Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ การจัดการเรียนการสอนเพื่องานวิจัย

คู่มือ การจัดการเรียนการสอนเพื่องานวิจัย

Published by rawissara2018, 2020-04-28 05:15:52

Description: คู่มือ การจัดการเรียนการสอนเพื่องานวิจัย

Search

Read the Text Version

คูมือ การเขยี นรายงานการวจิ ยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพ การจดั การเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร

ก คํานาํ คูมือการเขียนรายงานการวิจยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศึกษาเลม นี้ จัดทําขึ้น เพ่ือใหครูผูสอนสามารถนํากระบวนการแกปญหา หรือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดขึ้นในหองเรียน มาใชในการนําเสนอผลการแกปญหา หรือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ในรูปแบบของรายงานการวิจัยได เนื่องจากการเขียนรายงานการวิจัย เปนข้ันตอนการนําเสนอผลจากการศึกษา คนควา อยางเปนระบบ สามารถ เผยแพรและนําไปใชประโยชน เกิดคุณคาดานวิชาการและวิชาชีพ และเปนประโยชนตอการยกระดับหรือพัฒนา วชิ าชีพใหม ีมาตรฐานสูงข้ึน คูมือการเขียนรายงานการวจิ ัยเพื่อพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศกึ ษา ประกอบดวย 3 สวน ไดแก สวนที่ 1 บทนํา ประกอบดวย จุดมุงหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษา แหลงท่ีมาของปญหาการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา การวิเคราะหสภาพปญหา เพื่อกําหนดหัวขอวิจัย การออกแบบวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สิบคําถามสําหรับการวางแผนการวิจัย และแนวทางในการประเมินผลงานวิจัย สวนท่ี 2 รูปแบบรายงานการวิจัยเพื่อ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ประกอบดวย จุดมุงหมายของการเขียนรายงานการวิจัย ความสําคัญของรายงานการวิจัย ลักษณะสําคัญของรายงานการวิจัยการประเมินคุณภาพของรายงานการวิจัย องคประกอบของรายงานการวจิ ัยเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศกึ ษา และรปู แบบรายงานการวิจัย เพ่ื อพั ฒ น าคุณ ภ าพ การจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษ า แล ะสวน ท่ี 3 แน วท างการเขียน รายงาน การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ประกอบดวย แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย สวนนํา แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยสวนเนื้อเรื่อง แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยบทที่ 1 บทนํา แนวทาง การเขียนรายงานการวิจัยบทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ แนวทางการเขียนรายงานการวิจัยบทที่ 3 วธิ ดี าํ เนนิ การวิจัย แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยบทท่ี 4 ผลการวเิ คราะหข อมลู แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัย บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอเสนอแนะ แนวทางการเขียนบรรณนุกรม ภาคผนวก ขอบกพรองที่ทําใหการเขียน รายงานการวิจัยไมมีคุณคา ซ่ึงครูผูสอนสามารถใชเปนแนวทางในการพัฒนาทักษะการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจดั การเรยี นการสอนของตนเองได สํานกั มาตรฐานการอาชีวศกึ ษาและวชิ าชพี สํานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา

ข สารบัญ หนา คาํ นาํ ………………………………………………………………………………………………………………………………….…………................ก สารบญั ……………………………………………………………………………………………………………………………………….……............ข สวนท่ี 1 บทนาํ ……………………………………………………………………………………………………………………..........................1 จดุ มุง หมายของการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศกึ ษา……………….........................1 แหลง ทม่ี าของปญหาการวจิ ยั เพื่อพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา…………………...........................1 การวิเคราะหส ภาพปญ หาเพื่อกําหนดหัวขอ วิจัย…………………………………………………………….........................2 การออกแบบวจิ ยั เชิงปฏบิ ัตกิ ารเพือ่ พัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอนอาชวี ศกึ ษา…….........................5 สิบคาํ ถามสาํ หรับการวางแผนการวจิ ัย……………………………………………………………........................................9 แนวทางในการประเมินผลงานวจิ ยั ……………………………………………………………………………….......................10 สว นที่ 2 รูปแบบรายงานการวจิ ยั เพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา……….........................16 จุดมงุ หมายของการเขยี นรายงานการวจิ ยั ………………………………………………………………………......................16 ความสาํ คัญของรายงานการวิจัย…………………………………………………………………………………….....................16 ลกั ษณะสาํ คญั ของรายงานการวจิ ัย……………………………………………………………………………….......................16 การประเมินคณุ ภาพของรายงานการวิจยั ………………………………………………………………………......................17 องคประกอบของรายงานการวจิ ัยเพอื่ พฒั นาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา…........................17 รูปแบบรายงานการวจิ ยั เพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา………………….....................18 สว นท่ี 3 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยเพื่อพฒั นาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา…..............37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยสว นนาํ ………………………………………………………………………......................37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ยั สว นเนือ้ เรอ่ื ง…………………………………………………….................................37 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ยั บทท่ี 1 บทนาํ ……………………………………………………………......................37 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ กย่ี วของ………………………......................46 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัย บทท่ี 3 วธิ ดี าํ เนินการวิจัย………………………………………….......................48 แนวทางการเขียนรายงานการวิจัย บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอมลู ……………………………………......................50 แนวทางการเขยี นรายงานการวิจัย บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและขอเสนอแนะ………………….......................52 แนวทางการเขียนบรรณานุกรม……………………………………………..........…………………………….........................56 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………………………………..........................59 ขอ บกพรองที่ทําใหการเขียนรายงานการวจิ ยั ไมม ีคุณภาพ……………………………………………...........................59 เอกสารอางองิ ……………………………………………………………………………………………………………….................................63 ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………………………..................................64

สวนท่ี 1 บทนํา 1. จดุ มุงหมายของการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจดั การเรียนการสอนอาชีวศกึ ษา การวิจัยคือการคนควาเพ่ือหาขอมูลตามหลักวิชาการอยางมีระบบแบบแผน การวิจัยโดยท่ัวไปมี จุดมุงหมาย ท่ีหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยูกับศาสตรและธรรมชาติของสาขานั้นๆ มีนักวิชาการแบงจุดมุงหมายของ การวิจัยทางการศึกษาไวแตกตางกันตามมุมมองของแตละบุคคล เชน นิภา ศรีไพโรจน ไดแบงจุดมุงหมาย การวิจัยไว 5 ประเภท ไดแก เพื่อการทํานาย อธิบาย บรรยาย ควบคุมและพัฒนาและ สมบัติ ทายเรือคํา ที่แบงจุดมุงหมายการวิจัยออกเปน4ประเภท ไดแก เพื่อบรรยาย อธิบาย ทํานาย ไปสูการควบคุม สวนพวงรัตน ทวีรัตน ไดแบงจุดมุงหมายการวิจัยออกเปน 3 ประเภท ไดแก เพ่ือแกปญหา เพ่ือสรางทฤษฏี และเพื่อพิสูจน ทฤษฏี ทั้งนี้เมื่อพิจารณาเกี่ยวกับลักษณะงานวิจัยเพื่อการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สามารถจําแนกจุดมุงหมายของการวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา ออกเปน 3 ประเภทดังน้ี 1.1 เพ่ือแกปญหาหรือพัฒนา เปนการหาทางแกปญหาหรือพัฒนากระบวนการ กิจกรรมตาง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งจะเห็นไดวาในกระบวนการจัดกิจกรรม จัดการเรียนการสอนนั้นจะมี ประเด็นปญหาตาง ๆ เกิดข้ึนมากมาย ซ่ึงสวนใหญเปนปญหาที่ปรากฏและแสดงออกมาของผูเรียน ทั้งในดาน วิชาการ ทักษะ คุณลักษณะท่ีพึงประสงค ซ่ึงตองอาศัยกระบวนการวิจัยมาใชในการแกปญหาหรือพัฒนาประเด็น ตาง ๆ ท่ีเกิดขึ้นดวยวิธีการที่เหมาะสมและเปนระบบ เพื่อใหไดขอสรุปท่ีถูกตองและชัดเจน อันนําไปสูการ แกปญหาหรือพัฒนาการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษาที่มปี ระสิทธภิ าพ 1.2 เพ่ือสรางทฤษฏี เนื่องจากในธรรมชาติมีความรู ความจริงท่ีดํารงอยูหรือเกิดข้ึนตลอดเวลา จึงจําเปนตองมีการสรางองคความรูเหลาน้ันไวในเชิงทฤษฏี โดยเฉพาะการจัดการเรียนการสอนที่เกี่ยวของกับ พฤติกรรมของผูเรียน ท่ีจําเปนตองนําผลท่ีไดจากการวิจัยไปใชในการบรรยายสภาพและลักษณะของประเด็น ปญหาตาง ๆ ทีเ่ กดิ ข้นึ นัน้ มีสภาพและลักษณะอยา งไรและใชอ ธิบายปญหาหรือเหตุการณตางๆที่ยังไมทราบสาเหตุ วาสิ่งใดเปนสาเหตุท่ีทําใหเกิดผล หรือสิ่งใดเปนผลที่ทําใหเกิดสาเหตุน้ันๆ หรือการทํานายผลท่ีไดจากการวิจัย วา สามารถนําไปใชพยากรณ หรือทาํ นายเหตุการณในอนาคตไดวามีอะไรเกิดขึ้นหรือมีแนวโนมอยางไร เพ่ือเตรียม ตัวรับสถานการณไวลวงหนา ตลอดท้ังการควบคุมเพ่ือนําผลที่ไดจากการวิจัยไปวางแผนหรือกําหนดวิธีการ ในการควบคุมสิง่ ตา ง ๆ ใหม ีประสทิ ธิภาพย่งิ ขึ้น 1.3 เพ่ือพิสูจนทฤษฏี เนื่องจากทฤษฏีตาง ๆ ท่ีเก่ียวของการการจัดการเรียนการสอนนั้นสามารถ เปล่ียนแปลงไดภายใตกฎเกณฑธรรมชาติ จึงจําเปนตองมีการตรวจสอบวาขอคนพบท่ีเปนขอสรุปท่ีมีมากอนนั้น ยังคงถูกตองอยูหรือไม ถาหากไมถูกตองก็จะตองสรางทฤษฏีใหมจากความจริงท่ีปรากฏ เชน ทฤษฎีสรางสรรค นยิ ม (constructivism) ทฤษฎีพหปุ ญญา(multiple intelligence) แมว า การวจิ ยั เพ่ือการพฒั นาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนจะมีขอบเขตของจุดมงุ หมายการวิจัยเสมือน การวิจัยทั่วไป แตจุดมุงหมายหลักของการวิจัยเพ่ือการพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนน้ัน เปนไปเพ่ือ การแกปญหาหรือพัฒนากระบวนการจัดการเรียนการสอนท่ีเกิดขึ้นจริงในชั้นเรียน นักการศึกษาสวนใหญ จงึ มักเรยี กการวิจยั เพอ่ื การพฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอนวาการวิจยั ในชั้นเรยี น 2. แหลงทม่ี าของปญหาการวจิ ยั เพื่อพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา หัวขอเรื่องหรือการกําหนดปญหาการวิจัยในการวิจัย เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา จะเปนประเด็นปญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรูของครู ดังน้ันที่มาของหัวขอเรื่อง

2 หรือการกําหนดปญหาการวิจัยสวนใหญ จึงมาจากผลการจัดการเรียนการสอนท่ีปรากฏในบันทึกหลังสอน แตเพ่ือใหกรอบของการกําหนดหัวขอเรื่อง หรือการกําหนดปญหาการวิจัยเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอน อาชีวศึกษามีมุมมองที่กวางขึ้น สามารถจําแนกที่มาของการกําหนดหัวขอเรื่องหรือกําหนดปญหาการวิจัย เพือ่ พัฒนาการจดั การเรียนการสอนอาชีวศึกษาไวดงั น้ี 2.1 จากบันทึกหลังการสอน เปนปญหาการวิจัยท่ีเกิดข้ึนจากการจัดการเรียนการสอนของผูวิจัย และผูวิจัยตองการคนหาวิธีการท่ีจะแกปญหานั้น ๆ โดยการนําปญหามาตั้งเปนหัวขอวิจัย เพ่ือแสวงหา นวัตกรรมใหม ๆ ที่นาสนใจและมีหลักฐานทางการวิจัยท่ีสําคัญวาจะสามารถนํามาวิจัยกับบริบทของตนเองได ซึ่งเปนแนวทางที่ครูผูสอนทําการวิจัย เพ่ือแกปญหาหรือพัฒนาการเรียนรูของผูเรียนในช้ันเรียนระหวางการจัด การเรียนการสอน เพอื่ นําผลท่ีไดมาปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนของตนเอง ซ่ึงหลักการดังกลาวน้ีเปนแนวคิด ของการวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการในช้ันเรียน (classroom action research) 2.2 จากรายงานการวิจัย เปนปญหาการวิจัยท่ีเกิดจากความสนใจของผูวิจัยท่ีตองการศึกษาทํา ความเขาใจ และตองการหาคําตอบ โดยการศึกษารายงานการวิจัยของบุคคลอ่ืนท่ีเสร็จสมบูรณแลว โดยเฉพาะ อยางยิ่งประเด็นขอเสนอแนะจากรายงานการวิจัย ซึ่งเปนแหลงขอมูลสําคัญในการไดมาของหัวขอเรื่องหรือ การกาํ หนดปญหาการวิจัยเพอื่ พัฒนาการจัดการเรียนการสอนอาชวี ศึกษา 2.3 จากการพัฒนาหลักสูตร เปนปญหาการวิจัยที่เกิดจากการที่ครูผูสอนพัฒนาหลักสูตร รายวิชา เพ่ือใหทันตอการเปล่ียนแปลงหรือความกาวหนาทางวิทยาการตาง ๆ จึงเปนประเด็นที่ครูผูสอนสามารถ นํ า ม า ใ ช กํ า ห น ด หั ว ข อ เ รื่ อ ง ห รื อ ก า ร กํ า ห น ด ป ญ ห า ก า ร วิ จั ย เ พื่ อ ค น ห า น วั ต ก ร ร ม ใ น ก า ร แ ก ป ญ ห า ห รื อ พฒั นาการจัดการเรยี นการสอน 3. การวิเคราะหส ภาพปญหาเพ่ือกําหนดหวั ขอวิจยั เพอ่ื พฒั นาการจดั การเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา การวิเคราะหสภาพปญหาเพ่ือกําหนดหัวขอวิจัย เปนความพยายามของผูวิจัยในการจําแนก แจกแจง แยกแยะ และการมองเห็นส่ิงสําคัญที่เปนปจจัยสัมพันธและสงผลตอปญหาในการจัดการเรียนการสอน สภาพปญหาและหัวขอปญหาเปนประเด็นท่ีเกี่ยวเนื่องกัน สภาพปญหาเกิดขึ้นกอนหัวขอปญหา สภาพปญหา ตองอาศัยการบรรยายใหเกิดความเขาใจ สวนหัวขอปญหาเกิดจากการนําเอาตัวแปรมาเก่ียวของ ดงั นัน้ หวั ขอ ปญ หาหรอื ชือ่ ปญหาจึงมใี จความสนั้ กระชบั กวา สภาพปญ หา ในการวิเคราะหสภาพปญหาการจัดการเรียนการสอน จึงมักเร่ิมจากการบรรยายสภาพปญหา ทเี่ กิดขนึ้ ซ่งึ เรมิ่ ตน จากการมองปรากฏการณท เี่ กิดขึ้นในหอ งเรียน หรือสิ่งท่ีเกิดขึ้นกับผูเรียน ซ่ึงเปนปญหาท่ีสงผล ใหการเรียนการสอนไมบรรลุเปาหมาย การวิเคราะหสภาพปญหาในหองเรียนจึงเปนข้ันตอนสําคัญ ที่จะตองพิจารณาวามีอะไรเกิดขึ้นกับการจัดการเรียนการสอนหรือไม หากปญหาน้ันมีหลายประการ ตองเรียงลําดับสําคัญกอนหลังอยางไร วิธีวิเคราะหสภาพปญหามีหลากหลายวิธี แตในท่ีน้ีเสนอแนวทาง ในการวิเคราะหสภาพปญ หา ดงั นี้ 3.1 วิธีวิเคราะหโดยการใชคําถาม การวิเคราะหโดยวิธีนี้จะใชคําถามเก่ียวกับสภาพปญหาท่ีเกิดขึ้นใน การจัดการเรียนการสอน โดยมคี าํ ถาม ดงั น้ี (สุวิมล วอ งวาณชิ ) 3.1.1 ปญ หาทเี่ กดิ ขน้ึ คอื อะไร 3.1.2 ปญ หาที่เกดิ ขนึ้ เปน ปญหาของใคร 3.1.3 ปญ หาทีเ่ กิดขึน้ สงผลกระทบตอใคร อะไรบาง 3.1.4 ปญหาทเี่ กดิ ขึ้นสาํ คัญระดับใด เม่อื เทียบกับปญ หาอน่ื ปญ หาใดสําคัญกวากนั 3.1.5 ปญหาที่เกดิ ขน้ึ เก่ยี วของสมั พนั ธกับปญ หาหรือเหตุการณอ ืน่ ๆ อะไรบาง อยางไร 3.1.6 ใครเปนผรู ับผิดชอบในการแกปญ หาดงั กลา ว และการแกปญ หาเหลา นัน้ เกยี่ วขอ งกบั ใคร หรอื ไม

3 3.2 วิธีวิเคราะหโดยใชแผนภาพความคิด การวิเคราะหโดยวิธีนี้จะใชแผนผังความคิดเขามาเปน สวนประกอบในการวิเคราะห โดยใหกําหนดปญหาจากการจัดการเรียนการสอน ซึ่งอาจจะเปนดานพุทธิพิสัย จิตพิสัย หรอื ทักษะพสิ ยั แลวใหระบุสาเหตุของปญหา ซึ่งปญหาการจัดการเรียนการสอนมี 3 ระดับ ประกอบดวย ระดับปจจัยหรือส่ิงจําเปนพ้ืนฐานในการจัดการเรียนการสอน เชน ลักษณะผูเรียน ครู ชุมชน สังคมรอบขาง เปนตน ระดับกระบวนการจัดการเรียนการสอน เชน กระบวนการพัฒนาหลักสูตร การจัดกิจกรรมการเรียนรู และระดบั ผลผลิต ไดแ ก คณุ ภาพท่เี กดิ ขน้ึ กบั ผเู รียน การวิเคราะหปญหาการจัดการเรียนการสอน โดยพิจารณาจากปรากฏการณที่เกิดข้ึนในหองเรียน รองรอย หลักฐาน ที่เก่ียวของกับการจัดการเรียนการสอน เชน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผูเรียน ผลการวัด และประเมินผลจุดประสงคการเรียนรู การทําแบบฝกหัดของผูเรียน ผลการตรวจผลงานของผูเรียน ผลจาก การสอน เมื่อไดศึกษาปญหาการจัดการเรียนการสอนและพบปญหาที่แทจริงแลว ตองศึกษาวิเคราะหหาสาเหตุ ของปญหาน้ันวาเกิดจากสาเหตุใด ซ่ึงอาจเกิดจากตัวครู ผูเรียน ผูบริหารสถานศึกษา ส่ือหรือวิธีสอน ฯลฯ แลว นํามาจัดลําดบั ความสําคัญหรือความตองการจาํ เปน ในการพัฒนาดังตวั อยางการวิเคราะหด ังน้ี วิธีวเิ คราะหโดยใชคําถาม สภาพปญหา : จากการพิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตรชางอุตสาหกรรม เร่ือง สมการ ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางยนต พบวา โดยเฉลี่ยมีผลสัมฤทธิ์ไมผานเกณฑที่ครูผูสอน กําหนด และเม่ือพิจารณาเปนรายบุคคล พบวา นักเรียนมีคะแนนแตกตางกันมาก เม่ือพิจารณารองรอยหลักฐาน จากแบบฝกหัด นักเรียนมีการลอกแบบฝกหัดกัน นักเรียนบางคนอานโจทยไมออก และนักเรียนเกงบางคน กร็ วมกลมุ กันทํางานรว มกัน 1) ปญ หาที่เกิดขึ้นคอื อะไร - ผลสัมฤทธ์ติ าํ่ การลอกการบาน การทํางานรวมกัน 2) ปญหาทีเ่ กิดขึ้นเปน ปญหาของใคร - นกั เรยี น ครูผสู อน 3) ปญหาท่เี กิดข้ึนสงผลกระทบตอ ใคร อะไรบาง - นักเรียนขาดพ้ืนฐานในการเรียนในระดับที่สูงขึ้น ขาดทักษะการทํางานรวมกัน ครูผูสอน มีปญ หาในการสอนเน้อื หาทเี่ กย่ี วขอ ง 4) ปญหาท่เี กิดขึ้นสําคญั ระดับใด เม่ือเทยี บกับปญหาอนื่ ปญ หาใดสาํ คัญกวา กนั - สาํ คญั มาก เพราะการแกสมการ และทักษะการทํางานรว มกันมจี าํ เปน สาํ หรบั นกั เรยี นมาก ในอนาคต 5) ปญ หาท่เี กดิ ขน้ึ เก่ยี วขอ งสมั พนั ธกบั ปญ หาหรอื เหตุการณอ ่ืน ๆ อะไรบาง อยา งไร - ครูไมมีวธิ สี อนท่ีกอ ใหเกิดผลสมั ฤทธแิ์ ละการทํางานรว มกันทีด่ ี 6) ใครเปนผูรับผิดชอบในการแกปญหาดังกลาว และการแกปญหาเหลานั้นเก่ียวของกับ ใครหรอื ไม - ครคู ณิตศาสตร ครูภาษาไทย นกั เรยี นกลุมเปา หมาย

4 วิธีวิเคราะหโดยใชแผนภาพความคิด นาํ สภาพปญหาดังที่กลา วมาแลวมาวิเคราะหโดยใชแ ผนภาพความคิด ไดด งั นี้ อา่ นไม่ ผลสมั ฤทธ์ิตํา่ ขาดการทํางานร่วมกนั กิจกรรมไมเ่ หมาะสม เบ่อื ปัจจยั กระบวน วธิ ีสอนไม่ คณิตศาสตร์ จํานวนนกั เรียน เหมาะสม สอ่ื ไมช่ ่วยให้เกดิ การเรียนรู้ จากแผนภาพดังกลาวแสดงใหเ หน็ วา ปญหาดานผลสัมฤทธิ์ตาํ่ และขาดการทาํ งานรวมกันอาจเกิดจากดาน ปจจยั ไดแ ก ปญ หาดา นการอานของนกั เรยี นทาํ ใหไ มสามารถเขาใจโจทยปญหา ประกอบกับเจตคติเดิมท่ีมีตอวิชา คณิตศาสตร หรือจํานวนนักเรียนที่มากเกินไป สวนดานกระบวนการอาจเกิดจากครูไมมีวิธีการสอนที่เหมาะสม ขาดสือ่ ทน่ี าสนใจ หรอื ไมมีกจิ กรรมท่ีหลากหลาย ผลจากการวิเคราะหสภาพปญหาดังกลาวขางตน จะนําไปสูการกําหนดคําถามการวิจัยที่สอดคลองกับ สภาพการจัดการเรียนการสอน ทําใหผูวิจัยสามารถเลือกวางแผนในการวิจัยไดอยางถูกตองและเหมาะสม เพราะจะทําใหทราบวาปญหาใดเรงดวนที่ตองทําวิจัยกอนหลัง ทําใหทราบวาจะตองเกี่ยวกับใคร และกลุมเปา หมายคือใคร หลังจากการวิเคราะหส ภาพปญหาท่ชี ัดเจนแลว สิง่ ทีป่ รากฏข้ึนของข้ันตอนน้ีอีกประการ หนึ่งคอื การไดต วั แปรในงานวิจยั ทีช่ ัดเจน 3.3 การกําหนดหวั ขอ การวจิ ยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพอ่ื พฒั นาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชีวศึกษา กําหนดหัวขอ วจิ ยั ปจจยั สําคญั ท่นี ักวจิ ยั ตองคํานึงถึงในการกําหนดหัวขอวิจัย ไดแก หัวขอวิจัยที่ กําหนดจะตองแสดงใหเห็นตัวแปรท่ีศึกษา ขอบเขต วิธีดําเนินการวิจัยหรือรูปแบบการวิจัย เปนตน การวิจัยเชิง ปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา เปนการวิจัยเพื่อการแกปญหาหรือพัฒนา คุณภาพการจัดการเรียนการสอน เพื่อสงเสริมการเรียนรูของผูเรียน ดังน้ันในการกําหนดหัวขอการวิจัยเชิง ปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา จึงควรมีลักษณะของการแกปญหาและ การพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนของครู ซึ่งสามารถกําหนดเปนรูปแบบเชิงโครงสรางของการกําหนดหัวขอการ วจิ ัยไดดงั น้ี “การแกป ญ หา / การพัฒนา…..(ระบุประเด็นหรือหัวขอท่ีตองการแกปญหา / พัฒนา)…… (ระบทุ ํากับใคร เมื่อไร)….(ระบุทําอยา งไร/วธิ กี าร/เครอ่ื งมือวิจยั )……” ตัวอยา ง ท่ี 1 “การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษา ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา ชางกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผ งั ความคดิ วเิ คราะหต นเอง” ตวั อยา ง ท่ี 2 “การแกปญ หาดา นคุณธรรมและจริยธรรม 5 ประการ ในรายวิชามารยาทและการสมาคมของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา การบัญชี โดยใชแ บบบันทกึ พฤตกิ รรมรายบคุ คล” 4. การออกแบบวิจยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศึกษา

5 การวิชยั เชงิ ปฏบิ ตั ิการเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรียนการสอนอาชวี ศึกษา หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ในชั้นเรียน (classroom action research) เปนการวิจัยท่ีผสู อนเปนผูดําเนินการ โดยการศึกษาวิเคราะหแสวงหา ขอมูล หรือพยายามดึงปญหาในการเรียนการสอนออกมา และแสวงหาวิธีการเพ่ือแกปญหาดังกลาวดวย กระบวนการทีเ่ ชอื่ ถือได แลวนําผลที่ไดไปแกปญหาหรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนการสอน ในช้ันเรียนทก่ี ําลังดําเนนิ การอยใู หมีคณุ ภาพ และประสิทธิภาพดยี ่ิงขึ้น ซึ่งผลของการวิจัยอาจเกิดประโยชนเฉพาะ ตอปญหานั้นในเวลานั้นเทานั้น อาจไมเกิดประโยชนตอปญหาอ่ืนก็ได การวิชัยเชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) จึงมลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงตา งจากการวจิ ัยทางการศึกษาทัว่ ๆ ไป 4.1 เปา หมายการออกแบบการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารดา นการสอน เปาหมายหลักท่ีสําคัญของการออกแบบการวิจัยดังกลาวจึงมีเปาหมายเพ่ือใหไดความเที่ยงตรง ภายในวาการออกแบบดังกลาวกอใหเกิดผลของการวิจัยที่เท่ียงตรงหรือไม ซ่ึงอาศัยการวัดที่หลากหลาย ที่สอดคลองกับความเปนจริง ดังน้ันเปาหมายที่สําคัญในการออกแบบวิจัยเชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพ การจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน (classroom action research) จงึ มีเปาหมายทีส่ ําคัญ ดังน้ี (สวุ ัฒนา สวุ รรณเขตนิยม. 2540, พิมพันธ เดชะคปุ ต. 2546) 4.1.1 ผเู รยี นจะมกี ารเรียนรทู ่ีมีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพยิง่ ข้นึ 4.1.2 ชวยใหค รมู ีวิถีชวี ิตการทํางานอยา งเปนระบบ เห็นผลการปฏบิ ตั กิ ารสอนที่ชดั เจน มีการตัดสนิ ใจทม่ี คี ุณภาพ ชว ยพฒั นาสมรรถนะไปสคู วามเปน ครูมอื อาชพี (professional teacher) 4.1.3 ชวยทําใหเกดิ การพัฒนาท้ังตัวผูเรียนและผูสอนอยางตอเน่ือง โดยเกิดการเปล่ียนแปลง ผานกระบวนการวิจัยในงานที่ปฏิบัติ ซ่ึงเปนประโยชนตอองคกรเน่ืองจากนําไปสูการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการ ปฏบิ ัติและการแกปญหา 4.1.4 เปน การสรางชมุ ชนแหงการเรียนรูนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงหรือสะทอนผล การทํางาน 4.1.5 ทําใหค รเู ปน ผนู าํ การเปลีย่ นแปลง (change agent) 4.2 หลักการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัย เชิงปฏิบตั ิการในช้ันเรียน (classroom action research) หลักการที่สําคัญในการออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียน การสอนอาชีวศึกษาหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) นําเสนอใหเห็น ความแตกตา งกับงานวจิ ัยทางการศึกษาทวั่ ไป ดังตารางตอ ไปน้ี ประเดน็ การวิจัยเชงิ ปฏิบตั ิการในชน้ั เรียน การวจิ ยั ทางการศกึ ษาทว่ั ไป 1.ผูทาํ วจิ ัย ครู นักวจิ ยั ทางการศึกษา 2.จดุ มงุ หมาย พัฒนาหรือแกปญ หาการเรยี นการสอน พฒั นาการศึกษา 3.การเลอื กปญหา จากการปฏบิ ตั ิงานของครู ศึกษาจากทฤษฎี การวจิ ยั 4.ขอบเขต แคบ กวา งใหญ 5.กลุมที่ศึกษา ผูเรยี นในช้นั เรียน ใชการสมุ กลมุ ตัวอยา ง ประเดน็ การวิจยั เชิงปฏิบัติการในช้ันเรยี น การวจิ ัยทางการศกึ ษาทั่วไป

6 6.วิธีการ ครใู ชการเช่อื มโยงการทาํ งานของตนจนเกิดทฤษฎี นกั วิจัยใหทฤษฎีทางการศึกษาและงาน เชื่อมโยงทฤษฎีทางการศกึ ษากบั การทํางานของตน วิจัยอน่ื ท่เี ก่ยี วของเปนกรอบการวจิ ยั 7.กระบวนการวัด ใชว ธิ ีการอยา งงาย หลากหลาย มรี ะบบแบบแผนรัดกมุ 8.การวิเคราะหข อมลู ใชสถิติพ้ืนฐานเสนอผลแบบงา ยเนนทผี่ ลการ ใชส ถิตขิ น้ั สงู หรือมีความยงุ ยาก ปฏบิ ตั ิอิงขอ มูลเชงิ คุณลกั ษณะมากกวา อิงสถิตแิ ละขอ มูลเชงิ ปรมิ าณมากกวา 9.การใชผลการวจิ ัย เนนการแกไ ขก ารปฏบิ ัตงิ าน เนนการสรางทฤษฎีใหม 4.2 วิธีการออกแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา หรือการวิจัยเชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในช้ันเรยี น (classroom action research) การออกแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน (classroom action research) สวนใหญพัฒนามาจากข้ันตอนของ Action Research ท่เี สนอโดย Kemmis & Mctaggart.1990(ยาใจ พงษบ ริบรู ณ. 2537) ซง่ึ มขี ั้นตอนดังนี้ ขั้นท่ี 1 ข้ันวางแผน (plan) เริ่มตนดวยการสํารวจปญหาที่ตองการใหมีการแกไข โดยมีการ ปรกึ ษารวมกันระหวางผูเกี่ยวของ การใชแนวคิดวิเคราะหสิ่งท่ีเกี่ยวของกับปญหา ทําใหมองเห็นสภาพของปญหา ชัดเจนขึน้ ขนั้ ที่ 2 ขั้นปฏิบัติ (act) เปน การดาํ เนินการตามแผนทวี่ างไว ขั้นที่ 3 ข้ันสังเกตการณ (observe) เปนการใชเทคนิควิธีตางๆ ท่ีเหมาะสมมาชวยในการ รวบรวมขอมูล ในขณะท่ดี ําเนินกิจกรรมตามท่ีวางไว ขั้นที่ 4 ขั้นสะทอนผลการปฏิบัติ (reflect) เปนการประเมินตรวจสอบกระบวนการแกปญหา ท่เี กิดข้ึนเพ่ือใหไ ดขอ มลู ท่จี ะนาํ ไปสูการปรับปรงุ และวางแผนการปฏิบตั ิตอไป สุวิมล วองวาณิช (2544) ไดสรุปวิธีการทําวิจัยเชิงปฏิบัติการ โดยอธิบายวาการทําวิจัย เชงิ ปฏบิ ัตกิ ารในชนั้ เรียนบางครัง้ อาจมีการแทรกส่ิงทดลอง (intervention) ระหวางการพัฒนากระบวนการเรียนรู ซ่ึงหมายถึงการนําแนวคิดใหมหรือวิธีการใหมๆ มาทดลองใชหรือแทรกระหวางการเรียนการสอน ตัวอยางการ แทรกสิ่งทดลองระหวางการเรียนการสอน เชน การนําวิธีการจัดกิจกรรมท่ีเนนผูเรียนเปนสําคัญมาใช เพือ่ พฒั นาการเรยี นรขู องผูเรยี น วิธกี ารท่ีครูใชไมว า เปนการเลนเกมส การใหแรงเสริมรูปแบบตางๆ ถือวาเปนสิ่งที่ ผวู ิจยั แทรกเขา ไปใหม จะแสดงใหเหน็ วาเดมิ ครูมีการจัดสภาพการเรียนรูอยางไร และเมื่อทําการศึกษาวิจัยในรอบ แรก พบวาวิธีการเดิมๆ ที่ใชอยูไมคอยประสบความสําเร็จ (วงจรที่ 1) จึงคิดคนวิธีการใหมมาแทรกระหวา งการเรียนการสอนแลวมุงสิ่งท่ีเกิดข้ึนตามมา (วงจรท่ี 2) หลักการสะทอนผลกลับ หากเห็นวาจําเปนตองปรับ วิธกี ารใหมก ็นาํ วิธที ปี่ รบั นนั้ ไปทดลองใชใหม (วงจรท่ี 3) ทั้งน้ีขึ้นอยูกับปญหาหรือคําถามวิจัยที่กําหนดข้ึน ดังภาพ ที่ 1.1

7 การปรับปรุง การวางแผน การปฏิบตั ิ วเิ คราะห์ สภาพปัญหา การประเมนิ การปรับปรุง การวางแผน การปฏบิ ตั ิ ทดลอง วิธีแก้ปัญหา การประเมนิ การปรับปรุง การวางแผน การปฏิบตั ิ ทดลอง วธิ ีแก้ปัญหา การประเมนิ ภาพที่ 1.1 วงจรการทาํ วจิ ยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารเพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการจัดการเรียนการสอน หรอื การวจิ ัยเชิงปฏบิ ตั ิการในชน้ั เรียน (สวุ ิมล วอ งวาณิช.2544 : 44) นงลักษณ วิรัชชัย (2545) พิมพันธ เดชะคุปต (2545) ไดกลาวถึงขั้นตอนการวิจัย เชิงปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน โดยนําเอา ข้ันตอนของการวิจัยปฏิบัติการ (action research) ไปเปรียบเทียบกับวงจรพัฒนาคุณภาพงาน พบวามี ความสอดคลองกันดังน้ี P-D-C-A เปนวงจรพัฒนาคุณภาพงาน เปนวงจรพัฒนาพื้นฐานหลักของการพัฒนาคุณภาพ ท้ังระบบ (Total Quality Management : TQM) ผูที่คิดคนกระบวนการหรือวงจรพัฒนาคุณภาพ (PDCA) คือ Shewhart นักวิทยาศาสตรชาวอเมริกัน แต Deming ไดเผยแพรท่ีประเทศญ่ีปุนจนประสบผลสําเร็จ จนผลักดันใหญี่ปุนเปนประเทศมหาอํานาจโลก คนท่ัวไปจึงรูจักวงจร PDCA จากการเผยแพรของ Deming จึงเรียกวา วงจร Deming วงจร PDCA ประกอบดว ยขัน้ ตอนดงั ตอไปน้ี 1) วางแผน (Plan-P) คือ การทํางานใดๆ ตองมีขั้นการวางแผน เพราะทําใหมีความม่ันใจวา ทาํ งานไดส าํ เร็จ เชน วางแผนการสอน วางแผนการวิจัย ซึ่งในการวางแผนนั้นมีประเด็นคําถามสําคัญที่ผูทําหนาท่ี วางแผนควรหาคําตอบ ไดแก ทําทําไม ทําอะไร ใครทํา ทํากับกลุมเปาหมายใดหรือใคร ทําเวลาใด ทําท่ีไหน และทําอยางไร ใชงบประมาณเทาไร การวางแผนวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอน หรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียนก็เชนเดียวกันท่ีผูวางแผนวิจัยจะตองวางแผนตามประเด็นคําถาม Why, What และ How

8 2) การปฏิบัติ (Do-D) เปนข้ันตอนการลงมือปฏิบัติตามแผนท่ีวางไว การวิจัย เชิงปฏิบัติการเพือ่ พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน ตามแผนการวิจัย คือ การลงมือเก็บรวบรวมขอมูลเพอื่ ตอบปญ หาการวิจัยในแผนท่ีวางไว 3) ตรวจสอบ (Check-C) เปนข้ันตอนของการประเมินการทํางานวาเปนไปตามท่ีวางไว หรือไม มีเร่ืองอะไรบางท่ีสามารถปฏิบัติไดตามแผน มีเร่ืองอะไรบางท่ีไมสามารถปฏิบัติไดตามหรือปฏิบัติแลว ไมไดผ ล การตรวจสอบน้จี ะไดส ่งิ ทส่ี าํ เรจ็ ตามแผน และสิ่งทเ่ี ปน ขอ บกพรอ งทต่ี อ งแกไข 4) การปรับปรุงแกไข (Action-A) เปนขั้นของการนําขอบกพรองมาวางแผน การปฏิบัติการแกไขขอบกพรองแลวลงมือแกไข ซึ่งในข้ันนี้อาจพบวาประสบความสําเร็จหรืออาจพบวามี ขอบกพรองอีก ผูวิจัยหรือผูทํางานก็ตองตรวจสอบเน้ือหาเพื่อแกไข แลวไปแกไขอีกตอไป งานของการวิจัย เชิงปฏิบัตกิ ารเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในช้ันเรียน จึงเปนการทําไป เร่ือยๆ ไมมีการหยดุ กระบวนการวิจยั เปน การพัฒนาใหด ขี ้ึนเรอื่ ยๆ เปนการพัฒนาอยา งยัง่ ยืน ดังนั้นอาจกลาวไดวาวงจร PDCA ก็เปนกระบวนการพัฒนางานวิจัยเชิงปฏิบัติการ เพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนหรือการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียน เปนการพัฒนาการเรียน การสอนที่เริ่มทีละข้ันตามกระบวนการพัฒนาคุณภาพ P-D-C-A และเคลื่อนหมุนไปเร่ือยๆ โดยในแตละข้ันหรือ แตล ะตัวของวงจร ก็จะตองมีวงจรของ PDCA ดวย ดังภาพท่ี 1.2 (พมิ พันธ เดชะคุปต.2545: 4) P = การวางแผน D = ปฏบิ ตั ิการ C = ตรวจสอบ A = ทดลองแกไ ข - วางแผนการสอน (P) - เขียนแผนการสอน (D) - วางแผนปฏิบัติการ - วางแผนสาํ รวจ - วางแผนทดลองแกไข - ตรวจสอบแผนการ สอน (P) นักเรียน (P) (P) สอน (C) - สอน (D) - ปฏบิ ตั ิการสาํ รวจ - แกไ ขแผนการสอน (A) - ตรวจสอบผลการ (D) - ปฏิบัติการทดลองแกไข สอน(C) - ตรวจสอบการสาํ รวจ (D) - ปรับปรงุ แผนการ (C) สอน (A) - แกไ ข (A) - ตรวจสอบผลการแกไข (C) - ปรบั ปรงุ หรอื พฒั นา (A) ภาพที่ 1.2 กระบวนการวจิ ัยเชงิ ปฏิบตั กิ ารในชัน้ เรยี นควบคไู ปกบั การพฒั นาคุณภาพจัดการเรียนการสอน

9 5. สิบคําถามสําหรบั การวางแผนการวิจยั โกวิท ประวาลพฤกษ (2534 : 1-22) กลาววาการวางแผนการวิจัย นักวิจัยควรหาคําตอบใหกระจาง ชดั ใน 10 ประเดน็ คาํ ถาม ดงั น้ี ท่ี ประเดน็ ตองรู คําถาม 1 ชื่อเร่อื ง 1. ศึกษาอะไร แบบสาํ รวจ 2. ศกึ ษาจากใคร แบบเปรียบเทยี บ 2 ปญ หาและที่มาของ 3. ศกึ ษาแบบใด แบบภาครวมสมั พันธ ปญ หา แบบหาสาเหตุ อนื่ ๆ 3 จุดมงุ หมาย/สมมติฐาน 4. นําผลไปใชแ กป ญ หาใด 4 วธิ ดี ําเนินการ 5. ปญ หานั้นมีจรงิ หรือไม 6. ปญ หานม้ี ีความสาํ คญั เพยี งใด 7. คาดวาผลจะเปนอยางไร 8. ใชเคร่ืองมืออยางใดบา ง ประเภทตัวแปร เครอื่ งมือ - ผลสัมฤทธิ์ - แบบทดสอบ - ความถนดั - แบบทดสอบ - ความสนใจ - แบบวดั ความสนใจ - เจตคติ - แบบวดั เจตคติและการจัดอนั ดบั คุณภาพ - พฤตกิ รรมตา ง ๆ - การสงั เกต - ขอมลู ทางกายภาพ - การสังเกตหรือแบบสอบถาม - ขอมูลทีต่ องการรายละเอยี ดเฉพาะ - การสัมภาษณหรือแบบสอบถาม - ขอมลู ในเรื่องท่เี กิดมาแลว - การวิเคราะหหลักฐานตาง ๆ หรือ แบบสอบถาม 9. มีแผนการเกบ็ ขอมลู อยา งใด 5 การวเิ คราะหขอ มลู 10. วเิ คราะหข อมูลอยางไร

10 6. แนวทางในการประเมินผลงานวจิ ัย การประเมินงานวิจยั เปน งานพจิ ารณาวางานวจิ ัยนัน้ ๆ มคี วามถูกตองสมบูรณและมคี ุณภาพเชื่อถือไดมาก นอยเพียงใด ในทางปฏิบัติยังไมปรากฏเครื่องมือประเมินที่เปนมาตรฐาน หรือ เปนท่ียอมรับได จากสภาพ ท่ีควรจะเปน ในการประเมนิ งานวจิ ยั น้นั มรี ายการท่ีควรพิจารณา และ แนวทางการพิจารณา โดยยึดตามประเด็น หลักของงานวจิ ัย ดงั น้ี รายการทค่ี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 1. ชอ่ื เรอ่ื ง/หัวขอ ปญหา/หวั ขอวจิ ัย 1) มคี วามชัดเจน รัดกุม เพยี งใด 2. สว นนําของรายงานการวจิ ัย 2) บอกความหมายและแนวทางการวิจัย หรือ ไม 3) บอกขอบเขตของการวิจยั หรือไม 3. ความสาํ คญั ของปญ หาการวิจยั 4) สามารถหาคาํ ตอบดว ยวิธกี ารวิจัย หรือไม 1) มรี ายการประกอบที่ควรจะมีครบถวนหรอื ไม เชน หนาชอื่ เรอื่ ง บทคัดยอ กิตติกรรม ประกาศ สารบญั รายการตาราง รายการภาพ ประกอบ 2) การใชถ อยคาํ ภาษาในแตละรายการ เหมาะสมเพยี งใด 3) หวั ขอที่ปรากฏในสารบัญ รายการตาราง และราย การภาพประกอบ มีการเรียงลําดบั สอดคลองกันหรือไม และตรงตาม เลขหนาทร่ี ะบุหรือไม 4) รปู แบบการนําเสนอสวนนําถกู ตองตามที่สถาบันหรือหนวยงานกําหนด หรอื ไม 1) เสนอความเปน มาและความสําคญั ของปญ หาชดั เจน เพียงใด 2) ปญหาท่ีศึกษานน้ั เปนปญ หาทสี่ าํ คัญ ควรแกก าร ศกึ ษาหรือไม และกอใหเกดิ ประโยชนหรอื ไม 3) ส่ิงท่ีเปน ปญ หาน้ันเกดิ ขึ้นตามสภาวะหรอื สภาพท่ี เปนจริงในปจจบุ ัน หรอื ไม 4) การศึกษาปญหานน้ั มุงศึกษาหรอื มุงแกปญหาใน ประเด็นใด และมีความชดั เจน เพยี งใด 5) ระบกุ รอบแนวคิด หลักการหรอื ทฤษฎี ในการ กาํ หนดตวั แปรท่ีเก่ยี วของกบั ปญ หา ชัดเจน หรือไม 6) บรรยายรายละเอียดของปญหา อยา งมรี ะบบ ตาม ความสมั พันธของสิ่งที่เก่ียวของตามลาํ ดับ ดี เพียงใด

11 รายการท่คี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 4. ขอบเขตการวิจัย 1) ระบุขอบเขตการวิจยั ในสวนของประชากร ตัวแปร 5. นิยามศพั ทเฉพาะ และชว งเวลาในการศึกษา ชัดเจน หรือไม 6. ขอตกลงเบ้ืองตน(ถาม)ี 2) ขอบเขตการวิจัยทกี่ ําหนด เหมาะสม และสอดคลอง 7. การศกึ ษาเอกสารงานวจิ ยั ที่ เกย่ี วของ กบั ปญ หา หรอื ไม 1) ตัวแปร และคําศัพทอืน่ ๆ ไดนิยามไวชดั เจน หรือไม 2) การนยิ ามในเชิงปฏิบัตกิ าร ไดนิยามถูกตอง และ สอดคลอ งกบั การนยิ ามตามทฤษฎี หรอื ไม 3) การนยิ ามในเชิงปฏิบัติ มเี หตุผลและอา งองิ หรอื ไม 4) การนยิ ามศัพทเฉพาะ ไดระบไุ วในสว นตนของรายงาน หรือไม 1) ขอตกเบื้องตนเปน เงือ่ นไขท่ีจาํ เปน และเหมาะสม เพียงใด 2) ขอ ตกลงเบื้องตน ที่ระบุไว มีความเกยี่ วของ มลี ักษณะ เปนเหตุ เปนผล กับเรอ่ื งท่ีศึกษาเพียงใด 3) ขอ ตกลงที่ควรจะมี ไดร ะบุไวอ ยางครบถว น หรอื ไม 1) ไดศ ึกษาแนวคดิ ทฤษฎี ที่เกยี่ วของกบั ตวั แปรที่ ไดศ ึกษา ไวครบถว น หรือไม 2) ไดส รปุ สาระสําคัญของงานวิจัยทเ่ี กย่ี วของแตล ะ เรอื่ ง ไวอ ยา งครบถว น รัดกุม ชดั เจน สื่อความหมาย และ เหมาะสมเพียงใด 3) งานวิจยั ทีน่ าํ มาสนบั สนุน เกีย่ วของและเปน ประโยชน กับ ปญหา หรอื ตัวแปรท่ีศึกษา หรือไม 4) มีการวิเคราะห สงั เคราะห เพ่อื เชื่อมโยงแนวคิดทฤษฎี และผลการวจิ ยั ตา งๆ ใหเ หน็ ความสมั พันธก บั ปญหา หรือ ตวั แปรทศี่ ึกษา ทั้งในเชิงความขดั แยง และความ สอดคลอ งสนบั สนนุ ไดชัดเจนเพียงใด 5) ไดน ําเสนอ เอกสารการวจิ ัยท่เี กี่ยวของเปนประเดน็ ๆ เรยี งตามลาํ ดบั ลักษณะการจัดเปนหมวดหมหู รอื ไม

12 รายการท่คี วรพิจารณา แนวทางการพิจารณา 8. สมมติฐานการวจิ ัย(ถา ม)ี 1) ระบุ สมมตฐิ านไวครบถว น สอดคลองกับปญ หาวิจยั 9. วธิ กี ารวจิ ยั หรอื การออกแบบการ หรอื ไม วิจัย 2) สมมติฐานสอดคลองกับแนวคดิ ทฤษฎี หลักการหรือ ขอ เทจ็ จรงิ เพียงใด 3) สมมตฐิ าน มคี วามชดั เจน และชเี้ ฉพาะ หรอื ไม 4) สมมตฐิ าน สามารถทําการทดสอบดวยวิธกี ารทางสถิติ หรอื ไม การวิจัยแตละประเภทมีจุดเนน หรือ ลักษณะเดนในการออกแบบที่ แตกตางกัน วิธีการวิจัยในแตละประเภทก็มีความแตกตางกัน มีลักษณะเฉพาะ เหมาะสําหรับแตละประเภท ดังนั้นการประเมินงานวิจัย แตละประเภทจะ แตกตางกัน แตเม่ือพิจารณาในเชิงของคุณภาพการวิจัย โดยภาพกวางๆ สามารถประเมินในสวนของความตรงภายใน (Internal Validity) และ ความตรงภายนอก (External Validity) ของแตละประเภทไดวามี หรือไม ความตรงใน พจิ ารณา จาก 1) รปู แบบและวธิ ีการวดั คาตัวแปรอิสระและตวั แปรตาม มีความถูกตอง เหมาะสม หรือไม 2) เคร่ืองมือท่ีใชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู เหมาะสมกับ ลกั ษณะ ของตัวแปร หรือไม 3) เคร่อื งมือทใ่ี ชไ ดผา นการตรวจสอบคุณภาพ หรือไม 4) มีวิธีการเกบ็ รวบรวมขอมลู ที่นา เช่ือถือ เพียงใด 5) มวี ิธีการเลือกตวั อยา ง ไดถูกตอ ง ตามทฤษฎีเพียงใด 6) การเลอื กใชส ถิติทั้งเชงิ บรรยาย และเชงิ อนุมานเหมาะสม กับสเกลของ การวดั และ วตั ถปุ ระสงคของการวิจยั หรอื ไม 7) มีวธิ ีการควบคุมตวั แปรเกิน หรือ จัดสภาพเพื่อขจัดตัวแปรเกิน หรือไม ความตรงภายนอก พจิ ารณาจาก 7.1) จดั ทํากรอบการสุม ท่ีสมบูรณ และเลือกใชว ธิ ีการสุมทเ่ี หมาะสม หรอื ไม 7.2) กาํ หนดขนาดของกลุมตวั อยา ง ไดเ หมาะสมหรือไม 7.3) เลอื กใชสถิตใิ นการทดสอบสมมตฐิ าน ไดเ หมาะสม หรือไม 7.4) เลอื กใชส ถิติไดเหมาะสมกับขอ ตกลงเบ้ืองตน และวัตถปุ ระสงค ของการวิจยั หรือไม 7.5) วเิ คราะห แปลความหมาย ไดถ ูกตอง ชดั เจน หรือไม

รายการท่คี วรพจิ ารณา 13 10. ประชากรและกลมุ ตวั อยาง 11. เคร่อื งมือในการวิจยั แนวทางการพจิ ารณา 1) กําหนดขอบขา ยของประชากรทศ่ี ึกษา ไดชัดเจน เพยี งใด 12. การเกบ็ รวบรวมขอมูล 2) วธิ กี ารกาํ หนดขนาดกลุม ตัวอยาง ถูกตอง เหมาะสม เพียงใด 3) วิธีการเลอื กกลมุ ตวั อยา ง เหมาะสม และเปน ตัวแทน ประชากรทศี่ กึ ษาไดดเี พียงใด 4) การอธิบายวิธไี ดม าของกลมุ ตัวอยาง ชดั เจน เพยี งใด 1) เครื่องมือท่ีใช เหมาะสมกับ ปญ หาทศี่ ึกษาหรอื ไม 2) เครื่องมือที่ใช มคี วามเที่ยงตรง และมีความเชอ่ื ม่ันเพียงใด 3) การตรวจใหค ะแนน สะดวก งา ยตอการปฏบิ ตั ิและมีความเปน ปรนยั หรอื ไม 4) การตรวจสอบความเท่ียงตรง และความเช่อื ม่ันไดใ ช วิธกี ารทถ่ี กู ตอ ง เหมาะสมเพียงใด และได อธิบาย วิธีการตรวจสอบ ใหเปนขน้ั ตอนชัดเจนเพยี งใด 5) คาํ ชแี้ จงในการเกบ็ รวบรวมขอมลู คําชี้แจงเก่ียวกับ แนวทางการตอบ ชัดเจน หรอื ไม 6) เน้อื หาของคาํ ถาม ครอบคลุม ปญ หาที่ศึกษา หรือไม 7) การเรยี งลําดบั ขอ ความ ภาษา ถอ ยคํา ทใ่ี ชเหมาะสม หรือไม 8) คําถามมคี วามเปน ปรนยั หรือไม 9) รปู แบบเครื่องมือ และวธิ ีการตอบ มีความกะทัดรดั สะดวก งายแกก ารตอบ หรือไม 1) มกี ารกําหนดวธิ กี ารเก็บรวบรวมขอมลู และอธิบาย ไวอ ยางชัดเจนหรอื ไม 2) การรวบรวมขอมูลและการบนั ทึกขอมลู ทําอยา งมรี ะบบ และเปนปรนัย หรอื ไม 3) มีการตรวจสอบวธิ ีการไดมาของขอมูล และแหลงขอมูล หรือไม 4) มกี ารตรวจสอบความอคติ ซอื่ ตรง และรอบคอบ ของผเู ก็บรวบรวมขอ มูล หรือไม 5) มีการระบจุ ุดออน หรือ ขอจํากดั ของการเก็บรวบรวม ขอมูลไวอยา งชัดเจนหรือไม

รายการที่ควรพิจารณา 14 13. การวเิ คราะหขอมูล 14. การนําเสนอขอมูล ผลการวิเคราะห แนวทางการพจิ ารณา 1) วิธีการทางสถิติเหมาะสมกับลักษณะของขอมูล การแปลความหมาย 15. การอภปิ รายผลและขอเสนอแนะ หรือไม 2) การวเิ คราะหข อมูลทําอยางเปนปรนยั ปราศจากอคติ 16. บรรณานกุ รม ของผวู เิ คราะห หรือไม 3) การสรปุ ผลการวิเคราะห ไดสรุปเกินขอบเขตของ ขอมูล หรือไม 1) ใชวธิ ีการนาํ เสนอขอมลู ท่ีชดั เจน นาสนใจ หรือไม 2) การอธิบายสญั ลักษณต าง ๆ ชัดเจน หรือไม 3) การสรปุ ความหมายขอมลู สอดคลอ งกับวิธีการ ทางสถิติ หรือไม 4) การสรปุ ผลการวจิ ยั ครอบคลมุ ครบถว น ตาม วัตถุประสงค และ สมมติฐาน การวจิ ยั หรอื ไม 5) การสรปุ ผลการวจิ ัย อยูในขอบเขตของการวจิ ยั หรอื ไม 1) ใชก รอบแนวคดิ ทฤษฎี หรือผลการวจิ ัย เปน ฐาน ขอ มูลในการอภปิ รายผล หรือไม 2) การอภิปรายผลเรียงลาํ ดับ สอดคลอง กับวตั ถุ ประสงค และสมมตฐิ านการวิจัย หรอื ไม 3) ไดอภปิ รายในเชงิ วิเคราะหเงือ่ นไข ขอจํากดั ในการ วจิ ัยไว อยางชดั เจน หรือไม 4) ขอเสนอแนะตา ง ๆ ตงั้ อยูบนฐานขอมลู จาการคน พบในงานวิจยั หรือไม 5) ขอเสนอแนะมคี วามเปน ไปไดทง้ั ในทางทฤษฎี และ แนวปฏบิ ัติ หรอื ไม 6) ไดเสนอแนะการนําผลวจิ ัยไปใช และการทาํ วิจัย ในครง้ั ตอ ไป อยางชดั เจน หรือไม 1) การเขียนบรรณานกุ รม มีความถกู ตอ งตามแบบที่ สถาบันกาํ หนดหรอื ไม 2) การเขยี นบรรณานุกรม มีความถูกตองในเรอ่ื งการ สะกดคาํ การเวน วรรคตอน และ เครอื่ งหมาย วรรคตอน หรือไม

15 รายการทีค่ วรพจิ ารณา แนวทางการพิจารณา 17. ภาคผนวก 1) รายการขอมลู ท่ีนําเสนอไวใ นภาคผนวก เหมาะสม 18. รูปแบบและแนวการเขยี นรายงาน หรือไม 19. บทคัดยอ 2) ขอมูลท่นี ําเสนอในภาคผนวก ไดจัดหมวดหมูอยา ง เปน ลําดับ สะดวกตอการตรวจสอบ หรือไม 1) รปู แบบของรายงานถกู ตองตามหลกั เกณฑ ท่ี สถาบนั หรือหนว ยงานกําหนดหรอื ไม 2) การจัดเรยี งลําดบั เนื้อหา ถูกตอง เหมาะสม และ ครบถวนตามท่ีสถาบนั กาํ หนดหรอื ไม 3) ภาษาท่ใี ชเขียนมีความกะทดั รัด ชดั เจน และเขาใจ งายหรือไม 4) การใชคํา และ ภาษาในรายงานมีความคงท่ี ตลอด ทงั้ เลม หรือไม 5) การนําเสนอขอมูลตาง ๆ และการต้ังชอ่ื หัวขอยอย มีความถกู ตอ ง เหมาะสมเพียงใด 6) ในรายงานไดอ ธิบายและตอบคาํ ถามปญหาวิจัยไว ครบถว นหรอื ไม 7) การอางองิ ในเนอ้ื หา และบรรณานกุ รม สอดคลอง ตรงกัน หรอื ไม 8) รายงานมีความเรยี บรอย และทาํ ดว ยความประณีต เพยี งใด 9) มีบทคดั ยอสะดวกตอการสืบคน หรือไม 1) ไดกลา วถึงสงิ่ สาํ คัญตา ง ๆ เชน วัตถปุ ระสงค สมมติฐาน กลุม ตัวอยา ง เคร่ืองมือในการวจิ ยั สถติ ิทีใ่ ชวเิ คราะหขอมูล และสรปุ ผลการวิจัย หรอื ไม 2) รูปแบบและการเขียนบทคัดยอ ถูกตองตามท่ี สถาบนั หรือหนวยงานกาํ หนดหรือไม

สวนท่ี 2 รูปแบบรายงานการวิจัยเพ่อื พัฒนาคุณภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา การเขียนรายงานการวิจัยเปนข้ันตอนสําคัญของกระบวนการวิจัย ซึ่งนักวิจัยจะตองนําเสนอขอมูล รายละเอียดทั้งหมดของการดําเนินการวิจัยไวเปนหลักฐาน โดยบอกเลาถึงส่ิงที่ไดดําเนินการไปแลวใหผูสนใจได ทราบถึงเหตุผลในการดําเนินการวิจัย ท่ีมาของปญหาการวิจัย กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีดําเนินการวิจัย และ ผลลัพธหรือขอคนพบที่ไดจากการวิจัย รายงานการวิจัยจึงเปนเอกสารที่นักวิจัยไดเรียบเรียงขึ้นหลังจากที่ได ดําเนินการวิจัยเสร็จสิ้นแลว เพื่อบอกเลาส่ิงที่ไดดําเนินการไปแลวและผลลัพธหรือขอคนพบที่ไดจากการวิจัย และใชเปน ส่อื กลางสรางความรคู วามเขาใจระหวางผูวิจัยกับผูใชผลการวิจัย รายงานการวิจัยจึงเปนแหลงขององค ความรูและนวัตกรรมตางๆ ท่ีจะเปนประโยชนตอการพัฒนาคุณภาพงานและพัฒนาศาสตรสาขาวิชาชีพตางๆ ใหมคี วามเจรญิ กา วหนา และมีความเขม แข็งมากขนึ้ การเขยี นรายงานการวิจัยจึงถือวาเปนภารกิจและหนาท่ีสําคัญ ของนกั วิจยั ทจ่ี ะตอ งดําเนนิ การใหม คี ณุ ภาพ เพื่อใหเ กดิ คณุ คา และเปน ประโยชนตอวงวิชาการและวชิ าชีพ 1. จุดมงุ หมายของการเขียนรายงานการวจิ ยั การเขยี นรายงานการวิจัยมีจดุ มุงหมายทสี่ ําคัญๆ ดงั นี้ 1.1 เพือ่ เปนหลกั ฐานแสดงความมีคณุ คา หรือประโยชนข องงานวจิ ัยท่ที าํ และศกั ยภาพของนักวจิ ัย 1.2 เพือ่ เปนสะพานเชอื่ มโยงความรู ความจริงท่ีเปนผลงานวิจัยท้ังในอดีต ปจจุบัน และอนาคตซ่ึงจะเปน การเพ่ิมพูน บูรณาการและสงั เคราะหอ งคค วามรใู หเกดิ ประโยชนตอ การพัฒนาอยา งตอเนื่อง 1.3 เพอื่ เผยแพรผลงานการวิจัย และสง เสริมสนบั สนุนการใชประโยชนจากผลงานวจิ ยั ใหคุม 1.4 เพ่ือเปนแหลงขอมูลสารสนเทศใหกับองคกร สถาบัน ชุมชน ผูบริหาร นักวิจัย และสาธารณชน นําไปใชเพือ่ การกําหนดนโยบาย การวางแผนแกป ญหาและพัฒนางาน รวมทง้ั เสริมสรา งและพฒั นาองคความรูของ ศาสตรส าขาตางๆ 2. ความสาํ คญั ของรายงานการวิจยั รายงานการวิจยั มีความสาํ คัญหรือคณุ คา ในหลายลกั ษณะทส่ี าํ คญั ๆ สรปุ ไดด งั นี้ 2.1 รายงานการวิจัยเปนเอกสารหลักฐานท่ีแสดงถึงขอมูลสารสนเทศท่ีเก่ียวกับการศึกษาคนควาของ นกั วิจยั และขอคนพบท่ไี ดจ ากการวจิ ยั 2.2 รายงานการวิจัย เปนสื่อกลางสรางความเขาใจกอใหเกิดการเรียนรูรวมกันระหวางนักวิจัย และผูใช ประโยชนจากงานวิจัย ทําใหไดทราบกรอบแนวคิด แนวทาง วิธีดําเนินการวิจัย และผลการวิจัย ทําใหไมเกิดการ วิจัยซ้ําซอ น และไดม ีโอกาสเรียนรแู ละพฒั นาวธิ กี ารวจิ ัยหรอื รูปแบบในการวิจยั หลากหลายมากขึ้น 2.3 รายงานการวิจัยกอใหเกิดการส่ังสมและขยายพรมแดนขององคความรูในศาสตรสาขาตางๆ ทําให ศาสตรเหลานั้นมคี วามกระจางและมคี วามเขม แข็งมากข้นึ 2.4 รายงานการวิจัยกอใหเกิดการยกระดับหรือพัฒนาวิชาชีพตางๆ เนื่องจากการวิจัยท่ีตอเนื่องสืบทอด ระหวา งนกั วจิ ยั แตล ะรุน ทําใหมีการพฒั นาผลงานวิจยั สาขาวิชาชีพตางๆ มคี ุณภาพมากย่ิงขึน้ 3. ลักษณะสาํ คัญของรายงานการวิจัย รายงานการวิจัย มลี กั ษณะทส่ี ําคญั ๆ ดงั นี้ 3.1 รายงานการวิจัยเปนเอกสารที่นักวิจัยเรียบเรียงขึ้น หลังจากท่ีไดดําเนินการวิจัยเสร็จส้ินแลว เพื่อนําเสนอรายละเอียดเก่ียวกับการวิจัยใหผูสนใจไดทราบเหตุผล และที่มาของปญหา กรอบแนวคิดในการวิจัย วิธีดาํ เนนิ การวจิ ัย และผลการวจิ ัย 3.2 มุงนําเสนอสารสนเทศเชิงคุณคาท่ีไดจากการวิจัย เพ่ือการเผยแพรและการนําไปใชประโยชนตอการ เรียนรู เสรมิ สรา งปญญา การแกป ญหาและพฒั นางาน

17 3.3 สาระของรายงานการวิจัยในแตละหัวขอ หรือแตละบทจะมีลักษณะเฉพาะที่มีความเปนเอกภาพ และแตกตางกนั แตม ีความสมั พนั ธสอดคลอ งกัน 3.4 ประโยคภาษาท่ปี รากฏในรายงานการวิจัยเปน ประโยคอดตี กาล 4. การประเมินคุณภาพของรายงานการวจิ ยั การประเมินคุณภาพของรายงานการวิจัย ถือเปนขอกําหนดท่ีบงชี้ถึงคุณลักษณะของรายงานการวิจัยที่มี คุณภาพ และใชส ําหรับพิจารณาตัดสนิ คณุ ภาพของรายงานการวิจยั ซึ่งมีเกณฑการประเมินทสี่ ําคัญๆ ดงั ตอ ไปน้ี 4.1 ความเปนระบบ (systematic) รูปแบบวิธีการเขียน วิธีการอางอิงและการพิมพ จะตองเปนไปตาม กรอบโครงสรางหรือสวนประกอบของรายงานที่กําหนดไว โดยนําเสนอสาระใหสอดคลองตามบทหรือหัวขอ ท่กี าํ หนดไว 4.2 ความถูกตอง (correctness หรือ accuracy) เนื้อหาสาระทุกรายการท่ีเขียน รวบรวม หรือนํามา เรียบเรียงไวใ นรายงานการวิจัย จะตอ งมคี วามถูกตองตามหลกั วิชา หลักการใชภาษา ระบบการอางอิงและรูปแบบ ของรายงานการวิจัยที่กาํ หนดไว 4.3 ความสมบูรณครบถวน (completeness) เนื้อหาสาระในรายงานการวิจัยตองมีความสมบูรณ ครบถวนทุกหวั ขอ ตามข้ันตอนของกระบวนการวจิ ยั หรือตามกรอบโครงสราง หรือสวนประกอบของรายงานท่ีควร จะเปนหรือตามรูปแบบท่ีกําหนดไว โดยเฉพาะอยางย่ิงตองนําเสนอผลการวิจัยใหครบถวนตามวัตถุประสงคของ การวจิ ยั 4.4 ความสัมพันธสอดคลองเช่อื มโยง (correspondence) เน้อื หาสาระระหวางบท ระหวางตอนจะตอง มกี ารจดั ระเบียบ เรียบเรียงใหม ีความสมั พันธเชอ่ื มโยงกนั โดยตลอด เปนเหตุเปนผลสอดรับกันอยางตอเนื่อง ซ่ึงจะ ชวยทําใหผ ูอ า นทราบแนวความคดิ ของนักวจิ ัยไดอ ยา งตอเนอ่ื งเชื่อมโยงกนั 4.5 ความคงเสนคงวาหรือความสมํ่าเสมอ (consistency) การใชถอยคําหรือขอความในรายงานการ วิจัยจะตองมีความคงเสนคงวาหรือความคงท่ีในการใช เพ่ือมิใหผูอานเกิดความสับสน เชน การใชขอความ \"การเรียนการสอนทเี่ นนผูเรียนเปนศนู ยก ลาง การเรยี นการสอนท่ีเนน ผเู รียนเปนสําคัญ การเรียนการสอนที่ผูเรียน สาํ คญั ทีส่ ุด การเรยี นการสอนท่ียึดผเู รียนเปนสาํ คัญ” เปนการใชข อความท่ไี มสมา่ํ เสมอ 4.6 ความกระจางชัด (clarity) ขอความหรือภาษาที่ใชในรายงานการวิจัยตองมีความชัดเจน ไมกํากวม หรอื คลุมเครอื ผอู า นตอ งสามารถเขาใจไดง ายโดยไมตองตีความขอความเหลานั้น 4.7 ความตรงประเด็น (pertinent) เนอ้ื หาสาระทีน่ าํ เสนอตอ งมงุ ตอบคาํ ถามวิจัย (research question) หรอื วัตถุประสงคข องการวิจยั ทก่ี าํ หนดไวเปน หลกั หลกี เลย่ี งการเขยี นวกวน หรอื ยดื ยาวที่มสี าระไมต รงประเด็น 4.8 ความเปนเอกภาพ (unity) เนื้อหาสาระในแตละบท แตละตอนหรือแตละเร่ืองจะตองมีความเปน เอกภาพหรือเปน เร่ืองเดยี วกนั 4.9 ความเปนประโยชน (utility) รายงานการวิจัยท่ีดีจะตองนําเสนอสารสนเทศที่ไดจากกการวิจัยท่ีมี คุณคา และสามารถนําไปใชใหเกิดประโยชนท้ังทางวิชาการ กอใหเกิดองคความรูใหมและเปนประโยชนในการ ปฏบิ ัติ หรือพัฒนางาน องคก ร ชุมชนและสงั คม 5. องคป ระกอบของรายงานการวิจัยเพอื่ พัฒนาคณุ ภาพการจดั การเรยี นการสอนอาชีวศึกษา องคป ระกอบของรายงานการวิจัยขึ้นอยูกับมาตรฐานที่หนวยงานหรือสถาบันการศึกษาแตละแหงกําหนด ไว ซึ่งอาจมีการกําหนดสวนประกอบหัวขอยอยแตกตางกันไปบาง แตสวนใหญจะมีลักษณะคลายคลึงกัน สําหรับ องคประกอบของรายงานการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา สํานักงาน คณะกรรมการการอาชีวศึกษากําหนดใหมีองคประกอบที่สําคัญ 3 สวน ไดแก สวนนํา (preliminary section) สวนเน้ือเร่ือง (body of report) และสวนอางอิง (referenced materials) โดยมีสาระสําคัญของแตละสวน แสดงดังภาพที่ 2.1

18 องคป์ ระกอบของรายงานการวจิ ยั ส่วนนาํ ส่วนเน้ือเรื่อง ส่วนอา้ งอิง ประกอบดวย ประกอบดว ยเน้อื หา 5 บท ประกอบดวย - ปกนอก บทที่ 1 บทนํา - บรรณานุกรม - ปกใน - ความเปนมาและความสาํ คัญของปญหาการวจิ ัย - ภาคผนวก - บทคัดยอ - วัตถุประสงคข องการวิจยั - กติ ติกรรมประกาศ - สมมติฐานของการวจิ ัย - ตัวอยางเครือ่ งมือ - สารบัญ - กรอบแนวคิดการวจิ ัย - เกบ็ รวบรวมขอ มลู - สารบัญตาราง - ขอบเขตของการวจิ ยั - ตวั อยางการวิเคราะห - สารบญั ภาพ - ประโยชนท ่ไี ดร บั จากการวิจยั ขอ มูล - คํานยิ ามศัพทเ ฉพาะ - รายนาม บทที่ 2 เอกสารและงานวิจยั ทเี่ กย่ี วขอ ง ผูทรงคณุ วฒุ ทิ ต่ี รวจ บทที่ 3 วธิ ีดําเนนิ การวิจยั สอบคุณภาพ บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหขอ มลู เคร่ืองมอื วิจยั ฯลฯ บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอ เสนอแนะ ภาพท่ี 2.1 แสดงองคประกอบของรายงานการิวจิ ัย ภาพท่ี 2.1 แสดงองคประกอบของรายงานการวจิ ัย 6. รูปแบบรายงานการวิจัยเพอ่ื พัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนอาชวี ศกึ ษา จากองคป ระกอบขา งตน สามารถนาํ มากาํ หนดเปนรปู แบบรายงานการวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการจัดการ เรียนการสอนอาชีวศกึ ษาของครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา ในสังกดั สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ดังตอไปน้ี

19 ปกนอก ปกใน เปน ปกเดียวกนั รายงานการวจิ ัย เรือ่ ง ……………………………………………………………………………………………… โดย นาย/นาง/นางสาว……………………………………………………………. ตําแหนง ……………………………………… แผนกวชิ า ……………………………………. วิทยาลัย……………………………………….. สํานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร ช่ือเรอ่ื ง : …………………………………………………….

20 ชอ่ื ผูวจิ ัย : …………………………………………………….. ปที่วิจัย : ………………………………………………….. บทคัดยอ การวิจยั เรอ่ื ง……………………………………………..มีวตั ถุประสงค (1) เพ่อื …………………………………………………………….. (2) เพอ่ื ……………………………… (3)เพ่อื ………………………………(ระบวุ ิธีดาํ เนินการวิจัย ซง่ึ ประกอบดว ย รูปแบบของ การวิจยั ประชากรและกลุม ตัวอยา ง เคร่อื งมือเกบ็ รวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอ มูล)……………………………….……… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ผลการวิจยั พบวา (ผลการวิจยั ตามวัตถุประสงคแตล ะขอ) 1. ………(ผลการวจิ ัยตามวตั ถุประสงคข อท่ี 1)……………………. 2. ………(ผลการวจิ ัยตามวตั ถุประสงคข อท่ี 2)……………………. 3. ………(ผลการวจิ ยั ตามวัตถปุ ระสงคขอที่ 3)……………………. กติ ติกรรมประกาศ

21 รายงานการวิจัย เร่ือง ………………………………….………………………………………ฉบับน้ีสําเร็จลุลวงไปไดดวย ความกรุณาและการใหคําแนะนําเกี่ยวกับเปนอยางดีอยางดีย่ิงจาก (ระบุ บุคคล/หนวยงาน หรือแหลงที่ใหเงิน ทนุ อุดหนนุ การวิจัย ผูใหคําปรึกษา หนวยงานหรือบุคคลท่ีเปนแหลงขอมูล ผูใหความชวยเหลือในการพิมพ จัดทํา รปู เลม รายงานการวิจยั การเกบ็ รวบรวมขอ มูล และวเิ คราะหข อ มลู เปน ตน )………………………………………................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… สดุ ทายผูว จิ ยั ขอขอบคุณ….(ระบเุ ปนใคร บุคคล/หนว ยงาน : ซ่ึงไมซ้ํากบั บุคคล/หนว ยงานทีก่ ลาวไวขางตน )ท่ีใหความชวยเหลือ สนับสนุนและใหกําลังใจ กระทั่งรายงานการวิจัยฉบับนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ บรรลุผลตาม วัตถปุ ระสงคด วยความเรยี บรอย มา ณ โอกาสน้ี ……………..…………ช่ือผูวิจยั ………… วนั ท่…ี …เดือน….…..…พ.ศ. ………….. กิตตกิ รรมประกาศ เปน สว นท่นี กั วจิ ัยเขียนแสดงความขอบคุณแกผูใ หค วามชวยเหลอื สนบั สนนุ จนทําใหก ารวจิ ัยเร่อื งน้ันสาํ เรจ็ สารบญั

22 หนา บทคัดยอ………………..............................................................................................................................................ก กิตตกิ รรมประกาศ.................................................................................................................................................ข สารบัญ..................................................................................................................................................................ค สารบญั ตาราง........................................................................................................................................................จ สารบญั ภาพ...........................................................................................................................................................จ บทที่ 1 บทนํา...................................................................................................................................................1 ความเปนมาและความสาํ คญั ของปญ หาการวิจยั ..................................................................................... วัตถปุ ระสงคของการวิจยั ......................................................................................................................... สมมตฐิ านของการวจิ ยั ............................................................................................................................. กรอบแนวคิดการวิจัย.............................................................................................................................. ขอบเขตของการวจิ ยั ............................................................................................................................... ประโยชนท่ีไดรับจากการวจิ ัย.................................................................................................................. คาํ นิยามศัพทเ ฉพาะ................................................................................................................................ บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี กี่ยวของ............................................................................................................ (ระบุหัวขอเร่อื งทศ่ี ึกษา).......................................................................................................................... (ระบุหวั ขอเรอ่ื งที่ศึกษา).......................................................................................................................... (ระบหุ ัวขอเร่ืองท่ีศึกษา).......................................................................................................................... (ระบุหวั ขอเรื่องทศ่ี ึกษา).......................................................................................................................... บทท่ี 3 วิธีดําเนนิ การวิจยั .................................................................................................................................. ประชากรและกลมุ ตวั อยาง...................................................................................................................... การสรางเครื่องมือทใ่ี ชใ นการวิจัย........................................................................................................... การรวบรวมขอมูล…………....................................................................................................................... การวเิ คราะหขอ มลู .................................................................................................................................. สถติ ิท่ใี ชในการวิเคราะหขอ มูล................................................................................................................ บทที่ 4 ผลการวิเคราะหข อมูล........................................................................................................................... บทท่ี 5 สรปุ ผลการวจิ ัย อภิปรายผลและขอเสนอแนะ..................................................................................... สรปุ ผลการวจิ ยั ....................................................................................................................................... อภปิ รายผล.............................................................................................................................................. ขอ เสนอแนะ............................................................................................................................................ บรรณานกุ รม......................................................................................................................................................... ภาคผนวก ภาคผนวก ก …..(ระบุประเด็น)…….. ………………………………………………………………………………….......... ภาคผนวก ข …..(ระบุประเด็น)…….. ………………………………………………………………………………….......... ประวัตินักวจิ ัย……………………………………………………………………………………………………………………………….........

23 สารบญั ตาราง หนา ตารางท่ี 4.1 …..(ระบชุ ่ือตาราง).............................................................................................. ตารางท่ี 4.2 …..(ระบุชื่อตาราง).............................................................................................. เปน สว นท่ีแสดงรายการตารางที่มที ้งั หมดในรายงานการวจิ ัย นักวจิ ยั ตอ งระบเุ ลขทตี่ าราง ชือ่ ตาราง และเลขหนากํากบั ไวเ พอ่ื ความสะดวกในการคน หา . สารบัญภาพ

24 หนา ภาพที่ 2.1 …..(ระบชุ อื่ ภาพ).................................................................................................... ภาพที่ 2.2 …..(ระบุช่ือภาพ).................................................................................................... เปนสวนที่แสดงรายการภาพประกอบท่ีมีท้ังหมดในรายงานการวิจัย ไดแก รูปภาพ แผนภูมิ แผนผัง แผนภาพทางสถติ ิตา งๆ ทป่ี รากฏในรายงานการวิจัย วิธกี ารเขียนนกั วจิ ยั กท็ ําเชน เดียวกับสารบัญ ตาราง คือ บอกเลขท่ภี าพ ชอื่ ภาพ และบอกเลขหนา กํากบั ดวย บทที่ 1

25 บทนํา 1. ความเปน มาและความสาํ คญั ของปญหา ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. แนวทางการเขยี นความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา การนําเขาสูปญ หาวจิ ยั ที่มาของปญหาวจิ ยั ปญหาวิจัย ความสําคัญของ ปญหาวจิ ัย ในสวนสรปุ นกั วิจัยตองเขยี นขมวดทา ย หรอื สรุปใหมีสวนเช่อื มโยงหรอื สงตอกับวตั ถุประสงคของการวจิ ัย และความสําคัญของการวิจัย ทัง้ นส้ี ามารถศกึ ษารายละเอยี ดการเขยี นไดในสว นท่ี 3 ขอ ท่ี 2.1.1 การเขยี นความ เปนมาและความสําคญั ของปญหาวิจัย ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………..……………………………………………………………………………………………………………………. 2. วตั ถปุ ระสงคของการวจิ ยั 2.1 เพื่อพัฒนาการคิดวิเคราะหโดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง วิชาเพศศึกษาของนักเรียนช้ัน ปวช.1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยมีเปาหมายเพ่ือพัฒนา ความสามารถในการคิดวิเคราะหตนเอง เกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนเช่ือมโยงกับตนไมของนักเรียนใหมีคะแนนผาน เกณฑ รอ ยละ 80 ทกุ คน 2.1 เพื่อแกปญหานักเรียนขาดคุณธรรมและจริยธรรม 5 ประการ ในรายวิชามารยาทและ การสมาคมของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชา การบัญชี โดยใชแบบบันทึกพฤติกรรมรายบุคคล ประกอบดวย

26 ความสนใจใฝรู ความรับผิดชอบ การแตงกายถูกตองตามระเบียบของสถานศึกษา การมีความซื่อสัตยและตรงตอ เวลา โดยมเี ปาหมายใหนักเรยี นทกุ คนมคี ะแนนคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมไม นอ ยกวา รอยละ 70 ทกุ คน 2.2 เพื่อศกึ ษา………………………………………………………………………………………………….…………………... 2.3 เพ่ือประเมนิ ความพึงพอใจของผเู รยี นท่ีมตี อ การเรียนการสอนโดยใช… ………….…….………….…… รายวิชา………………….. รหสั วชิ า ………………………………………………….......................................... 3. สมมติฐานของการวจิ ัย (ถา ม)ี 3.1 …………………………………………………………………………………………………………………………............ 3.2 …………………………………………………………………………………..………………………........................... สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดใ นสว นท่ี 3 ขอท่ี 2.1.3 การเขยี นสมมติการวิจยั พรอมตวั อยาง 4. กรอบแนวคิดในการวิจยั ในงานวิจัยเร่ืองหนึ่งนักวิจัยสามารถศึกษาไดหลายแบบ หลายแงมุม เน่ืองจากนักวิจัยมองปญหาเรื่อง เดียวกันในลักษณะท่ีแตกตางกัน ใชทฤษฎีหรือแนวคิดในการมองปญหาแตกตางกัน นักวิจัยจําเปนตองเลือก แนวคิดหรือทฤษฎีมาเปนฐานในการสรางกรอบแนวคิดในการวิจัยของตนเอง ซึ่งกรอบแนวคิดที่ดีตองชี้ใหเห็น ภาพรวมของเร่อื งท่จี ะทาํ การวจิ ัย โดยช้ีใหเห็นโครงสรางความสัมพันธระหวา งตวั แปรทงั้ หมดทีใ่ ชใ นการวจิ ัย สามารถศกึ ษารายละเอียดการเขยี นไดใ นสว นที่ 3 ขอที่ 2.1.4 การเขยี นกรอบแนวคิดการวิจัย พรอมตวั อยา ง 5. ขอบเขตของการวจิ ัย 5.1 ขอบเขตดานโครงสรา ง/เนอ้ื หา 5.1.1……(นวัตกรรม)………………รายวชิ า…………………..…….. รหัสวิชา ……………………….. ดําเนนิ การสรางข้ึนตามหลักเกณฑ จุดมุงหมายและเกณฑการใชหลักสูตร…………….. พุทธศักราช……………………... ประเภทวิชาอตุ สาหกรรม สาํ นักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา 5.1.2…(นวัตกรรม)……เน้ือหาครอบคลุมคําอธิบาย จุดประสงค รายวิชา………….............. รหัสวิชา.............. ใชส ําหรับการเรียนการสอน ระดับ……..……….. ช้ันปที่………..สาขางาน…..…………………............. สาขาวิชา……………………...วทิ ยาลัย………………. สงั กัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ขอบเขตดานเนือ้ หามีในงานวจิ ยั บางประเภทเทานั้น เชน การวิจยั เชงิ ทดลองหรือการวิจัยเชงิ พัฒนาท่ี ตองการพฒั นาสื่อหรือนวตั กรรมทางการศึกษา จาํ เปนตอ งมเี น้อื หาสาระในการสรางส่ือหรือนวตั กรรม จึง ตองระบุขอบเขตของเนอ้ื หาที่ใชใ นการวิจยั ไวด วยวาประกอบดวยเนอ้ื หาเรอ่ื งอะไรบา ง

27 5.2 ขอบเขตดา นประชากรและกลมุ ตวั อยาง 5.2.1 ประชากร คือ (นักเรียน/นักศึกษา) ระดับ……………………………………............. ช้ันปท่ี……..สาขางาน…………………….. สาขาวิชา……………………...วิทยาลัย……….. ............................................. สงั กัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา 5.2.2 กลุมตัวอยาง คือ (นักเรียน/นักศึกษา) ระดับ……………………......... ช้ันปท่ี…….. หองท่ี……………..สาขางาน…………………….. สาขาวิชา……………………...วิทยาลัย…………....................................... สังกัดสํานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา จํานวน……………..…คน โดย สมุ /เลอื ก แบบ………………………………. ทั้งน้ีในการวิจัยเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา นักวิจัยสามารถกําหนดประชากรและกลุมตัวอยาง โดยการระบุกลุมเปาหมายในการวิจัยเปนประชากรและกลุม ตัวอยา งกไ็ ด เชน 5.2.1 กลุมเปาหมาย นักเรียน ระดบั ปวช. 1 ทลี่ งทะเบียนเรียนในรายวิชา เพศศึกษา ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศกึ ษา 2560 แผนกวิชา ชา งกลโรงงาน กลมุ 5,6 จํานวน 38 คน 5.3 ขอบเขตดานตัวแปร 5.3.1 ตวั แปรตน คือ ………………………………………………………………………………. 5.3.2 ตวั แปรตาม คอื ……………………………………………………………………………… 5.4 ขอบเขตดา นระยะเวลา ระยะเวลาในการดําเนนิ การวิจยั เริ่มตั้งแต เดือน……..พ.ศ. ………. ถึง เดือน………..พ.ศ. ………. รวมระยะเวลา …………. เดอื น/ป 6. ประโยชนทีค่ าดวาจะไดร บั ตัวอยาง จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัย รักการอานของนักเรียน............ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที่........แผนกวิชา………………………............... วทิ ยาลยั ………………… สามารถเขียนประโยชนท ไ่ี ดร ับจากการวิจยั ไดดังนี้ 6.1 นักเรียนที่ผานการเขารวมกิจกรรมตามลาหาความรูมีลักษณะนิสัยรักการอาน การศึกษาคน ควาหาความรดู วยตนเองดขี ึ้น และมเี จตคติทดี่ ตี อ การอาน 6.2 นักเรียนที่ผานการเขารวมกิจกรรมตามลาหาความรู อานหนังสือดวยตนเอง และมลี กั ษณะนสิ ัยใฝเรยี นรูมากขึน้ 6.3 ไดแนวทางในการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน และการ พัฒนานักเรียนในคุณลักษณะดานอนื่ ๆ ตอไป สามารถศึกษารายละเอยี ดการเขียนไดใ นสว นที่ 3 ขอท่ี 2.1.6 การเขยี นประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัย พรอมตัวอยา ง

28 7. นยิ ามศพั ท ตวั อยาง การวิจยั เรอื่ ง ผลการจดั กิจกรรมตามลาหาความรเู พอ่ื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ............ระดบั ประกาศนียบตั รวิชาชีพ ช้ันปที.่ .......แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………...................... ผูวิจัยไดกําหนดนิยามคําศพั ทส าํ หรบั การวิจัยในครงั้ นี้ ดังนี้ 7.1 การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง กิจกรรมกําหนดขึ้นสําหรับเสริมสราง และพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน โดยการจัดกลุมใหนักเรียนรวมกันศึกษาคนควาดวยการอานและเรียนรู จากศูนยการเรียนรูภายในวิทยาลัยฯ จํานวน 10 ศูนย และแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ นอกวิทยาลัยฯ แลวบันทึกสาระ ความรูและประสบการณท่ีไดรวมท้ังการนําเสนอแลกเปล่ียนเรียนรูรวมกันโดยมีครูท่ีปรึกษา และครูผูสอน เปนผูสรางพลังกระตุนจูงใจใหความชวยเหลือ เอ้ืออํานวยความสะดวก สงเสริมสนับสนุนและประเมินผล การเขา รว มกิจกรรมตามลาหาความรู 7.2 ลักษณะนิสัยรักการอาน หมายถึง พฤติกรรมหรือการปฏิบัติตนของนักเรียนท่ีแสดงออกถึง ความสนใจ ความกระตือรือรน และความมุงม่ันตอการอาน การศึกษาคนควาอยางสม่ําเสมอ ซึ่งวัดไดจากการ สงั เกตพฤติกรรมการอา นของนักเรยี นโดยผูปกครองและครู การสอบถามนักเรียน รวมทั้งการใชขอมูลจากเอกสาร หลกั ฐานการใชห อ งสมุดของนกั เรยี น 7.3 เจตคติตอการอาน หมายถึง ความรูสึก หรือความคิดของนักเรียนที่สะทอนถึงการอานใน ลักษณะที่ชอบหรอื ไมช อบ สนับสนนุ หรอื ไมสนบั สนุนตอการอานและการศึกษาคนควา ซ่ึงวัดไดจากแบบวัดเจตคติ ทผี่ ูวจิ ยั สรางขน้ึ และจากการสนทนากลุม นกั เรียนที่เขา รวมกจิ กรรมตามลาหาความรู 7.4 ความพงึ พอใจตอ การจดั กจิ กรรมตามลาหาความรู หมายถึง ความรูสึกนึกคิดของนักเรียน และผูปกครองในลักษณะเห็นดวย ยอมรับ หรือใหการสนับสนุนตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูที่ไดจัดขึ้น เพอ่ื เสริมสรา งลักษณะนสิ ัยรกั การอา นของนกั เรียน ซง่ึ วดั ไดจ ากแบบวัดความพึงพอใจทีผ่ วู ิจยั สรางขึน้ สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดใ นสวนท่ี 3 ขอท่ี 2.1.7 การเขยี นนิยามศพั ทพรอมตัวอยา ง

29 บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจยั ที่เกี่ยวของ การวิจัย เรื่อง ………………………………………มีวัตถุประสงคเพ่ือ…(นําวัตถุประสงคมาเขียนเปนความเรียง)…… โดยผวู ิจยั ไดศึกษา แนวคดิ ทฤษฏี เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกย่ี วขอ ง ดงั นี้ 1. ช่ือหัวขอ สาํ คญั ลําดับที่ 1 2. ชื่อหวั ขอ สาํ คญั ลําดบั ท่ี 2 3. ช่ือหัวขอ สาํ คัญลําดบั ที่ 3 4. งานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ ง 1. ชือ่ หวั ขอสาํ คัญลาํ ดับท่ี 1 …..(ขอ ความ)…………………………………………………………………………………….................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอ ความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.1 .…………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2 ………………………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2.1 ………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1.1.2.2 ….………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 1) …………………………………………………………………………………………………………. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2)………………………………………………………………………………………………………….. 2. ชอื่ หวั ขอสาํ คญั ลาํ ดับที่ 2 …..(ขอความ)…………………………………………………………………………………….................................................. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอ ความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 2.1.1 …………………………………………………………………………………………………………………………….. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 2.1.2 ……….……………………………………………………………………………………….…………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………….…………………………..

30 2.1.2.1 ………………………………………………….…………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 2.1.2.2 ………………………………………………………………………………..…………………………… 1) …………………………………………………………………………………………………………. …………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………….. 3. ชอื่ หัวขอ สาํ คัญลําดับท่ี 3 …..(ขอ ความ)……………………………………………………………………………………................................................... ……………………………………………………………………………………………………………………..………………………………………… 3.1 ..หัวขอใหญ…… …….(ขอความ)………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………….……………….. 3.1.1 …………………………………………………………………………………………………………………………….. ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2 ……………………………………………………………………….…………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2.1 ………………………………………………………………………………….………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….. 3.1.2.2 ….………………………………………………………………………………………………………… 1) .………………………………………………………………………………………………………. 2)………………………………………………………………………………………………………… 4. งานวิจัยท่ีเก่ยี วของ …..(ขอความ)…………………………….………………………………………………………...………………………………………….. ..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………. งานท่เี กีย่ วของเรื่องท่ี 1……(งานวจิ ยั ของใคร …เร่ือง……..ผลการศกึ ษาเปนอยา งไร)……….………………………… งานทเี่ กี่ยวของเร่ืองที่ 2……(งานวิจยั ของใคร …เรือ่ ง……..ผลการศกึ ษาเปน อยางไร)……………….………………… ……..(ขอ ความสรุปงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วของ)………………………………………………………………………………….…………… สามารถศึกษารายละเอียดการเขียนไดในสวนที่ 3 ขอท่ี 2.2 การเขียนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ พรอ มตัวอยาง

31 บทที่ 3 วิธดี าํ เนนิ การวจิ ัย รายงานการวิจัยเรื่อง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชา งกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง มีวัตถปุ ระสงคเพื่อพัฒนาการคิดวเิ คราะหโ ดยใชผ ังความคดิ วเิ คราะหตนเอง วิชาเพศศึกษาของนักเรียนชั้น ปวช.1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยมีเปาหมายเพ่ือพัฒนาความสามารถใน การคิดวิเคราะหตนเอง เก่ียวกับอัตลักษณแหงตนเชื่อมโยงกับตนไมของนักเรียนใหมีคะแนน ผา นเกณฑ รอยละ 80 ซ่ึงผูว ิจัยไดด าํ เนินการวจิ ัยตามข้นั ตอน ดังตอไปนี้ 1. ประชากร ประชากรทเี่ ปน กลมุ เปาหมายในการพัฒนาและเปน แหลงขอ มูลเก่ียวกบั ผลการพัฒนาพฒั นาการ คดิ วเิ คราะหเ กี่ยวกับอตั ลกั ษณแ หง ตน วิชาเพศศกึ ษา ของนักเรียนช้นั ปวช. 1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรยี นท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผงั ความคดิ วเิ คราะหตนเอง จาํ นวน 38 คน 2. เครื่องมือและการสรางเคร่ืองมือในการวิจัย 2.1 เครอ่ื งมือท่ีใชในการวิจัย 2.1.1 ใบงานการวิเคราะห ตนเอง เกีย่ วอัตลกั ษณแ หง ตนเชื่อมโยงกับตน ไม 2.1.2 แบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห 2.1.3 แบบสัมภาษณความพงึ พอใจตอ การสอนโดยใชผังความคิดวเิ คราะหตนเอง 2.2 การสรา งเครื่องมือในการวิจยั เครื่องมือในการวิจัยในครั้งนี้ เปนเคร่ืองมือท่ีผูวิจัยสรางขึ้นเอง โดยการประยุกตเทคนิคการคิด วเิ คราะหโดยใชผ ังความคดิ ของ สวุ ทิ ย มูลคํา มาใชส รา งใบงานและแบบประเมนิ การคิดวเิ คราะห 3. การเกบ็ รวบรวมขอมูล ผูวิจยั ไดพฒั นาการคิดวเิ คราะหของนกั เรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปก ารศึกษา 2560 โดยการใชก จิ กรรมเทคนิคการคดิ วเิ คราะห โดยใชผงั ความคดิ ของ สวุ ทิ ย มูลคํา วิเคราะหตนเอง เก่ยี วกับอตั ลกั ษณแหง ตนเช่ือมโยงกับตนไม เก็บรวบรวมขอมูล โดยปฏิบัติการสอนเปนระยะเวลา 1 สัปดาห ตาม ข้ันตอนดงั นี้ 3.1 ขั้นเตรียมการ ผูวิจัยสนทนากับนักเรียนกลุมเปาหมาย ใหความรูเกี่ยวกับความแตกตางของ ตนไมแตละชนดิ ถึงรปู ราง การเจริญเติบโต การดแู ล จํานวน 3 ตัวอยาง 3.2 ข้ันปฏบิ ัติ ผูวิจัยใหนักเรียนสํารวจพฤติกรรมของตนเองวาเหมือนหรือคลายกับตนไมชนิดใด โดยใหระบุสิ่งท่ีนักเรียนวิเคราะหบันทึกลงในใบงานโดยให เวลา 20 นาที หลังจากน้ันใหแตละคนนําเสนอผลการ วเิ คราะหข องตนเองหนาช้นั เรียน 3.3 ข้ันสรุป หลังจากทุกคนนําเสนอ ผูวิจัยนํานักเรียนทุกคนชวยกันสรุปถึงความแตกตางและ คุณคาของแตล ะคน 3.4 ขั้นการวัดและประเมินผล ผูวิจัยวัดและประเมินผล โดยใชแบบประเมินการคิดวิเคราะห เทคนคิ การคิดวิเคราะหโ ดยใชผงั ความคิดที่ผวู จิ ัยสรา งคดิ 3.5 สมั ภาษณความพึงพอใจของนักเรียนเรียนตอ การจัดการเรียนรโู ดยใชผังความคิดวเิ คราะหต นเอง

32 4. การวเิ คราะหขอมูล ในการวิจัย เร่ือง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวชิ าชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง ครง้ั น้ี ผวู จิ ยั ดาํ เนนิ การวเิ คราะห ดังนี้ 4.1 ประเมินผลจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห และนําคะแนนท่ีไดจากการประเมินมาเทียบ กบั เกณฑการประเมนิ ทก่ี าํ หนดไว 4.2 ประเมินความพึงพอใจจากการสัมภาษณ โดยการวิเคราะห สังเคราะหเน้ือหา (Content Analysis) 5. สถิตใิ นการวิจัย สถิติในการวิจัยคร้งั น้ี ไดแ ก คาความถ่ี และคา รอยละ จากทีก่ ลาวมาขางตน เปน กรณตี ัวอยางการเขียนรายงานวิธีการดําเนินการวิจัย ซ่ึงมีรูปแบบวธิ กี ารเขยี น ท่ีหลากหลายนักวจิ ัยสามารถปรบั รปู แบบวิธีการเขียนใหสอดคลอ งกบั วธิ กี ารดําเนินการวจิ ัยของตนเองได แตตองยงั คงสาระสาํ คัญของวิธีดาํ เนินการวจิ ยั ไวใ หครบถวน ซงึ่ สามารถศกึ ษารายละเอียดเพ่ิมเตมิ ไดใ น สวนท่ี 3 หวั ขอท่ี 2.3 การเขียนวธิ ดี าํ เนนิ การวิจยั พรอมตัวอยา ง

33 บทท่ี 4 ผลการวิเคราะหข อมูล การวิจัยเรื่อง การพัฒนาการคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง ผูวิจัย นําเสนอผลการวิเคราะหขอมูล ตามลําดับ ดังนี้ 1. ผลการประเมนิ จากแบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห โดยใชผังความคิดวเิ คราะหต นเอง ผูวิจัยไดวิเคราะหผลจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง จากการ จดั การเรียนการสอน วิชาเพศศกึ ษา ของนักเรียนชน้ั ปวช. 1 แผนกวิชาชา งกลโรงงาน กลมุ ที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ป การศึกษา 2560 และนําคะแนนที่ไดจากการประเมินมาเทียบกับเกณฑการผานท่ีรอยละ 80 ปรากฏผล การประเมนิ ดังตารางท่ี 4.1 ตารางที่ 4.1 ผลการประเมินจากแบบประเมินการคิดวิเคราะห โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง จากการจัด การเรียนการสอน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปก ารศึกษา 2560 ผลการประเมินจากแบบประเมนิ การคดิ วเิ คราะห (20 คะแนน) ผลการประเมนิ คะแนนท่ีไดจากการประเมิน ความถ่ี (คน) รอยละของคะแนนทไี่ ดรับ ตามเกณฑการผา น 20 10 100 ผา นเกณฑ 19 5 95 ผานเกณฑ 18 11 90 ผานเกณฑ 17 6 85 ผา นเกณฑ 16 4 80 ผานเกณฑ คะแนนเฉลย่ี 18.38 รวม 38 คน เฉล่ีย รอยละ 91.90 ผา นเกณฑ รอยละ 100 จากตารางท่ี 4.1 ผลการวิเคราะหการคิดวิเคราะหตนเอง โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง เกี่ยวกับ อตั ลกั ษณแ หง ตนเชื่อมโยงกบั ตนไม พบวา ………………(อธิบายผลจากตารางเทา นัน้ โดยไมต อ งมคี วามคดิ เห็นใด ๆ) ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

34 2. ผลการวิเคราะหค วามพึงพอใจของนกั เรยี นตอ การจดั การเรยี นรูโ ดยใชผงั ความคดิ วเิ คราะหตนเอง ผูวิจัยไดวิเคราะหความพึงพอใจของนักเรียนตอการจัดการเรียนรูโดยใชผังความคิด วิเคราะหตนเอง จากการจัดการเรียนการสอน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมท่ี 5,6 ภาค เรียนที่ 1 ปการศึกษา 2560 โดยการสัมภาษณนักเรียนเปนรายบุคล และนําขอมูลจากการสัมภาษณมาวิเคราะห สังเคราะหเนื้อหา (Content Analysis) พบวา…................(เสนอเฉพาะขอมูลที่ไดจากการสัมภาษณ โดยไมตอง แสดงความคิดเห็นใด ๆ สวนใหญนิยมนําเสนอขอมูลที่ไดเปนขอ ๆ ทั้งน้ีนักวิจัยสามารถออกแบบการนําเสนอ ขอมลู ไดอยางอสิ ระ)……………………………………………………........................................................................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …..…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………........................................................................................ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………..................................................................................... ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……..………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… จากที่กลาวมาขางตน เปนกรณีตัวอยางการเขียนรายงานผลการวิเคราะหขอมูลหรือผลการวิจัย ซึ่งมี รูปแบบวิธีการเขียนท่ีหลากหลาย นักวิจัยสามารถปรับรูปแบบวิธีการเขียนใหสอดคลองกับวิธีการ ดาํ เนนิ การวิจยั และวัตถปุ ระสงคการวิจัยของตนเองได แตตองยังคงสาระสําคัญของการเขียนรายงานผล การวิเคราะหขอมูลหรือผลการวิจัย ไวใหครบถวน ซ่ึงสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมไดในสวนที่ 3 หวั ขอท่ี 2.4 การเขยี นรายงานผลการวิเคราะหขอมูลพรอ มตัวอยาง

35 บทท่ี 5 สรปุ ผลการวิจัย อภปิ รายผล และขอเสนอแนะ การพัฒนาการคิดวิเคราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศึกษา ของนักเรียนช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุมที่ 5,6 ภาคเรียนท่ี 1 ปการศึกษา 2560 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง เพ่ือพัฒนาการจัดการเรียนรูของครู และพัฒนาการคิดวิเคราะหของนักเรียนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประเภทชางอุตสาหกรรม ผูวจิ ัย สรปุ ผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ ดังนี้ 1. สรปุ ผลการวจิ ัย ..................................(เปนการสรุปผลการวิจัยสั้นๆ ใหกระชับและสอดคลองหรือเรียงลําดับตาม วัตถปุ ระสงคของการวิจยั หรอื เปน การนาํ เสนอผลการวจิ ยั ในระดับตีความ (interpretation)……………..………......... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2. การอภปิ รายผล ……….(เปนการแปลผลในระดับการขยายความ (extrapolation) โดยมุงวิพากษวิจารณเกี่ยวกับ ผลการวิจัยที่ได วามีความสอดคลองท่ีขัดแยงกับสมมุติฐานการวิจัยท่ีต้ังไวหรือไม เพราะเหตุใด และอภิปราย เชื่อมโยงระหวางผลการวิจัยท่ีไดกับผลการวิจัยในอดีต และแนวคิดทฤษฎีท่ีใชเปนกรอบในการวิจัยวามีความ สอดคลอ งหรือขดั แยงกันอยา งไร)………....................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 3. ขอ เสนอแนะ 3.1 ขอเสนอแนะเพือ่ การนําผลการวจิ ยั ไปใช 3.1.1............................................................................................................................................. 3.1.2............................................................................................................................................. 3.2 ขอ เสนอแนะเพอื่ การศกึ ษาในคร้ังตอ ไป 3.2.1............................................................................................................................................. 3.2.2............................................................................................................................................. จากท่ีกลาวมาขางตน เปนกรณีตัวอยางการเขียนรายงานการสรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ ซึ่งสามารถศึกษารายละเอียดเพ่ิมเติมไดในสวนที่ 3 หัวขอท่ี 2.4 การเขียนรายงานการสรุปผล อภิปรายผลและขอเสนอแนะ พรอ มตวั อยา ง

36 บรรณานุกรม ช่ือ-สกุลผูแตง .//ปท พ่ี ิมพ.//ชื่อหนังสอื .//ฉบับพมิ พ. //ชื่อชดุ ,// ////////อนั ดับที่.//สถานท่ีพิมพ/ :/สาํ นักพมิ พ หรือโรงพมิ พ. (กําหนดให / เปนระยะพิมพที่เวน 1 ตัวอักษรพิมพ ท้ังน้ีสามารถดูรายละเอียดการเขียนบรรณานุกรม ตามประเภทของวัสดุที่ใชอา งองิ ในสวนท่ี 3 ขอที่ 3.1.1 รปู แบบการพมิ พบ รรณานุกรม พรอ มตัวอยาง) ภาคผนวก เปนรายละเอียดตางๆ ที่เกี่ยวของกับงานวิจัยท่ีตองการนําเสนอ เพ่ือยืนยันและแสดงถึงการดําเนินการ วิจัยอยางเปนระบบ และเพ่ิมความนาเช่ือถือของผลงานวิจัย อีกท้ังจะเปนการชวยใหผูอานเขาใจรายงานการวิจัย ไดดียิ่งข้ึนและไดเห็นแบบอยางหรือแนวทางการดําเนินงานในบางประการ ภาคผนวกมีหลายลักษณะซ่ึงอาจ นาํ เสนอแยกเปน หมวดหมเู ปน ภาคผนวก ก - ข หรอื ค ฯลฯ และอาจเรียงลําดบั ตามข้นั ตอนของกระบวนการวิจัย ดังตวั อยา ง ภาคผนวก ก เครือ่ งมือที่ใชในการเกบ็ รวบรวมขอมลู ภาคผนวก ข รายนามผทู รงคณุ วุฒทิ ่ีชว ยตรวจสอบคณุ ภาพของเครื่องมือวจิ ยั ภาคผนวก ค ผลการวเิ คราะหขอ มลู โดยใชสถิติ ภาคผนวก ง ประวัตนิ ักวิจยั หรอื ประวตั ผิ วู ิจัย เปน ตน

สว นที่ 3 แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ยั เพอ่ื พฒั นาคุณภาพการจัดการเรียนการสอนอาชีวศึกษา 1. แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัยสวนนาํ 1.1 ปกนอกและปกใน ใหพิมพรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อเรื่องวิจัย ช่ือผูวิจัย ชื่อหนวยงาน หรือ สถาบันการศึกษาของผูวิจัยและปที่ทําการวิจัยสําเร็จ โดยจัดขอความไวในแนวกึ่งกลางของหนากระดาษ แบงขอความออกเปน 3 สวน ใหสวนบนเปนชื่อเรื่องวิจัย สวนกลางเปนชื่อผูวิจัย และสวนลางเปนช่ือ สถาบนั การศกึ ษาหรอื หนว ยงานที่ทําการวจิ ยั และปท ่ที าํ การวจิ ัยสําเรจ็ 1.2 บทคัดยอ เปนสวนที่กลาวถึงกระบวนการวิจัยและผลการวิจัยอยางสั้นๆ และยอที่สุด โดยให ครอบคลุมถึงวตั ถุประสงคของการวิจยั วิธดี ําเนินการวจิ ัยซึ่งประกอบดวย รูปแบบของการวิจัย ประชากรและกลุม ตัวอยางเครื่องมือเก็บรวบรวมขอมูล การวิเคราะหขอมูล และผลการวิจัย มีความยาวไมเกิน 2 หนากระดาษพิมพ โดยทั่วไปมักเขยี นทัง้ ภาษาไทยและภาษาตา งประเทศ 1.3 กิตติกรรมประกาศ หรือประกาศคุณูปการ เปนสวนที่นักวิจัยเขียนแสดงความขอบคุณแกผูใหความ ชวยเหลือสนับสนุนจนทําใหการวิจัยเรื่องน้ันสําเร็จ เชน หนวยงาน หรือแหลงท่ีใหเงินทุนอุดหนุนการวิจัย ผูให คําปรึกษาหนวยงาน หรือบุคคลที่เปนแหลงขอมูล ผูใหความชวยเหลือในการพิมพ จัดทํารูปเลมรายงานการวิจัย การเกบ็ รวบรวมขอ มลู และวิเคราะหขอ มูล เปนตน 1.4 สารบญั เปน สวนท่บี อกโครงสรา งหรือหวั ขอเรอื่ งของรายงานการวิจัยทง้ั หมด เพ่ือชวยใหผูอานคนหา แตละหัวขอไดสะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเขียนรายการหัวขอเรื่องแยกเปนบท ๆ และเรียงลําดับหัวขอตาม เน้อื หาพรอมทง้ั ระบุเลขหนา กํากบั ไวดวย 1.5 สารบัญตาราง เปนสวนที่แสดงรายการตารางท่ีมีทั้งหมดในรายงานการวิจัย โดยบอกเลขที่ตาราง ช่ือตาราง และเลขหนา กาํ กับไวเ พ่อื ความสะดวกในการคน หา 1.6 สารบญั ภาพหรือสารบัญภาพประกอบ เปนสวนที่แสดงรายการภาพประกอบท่ีมีท้ังหมดในรายงาน การวิจัย ไดแก รูปภาพ แผนภูมิ แผนผัง แผนภาพทางสถิติตางๆ ที่ปรากฏในรายงานการวิจัย วิธีการเขียนก็ทํา เชน เดียวกบั สารบัญตาราง คือ บอกเลขที่ภาพ ชอื่ ภาพ และบอกเลขหนากํากบั ดวย 2. แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ัยสวนเนื้อเรื่อง สวนเน้ือเรื่องเปนสวนที่สําคัญท่ีสุดของรายงานการวิจัย เพราะประกอบดวยรายละเอียดท่ีเก่ียวของกับ งานวิจยั ท้ังหมด โดยท่ัวไปจะแบงเน้อื หาออกเปน 5 บท ซง่ึ แตล ะบทมสี าระสาํ คญั และหลักการเขยี น ดังนี้ 2.1 แนวทางการเขียนรายงานการวจิ ัยบทที่ 1 บทนํา (introduction) เปนการนําเขาสูเร่ืองท่ีทําการวิจัยเพ่ือใหผูอานเขาใจ และเห็นความสําคัญของปญหาท่ีทํา การวิจัย ซง่ึ มีหวั ขอ และรายละเอียดคลายกับที่เขียนไวในโครงการวิจัยตางกันท่ีโครงการวิจัยเปนแผนการทําวิจัยท่ี ยังไมไดดําเนินการ แตรายงานการวิจัยเปนการนําเสนอสาระเกี่ยวกับการวิจัยท่ีไดดําเนินการเสร็จแลว ภาษาท่ีใช จึงเปนประโยคอดีตกาล และในบางหัวขอมีการขยายความ หรือรายละเอียดเพ่ิมข้ึน หัวขอสําคัญที่ควรระบุไวใน บทนาํ มดี งั นี้ 2.1.1 ความเปนมาและความสําคัญของปญหาวิจัย เปนการเขียนถึงภูมิหลัง (background) ท่ีมาของปญหาที่จะทําการวิจัย โดยมุงตอบคําถามวาทําไมจึงตองทําการวิจัยเรื่องนี้ มีเหตุผลและความจําเปน อยางไร และเม่ือทําการวิจัยแลวคาดวาจะไดประโยชนอะไร การเขียนจะเร่ิมตนดวยการนําเขาสูปญหาการวิจัย อธบิ ายที่มาของปญ หาวิจัย ระบุปญหาวิจัย และสรุปดวยความสําคัญของปญหาวิจัย รูปแบบการเขียนจะนําเสนอ เปน ภาพกวางสูภาพเล็ก ในลกั ษระรปู สามเหลี่ยมควาํ่ ดังภาพท่ี 2

38 การนาํ เขา สูปญหาวิจัย ทม่ี าของปญ หาวิจัย ปญหาวจิ ยั ความสําคัญของ ปญ หาวิจัย ภาพที่ 2 แสดงรูปแบบการเขียนความเปนมาและความสาํ คัญของปญ หาวจิ ยั แนวทางการเขยี นความเปน มาและความสําคญั ของปญหาวิจยั มีหลกั การเขยี นดังนี้ 1) ความตรงประเด็น ตองเขียนใหตรงประเด็น โดยชี้ใหเห็นวาปญหาที่จะศึกษาน้ันคืออะไร เรื่องที่จะ ศกึ ษามคี วามสาํ คญั อยางไร หลกี เลีย่ งการเสนอรายละเอียดตางๆ ที่ไมเกีย่ วของ 2) ความมเี หตผุ ล ตอ งเขยี นใหมเี หตุผลโดยมีการนําทฤษฎี แนวคิดของบุคคลทเ่ี ช่ือถือได เปนที่ยอมรับมา กลา วเปน ขอมูลสนับสนุนเรื่องท่จี ะทําการวิจัยพรอมทั้งมีหลักฐานอา งองิ เพื่อความเชอื่ ถอื ได 3) ความสัมพันธเช่ือมโยง ตองเขียนใหสาระระหวางประเด็น หรือแตละตอนมีความตอเนื่องสัมพันธ เชอ่ื มโยงกนั อยาใหเน้ือหาสาระขาดตอนเปนทอ นๆ 4) ความกระชับ รัดกุม ตองเขียนแตละประเด็นใหมีสาระท่ีกระชัย รัดกุมไมยืดยาวจนผูอานเกิด ความเบื่อหนาย 5) เขาใจไดงาย สาระที่นําเสนอตองทําใหเกิดความเขาใจไดงายเสนอประเด็นตางๆ เปนลําดับขั้นตอน โดยใชภ าษางายๆ 6) การลงสรปุ ในสว นตอนทา ยตองเขยี นขมวดทาย หรือสรุปใหม ีสวนเชื่อมโยงหรือสงตอกับวัตถุประสงค ของการวิจัยและความสําคัญของการวิจัยตอ ไปไมใชเขียนสรปุ จบประโยคหว นๆ ตัวอยางท่ี 1 การเขยี นความเปน มาและความสําคัญของปญหา การวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปที่........แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………แนวทางการเขียน อาจกาํ หนดกรอบโครงรางประเด็นท่ีควรเขยี นไดดงั น้ี 1) ระบุความสาํ คญั ความมุงหวังและเปา หมายของการพฒั นานสิ ัยรกั การอาน 2) ระบุสภาพทเ่ี ปน จรงิ เก่ยี วกับพฤติกรรมหรอื นิสยั รักการอานของนักเรียน 3) ระบสุ ภาพปญ หาเกีย่ วกบั ลักษณะนิสัยรักการอา น (ความแตกตา งกันระหวางสภาพท่ี มุงหวังและสภาพทีเ่ ปนจรงิ ) และสาเหตุท่นี กั เรยี นไมรักการอาน 4) ระบุผลกระทบของปญหาทีน่ กั เรียนไมรักการอา น 5) แสวงหาทางเลือกเพ่ือการแกปญหาหรืพัฒนานิสัยรักการอาน โดยเลือกใชกิจกรรม ตามลาหาความรู พรอ มอธิบายเหตผุ ล 6) สรุปเหตุผลเพื่อการศกึ ษาวจิ ยั และความคาดหวงั ท่จี ะไดร ับจากการวิจัย

39 ตัวอยา งท่ี 2 การเขยี นความเปน มาและความสําคญั ของปญหา การวิจัยเร่ือง การแกปญหาความรับผิดชอบและการรูจักคนควาดวยตนเอง จากศูนยการเรียนรูดวย ตนเอง รายวิชา………………..ของนักเรยี นระดับประกาศนยี บัตรวิชาชีพ ช้ันปท่ี........แผนกวิชา…………………โดยการ เสริมแรงและการใชแบบฟอรม Self – Access Learning Report แนวทางการเขียนอาจกําหนดกรอบโครงราง ประเดน็ ทีค่ วรเขียนไดด งั นี้ 1) ระบุความสําคัญ ความมุงหวังและเปาหมายของการแกปญหาความรับผิดชอบและ การรจู ักคน ควาดวยตนเอง 2) ระบสุ ภาพท่ีเปนจริงเก่ยี วกับพฤตกิ รรมดา นความรบั ผิดชอบและการรจู กั คนควา ดวยตนเอง 3) ระบสุ ภาพปญ หาเก่ียวกับลักษณะพฤติกรรมดา นความรับผิดชอบและการรจู ักคน ควา ดวยตนเอง (ความแตกตางกันระหวางสภาพท่ีมุงหวังและสภาพที่เปนจริง) และสาเหตุที่นักเรียนไมมีความ รบั ผดิ ชอบและรจู ักคน ควาดวยตนเอง 4) ระบผุ ลกระทบของปญหาทนี่ ักเรยี นไมมีความรบั ผิดชอบและรจู กั คน ควา ดว ยตนเอง 5) แสวงหาทางเลือกเพ่ือการแกปญหาความรับผิดชอบและรูจักคนควาดวยตนเอง โดยเลอื กใชกิจกรรมเสรมิ แรงและการใชแ บบฟอรม Self – Access Learning Report พรอมอธิบายเหตุผล 6) สรุปเหตุผลเพ่อื การศึกษาวจิ ยั และความคาดหวังทจ่ี ะไดร ับจากการวจิ ยั ตัวอยางท่ี 3 การเขยี นความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา การวจิ ยั เรื่อง การพฒั นาความคดิ สรา งสรรคในการออกแบบช้นิ งานยานยนต เรอ่ื ง การสรางช้ินงาน 3 มิติ วิชา…………….ของนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ชั้นปท่ี…..สาขาวิชา………โดยใชวิธีคิดอยาง เปน ระบบแนวทางการเขยี นอาจกาํ หนดกรอบโครงรางประเดน็ ที่ควรเขียนไดดังน้ี 1) ระบคุ วามสาํ คญั ความมุง หวงั และเปาหมายของการพัฒนาความคดิ สรา งสรรคใ นการ ออกแบบช้ินงานยานยนต 2) ระบุสภาพท่เี ปน จริงเกีย่ วกับพฤตกิ รรมของนักศึกษาในการออกแบบชน้ิ งานยานยนต 3) ระบสุ ภาพปญหาเกยี่ วกับพฤตกิ รรมของนักศึกษาในการออกแบบช้นิ งานยานยนต (ความแตกตางกันระหวางสภาพท่ีมุงหวังและสภาพที่เปนจริง) และสาเหตุท่ีนักศึกษาไมมีความคิดสรางสรรค ในการออกแบบชน้ิ งานยานยนต 4) ระบผุ ลกระทบของปญหาทน่ี ักศกึ ษาไมม ี ความคิดสรางสรรคใ นการออกแบบชิ้นงาน ยานยนต 5) แสวงหาทางเลอื กเพือ่ พฒั นาความคดิ สรา งสรรคใ นการออกแบบชน้ิ งานยานยนต โดยเลอื กใชก ิจกรรมคิดอยางเปนระบบ พรอมอธบิ ายเหตุผล 6) สรุปเหตผุ ลเพอ่ื การศึกษาวจิ ยั และความคาดหวงั ท่ีจะไดรบั จากการวจิ ัย 2.1.2 วัตถุประสงคของการวิจัย (research objective) หรือจุดมุงหมายของการวิจัย (research purposes) เปนขอความที่แสดงถึงความตองการ หรือเปาหมายของนักวิจัยท่ีจะดําเนินการวิจัยให บรรลผุ ลในแตล ะคร้งั การเขียนวตั ถุประสงคของการวจิ ัยจึงเปน การกําหนดเปาหมายของการวิจัยวาตองการศึกษา คนควาหาคําตอบในเรื่องอะไร สวนใหญนิยมเขียนในรูปประโยคบอกเลาท่ีเปนเปาหมายรวม และเขียน วตั ถปุ ระสงคยอยตามปญ หาวิจยั แยกเปนปญ หายอ ๆ ออกไปอีก โดยมหี ลักการเขยี น ดงั นี้

40 1) ตองเขยี นสง่ิ ทเ่ี ปนเปา หมายในการศึกษาคนควาหาคาํ ตอบ มใิ ชเ ขยี นสิง่ ทเี่ ปนวธิ กี าร ดาํ เนินงานวิจยั สิง่ ทตี่ อ งการใหเกดิ ขึ้น หรอื ประโยชนท ่ีคาดวา จะไดรับจากการวจิ ัย เชน “เพ่ือใหนักเรียนมีทักษะการอานและการเขียนภาษาไทยดีขึ้น” การเขียนลักษณะนี้เปนการเขียนสิ่งท่ี ตอ งการใหเ กดิ ขึ้นซึ่งเปน วัตถุประสงคของการแกป ญ หาหรือพฒั นา “เพ่ือใหไดแนวทางในการปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร” การเขียนลักษณะน้ีเปนการเขียน ประโยชนท ่ีคาดวา จะไดรับจากการวิจัย 2) เขยี นใหส อดคลองหรอื อยใู นขอบขายและครอบคลุมประเดน็ ปญหาวจิ ยั 3) เขียนใหชัดเจน ใชภาษาที่เขาใจงาย ส้ัน กะทัดรัด ช้ีเฉพาะเจาะจงวาตองการจะทํา อะไร ตองการศึกษาคนหาคาํ ตอบอะไร ซึ่งจะสะทอนถงึ ตวั แปรทศ่ี ึกษา 4) เขียนเรียงลําดับตามความสําคัญของการวิจัย หรือตามข้ันตอนของการวิจัยโดยขอแรกๆ ควรเปน วตั ถปุ ระสงคที่ตรงหรือสอดคลอ งกับชื่อเรื่อง หรือหัวขอวิจัย ขอตอๆ ไปจึงควรเปนวัตถุประสงคท่ีตองการ ศกึ ษารองลงมา 5) วัตถุประสงคของการวิจัยท่ีกําหนดขึ้นจะตองมีความเปนไปไดมีขอบเขตที่พอเหมาะ และสามารถหาขอมูลเพอื่ ตอบคําถามหรือทดสอบได 6) วัตถุประสงคของการวิจัย ควรเขียนข้ึนตนดวยคําสําคัญตอไปนี้ เพ่ือบรรยาย(describe) เพ่ือการศึกษา (study) เพื่อสํารวจ (explore) เพ่ือเปรียบเทียบ (compare) เพื่อศึกษาความสัมพันธ (assodiation หรอื correlation) เพอ่ื วิเคราะห (analyze) เพื่อสังเคราะห (synthesize) เพื่อประเมิน/ตรวจสอบ (evaluate) เพ่ือสราง (construct) เพื่อพัฒนา (develop) เพื่อตรวจสอบความตรง (validate) (นงลักษณ วิรัชชัย, 2543 : 405) ตัวอยาง การเขยี นวัตถปุ ระสงคของการวิจยั 1) เพ่ือศกึ ษาความสามารถในการแกปญ หาสิง่ แวดลอมของนักเรยี นระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ช้ันปท่ี........แผนกวิชา………………… ท่ีเรียนวิชา…………………….โดยใชวิธีการทาง วทิ ยาศาสตร 2) เพอื่ พฒั นาพฒั นาความคิดสรางสรรคใ นการออกแบบชิ้นงานยานยนต เรอ่ื ง การสราง ชิ้นงาน 3 มติ ิ วชิ า…………….ของนกั ศกึ ษาระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพช้ันสงู ช้นั ปท่ี…..สาขาวิชา………โดยใชวิธีคิด อยางเปน ระบบ 3) เพื่อแกปญหาความรับผิดชอบและการรูจักคนควาดวยตนเอง จากศูนยการเรียนรู ดวยตนเอง รายวิชา………………..ของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปท่ี........แผนกวิชา………………… โดยการเสรมิ แรงและการใชแบบฟอรม Self – Access Learning Report จากการวิจยั เรื่อง ผลการจัดกจิ กรรมตามลาหาความรูเพ่อื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชั้นปท่ี........แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย…………………............................. อาจกําหนดวตั ถุประสงคข องการวจิ ยั ไดดงั น้ี 1) เพื่อการศึกษา (หรือประเมิน) ลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียนท่ีไดรับ การเสริมสรางจากการจดั กิจกรรมตามลาหาความรู หรือเพื่อเปรยี บเทียบลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียนกอน และหลังทีไ่ ดร ับการเสรมิ สรางจากการจดั กิจกรรมตามลาหาความรู 2) เพือ่ ศกึ ษาเจตคตติ อ การอานของนักเรยี นทไ่ี ดรับการเสรมิ สรา งจากการจัดกจิ กรรม ตามลาหาความรู 3) เพื่อศึกษาความพงึ พอใจตอการจัดกิจกรรมตามลา หาความรูของนักเรียนและผปู กครอง

41 2.1.3 สมมติฐานการวิจัย (research hypothesis) เปนขอความท่ีคาดคะเนคําตอบของ ปญ หาวจิ ัยไวล วงหนาอยางมีเหตุผล โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีแลเงานวิจัยที่เก่ียวของ เพื่อเปนฐานความคิดในการ ตัง้ สมมุติฐานรองรับ โดยมหี ลักการเขยี นดงั นี้ 1) ควรเขยี นสมมตฐิ านการวิจัยอยางมเี หตุผล โดยเขียนขนึ้ ภายหลงั จากทไี่ ดมีการศึกษา เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขออยา งละเอยี ดแลว 2) เขียนสมมติฐานการวิจัยใหสอดคลอง สัมพันธกับปญหาวิจัยและวัตถุประสงค ของการวิจยั 3) เขียนใหมีความชัดเจนเฉพาะเจาะจง โดยระบุทิศทางของการคาดคะเนคําตอบของ ปญ หาวจิ ัยวา จะเกดิ สงิ่ ใดมากกวา สงิ่ ใด หลีกเลีย่ งคําทีม่ ีความหมายกวา งซ่งึ จะตีความไดย าก 4) เขียนเปนประโยคบอกเลาท่ีแสดงความสัมพันธระหวางตัวแปร อาจระบุทิศทางของ ความสัมพันธห รอื บอกถึงความแตกตา งระหวา งตัวแปรก็ได 5) สมมติฐานการวิจัยเปนสิ่งที่สามารถทดสอบหาคําตอบไดดวยขอมูลหรือหลักฐานตางๆ หากไมส ามารถทดสอบได กไ็ มสามารถหาคาํ ตอบปญ หาวจิ ัยได 6) เขียนใหเขาใจงาย ไมใ ชข อความที่สลับซบั ซอน ยืดยาว และควรเขยี นแยกเปน ขอ ๆ ตวั อยา งการเขียนสมมตฐิ านการวจิ ยั จากงานวิจัยเรื่อง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรที่มีตอสัมฤทธิ์ผลและ พฤตกิ รรมการเรยี นวทิ ยาศาสตรของนักเรียน…………………………………………….. ผวู จิ ยั กําหนดสมมตฐิ านดังน้ี 1) นักเรียนที่ไดรับการสอนดวยวิธีวงจรการเรียนรู มีมโนทัศนเกี่ยวกับเน้ือหาวิชา วิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และการใหเหตุผลเชิงวิทยาศาสตรสูงกวานักเรียนที่ไดรับการ สอนดว ยวิธีการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรแบบปกติ 2) นักเรียนท่ีมีระดับความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตรสูง ท่ีไดรับการสอนดวยวิธี วงจรการเรียนรู มีมโนทัศนเก่ียวกับเน้ือหาวิชาวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร และการให เหตุผลเชิงวิทยาศาสตรสูงกวานักเรียนท่ีมีระดับความสามารถทางการเรียนวิทยาศาสตรสูง ที่ไดรับการสอนดวย วิธกี ารเรยี นการสอนวทิ ยาศาสตรแบบปกติ 2.1.4 กรอบแนวคดิ ในการวิจัย ในงานวิจัยเรื่องหนึ่งสามารถศึกษาไดหลายแบบ หลายแงมุม เนื่องจากนักวิจัยมอง ปญหาเร่ืองเดียวกันในลักษณะท่ีแตกตางกัน เพราะใชทฤษฎีหรือแนวคิดในการมองปญหาแตกตางกัน นักวิจัย จําเปน ตองเลอื กแนวคิดหรือทฤษฎีมาเปน ฐานในการสรางกรอบแนวคิดในการวิจัยของตนเองซึ่งมีหลักในการเลือก ดังน้ี 1) เลอื กทฤษฎที ี่มีสาระตรงกบั หัวขอ วจิ ัยมากท่ีสุด กลาวคอื มีความตรงประเดน็ ในดา น เน้อื หาสาระโดยเฉพาะตัวแปรทศ่ี ึกษาทัง้ ตัวแปรอสิ ระและตวั แปรตาม รวมทง้ั ระเบยี บวิธวี จิ ัยท่ีใชใ นการศกึ ษา 2) พิจารณาจากความงายและไมซับซอน โดยเลือกกรอบแนวคิดที่สรางแลวมองเห็น ความสมั พันธ ระหวางตวั แปรไดช ัดเจน งา ยตอการเขาใจ และไมย งุ ยากซบั ซอน 3) พิจารณาจากความมีประโยชน กรอบแนวคิดท่ีเลือกใชควรมีเน้ือหาสาระเก่ียวกับ ตัวแปร หรือ ความสัมพนั ธระหวางตวั แปรท่ีสอดคลองกับความสนใจของนักวิจัยและสามารถอธิบายความสัมพันธ ระหวา งตัวแปรตาง ๆ ไดส อดคลองกบั เรื่องท่กี าํ ลงั ศึกษา 4) พิจารณาจากภาพรวมของงานวิจัย กรอบแนวคิดทด่ี ีตอ งชี้ใหเ ห็นภาพรวมของเรื่องที่ จะทาํ การวจิ ัย โดยช้ีใหเ ห็นโครงสรา งความสัมพันธระหวางตวั แปรท้งั หมดทใ่ี ชในการวจิ ัย

42 ตัวอยา ง การเขียนกรอบแนวคดิ การนําเสนอกรอบแนวคิดในการวิจัยสามารถทําไดหลายวิธี เชน การเขียนแบบบรรยาย การเขียนแบบแผนภาพ การเขียนแบบจําลองหรือฟงกชั่นทางคณิตศาสตรและการเขียนแบบผสมผสาน ในที่น้ีจะ นําเสนอเฉพาะการเขยี นแบบบรรยายและการเขียนแบบแผนภาพ จากกรณีรายงานวิจัย เร่ือง การพัฒนาความคิด วิเคราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษาของนักเรียนชั้น ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุม 5,6 ภาคเรยี นที่ 1/2559 โดยใชผงั ความคิดวิเคราะหต นเอง ดังน้ี การวจิ ัย เร่ือง การพัฒนาความคิดวิเคราะหเกี่ยวกับอัตลักษณแหงตนวิชาเพศศึกษาของนักเรียน ช้ัน ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลุม 5,6 ภาคเรียนที่ 1/2559 โดยใชผังความคิดวิเคราะหตนเอง ผูวิจัยได ศึกษาแนวคิด ทฤษฏี การคิดวิเคราะหของ สุวิทย มูลคํา ซึ่งเปนแนวคิด ทฤษฏี เกี่ยวกับความสามารถในการ จาํ แนก แยกแยะองคประกอบตา ง ๆ ของสงิ่ ใดสง่ิ หน่ึง ซึง่ อาจเปนวัตถุ สิ่งของ เร่ืองราว หรือเหตุการณและการหา ความสัมพันธเชิงเหตุผล ระหวางองคประกอบเหลาน้ัน เพื่อคนหาสภาพความเปนจริงหรือส่ิงสําคัญของส่ิงท่ี กําหนดใหของบุคคล จากแนวคิด ทฤษฎี เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ ผูวิจัยไดนําไปกําหนดกรอบแนวคิดใน การวจิ ยั ดังนี้ ตัวแปรอิสระ Independent Variable ตัวแปรตาม dependent variable วธิ กี ารจัดการเรยี นรู การพฒั นาความคดิ วเิ คราะหตนเอง - จัดการเรยี นรูโดยใชผ ังความคิด - ความสามารถในการคิดวิเคราะหตนเอง - ความพึงพอใจตอการจดั การเรยี นรู ภาพที่ 3.2 แสดงกรอบแนวคิดการวจิ ยั เร่ืองการพัฒนาความคิดวเิ คราะหเก่ียวกับอัตลักษณแหงตน วิชาเพศศกึ ษาของนักเรยี น ชนั้ ปวช. 1 แผนกวิชาชางกลโรงงาน กลมุ 5,6 ภาคเรยี นท่ี 1/2559 โดยใชผ งั ความคดิ วิเคราะหตนเอง 2.1.5 ขอบเขตของการวิจัย (scope and limitation) เปนการกําหนดกรอบของเรื่องที่จะ ศึกษาวาจะใหกวาง แคบ หรือครอบคลุมถึงเร่ืองอะไรเพ่ือใหเปนไปตามวัตถุประสงคของการวิจัย โดยท่ัวไป ขอบเขตของการวิจัยจะกําหนดใหครอบคลุมเร่ืองประชากร ตัวแปรที่ศึกษา ระยะเวลาท่ีทําการวิจัย นอกจากน้ี งานวิจัยบางประเภทยังกําหนดขอบเขตของเน้ือหา และพ้ืนที่ท่ีทําการวิจัยไวดวยขอบเขตของแตละเร่ืองควรระบุ สาระสาํ คัญๆ ดังนี้ 1) ประชากร ใหระบุวาประชากรในการวิจัยคืออะไร มีลักษณะอยางไรมีขนาดหรือ จํานวนเทา ไร 2) ตัวแปรท่ีศึกษา ใหระบุตัวแปรท่ีศึกษาทั้งหมดโดยแยกตัวแปรแตละประเภทให ชัดเจน เชนตวั แปรอสิ ระ ตวั แปรตาม ตัวแปรควบคมุ ประกอบดวยอะไรบา ง 3) ระยะเวลาทท่ี ําการวิจัย ใหระบชุ วงระยะเวลาในการศึกษาวจิ ัยตัง้ แตเ ร่ิมตน จนเสรจ็ ส้ินการวจิ ยั พรอมระบุปท ่ีทําการวิจยั ไวด ว ย

43 4) เนือ้ หาในการวิจัย งานวิจยั บางประเภท เชน การวิจัยเชงิ ทดลองหรือการวิจัยเชิงพัฒนา ท่ีตองพัฒนาสื่อหรือนวัตกรรมทางการศึกษา จําเปนตองมีเน้ือหาสาระในการสรางส่ือหรือนวัตกรรม จึงตองระบุ ขอบเขตของเนอ้ื หาทีใ่ ชในการวจิ ยั ไวด ว ยวาประกอบดว ยเนอ้ื หาเรื่องอะไรบาง 5) พื้นท่ีที่ทําการวิจัย ในงานวิจัยบางประเภท เชน การวิจัยทางการเกษตร การวิจัย ทางวัฒนธรรมการวจิ ัยทองถน่ิ การวจิ ัยเชิงคณุ ภาพ เพอื่ ใหเกดิ ความชัดเจนในพื้นที่ดําเนินการวิจัย จําเปนตองระบุ สถานท่ที ่ไี ปทาํ การวิจัยใหครอบคลมุ และชัดเจน เชน ระบุชุมชน หมูบา น ตาํ บล อาํ เภอ หรอื จังหวดั ตัวอยา ง การเขยี นขอบเขตของการวจิ ัย จากงานวิจัยเร่ือง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรที่มีตอสัมฤทธิ์ผลและ พฤตกิ รรมการเรียนวิทยาศาสตรของนักเรียน…………………………………………….. ผูว จิ ัยกาํ หนดขอบเขตการวิจยั ดงั น้ี 1) ประชากรในการวิจัย คือ นักเรียนระดับประกาศนียบัตร ช้ันปท่ี……..แผนกวิชา………………. วทิ ยาลยั ……….จํานวน………คน 2) ตวั แปรทีใ่ ชใ นการวจิ ยั ประกอบดว ย 2.1) ตัวแปรอิสระ คือ การเรียนการสอนวิทยาศาสตร ซึ่งประกอบดวย การเรียนการสอน วิทยาศาสตรที่ใชวธิ ีวงจรการเรียนรู และการเรยี นการสอนวิทยาศาสตรแ บบปกติ 2.2) ตัวแปรตาม มี 4 ตวั ไดแ ก 2.2.1) พฤตกิ รรมการเรยี นวิทยาศาสตรของนักเรียน 2.2.2) มโนทัศนเก่ยี วกับเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตร 2.2.3) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร 2.2.4) การใหเหตผุ ลเชงิ วทิ ยาศาสตร 2.3) ตวั แปรควบคุม คอื ตวั แปรท่ผี ูว ิจยั ควบคุมใหเหมือนกนั ทัง้ ในกลุมทดลองและกลุมควบคุม มีดังน้ี 2.3.1) ระดบั ความสามารถทางการเรยี นวทิ ยาศาสตร 2.3.2) เน้อื หาวชิ าและจาํ นวนเรือ่ งท่ีใชส อนในกลมุ ทดลองและกลมุ ควบคุมเปนเน้ือหา เดยี วกนั และมีจํานวนเร่อื งเทากันตลอดการทดลอง 2.3.3) ครูผสู อน ผูวจิ ัยเปน ผูดําเนนิ การสอนดวยตนเอง ท้ังในกลุมทดลองและกลมุ ควบคุม 2.3.4) ระยะเวลาท่สี อน จาํ นวนคาบท่ใี ชในการสอน เนอ้ื หาแตล ะเรอ่ื งเทากันทงั้ กลุม ทดลองและกลุมควบคุม 3) ระยะเวลาท่ใี ชใ นการทดลอง ในการทดลองคร้ังน้ีใชระยะเวลาในการทดลองเทากันทุกกลุม ท้ังในกลุม ทดลองและกลุมควบคุม คือ 10 สัปดาห สัปดาหละ 3 ชั่วโมงตอหองเรียน เปนเวลาที่ใชในการทดลองท้ังหมด 30 ชวั่ โมงตอ หอ งเรียน รวมเวลาทดลองท้ังหมดเทา กบั 180 ช่วั โมง (3ชน้ั x 2 หอ ง x 30 ชั่วโมง) โดยทําการทดลองใน ภาคเรยี นที่ 1 ปการศึกษา 2561 จากการวจิ ัยเรอ่ื ง ผลการจดั กจิ กรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรา งลกั ษณะนิสัยรักการอานของ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ช้ันปท ่.ี .......แผนกวชิ า……………………….วิทยาลัย………………… สามารถเขียน ขอบเขตของการวจิ ยั ไดดังน้ี 1) ประชากร ซึ่งเปนกลุมเปาหมายที่จะพัฒนาลักษณะนิสัยรักการอาน ไดแก นักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวชิ าชีพ ชัน้ ปท ่ี........แผนกวชิ า……………………….วทิ ยาลยั ………………… จาํ นวน 50 คน

44 2) ตัวแปรท่ีศึกษา ประกอบดว ย 2.1) ตัวแปรอสิ ระ ไดแก การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู 2.2) ตัวแปรตาม ไดแก ลักษณะนิสัยรักการอาน เจตคติตอการอาน และความ พึงพอใจตอ การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู 2.1.6) ประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัย (significance of the study) เปนการอธิบายถึง ความสําคัญ หรือประโยชนที่ไดรับหลังจากดําเนินการวิจัยเรื่องน้ันเสร็จแลว โดยระบุวาผลการวิจัยนั้นจะเปน ประโยชนตอใครและเปนประโยชนอยางไร ทั้งในเชิงวิชาการ การสรางเสริมองคความรูใหมและเชิงปฏิบัติท่ีชวย แกปญหาหรือพัฒนางาน การเขียนประโยชนท่ีไดรับจากการวิจัยจะชวยช้ีใหเห็นความสําคัญของการวิจัย และคุณคาของผลการวิจยั เรอ่ื งน้นั โดยมหี ลักการเขียนดังนี้ 1) ควรเขยี นเปน ขอ ๆ เรียงลาํ ดับความสําคญั โดยเรมิ่ จากขอที่เปนประโยชนโดยตรงมาก ทส่ี ดุ ไปสขู อ ท่ีเปน ประโยชนน อยทีส่ ดุ 2) เขียนใหสอดคลองเชื่อมโยงกับวัตถุประสงคของการวิจัย โดยระบุวาเม่ือไดผลตาม วตั ถปุ ระสงคข องการวจิ ัยแลว จะนําผลนั้นไปใชป ระโยชนกับใคร หนว ยงานใด และใชอยางไร 3) ไมควรเขียนข้ึนตนประโยคดวยคําวา “เพื่อ....” เพราะจะทําใหเกิดความสับสนกับ วัตถปุ ระสงคของการวจิ ัย ควรเขียนในลกั ษณะทน่ี ักวิจัยเหน็ วาหรอื คาดวา จะไดอะไรจากการวิจยั ตวั อยา ง การเขียนประโยชนทไ่ี ดร บั จากการวิจัย จากงานวจิ ัยเรือ่ ง การพฒั นารูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการแกป ญหาทางคณิตศาสตร โดยการใช การสอนตนเองกับการเรียนการสอนแบบรายบุคคลและแบบกลุมสําหรับนักศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ ชนั้ สูง ระบปุ ระโยชนท่ีคาดวา จะไดรบั ไวมีดงั นี้ 1) ไดรูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการแกปญหาทางคณิตศาสตรโดยการ ใชการสอนตนเองกับการเรียนการสอนแบบรายบุคคล และแบบกลุม ซึ่งสามารถนํามาใชในการจัดการเรียน การสอนคณิตศาสตร ระดับประกาศนยี บตั รวชิ าชีพช้ันสูง 2) ไดแผนการสอนกระบวนการแกปญหาทางคณิตศาสตร ในเร่ืองการนําเสนอ ขอมูล การแจกแจงความถี่ขอมูล กฎการใชเคร่ืองหมายแทนการรวมอัตราสวน สัดสวน และเปอรเซ็นต เปอรเซนไทล เดไซลควอไทล คาเฉล่ียเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม การวัดการกระจาย คะแนนมาตรฐาน ซ่ึงผูสอนสามารถ นาํ ไปใชไ ด 3) เปนแนวทางสาํ หรบั การนาํ ไปใชใ นการจัดการเรียนการสอนคณติ ศาสตรแก นกั ศึกษาทีม่ รี ะดับผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นตางกนั อยางเหมาะสม และมีประสทิ ธิภาพยง่ิ ข้นึ 4) เปนแนวทางในการฝก กระบวนการแกปญ หาเพ่ือพัฒนาความรู ทักษะและ เจตคตเิ กยี่ วกบั การเรียนการสอนวชิ าคณิตศาสตร 5) เปนแนวทางในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร สําหรับ ผูส อนและผูท่เี กย่ี วขอ งกับการเรยี นการสอนวิชาคณติ ศาสตรในระดับการศึกษาตางๆ จากการวิจยั เรอื่ ง ผลการจดั กิจกรรมตามลาหาความรเู พอ่ื เสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของนักเรียน ............ระดับประกาศนยี บัตรวชิ าชีพ ช้นั ปท.ี่ .......แผนกวิชา……………………….วิทยาลัย………………… สามารถเขียน ประโยชนท ี่ไดรบั จากการวจิ ัย ไดดังนี้ 1) นกั เรียนทีผ่ านการเขารวมกจิ กรรมตามลาหาความรูม ีลกั ษณะนิสัย รักการอา น การศึกษาคนควาหาความรดู วยตนเองดีขนึ้ และมเี จตคตทิ ่ีดตี อการอา น 2) นักเรียนท่ผี า นการเขารว มกิจกรรมตามลาหาความรู อานหนังสือดวยตนเอง และมลี ักษณะนสิ ยั ใฝเรียนรูม ากขึ้น

45 3) ไดแนวทางในการจัดกิจกรรมเพ่ือพัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน และ การพฒั นานกั เรยี นในคณุ ลักษณะดานอื่นๆ ตอ ไป 2.1.7 คํานิยามศัพทเฉพาะ หรือคําจํากัดความของคําที่ใชในการวิจัย (definition of terms) เปนการใหความหมายของคํา กลุมคํา ขอความ หรือตัวแปรท่ีศึกษาเฉพาะงานวิจัยแตละเรื่อง เพ่ือส่ือความหมาย ใหเกดิ ความเขาใจตรงกันระหวางนักวิจัยกับผูอานงานวิจัย การเขียนคํานิยามศัพทเฉพาะที่ใชในการวิจัยจะตองให มคี วามหมายตรงกับความหมายตามหลกั วิชา แตมลี กั ษณะเฉพาะเจาะจงสําหรับงานวิจัยแตละเร่ือง มีความชัดเจน และอยใู นรปู ของนิยมเชงิ ปฏบิ ตั ิการทส่ี ามารถวัดหรือสงั เกตได ตัวอยางการเขียนคาํ นิยามศัพทเฉพาะ จากงานวิจัยเร่ือง ผลการใชวิธีวงจรการเรียนรูในการเรียนการสอนวิทยาศาสตรท่ีมีตอสัมฤทธิผล และ พฤติกรรมการเรยี นวทิ ยาศาสตรของนักเรียน……………………. เขยี นนิยามศัพทเฉพาะไวด งั น้ี วงจรการเรียนรู หมายถึง วิธีการที่นักเรียนใชในการเรียนรู อยางเปนขั้นเปนตอนท่ีมี ลําดับตอเน่ืองกันจนครบ โดยประกอบดวยกัน 3 ข้ันตอน ไดแก ขั้นการศึกษาสํารวจ นักเรียนลงมือปฏิบัติ ทําการศึกษาสํารวจเพอคนพบแบบแผนของปรากฏการณตางๆ ขั้นการสรางมโนทัศน นักเรียนนําผลท่ีได จากการศกึ ษาสํารวจมาสรปุ สรา งเปน มโนทัศน และขั้นการนํามโนทัศนไปใช นักเรียนนํามโนทัศนท่ีไดเรียนรูไปใช ศึกษาปรากฏการณอ่ืนเพิ่มเติม เพื่อขยายความรูความเขาใจเกี่ยวกับมโนทัศนนั้น ซึ่งผลการเรียนรูท่ีไดจากการนํา มโนทัศนดังกลาวนําไปสกู ารศึกษาสํารวจการสรางมโนทศั น และการนาํ มโนทัศนไ ปใชใ นวงจรการเรียนรูใ หมต อไป สมั ฤทธิผล หมายถงึ ผลการเรยี นรูข องนกั เรยี นท่ีเกิดข้ึนจากการใชวิธีวงจรการเรียนรูใน การเรียนการสอนวิทยาศาสตร และจากการเรียนการสอนวิทยาศาสตรแบบปกติ ซ่ึงประกอบดวย มโนทัศน เกยี่ วกบั เนื้อหาวชิ าวิทยาศาสตร ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร และการใหเ หตุผลเชิงวิทยาศาสตร จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูเพื่อเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของ นักเรียน.....................นยิ ามคาํ ศัพทต อ ไปน้ี การจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง กิจกรรมกําหนดข้ึนสําหรับเสริมสราง และ พัฒนานิสัยรักการอานของนักเรียน โดยการจัดกลุมใหนักเรียนรวมกันศึกษาคนควาดวยการอานและเรียนรูจาก ศูนยการเรียนรูภายในวิทยาลัยฯ จํานวน 10 ศูนย และแหลงการเรียนรูอ่ืนๆ นอกวิทยาลัยฯ แลวบันทึกสาระ ความรูและประสบการณท่ีไดรวมทั้งการนําเสนอแลกเปลี่ยนเรียนรูรวมกันโดยมีครูท่ีปรึกษา และครูผูสอนเปน ผสู รา งพลงั กระตุนจงู ใจใหความชวยเหลอื เอือ้ อาํ นวยความสะดวก สงเสริมสนันบสนุนและประเมินผลการเขารวม กิจกรรมตามลาหาความรู ลกั ษณะนิสยั รักการอา น หมายถึง พฤตกิ รรมหรอื การปฏิบตั ิตนของนกั เรียนท่ีแสดงออก ถึงความสนใจ ความกระตือรือรน และความมุงมั่นตอการอาน การศึกษาคนควาอยางสมํ่าเสมอ ซ่ึงวัดไดจากการ สังเกตพฤตกิ รรมการอานของนกั เรยี นโดยผปู กครองและครู การสอบถามนักเรียน รวมทั้งการใชขอมูลจากเอกสาร หลักฐานการใชห องสมดุ ของนกั เรียน เจตคติตอการอาน หมายถึง ความรูสึก หรือความคิดของนักเรียนที่สะทอนถึงการอาน ในลักษณะท่ีชอบหรือไมชอบ สนับสนนุ หรอื ไมสนับสนุนตอการอานและการศึกษาคนควา ซึ่งวัดไดจากแบบวัดเจต คตทิ ี่ผวู ิจัยสรา งข้ึนและจากการสนทนากลมุ นกั เรยี นท่ีเขา รวมากิจกรรมตามลาหาความรู ความพึงพอใจตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรู หมายถึง ความรูสึกนึกคิดของ นักเรียนและผูปกครองในลักษณะเห็นดวย ยอมรับ หรือใหการสนับสนุนตอการจัดกิจกรรมตามลาหาความรูท่ีได จัดข้นึ เพื่อเสรมิ สรา งลักษณะนสิ ยั รักการอา นของนักเรียน ซง่ึ วัดไดจ ากแบบวัดความพึงพอใจทผ่ี ูว จิ ัยสรางขนึ้

46 2.2 แนวทางการเขยี นรายงานการวจิ ยั บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ (review of related literature) เปนการนําเสนอแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเกี่ยวของกับเร่ืองที่ทําการวิจัยโดยเขียนในลักษณะ สังเคราะหเนื้อหาใหมีความสัมพันธเช่ือมโยงตอเน่ืองกันระหวางตอนหรือระหวางหัวขอ พรอมท้ังสรุปแตละ ประเดน็ ที่นาํ เสนอตามแนวคิดของผูวิจัย และสรุปเปนกรอบแนวคิดในการวิจัย แนวทางการเขียน การนําเสนอผล การศกึ ษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี ก่ยี วของ มีหลักการนําเสนอดงั นี้ 2.2.1 เลือกศึกษาและนําเสนอสาระเฉพาะเอกสารและงานวิจัยท่ีมีความเกี่ยวขอสอดคลองกับ ปญหาวจิ ยั หรือหวั ขอทจี่ ะทําการวจิ ัย 2.2.2 จัดลําดับเน้ือหาที่จะนําเสนอโดยเร่ิมจากภาพรวมกวางๆ แลวคอยๆ นําเขาสูปญหาวิจัย หรือหัวขอวิจัย อาจแบงเน้ือหาเปนหัวขอตามความเหมาะสม แลวนําเสนอสาระตามความรูที่ไดจากการศึกษา คน ควา 2.2.3 นําเสนอเนื้อหาแตละหัวขอใหมีความสัมพันธสอดคลองกันและอภิปรายใหเชื่อมโยง เน้ือหาแตละหัวขอ และใหเห็นความเกี่ยวของกับปญหาวิจัยหรือหัวขอวิจัยอยางชัดเจน รวมทั้งมีการสรุปแตละ หวั ขอและการสรุปรวม สาระสําคญั ของการสรปุ ควรนําไปสูการกําหนดตัวแปรท่ศี ึกษาในหัวขอวิจยั 2.2.4 พยายามนาํ เสนอใหเหน็ วา งานวจิ ยั ที่ศกึ ษามาแลว ทงั้ หมดยังไมส มบูรณแ ละมีประเด็นที ควรศึกษาเพิ่มเติมโดยเชื่อมโยงเขาสูปญหาวิจัย หรือหัวขอท่ีกําลังจะทําวิจัย เพื่อใหเห็นความสําคัญและจําเปนใน การศึกษาวิจยั เรอ่ื งนั้น 2.2.5 ตองมีรูปแบบการนําเสนอถูกตองตามหลักการเขียนเอกสารวิชาการ โดยมีการอางอิง แหลงทม่ี าของเอกสารและงานวิจัยท่ีเกย่ี วของใหถ ูกตอง เปนระบบและเชอื่ ถอื ได 2.2.6 การนําเสนอเอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกยี่ วขอ งควรประกอบดวยเนื้อหาสาระทีส่ ําคญั 2 สวน ไดแก 1) สวนแรก เปนแนวคิดและทฤษฎีที่เก่ียวของกับเรื่องวิจัย ประกอบดวย นิยาม หรือ ความหมายของตัวแปรหรอื ส่งิ ท่จี ะศึกษาวจิ ยั และแนวคดิ ทฤษฎที เี่ กยี่ วของกับสงิ่ ที่จะศกึ ษาวจิ ยั 2) สวนทสี่ อง เปน งานวิจัยทเี่ ก่ียวขอ งกบั เร่อื งวจิ ัยซง่ึ ประกอบดวยงานวิจัยท้ังในประเทศ และตา งประเทศ ตวั อยาง การเขียนเอกสารและงานวิจัยทีเ่ ก่ียวของ จากการวิจัยเร่ือง ผลการจัดกรรมตามลาหาความรูเพ่ือเสริมสรางลักษณะนิสัยรักการอานของ นักเรยี น...........การศกึ ษาและนาํ เสนอเอกสารและงานวจิ ัยทเ่ี ก่ยี วของควรมีหัวขอเร่ือง ดงั น้ี ตอนท่ี 1 สภาพปญหา และพฤตกิ รรมการอานของนักเรียน 1.1 สภาพปญหาเกย่ี วกับการอาน 1.2 พฤติกรรมการอานของนกั เรยี น ตอนท่ี 2 แนวคิด ทฤษฎีท่เี กี่ยวกับการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั รกั การอา นของนักเรยี น 2.1 ความหมายและความสําคญั ของการพฒั นาลกั ษณะนสิ ยั รกั การอา น 2.2 แนวคิดทฤษฎเี ก่ยี วกับการพัฒนาลักษณะนสิ ยั รกั การอาน ตอนท่ี 3 แนวคดิ ทฤษฎที เ่ี ก่ยี วกับการพฒั นานวัตกรรมทเ่ี สริมสรา งนิสัยรกั การอา น 3.1 ความหมายและความสําคญั ของนวตั กรรม 3.2 ประเภทของนวตั กรรม 3.3 ขนั้ ตอนการพฒั นานวัตกรรม

47 ตอนท่ี 4 งานวิจยั ท่ีเก่ยี วของกบั การพฒั นานิสัยรักการอาน ภายหลังจากนักวิจัยไดกําหนดประเด็นที่จะศึกษา และไดศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเกี่ยวของ แลวงานขั้นตอไป คือ การสรางกรอบแนวคิดในการวิจัย (conceptual framework) กรอบแนวคิดในการวิจัย หมายถึงแนวคิดหรือแบบจําลองที่แสดงความสัมพันธระหวางตัวแปรที่ผูวิจัยสรางขึ้น โดยใชทฤษฎี ขอสรุปเชิง ประจักษ ขอมูลจากสมมติฐาน และผลงานวิจัยในอดีต นํามาสังเคราะหเพ่ือท่ีใหไดภาพรวมของงานวิจัยเร่ืองน้ัน เพื่อแทนความเกี่ยวของสัมพันธกันระหวางปรากฎการณที่เกิดขึ้นจริงในเรื่องที่ศึกษานั้นวามีแนวคิดท่ีสําคัญ อะไรบา ง ในปรากฎการณน น้ั ตวั แปรหรือปรากฎการณเชื่อมโยงเกี่ยวกันอยางไร เพ่ือจะนําความสัมพันธที่คิดข้ึนนี้ ไปตรวจสอบกับขอมูลเชิงประจักษตอไปวามีความสอดคลองกันหรือไม การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวของ เปน ส่ิงทช่ี วยใหได “เบาะแส” ของตัวแปรท่ีนักวิจัยจะเลือกสรรอยางมีเหตุผล และมีหลักฐานรองรอยนาเชื่อถือวา เปนตัวแปรทสี่ าํ คัญจาํ เปน ในการวิจัยเพอ่ื กําหนดไวในกรอบแนวคิดในการวิจัย 2.2.7 การอางอิงในรายงานการวิจัย เปนสวนท่ีผูวิจัยไดศึกษา หยิบยก ตัดตอแนวคิด หรือ ขอสรปุ จากเอกสาร ตํารา ของผอู ื่น มาเรยี บเรียงเปนสวนหน่ึง หรือนํามาเปนกรอบความคิดในการดําเนินการวิจัย เพือ่ เสนอแกผอู า นใหเขา ใจความตรงตามที่ผูว ิจัยเขา ใจ และเพ่ือเปนการใหเกียรติแกเจาของหลักฐาน รวมท้ังแสดง วาผูเขียนมิไดล ะเมิดลิขสิทธ์ิของเจาของส่ิงพิมพ ซ่ึงมีกฎหมายคุมครองอยู ผูวิจัยควรระบุแหลงท่ีมาของขอมูลและ ส่ิงพิมพอ่ืน ๆ นอกเหนือไปจากขอเขียนของผูวิจัยเอง โดยใชการอางอิงในรูปแบบและขอความท่ีชัดเจน สามารถ ตรวจสอบที่มาของขอมูลได ท้ังน้ีการเขียนรายการอางอิง เปนข้ันตอนท่ีดําเนินการไปพรอมกับการเรียบเรียง เนื้อหา โดยการเขียนรายการอางอิงสามารถทําไดหลายวิธี แตในที่น้ีจะกลาวถึงเฉพาะการเขียนรายการอางอิง แบบนาม – ป (Author – Date) 1) วธิ กี ารเขียนรายการอางอิง แบบนาม – ป (Author – Date) เปนการเขียนอางอิง ไวใ นวงเลบ็ ตอ เนือ่ งกับขอ ความท่ยี กมา ปจ จบุ นั นิยมใชวิธีนเ้ี พราะเขยี นไดง ายกวาวิธีอื่น การเขียนอา งองิ แบบนาม – ป นี้ มีลกั ษณะการอา งองิ แทรกในเน้ือหา ซง่ึ ทําได 3 รปู แบบคอื 1.1) การอางอิงโดยเนน ทผ่ี แู ตง 1.2) การอา งอิงโดยเนนเนือ้ หาสาระท่ตี อ งการอา งอิง 1.3) การอางอิงโดยใชเ อกสารอันดับรอง ตัวอยาง การอางอิงโดยเนนที่ผูแตง วัฒนา กอ นเชือ้ รัตน (2536 : 56) ไดแ นะนําวิธีการปองกัน........................... อปั สร บญุ ประดบั (2533 : 56) ไดแ นะนาํ วิธีการปองกนั ............................. ....ฮอรโมนสังเคราะหพวกเอสโตรเจนในยาคุมกําเนิด เปนสาเหตุทําใหเกิดความดันเลือดสูง แตเ คย (Kay, 1977 : 1-24) พบวา................................ ....จากบทความ “อันตราย : ปดตลาดแรงงานสิงคโปร คําเตือน จาก สภาท่ี ปรึกษา” (2533 : 3) ไดระบถุ งึ .............................................................. . . . . จ า ก ร า ย ง า น ข อ ง วี ร ะ ศั ก ดิ์ จ ง สู วิ วั ฒ น ว ง ศ ( 2 5 2 6 ) ร ะ บุ ว า ใ น ร อ บ 30 ป มาน.้ี ..................................................................................................... ....ศิลาจารึกอักษรขอมโบราณ ภาษาขอมอายุประมาณ พ.ศ. 800-1000 ประสาร บุญ ประกอบ (สมั ภาษณ, 7 กันยายน 2541) ใหข อมลู วา.............. ตวั อยา ง การอางองิ โดยเนนเน้อื หาสาระ ....ผลการวิจัย เรื่อง ระบบการบริหารงานวิชาการท่ีสัมพันธกับพฤติกรรม การสอนของครู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook