ระเบยี บวิธวี จิ ัยท่ีใชใ นการศกึ ษา 2) พิจารณาจากความงายและไมซับซอน โดยเลือกกรอบแนวคิดที่สรางแลวมองเห็น ความสมั พันธ ระหวางตวั แปรไดช ัดเจน งา ยตอการเขาใจ และไมย งุ ยากซบั ซอน 3) พิจารณาจากความมีประโยชน กรอบแนวคิดท่ีเลือกใชควรมีเน้ือหาสาระเก่ียวกับ ตัวแปร หรือ ความสัมพนั ธระหวางตวั แปรท่ีสอดคลองกับความสนใจของนักวิจัยและสามารถอธิบายความสัมพันธ ระหวา งตัวแปรตาง ๆ ไดส อดคลองกบั เรื่องท่กี าํ ลงั ศึกษา 4) พิจารณาจากภาพรวมของงานวิจัย กรอบแนวคิดทด่ี ีตอ งชี้ใหเ ห็นภาพรวมของเรื่องที่ จะทาํ การวจิ ัย โดยช้ีใหเ ห็นโครงสรา งความสัมพันธระหวางตวั แปรท้งั หมดทใ่ี ชในการวจิ ัย
42 ตัวอยา ง การเขียนกรอบแนวคดิ การนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยสามารถทําไดหลายวิธี เชน การเขียนแบบบรรยาย การเขียนแบบแผนภาพ การเขียนแบบจําลองหรือฟงกชั่นทางคณิตศาสตรและการเขียนแบบผสมผสาน ในที่น้ีจะ นําเสนอเฉพาะการเขยี นแบบบรรยายและการเขียนแบบแผนภาพ จากกรณีรายงานวิจัย เร่ือง การพัฒนาความคิด วิเคราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษาของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุม 5,6 ภาคเรยี นที่ 1/2559 โดยใชผงั ความคิดวิเคราะหต นเอง ดังน้ี การวจิ ัย เร่ือง การพัฒนาความคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษาของนักเรียน ช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุม 5,6 ภาคเรียนที่ 1/2559 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง ผูวิจัยได ศึกษาแนวคิด ทฤษฏี การคิดวิเคราะหของ สุวิทย มูลคํา ซึ่งเปนแนวคิด ทฤษฏี เกี่ยวกับความสามารถในการ จาํ แนก แยกแยะองคประกอบตา ง ๆ ของสงิ่ ใดสง่ิ หน่ึง ซึง่ อาจเปนวัตถุ สิ่งของ เร่ืองราว หรือเหตุการณและการหา ความสัมพันธเชิงเหตุผล ระหวางองคประกอบเหลาน้ัน เพื่อคนหาสภาพความเปนจริงหรือส่ิงสําคัญของส่ิงท่ี กําหนดใหของบุคคล จากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ ผูวิจัยไดนําไปกําหนดกรอบแนวคิดใน การวจิ ยั ดังนี้ ตัวแปรอิสระ Independent Variable ตัวแปรตาม dependent variable วธิ กี ารจัดการเรยี นรู การพฒั นาความคดิ วเิ คราะหตนเอง - จัดการเรยี นรูโดยใชผ ังความคิด - ความสามารถในการคิดวิเคราะหตนเอง - ความพึงพอใจตอการจดั การเรยี นรู ภาพที่ 3.2 แสดงกรอบแนวคิดการวจิ ยั เร่ืองการพัฒนาความคิดวเิ คราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศกึ ษาของนักเรยี น ชนั้ ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลมุ 5,6 ภาคเรยี นท่ี 1/2559 โดยใชผ งั ความคดิ วิเคราะหตนเอง 2.1.5 ขอบเขตของการวิจัย (scope and limitation) เปนการกําหนดกรอบของเรื่องที่จะ ศึกษาวาจะใหกวาง แคบ หรือครอบคลุมถึงเร่ืองอะไรเพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคของการวิจัย โดยท่ัวไป ขอบเขตของการวิจัยจะกําหนดใหครอบคลุมเร่ืองประชากร ตัวแปรที่ศึกษา ระยะเวลาท่ีทําการวิจัย นอกจากน้ี งานวิจัยบางประเภทยังกําหนดขอบเขตของเน้ือหา และพ้ืนที่ท่ีทําการวิจัยไวดวยขอบเขตของแตละเร่ืองควรระบุ สาระสาํ คัญๆ ดังนี้ 1) ประชากร ใหระบุวาประชากรในการวิจัยคืออะไร มีลักษณะอยางไรมีขนาดหรือ จํานวนเทา ไร 2) ตัวแปรท่ีศึกษา ใหระบุตัวแปรท่ีศึกษาทั้งหมดโดยแยกตัวแปรแตละประเภทให ชัดเจน เชนตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ตัวแปรควบคมุ ประกอบดวยอะไรบา ง 3) ระยะเวลาทท่ี ําการวิจัย ใหระบชุ วงระยะเวลาในการศึกษาวจิ ัยตัง้ แตเ ร่ิมตน จนเสรจ็ ส้ินการวจิ ยั พรอมระบุปท ่ีทําการวิจยั ไวด ว ย
43 4) เนือ้ หาในการวิจัย งานวิจยั บางประเภท เชน การวิจัยเชงิ ทดลองหรือการวิจัยเชิงพัฒนา ท่ีตองพัฒนาสื่อหรือนวัตกรรมทางการศึกษา จําเปนตองมีเน้ือหาสาระในการสรางส่ือหรือนวัตกรรม จึงตองระบุ ขอบเขตของเนอ้ื หาทีใ่ ชในการวจิ ยั ไวด ว ยวาประกอบดว ยเนอ้ื หาเรื่องอะไรบาง 5) พื้นท่ีที่ทําการวิจัย ในงานวิจัยบางประเภท เชน การวิจัยทางการเกษตร การวิจัย ทางวัฒนธรรมการวจิ ัยทองถน่ิ การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ เพอื่ ใหเกดิ ความชัดเจนในพื้นที่ดําเนินการวิจัย จําเปนตองระบุ สถานท่ที ่ไี ปทาํ การวิจัยใหครอบคลมุ และชัดเจน เชน ระบุชุมชน หมูบา น ตาํ บล อาํ เภอ หรอื จังหวดั ตัวอยา ง การเขยี นขอบเขตของการวจิ ัย จากงานวิจัยเร่ือง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรที่มีตอสัมฤทธิ์ผลและ พฤตกิ รรมการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียน…………………………………………….. ผูว จิ ัยกาํ หนดขอบเขตการวิจยั ดงั น้ี 1) ประชากรในการวิจัย คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตร ช้ันปท่ี……..แผนกวิชา………………. วทิ ยาลยั ……….จํานวน………คน 2) ตวั แปรทีใ่ ชใ นการวจิ ยั ประกอบดว ย 2.1) ตัวแปรอิสระ คือ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบดวย การเรียนการสอน วิทยาศาสตรที่ใชวธิ ีวงจรการเรียนรู และการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรแ บบปกติ 2.2) ตัวแปรตาม มี 4 ตวั ไดแ ก 2.2.1) พฤตกิ รรมการเรยี นวิทยาศาสตรของนักเรียน 2.2.2) มโนทัศนเก่ยี วกับเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร 2.2.3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร 2.2.4) การใหเหตผุ ลเชงิ วทิ ยาศาสตร 2.3) ตวั แปรควบคุม คอื ตวั แปรท่ผี ูว ิจยั ควบคุมใหเหมือนกนั ทัง้ ในกลุมทดลองและกลุมควบคุม มีดังน้ี 2.3.1) ระดบั ความสามารถทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร 2.3.2) เน้อื หาวชิ าและจาํ นวนเรือ่ งท่ีใชส อนในกลมุ ทดลองและกลมุ ควบคุมเปนเน้ือหา เดยี วกนั และมีจํานวนเร่อื งเทากันตลอดการทดลอง 2.3.3) ครูผสู อน ผูวจิ ัยเปน ผูดําเนนิ การสอนดวยตนเอง ท้ังในกลุมทดลองและกลมุ ควบคุม 2.3.4) ระยะเวลาท่สี อน จาํ นวนคาบท่ใี ชในการสอน เนอ้ื หาแตล ะเรอ่ื งเทากันทงั้ กลุม ทดลองและกลุมควบคุม 3) ระยะเวลาท่ใี ชใ นการทดลอง ในการทดลองคร้ังน้ีใชระยะเวลาในการทดลองเทากันทุกกลุม ท้ังในกลุม ทดลองและกลุมควบคุม คือ 10 สัปดาห สัปดาหละ 3 ชั่วโมงตอหองเรียน เปนเวลาที่ใชในการทดลองท้ังหมด 30 ชวั่ โมงตอ หอ งเรียน รวมเวลาทดลองท้ังหมดเทา กบั 180 ช่วั โมง (3ชน้ั x 2 หอ ง x 30 ชั่วโมง) โดยทําการทดลองใน ภาคเรยี นที่ 1 ปการศึกษา 2561 จากการวจิ ัยเรอ่ื ง ผลการจดั กจิ กรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรา งลกั ษณะนิสัยรักการอานของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ช้ันปท ่.ี .......แผนกวชิ า……………………….วิทยาลัย………………… สามารถเขียน ขอบเขตของการวจิ ยั ไดดังน้ี 1) ประชากร ซึ่งเปนกลุมเปาหมายที่จะพัฒนาลักษณะนิสัยรักการอาน ไดแก นักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชัน้ ปท ่ี........แผนกวชิ า……………………….วทิ ยาลยั ………………… จาํ นวน 50 คน
44 2) ตัวแปรท่ีศึกษา ประกอบดว ย 2.1) ตัวแปรอสิ ระ ไดแก การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู 2.2) ตัวแปรตาม ไดแก ลักษณะนิสัยรักการอาน เจตคติตอการอาน และความ พึงพอใจตอ การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู 2.1.6) ประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัย (significance of the study) เปนการอธิบายถึง ความสําคัญ หรือประโยชนที่ไดรับหลังจากดําเนินการวิจัยเรื่องน้ันเสร็จแลว โดยระบุวาผลการวิจัยนั้นจะเปน ประโยชนตอใครและเปนประโยชนอยางไร ทั้งในเชิงวิชาการ การสรางเสริมองคความรูใหมและเชิงปฏิบัติท่ีชวย แกปญหาหรือพัฒนางาน การเขียนประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัยจะชวยช้ีใหเห็นความสําคัญของการวิจัย และคุณคาของผลการวิจยั เรอ่ื งน้นั โดยมหี ลักการเขียนดังนี้ 1) ควรเขยี นเปน ขอ ๆ เรียงลาํ ดับความสําคญั โดยเรมิ่ จากขอที่เปนประโยชนโดยตรงมาก ทส่ี ดุ ไปสขู อ ท่ีเปน ประโยชนน อยทีส่ ดุ 2) เขียนใหสอดคลองเชื่อมโยงกับวัตถุประสงคของการวิจัย โดยระบุวาเม่ือไดผลตาม วตั ถปุ ระสงคข องการวจิ ัยแลว จะนําผลนั้นไปใชป ระโยชนกับใคร หนว ยงานใด และใชอยางไร 3) ไมควรเขียนข้ึนตนประโยคดวยคําวา “เพื่อ....” เพราะจะทําใหเกิดความสับสนกับ วัตถปุ ระสงคของการวจิ ัย ควรเขียนในลกั ษณะทน่ี ักวิจัยเหน็ วาหรอื คาดวา จะไดอะไรจากการวิจยั ตวั อยา ง การเขียนประโยชนทไ่ี ดร บั จากการวิจัย จากงานวจิ ัยเรือ่ ง การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการแกป ญหาทางคณิตศาสตร โดยการใช การสอนตนเองกับการเรียนการสอนแบบรายบุคคลและแบบกลุมสําหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชนั้ สูง ระบปุ ระโยชนท่ีคาดวา จะไดรบั ไวมีดงั นี้ 1) ไดรูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการแกปญหาทางคณิตศาสตรโดยการ ใชการสอนตนเองกับการเรียนการสอนแบบรายบุคคล และแบบกลุม ซึ่งสามารถนํามาใชในการจัดการเรียน การสอนคณิตศาสตร ระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพช้ันสูง 2) ไดแผนการสอนกระบวนการแกปญหาทางคณิตศาสตร ในเร่ืองการนําเสนอ ขอมูล การแจกแจงความถี่ขอมูล กฎการใชเคร่ืองหมายแทนการรวมอัตราสวน สัดสวน และเปอรเซ็นต เปอรเซนไทล เดไซลควอไทล คาเฉล่ียเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม การวัดการกระจาย คะแนนมาตรฐาน ซ่ึงผูสอนสามารถ นาํ ไปใชไ ด 3) เปนแนวทางสาํ หรบั การนาํ ไปใชใ นการจัดการเรียนการสอนคณติ ศาสตรแก นกั ศึกษาทีม่ รี ะดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตางกนั อยางเหมาะสม และมีประสทิ ธิภาพยง่ิ ข้นึ 4) เปนแนวทางในการฝก กระบวนการแกปญ หาเพ่ือพัฒนาความรู ทักษะและ เจตคตเิ กยี่ วกบั การเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร 5) เปนแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร สําหรับ ผูส อนและผูท่เี กย่ี วขอ งกับการเรยี นการสอนวิชาคณติ ศาสตรในระดับการศึกษาตางๆ จากการวิจยั เรอื่ ง ผลการจดั กิจกรรมตามลาหาความรเู พอ่ื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ............ระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ช้นั ปท.ี่ .......แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย………………… สามารถเขียน ประโยชนท ี่ไดรบั จากการวจิ ัย ไดดังนี้ 1) นกั เรียนทีผ่ านการเขารวมกจิ กรรมตามลาหาความรูม ีลกั ษณะนิสัย รักการอา น การศึกษาคนควาหาความรดู วยตนเองดีขนึ้ และมเี จตคตทิ ่ีดตี อการอา น 2) นักเรียนท่ผี า นการเขารว มกิจกรรมตามลาหาความรู อานหนังสือดวยตนเอง และมลี ักษณะนสิ ยั ใฝเรียนรูม ากขึ้น
45 3) ไดแนวทางในการจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน และ การพฒั นานกั เรยี นในคณุ ลักษณะดานอื่นๆ ตอ ไป 2.1.7 คํานิยามศัพทเฉพาะ หรือคําจํากัดความของคําที่ใชในการวิจัย (definition of terms) เปนการใหความหมายของคํา กลุมคํา ขอความ หรือตัวแปรท่ีศึกษาเฉพาะงานวิจัยแตละเรื่อง เพ่ือส่ือความหมาย ใหเกดิ ความเขาใจตรงกันระหวางนักวิจัยกับผูอานงานวิจัย การเขียนคํานิยามศัพทเฉพาะที่ใชในการวิจัยจะตองให มคี วามหมายตรงกับความหมายตามหลกั วิชา แตมลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงสําหรับงานวิจัยแตละเร่ือง มีความชัดเจน และอยใู นรปู ของนิยมเชงิ ปฏบิ ตั ิการทส่ี ามารถวัดหรือสงั เกตได ตัวอยางการเขียนคาํ นิยามศัพทเฉพาะ จากงานวิจัยเร่ือง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรท่ีมีตอสัมฤทธิผล และ พฤติกรรมการเรยี นวทิ ยาศาสตรของนักเรียน……………………. เขยี นนิยามศัพทเฉพาะไวด งั น้ี วงจรการเรียนรู หมายถึง วิธีการที่นักเรียนใชในการเรียนรู อยางเปนขั้นเปนตอนท่ีมี ลําดับตอเน่ืองกันจนครบ โดยประกอบดวยกัน 3 ข้ันตอน ไดแก ขั้นการศึกษาสํารวจ นักเรียนลงมือปฏิบัติ ทําการศึกษาสํารวจเพอคนพบแบบแผนของปรากฏการณตางๆ ขั้นการสรางมโนทัศน นักเรียนนําผลท่ีได จากการศกึ ษาสํารวจมาสรปุ สรา งเปน มโนทัศน และขั้นการนํามโนทัศนไปใช นักเรียนนํามโนทัศนท่ีไดเรียนรูไปใช ศึกษาปรากฏการณอ่ืนเพิ่มเติม เพื่อขยายความรูความเขาใจเกี่ยวกับมโนทัศนนั้น ซึ่งผลการเรียนรูท่ีไดจากการนํา มโนทัศนดังกลาวนําไปสกู ารศึกษาสํารวจการสรางมโนทศั น และการนาํ มโนทัศนไ ปใชใ นวงจรการเรียนรูใ หมต อไป สมั ฤทธิผล หมายถงึ ผลการเรยี นรูข องนกั เรยี นท่ีเกิดข้ึนจากการใชวิธีวงจรการเรียนรูใน การเรียนการสอนวิทยาศาสตร และจากการเรียนการสอนวิทยาศาสตรแบบปกติ ซ่ึงประกอบดวย มโนทัศน เกยี่ วกบั เนื้อหาวชิ าวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร และการใหเ หตุผลเชิงวิทยาศาสตร จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของ นักเรียน.....................นยิ ามคาํ ศัพทต อ ไปน้ี การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง กิจกรรมกําหนดข้ึนสําหรับเสริมสราง และ พัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน โดยการจัดกลุมใหนักเรียนรวมกันศึกษาคนควาดวยการอานและเรียนรูจาก ศูนยการเรียนรูภายในวิทยาลัยฯ จํานวน 10 ศูนย และแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ นอกวิทยาลัยฯ แลวบันทึกสาระ ความรูและประสบการณท่ีไดรวมทั้งการนําเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันโดยมีครูท่ีปรึกษา และครูผูสอนเปน ผสู รา งพลงั กระตุนจงู ใจใหความชวยเหลอื เอือ้ อาํ นวยความสะดวก สงเสริมสนันบสนุนและประเมินผลการเขารวม กิจกรรมตามลาหาความรู ลกั ษณะนิสยั รักการอา น หมายถึง พฤตกิ รรมหรอื การปฏิบตั ิตนของนกั เรียนท่ีแสดงออก ถึงความสนใจ ความกระตือรือรน และความมุงมั่นตอการอาน การศึกษาคนควาอยางสมํ่าเสมอ ซ่ึงวัดไดจากการ สังเกตพฤตกิ รรมการอานของนกั เรยี นโดยผปู กครองและครู การสอบถามนักเรียน รวมทั้งการใชขอมูลจากเอกสาร หลักฐานการใชห องสมดุ ของนกั เรียน เจตคติตอการอาน หมายถึง ความรูสึก หรือความคิดของนักเรียนที่สะทอนถึงการอาน ในลักษณะท่ีชอบหรือไมชอบ สนับสนนุ หรอื ไมสนับสนุนตอการอานและการศึกษาคนควา ซึ่งวัดไดจากแบบวัดเจต คตทิ ี่ผวู ิจัยสรา งข้ึนและจากการสนทนากลมุ นกั เรยี นท่ีเขา รวมากิจกรรมตามลาหาความรู ความพึงพอใจตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง ความรูสึกนึกคิดของ นักเรียนและผูปกครองในลักษณะเห็นดวย ยอมรับ หรือใหการสนับสนุนตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูท่ีได จัดข้นึ เพื่อเสรมิ สรา งลักษณะนสิ ยั รักการอา นของนักเรียน ซง่ึ วัดไดจ ากแบบวัดความพึงพอใจทผ่ี ูว จิ ัยสรางขนึ้
46 2.2 แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ยั บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ (review of related literature) เปนการนําเสนอแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวของกับเร่ืองที่ทําการวิจัยโดยเขียนในลักษณะ สังเคราะหเนื้อหาใหมีความสัมพันธเช่ือมโยงตอเน่ืองกันระหวางตอนหรือระหวางหัวขอ พรอมท้ังสรุปแตละ ประเดน็ ที่นาํ เสนอตามแนวคิดของผูวิจัย และสรุปเปนกรอบแนวคิดในการวิจัย แนวทางการเขียน การนําเสนอผล การศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วของ มีหลักการนําเสนอดงั นี้ 2.2.1 เลือกศึกษาและนําเสนอสาระเฉพาะเอกสารและงานวิจัยท่ีมีความเกี่ยวขอสอดคลองกับ ปญหาวจิ ยั หรือหวั ขอทจี่ ะทําการวจิ ัย 2.2.2 จัดลําดับเน้ือหาที่จะนําเสนอโดยเร่ิมจากภาพรวมกวางๆ แลวคอยๆ นําเขาสูปญหาวิจัย หรือหัวขอวิจัย อาจแบงเน้ือหาเปนหัวขอตามความเหมาะสม แลวนําเสนอสาระตามความรูที่ไดจากการศึกษา คน ควา 2.2.3 นําเสนอเนื้อหาแตละหัวขอใหมีความสัมพันธสอดคลองกันและอภิปรายใหเชื่อมโยง เน้ือหาแตละหัวขอ และใหเห็นความเกี่ยวของกับปญหาวิจัยหรือหัวขอวิจัยอยางชัดเจน รวมทั้งมีการสรุปแตละ หวั ขอและการสรุปรวม สาระสําคญั ของการสรปุ ควรนําไปสูการกําหนดตัวแปรท่ศี ึกษาในหัวขอวิจยั 2.2.4 พยายามนาํ เสนอใหเหน็ วา งานวจิ ยั ที่ศกึ ษามาแลว ทงั้ หมดยังไมส มบูรณแ ละมีประเด็นที ควรศึกษาเพิ่มเติมโดยเชื่อมโยงเขาสูปญหาวิจัย หรือหัวขอท่ีกําลังจะทําวิจัย เพื่อใหเห็นความสําคัญและจําเปนใน การศึกษาวิจยั เรอ่ื งนั้น 2.2.5 ตองมีรูปแบบการนําเสนอถูกตองตามหลักการเขียนเอกสารวิชาการ โดยมีการอางอิง แหลงทม่ี าของเอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วของใหถ ูกตอง เปนระบบและเชอื่ ถอื ได 2.2.6 การนําเสนอเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ งควรประกอบดวยเนื้อหาสาระทีส่ ําคญั 2 สวน ไดแก 1) สวนแรก เปนแนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวของกับเรื่องวิจัย ประกอบดวย นิยาม หรือ ความหมายของตัวแปรหรอื ส่งิ ท่จี ะศึกษาวจิ ยั และแนวคดิ ทฤษฎที เี่ กยี่ วของกับสงิ่ ที่จะศกึ ษาวจิ ยั 2) สวนทสี่ อง เปน งานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ งกบั เร่อื งวจิ ัยซง่ึ ประกอบดวยงานวิจัยท้ังในประเทศ และตา งประเทศ ตวั อยาง การเขียนเอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวของ จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกรรมตามลาหาความรูเพ่ือเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของ นักเรยี น...........การศกึ ษาและนาํ เสนอเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วของควรมีหัวขอเร่ือง ดงั น้ี ตอนท่ี 1 สภาพปญหา และพฤตกิ รรมการอานของนักเรียน 1.1 สภาพปญหาเกย่ี วกับการอาน 1.2 พฤติกรรมการอานของนกั เรยี น ตอนท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎีท่เี กี่ยวกับการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั รกั การอา นของนักเรยี น 2.1 ความหมายและความสําคญั ของการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั รกั การอา น 2.2 แนวคิดทฤษฎเี ก่ยี วกับการพัฒนาลักษณะนสิ ยั รกั การอาน ตอนท่ี 3 แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ก่ยี วกับการพฒั นานวัตกรรมทเ่ี สริมสรา งนิสัยรกั การอา น 3.1 ความหมายและความสําคญั ของนวตั กรรม 3.2 ประเภทของนวตั กรรม 3.3 ขนั้ ตอนการพฒั นานวัตกรรม
47 ตอนท่ี 4 งานวิจยั ท่ีเก่ยี วของกบั การพฒั นานิสัยรักการอาน ภายหลังจากนักวิจัยไดกําหนดประเด็นที่จะศึกษา และไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ แลวงานขั้นตอไป คือ การสรางกรอบแนวคิดในการวิจัย (conceptual framework) กรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึงแนวคิดหรือแบบจําลองที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรที่ผูวิจัยสรางขึ้น โดยใชทฤษฎี ขอสรุปเชิง ประจักษ ขอมูลจากสมมติฐาน และผลงานวิจัยในอดีต นํามาสังเคราะหเพ่ือท่ีใหไดภาพรวมของงานวิจัยเร่ืองน้ัน เพื่อแทนความเกี่ยวของสัมพันธกันระหวางปรากฎการณที่เกิดขึ้นจริงในเรื่องที่ศึกษานั้นวามีแนวคิดท่ีสําคัญ อะไรบา ง ในปรากฎการณน น้ั ตวั แปรหรือปรากฎการณเชื่อมโยงเกี่ยวกันอยางไร เพ่ือจะนําความสัมพันธที่คิดข้ึนนี้ ไปตรวจสอบกับขอมูลเชิงประจักษตอไปวามีความสอดคลองกันหรือไม การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ เปน ส่ิงทช่ี วยใหได “เบาะแส” ของตัวแปรท่ีนักวิจัยจะเลือกสรรอยางมีเหตุผล และมีหลักฐานรองรอยนาเชื่อถือวา เปนตัวแปรทสี่ าํ คัญจาํ เปน ในการวิจัยเพอ่ื กําหนดไวในกรอบแนวคิดในการวิจัย 2.2.7 การอางอิงในรายงานการวิจัย เปนสวนท่ีผูวิจัยไดศึกษา หยิบยก ตัดตอแนวคิด หรือ ขอสรปุ จากเอกสาร ตํารา ของผอู ื่น มาเรยี บเรียงเปนสวนหน่ึง หรือนํามาเปนกรอบความคิดในการดําเนินการวิจัย เพือ่ เสนอแกผอู า นใหเขา ใจความตรงตามที่ผูว ิจัยเขา ใจ และเพ่ือเปนการใหเกียรติแกเจาของหลักฐาน รวมท้ังแสดง วาผูเขียนมิไดล ะเมิดลิขสิทธ์ิของเจาของส่ิงพิมพ ซ่ึงมีกฎหมายคุมครองอยู ผูวิจัยควรระบุแหลงท่ีมาของขอมูลและ ส่ิงพิมพอ่ืน ๆ นอกเหนือไปจากขอเขียนของผูวิจัยเอง โดยใชการอางอิงในรูปแบบและขอความท่ีชัดเจน สามารถ ตรวจสอบที่มาของขอมูลได ท้ังน้ีการเขียนรายการอางอิง เปนข้ันตอนท่ีดําเนินการไปพรอมกับการเรียบเรียง เนื้อหา โดยการเขียนรายการอางอิงสามารถทําไดหลายวิธี แตในที่น้ีจะกลาวถึงเฉพาะการเขียนรายการอางอิง แบบนาม – ป (Author – Date) 1) วธิ กี ารเขียนรายการอางอิง แบบนาม – ป (Author – Date) เปนการเขียนอางอิง ไวใ นวงเลบ็ ตอ เนือ่ งกับขอ ความท่ยี กมา ปจ จบุ นั นิยมใชวิธีนเ้ี พราะเขยี นไดง ายกวาวิธีอื่น การเขียนอา งองิ แบบนาม – ป นี้ มีลกั ษณะการอา งองิ แทรกในเน้ือหา ซง่ึ ทําได 3 รปู แบบคอื 1.1) การอางอิงโดยเนน ทผ่ี แู ตง 1.2) การอา งอิงโดยเนนเนือ้ หาสาระท่ตี อ งการอา งอิง 1.3) การอางอิงโดยใชเ อกสารอันดับรอง ตัวอยาง การอางอิงโดยเนนที่ผูแตง วัฒนา กอ นเชือ้ รัตน (2536 : 56) ไดแ นะนําวิธีการปองกัน........................... อปั สร บญุ ประดบั (2533 : 56) ไดแ นะนาํ วิธีการปองกนั ............................. ....ฮอรโมนสังเคราะหพวกเอสโตรเจนในยาคุมกําเนิด เปนสาเหตุทําใหเกิดความดันเลือดสูง แตเ คย (Kay, 1977 : 1-24) พบวา................................ ....จากบทความ “อันตราย : ปดตลาดแรงงานสิงคโปร คําเตือน จาก สภาท่ี ปรึกษา” (2533 : 3) ไดระบถุ งึ .............................................................. . . . . จ า ก ร า ย ง า น ข อ ง วี ร ะ ศั ก ดิ์ จ ง สู วิ วั ฒ น ว ง ศ ( 2 5 2 6 ) ร ะ บุ ว า ใ น ร อ บ 30 ป มาน.้ี ..................................................................................................... ....ศิลาจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาขอมอายุประมาณ พ.ศ. 800-1000 ประสาร บุญ ประกอบ (สมั ภาษณ, 7 กันยายน 2541) ใหข อมลู วา.............. ตวั อยา ง การอางองิ โดยเนนเน้อื หาสาระ ....ผลการวิจัย เรื่อง ระบบการบริหารงานวิชาการท่ีสัมพันธกับพฤติกรรม การสอนของครู
Search