Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา ชั้นตรี

หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา ชั้นตรี

Published by panida42222, 2021-01-11 09:34:02

Description: หนังสือเรียนพระไตรปิฎกศึกษา ชั้นตรี

Search

Read the Text Version

ความรู้เบั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๓๔ ทำ อย่างไรบุญจึงเกิด การทำความดีทุกชนิดย่อมทำให้เกิดบุญทั้งสิ้น โดยย่อมีอยู่ ๓ วิธีด้วยกัน คือ ๑. ทาน ๒.ดีล ๓. ภาวนา ทานคืออะไร ทาน แปลว่า การให้ ถ้าให้เพื่อมุ่งฟอกกิเลสในใจของผู้!ห้ เช่น ให้พระสงฆ์ เรานิยม เรียกว่า ทำ บุญ ถ้าให้เพื่อมุ่งสงเคราะห้ผู้รับ เช่น ให้สึ๋งของแก่คนยากจน คนทั่วไป ด้วยความ สงสาร เรียกว่า ทำ ทาน ทาน- เป็นการให้สึ๋งของที่ควรแก่ผู้ที่ควรให้ สิ่งของที่ควรไห้ เรียกว่า ทานวัตลุ หรือ ไทยทาน หรือ ไทยธรรม มีอยู่ ๑๐ อย่างคือ อาหาร นํ้า เครื่องมุ่งห่ม ยานพาหนะ มาลัยและดอกไม้ ของหอม (รูปเทียน) เครื่องลูบไถ้ (สบู่ เป็นด้น) ที่นอน ที่อยู่ อาศัย และประทีป (ไฟฟ้า) ทานวัตลุเหล่านี้มีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษภัยแก่ผู้รับ จึงมีอานิสงส์มาก ผู้!ห้ เรียกว่า ทานบดี ทาน- ทำ ให้เกิดบุญได้เพราะทันทีที่ใจได้สติ เกิดกำลังมากพอถึงกับสละทานวัตลุได้ใจ ก็กลับเข้ามาบรรจบกับธรรม ชึ๋งเป็นธรรมชาติบริสุทธภายในของตนเอง จึงเกิด เป็นดวงบุญสว่างขืนโดยอัดโนมิติ ณ สูนย์กลางใจ เช่นเดียวกับไฟฟ้าขั้วบวกกับ ขัวลบหากมาบรรจบกันก็เกิดประกายสว่างขึ้นฉะนั้น แล้วบุญที่เกิดขึ้นนี้ ก็ทำ หน้าทีฆ่าโลภะกิเลสทันที เหมือนแสงสว่างของดวงอาทีดย์ หรือดวงประทีป เมื่อ ปรากฎฃึ้น ย่อมฆ่าความมืดให้หมดหรือลดลงไปฉะนั้น ทาน- จะบังเกิดผลเป็นบุญมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ ๑.วัตลุ คือของที่จะให้ด้องเป็นของที่ตนได้มาโดยทางลุ[จริต www.kalyanamitra.org

ความฆู้.บํ้องต้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๓๕ ๒.เจตนๆ คือความตั้งใจในการทำว่า บุ่งเพื่อชำระกิเลส หรือปรับปรุงแต่งจิตให้ สะอาดเป็นหลัก ๓.บุคคล คือตัวผู้ให้ต้องบริสุทธึ้ มีศีล อย่างน้อยศีล ๕ และผู้รับก็ยึ๋งต้องมีศีล บริธุ[ทธสมเพศภาวะของตน ทาน- มีผลแก่ผู้ให้โดยตรงคือ ฆ่าความตระหนี่ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว และทำให้ ทานบดีนั้นกลายเป็นคนโอบอ้อมอารีตามไปต้วย ทาน- มีผลน่าชื่นใจ หรืออานิสงส์ทั้งโลกนี้ โลกหน้าต่อไปอีกแก่ทานบดี ๗ ประการ คือ พระอรหันต์ทั้งหลายเมื่อไต้โอกาส ๑. ย่อมอนุเคราะห์ ๒.ย่อมเข้าไปหา ๓. ย่อมรับทาน ๔.ย่อมแสดงธรรมแก่ทานบดีก่อนคนทั้งหลาย ๕.กิตติศัพท์อันงามย่อมพื่งกระจาย ๖.เข้าไปในบริษัทใด ๆ ย่อมแกล้วกล้าไม่เก้อเขิน ๗.ตายแล้วย่อมไปเกิดในสวรรค์ ศีลคืออะไร ศีล แปลว่า ปกติ สงบเย็น ในทางปฎิปติ หมายถึง การงดเว้นจากการประพฤติผิด ทางกาย และวาจา การควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อยงดงามให้ปราศจากความมัวหมอง ไม่ให้ ผิดปกติธรรมดา รวมแล้วคือ การไม่พูดผิดทำผิด ศีล- ระดับต้น คือ ศีล ๕ ซงเป็นของคนทั่วไป ระดับกลาง คือ ศีล ๘ ของอุบาสก อุบาสิกา และศีล ๑๐ ของสามเณร ระดับสูง คือ ศีล ๒๒๗ ของพระภิกษุ และศีล ๓๑๑ ของภิกษุณี www.kalyanamitra.org

ดวามรู้เบั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๓๖ ศีล- เมื่อรักษาได้ย่อมเกิดบุญขึ้น เพราะทันทีที่หักห้ามยับยั้งชั่งใจ เห็นแก่ใจตนเองว่า บุคคล สึ๋งฃองภายนอกใม่สำคัญกว่าความดีของตนเอง ใจจึงใด้สติ เกิตกำลังใจมากพอ เข้า ควบคุมการพูต การทำ ใม่ให้วปริตผิตปกติธรรมตา ใจก็กลับเข้ามาบรรจบกับธรรม ซงเป็น ธรรมชาติบริสุทธภายในตนเอง จึงเกิตเป็นตวงบุญสว่างขึ้นโตยอัตโนมิติ ณ ศูนย์กลางใจ เช่นเดียวคับใฟฟ้า ขั้วบวกกับขั้วลบหากมาบรรจบคันก็เกิตประกายสว่างขึ้นฉะใเน บุญที่เกิดขึ้น นี้ ก็ทำ หน้าที่ฆ่าโทสะกิเลสทันที เหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ หรือดวงประทีป เมื่อปรากฏ ขึ้น ย่อมฆ่าความมืดให้หมดหรือลดลงไปฉะนั้น ศีล- เป็นเหตุให้คนอยู่คันเป็นปกติ ใม่เบียตเบียนคัน ใม่ฆ่าคัน ใม่ลักขโมยของคันและ กัน เป็นด้น แล้วเป็นผลให้นำความสงบมาให้ผู้รักษา ทำ หน้าที่ควบคุมพลโลกให้ เรียบร้อย จึงเป็นที่มาแห่งความสงบสุข ศีล- มีผลแก่ผู้รักษาโตยตรงคือ ทำ ให้เป็นคนสะอาตกายและวาจา เป็นการตัตเวร ตัต ภัย ควบคุมกำกับโทสะใว้ใม่ให้มีโอกาสกำเริบใด้ ศีล- มีผลน่าชื่นใจ หรืออานิสงส์ต่อใปอีกทั้งโลกนี้โลกหน้าแก่ผู้รักษาศีลเอง คือ ๑. ย่อมมีโภคทรัพย์มาก ๒. กิตติศัพท์อันงามย่อมขจรใป ๓. เข้าใปในบริษัทใต ๆ ย่อมแกล้วกล้าใม่เล้อเขิน ๔. ย่อมใม่หลงลืมสติตาย ๕. ตายแล้วย่อมใปเกิตใน สวรรค์ ภาวนาคืออะไร ภาวนา แปลว่า การเจริญ การอบรม การทำให้มี ให้เป็นขึ้น หมายถึง การทำใจให้ สงบ และทำ{โญณาให้เกิดขึ้น ด้วยการแกฝนอบรมจิตใปตามแบบที่ท่านผู้รู้กำหนตใว้ชงเรียกชื่อ ใปต่าง ๆ คัน เช่น การบำเพ็ญกรรมฐาน การทำสมาธิ การเจริญภาวนา การเจริญจิตตภาวนา ฯลฯ ภาวนา - ในทางปฎิมิติท่านแบ่งใว้๒ แบบใหญ่ ๆ คือ ๑. สมถภาวนา การอบรมใจให้สงบ เรียกว่า จิตฅภาวนา หรือสมาธิภาวนากึใด้ ๒. วิป๋'สสนาภาวนา การอบรมใจให้เกิตปัญญา เรียกว่า วิปัสสนากรรมฐาน หรือปัญญา ภาวนาก็ใด้เป็นขั้นตอนต่อจากสมาธิของผู้ที่เข้าถึงธรรมกายแล้ว www.kalyanamitra.org

ความรู้เบั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๓๗ ภาวนา-เมื่ออบรมอย่างจริงจังย่อมเกิดบุญขึ้นอย่างมากมาย เพราะเป็นการอบรมใจให้ กลับมา สงบ หยูดนึ่ง ณ ศูนย์กลางกายอย่างต่อเมื่องจริงจัง ใจจึงมีสติกำกับอย่าง ต่อเมื่อง และมีกำลังมากพอที่จะประคับประคองใจให้เข้ามาถึงธรรม เข้าไปอยู่ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมครั้งละนาน ๆ เป็นชั่วโมง ๆ เป็นวัน ๆ เสมือน นำ ไข่แดง คือใจ สอดเข้าไปไวั!นไข่ขาว คือ ธรรม ซึ๋งเป็นธรรมชาติบริธุโทธ ภายในตน จึงเกิดเป็นดวงบุญสว่างไสวต่อเมื่องกันโดยอัดโนมิติ ณ ศูนย์กลางใจ เช่นเดียวกับไฟฟัาขั้วบวกกับขั้วลบหากมาบรรจบกันก็เกิดประกายสว่างขึ้น ฉะนั้น เมื่องจากใจเข้าไปอยู่กลางดวงธรรมอย่างต่อเมื่องนานเป็นชั่วโมง เป็นวัน ๆ สำ หรับผู้เจริญสมถภาวนา และเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี สำ หรับผู้เจริญ วิปัสสนา อันเมื่องจากเข้าถึงธรรมกายแล้ว บุญอันมหาศาลเหล่านี้เอง ก็ทำ หน้าที่ กำ จัดฆ่าโมหะกิเลสซึ๋งเป็นกิเลสที่ร้ายแรงที่สุด ตลอดจนกิเลสต่าง ๆ ทุกชนิด อย่างไม่ลดละ เสมือนแสงอาทิตย์ยามเที่ยง กระหนาฆ่าความมืดที่ห่อทุ้มโลกลง ฉะนั้น ภาวนา-จะบังเกิดบุญมากหรือน้อยจึงขึ้นอยู่กับความสามารถในการทำใจให้หยุดนึ่งสนิท เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมได้นานเท่าใด ล้านึ่งสนิทเป็นอันหมื่งอันเดียวได้ ถาวรตลอดไป กิเลสทุกชนิดย่อมถูกกำจัดจนหมดสิ้นไปด้วย ใจผู้น้นย่อมบรรลุ พระนิพพาน เสวยแต่บรมสุขตลอดไป ท่านผู้นั้นย่อมได้ชื่อว่าพระอรหันต์ ภาวนา-จึงไม่ใช่งานของคนแก่ เป็นงานของทุก ๆ คนที่ด้องการปัญญา ความพ้นทุกข์ และความสุขสงบอย่างถาวรแท้จริง สรุป การทำบุญทุกชนิดไม่ว่าน้อยหรือใหญ่ ล้วนเป็นการต่อด้าน ทำ ลาย กำ จัดกิเลสด้วยกัน นั้งนั้น เมื่อฝ่ายบาปจัดทัพกิเลสมารุกรานโจมดีใจถึง <๓ ทัพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้ ชาวโลก จัดกองทัพธรรมขึ้นต่อด้าน ทำ ลาย ล้างผลาญกิเลสให้สิ้นซาก ด้วยการแปงเป็น ๓ ทัพ เช่นกัน โดยกำหนดให้กองทัพทานทำลายล้างโลภะ กองทัพสืลทำลายล้างโทสะ กองทัพภาวนา www.kalyanamitra.org

ความร้เบองต้นชาวพทธและคณของพระรัตนตรัย ะ ๒๓๘ ทำ ลายล้างโมหะโดยมีพื้นที่ในใจของตนเองเป็นสนามรบ ทาน^ทำลายล้าง^โลภะ ทำ ลายล้าง^โทสะ กิ เลสใ' ภาวนา^ทำลายล้าง^โมหะ คุณของพระรัฅนตรัย คุณของพระรัตนตรัย เป็นที่กล่าวขานกันมานานนับพันปี ตั้งแต่สมัยที่ พระสัมมาสัม นุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ในสมัยมันชนทุกหมู่เหล่า ทุกวรรณะ เคยไดยนได้ฟ้งคุณของ พระรัตนตรัยกันทั้งนั้น เมื่อใดที่พระสัมมาสัมนุทธเจ้าจะเสด็จดำเนินไปยังเมืองใดก็ตาม คุณของ พระรัตนตรัยจะได้รับการประกาศแซ่ซ้องไปทั่วทังเมืองมัน ๆ ยังความเลื่อมใสศรัทธาให้บังเกิด ขึ้นในดวงใจของนุทธศาสนิกชน ยิ่งเมื่อได้พังธรรมหรือบรรลุธรรมในระดับต่าง ๆ ด้วยแล้ว ความศรัทธาก็ยิงเพิมพูนพับทวี และพร้อมยอมรับนับถือว่าจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พื้งที่ระลึกยัน สูงสุดตลอดชีวิต พระรัตนตรัยมีคุณยันไม่มีประมาณ จึงควรที่นุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษาให้กระจ่างถึงคุณ เหล่านี้ www.kalyanamitra.org

ความฆู้.บํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๓๙ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ใน \"มหานามสูตร\"' พระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสเรื่องคุณของพระรัตนตรัย คือพระ- พุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณไว้ดังนี้ พระพุทธคุณ ๙ \"อริยสาวกในพระศาสนานี้ ย่อมระลึกถึงพระตถาคตเนือง ๆ ว่า แม้เพราะเหลุนี้ ๆ พระ^พระภาคเจ้าพระองค์นั้น (๑)เป็นพระอรหันต์(อรหัง) (๒)ตรัส!เองโดยชอบ(สัมมาส้มพุทโธ) (๓)ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ(วิชชาจรณส้มปันโน) (๔)เสด็จไปดีแล้ว(สุคโต) (๕)ทรง!แจ้งโลก(โลกวิพุ) (๖)เป็นสารถีป็กบุรุษที่ควรแก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า(อนุตตโร ใJริสทัมมสารลิ) (๗)เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย(สัตถา เหวมนุสสานัง) (๘)เป็นผู้เบิกบานแล้ว(พุทโธ) (๙)เป็นผู้จำแนกธรรม(ภควา)\" พระธรรมคุณ๖ \"อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระธรรมเนือง ๆ ว่า (๑)พระธรรมอันพระ^พระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว(สวากขาโต ภควตา ธัมโม) (๒)อันผู้บรรลุจะพึงเห็นเอง (ส้นทิฎฐิโก) (๓)ไม่ประกอบด้วยกาล (อกาลิโก) (๔)ควรเรียกใหัลู (เอหิปัสสิโก) 'มก.อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต เล่ม ๓๖ หน้า ๕๒๙ www.kalyanamitra.org

ความรู้ฌํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๐ (๕)ควรน้อมเข้ามา(โอปนยิโก) (๖)อันวิญญชนจะพึงรู้เฉพาะตน(ฟ้จจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญหิ)\" พระสังฆคุณ ๙ \"อริยสาวกย่อมระลึกถึงพระสงฆ์เนือง ๆ ว่า (๑)สงฆ์สาวกของพระ^พระภาคเข้าเป็นผู้ปฎิบติดีแล้ว (สุปฎิป็นโน ภควโต สาวกสังโฆ) (๒)เป็นผู้ปฎิบติตรงแล้ว(อุซุปฎิป็นโน) (๓)เป็นผู้ปฎิปติเพื่อญายธรรม(ญไยปฏิปันโน) (๔)เป็นผู้ปฏิปติชอบ(สามีจิปฏิปันโน) นีคือคู่บุรุษ ๔ บุรุษ บุคคล ๘ นั่นคือสงฆ์สาวกของพระผูมพระภาคเข้า (๕)เป็นผู้ควรของคำนับ(อาทุเนยโย) (๖)ควรของต้อนรับ(ปาทุเนยโย) (๗)ควรของทำบุญ(ทักขิเณยโย) (๘)ควรกระทำอัญชลี(อัญชลีกรณีโย) (๙)เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยึ๋งไปกว่า (อนุตตรัง คู่ญญักเขตตัง โลกัส- สะ)\" www.kalyanamitra.org

ครามรู้พั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระเดนตรัย ะ ๒๔๑ บทขยายความ^ คุณพระรัตนตรัย คำ ว่า\"คุณ\"หมายความว่า ความสี ความงาม ที่ควรเทิดใ;เน ควรเคารพยูชา แต่ว่า ในปัจธุบัน เราใช้คำว่า \"คุณ\"กันใน ๒ ความหมายคือ ๑.หมายถึง ความดี ความงาม ๒.หมายถึง คุณประโยชน์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเรียก คุณ ก. มีความหมายว่า นาย ก. เป็นผู้ที่มีความดี ความ งาม และเป็น^คุณประโยชน์ทั้งต่อตัวเองและสังคม ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร ใครก็ตามที่เราไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนดีหรือเลว มีคุณความดีหรือไม่ เราไม่รู้ ไม่ มั่นใจ เราก็จะเรยกแต่ชื่อของเขาโดยตรง หรือถ้าจะมีคำนำหน้าก็เพียงแสดงเพศ เช่น นาย ก. นาง ข. แต่ถ้าแน่ใจว่าคน ๆ นั้นเป็นคนเลวล่ะก็ แน่นอนเลย คำ ว่า คุณ เขาก็ไม่ใช้แล้ว แค่ คำ บอกเพศเป็นหญิงเป็นชายก็ยังสูงเกินไปเสียแล้วสำหรับคนพรรค์นั้น เขาก็อาจจะเรยก ไอ้ ก. อี ข.หรือ นักโทษชาย ก.นักโทษหญิง ข.ก็ไตั แต่การที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราได้รับความเคารพ ไม่ใช่เพราะพระองค์เป็น ลูกกษัตริย์ ไม่ใช่คุณความดีของบรรพบุรุษที่มีสืบทอดกันมา แต่เป็นเพราะคุณความดีของ พระองค์เอง และคุณความดีนั้นยึ๋งใหญ่ไพศาล จนเทวดา พระอินทร์ที่เป็นใหญ่ แม้แต่พระพรหม รวมทั้งมนุษย์ทั้งโลกก็ให้ความเคารพท่าน และเหตุที่ทำให้พระองค์ทรงมีคุณงามความดีเกิดขึ้น ในตัวของพระองค์คือ เหตุที่พระองค์สละราชสมบัติออกบรรพชา ไม่ได้ทรงออกบวชตาม ธรรมดา แต่ทรงออกบวชด้วยมหาวิริยะ คือความเพียรอันแรงกล้า เพียรหาทางตับกิเลส เพียร ด้นคว้าหาทางตรัสรู้ธรรม โดยเฉพาะอย่างยึ๋ง หสังจากที่พระองค์ทรงทำความเพียรทางจิตด้วยวิธี ต่าง ๆ นานาประการ ที่ถือว่าวิเศษและนิยมกันในยุคนั้นอย่างเอาชีวิตเช้าแลกทีเดียว แต่ปรากฎว่า ' คัดและเรียบเรียงจากหนังสือ \"พระ'ทุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ โดย พระภาวนาวิริยคุณ www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชารพุทธและคุณซองพระรัตนดรัย ะ ๒๔๒ ไม่ได้ผล ในที่ลุ[ดพระองค์ก็ทรงด้นพบวิธีกลั่นพระทัยของพระองค์ให้ใส จนกระทั่งสามารถทำ กิเลสให้หมดสิ้นไปได้สำเร็จ สรุปได้ว่า เหตุที่ทำให้พระองค์ทรงมีคุณงามความดี ถึงขั้นที่แม้กระทั่งเทวดา พระอินทร์ พระพรหมยังด้องให้ความเคารพก็คือ อันดับที่ ๑ การออกบวช อันดับที่ ๒ การทุ่มเททำความเพียรทางจิต ทรงตั้งพระทัยทำสมาธิ จนกระทั่ง พระทัยของพระองค์สามารถหยุดนึ๋ง ณ ค[ู นย์กลางกายและบรรลุธรรมกายจนสามารถปราบกิเลส ให้หมดสิ้นไป หรือที่เรียกว่าบรรลุโพธิญาณ (โพธิญาณ คือ ฟ้ญญาการตรัสรู้ธรรม หมายถึง รู แจ้งธรรมทั่งหลายตรงตามความเป็นจริง) ส่วนคำว่า \"รัตนตรัย\" แปงออกเป็น ๒ คือ\"รัตนะ\"และ\"ตรัย\" รัตนะ แปลว่า แก้ว,ตรัย แปลว่า สาม รัตนตรัยจึง หมายถึง แก้ว ๓ ประการ หรือแก้ว ๓ ดวง ได้แก่ พุทธรัตนะ แก้วคือพระพุทธ ธรรมรัตนะ แก้วคือพระธรรม และ สังฆรัตนะ แก้วคือพระสงฆ์ การนำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเปรียบด้วยแก้ว เพราะแก้วเป็นวัตลุทำ ความยินดีให้บังเกิดแก่เจ้าของผู้ปกครองรักษา ถ้าผู้ใดมีแก้วมีเพชรไว้!นม้านในเรือนมากผู้นั้นก็ อิ่มใจดีใจด้วยคิดว่า เราไม่ใช่คนจน ปลื้มใจของตนด้วยความมั่งมี แม้คนอิ่นที่ไม่ใช่เจ้าของเล่า เห็นแก้วเห็นเพชรเข้าแล้ว ที่จะไม่ยินดีไม่ชอบนั้นเป็นอันไม่มี ด้องยินดีต้องชอบด้วยกันทั่งนั้น ฉันใด รัตนตรัยแก้วสามดวงคือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะทั่งสามนี้ ก็เป็นที่ยินดีปลื้มใจ ของเทวดาและมนุษย์ทั่งหลายฉันนั้น ส่วนในทางปฎิบติ หมายเอา พระพุทธที่เป็นแก้ว คือ ธรรมกาย พระธรรมที่เป็น แก้ว คือดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย และพระสงฆ์ที่เป็นแก้ว คือ ธรรมกายละเอียด www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้อ^ด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนดรัย ะ ๒๔๓ พระพุทธคุณ ๙ ๑. อรหัง คำ ว่า \"อรหัง\"หมายถึง ผู้ที่หมดกิเลสแล้ว หรือไกลจากกิเลสไมไกล้หรือไม่จมอยู่ ในกิเลส หรือว่าไม่แช่อิ่มอยู่กับกิเลส ในพจนานุกรมให้ความหมายไว้๗ นัยยะ ด้วยกันคือ ๑.เป็นผู้ไกลจากกิเลส คือบาปธรรม ทรงความบริสุทธ ๒.เป็นผู้กำจัดข้าศึก คือกิเลสสิ้นแล้ว ๓.เป็นผู้หักกรรมแห่งสังสารจักร อันได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ๔.เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอน ๕.เป็นผู้ควรรับความเคารพ ๖.เป็นผู้ควรแก่ทักษิณา และการนุชาพิเศษ ๗.เป็นผู้ไม่มีข้อลับ คือ ไม่มีข้อเสียหายอันควรปกปีด แต่ว่าในเชิงปฎิปติแล้ว มีสองนัยสำคัญคือ เป็น^กลและผู้ควร ความหมายของ อรหํ นัยแรก เป็นผู้ไกล อรหํ หมายถึง ทรงไกลจากกิเลส ตามธรรมดาใจของคนเรา มีลักษณะเป็นดวงกลม ๆ ดวงใจดวงนีของทุก ๆ คน ไม่ได้บริสุทธิ้คุดผ่องเหมือนอย่างที่เราคิด ใจมีตำหนิอยู่ข้างใน คือมีตัวบ่อนทำลายให้ไจเราเสิ้อม คุณภาพอยู่ข้างใน ซื้งก็คือกิเลสนั่นเอง แต่เนื่องจากพระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณได้ด้วย ธรรมกาย ทรงสามารถคำจัดกิเลสไห้หมดสิ้นไปจากพระทัยโดยสิ้นเชิง จึงไข้คำว่า ไกลจากกิเลส ซึ๋งมีคำศัพท์ว่า \"อรหัง\"แปลว่า พระอรหันต์ www.kalyanamitra.org

ดวามรู้ฌํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๔ ความหมายของ อรหังในนัยที่ ๒ เปีนผู้ควร พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรง เปีนผู้คงที่ไม่หวั่นไหว\" เพราะพระองค์ท่านไม่มีกิเลส แล้ว กิเลสหลุดห่างออกไปไกลเป็นพันโยชน์ หมื่นโยชน์ แสนโยชน์ ไม่มีทางกลับมาถึงพระองค์ อีก เพราะฉะนั้น พระทัยฃองพระองค์จึงไม่ถูกกิเลสบังคับ จึงคงที่ไม่หวั่นไหว ดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ไม่เคยโคจรมาพบคันเลย ก็เพราะอยู่ไกลกันมาก แต่ กิเลสกับพระทัยของพระองค\"ไกลคันยึ๋งกว่านั้นอีก จึงไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย กิเลสจึงหมด โอกาสเข้ามาเจือปน บีบคั้นพระทัยฃองพระองค์ สิ่งนี้เองเป็นเหตุให้พระองค์ทรงเป็นผู้คงที่ไม่หวั่นไหว เป็นคุณสมบิตไหญ่ของ พระองค์ หากใครเอานั้าหอมมาพรมพระวรกายข้างหนงของพระองค์ อีกข้างหนงชโลมด้วยของ เหม็น พระองค์ย่อมทรงนึ๋งเฉย ผิดกับม็ลุชนทั้งหลายย่อมดีอกดีใจเมื่อได้นั้าหอม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะกิเลสในใจบันสอนว่าการใส่นั้าหอมให้ตัวหอมฟ้งมีเสน่ห์เย้ายวนไจเป็นสิ่งดีเหลือเกิน ทั้ง ที่จริงบันหอมเดียวเดียว ไม่ข้ากลิ่นหอมนั้นก็จางไป กลายเป็นกลิ่นเหม็นสาบเข้ามาแทน เมื่อกิเลสหลุดไปไกลจนไม่มีทางกลับเข้ามาในพระทัยของท่านอีกแล้ว พระทัย ของท่านจึงมั่นคงเหมือนเสาเขื่อน ตามธรรมดาเสาที่คั้นเขื่อนย่อมมั่นคงไม่แพ้ถูเขา ลมหอบไป ไม่ได้ แม้พายุพัดมา ๔ ทิศ เสาเขื่อนก็ไม่คลอนแคลน ผิดกับไม้หลักป็กเลน ไม้หลักปกโคลน ความมั่นคงของของเสาเขื่อนย่อมทำให้เขื่อนคั้นนั้ามั่นคงแข็งแรงมาก เสมือนหนี้งจำลองถูเขามา ขวางทางนั้าไว้นั้าจึงไม่สามารถรั่วไหลออกมาได้ ตังนั้น ใครก็ตามที่สามารถกำจัดกิเลสให้หมดจากไจได้ ก็จะเป็นเหตุไห่ได้ คุณสมบิติทั้ง ๒ ประการ คือ ๑)ไม่หวั่นไหวหรือไม่ยินดียินร้ายด้วยคำสรรเสริญนินทา ๒)มีจิตไจมั่นคงเมื่อด้องเผชิญป็ญหา เพราะเหตุที่พระลัมมาลัมพุทธเจ้าทรงห่างไกลจากกิเลส พระองค์จึงทรงสมถูรลโ พร้อมด้วยคุณสมบิตทั้ง ๒ ประการตังกล่าว www.kalyanamitra.org

ความรู้เบองด้นชาวพุทธและคุณซองพระรัตนตรัย :๒๔๕ ดังนั้น เมื่อผู้ใดไดัมีโอกาสเข้าเสืาพระองค์ ผู้นั้นก็สามารถรู้ได้ด้วยตนเองว่า พระองค์คือผู้ควรได้รับการเทิดทูนบูชาไว้เหนือสิ่งใดทั้งหมด ควรยึดมั่นพระองค์ท่านไว้เปีน แบบอย่างไนการทำความดี แล้วทั้งใจประพฤติปฎิบ้ติตามพระองค์ ในด้านภาวนาเพื่อกำจัดกิเลสนั้น พบว่าในร่างกายของเรานี้ ไม่ใด้มีแต่เลือดเนื้อ และกระดูกเท่านั้น แต่ยังมีกายที่ละเอียด ๆ ซ้อนกันเป็นชั้น ๆ อยู่ภายในอีก เป็นกายที่มีชีวิตจริงๆ มีรูปร่างลักษณะเหมือนกายเนื้อของเรานี่แหละ แต่ละเอียดประณีตกว่ามาก สวยงามกว่ามาก ซึ๋ง ละเอียดประณีตจนกระทั้งว่า แม้จะถ่ายเอ็กซเรย์ก็จับไม่ติด หาไม่เจอ จะใช้กล้องอิเล็กทรอนิกส์ วิเศษเพียงใด ก็ใม่สามารถถ่ายเอาภาพกายละเอียดที่ซ้อนอยู่ข้างในมาดูใด้ กายดังที่กล่าวมานั้น คือ กายทิพย์ซ้อนอยู่ในกายมนุษย์ กายรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายทิพย์อีกทีหนี่ง กายอรูปพรหมซ้อนอยู่ในกายรูปพรหมอีกทีหนี่ง ยิ่งกว่านั้นยังมีกายธรรมหรือที่เราคุ้นเคยกันว่าธรรมกาย ซ้อนอยู่ในกายอรูป- พรหมอีกทีหนี่งด้วย ในดัวของทุก ๆ คนมีกายซ้อน ๆ กันอยู่อย่างนี อุปมาคล้ายกับแสงสว่างจาก ดวงอาทิตย์ ที่ดูเหมือนเป็นเพียงพลังงานที่มีความละเอียดมากใม่มีอะไรแฝงปนอยู่เลย แต่เมื่อให้ แสงสว่างผ่านเข้าไปในแท่งแล้วสามเหลี่ยมที่เรียกกันว่า ปริซึม แล้ว ก็เกิดการหักเหของแสง ทำ ให้เห็นแสงสว่างนั้นประกอบด้วยแสงชึ๋งมีสีต่าง ๆ ถึง ๗ สี คือ สีม่วง คราม นี้ๆเงิน เชียว เหลือง แสด แดง นั่นเอง ในแต่ละกายที่ซ้อน ๆ กันอยู่นั้น ต่างก็มีกิเลสอยู่ในใจของดัวเอง โดยกิเลสอย่าง หยาบก็อยู่ในกายหยาบ กิเลสที่ละเอียดกว่า ก็อยู่ในกายที่ละเอียดกว่า ดังนี้ กิเลสในกายมนุษย์ได้แก่ อภิชฌา',พยามาหั,มิจฉาทิฎฐิ 'ความเพ่งเล็งอยากได้ของของรัอื่น ^ ความคิดจองด้างจองผลาญ www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๖ กิเลสในกายทิพย์ได้แก่ โลภะ,โทสะ,โมหะ กิเลสในกายรูปพรหม ได้แก่ ราคะ,โทสะ โมทะ กิเลสในกายอรูปพรหม ได้แก่ กามราคานุสัย,ปฎิฆานุสัย,อวิชชานุสัย ในการละกิเลสของพระสัมมาส้มพุทธเจ้าใ4น พระองค์ทรงกำจัดกิเลสให้หลุด ล่อนเป็นชั้นๆ ไป ตั้งแต่กายทิพยํไปจนถึงกายอรูปพรหม จากนั้นจึงเข้าถึงกายธรรม หรือเรยกว่า ธรรมกาย เข้าชั้นโคตรถูจิต เรียกว่าโคตรถูบุคคล \"โคตรถูจิตคือใจของธรรมกายที่บรรลุในขั้นต้น ธรรมกายที่บรรลุในขั้นต้นนี้มึ ชื่อว่า ธรรมกายโคตรถู\"ซึ๋งก็พอจะอธิบายได้ว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงแปงมนุษย์หรือสัตวโลกออกเป็น ๒ ระดับ คือ ๑.ระดับต้น คือ พวกจิตใจหมักหมมต้วยกิเลส พระสัมมาส้มพุทธเจ้า ทรงเรียกมนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหมนั้งสี่กลุ่มนี้ว่า ปุลุโคตร 'ลุ่ลุ แปลว่า หนา หนาด้วยอะไร หนาต้วยกิเลส หรือพวกกิเลสหนานั่นเอง ๒.ระดับที่สอง คือ พวกอริยโคตร คือพวกที่ปราบกิเลสได้แล้ว หรือเที่ยงแท้แน่นอนว่า ไม่ข้าก็เร็ว จะด้องบรรลุ มรรคผลนิพพาน สามารถกำจัดกิเลสให้หมดสิ้นเชิงได้ ล้าเปรียบเทียบอริยโคตรกับลุ่ลุโคตรก็พอจะอธิบายได้ว่า ล้าชาวโลกทั้งหลายมี กิเลสอยู่ในใจ ๑๐๐% กิเลสในกายทิพย์ ในกายรูปพรหม ในกายอรูปพรหมก็จะลดลงไป ตามลำดับ พูดง่าย ๆ ก็คือ พวกลุ่ลุชนมีกิเลสตั้งแต่ ๕๐% ขึ้นไปจนกระนั่ง ๑๐๐% ส่วนอริยโคตร หรือกลุ่มที่ปราบกิเลสได้เกิน ๕๐% คือเกินครื้งแล้ว สอบผ่านแล้ว กิเลสเบาบางใกล้จะหมดแล้ว แน่นอนว่าอย่างข้าก็ไม่เกิน ๗ ชาติ จะสามารถปราบกิเลสได้เตียนแน่ ๆ www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณซองพระรัดนตรัย ะ ๒๔๗ แต่ยังมีประเภทที่อยู่กงกลาง คือ ๕๐-๕๐ ยังไวใจไม่ได้ ท่านเรียกว่า \"โคตรภู บุคคล\" คือ บุคคลที่เข้าถึงธรรมกายเบื้องต้น แต่ยังไม่แน่ว่าจะบรรลุมรรคผลนิพพานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเพียรในลำดับต่อไป เป็นบุคคลที่ยังกํ้ากง ระหว่างปุถุโคตรกับอริยโคตร ยังไม่ สามารถบรรลุอริยโคตร ดังนั้น กล่าวได้อีกนัยหนึ๋งว่า โคตรภูบุคคล คือ บุคคลที่กำลังจะเปลี่ยนโคตร จาก ใ^ลุชนไปเป็นอริยบุคคล อุปมาได้กับเด้าขวาเหยียบนิพพาน ก้าวขึ้นถึงนิพพาน แต่ว่าเด้าซ้ายยัง เหยียบโลกอยู่ ถ้าขยันมีความเพียรก็จะก้าวขึ้นไปสู่พระนิพพานได้ แต่ก้าด้อถอยอ่อนด้อยความ เพียร ก็หงายหลังผลึ๋งตกลงมาอยู่ในโลกอีกตามเดิม ในกรณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้อาศัยธรรมกายโคตรภูในการเดิน สมาปติเพ่งอริยสัจสี่เป็นอนุโลม-ปฏิโลมต่อไป จึงทำให้ทรงกำจัดกิเลสที่ละเอียดยึ๋งกว่า ที่เรียกว่า \"สังโยชน์\" ในกายธรรมชั้นต่างๆ ตั้งแต่ธรรมกายโคตรภู ธรรมกายพระโสดาบัน ธรรมกายพระ- สกทาคามี ธรรมกายพระอนาคามี ได้อย่างหมดจด เป็นพระอรหันค์ และเพราะจิตของพระองค์ บริลุ[ทธิ้ผุดผ่อง ปราศจากกิเลสทั้งมวลนีเอง พระองค์จึงได้พระเนมิตกนามว่า\"อรหัง\" พระเดชพระลุณหลวงป่ยังกล่าวสรุปไว้ว่า เหตุที่ทำให้พระองค์เป็น อรหัง บัน สรุปโดยย่อ ก็ได้แก่การที่พระองค์บำเพ็ญ สมาธิเจริญวิป็สสนาด้วยพระมหาปธานวิริยะอันแรงกล้า ณ โคนไม้พระศรีมหาโพธในวันวิสาข าJรณมีนั้นโดยความเด็ดเดี่ยว ตั้งพระหฤทัยอธิษฐานว่า แม้เนือและเลือดในพระสรีระของ พระองค์จะเหือดแห้ง เหลือแต่เล้นเอ็น หบัง และกระลูกก็ตามทีเถิด หากไม่ได้บรรลุพระ- สัมโพธิญาณตราบใด พระองค์จะไม่ยอมลุกจากที่บันเป็นอันขาด แล้วพระองค์ก็ทรงนั่งสมาธิรุด ไปด้วยนั้าพระทัยอันเด็ดเดี่ยว ในที่สุดก็ได้บรรลุพระสัมโพธิญาณ สมดังพระประสงค์ในราตรี กาลแห่งวันวิสาขาJรณมีนั่นเอง ยามด้นทรงบรรลุาjพเพนิวาสานุสติญาณ ความหยั่งเระลึกชาติ หนหลังได้ ยามที่ ๒ ทรงบรรลุจุลูปปาดญาณ ความหยั่งรู้ถึงความจุติและความเกิด ยามที่ ๓ ทรง บรรลุอาสวักขยญาณ ความหยั่งรู้ที่กำจัดอาสวกิเลสที่หมักหมมอยู่ในจิตให้หมดสิ้นไป ทรงรู้เห็น แจ่มแจ้งหมด เห็นจริง ๆ เห็นด้วยตาของธรรมกาย ไม่ใช่เห็นด้วยตามนุษย์ หรือคิดคาดคะเนเอา www.kalyanamitra.org

ความรูเบํ้องด้นชาวพุทธและดุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๘ เห็นตลอดทั่วโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ โลกนรก เพราะพระองค์ได้ผ่านพ้นโลก เสด็จออกสู่แดน พระนิพพานแล้ว จึงเห็นได้ทั่วถ้วนโดยมิสงสัย ๒.สัมมาสัมพุฑโธ สัมมาสัมพุทโธ' แปลว่า ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ หรือว่าตรัสรู้เองโดย ถูกด้อง คำ ว่า \"พุทโธ\" ไม่ได้มีความหมายตื้น ๆ อย่างที่ผู้ที่เรียนภาคปริยํติ หรือภาคทฤษฎีเข้าใจ กัน แต่ แปลว่าทั้งรู้ทั้งเห็น เพราะได้รวมความหมายของคำไว่ถง ๕ คำ คือคำว่า จักขุง ญาณัง ปัญญา วิชชา และอาโลโก ที่ปรากฎอยู่ใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ๋งเป็นพระธรรมเทศนาครั้ง แรกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแก่ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน จักขุง คือ ดวงตาเครื่องเห็นความจริงเป็นปกติ (หมายถึงเห็นด้วยตาธรรมกาย) และเพราะเหตุที่ได้เห็นความจริงเป็นปกติจึงทำให้เกิดคุณวิเศษประการที่ ๒ คือ ญาณัง แปลว่า ญาณเครื่องรู้ความจริงเป็นปกติ(หมายถึงรู้เพราะญาณของธรรมกาย) เพราะได้เห็น เพราะได้รู้ จึงเกิดคุณวิเศษประการที่ ๓ คือ ปัญญา แปลว่า ความ หยั่งรู้เหตุรู้ผลได้ลูกด้องตามความเป็นจริง เมื่อปัญญาเกิดขึน ทำ ไห้อวิชชาถูกกำจัดไปแล้ว คุณวิเศษประการที่ ๔ คือ วิชชา แปลว่า ความรู้ที่เป็นเหตุไห้กำจัดกิเลสได้เด็ดขาดจึงเกิดขึ้นมาอีก เมื่อวิชชาเกิดขึ้นแล้ว คุณวิเศษประการที่ ๕ ได้แก่ อาโลโก คือความสว่างอย่าง ยิ่งยวด ยิ่งกว่ารัศมีของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ตลอดแสนโกฏิจักรวาลมารวมกันจึงเกิด ขึ้นมา การเห็นนัน หมายถึงพระองค์เห็นด้วยตาธรรมกาย เป็นการเห็นโดยพระองค์เอง ไม่ด้องมีใครสอนให้รู้ให้เห็น จึงมีคำว่า \"สัม\" นำ หน้าพุทโธ ชึ๋งการที่ทรงตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์ เองนัน ก็เพราะความเป็น อรหัง คือเมื่ออำนาจสมาธิทำให้จิตของพระองค์หลุดพ้นจากอาสวะ แล้ว จิตของพระองค์ก็ใส บริสุทธ คุดผ่อง เพราะหยุดนิ่งนั่นเอง จึงมีสึ๋งหนิ่งคุดขึ้นในนิ่ง ทำ ให้ '\"สัมมา\"แปลว่า โดยชอบหรือถูกต้อง ส่วน\"สัม\"หน้าทุทโธ แปลว่าต้วยพระองค์เอง www.kalyanamitra.org

ความฆู้.บํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๙ \"รู้\" พระองค์ก็รู้ตามใfนไป อุปมาเหมือนนํ้าขุ่น แมือฐสักก้อนหนึ๋งอยู่ก้นโอ่ง เราย่อมมองไม่เห็น แต่เมื่อนํ้าใงั้นนอนนึ๋งใสบริธุ[ทธแก้ว แม้แต่เข็มอยู่ก้นโอ่งเราก็เห็นได้ฉะใเน ส่วนคำว่า \"สัมมา\" ที่นำ หน้าสัมพุทโธใงั้น แปลว่า โดยชอบหรือถูกด้อง ก็เพราะ การตรัสรู้ของพระองค์ใานมีเหตุผลยันกันได้เสมอ จึงถูกด้องไม่คลาดเคลื่อน จึงอาจกล่าวได้ว่า ทรงตรัสรู้ทั่วทั้ง\"เหตุและผล\"กล่าวคือ ทรงรู้ทั้ง เหตุสุข เหตุทุกข์เหตุไม่สุขไม่ทุก ที่เรียกว่าอัพ- ยากฤต มีสภาพเป็นกลาง ทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นรากฐานแห่งการตรัสรู้ของพระองค์ กล่าวคือ สุข พระองค์ก็ไม่ ทรงรู้แต่สุขเฉยๆ ตรัสรู้ลึกซึ้งเข้าไปถึงว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุขด้วย แก้วอีก ๒ ประการทั้นก็ เช่นเดียวกัน รู้ทั้งเหตุ รู้ทั้งผลคู่กันไป เป็นด้นว่า สุขเป็นผล คือความสบายกายสบายใจ อะไรเล่า เป็นเหตุที่ให้เกิดผลคือสุขดังกล่าวทั้น พระองค์ตรัสไว้ว่า อโลภะ อโทสะ อโมหะ (ไม่โลภ ไม่ โกรธ ไม่หลง)๓ ประการนี้แหละเป็นเหตุ โลภ โกรธ หลง เป็นฝ่ายอคุศล ตรัสว่าเป็นเหตุแห่งทุกข์ เราม้ลุชนมักรู้กันแต่ผล สาวหาเหตุไม่ใคร่ถึง เช่น คนทำโจรกรรมแก้ว ไปด้องโทษ อย่างมากที่รู้กันทั่วไปมักอยู่ในขั้น หยาบ ๆ ว่าผลที่ด้องได้รับทุกข์คือ การด้องโทษนั้น เมื่องมาจากโจรกรรม แต่แห้จริงเหตุเท่านั้นยังไม่พอ ด้องสาวเข้าไปอีก ทำ ไมเขาจึงท่าโจรกรรม ก็จะได้ ความว่าเพราะโลภะเป็นมูลเหตุ แต่ก็ยังไม่พอ ด้องสาวเข้าไปอีกว่าทำไมโลภะจึงครอบงำเขาได้ ก็จะได้ความว่า จิตใจของเขาสกปรก ทำ ไมจิตใจของเขาจึงสกปรก จึงได้เหตุว่าเพราะเขาไม่ประพฤติตามโอวาทพระ- บรมศาสดา อย่างน้อยก็เป็นคนทุศีล อทินนาทานขาดไปเสียองค์หมื่งแก้ว เหตุใดเขาจึงเป็นคนทุศีล ก็จะได้ความว่าเขาไม่รู้เรื่องศีลหรือรู้แก้วไม่นำพา ทำ ไมจึงไม่รู้เรื่องศีลก็อาจเป็นเพราะเหตุที่เขาไม่เคยอ่านหนังสือทาง พระพุทธศาสนา หรือสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา ฯลฯ ดังนี้เป็นด้น www.kalyanamitra.org

ครามรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณซองพระรัตนตรัย ะ ๒๔๐ พระองค์ทรงสอนไว้ละเอียด ให้รู้ลึงเหดุผล ว่าผลเกิดจากเหดุใด ทรงมีแนวสอน ให้ปฎิบติเพื่อละเหดุให้เกิดทุกข์ บำ เพ็ญเหดุให้เกิดลุ[ข ตลอดจนวิถีทางดับเหดุทั้งปวง เรียกว่า \"นิโรธ\" หรือพูดอย่างสั้นอีกนัยหนึ๋งว่า พระองค์สอนให้เว่า อะไรชั่ว อะไรดี อะไรเป็น เหดุของความชั่ว อะไรเป็นเหดุของความดี โลภะ โทสะ โมหะ เป็นเหดุแห่งความชั่ว หรือความเสื่อม อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นเหดุแห่งความดี หรือความเจริญ ทรงสอนว่า ก่อนจะพูด คิด หรือทำสื่งใด จงมีสติหรือที่เรียกว่าใช้ความคิดให้ รอบคอบเสืยก่อน จึงพูด จึงคิด จึงทำการนัน ๆ แลว่า โดยเฉพาะจงระวังเรื่องโลภะ โทสะ โมหะ นั้นไว้อย่าให้เข้าครอบงำได้ในเมื่อจะทำ พูด คิดการสื่งใด พระธรรมเทศนาของพระองค์เมื่อตอนตรัสรู้ใหม่ ๆ หนักไปในทางแสดงเหดุและ การดับเหดุ หรือที่เรียกว่า สมุทัย กับ นิโรธ เหดุให้เกิดความทุกข์นั้นมี เมื่อย่นย่อแล้วก็มีดัวสำคัญอันเดียวคือ อวิชชา เป็นมุล รากฝ่ายเกิด หรือที่เรียกว่า สมุทัย อวิชชาเท่านันที่เป็นดัวการสำคัญ ถ้าดับอวิชชาได้อย่างเดียว อืน ๆ ดับเรียบหมด เพราะอวิชชาเหมือนด้นไฟ แต่ล้ายังดับอวิชชาไม่ได้แล้ว ก็ไม่มีหวังว่าอย่าง คืนจะดับได้ ทีหมายสำคัญไนคำสอนของพระองค์อึงอยู่ที่ว่า ให้ผู้ปฎิบ้ติเพียงหาทางกำจัดอวิชชา เสีย อึงจะพ้นจากห้วงลึกคือวัฎฎสงสารได้ โดยสรุป พระคุณของพระสัมมาส้มพุทธเจ้า ประการที่ ๒ สัมมาส้มพุทโธ คือ พระองค์ทรงทังรูทังเห็น แทงดลอดในเหตุและผลของสรรพสิ่งทั้งหลายดรงดามความเปืนจริง ด้วยพระธรรมกายของพระองค์เองโดยมิได้มืผูหนึ่งผู้!ดสั่งสอนเลย ๓.วิชชาจรณส้มทันโน คำว่า \"วิชชาจรณส้มทันโน\" แปลว่า พระองค์ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณร www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๕๑ วิชชา หมายถึง ความรู้ที่กำอัดความมืดเสียได้(มืด หมายถึงขันธ์ ๕') จรณะ แปลว่าประพฤติ หรือธรรมควรประพฤติ ๑) วิชชา หมายถึง ความรู้ที่กำอัดมืดเสียได้ \"มืด\" หมายถึงขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ \"วิชชา\" คือความรู้ เป็นสึ๋งที่ตรงข้ามกับ \"อวิชชา\" ที่แปลว่าไม่รู้ คือไม่รูถูกหรือ ผิด เพราะว่าเข้าไปยึดมั่นในขันธ์ ๕ ว่าเป็นตัวเปืนตน จึงมืดมน ไม่รู้ไม่เห็นของจริงคือนิพพาน ข้อสำคัญอยู่ที่อุปาทาน ซื้งแปลว่ายึดมั่น คือ ยึดมั่นในขันธ์๕ ถ้ายังตัดอุปาทานไม่ได้ดราบใด ก็คงมืดตื้ออยู่อย่างนั้น ตัดอุปาทานได้มีนิพพาน เป็นที่ไปในเบื้องหน้า หรือพูดให้ฟังง่ายกว่านี้ก็ว่า เมื่อตัดอุปาทานเสียได้ จะมองเห็นพระ นิพพานอยู่ข้างหน้า อวิชชาที่แปลว่าไม่รู้นั้น ได้แก่ ไม่รู้อดีด ป็จจุบัน อนาคดของสังขาร ไม่ รู้ปฎิจจสมุปบาทและอริยสัจจะ ขันธ์๕ เป็นชื่อของอุปาทาน ถ้าปล่อยขันธ์๕ หรือวางขันธ์๕ ไม่ได้ ก็พ้นจากภพ ไม่ได้คงเวียนว่ายดายเกิดอยู่ในกามภพ รูปภพ อรูปภพ มืดมนวนอยู่ในที่มืด คือ โลกนีเอง ในคำว่า อนฺธภูโฅ อยํ โลโล ซงแปลว่า โลกนี้มืด ผู้แสวงหา โมกขธรรม ถ้ายังติด ขันธ์๕ อยู่แล้ว ยังจะพบโมกขธรรมไม่ได้เป็นอันขาด กายมนุษย์กายทิพย์กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เหล่านีอยู่ในพวกมีขันธ์๕ กล่าวคือ มนุษย์เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม เหล่านีอยู่ในพวกมีขันธ์๕ สัดว์ติรัจฉาน สัดว์นรกก็พวกมีขันธ์ ๕ พวกมืดทังบัน ยึ๋งในโลกันต์นรก เรียกว่า มืดใหญ่ทีเดียว 'ขันธ์๕ หมายถึงกองหรือหยู่ ที่ประกอบด้วย รูป คือส่วนที่เป็นร่างกายของเรา ประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุนํ้า ธาตุ ลม ธาตุไฟ ชึ๋งมาประชุมกันอย่างได้สัดส่วน และ เวทนา,สัญญา,สังขาร,วิญญาณ เป็นสิงที่เกิดขึ้นจากการทำงานของใจ โดย เวทนา แปลว่า ความรู้สึก,สัญญา แปลว่า ความจำได้หมายรู้,สังขาร แปลว่า ความคิดปเงแต่ง และวิญญาณ แปลว่า ความรู้แจ้งอารมณ์ www.kalyanamitra.org

ความรูเบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๕๒ วิชชาในที่นี้หมายเอาวิชชา ๓ คือ ๑. ^วิฟ้สสนาวิชชา ได้แก่ วิชชาที่ทำให้พิจารณาเห็นแจ้งชัดอริยสัจ ๔ ด้วยตา ธรรมกาย และร้ชัดด้วยณาณธรรมกาย ๒.มโนมยิทธิวิชชา มโนมยิทธิ แปลว่า ฤทธิ้ทางใจ ใครบำเพ็ญได้ถึงที่ย่อมทำได้ คือทำให้ใจมีฤทธานุภาพผิดไปจากธรรมดา จะนึกให้เป็นอย่างไรก็เป็นไปตามนึก ดังเมื่อ พระพุทธเจ้าเสด็จจากดาวดึงส์ นึกจะให้เทวดามนุษย์เห็นกัน เทวดาก็มองเห็นมนุษย์ มนุษย์ก็ มองเห็นเทวดา ซื้งมีปรากฎในเทโวโรหนสูตรนั้น เพราะมีธรรมกาย ธรรมกายนึกอย่างไรก็เป็น อย่างนั้น ๓.อิทธิวิธีวิชชา อิทธิวิธี แปลว่า แสดงฤทธี้ให้ปรากฏได้ต่าง ๆ ดังเช่นเนรมิตจักร เนรมิตพระกาย และเนรมิตปราสาทราชฐานในครั้งทรงทรมานพระเจ้าชมพุบดี จนพระเจ้าชมพุ- บดีหมดทิฎฐิมานะ แล้วจึงทรงแสดงธรรมสั่งสอน เป็นด้น แต่ล้านับรวมตลอดถึง อภิญญา ซึ๋งเป็นประเภทหนึ๋งของวิชชาเข้าด้วยกันแล้ว รวมกันเป็น ๘ คือ ๔. ทิพพจักขุวิชชา ทิพพจักขุ แปลว่า ตาทิพย์ ซึ๋งหมายความว่า มองเห็นอะไร ๆ ได้หมด ไม่ว่าอยู่ใกล้ไกลอย่างไร ดังเช่นเรื่องพระมเหศวรทดลองพระศาสดา ให้ทรงปีดพระ- เนตรเสียแล้วพระมเหศวรซ่อนตัว โดยจำแลงตัวให้เล็กแทรกแผ่นดินไปชุกอยู่ในเมล็ดทรายใด้ เชิงเขาพระสูเมเ พระองค์ก็มองเห็น ทรงเรียกให้ขึนมา ยังหาว่าเป็นอุบายของพระองค์จะเดาลัก เล้าเอา ในทีสูดพระองค์ก็เอาฝ่าพระหัตถ์ช้อนเอาตัวติดขึ้นมาพร้อมกับเมล็ดทรายนั้น ให้เห็น ประจักษ์ ตาทิพย์นีแม้สาวกของพระองค์ก็มีได้ เอาตามนุษย์ ตากายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ซ้อนกัน แล้วเอาตาธรรมกาย มองซ้อนตากายอรูปพรหม จะเห็นชัดคล้ายกับว่าแว่นหลาย ๆ ชั้น ซ้อนกัน ๕.ทิพพโสตวิชชา ทิพพโสต แปลว่า พุทิพย์ใครจะพุดอะไรกันที่ไหนได้ยินหมด โดยเอาแก้วพุกายมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม ซ้อนกันตลอดแล้วพุของธรรมกาย ย่อม สัมฤทธึ้ผลเป็นพุทิพย์ได็ยนอะไรหมด www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๕๓ ๖. ปรจิตตวิชชา แปลว่า ความเที่สามารถทำให้ล่วงเถึงวารจิตของผู้อื่นได้ ดังมี เรื่องพวกยักษ์เป็นอุทาหรณ์ คิดว่าจะตั้งป็ญหาถามพระศาสดา ถ้าแก้ไม่ได้จะจับโยนข้าม มหาสมุทร ครั้นมาถึงก็เรยกพระองค์ว่ามานี่ ยังมิทันจะได้พูดอะไรต่อไป พระองค์ก็ล่วงรู เสียก่อนแก้วว่า อาฬวกยักษ์คิดมาอย่างไร พระองค์ทรงตอบเย้ยไปว่า จะเรียกตถาคตไยเล่า เข้าไป หาท่านจะจับเราโยนข้ามมหาสมุทร แก้วในที่สุดได้ตรัสตอบไปว่า ป็ญหาที่ท่านคิดจะถามเรานั้น พ่อของท่านบอกไว่ไช่ไหม แก้วเราจะบอกท่านได้ต่อไปด้วยว่า พ่อท่านได้รับบอกมาจาก พระกัสสปสัมมาสัมพูทธเจ้านี่ล่วงรู้ใจคนได้อย่างนี้ ๗. ปุพเพนิวาสวิชชาแปลว่า ความรู้ที่ระลึกชาติหนหลังได้ ว่าชาติไหนเป็นอะไร เกิดที่ไหนมาแก้ว ดังมีเรื่องเวสสันดรชาดกเป็นหลักฐาน ไม่มีสึ๋งที่จะพึงระแวงสงสัยอย่างไร เป็น องค์แห่งสัมมาสัมโพธิญาณแน่แท้ ๘. อาสวักฃยวิชชาแปลว่า ความรู้ที่ทำลายอาสวะให้หมดสิ้นไป กล่าวคือ กามา- สวะ กวาสวะ ทิฎฐาสวะ อวิชชาสวะ'ทั้ง ๔ ประการนี้ พระองค์มีทัศนะปรีชาญาณหยั่งรู้วิถีทางที่ ทำ ให้หมดสิ้นไป ไม่มีไนพระกมลของพระองค์แม้แต่สักเท่ายองใย จรณะ แปลว่า ประพฤติ หรือธรรมควรประพฤติ มี ๑๕ คือ ๑.ศีลสังวร ได้แก่ความสำรวมในพระปาฎิโมกข์ ๒.อินทรีย์สังวร การสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ คือ ตา พู จมูก สิ้น กาย ใจ มิให้อารมณ์ ส่วนที่จะชักนำไปทางชั่วเข้าติดอยู่ได้ แต่การสังวรเหล่านีมีประจำพระองค์เป็นปกติอยู่ มิจำ ด้อง พยายามแนอย่างเช่นผู้ลุชนทั้งหลาย ๓.โภชเนมัฅดัญญตา การรู้ประมาณในการบริโภคพอสมควร ไม่มากไม่น้อย เกินไป เป็นจริยาที่เราควรเจริญรอยตาม ว่าโดยเฉพาะการบริโภคอาหาร ก้ามากเกินไปแทนที่จะ มีคุณแก่ร่างกายกลับเป็นโทษ ๔.ชากริยาพูโชค ทางประกอบความเพียรทำให้พระองค์ตื่นอยู่เสมอ คือรู้สึก พระองค์อย่เสมอ นิวรณ์เข้าครอบงำไม่ได้เป็นปกติ ' กามาสวะ อาสวะคือกาม,ภวาสวะ อาสวะคือภพ,ทิฎฐาสวะ อาสวะคือทิฎฐิ,อวิชชาสวะ อาสวะคืออวิชชา www.kalyanamitra.org

ความแบั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๔๔ ๕.ศรัทธา พระองค์ประกอบด้วยศรัทธาอย่างอุกฤษฏ์ ที่ปรากฎในเวสสันดรชาดก เป็นด้น พระองค์ได้บำเพ็ญทานบารมีบริจาคของนอกกาย ทานอุปบารมีสละเนื้อเลือดเมื่อทำ ความเพียร ทานปรมัตถบารมีสละได้ถึงชีวิตมาแล้วอย่างสมชุJรณ์ ๖.สติ นั้นได้แก่ที่เรียกว่า สติวินัย พระองคํไม่เผลอในกาลทุกเมื่อ เราผู้ปฎิบํติควร เจริญรอยตามดังแนวที่ทรงสอนไว่ในมหาสติป็ฎฐานสูตร ไม่ว่าจะเดินยืนนั่งนอนให้มีสติอยู่ เสมอ สติในมหาสติป็ฎฐานสูตร ท่านหมายเอาสติที่ตรึกถึง กาย เวทนา จิต ธรรม ๗.หิริ การละอายต่อความชั่ว ๘.โอตตัปปะ สะคุ้งกสัวบาป นั้ง ๒ ประการนี้เป็นจรณะที่ติดประจำพระองค์อยู่ อย่างสมทุรณ์ ๙.พาหุสัจจะ ฟังมาก นี่ก็มีประจำพระองค์มาแต่ครั้งยังสร้างบารมี พระองค์ทรง เอาใจใส่ฟังธรรมในสำนักต่าง ๆ เป็นลำดับมา จนกระทั่งอาฬารดาบส และอุทกดาบส ซึ๋งได้ทรง เรียนร้รูปฌาน อรูปฌาน มาจากสำนักนี้ ๑๐.อุฟ้กโม ความเพียรไม่ละลด ดั่งเช่น ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ๕ เป็นประจำ ๑)เวลาเช้าบิณฑบาต ๒)เวลาเย็นทรงแสดงธรรม ๓)เวลาคาทรงประทานพระโอวาทแก่ภิกทุ ๔)เวลาเที่ยงคืนทรงเฉลยบิญหาเทวดา ๕)เวลาใกล้รุ่งพิจารณาเวไนยสัตว์ที่จะพึงโปรด ๑๑.ป'ญญา มีความรู้ความเห็นกว้างขวางหยั่งรู้เหตุรู้ผลถูกด้องไม่มีผิดพลาด ๑๒ถึง ๑๕ รูปฌาน ๔ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และ จตุตถฌาน รูป ฌาน ๔ นัน พระองค์ได้อาศัยมาเป็นประโยชน์ที่จะขยับขยายโลกิยปญญาให้เป็นโลกุตดระ เป็น พวกสมาธินั่นเอง www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธแฝืะคุณซองพระรัดนตรัย ; ๒๕TdT ๔.สุกโต สุกโต แปลได้หลายนัย เช่น ๑.ไปสีแล้วไปสู่ที่สี หรือทรงพระดำเนินงาม ที่ว่าไปดีแล้ว หมายถึง ว่าพระองค์ประพฤติ ดี ทั้งกาย วาจา ใจ คือกายเป็นสุจริต วาจาสุจริต ใจสุจริต ประพฤติสมาเสมอมาเป็นเอนกชาติ ดับ ขันธ์จากชาติหนึ๋งก็ไปสู่สุคติทุกชาติ ไม่ไปสู่ทุคติเลย อย่างนี้ก็เรืยกว่า สุคโต ไปดีแล้ว อีกนัยหนึ๋งพระองค์ดำเนินกาย วาจา ใจ ไปในแนวอริยมรรค ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ มี สัมมาทิฎฐิเป็นด้น สัมมาสมาธิเป็นที่สุด ซึ๋งย่อลงเป็นศีล สมาธิ ป็ญญา พระองค์เตินทางศีลเป็น เบื้องด้น ศีลมีประเภทจำแนกละเอียดไว้มากมาย รวมเข้าเป็นวินัยปิฎกถึง ๕ พระคัมภีร์ รวมยอด เข้าเป็นปฐมมรรค ปฐมมรรคเป็นดวงใสอยู่ในกึ๋งกลางกาย นั้นแหละรวมยอดมาจากศีล นี่แหละ คัวศีล สุกโตในทางศีล พระองค์เดินทางใจไปหยุดอยู่ตรงดวงปฐมมรรกนั้น หยุดสงบจน รากะ โทสะ โมหะ อภิชฌา พยาบาท เข้าไม่ได้ ไม่มีอะไรเข้าไปทำให้ขุ่นมัว จึงใสดุจกระจกส่องเงาหน้าก็เข้าขัน สมาธิ หยุดนี่งจนมี \"รู้\" ผุดขึ้นเริยกว่า มัญญา หยุดนิ่งอยู่เช่นนั้นเป็นทำนองเดียวกัน ดังแต่กาย ทิพย์รูปพรหม อรูปพรหม จนถึงธรรมกาย เมื่อธรรมกายหยุดนิ่ง จิตของธรรมกายเป็นมรรคจิต ญาณธรรมกายเป็นมรรคฟ้ญญา ธรรมกายเข้าสมาปติดุอริยสัจต่อไป ดวงใสถึงขนาดตกสูนย์แล้วกลับเป็นโสดาบันบุคคลแล้ว เป็นสกทาคามี อนาคามี โดยทำนองเดียวกัน จนธรรมกายอนาคามีตกศูนย์จึงเป็นพระพุทธเจ้า อย่างนี้ก็เรียก สุกโต ๒.ไปสู่ที่สี สู่แดนอันเกษม กล่าวคือ นิพพาน คือเมื่อธรรมกายเพ่งเล็งถูกส่วนตกศูนย์ มี อายตนะอีกอย่างหนิ่งที่เรียกว่า อายตนนิพพาน ดึงดุดธรรมกายที่ตกศูนย์นันเข้านิพพานอยู่ เนืองนิตย์ แม่ในขณะมีพระชนม์อยู่ ชื่อว่าไปอยู่สู่แดนเกษมประการหนิ่ง เมื่อจะดับขันธ์ พระองค์เข้าสมาปติ อายตนนิพพานดึงดุดเข้าสู่นิพพานไป นี่ก็เรียกว่า ไปสู่แดนอันเกษม ชื่งอยู่ ในความหมายว่า สุกโต www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๔๖ ๓. ทรงพระดำเนินงาม หมายถึงว่า เมื่อครั้งจะทรงพระดำเนิน ไปโปรดพระฟ้ญจวัคคีย์ ยังป่าอิสิปดนะนั้น ทรงเดินไปด้วยย่างพระบาท มีฉัพพรรณรังสีรู่งโรจน์ จนแม้แต่ว่าสัตว์จตุบท- ทวิบาทที่มาแลเห็น ก็งงงันหยุดนิ่งตะลึง ไปไม่ได้อย่างนี้เรียกว่า ทรงพระดำเนินงาม ๔.ไปสู่ที่ไหน สืที่นั้น ดังเช่นครั้งเมื่อเมืองไพสาลีเกิดไข้ทรพิษระบาดไปทั่วเมือง ผู้คนล้ม ตายกันมาก จนหาคนจะเก็บศพจะฝังไม่ได้ ลึงกับปล่อยให้เน่าคาเรือน พวกเจ้าลิจฉวีประชุมกัน ให้ไปเชิญพระองค์ พระองค์มาถึงส์งแม่นั้าข้างหนิ่งเป็นเวลาเย็นแล้ว จึงทรงประทับยับยั้งอยู่ ใน คืนนั้นเทวดาทั่งหลายเว่าเงขึ้น พระศาสดาจะเสด็จข้ามฟากไปสู่นครไพสาลี เห็นว่าที่ทั่นอากล ไปด้วยซากศพ จึงประชุมกันไห้วัสสวลาหกบันดาลให้ฝนตกลงมากมายจนถึงเป็นกระแสนั้าพัด ซากศพเหล่านั้นไปหมดสิ้น ก่อนเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปถึง เมื่อพระองค์เสด็จข้ามฟากไปถึง นครไพสาลีก็สะอาดหมดจดแล้ว พวกเจ้าลิจฉวีถวายอาหารบิณฑบาต ทรงเจริญพระปริตร และ ให้พระอานนท์เอานั้าพระพุทธมนต์ไปประพรมด้วย ใช้กำหญ้าคาจุ่มนั้าพระพุทธมนต์ อมนุษย์ก็ ปลาสนาการไปหมด โรคภัยก็สงบ ดังนี้ก็ได้ชื่อว่า ล[ุ คโต ๕.โลกวีพุ โลกวิทู แปลว่า รู้แจ้งซึ่งโลก โลก'แบ'งออกเป็น ๓ คือ สังขารโลก สัฅวโลกโอกาสโลก โลกทัง ๓ นิ สมเด็จพระบรมศาสดาทรงรู้แจ้งหมด รู้ถึงความเป็นไปของโลก เหล่านิโดยละเอียดด้วย จึงได้พระนามว่า โลกวีทู 'โลก ในความหมายทั่วไปหมายถึง สึ๋งที่ทรุดโทรมย่อยยับ สูญสลายไส์'แปงออกเป็น ๓ ชนิดคือ ๑.สังขารโลก หมายถึง สังขารร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหลาย อันประกอบด้วยกายกับใจ ๒.สัตวโลก หมายถึง หผู่สัตว์ซึ๋งยังมีจิตซัดส่าย เมื่อได้เห็น หรือสัมผัส เป รส กลึ๋น เสียง หรือวัตลุสึ่งของ หรือ หมายถึงสึ๋งทีมีความรุ้สืก และเคลื่อนไหวไปได้เอง ได้แก่ เทวดา มาร พรหม มนุษย์เปรต อสูรกาย ดิรัจฉาน และสัตว์นรก ในทางธรรมมักหมายถึง มนุษย์หรือชาวโลกทั้งหลาย ๓.โอกาสโลก หมายถึง สถานที่ที่สัตวโลกได้อาศัยเป็นที่อยู่ เป็นที่ทำมาหากิน และเป็นที่สร้างทั้งกรรมดีและกรรม ชั่ว ซึ๋งได้แก่ ทั้งผืนแผ่นดิน และผืนฟัานั่นเอง www.kalyanamitra.org

ดวามรูเบํ้องด้นชาวพุทธและคุณชองพระเดนตรัย ะ ๒๕๗ คำ ว่า โลก หมายความว่าเป็นที่ก่อแห่งสัตว์ หรือนัยหนึ๋งว่าเป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์ ชึ๋งว่าเป็นที่ก่อแห่งสัตว์ก็คือเป็นที่เกิดที่อยู่แห่งสัตว์ ที่ว่าเป็นที่ก่อผลแห่งสัตว์ ก็คือเป็นที่ซึ๋งสัตว์ ได้อาศัยก่อกุศลและอกุศล ว่าโดยเฉพาะโลกมนุษย์เป็นที่มนุษย์อาศัยสร้างบุญ แล้วก็ได้ผลไป บังเกิดในสวรรค์ หรือบำเพ็ญบารมีแล้วส่งผลไปสู่นิพพาน ดั่งเช่นองค์สมเด็จพระศาสดา ในทาง ตรงข้ามล้าสร้างบาปแล้ว ก็เป็นผลให้ไปเกิดในนรก สังขารโลก คือ โลกที่มีอาหารเป็นป๋'จจัยปรุงแต่ง เพราะสัตว์ทั้งหลายอยู่ได้ก็เพราะ อาศัยอาหารหล่อเลี้ยง อาหาร แปลว่า ประมวลมาหรือเครื่องปรนปรือ แปงออกเป็น ๔ ประเภทคือ ๑)กวฬิงการาหาร หมายถึงอาหารที่เป็นคำ ๆ เช่น คำ ข้าว ซึ๋งมีส่วนละเอียดของ อาหาร คือ โอชะ หรือที่เรืยกกันว่าวิตามิน เป็นเครื่องหล่อเลียงร่างกาย โดยมีความหยาบ ละเอียดแตกต่างกันไป เช่น จระเข้กินอาหารหยาบมาก มนุษย์กินอาหารที่ละเอียดมากกว่าเป็นด้น ๒)ผัสสาหาร ได้แก่ ผัสสะทั้ง ๖ คือ ผัสสะทางตา บุ จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ แปลว่า ความกระทบ เช่น เมื่อรูปมากระทบตาก็เกิดฃึนเรืยกว่า จักขุสัมผัส อีก ๕ อย่างก็เช่นกัน ผัสสะนี้เป็นอาหารเพราะประมวลให้เกิดเวทนาหรือปรนปรือให้เกิดเวทนา ๓ ผัสสะที่เกิดจาก กระทบอารมณ์ที่ดีก็ให้เกิดสุขเวทนา กระทบอารมณ์ชั่วก็ให้เกิดทุกขเวทนา อารมณ์ไม่ดีไม่ชั่วก็ ให้เกิดอุเบกขาเวทนา ดังเช่นพระสารีบุตรยืนกั้นร่มให้พระศาสดาได้เป็นเวลา ๗ วัน โดยไม่หิว โหย ก็เพราะผัสสาหารอย่างนี้ สัตว์นรกดำรงชีพรับเคราะห์กรรมอยู่ได้ ก็เพราะผัสสาหารทางชั่ว คนนอนหลับอยู่ได้ก็ด้วยผัสสะชนิดให้เกิดอุเบกขาเวทนา ๓)มโนสัญเจตนาหาร ได้แก่ การคิดอ่านทางใจ มโนสัญเจตนาหารนี เป็นอาหาร ประมวลมา ซํ่งภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วแต่เจตนา คือบุ่งไปเกาะภพไหน เมื่อ ประกอบกุกส่วนก็ไปสู่ภพนั้น ๔)วิญญาณาหาร วิญญาณ แปลว่า ความรูแจ้ง ความรู้แจ้งเป็นอาหารชนิดหนง เหมือนกัน ตา บุ จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านี้เป็นที่รับรองของวิญญาณ วิญญาณย่อมมีรสในอารมณ์ www.kalyanamitra.org

ครามรู้เบํ้องด้นชาวพุทธนฟิะคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๕๘ ๖ อย่าง ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ๋ง วิญญาณจึงเป็นอาหาร ประมวลให้เกิดนามรูปได้ในคำว่า วิญญาณปจฺจยๆ นามรูป ซื้งแปลว่า วิญญาณเป็นฟ้จจัยให้เกิดนามรูป สัตวโลก ที่ว่าพระองค์ทรงรู้แจ้งซื้งสัตวโลกนั้น คือพระองค์ทรงเแจ้งซงธรรม เป็นที่มาแห่งจิตของสัตว์ทั้งหลาย คือ ทรงรู้ว่า สัตวโลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามยถากรรม ทำ สี ความดีย่อมติดตามไป สนองในภพหน้าทำชั่วความชั่วย่อมติดตามไปสนองในภพหน้าเป็นเสมือนเงาตามตัว ทรงรู้แจ้งซึ๋งอนุสัย ๗ ประการ' คือ กามราคานุสัย ภวราคานุสัย ปฎิฆานุสัย ทิฏฐานุสัย วิจิกิจฉานุสัย มานานุสัย อวิชชานุสัย ที่มีในใจมนุษย์ ทรงรู้แจ้งจริตแห่งสัตว์ทั้งหลาย ๖ ประการ คือ ราคะจริต โทสะจริต โมหะจริต วิตักกจริต สัทธาจริต พุทธิจริต ทรงรู้แจ้งนิสัยตาสูง และความเป็น^ใจบุญ ความเป็น^ใจบาป แห่งสัตว์ ทังหลาย ทรงรู้แจ้งซึ๋งความมีกิเลสหนาบาง แห่งสัตว์ทังหลาย ทรงรู้แจ้งในอินทรีย์ของสัตว์ ทังหลายว่าแก่อ่อนอย่างไร กล่าวคือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ป็ญญา เรียกว่า อินทรีย์๕ คือ ความ เชื่อ ความเพียร สติ สมาธิ และปัญญา แล้วก็ทรงหาอุบายโปรด ในเมื่อทรงเห็นว่าอินทรีย์แก่กล้า สมควรแล้ว ทรงรู้แจ้งว่าสัตว์จำพวกใดมีอาการดี อาการชั่ว แล้ใหวหรือไม่ไหว มีสัทธา มี ปัญญา หรือว่า หาสัทธา หาปัญญามิได้เลย ทรงรู้แจ้งว่า สัตว์จำพวกใดทรงโปรดได้ จำ พวกใดทรงโปรดไม่ได้ เช่น สัตว์พวก สัมมาทิฎเโปรดได้จำพวกมิจฉาทิฎฐิโปรดไม่ได้ โอกาสโลก สภาพทีรับรองซึ่งกันและกัน หมายถึง ธาตุต่าง ๆ ที่รับรองกันไปเป็น ชัน ๆ เช่น อากาศรับรองธาตุไฟ ธาตุไฟรับรองธาตุนั้า ธาตุนั้ารับรองธาตุดิน ธาตุดินรับรองภูเขา ตรีภูฎ...รับรองไปจนถึงอรูปภพ เป็นด้น 'กามราคานุสัย ความกำหนัดในกาม,ภวราคานุสัย ความกำหนัดในภพ,ปฎิฆาสัย ความขัดใจ,ทิฎฐาา^สัย ความเห็นผิด,วิจิกิจฉานุสัย ความลังเล สงสัย,มานา'เงุสัย ความถือตัว,อวิชชาใ^สัย ความไม่!จริง www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๕๙ ดังจะเห็นว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงเสภาพความเป็นไปของสัตวโลกทั้งหมด เลย ตั้งแต่จะมีชีวิตอยู่อย่างไร กินอย่างไร อยู่อย่างไร จะตายจะเกิดอย่างไร จะคิดดีคิดชั่ว จะก่อ กรรมทำเข็ญอย่างไร และต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอย่างไร พระองค์ก็ทรงเห็นหมด และแม้แต่โลก ชงเป็นที่อยู่อาศัยของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระองค์ก็เห็นแจ้งทะลุไปหมดเลย ว่ามันมีกี่ภพกี่ภูมิ มันเกิดขึ้นหรือเปลี่ยนแปลงไปไต้อย่างไร เรียกว่าหมดทั้งสากลโลกนี้ไม่มีความสับอะไรจะมา ปีดบังอำพรางพระองค์ไต้เลย ผลที่สุดพระองค์จึงทรงสรุปไต้ว่า โลกทั้งโลกนี้แท้ที่จริงก็คือลุกขัง สรรพสัตว์นั่นเอง ขังให้สัตวโลกต้องทนทุกข์ทรมานเวียนว่ายตายเกิดกันนับภพนับชาติไม่ถ้วน ๖.อนุตดโร 1]ริสทัมมสารถิ พระลุณขัอนี้หมายความว่า พระองค์ก็เปรียบเสมือนสารถีผู้ฝ็กสอนคนเป็นอย่างดี หาผู้อื่นเสมอเหมือนมืได้ ว่าโดยย่อก็คือ พระองค์มีพระปรีชาญาณเฉลียวฉลาดในอันที่จะแกสอน คนให้เป็นคนดีไต้ ว่าโดยที่สุดก็คือ ให้สามารถบรรลุมรรคผลนิพพานไต้ ย่นคำสอนของ พระองค์ก็คือ ดีล สมาธิ ป็ญญา แต่พระองค์มีลุบายสอนต่าง ๆ นานา สุดแถ้วแต่จะทรงพิจารณา เห็นว่าบุคคลจำพวกใดมีนิสัยอย่างไร ก็ทรงไช้อุบายสอนให้ต้องกับนิสัย เช่น พระนันทคุมารมี นิสัยหนักไปในทางราคจริต พระองค์ทรงเนรมิตเป็นรูปนางฟ้าเข้าล่อ จนพระนันทคุมารเห็นว่า สวยกว่านางคู่รักของเธอ แถ้วก็ทรงยักเยื้องวิธีจนพระนันทคุมารเบื่อหน่ายในรูป ในบางกรณี เพื่อการเผยแพร่พระพุทธศาสนา พระองค์ทรงไข้อิทธิปาฏิหาริย์ มากมาย ดังเช่นเรื่องอุรุเวลกัสสปะ เป็นต้น ซึ๋งมีเรื่องว่า ครั้งเบื่อพระองค์คิดจะทรงปลูกฝัง พระศาสนาให้เป็นปีกแผ่นในกรุงราชคฤห์ แต่มีคณาจารย์คนสำคัญอยู่ที่นั่นชื่ออุรุเวลกัสสปะชง คนนับถือมาก ถ้าปราบอุรุเวลกัสสปะเสียไต้พระพุทธศาสนาจึงจะรุ่งเรือง พระองค์จึงเสด็จไปยังอาศรมแห่งอุรุเวลกัสสปะ ตรัสขออาศัยพักสักราตรีหบื่งที่ โรงเพลิง อุรุเวลกัสสปะว่าที่นั่นมีพระยานาคพิษร้ายอยู่ดัวหนง พระองค์ว่าไม่เป็นไรก็เสด็จ ประทับอยู่ที่นั่น ครั้นตกเวลากลางดึกพระยานาคสำแดงพิษ หรือเรียกว่าพ่นพิษทำร้ายพระองค์ แต่ พระองค์ทรงดำรงพระสติเฉพาะหน้าต่อพระกัมมัฏฐานภาวนานุโยค ประมวลมาซงอิทธากิ- www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและดุณของพระรัดนดรัย ะ ๒๖๐ สังขาร1?าแดงเตโชกสิณ สมาป้ต๊บันดาลให้เป็นเปลวเพลิง ยังพระยานาคให้พ่ายแพ้ด้วยฤทธี้ของ พระองค์แล้ว ให้ขดตัวอยู่ในบาตรเอาไปให้อุรูเวลกัสสปะกับบริวารดู แต่อุรุเวลกัสสปะก็ยังไม่เลื่อมใส ยังถือทิฎเว่า ตนเป็นอรหันต์อยู่ พระองค์ก็ ทรงแสดงอีกหลายประการ ตลอดจนแสดงจงกรม คือ เดินอยู่บนนํ้า แล้วเหาะขึ้นบนอากาศ แล้วเลื่อนลอยลงมาสู่เรือของอุรุเวลกัสสปะและบริวารที่ไปดูอยู่นั้น แล้วในที่ลุ[ดจึงชี้แจงให้พวก อุรุเวลกัสสปะ!ตัวว่า ทางที่พวกเธอปฎิปตอยู่นั้นมิใช่ทางที่จะบรรลุมรรคผล พวกเธอยังไม่ใช่ พระอรหันต์ อุรุเวลกัสสปะได้สตับพระพุทธฎีกาก็ละทิฎฐิซบเศียรลงแทบฝ่าพระบาทพระองค์ ขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระองค์ลำ ตับนั้นแล้ว นทีกัสสปะและคยากัสสปะผู้เป็นน้องของ อุรุเวลกัสสปะ ชงต่างก็มีบริวารและเป็นคณาจารย์ ตั้งอาศรมอยู่กัด ๆ กันไปตามลำตับของ ลำ นั้าเนรัญชราทางใต้ ทราบเรื่องราวขึ้นก็พากันเลื่อมใส มาขอบรรพชาอุปสมบทในลำนัก พระองค์หมดสิ้น ตังนี้พระองค์จึงเป็น^กสอนอย่างดีเลิศ ไม่มีผู้!ดเสมอเหมือน จึงได้พระนาม ว่า อนุตตโร ปุริสฑัมมสารลิ ๘). สัตถา เทวมนุสสานัง แปลว่า พระองค์เป็นบรมครูแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฃ้อนี้สาธกได้ด้วย พุทธกิจ ๕ ประการ ชี้งว่า ๑)เวลาเช้าบิณฑบาต ๒)เย็นทรงแสดงธรรม ๓)พลบคาทรงให้โอวาทกิกนุ ๔)เที่ยงคืนแก้ป็ญหาเทวดา ๕)ยรรุ่งพิจารณาดูเวไนยสัตว์ที่พึงจะโปรด จะเห็นได้ว่าในช้อ ๒-๓ น้นทรงเป็นครูมนุษย์ช้อ ๔ นันทรงเป็นครูเทวดา และยัง มีมงคลสูตรเป็นข้อยืนยันอีก เพราะเหตุที่พระองค์จะทรงแสตงมงคลสูตรนั้นก็เนื่องจากเหตุว่า เทวดาลงมาเฝ่าและยกนัญหาขึ้นพูลถามว่าอะไรเป็นมงคล \"อเสวนา จ พาลานํฯ\" เป็นอาทิ ซื้ง www.kalyanamitra.org

ความรู้พํ้องด้นชาวพุทรและคุณชองพระรัตนตรัย ะ ๒๖๑ แปลว่า อย่าคบคนพาล เป็นต้น ตลอดจนถึง นิพฺพานสจฺฉิกิริยา การทำให้แจ้งซึ๋งพระนิพพานฯ ซึ๋งพระองค์ตรัสว่าสึ๋งเหล่านี้ล้วนเป็นมงคลทั้งสิ้น ดังนี้จึงไต้พระนามว่า สัตถา เทวมใงุสสานัง พระองค์เป็นบรมครูทั้งเทวดาและมนุษย์ ๘.ทุทใธ คำ ว่า พุทโธ แปลไต้หลายนัย แต่ในที่นี้จะขอแปลไปในทางที่ว่า เป็นผู้บานแล้ว หรือเบิกบานแล้ว ที่ว่าบานนั้นเปรียบต้วยดอกปทุมชาติ คือบานเหมือนดอกบัวที่บานแล้วเต็มที่ การ ที่พระองค์ทรงประกอบความเพียรอยู่ต้วยประการต่าง ๆ เมื่อยังไม่ไต้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ เปรียบเหมือนดอกบัวที่ยังลูมอยู่ ต่อรุ่งอรุณแห่งวันวิสาขป็รณมี พระองค์ไต้ตรัสรู้แล้ว จึง เปรียบเสมือนดอกบัวที่บานแล้วในเวลารุ่งอรุณแห่งวันวิสาฃป็รณมีนั้นเอง นัยที่ว่าเบิกบานนั้น หมายความว่า เมื่อพระองค\"ไต้ทรงตรากตรำเป็นเวลาล่วงถึง ๖ พรรษาแล้ว จึงไต้มาตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ไต้รับผลเป็นองค์อรหัง และสัมมา- สัมทุทโธฯ ดังบรรยายมาข้างต้นแล้ว พระกมลหฤทัยของพระองค์ก็ย่อมผ่องแผ้วเบิกบานเต็มที่ เหตุว่าไต้ผลสมปรารถนาที่พระองค์ทรงตั้งปณิธานเพียรบำเพ็ญมา ฉะนี้จึงไต้พระนามว่า ทุทโธ ๙. ภควา คำ ว่า ภควา แปลไต้หลายนัย แปลว่า หักก็ไต้แจกก็ไต้ ที่ว่า หัก นั้น หมายความว่าพระองค์หักเสียไต้ชึ๋งสังสารจักร กล่าวคือ อวิชชา ดัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเสมือนดัวจักรที่พัดผันส่งต่อไปยังกันและกัน เป็นกำลังดันให้ หนุนเวียนวนว่ายอยู่ในวัฎฎสงสาร มิให้ออกจากภพ ๓ พระองค์หักเสียไต้แล้ว พระองค์จึงพันไป จากภพทั้ง ๓ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เสด็จออกสู่นิพพานไป ที่ว่า แจก นั้นมีความหมายว่า เมื่อพระองคํไต้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้ว พระองค์เป็นสัพพัญญ ทรงรู้แจ้งธาตุธรรมทั้งปวงหมด จึงทรงสามารถจำแนกแยกแยะ ธรรมส่วนที่ละเอียด ๆ ให้เห็น เช่น ทรงจำแนกขันธ์ ธาตุ อายตนะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ดังนี้ เป็นต้น ตลอดจนหลักธรรมอื่น ๆ ทั้งมวลให้สาวกไต้รู้เห็นรับปฏิบัติสืบ ๆ กันมา www.kalyanamitra.org

ความรู้เบั๊องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๖๒ บทสรุปพระพุทธลุฌ ๑.\"พระพุทธเจ้า\" คือใคร \"พระพุทธเจ้า\" มีความหมายอยู่ ๒ ระดับ คือ พระพุทธเจ้าในภาคปริยํติ และใน I^ ภ' พระพุทธเจ้าในภาคปริย้ติ \"พระพุทธเจ้า เป็นพระนามที่ใช้เริยกมหาสมณะ ชาวอินเดียรูปหนึ๋ง ซึ๋งมีชื่อเรียก ตามชาติตระถูลว่า \"โคดม\"มีพระนามเดิมว่า สิทธัตถะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ พระราชาแห่งแคว้นสักกะ มีนครหลวงชื่อว่า กบิลพัสดุ พระองค์ประสูติเมื่อ ๘๐ ปีก่อน พุทธศักราช ขณะมีพระชันษาได้ ๒๙ ปี ก็ทรงดัดสินใจออกบวชเพื่อหาทางหลุดพันจากความ ทุกข์ โดยทรงไปศึกษาจากเจ้าลัทธิศาสนาที่มีมากมายในสมัยใทั้เ และทรงทรมานตนเองอย่าง อุกฤษฏ์นาน ๖ ปี แต่ก็ไร้ผล จึงทรงละทิ้งวิธีการของนักสอนศาสนาทั้งหมด และในที่สูดก็ทรง ค้นพบวิธีการตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง ต่อมาจึงเสด็จไปเผยแผ่พระพุทธศาสนายังแคว้นต่าง ๆ ในประเทศอินเดีย พระพุทธศาสนาจึงบังเกิดขึ้นไนโลกนับแต่นั้นมา พระองค์ทรงประกาศ พระศาสนาจนพระชนมายุได้๘๐ปีจึงทรงปรินิพพานที่เมืองคุสินารา\" พระพทธเจ้าในภาคปภิบิติ หมายถึงพระธรรมกายในดัวของพระมหาสมณะชาวอินเดียตระถูลโคดมที่กล่าว มาแค้วช้างด้น และการที่จะปฎิบิติให้เช้าถึงระดับนั้นได้ จะด้องปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ ให้ชำนิ ชำ นาญจนกระทั่งใจหยุดนิ่งได้สนิทที่สูนย์กลางกายฐานที่ ๗ เช้าถึงกายกายใน ที่เรียกว่า \"ธรรมกาย\"ที่อยู่ในดัวพระองค์ท่าน สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าชั้นนอก หมายถึงร่างกายที่ประกอบด้วยเลือดเนื้อของ พระมหาสมณะตระกูลโคดม เป็นเพียงพระพุทธเจ้าที่เราเรียนกันมาในประวิติศาสตร์ แต่ พระพุทธเจ้าชั้นในหมายถึงธรรมกายภายในตัวของพระองค์ ซึ่งตรงนื้คือพระพุทธเจ้าพระองค์ จริง www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัตนตรัย ะ ๒๖๓ ๒.พระสัมมาส้มพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งแก่เราได้อย่างไร เราสามารถพึ่งพระสัมมาส้มพุทธเจ้าได้สองระดับ ระดับที่ ๑ คือ พึ่งพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นด้นแบบในเรื่องการทำความดี โดย ระลึกถึงว่าตั้งแต่พระองค์ทรงเรื่มสร้างบารมีในชาติแรก พระองค์ทรงแก่ไขปรับปรุงพระองค์เอง จนกระทั่งสำเร็จเป็นพระสัมมาส้มพุทธเจ้าใด้อย่างใร และเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงมี วิธีการอบรมชาวโลกอย่างเป็นขั้นตอนอย่างใร ทรงแก่ไขอุปสรรคต่าง ๆ นานา ระหว่างเผยแผ่ พระธรรมคำสอนอย่างไรตลอด ๔๕ พรรษา แล้วนำมาแกปฎิปติตามพระองค์ไป ระดับที่ ๒ คือ พึ่งพระพุทธเจ้าภายใน คือ ธรรมกายที่มีอยู่ภายในตัวของเรา โดย ลงมือปฎิปติมรรคมีองค์๘ ใาร้ได้ถูกส่วนจนใจหยุดนึ๋ง เข้าถึงธรรมกาย พระธรรมคุณ๖ ๑.สวากขาโต ภควตา ธัมโม สวากขาโต แปลว่า พระองค์กล่าวแล้วดีนั้น หมายความว่าธรรมที่พระองค์ตรัส สอนนั้นล้วนแต่จะเป็นผลส่งให้ผู้ประพฤติปฏิปติตามได้รับความร่มเย็นเป็นคุขทังสิน จึงได้ชื่อ ว่าเป็นธรรมที่พระองค์กล่าวแล้วดี ดีก็คือไม่มีเสีย คือคำสอนของพระองค์ไม่ให้ทุกข์แก่ผู้ปฎิปติ เลย มีแต่จะนำไปสู่สุขอย่างเดียว มีอริยมรรคเป็นข้อสาธกที่ทรงสอนไว้ว่า ความเห็นชอบ ๑ ความดำริชอบ ๑ กล่าววาจาชอบ ๑ ประกอบการงานชอบ ๑ หาเลี้ยงชีพชอบ ๑ ทำ ความเพียรชอบ ๑ ตั้งสติไว้ชอบ ๑ สมาธิชอบ ๑ พิจารณาดูให้ดีจะเห็นธรรม เหล่านี้ ผู้ใดประพฤติได้จะให้ผลไม่เฉพาะแต่ทางธรรม แม่ไนทางโลกก็อำนวยผลดีให้แก่ผู้ ปฎิปติเหมือนกัน ดังนี้ธรรมที่พระองค์ตรัสสั่งสอนไว้ได้ชื่อว่า\"สวากขาตธรรม\" พระสัทธรรมของพระองค์แปงเป็นหมวดใหญ่ ๆ ได้๓ หมวด คือ ปริย้ติธรรม ๑ ปฐฟ้ติธรรม ๑ ปฎิเวธธรรม ๑ ปริย้ติธรรมนั้น ได้แก่คำสั่งสอนอันเป็นแนวนำไปสู่ปฎิบ้ติธรรม www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธและคุณซองพระรัตนตรัย ะ ๒๖๔ ส่วนปฎิบ้ติธรรมใfน เป็นคำสอนที่ม่งวิธีการปฏิป๋ติโดยตรงซึ่งธะมีผลส่งให้ถึง ^เวธธรรม ปฎิเวธธรรม คือการรู้แจ้งแทงตลอดสภาวะความเป็นจริงทั้งมวล ๒.สันฑิฎเโก แปลว่า ธรรมดาคำสอนของพระองค์นั้นไม่เหมือนสิ่งของอื่น ๆ ซึ่งคนหนํ่งแล เห็นแล้วชีไป อีกคนหนื้งจะแลเห็นได้ด้วยกันอย่างนั้น หามิได้ ผู้!ดปฏิมิติตามผู้นั้นจะเห็นผลได้ ด้วยตนเองว่าเป็นอย่างไร 6». อกาลิโก ผู้ไดปฎิปติ ผู'้ นั้นย่อมได้รับผลเสมอโดยไม่มีจำกัดเวลาว่ามีเขตเพียงนั้นเพียงนี้ ๔.เอหิป๋'สสิโก เพราะเหตุว่าเป็นของดี ของจริง เมื่อผู้ไดปฏิปติได้แล้ว จึงเป็นเสมือนสิ่งของที่ น่าจะเริยกบอกคนอื่นมาดูว่า นี่ดีจริง อย่างนี้ ๕.โอปนยิโก เพราะเหตุว่าการปฎิปติตามคำสอนของพระองค์ พบของดีของจริงด้งกล่าวมา แล้วนัน ควรจะน้อมนำเอาของดีจริงที่พบแล้วนั้นเข้ามาไว่ในตน คือ ยิ่งถือปฎิมิติเรื่อยไปไม่ละ วางเสีย ๖.ฟ้จจัตตัง เวฑิตัพโพ วิญญหิ แปลว่า ธรรมของพระองค์นัน วิญญชนจะพีงรู้ได้เฉพาะด้วยตนเอง ข้อนี้คล้ายกับ โ ที่กล่าวข้างด้น ต่างแต่ว่าข้อนั้นกล่าวถึง อาการเห็น ส่วนข้อนี้กล่าวถึง อาการรู้ กล่าวคือผู้ปฏิปติตามธรรมของพระองค์ จะเว่าธรรมของพระองค์ดีจริงอย่างไร และเมื่อปฎิปติ ตามแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ดังนีย่อมเกิดจากการปฎิปติของตนเอง ด้วยใจของตนเอง ผู้'อื่นจึง พลอยรู้ด้วยไม่ได้ มันเป็นรสทางใจ หากใจผู้ปฎิปติ เขาเยือกเย็นเป็นลุ[ขสักปานใด แม้เขาจะเอา มาเล่าให้เราฟัง ใจเราก็จะไม่เย็นอย่างเขา ตามคำที่เขาเล่าบอกนั้นได้ จะไม่ผิดอะไรกับคนหมื่งได้ www.kalyanamitra.org

ความรู้ผํ้องด้นชาวพุทธและดุณฃองพระรัดนตรัย ะ ๒๖dr กินแกงชนิดหนึ๋ง มาเล่าให้เราฟังว่า มันอร่อยอย่างใงั้นอย่างนี้ ก็จะไม่ทำให้เราเปีบข้าวเปล่า ๆ โดยนึกเอารสแกงที่เขาว่านั้นมาประสมให้ได้รสอร่อยอย่างเขาว่านั้นได้ บทสรุปพระธรรมคูณ ๑.ธรรมที่ทรงเห็นและพระธรรมที่ตรัสสอน คำ ว่า ธรรม ซึ๋งบางครั้งก็อ่านออกเสียงว่า ทำ บ้าง หรือ ทำ -มะ บ้าง ก็มี ความหมายลึกซึ้งถึง ๒ ระดับเช่นกัน คือ ธรรมระดับที่ ๑ หมายถึง สึ๋งที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงเห็นด้วยตาธรรมกาย คือ หสังจากที่พระองค์ทรงทำพระทัยหยุดนึ๋งดูกส่วนตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ได้แล้ว พระองค์ก็ ทรงเข้าถึง-เห็น-เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมกาย ครั้นแล้วก็ทรงอาศัยตาธรรมกายไปเห็นสึ๋ง หนึ่งซึ้งอยู่ภายในพระองค์นั่นแหละ สึ๋งนั้นเป็นสึ๋งที่เกิดมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ เป็นสึ๋งที่สามารถ ควบคุมสรรพสึ๋งทังหลายให้เป็นไปตามฟ้จจัยที่มันจะด้องเป็น ใคร ๆ จะไปบังคับให้มันเป็นไป อย่างอื่นก็ไม่ได้ซึ้งพระองค์ทรงเรืยกว่า ธรรม คือความจริงที่เป็นไปตามธรรมชาติ ส่วนไหนแห่งธรรมที่เป็นเหลุก่อให้เกิดทุกข์ ก่อให้เกิดสุข ก่อให้เกิดความไม่ทุกข์ ไม่สุข พระองค์ก็ทรงเห็นธรรมนั้น ๆ ได้ตรงตามเป็นจริงทุกประการ พร้อมทังทรงรู้เหลุรุ้ผลไป ได้ไนตัวทั้งหมด ธรรมระดับที่ ๒ หมายถึง คำ สอนของพระพุทธองค์ ซึ้งฟ้จชุบันรวบรวมไว้เป็น ๓ หมวดใหญ่ เริยกว่า พระไตรปีฎก ๒.พระธรรมเป็นที่พึ่งให้เราได้อย่างไร พระธรรมที่เป็นที่พึ่งแก่เราได้๒ ระดับ คือ ระดับที่ ๑ คือ เราสามารถที่จะพึ่งไดดที่สุดตรงที่ เราลงมือศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระองค์อย่างจริงจัง จนกระทั่งเข้าใจความหมายของพระธรรมตรงตามพุทธประสงค์แล้ว เลือกปฎิปติแต่คุศลธรรม ที่เป็นเหลุให้เกิดสุข ละเว้นอกุศลธรรม ที่เป็นเหลุก่อให้เกิดทุกข์เสีย www.kalyanamitra.org

ความรู้เบํ้องด้นชาวพุทธแฝ็ะคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๖๖ ระดับที่ ๒ คือ การพงพระธรรมในภาคปฎิป้ติ โดยตั้งใจปฎิบํติธรรมจนใจหยุดนึ๋ง ที่สูนย์กลางกายกระทั่งเข้าถึงพระธรรมกาย แล้วอาศัยธรรมกายภายในไปเห็นไปรู้จักธรรมตัวจริง ที่อยู่ในตัวของเรา ซื้งนั่นแหละคือ พระธรรมที่จะช่วยเป็นที่พงให้เราได้จริง ๆ ตรงตาม วัฅลุประสงค์ที่พระพุทธองค์ทรงด้องการ พระสังฆคุณ a.ลุ[ปฎิป๋'นโน ภควโต สาวกสังโฆ สาวกของพระองค์^พระภาคเจ้านั่น ย่อมมี ๒ จำ พวก คือ ใใธุชนสาวก ๑ อริยสาวก ๑ 1]ลุชนสาวกนั่น ได้แก่ ผู้ที่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย แต่ยังมิได้บรรลุธรรมวิเศษอัน ใด ยังเป็นปุถุชนอยู่ จึงได้ชื่อว่าปุถุชนสาวก แต่สาวกตามความหมายในบทสังฆคุณที่ยกขึ้นกล่าว ข้างด้นนี้เฉพาะแต่อริยสาวกเท่านั่น อริยสาวก แปลว่า สาวกผู้ประเสริฐ คือสาวกทั่ใด้บรรลุธรรมวิเศษแล้ว พ้นจาก ฐานะปุถุชนแล้ว เรียกตามโวหารในทางศาสนาว่าเป็นชั้นอริยะ สาวกชั้นอริยะหรือที่เรียกว่า อริยสาวกนัน ท่านจัดเป็น ๔ คู่ คือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผลคู่ ๑, สกทาคามิมรรค สกทาคามิผลคู่ ๑, อนาคามิมรรค อนาคามิผลคู่ ๑, อรหัตมรรค อรหัตผลคู่ ๑ แต่ล้าจัดเป็น รายบุคคล ท่านจัดเป็น ๘ คือ โสดาปัตติมรรค ๑ โสดาปัตติผล ๑, สกทาคามิมรรค ๑ สกทาคามิผล ๑, อนาคามิมรรค ๑ อนาคามิผล ๑, อรหัตมรรค ๑ อรหัตผล ๑, จึงรวมเป็น อริยบุคคล ๘ จำ พวกด้วยกัน แท่งเป็นชั้น ๆ ตามลำตับธรรมวิเศษที่ได้บรรลุ ลุปฏิปันโน แปลว่า ท่านตั้งใจปฎิบํติดี คือปฎิปติตามพระธรรมวินัยของ พระพุทธเจ้าอย่างเคร่งครัด ซงข้อปฎิปติทังหลายเหล่านั่นก็เป็นไปตามแนวมัชฌิมาปฏิปทา คือ ข้อปฏิปติที่เป็นกลาง ไม่ถึงกับตึงและหย่อนจนเกินไป www.kalyanamitra.org

ครามรู้เบํ้องด้นชารพุทธนฝืะคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๖๗ ๒.อุชุปฎิฟ้นโน แปลว่า ท่านตั้งใจปฎิบติตรง คือขั้นต้นก็ปฎิป้ติเพื่อกำจัดความคดโกง นอกลู่นอก ทางทั้งทางกาย วาจา และใจ จากทั้นก็มุ่งตรงต่อพระนิพพาน แม้จะล่วงเลยข้ามไปกี่ภพกี่ชาติท่าน ก็ไม่เปลี่ยนใจ ยังมุ่งตรงต่อพระนิพพานอยู่นั่นเอง ๓.ญายปฏิฟ้นโน แปลว่า ท่านตั้งใจปฎิป้ติเพื่อให้แห็นธรรม สำ หรับจะนำพาตัวท่านออกพ้นไปให้ ไต้จากภพ ๓ คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ซื้งเปรียบเสมือนคุกใหญ่ใช้กักขังสัตวโลก ๔.สามีจิ'\" แปลว่า ท่านตั้งใจปฎิปติอย่างเหมาะสมดีเลิศในธรรมวินัยทั้งน้อยใหญ่ คือไม่ หละหลวมลูเบาแม่ไนธรรมเล็กน้อย และยอมทุ่มเทเอาชีวิตเป็นเดิมพันในธรรมที่ปฎิปติไต้โดย ยาก เช่น การเข้าฌาน เป็นต้น ต้วยความทุ่มเทประกอบเหคุ คือ มรรคมีองค์ ๘ เป็นอย่างดี โดยมีชีวิตของท่าน เป็นเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า ปีแล้วปีเล่า ชาติแล้วชาติเล่า จนกระทั่งสามารถทำใจให้หยุดให้นิ่ง ณ ศูนย์กลางกาย เข้าถึงธรรมกายแล้วตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔ ประการ และประหารกิเลสไต้เด็ดขาดมา ตามสำตับ ๆ จึงเป็นผลส่งให้ท่านนอกจากจะบริศูทธึ้คุตผ่องอย่างยงตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ทั้งกายทั้งใจของท่านยังเป็นเสมือนโรงงานผลิตบุญเคลื่อนทื่อย่างใหญ่หลวง หากใครไต้บุญ จากท่านแล้วย่อมเป็นเหคุให้เกิดความสุขอย่างยึ๋งทั้งในชาตินี้ และชาติต่อ ๆ ไป รวมทั้งยังจะเป็น ปัจจัยให้บรรลุธรรมกายตามท่านไต้โดยง่ายอีกต้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงไต้ทรงสอนให้ชาวโลกทั้งหลายรู้จักตักตวงบุญจากท่าน ให้ไต้เด็มทื่ต้วยการประพฤติปฎิปติอย่างเหมาะสม ๕ ประการ คือ ๑.อาหุเนยโย ต้องรู้ว่าท่านเป็นผู้ควรเคารพสักการะอย่างยิ่ง หากไต้พบท่าน ณ ทื่ไหน ๆ ให้รีบ นำ จคุปัจจัยทื่ประณีตเหมาะสมมาสักการะ คือถวายบำรุงท่าน เป็นการช่วยหล่อเลี้ยงกายเนื้อของ ท่านให้ไต้รับความสุข ความสะดวกพอสมควร แล้วท่านจะไต้เมตตาชี้แนะอบรมสั่งสอนให้ www.kalyanamitra.org

ความแบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพระรัดนตรัย ะ ๒๖๘ ๒.ปาชุเนยโย ต้องเว่าท่านเป็นผู้ควรต้อนรับยิ่งกว่าแขก^งใหญ่ใfงหลาย ที่นั่ง ข้าวนํ้า อาหาร และความสะดวกสบายใด ๆ ที่ควรแก่ท่านต้องรับจัดหามาต้อนรับ เพราะนี่เป็นโอกาสทองของ เราแล้วที่จะไต้ทำบุญใหญ่และไต้ฟังธรรมจากท่านโดยไม่ต้องไปไกลถึงวัดของท่าน ๓.ทักฃิเณยโย ต้องรู้ว่าท่านคือผู้ควรอย่างยิ่งที่จะรับของที่เราเตรัยมไว้ทำบุญอุทิศส่วนคุศลแก่ผู้ ที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะท่านคือผู้ที่สามารถรู้ - เห็น อย่างทะลุปเโปร่งว่าผู้ที่เราต้องการทำบุญ อุทิศส่วนกุศลไปให้นั้น บัดนีตายแล้วไปบังเกิดใหม่ ณ ภพคูมิใด ๆ เมื่อเราทำบุญกับท่านแล้ว ท่านจะไต้แจ้งข่าวการบุญการกุศลของเราให้แก่ผู้ที่ล่วงลับทราบโดยตรง เขาเหล่านั้น เมื่อทราบ ชัดเจนย่อมอนุโมทนาถูกต้อง และไต้รับผลบุญใหญ่ทันทีตามเจตนารมณ์ของเรา ๔.อัญชลีกรณีโย ต้องรู้ว่าท่านเป็นผู้ควรกราบไหว้อย่างยิ่ง เพราะเมื่อเรากราบไหว้ท่านต้วยความ เต็มใจ ย่อมเป็นการเปีดใจตนเองให้พร้อมที่จะน้อมรับคำสั่งสอนที่อุดมไปต้วยอมตธรรม สามารถน้อมนำใจให้หยุดนี่ง เข้าถึงธรรมกายและบรรลุอริยธรรมตามท่านไปไต้โดยง่าย แม้นิสัย บารมียังอ่อนอยู่ไม่สามารถจะบรรลุธรรมในขณะนั้น ก็สามารถน้อมนำให้บังเกิดศรัทธานั่นคง ในพระรัตนตรัย เป็นการปีดอบายให้กับตนเองอย่างชาญฉลาดและนั่นคง ๕.อนุตตรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ ต้องรู้ว่าท่านผู้นี้แหละเป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ ไม่มีศาสดาใด ๆ ในโลกจะยิ่งใหญ่ กว่าท่านอีกแล้ว เพราะท่านสามารถปราบกิเลสไต้เด็ดขาดต้วยธรรมกายของท่าน ทำ ให้ทั้งกายทั้ง ใจของท่านบริกุทธิ้ผุดผ่อง และสามารถผลิตกระแสบุญไต้อย่างมากมายมหาศาล ไม่มีที่สิ้นกุด ดวงอาทิตย์สามารถผลิตแสงสว่างและความร้อนอย่างต่อเนื่องและมากมายมหาศาลไม่มีประมาณ ฉันใด พระอริยเจ้าทั้งหลายย่อมสามารถผลิตบุญและความดีทั้งหลายอย่างมากมายมหาศาลและ ต่อเนื่องไม่มีประมาณยิ่งกว่าฉันนั้น ดวงอาทิตย์แม้จะให้ความร้อนและแสงสว่างไต้มากมาย มหาศาลก็เฉพาะในเวลากลางวัน แต่พระอริยเจ้าท่านให้บุญและความดีแก่ชาวโลกไต้ทั้งกลางวัน กลางคืนไม่มีว่างเว้น www.kalyanamitra.org

ความแบํ้องด้นชาวพุทธและคุณของพรรรัดนตรัย ะ ๒๖๙ หากบุญเปรียบเหมือนกระแสไฟฟัา ใครทำบุญกับพระอริยเจ้า ก็เหมือนเอา ปลัก บุญ ขนาดยักษ์ไปต่อกระแสบุญจากท่านเข้ามาในตัว ย่อมได้บุญมาก หากบุญเปรียบเหมือนนํ้าในมหาสบุทร ใครทำบุญกับพระอริยเจ้าก็เหมือนเอา ท่อบุญ ขนาดยักษ์ไปสูบเอากระแสบุญมาจากท่าน ย่อมได้บุญมาก หากบุญเปรียบเหมือนพืชพันธุธัญญาหาร ซึ๋งด้องหว่านด้องปลูกจึงจะบังเกิดขึ้น ได้ ใครทำบุญกับพระอริยเจ้าก็เหมือนกับหว่านกับปลูกพืชพันธุบุญลงไปในเนื้อนาบุญชันเลิศ ย่อมได้บุญไม่มีที่สูดประมาณ บทสรุปพระลังฆคูณ พระสงฆ์เปีนที่พึ่งให้เราได้อย่างไร พระสังฆคูณก็เช่นเดียวกันกับธรรมคุณ กล่าวคือ เป็นที่พึ่งแก่เราได้ใน ๒ ระตับ เช่นกัน คือ ระดับที่ ๑ คือ สามารถพึ่งพระสงฆ์ในด้านที่ให้ท่านเป็นครู ช่วยนำคำสอนของ พระสัมมาส้มพุทธเจ้ามาแนะนำสั่งสอนเรา ระดับที่ ๒ คือ การพึ่งพระสงฆ์ในภาคปฏิบัติ โดยตั้งใจปฏิบติธรรมจนใจหยุดนิ่ง ที่สูนยํกลางกายกระทั่งเข้าถึงสังฆรัตนะ ที่อยู่ ณ สูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ในตัวของเราเอง (พระมงคลเทพมุนี หลวงธุ่เวัดปากนํ้ากล่าวไว้ว่า ธรรมกาย มีสีใสเหมือนแก้วจริง ๆ จึงได้ชื่อว่า\"พุทธรัตนะ\" ธรรมทั้งหลายที่กสั่นออกจากหัวไจธรรมกาย จึงได้ชื่อว่า \"ธรรมรัตนะ\" ธรรม รัตนะคือหัวไจธรรมกายนั้นเอง ดวงจิตของธรรมกายนั้นได้ชื่อว่า \"ลังฆรัตนะ\" www.kalyanamitra.org

ความแบํ้องด้นชาวพุทธและคุณชองพระรัดนตรัย ะ ๒๗๐ ส1ป พระรัตนตรัยมีคุณยึ๋งใหญไม่มีประมาณดังที่กล่าวมาแล้ว _โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระรัตนตรัยที่เป็นที่พึ๋งที่ระลึกที่แท้จริงซื่งอยู่ภายในดัวฃองเรา ที่ชาวพุทธทั้งหลายควรแกตนให้ เข้าถึงให้จงได้ดังที่พระมงคลเทพมุนีท่านได้เทศนาเอาไว้ว่า \"พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะทั้ง ๓ ประการนี้ เกี่ยวเนื่องเป็นอันเดียวนั้น เกี่ยวกันอย่างนี จะพรากจากกันไม่ได้ ผู้!ดเข้าถึงพุทธรัตนะ ก็ได้ชื่อว่า เข้าถึงธรรมรัตนะ สังฆรัตนะด้วย การเข้าถึงรัตนะ ๓ ดังกล่าวมานี จะเข้าถึงได้อย่างไร เพียงแต่เลื่อมใสนับถือ ยังไม่ เรียกว่าเข้าถึง แม้จะท่องปนน้อมไจระลึกถึงก็ยังไม่เรียกว่าเข้าถึง แม้จะปฏิญาณตนว่ายอมเป็นข้า ก็ยังไม่เรียกว่าเข้าถึง อย่างมากจะเรียกได้ก็เพียง ขอถึง การที่จะเข้าถึงนัน จำ เป็นจะด้องบำเพ็ญเพียรปฏิบติเจริญรอยตามปฏิปทาของ พระบรมศาสดาจนบรรลุกายธรรม คือ รู้จริงเห็นแจ้งด้วยดัวของดัวเอง จึงจะได้ชื่อว่า เข้าถึง พระรัตนตรัยโดยแท้ และการปฏิบํติเช่นนี ไม่เป็นการพ้นวิสัยของมนุษย์ เพราะในบํจจุนันนี มีผู้ ที่ได้ปาเพ็ญบรรลุธรรมกายก็นีอยู่มากหลาย ผู้ที่ได้ธรรมกายแล้วเขามีความอี๋มเอิบและคุขกายลุ[ข ใจเพียงไหน ถามเขาลูได้ เพื่อได้ทราบว่าการเข้าถึงพระรัตนตรัยมีผลอย่างไร ผิดกว่าที่ยังมิได้ เข้าถึงอย่างไร ทังจะได้รู้ด้วยว่า ศีล สมาธิ ป๋ญญา ซึงเปีนหลักคำสอนของพระบรมศาสดามีความ จริงแค่ไหน\" www.kalyanamitra.org

www.kalyanamitra.org


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook