Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 980 บรรลุธรรมเป็นทีม 7-10-62เดี่ยว

980 บรรลุธรรมเป็นทีม 7-10-62เดี่ยว

Published by panida42222, 2021-03-02 09:03:39

Description: 980 บรรลุธรรมเป็นทีม 7-10-62เดี่ยว

Search

Read the Text Version

ผู้เป็นบัณฑิตเห็นปานฉะน้ี ให้กลายเป็นคนไม่มีความรู้ ไปไดด้ ว้ ยประการฉะน้ี.” ครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศ สจั จะท้ังหลาย. เมื่อจบสัจจะ ภิกษุท้ังหลายบางพวกได้เป็นพระ- โสดาบนั บางพวกได้เป็นพระสกทาคามี บางพวกได้เป็น พระอนาคามี บางพวกบรรลพุ ระอรหตั . แม้พระบรมศาสดาทรงสบื อนสุ นธิ ประชุมชาดก พระราชาในครั้งนนั้ ไดม้ าเปน็ พระอานนท์ บรษิ ทั ในครงั้ นนั้ ได้มาเปน็ พทุ ธบรษิ ทั สว่ นกทุ ทาลกบณั ฑติ ไดม้ าเป็น เราตถาคต ฉะนแี้ ล. 50 บรรลธุเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๖ ตลิ มฏุ ฐิชาดก๑๓ ว่าด้วย การเฆยี่ นตีเป็นการส่ังสอน สถานท่ีตรัส พระวหิ ารเชตวัน ๖ ิตลมุฏฐิชาดก ทรงปรารภ ภกิ ษุผ้ชู อบโกรธรปู หนงึ่ สาเหตทุ ีต่ รัส ได้ยินมาว่า มีภิกษุรูปหน่ึงเป็นผู้มักโกรธ ใครว่า กล่าวอะไรแม้นิดหน่อยก็จะไม่พอใจ มีแต่ความโกรธ นอ้ ยใจ คับแคน้ ใจให้เหน็ อยู่เสมอ ต่อมาวันหน่ึง ภิกษุท้ังหลายได้น่ังประชุมกันใน โรงธรรมสภาปรารภภกิ ษุรูปนว้ี า่ “ผมู้ อี ายทุ งั้ หลาย ภกิ ษรุ ปู โนน้ ชา่ งเปน็ คนทโี่ กรธงา่ ย เหลือเกิน ชอบเอะอะโวยวายเหมือนเกลือที่เขาใส่ลงไป ในไฟ ขนาดบวชเข้ามาในศาสนาที่สอนไม่ให้โกรธ ก็ยัง ไม่สามารถท่ีจะขม่ ความโกรธได้เลย” ๑๓ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาชาดก ตกิ นบิ าตชาดก, ล.๕๘, น.๑๒, มมร. 51 www.kalyanamitra.org

52 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

ในขณะนั้น พระบรมศาสดาเสด็จผ่านมา เมื่อทรง ๖ ิตลมุฏฐิชาดก ทราบเรอ่ื ง จงึ มรี บั สง่ั ใหไ้ ปเรยี กภกิ ษรุ ปู นน้ั มามาสอบสวน เมอ่ื เธอยอมรับตามสตั ย์จรงิ จึงตรัสแก่ภิกษุทงั้ หลายว่า “ภกิ ษทุ งั้ หลาย มใิ ชเ่ ฉพาะแตใ่ นบดั นเ้ี ทา่ นน้ั ทภี่ กิ ษุ รปู นม้ี พี ฤตกิ รรมอยา่ งนี้ แมเ้ มอ่ื กอ่ น เธอกเ็ ปน็ ผชู้ อบโกรธ เหมือนกนั ” เมือ่ ภกิ ษุท้ังหลายกราบทลู อาราธนาแล้ว จงึ ทรงนำ� เรื่องในอดีตชาตมิ าตรสั เลา่ ใหฟ้ ัง ดงั ต่อไปน้ี เน้ือหาชาดก ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในพระนครพาราณสี พระองค์มีโอรสพระนามว่า ‘พรหมทัตตกุมาร’ อนั ท่จี รงิ พระราชาในสมัยกอ่ น แม้จะ มอี าจารยท์ เ่ี กง่ เชยี่ วชาญในวชิ าการตา่ งๆ อยใู่ นพระราชวงั แต่ก็จะทรงนิยมส่งโอรสของตนไปเรียนในสถานท่ีไกลๆ จากรฐั ของตนดว้ ยมงุ่ หวงั จะสอนโอรสดว้ ยเหตุ ๓ ประการ ดงั น้ี ๑. จกั ไม่มคี วามเยอ่ หยิ่งด้วยมานะ ๒. จกั ทนตอ่ ความยากลำ� บากจากดนิ ฟ้าอากาศได้ ๓. จักไดเ้ รียนรปู้ ระเพณีของชาวโลกในท่ีต่างๆ 53 www.kalyanamitra.org

จากเหตุผลดังกล่าว พระราชาจึงส่งพระราชโอรส ผู้มพี ระชนมายุ ๑๖ พรรษาไปยังเมอื งตกั กสิลา พระราช- โอรสจึงได้เสด็จไปเรียนวิชาในสำ� นกั ของอาจารย์ โดยนำ� ทรัพย์ ๑,๐๐๐ กหาปณะไปเปน็ คา่ เลา่ เรียนบชู าครู วนั หนงึ่ พระราชโอรสไดเ้ สดจ็ ไปอาบนำ�้ กบั อาจารย์ ระหวา่ งทางเหน็ หญงิ ชรา เอาเมลด็ งาออกมาตาก จงึ หยบิ มาหนง่ึ ก�ำมอื เพือ่ เสวยเล่น ในตอนแรก หญิงชราก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่เมื่อเห็น พระราชโอรสท�ำอย่างนน้ั ๓ วันตดิ ต่อกนั นางจึงรอ้ งดังลัน่ หาว่า “อาจารยท์ ศิ าปาโมกข์ ใชล้ ูกศษิ ยใ์ ห้ลกั ของนาง” เมื่ออาจารย์ทราบเรื่อง จะชดใช้ค่าเสียหาย นางก็ ไม่ต้องการ แต่ขอให้อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ไม่ให้ท�ำ อยา่ งนี้อีกก็เพียงพอแลว้ อาจารย์จึงใช้ให้ลูกศิษย์ ๒ คนจับพระราชกุมาร ที่แขนทั้ง ๒ ข้างแล้วเอาไม้ไผ่เฆ่ียนตีไปที่กลางหลัง อยา่ งแรงถงึ ๓ คร้ัง พระราชกมุ ารจึงได้ทรงแต่เก็บความ อาฆาตแค้นไว้ในพระทัย ต่อมา เมื่อพระราชกุมารได้ศึกษาศิลปวิทยาจบ ก็อ�ำลาอาจารย์กลับไปและได้ข้ึนครองราชย์สืบต่อจาก พระราชบดิ า 54 บรรลุธเปร็นรทมีมดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

พระราชาพระองค์ใหมเ่ มอื่ ไดข้ น้ึ เป็นพระราชา ทรง ๖ ิตลมุฏฐิชาดก ระลึกถึงความอัปยศแต่หนหลัง จึงส่งทูตไปเชิญอาจารย์ ให้เขา้ วงั ด้วยหมายจะแก้แคน้ ฝ่ายอาจารย์ทราบว่า ‘จะเกิดราชภัย’ จึงไม่ยอม ไปเข้าเฝ้า รอเวลาจนพระราชาพระองค์นั้นมีพระชนมายุ เขา้ สู่วัยกลางคนจึงไปเข้าเฝ้า พระราชาทรงดีใจที่จะได้แก้แค้นอาจารย์ จึงตรัส เรยี กอ�ำมาตยท์ ง้ั หลายมาตรัสเล่าวา่ “พวกทา่ นทง้ั หลายรหู้ รอื ไมว่ า่ รอยไมเ้ รยี วทอี่ าจารย์ ตเี รา ยงั ไมเ่ คยจางหายไปจากความทรงจำ� จวบจนกระทงั่ ถงึ วนั น้ี ดเู อาเถดิ อาจารยไ์ ดบ้ ากหนา้ มารบั เอาความตาย โดยไมร่ ู้ตวั เลย” จากนนั้ จงึ ได้ตรสั ๒ คาถาเหล่านว้ี า่ การท่ีท่านให้จบั แขนเราไว้แลว้ เฆ่ียนตีเรา ดว้ ยซกี ไมไ้ ผ่ เพราะเหตแุ คเ่ พยี งเมลด็ งากำ� มอื เดยี ว เทา่ นนั้ เอง ยงั จำ� ฝงั ใจเราอยจู่ นวนั น้ี ดกู อ่ นพราหมณ์ ทา่ นคงจะไม่ใยดีในชวี ิตของทา่ น แลว้ กระมัง จงึ ดน้ั ดน้ มาหาเราถึงที่นี้ ผลกรรมที่ท่านให้จับแขน ทั้ง ๒ ของเรา แล้วเฆ่ยี นตีเราถงึ ๓ ครงั้ นัน้ จกั ตอบสนองแกท่ า่ นในวันนแ้ี นๆ่ 55 www.kalyanamitra.org

อาจารย์ได้ฟงั แล้วจงึ กลา่ วตอบดว้ ยคาถาท่ี ๓ วา่ อรยิ ชนย่อมป้องกนั คนไม่ดผี กู้ ระท�ำความช่วั ดว้ ยการลงโทษ กรรมของอรยิ ชนนน้ั จดั ว่าเป็นการสง่ั สอน หาใช่เปน็ เวรกรรมไม่ พวกบณั ฑิตทัง้ หลายย่อมเขา้ ใจเหตุผลดังกล่าว เหมือนกนั ทง้ั นน้ั ฝา่ ยอาจารยจ์ ึงได้ทูลเตอื นสติลกู ศษิ ยผ์ ้เู ปน็ ราชาว่า “การที่ทา่ นสง่ั สอนแมจ้ ะต้องถึงกบั เฆีย่ นตี กเ็ พือ่ จะ อบรมลูกศิษย์ให้เป็นคนดี ถ้าไม่อบรมสั่งสอนแต่เนิ่นๆ ต่อไป ก็จะท�ำให้ลูกศิษย์เหลิงและท�ำอะไรตามใจชอบ จะเปน็ อนั ตรายตอ่ ลกู ศษิ ยเ์ องในอนาคต ในวนั นท้ี พี่ ระองค์ ไดร้ บั สมบตั อิ นั ยง่ิ ใหญ่ ไมใ่ ชจ่ ากอาจารยค์ นนหี้ รอกหรอื ?” ฝา่ ยเหลา่ อำ� มาตยไ์ ดฟ้ งั ถอ้ ยคำ� ของอาจารยจ์ งึ กราบทลู สนบั สนนุ ความเห็นอาจารยว์ ่า “ขอเดชะ ค�ำท่ีอาจารย์กล่าวสอนมาทั้งหมดเป็น ความจริง พระองค์มวี นั นไ้ี ดเ้ พราะอาจารย์” ในขณะน้ัน พระราชาส�ำนึกถึงพระคุณของอาจารย์ จึงคิดจะมอบราชสมบัติให้แก่อาจารย์ ฝ่ายอาจารย์ก็ทูล ปฎิเสธ 56 บรรลธุเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

พระราชาจึงส่งข่าวไปยังเมืองตักกศิลาให้น�ำบุตร ๖ ิตลมุฏฐิชาดก และภรรยาของอาจารย์มา แล้วต้ังอาจารย์ไว้ในต�ำแหน่ง แห่งปุโรหิต อยู่ในโอวาทประดุจลูกที่อยู่ในโอวาทบิดา บ�ำเพ็ญบุญมีประการต่างๆ เมื่อสวรรคตแล้วได้เสด็จไป สู่สวรรค์ พระศาสดา ครน้ั ทรงน�ำพระธรรมเทศนานม้ี าแสดง แลว้ ทรงประกาศอรยิ สัจ ๔ ประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจกถา ภิกษุผู้ชอบโกรธได้บรรลุ อนาคามี ส่วนบคุ คลอ่ืนไดบ้ รรลโุ สดาบนั และสกทาคามี ประชุมชาดก พระราชาในกาลนนั้ ไดม้ าเปน็ ภกิ ษผุ มู้ กั โกรธในบดั น้ี สว่ นอาจารยใ์ นคราวนนั้ ไดเ้ ป็น เราตถาคต 57 www.kalyanamitra.org

58 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๗ ทูตชาดก๑๔ ว่าด้วย ทกุ ชวี ิตเป็นทูตของท้อง สถานท่ตี รสั พระวหิ ารเชตวัน ๗ ทูตชาดก ทรงปรารภ ภกิ ษุโลเลรูปหน่งึ สาเหตุทตี่ รัส เร่ืองจกั มแี จ้งในกากชาดก นวกนบิ าต. กพ็ ระศาสดาตรัสเรียกภกิ ษุรปู นนั้ มาตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุ เธอเป็นผู้โลเลเหลาะแหละเฉพาะ ในบัดน้ีเท่าน้ันก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน เธอก็เป็นผู้โลเล เหลาะแหละ กเ็ พราะความเปน็ ผโู้ ลเลเหลาะแหละ เธอจวน จะถูกตดั ศีรษะดว้ ยดาบ.” แลว้ ทรงน�ำเร่ืองในอดตี มาสาธก ดังตอ่ ไปนี้ :- ๑๔ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก ตกิ นบิ าต, ล.๕๘, น.๘๙, มมร. 59 www.kalyanamitra.org

เน้ือหาชาดก ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยใู่ นพระนครพาราณสี พระโพธสิ ตั วเ์ ปน็ โอรสของพระเจา้ พรหมทตั นน้ั พอเจรญิ วยั กไ็ ดเ้ ลา่ เรยี นศลิ ปศาสตรท์ งั้ ปวง ในเมืองตักกสิลา พอพระชนกล่วงลับไป ก็ได้ด�ำรงอยู่ใน ราชสมบัติ ได้เสวยโภชนะอนั บรสิ ุทธ์ิ ดว้ ยเหตนุ นั้ พระองคจ์ งึ มพี ระนามวา่ ‘พระเจา้ โภชน- สุทธิกราช.’ ไดย้ นิ วา่ พระองคท์ รงดำ� รงอยใู่ นวธิ กี ารเหน็ ปานนน้ั เสวยพระกระยาหารซ่ึงมีภาชนะใบหนึ่งส้ินเปลืองค่าถึง แสนกหาปณะ อน่ึง เมื่อเสวยก็ไม่เสวยภายในพระราชมณเฑียร เพราะมีพระประสงค์จะให้มหาชนผู้ได้เห็นวิธีการเสวย ของพระองคไ์ ดก้ ระทำ� บญุ จงึ ใหส้ รา้ งรตั นมณฑป ทป่ี ระตู พระราชวงั เวลาจะเสวยกใ็ หป้ ระดบั ประดา รตั นมณฑปนน้ั แล้วประทับนั่งบนราชบัลลังก์อันล้วนด้วยทองค�ำภายใต้ เศวตฉัตร แวดล้อมด้วยนางกษัตริย์ทั้งหลาย จึงเสวย พระกระยาหารอันมีรสซ่ึงมีค่าถึงแสนกหาปณะ ด้วย ภาชนะทองอนั มีค่าแสนกหาปณะ. 60 บรรลุธเปร็นรทมีมดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

คร้ังนั้น มีบุรุษโลเลคนหน่ึงได้เห็นวิธีเสวยพระ- ๗ ทูตชาดก กระยาหารของพระราชาน้นั อยากจะบรโิ ภคโภชนะน้ัน เมื่อไม่สามารถจะอดกลั้นความอยากได้ คิดว่า ‘อุบายน้ีดี’ จึงนุ่งผ้าให้ม่ันคงแล้วยกมือข้ึนข้างหน่ึง ร้องเสยี งดังๆ วา่ “ทา่ นผูเ้ จริญท้งั หลาย เราเป็นทูต” พลางเขา้ ไปเฝ้า พระราชา. กส็ มยั นน้ั ในชนบทนน้ั ใครๆ ยอ่ มหา้ มคนทกี่ ลา่ ววา่ ‘เราเป็นทูต’ เพราะฉะนั้น มหาชนจึงแยกออกเป็นสองฝ่ายให้ โอกาส. บุรุษผู้น้ันรีบไปคว้าเอาก้อนภัตรก้อนหนึ่งจาก ภาชนะทองของพระราชาใสป่ าก. ล�ำดับนั้น ทหารดาบชักดาบออกด้วยหมายใจจัก ตัดหวั ของบุรษุ นัน้ . พระราชาตรัสหา้ มว่า “อย่าประหาร” แล้วตรสั วา่ “เจ้าอย่ากลวั จงบริโภคเถอะ” แล้วทรงล้างพระหัตถ์ ประทับนั่ง และในเวลาเสร็จ สิ้นการบริโภค พระราชาให้ประทานน�้ำด่ืมและหมากพลู แกบ่ ุรษุ ผูน้ น้ั แล้วตรสั ถามวา่ 61 www.kalyanamitra.org

“บรุ ษุ ผเู้ จรญิ เจา้ กลา่ ววา่ เปน็ ทตู เจา้ เปน็ ทตู ของใคร?” บรุ ุษนนั้ กราบทูลว่า “ขา้ แตม่ หาราช ขา้ พระองคเ์ ปน็ ทตู ของตณั หา ตณั หา ต้ังข้าพระองค์ให้เป็นทูตแล้วบังคับส่งมาว่า ‘เจ้าจงไป’ ” ดงั น้แี ล้ว ได้กลา่ วคาถา ๒ คาถาแรกว่า :- สตั วเ์ หลา่ นยี้ อ่ มไปสปู่ ระเทศอนั ไกล หวงั จะขอสง่ิ ของ ตามแต่จะได้ เพือ่ ประโยชน์แก่ท้องใด ข้าพระองค์เปน็ ทตู ของท้องนน้ั ข้าแต่พระองค์ผู้เปน็ จอมทัพ ขอพระองคอ์ ย่า ไดท้ รงพโิ รธแก่ข้าพระองค์เลย. อนง่ึ มาณพทงั้ หลาย ยอ่ มตกอยใู่ นอำ� นาจของทอ้ งใด ท้ังกลางวันและกลางคืน ข้าพระองคก์ ็เป็นทูตของทอ้ งนั้น ขา้ แต่พระองคผ์ ู้เปน็ จอมทัพขอพระองคอ์ ย่าได้ ทรงพโิ รธ แก่ขา้ พระองค์เลย. พระราชาไดท้ รงสดบั คำ� ของบรุ ษุ นนั้ แลว้ ทรงพระดำ� ริ ว่า ‘ข้อน้ีจริง สัตว์เหล่าน้ีเป็นทูตของท้อง เท่ียวไปด้วย อ�ำนาจตัณหา และตัณหาก็ย่อมจัดแจงสัตว์เหล่านี้ บุรุษ ผู้น้ีกล่าวถอ้ ยค�ำเป็นทีช่ อบใจเรายิ่งนกั ’ จึงทรงโปรดบรุ ษุ ผ้นู ั้น. 62 บรรลธุเปร็นรทมมี ดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

ตรัสพระคาถาท่ี ๓ ว่า :- ๗ ทูตชาดก ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้โคสีแดงพันตัว พร้อมท้ัง โคจ่าฝงู แกท่ า่ น แมเ้ ราและสตั ว์ท้งั มวลก็เป็น ทตู ของท้อง ทงั้ สน้ิ เพราะเรากเ็ ปน็ ทตู ไฉนจะไมใ่ หส้ ง่ิ ของแกท่ า่ นผเู้ ปน็ ทตู เล่า. ก็แหละครั้นตรัสอยา่ งน้ีแลว้ ทรงมพี ระทัยยินดีว่า ‘บุรุษผู้เชน่ ท่านน้ีแล ให้เราได้ฟังเหตุท่ไี ม่เคยฟงั ’ จงึ ได้ประทานยศใหญแ่ กบ่ ุรุษผ้นู น้ั . พระศาสดา คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจจะ ประชมุ ชาดก ในเวลาจบสจั จะ ภกิ ษผุ โู้ ลเลดำ� รงอยใู่ นอนาคามผิ ล ชนเปน็ อันมากได้เป็นพระโสดาบนั เปน็ ต้น. ประชุมชาดก บุรุษผู้โลเลในกาลน้ัน ได้เป็น ภิกษุผู้เหลาะแหละ ในบดั นี้ ส่วนพระเจ้าโภชนสุทธิกราช ได้เป็น เราตถาคต ฉะน้แี ล. 63 www.kalyanamitra.org

64 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๘ สกุ ชาดก๑๕ วา่ ด้วย โทษของการไมร่ ้ปู ระมาณ สถานทีต่ รสั พระวหิ ารเชตวนั ๘ สุกชาดก ทรงปรารภ ภกิ ษุรูปหนง่ึ ผู้มรณภาพเพราะฉนั มาก เกนิ ไป จนอาหารไม่ยอ่ ย สาเหตทุ ี่ตรัส ไดย้ นิ วา่ เมอื่ ภกิ ษนุ นั้ มรณภาพไปอยา่ งนแี้ ลว้ ภกิ ษุ ท้ังหลายน่ังสนทนากัน ถึงโทษมิใช่คุณของภิกษุรูปน้ัน ในโรงธรรมสภาวา่ “ผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุโน้นไม่รู้ประมาณท้อง ของตน บริโภคมากเกินไป ไม่สามารถท�ำอาหารให้ย่อย จึงมรณภาพ.” พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า “ภกิ ษุทง้ั หลาย บดั น้ี พวกเธอนั่งประชมุ สนทนากัน ด้วยเร่ืองอะไร ?” ๑๕ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก ตกิ นบิ าต, ล.๕๘, น.๔๐, มมร. 65 www.kalyanamitra.org

เมอื่ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั กราบทลู ใหท้ รงทราบแลว้ จงึ ตรสั วา่ “ภิกษุท้ังหลาย มิใช่ในบัดนี้เท่าน้ัน แม้ในกาลก่อน ภกิ ษนุ ้ี กต็ ายเพราะบรโิ ภคมากเปน็ ปัจจยั .” ดงั นแี้ ลว้ จงึ ทรงนำ� เอาเรอ่ื งในอดตี มาสาธก ดงั ตอ่ ไปน้ี เน้อื หาชาดก ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในก�ำเนิด นกแขกเต้าในประเทศหิมพานต์ ได้เป็นพระยาของ นกแขกเต้าหลายพัน อยู่ในหิมวันตประเทศ อันเลียบไป ตามมหาสมุทร. พระโพธิสัตว์น้ันมีลูกอยู่ตัวหนึ่ง เม่ือลูกนกนั้น เจริญวยั พระโพธิสัตว์ก็มจี ักษทุ ุรพล. ได้ยินว่า นกแขกเต้าท้ังหลายมีก�ำลังบินเร็ว ด้วย เหตุน้ัน ในเวลานกแขกเต้าเหล่านน้ั แกต่ วั ลง จักษนุ นั่ แล จึงทุรพลไปก่อน ลูกนกแขกเต้าตัวนั้น ให้บิดามารดาอยู่ เฉพาะในรัง แล้วนำ� อาหารมาเลีย้ งด.ู วันหน่ึง ลูกนกแขกเต้านั้นไปยังที่หากินแล้วจับอยู่ บนยอดเขา มองดสู มทุ รเหน็ เกาะๆ หน่ึง กท็ เี่ กาะน้ันมีป่า มะม่วง มีผลหวาน มีสีเหมอื นทอง. 66 บรรลุธเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

วันรุ่งข้ึน ไดเ้ วลาหากิน ลูกนกแขกเตา้ นน้ั บนิ ไปลง ๘ สุกชาดก ทป่ี ่ามะมว่ งนั้น ดื่มรสมะมว่ งแล้วไดค้ าบเอาผลมะม่วงสุก มาใหบ้ ดิ ามารดา พระโพธิสตั วก์ นิ ผลมะมว่ งนน้ั แล้วจำ� รส ได้ จงึ กลา่ วว่า “ลูกเอ๋ย นผ้ี ลมะมว่ งสุกในเกาะโน้นมใิ ชห่ รือ ?” เมอื่ ลูกนกแขกเต้ารับวา่ “ใช่จะ้ พ่อ” จงึ กล่าวว่า “ลูกเอ๋ย พวกนกแขกเต้าที่ไปยังเกาะนั้น ชื่อว่าจะ รักษาอายุให้ยืนยาวได้ไม่มีเลย เจ้าอย่าได้ไปยังเกาะน้ัน อกี เลย.” ลูกนกแขกเต้าน้ันไม่เช่ือค�ำของพระโพธิสัตว์น้ัน คงไปอยอู่ ย่างนั้น. ครน้ั วนั หนง่ึ ลกู นกแขกเตา้ ดม่ื รสมะมว่ งเปน็ อนั มาก แลว้ คาบเอามะมว่ งสกุ มาเพ่ือบิดามารดา เมื่อบินมาถึงกลางมหาสมุทรเพราะบินเร็วเกินไป ร่างกายกเ็ หน็ดเหนอื่ ยถกู ความง่วงครอบงำ� ทง้ั ทห่ี ลับอยู่ ก็ยังบินมาอยู่นั่นแหละ ส่วนมะม่วงสุกท่ีคาบมาด้วย จะงอยปากกห็ ลดุ ลว่ งไป. ลกู นกแขกเตา้ นน้ั ไดล้ ะทางทเ่ี คย มาเสียโดยล�ำดับ จึงตกลงในน้�ำ เขาลอยมาตามพื้นน�้ำ 67 www.kalyanamitra.org

จึงจมลงในน้�ำ. ทีนั้น ปลาตัวหนึ่งคาบลูกนกแขกเต้านั้น กินเสีย. เมอ่ื ลูกนกแขกเต้านนั้ ไม่มาตามเวลาทเี่ คยมา พระ- โพธสิ ตั วก์ ็รไู้ ดว้ า่ ‘เหน็ จะตกมหาสมทุ รตายเสยี แลว้ .’ ครง้ั นนั้ เมอื่ บดิ ามารดาของเขาไมไ่ ดอ้ าหาร จงึ ซบู ผอม ตายไป. พระศาสดา ครั้นทรงน�ำเร่ืองในอดีตมาสาธกแล้ว ทรงเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถา เหล่านีว้ า่ :- ลูกนกแขกเต้าตัวน้ัน รู้ประมาณในการบริโภคอยู่ เพยี งใด กไ็ ดส้ บื อายุ และไดเ้ ลยี้ งดบู ดิ ามารดาอยเู่ พยี งนน้ั . อนึ่ง ในกาลใด ลูกนกแขกเต้าน้ันกลืนกินโภชนะ มากเกินไป ในกาลน้ัน ก็ได้ชื่อว่าไม่รู้จักประมาณในการ บรโิ ภค จึงจมลงในมหาสมทุ รน่ันเอง. เพราะฉะนน้ั ความเปน็ ผรู้ ปู้ ระมาณ ความไมห่ ลงตดิ ในโภชนะเป็นความดี ด้วยว่า บุคคลผู้ไม่รู้จักประมาณ ย่อมจมลงในอบายท้ัง ๔ บุคคลผู้รู้จักประมาณเท่าน้ัน ยอ่ มไมจ่ มลงในอบาย ๔. 68 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

อกี อยา่ งหนงึ่ แมค้ วามเปน็ ผรู้ ปู้ ระมาณกเ็ ปน็ ความดี ๘ สุกชาดก ซง่ึ ทา่ นพรรณนาไวอ้ ยา่ งนว้ี า่ ภกิ ษพุ จิ ารณาโดยแยบคาย แล้วกลืนกินอาหาร มิใช่เพ่ือเล่น มิใช่เพื่อมัวเมา ฯลฯ ดว้ ยการอยูอ่ ย่างผาสุก. และว่า :- ภกิ ษบุ รโิ ภคของสดหรอื ของแหง้ ไมค่ วรใหอ้ มิ่ เกนิ ไป เปน็ ผมู้ ที อ้ งพรอ่ ง รจู้ กั ประมาณในอาหาร มสี ตพิ งึ งดเวน้ เสยี ยังอยู่ ๔-๕ ค�ำก็จะอมิ่ อยา่ บริโภค พงึ ด่ืมน้�ำแทน เป็นการ เพียงพอเพ่ือจะอยู่อย่างผาสุก ส�ำหรับภกิ ษุผมู้ จี ติ ตั้งมนั่ . เวทนาของภิกษุน้ัน ผู้เป็นมนุษย์ มีสติอยู่ทุกเวลา ผไู้ ดโ้ ภชนะแลว้ รจู้ กั ประมาณ ยอ่ มเปน็ เวทนาทเี่ บา อาหาร ท่ีบริโภคย่อมคอ่ ยๆ ยอ่ ยไปเลี้ยงอายุ แมค้ วามเปน็ ผไู้ มต่ ดิ กเ็ ปน็ ความดี ซงึ่ ทา่ นพรรณนา ไว้อยา่ งน้วี า่ :- บุคคลไม่ติดรสย่อมกลืนกินอาหาร เพ่ือต้องการยัง อตั ภาพใหเ้ ปน็ ไป เหมอื นบรโิ ภคเนอื้ บตุ รในหนทางกนั ดาร เหมอื นใชน้ �้ำมันหยอดเพลารถฉะนั้น. พระศาสดา ครนั้ ทรงนำ� เอาเรอ่ื งในอดตี มาสาธกแลว้ ทรงประกาศอริยสัจ ๔ แล้วประชุมชาดก. 69 www.kalyanamitra.org

ในเวลาจบอริยสัจ ชนเป็นอันมากได้เป็น พระ- โสดาบันบ้าง พระสกทาคามีบ้าง พระอนาคามีบ้าง พระอรหันตบ์ า้ ง. ประชมุ ชาดก ภกิ ษผุ ไู้ มร่ ้ปู ระมาณในโภชนะได้เป็น ลูกของพระยานกแขกเต้า ในกาลนั้น สว่ นพระยานกแขกเต้า คอื เราตถาคต 70 บรรลุธเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๙ กุรุธรรมชาดก๑๖ ว่าด้วย ให้ช้างแก่ทา้ วกาลงิ คราช สถานที่ตรสั พระวหิ ารเชตวนั ๙ ุก ุรธรรมชาดก ทรงปรารภ ภิกษุผู้ฆ่าหงส์รูปหนึง่ สาเหตุที่ตรสั มีเร่ืองเล่าว่า มีภิกษุ ๒ สหายไปยังแม่น�้ำอจิรวดี อาบน�้ำ น่ังผิงแดดอยู่บนเนินทราย ขณะน้ันหงส์ ๒ ตัว บนิ มาทางอากาศ ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เอากอ้ นกรวดกอ้ นหนง่ึ ดดี หงสท์ ี่บนิ ผา่ นมา จนนยั นต์ าบอดตกลงมาท่เี ท้าของภกิ ษุ ท้ังสองนั้น ภิกษุท้ังหลายท่ียืนอยู่ในที่น้ันจึงต�ำหนิแล้วพาไป เข้าเฝา้ พระพทุ ธเจา้ พระพทุ ธองคจ์ ึงตรสั ต�ำหนิว่า “ดกู อ่ นภกิ ษุ เพราะเหตไุ ร เธอบวชในศาสนาอนั เปน็ เคร่ืองน�ำออกจากทุกข์เป็นปานน้ี จึงได้กระท�ำอย่างนี้ ๑๖ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก ตกิ นบิ าต, ล.๕๘, น.๑๘๙, มมร. 71 www.kalyanamitra.org

72 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

แมโ้ บราณกบณั ฑติ ทง้ั หลายเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ ยงั ไมอ่ บุ ตั ขิ นึ้ อยู่อย่างเศร้าหมองในท่ามกลางเรือน ยังกระท�ำความ รงั เกียจในฐานะทั้งหลาย แมม้ ีประมาณน้อย ส่วนเธอบวชในศาสนาเห็นปานน้ี ไม่ได้กระท�ำ แม้มาตรว่าความรังเกียจ ธรรมดาภกิ ษุ พงึ เปน็ ผสู้ ำ� รวม กาย วาจา และใจ มใิ ชห่ รอื ?” จากนั้น ได้ทรงน�ำเอาเรื่องในอดีตมาตรัสอธิบาย ให้ฟัง ดังต่อไปน้ี เนื้อหาชาดก ๙ ุก ุรธรรมชาดก ในอดตี กาล เมอ่ื พระราชพระนามวา่ ‘ธนญั ชยั โกรพั ย’์ ทรงครองราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมอยู่ในพระนคร อินทปัฏ ในแคว้นกุรุ ทรงประพฤติศีลห้าอันได้นาม ว่า ‘กุรุธรรม’ พระประยูรญาติ ข้าราชบริพารแม้กระทั่ง หญงิ โสเภณตี ่างกร็ ักษาศลี ห้าเหมือนพระราชา พระราชาทรงพระราชทานทรัพย์วันละ ๖ แสน ท�ำการสงเคราะห์คนผู้ยากไร้ กิตติศัพท์ความดีงามของ พระองค์เป็นทรี่ บั รกู้ นั ไปท่ัวชมพทู วีป ในกาลน้ัน พระเจ้ากาลิงคราชครองราชสมบัติที่ ทนั ตปรุ นคร ในแคว้นกาลิงคะ 73 www.kalyanamitra.org

ตอ่ มา เกดิ ฝนไมต่ กในแควน้ ของพระราชาพระองค์ น้ัน ทำ� ใหเ้ กิดความลำ� บากอดอยากไปทว่ั แคว้น ชาวแว่น แควน้ จงึ พากนั ไปรอ้ งเรยี น เมอื่ พระราชาทรงทราบจงึ ทรง กระท�ำการบริจาคทาน อธิษฐานอุโบสถ แม้ทรงกระท�ำ อยา่ งน้ัน ฝนก็มไิ ดต้ ก พวกอ�ำมาตย์จึงกราบทูลจะไปขอช้างมงคลหัตถี ช่ือว่า ‘อัญชนสนิภะ’ ของพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยราช ในนครอินทปัฏ พระราชาจงึ ทรงส่งพราหมณ์ไปขอทันที เมอื่ พระราชาทรงเหน็ พราหมณเ์ หลา่ นนั้ จงึ ตรสั ถาม ถึงเหตุท่ีมา พราหมณ์ท้ังหลายเมื่อจะพรรณนาคุณของ พระราชาจงึ กลา่ วคาถาที่ ๑ วา่ ข้าแตพ่ ระองค์ผเู้ ป็นใหญก่ วา่ ประชาชน ขา้ พระพทุ ธเจ้าท้งั หลายได้ทราบถงึ ศรัทธา และศลี ของพระองคแ์ ลว้ จึงขอรบั พระราชทาน เอาทองค�ำมาแลกกบั ชา้ งซ่ึงมสี ีเหมือนดอกอัญชนั เชอื กนำ� ไปในแวน่ แคว้นกาลิงคราช พระราชาจงึ ไดต้ รสั ใหเ้ ขาสบายใจวา่ จะทรงพระราช- ทานช้างใหด้ ้วยตรัส ๒ คาถาทเี่ หลือว่า 74 บรรลุธเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

สตั วท์ พ่ี งึ เลยี้ งดว้ ยข้าวกด็ ี ทไ่ี ม่ไดเ้ ล้ียงก็ดี ๙ ุก ุรธรรมชาดก ผู้ใดในโลกนี้ ตัง้ ใจมาหาเรา ตวั เรากไ็ ม่ได้หา้ ม คนเหลา่ น้ันเลย นี้เปน็ ถ้อยค�ำของบูรพาจารย์ ทั้งหลาย ดกู อ่ นพราหมณ์ท้งั หลาย เราจะให้ช้าง เชือกน้ี อนั ควรเป็นราชพาหนะ เปน็ ของท่ี พระราชาใชส้ อย ประกอบไปดว้ ยยศ ประดับ ตกแตง่ ด้วยเครื่องประดบั ปกคลุมตะพองดว้ ย ตาขา่ ยทอง พรอ้ มท้ังนายหัตถาจารยแ์ ก่ทา่ น ทง้ั หลาย ขอพวกทา่ นจงไปตามปรารถนาเถดิ เม่ือพวกพราหมณ์ได้ช้าง ก็น�ำไปถวายพระราชา ของตน ถงึ อยา่ งนนั้ ฝนกย็ งั ไมต่ ก พระราชาจงึ มรี บั สงั่ ถาม วา่ เปน็ เพราะเหตุไร เมอ่ื ทรงทราบวา่ ‘ทฝ่ี นตกตอ้ งตามฤดกู าลเปน็ เพราะ พระเจา้ ธนญั ชยั โกรพั ยร์ กั ษากรุ ธุ รรม’ จงึ มรี บั สงั่ ใหน้ ำ� ไป ถวายคืนและขอพระราชทานกรุ ุธรรมโดยใหจ้ ดลงในแผ่น ทองค�ำ แต่พระเจ้าธนัญชัยโกรัพย์ไม่ทรงพระราชทาน เพราะทรงรู้สึกว่ามีศีลไม่บริสุทธ์ิท้ังนี้เพราะพระองค์เคย 75 www.kalyanamitra.org

ทรงยงิ ลกู ศรตกลงไปในนำ้� ทรงรงั เกยี จวา่ ‘ศลี ของพระองค์ อาจไมบ่ รสิ ทุ ธิ์ เพราะอาจทำ� ใหป้ ลาทอี่ ยใู่ นนำ�้ ตาย เปน็ ตน้ ’ จึงทรงให้ไปขอพระราชทานกุรุธรรมจากผู้อื่น มพี ระราชชนนเี ปน็ ตน้ แตค่ นเหลา่ อนื่ กป็ ฎเิ สธ ทจ่ี ะมอบกรุ ธุ รรมใหโ้ ดยเลา่ ความผิดของตนให้พวกพราหมณ์ฟงั ตัวอย่าง พระชนนเี กดิ ความลำ� เอยี งในลูกสะใภท้ งั้ ๒ กน็ ึกวา่ ‘ศีลของตนคงไม่บริสุทธ’์ิ สว่ นพระมเหสกี เ็ ลา่ ความไมด่ ขี องตนใหพ้ วกพราหมณ์ ฟังว่า “เคยเห็นพระมหาอุปราชแล้วเกิดความคิดไม่ดีว่า ถ้าพระองค์ได้เป็นมเหสีของพระมหาอุปราช ถ้าวันใด ท่ีพระราชาผู้เป็นพระสวามีสวรรคตลง พระมหาอุปราช ได้ขึ้นเป็นพระราชาจะไม่ทรงทอดทง้ิ พระองค์เป็นแน่” เม่ือคดิ ดังน้นั จงึ เกดิ ความรงั เกยี จตนเองว่า ‘เมอ่ื รกั ษากรุ ธุ รรมอยู่ ขณะทยี่ งั มี พระสวามอี ยแู่ ตก่ ็ ยังพอใจในชายอ่ืนด้วยอ�ำนาจกิเลส’ ศีลของเราคงแตก ทำ� ลายไปแลว้ ” แม้ชนเหล่าอ่ืนมีพระมหาอุปราช ปุโรหิต อ�ำมาตย์ ผู้รังวัด นายสารถี เศรษฐี อำ� มาตยผ์ ตู้ วงข้าว นายประตู และนางโสเภณี ต่างก็เล่าความผิดทต่ี นกระทำ� ลงไป 76 บรรลธุเปร็นรทมมี ดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

ราชทตู จงึ บอกให้คนเหลา่ นั้นทราบวา่ ๙ ุก ุรธรรมชาดก “การกระทำ� อยา่ งนั้นไม่ชอ่ื ว่าศีลขาด” จารึกกุรุธรรมลงในพระสุพรรณบัฎแล้วน�ำไปทูล ถวายพระเจา้ กาลงิ คราช เมอ่ื พระราชาพระพฤตใิ นกรุ ธุ รรม ฝนกต็ กต้องตามฤดกู าลเหมือนตามเดิม พระศาสดา ครั้นทรงน�ำพระธรรมเทศนาน้ีมาแล้ว ทรงประกาศอริยสัจ ในเวลาจบอริยสัจ บางพวกได้เป็นพระโสดาบัน บางพวกไดเ้ ปน็ พระสกทาคามี บางพวกไดเ้ ปน็ พระอนาคามี บางพวกไดเ้ ปน็ พระอรหันต.์ ประชมุ ชาดก นางวรรณทาสหี ญงิ คณิกา ได้เป็น นางอบุ ลวรรณา นายประตใู นครงั้ นั้น ไดเ้ ปน็ พระปณุ ณะ รชั ชคุ าหกะอำ� มาตยผ์ รู้ งั วดั ไดเ้ ปน็ พระกจั จายนะ โทณมาปกะอำ� มาตยผ์ ตู้ วงขา้ ว ไดเ้ ปน็ พระโมคคลั ลานะ เศรษฐใี นคร้งั นัน้ ไดเ้ ป็น พระสารบี ุตร นายสารถ ี ได้เป็น พระอนุรุทธะ พราหมณ์ ไดเ้ ปน็ พระกสั สปเถระ 77 www.kalyanamitra.org

พระมหาอุปราช ไดเ้ ป็น พระนนั ทะผบู้ ณั ฑติ พระมเหสใี นครง้ั น้ัน ไดเ้ ป็น ราหุลมารดา พระชนนีในครงั้ นนั้ ได้เป็น พระมายาเทวี พระเจ้ากรุ รุ าชโพธสิ ัตว์ ได้เป็น เราตถาคต 78 บรรลธุเปร็นรทมมี ดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

๑๐ สยั หชาดก๑๗ ว่าด้วย การแสวงหาทีป่ ระเสรฐิ สถานทต่ี รสั พระเชตวันวหิ าร ๑๐ ัสยหชาดก ทรงปรารภ ภิกษผุ ู้กระสนั จะสกึ สาเหตุทต่ี รัส ได้ยินว่า ภิกษุนั้นเที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร สาวัตถี เห็นหญิงตกแต่งประดับประดามีรูปร่างงดงาม คนหนึ่ง เป็นผ้กู ระสันอยากสกึ ไมย่ นิ ดีในพระศาสนา. ล�ำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายจึงพากันแสดงภิกษุน้ัน แดพ่ ระผมู้ พี ระภาคเจา้ ภกิ ษนุ นั้ ถกู พระศาสดาตรสั ถามวา่ “ดกู อ่ นภกิ ษุ ไดย้ ินว่าเธอเป็นผูก้ ระสนั อยากสกึ จริง หรือ ?” จงึ กราบทลู วา่ “จริง พระเจ้าข้า.” ๑๗ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก จตกุ กนบิ าต, ล.๕๘, น.๔๓๘, มมร. 79 www.kalyanamitra.org

80 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

เมอ่ื พระศาสดาตรสั ว่า ๑๐ ัสยหชาดก “ใครท�ำให้เธอกระสันอยากสึก ?” จงึ กราบทลู เน้ือความนนั้ . พระศาสดาตรัสว่า “เธอบวชในศาสนา อันเป็นเคร่ืองน�ำออกจากทุกข์ เห็นปานน้ี เพราะเหตุไร ? จึงกระสันอยากสึก บัณฑิต ทัง้ หลายในกาลกอ่ น แม้จะได้ตำ� แหนง่ ปโุ รหิตก็ยงั ปฏเิ สธ ตำ� แหน่งน้นั แล้วไปบวช.” ครั้นตรัสแล้ว จึงทรงน�ำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดงั ตอ่ ไปน้ี :- เนือ้ หาชาดก ในอดีตกาล เม่ือพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในท้องนาง พราหมณีของปุโรหิต คลอดในวันเดียวกันกับพระโอรส ของพระราชา. พระราชาตรสั ถามอ�ำมาตยท์ ัง้ หลายวา่ “ใครๆ ผเู้ กดิ ในวนั เดยี วกนั กบั โอรสของเรา มอี ยหู่ รอื หนอ ?” อ�ำมาตยท์ ้งั หลายกราบทูลวา่ “ข้าแต่มหาราช มพี ระเจา้ ข้า คือบตุ รของปุโรหติ .” 81 www.kalyanamitra.org

พระราชาจึงทรงส่ังเอาบุตรของปุโรหิตน้ันมามอบ ใหแ้ มน่ มทัง้ หลาย ใหป้ ระคบประหงมร่วมกนั กบั พระราช- โอรส. เครอื่ งประดบั และเครอื่ งดมื่ เครอ่ื งบรโิ ภคของกมุ าร แม้ทง้ั สอง ได้เปน็ เช่นเดียวกนั ทีเดยี ว. พระราชกุมารและกุมารเหล่าน้ันเจริญวัย แล้วไป เมืองตักกสลิ าเรียนศลิ ปะทั้งปวงรว่ มกันแลว้ กลบั มา. พระราชาไดพ้ ระราชทานตำ� แหนง่ อปุ ราชแกพ่ ระโอรส พระโพธิสัตว์ไดม้ ียศย่งิ ใหญ่ จ�ำเดิมแต่น้ันมา พระโพธิสัตว์กับพระราชโอรสก็ กนิ รว่ มกนั ดมื่ รว่ มกนั นอนรว่ มกนั ความวสิ าสะคนุ้ เคยกนั และกันไดม้ นั่ คงแน่นแฟ้น. ในกาลตอ่ มา เมอ่ื พระราชบดิ าสวรรคตแลว้ พระราช- โอรสไดด้ ำ� รงอยใู่ นราชสมบตั ิ ทรงเสวยสมบัตใิ หญ่. พระโพธสิ ัตว์คิดวา่ ‘สหายของเราได้ครองราชย์ ก็ในขณะทท่ี รงกำ� หนด ต�ำแหน่งน่ันแหละ คงจักพระราชทานต�ำแหน่งปุโรหิต แกเ่ รา เราจะประโยชนอ์ ะไรดว้ ยการครองเรอื น เราจกั บวช พอกพูนความวเิ วก.’ พระโพธิสัตว์น้ันไหว้บิดามารดาให้อนุญาตการ บรรพชาแล้ว สละสมบัติใหญ่ ผู้เดียวเท่าน้ันออกไป หิมวันตประเทศ สร้างบรรณศาลาอยู่ในภูมิภาคอันน่า 82 บรรลธุเปร็นรทมมี ดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

รื่นรมย์ บวชเป็นฤาษี ท�ำอภิญญาและสมาบัติให้บังเกิด ๑๐ ัสยหชาดก แล้วเลน่ ฌานอยู่. ในกาลน้ัน พระราชาหวนระลึกถึงพระโพธิสัตว์น้ัน จงึ ถามว่า “สหายของเราไม่ปรากฏ เขาไปไหนเสยี ?”. อ�ำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลถึงความที่พระโพธิสัตว์ นนั้ บวชแล้วกราบทูลว่า “ได้ยินว่า สหายของพระองค์อยู่ในไพรสณฑ์อัน น่ารนื่ รมย์.” พระราชาตรสั ถามตำ� แหนง่ แหง่ ทอ่ี ยขู่ องพระโพธสิ ตั ว์ นนั้ แลว้ ตรัสกะสัยหอำ� มาตย์ “ทา่ นจงมา จงพาสหายของเรามา เราจกั ใหต้ ำ� แหนง่ ปโุ รหติ แกส่ หายของเรานัน้ .” สัยหอ�ำมาตย์น้ันรับพระด�ำรัสแล้วออกจากนคร พาราณสีถึงปัจจันตคามโดยล�ำดับ แล้วต้ังค่าย ณ บ้าน ปัจจันตคามน้ัน แล้วไปยังสถานท่ีอยู่ของพระโพธิสัตว์ พร้อมกับพวกพรานป่า เห็นพระโพธิสัตว์น่ังอยู่ท่ีประตู บรรณศาลา เหมอื นรปู ทองจงึ ไหว้ แลว้ นงั่ ณ สว่ นขา้ งหนงึ่ กระท�ำปฏสิ ันถาร แล้วกล่าวว่า “ทา่ นผเู้ จรญิ พระราชามพี ระประสงคจ์ ะพระราชทาน ตำ� แหนง่ ปโุ รหติ แกท่ ่าน ทรงหวังใหท้ ่านกลบั มา.” 83 www.kalyanamitra.org

พระโพธสิ ัตวก์ ล่าวว่า “ต�ำแหน่งปุโรหิตจงพักไว้ก่อน เราแม้จะได้ราช- สมบัติในแคว้นกาสี โกศล และชมพูทวีปท้ังส้ิน หรือ เฉพาะสริ แิ ห่งพระเจา้ จักรพรรดิก็ตาม ก็จักไม่ปรารถนา ก็บัณฑิตท้ังหลายย่อมไม่กลับถือเอากิเลสทั้งหลาย ซึ่งละแล้ว ครัง้ เดียวอีก เพราะสงิ่ ทีล่ ะทิ้งไปแลว้ ครงั้ เดียว เป็นเชน่ กบั กอ้ นเขฬะ๑๘ท่ถี ม่ ไปแลว้ ” จงึ ไดก้ ลา่ วคาถาเหล่านว้ี า่ :- บณั ฑิตไม่พงึ ปรารถนาพ้นื แผ่นดนิ มีสณั ฐานดุจกุณฑลทา่ มกลางสาคร มมี หาสมทุ รล้อมอย่โู ดยรอบ พร้อมดว้ ยการนนิ ทา ดกู ่อนสัยหะอำ� มาตย์ ท่านจงร้อู ย่างนเ้ี ถิด. “ดกู อ่ นพราหมณ์ เราตเิ ตยี นการไดย้ ศ การไดท้ รพั ย์ และการเล้ียงชีพ ด้วยการท�ำตนให้ตกต่�ำ หรือด้วยการ ประพฤติไมเ่ ปน็ ธรรม. ถงึ แมเ้ ราบวชเปน็ บรรพชติ ถอื บาตรเทย่ี วภกิ ขาจาร ความเลี้ยงชีวิตน้ันน่ันแหละประเสริฐกว่า การแสวงหา โดยไมเ่ ป็นธรรมจะประเสริฐกวา่ อะไร ๑๘ น. นำ้� ลาย 84 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

ถงึ แมเ้ ราบวชเปน็ บรรพชติ ถอื บาตรเทย่ี วภกิ ขาจาร ๑๐ ัสยหชาดก ไม่เบียดเบียนผู้อ่ืนในโลก นั้นประเสริฐกว่าราชสมบัติ เสียอีก.” พระโพธิสัตว์น้ันห้ามปรามสัยหะอ�ำมาตย์ แม้ผู้จะ อ้อนวอนอยูบ่ อ่ ยๆ ดว้ ยประการฉะน.้ี ฝ่ายสัยหะอ�ำมาตย์ คร้ันไม่ได้ความตกลงปลงใจ ของพระโพธิสัตว์ จึงไหว้พระโพธิสัตว์แล้ว ไปกราบทูล แกพ่ ระราชาถงึ ความที่พระโพธสิ ัตวน์ น้ั ไม่กลบั มา. พระศาสดา คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสจั จะทงั้ หลาย แล้วประชุมชาดก ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันจะสึก ได้ตั้งอยู่ใน โสดาปัตติผล ชนเป็นอันมากแม้อ่ืนอีกได้กระท�ำให้แจ้ง โสดาปัตตผิ ลเป็นต้น. ประชมุ ชาดก พระราชาในครงั้ นนั้ ได้เปน็ พระอานนท์ สัยหะอ�ำมาตย์ในครัง้ นัน้ ไดเ้ ป็น พระสารบี ตุ ร ส่วนบตุ รของปุโรหิตในครั้งนั้น ได้เปน็ เราตถาคต ฉะนแี้ ล 85 www.kalyanamitra.org

86 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๑๑ มฆเทวชาดก๑๙ ว่าดว้ ย เทวทตู สถานทีต่ รสั พระเชตวันวหิ าร ๑๑ มฆเทวชาดก ทรงปรารภ การเสดจ็ ออกมหาภเิ นษกรมณ์ สาเหตุที่ตรัส การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์น้ันได้กล่าวไว้แล้ว ในนิทานกถา ในหนหลงั นนั้ แล. กใ็ นกาลนน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายนง่ั พรรณนาการเสดจ็ ออก บรรพชาของพระทศพล. ลำ� ดบั นนั้ พระศาสดาเสดจ็ มายงั โรงธรรมสภา ประทบั นง่ั บนพุทธอาสน์ ตรสั เรียกภิกษทุ งั้ หลายมาถามวา่ “ดูก่อนภิกษุท้ังหลาย บัดน้ี พวกเธอน่ังสนทนากัน ด้วยเร่ืองอะไรหนอ ?” ภิกษุทง้ั หลายกราบทลู ว่า ๑๙ ต้นฉบับชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย เอกกนิบาตชาดก เอกปณั ณกวรรค, ล.๕๕, น.๒๒๐, มมร. 87 www.kalyanamitra.org

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายมิได้น่ัง สนทนากันด้วยเร่ืองอย่างอ่ืน แต่นั่งพรรณนา การเสด็จ ออกบรรพชาของพระองคเ์ ทา่ นน้ั ” พระศาสดาตรัสว่า “ดกู อ่ นภกิ ษทุ ง้ั หลาย ตถาคตออกเนกขมั มะ ในบดั น้ี เทา่ น้ัน ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ออกเนกขัมมะแลว้ เหมอื นกนั .” ภกิ ษุท้งั หลายจงึ อาราธนาพระผูม้ ีพระภาคเจา้ เพื่อ ตรัสเรอื่ งนั้นให้แจ่มแจง้ . พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระท�ำเหตุ อันระหว่าง ภพปกปดิ ให้ปรากฏ ดังต่อไปนี้ เน้อื หาชาดก ในอดีตกาล ในกรุงมิถิลา วิเทหรัฐ ได้มีพระราชา พระนามวา่ ‘มฆเทวะ’ เปน็ พระมหาธรรมราชาผดู้ �ำรงอยู่ ในธรรม. พระเจ้ามฆเทวะนน้ั ทรงให้กาลเวลาอนั ยาวนาน หมดสิน้ ไป. วันหนึง่ ตรสั เรยี กชา่ งกลั บกมาวา่ “ดกู อ่ นชา่ งกลั บกผสู้ หาย ทา่ นเหน็ ผมหงอกบนศรี ษะ ของเราในกาลใด ท่านจงบอกแก่เราในกาลนน้ั .” 88 บรรลธุเปร็นรทมีมดว้ ยชาดก www.kalyanamitra.org

ฝา่ ยชา่ งกลั บกกไ็ ดท้ ำ� ใหเ้ วลาอนั ยาวนาน หมดสนิ้ ไป. ๑๑ มฆเทวชาดก วนั หนงึ่ เหน็ พระเกศาหงอกเสน้ หนง่ึ ในระหวา่ งพระเกศา ทง้ั หลาย อนั มสี ดี งั ดอกอญั ชนั ของพระราชา จงึ กราบทลู วา่ “ข้าแต่สมมติเทพ พระเกศาหงอกเส้นหนึ่งปรากฏ แก่พระองค.์ ” พระราชาตรัสว่า “สหาย ถา้ อยา่ งนนั้ ทา่ นจงถอนผมหงอกนน้ั ของเรา เอามาวางในฝ่ามือ.” เมื่อพระราชาตรัสอย่างน้ัน ช่างกัลบกจึงเอาแหนบ ทองถอน แล้วให้พระเกศาหงอกประดิษฐาน อยู่ใน ฝ่าพระหัตถ์ของพระราชา. ในกาลนั้น พระราชายังมี พระชนมายเุ หลอื อยู่ ๘๔,๐๐๐ ป.ี แม้เมื่อเป็นอย่างน้ัน พระราชาได้ทรงเห็นผมหงอก แลว้ ก็ทรงส�ำคัญประหนง่ึ วา่ ‘พระยามัจจุราชมายืนอยู่ใกล้ๆ และประหน่ึงว่า ตนเองเขา้ มาอยใู่ นบรรณศาลาอนั ไฟตดิ โพลงอยู่ ฉะน้ัน’ ได้ทรงถึงความสังเวช จึงทรงพระด�ำรวิ ่า ‘ดูก่อนมฆเทวะผู้เขลา เจ้าไม่อาจละกิเลสเหล่านี้ จนตราบเทา่ ผมหงอกเกิดข้ึน.’ 89 www.kalyanamitra.org

เม่ือพระเจ้ามฆเทวะนั้นทรงร�ำพึงถึงผมหงอกที่ ปรากฏแล้ว ความเร่าร้อนภายในก็เกิดข้ึน พระเสโท๒๐ ในพระสรีระไหลออก ผ้าสาฎกได้ถึงอาการท่ีจะต้องบิด (เอาพระเสโท) ออก. พระเจา้ มฆเทวะน้นั ทรงพระด�ำรวิ า่ ‘เราควรออกบวชในวนั นแี้ หละ’ จงึ ทรงประทานบา้ นช้นั ดี อนั เปน็ ทต่ี ง้ั ขน้ึ แหง่ ทรพั ย์ เจด็ พนั แกช่ า่ งกลั บก แลว้ รบั สง่ั ใหเ้ รยี กพระโอรสพระองค์ ใหญ่ มาตรสั วา่ “ดูก่อนพ่อ ผมหงอกปรากฏบนศีรษะของพ่อแล้ว พอ่ เปน็ คนแกแ่ ลว้ กก็ ามของมนษุ ยพ์ อ่ ไดบ้ รโิ ภคแลว้ บดั น้ี พอ่ จกั แสวงหากามอนั เปน็ ทพิ ย์ นเ้ี ปน็ กาลออกบวชของพอ่ เจ้าจงครอบครองราชสมบัติน้ี. ส่วนพ่อบวชแล้ว จักอยู่ กระท�ำสมณธรรม ในอัมพวนั อุทยาน ช่อื ‘มฆเทวะ’.” อ�ำมาตย์ท้ังหลายเข้าไปเฝ้าพระราชาน้ัน ผู้มีพระ- ประสงค์จะบวช อย่างนั้น แลว้ ทูลถามว่า “ข้าแต่สมมติเทพ อะไรเป็นเหตุแห่งการทรงผนวช ของพระองค์ ?” ๒๐ เหงอื่ บรรลุธเปร็นรทมีมดว้ ยชาดก 90 www.kalyanamitra.org

พระราชาทรงถอื ผมหงอก ตรสั พระคาถานแ้ี กอ่ ำ� มาตย์ ๑๑ มฆเทวชาดก ท้ังหลายวา่ “ผมหงอกบนศรี ษะของเรานเ้ี กดิ แลว้ เปน็ เหตนุ ำ� วยั ไป เทวทูตปรากฏแล้ว น้เี ป็นสมัยแหง่ การบรรพชาของเรา.” จรงิ อยู่ พระโพธสิ ตั วท์ กุ พระองค์ ทอดพระเนตรเหน็ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และบรรพชติ เทา่ นน้ั ก็ถึงความ สงั เวช เสด็จออกบวช. สมดังท่ีตรัสไวว้ ่า “ดูก่อนมหาบพิตร เพราะอาตมภาพเห็นคนแก่ คนป่วยไข้ได้ความทกุ ข์ คนตายอนั ถงึ ความสนิ้ อายุ และ บรรพชติ ผู้ครองผา้ กาสาวะ จึงได้บวช” ดงั นี.้ พระเจ้ามฆเทวะนั้น คร้ันตรัสอย่างน้ีแล้ว จึงสละ ราชสมบัติ บวชเป็นฤาษีในวันนั้นเอง ประทับอยู่ใน มฆอัมพวันน้ัน นั่นแหละ. เจริญพรหมวิหาร ๔ อยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ด�ำรงอยู่ในฌานอันไม่เส่ือม สวรรคตแล้ว บงั เกดิ ในพรหมโลก.จตุ จิ ากพรหมโลกนน้ั ไดเ้ ปน็ พระราชา พระนามว่า ‘เนมิ’ ในกรุงมิถิลา น่ันแหละอีก สืบต่อวงศ์ ของพระองคท์ เี่ สอ่ื มลง จงึ ทรงผนวชในอมั พวนั นน้ั นนั่ แหละ เจริญพรหมวหิ าร กลับไปเกิดในพรหมโลกตามเดมิ อกี . 91 www.kalyanamitra.org

แม้พระศาสดากไ็ ดต้ รสั ว่า “ดูก่อนภกิ ษุทั้งหลาย ตถาคตออกมหาภเิ นษกรมณ์ ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน ก็ได้ออกแล้ว เหมือนกัน.” คร้ันทรงน�ำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรง ประกาศอรยิ สัจจะ ๔ ในเวลาจบอรยิ สจั ภกิ ษบุ างพวกไดเ้ ปน็ พระโสดาบนั บางพวกไดเ้ ปน็ พระสกทาคามี บางพวกไดเ้ ปน็ พระอนาคาม.ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ตรสั ๒ เรอ่ื งน้ี สบื ตอ่ อนสุ นธกิ นั ดว้ ยประการดงั นแี้ ลว้ ประชมุ ชาดก ช่างกัลบกในคร้ังน้ัน ไดเ้ ปน็ พระอานนท์ ในบดั น้ี บุตรในครัง้ น้นั ได้เป็น พระราหุล ในบดั น้ี สว่ นพระเจ้ามฆเทวะ ไดเ้ ปน็ เราตถาคต แล. 92 บรรลุธเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

๑๒ กิงฉนั ทชาดก๒๑ วา่ ด้วย โทษท่ฉี กฉวยเอาประโยชน์ของคนอนื่ สถานท่ีตรสั พระเชตวันมหาวหิ าร ๑๒ ิกงฉันทชาดก ทรงปรารภ อโุ บสถกรรม สาเหตทุ ีต่ รสั ความย่อว่า วันหนึ่ง พระศาสดาตรัสถามอุบาสก- อุบาสิกาเป็นอันมากผู้รักษาอุโบสถ ผู้มาน่ังเพื่อจะฟัง พระธรรมเทศนาอยูท่ ีโ่ รงธรรมสภาวา่ “ดูก่อนอุบาสกอุบาสิกาท้ังหลาย พวกท่านรักษา อุโบสถหรอื ?” เมอื่ เขากราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสวา่ “ท่านทั้งหลายท�ำการรักษาอุโบสถ จัดว่าได้ท�ำ ความดี โบราณกบัณฑิตทั้งหลายได้รับยศอันยิ่งใหญ่ กเ็ พราะผลแห่งอโุ บสถกรรมกึง่ หนึ่ง” ๒๑ ตน้ ฉบบั ชาตกฏั ฐกถา อรรถกถาขทุ ทกนกิ าย ชาดก ตงิ สตนิ บิ าต, ล.๖๑, น.๓๐๑, มมร. 93 www.kalyanamitra.org

94 บรรลธุเปร็นรทมีมด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

อันพวกอุบาสกอุบาสิกากราบทูลอาราธนา จึงทรง นำ� อดตี นทิ านมาตรสั ดังต่อไปนี้ เน้อื หาชาดก ๑๒ ิกงฉันทชาดก ในอดตี กาล เมอ่ื พระเจา้ พรหมทตั เสวยราชสมบตั อิ ยู่ ในพระนครพาราณสโี ดยธรรม ทรงเปน็ ผมู้ ศี รทั ธา ปสาทะ ไมป่ ระมาทในทานศีลและอุโบสถกรรม. ทา้ วเธอมตี รสั สง่ั แมก้ ะชนทเ่ี หลอื มอี ำ� มาตยเ์ ปน็ ตน้ ใหต้ ้งั มัน่ ในกุศลจริยามีทานเปน็ ตน้ . แตป่ โุ รหติ ของพระองค์ มปี กตริ ดี เลอื ดเนอ้ื ประชาชน กินสินบน วนิ ิจฉยั อรรถคดีโดยอยตุ ิธรรม. ในวันอุโบสถตรสั ส่งั ใหป้ ระชาชน มีอำ� มาตยเ์ ป็นต้น มาเฝา้ แลว้ ตรสั ส่งั ว่า “พวกท่านทงั้ หลาย จงมารกั ษาอุโบสถ.” ปโุ รหติ กไ็ ม่ยอมสมาทานอโุ บสถ คราวนน้ั เมอ่ื พระราชากำ� ลงั ทรงซกั ถามพวกอำ� มาตย์ ว่า “ทา่ นท้งั หลายสมาทานอุโบสถละหรือ ?” จงึ ตรสั ถามปโุ รหติ นนั้ ผรู้ บั สนิ บนและตดั สนิ อรรถคดี โดยอยุตธิ รรมในเวลากลางวันแล้วมาสู่ทเ่ี ฝา้ วา่ “ทา่ นอาจารย์ ทา่ นสมาทานอโุ บสถแล้วหรือ ?” 95 www.kalyanamitra.org

ปุโรหติ นนั้ ทูลค�ำเทจ็ วา่ “สมาทานแลว้ พะย่ะค่ะ” แลว้ ลงจากปราสาทไป. ครัง้ น้ัน อ�ำมาตยผ์ ู้หนึ่งท้วงว่า “ท่านไม่ได้สมาทานอุโบสถมใิ ชห่ รือ ?” ปุโรหิตนนั้ พดู แกต้ วั ว่า “ข้าพเจ้าบริโภคอาหารเฉพาะในเวลาเท่าน้ัน และ ข้าพเจ้ากลับไปเรือนแล้ว จักบ้วนปากอธิษฐานอุโบสถ ไม่บริโภคอาหารในเวลาเย็น ข้าพเจ้าจักรักษาอุโบสถศีล ในเวลากลางคนื ดว้ ยอาการอยา่ งนี้ ขา้ พเจา้ กจ็ กั มอี โุ บสถ กรรมก่งึ หนง่ึ .” อ�ำมาตย์ผูน้ ้นั กลา่ วว่า “ดลี ะขอรบั ท่านอาจารย์.” เขากลบั เรอื นแลว้ ก็ไดก้ ระทำ� อย่างน้ัน. อยมู่ าวนั หนง่ึ เมอื่ ปโุ รหติ นนั้ นง่ั อยใู่ นศาล. สตรผี มู้ ศี ลี คนหนึ่งมาย่ืนฟ้องคดี เมื่อไม่ได้โอกาสท่ีจะกลับไปเรือน จงึ คิดว่า ‘เราจักไม่ละเลยอโุ บสถกรรม’ พอใกลเ้ วลา นางจงึ เร่มิ บ้วนปาก. 96 บรรลธุเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

ขณะนน้ั มผี ู้น�ำผลมะมว่ งสุกมาใหพ้ ราหมณ์ปโุ รหติ พวงหน่ึง. พราหมณป์ ุโรหิตรวู้ า่ ‘หญิงน้ันจะสมาทานอุโบสถ’ จงึ หยิบมะมว่ งสง่ ให้ พร้อมกบั พูดว่า “เจ้าจงรับประทานมะม่วงสุกเหล่านี้ก่อน แล้วจึง สมาทานอุโบสถเถิด.” หญงิ นน้ั กไ็ ดก้ ระทำ� ตามนน้ั . กศุ ลกรรมของพราหมณ์ ปโุ รหิตมีเพยี งเทา่ น้ี. ในเวลาตอ่ มา พราหมณป์ โุ รหติ นน้ั ทำ� กาลกริ ยิ าแลว้ ๑๒ ิกงฉันทชาดก ได้ไปบังเกิดเหนือสิริไสยาสน์ อันอลงกต๒๒ในวิมานทอง อนั งามเรอื งรอง มภี มู ภิ าคเปน็ รมณยี สถาน ในสวนอมั พวนั มีบริเวณ ๓ โยชน์ ใกล้ฝั่งน้�ำโกสิกิคงคานทีในหิมวันต- ประเทศ ดุจคนที่หลับแล้วต่ืนข้ึน มีเรือนร่างอันประดับ ตกแต่งดีแล้ว ทรงรูปโฉมงามสง่าแวดล้อมด้วยนางเทพ กญั ญาหม่นื หกพนั เป็นบรวิ าร. เขาได้เสวยสิริสมบัตินั้น เฉพาะในเวลากลางคืน เท่านนั้ . ๒๒ ก.ตกแตง่ ประดบั ประดา 97 www.kalyanamitra.org

ความจรงิ เทพบตุ รนน้ั ไดเ้ สวยวบิ ากผลสมกบั กรรม ท่ีตนท�ำไว้ โดยภาวะเป็นเวมานิกเปรต๒๓ เพราะฉะนั้น เม่อื เวลาอรณุ ข้ึน เขาจะต้องไปส่สู วนอมั พวัน. ในขณะท่ีย่างเข้าไปสู่สวนอัมพวันเท่าน้ัน อัตภาพ อนั เปน็ ทพิ ย์ของเขาก็อนั ตรธานไป เกดิ อตั ภาพประมาณ เทา่ ลำ� ตาล สงู ๘๐ ศอกแทน ไฟตดิ ทว่ั รา่ งกาย เปน็ เหมอื น ดอกทองกวาวทบ่ี านเตม็ ทฉี่ ะนนั้ นว้ิ แตล่ ะนวิ้ ทม่ี อื ทง้ั สอง ข้าง มเี ล็บโตประมาณเทา่ จอบใหญ.่ เขาเอาเล็บเหล่านนั้ กรดี จกิ ควกั เนอ้ื ขา้ งหลงั ของตนออกมากนิ เสวยทกุ ขเวทนา รอ้ งโอดครวญอยู.่ เมอ่ื พระอาทติ ย์อสั ดงคตแล้ว ร่างน้ันก็อนั ตรธานไป ร่างอนั เปน็ ทิพยก์ ็เกดิ ขนึ้ แทน. เหลา่ นางฟอ้ นอนั เปน็ ทพิ ยผ์ ปู้ ระดบั ตกแตง่ แลว้ ดว้ ย ทิพพาลงั การ ตา่ งถือดรุ ยิ างดนตรีมาหอ้ มล้อมบำ� เรอ เมอื่ จะเสวยมหาสมบตั กิ ข็ น้ึ ไปยงั ปราสาทอนั เปน็ ทพิ ย์ ในสวนอมั พวันอันเปน็ รมณียสถาน. เวมานิกเปรตนั้นได้เฉพาะซ่ึงสวนอัมพวัน อันมี ปรมิ ณฑล ๓ โยชน์ ดว้ ยผลแหง่ การให้ผลมะม่วงแก่สตรี ผสู้ มาทานอุโบสถ ๒๓ ตอนเป็นมนุษย์ได้ท�ำท้ังความดีและความช่ัว จึงต้องมารับผล สลบั กนั 98 บรรลุธเปร็นรทมมี ด้วยชาดก www.kalyanamitra.org

แต่เพราะผลแห่งการกินสินบน ตัดสินคดีโดยอยุติ- ธรรม จงึ ตอ้ งจกิ ควกั เนอ้ื หลงั ของตนกนิ และเพราะผลแหง่ อุโบสถกรรมก่ึงหนึ่ง จึงได้เสวยยศอันเป็นทิพย์แวดล้อม ด้วยหญิงฟ้อนหมื่นหกพันเป็นบริวารบ�ำรุงบ�ำเรอด้วย ประการฉะน.ี้ กาลน้ัน พระเจ้าพาราณสีเห็นโทษในกามารมณ์ ๑๒ ิกงฉันทชาดก จึงเสด็จออกทรงผนวชเป็นดาบส ให้กระท�ำบรรณศาลา ทภี่ มู ปิ ระเทศอนั นา่ รน่ื รมยป์ ระทบั อยู่ ยงั อตั ภาพใหเ้ ปน็ ไป ดว้ ยอุญฉาจรยิ วตั ร (เทยี่ วภิกษาเล้ยี งชีวติ ). อยู่มาวันหน่ึง ผลมะม่วงสุกโตประมาณเท่าหม้อ เขื่องๆ ตกมาจากสวนอัมพวันนั้น ลอยมาตามกระแส แม่น�้ำคงคา มาถึงตรงท่าน�้ำซ่ึงเป็นที่บริโภคใช้สอยของ พระดาบสน้ัน. พระดาบสกำ� ลงั ลา้ งปากอยู่ เหลอื บเห็นผล มะม่วงสุกนั้นลอยมากลางน้�ำ จึงลงว่ายน้�ำเก็บมาน�ำไป อาศรมบท เก็บไว้ในเรือนไฟ ผ่าด้วยมีดแล้วฉันพอเป็น เครอ่ื งประทงั ชวี ติ สว่ นทเี่ หลอื เอาใบตองปดิ ไว้ แลว้ ตอ่ มา ก็ฉันผลมะมว่ งน้ันทกุ ๆ วนั จนหมด. เม่ือมะม่วงสุกผลนั้นหมดแล้ว ก็ไม่อยากฉันผลไม้ อนื่ ๆ เพราะตดิ รส จงึ ต้งั ใจวา่ ‘จกั ฉนั เฉพาะผลมะม่วงสุก ชนดิ นนั้ ’ จงึ ไปนง่ั คอยดูอยทู่ ร่ี มิ แมน่ ำ�้ ตกลงใจว่า 99 www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook