การศึกษาพิเศษน่ ารู้ SS PP EE CC II AA LL EE DD UU CC AA TT II OO NN BB yy :: JJ aa nn ii ss tt aa RR aa kk ss aa pp hh aa kk dd ee ee
การศึกษาพิเศษ ความหมายของการศกึ ษาพเิ ศษ เป็นการจัดการศึกษาที่คานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและความต้องการพิเศษของผู้เรียน ตามหลักการแล้ว กระบวนการนี้เก่ียวข้องกับการจัดทาแผนรายบุคคล การเตรียมกระบวนการสอนอย่าง เป็นระบบ การดัดแปลงวัสดุอุปกรณ์และการจัดการการเข้าถึง การแทรกแซงกระบวนการเหล่าน้ีเป็นไปเพ่ือ ชว่ ยเหลือบคุ คลทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษ บคุ คลทีม่ คี วามต้องการพิเศษ แบง่ ออกเปน็ 9 ประเภท 1.บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งทางการเห็นบุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางการเหน็ บุคคลทส่ี ูญเสียการเหน็ จนไมส่ ามารถรับการศึกษา ได้โดยการเหน็ หรือใช้สายตาได้ตามปกติ แต่ สามารถศกึ ษาเล่าเรียนได้โดยวิธีการตา่ งไปจากคนที่มองเหน็ ปกตแิ บง่ ออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. คนตาบอด หมายถึง บุคคลที่สูญเสียการเห็นมากจนไมส่ ามารถอ่านหนงั สอื ธรรมดาได้ ต้องสอน ให้ อ่านและเขียนอกั ษรเบรลล์ หรือใชว้ ธิ กี ารฟังแถบบันทึกเสยี ง หรือเครื่องบันทึกเสยี ตา่ ง ๆ และมคี วามสามารถ ในการเหน็ ของตาข้างทด่ี ี หลักจากได้รบั การแกไ้ ขแล้วอยรู่ ะหว่าง 20 ส่วน 200 ฟตุ มีลานสายตาแคบกว่า 30 องศา 2. คนตาบอดบางส่วน หรอื คนที่มกี ารเห็นเลอื นราง หมายถึง บุคคลทม่ี ีสูญเสียการเห็นแตย่ ังสามารถ อา่ นอักษรตัวพิมพท์ ่มี ีขนาดใหญ่ได้ โดยต้องใช้แว่นขยายหรอื อปุ กรณ์พิเศษบางอย่างท่ีทาให้ความชัดเจนของ การเห็นใน ขา้ งท่ีดี เมอ่ื แก้ไขแลว้ อยใู่ นระดบั 20 สว่ น 60 ฟุต ถึง 20 สว่ น 200 ฟุต มลี านสายตาแคบกว่า 30 องศา 2.บุคคลท่ีมีความบกพรอ่ งทางการได้ยิน บุคคลท่สี ญู เสยี การได้ยินต้งั แต่ระดบั นอ้ ยไปถงึ ระดบั รนุ แรง จนไม่สามารถฟงั เสยี งได้เหมือนคนปกติ ซ่ึงอาจจะเปน็ หูตึง หรือหูหนวกกไ็ ด้ แบ่งเป็น 2 ประเภท 1. คนหูหนวก หมายถึง บคุ คลที่สูญเสยี การไดย้ ินมากจนไมส่ ามารถรบั ขอ้ มูลผ่านทางการได้ยนิ ไม่วา่ จะใชห้ รอื ไม่ใชเ้ คร่อื งช่วยฟงั กต็ าม โดยท่ัวไป หาตรวจการไดย้ ินจะสญู เสียการได้ยินประมาณ 90 เดซิเบลขึ้นไป ไมส่ ามารถไดย้ ินเสียงพดู ดงั ๆ อาจรบั รเู้ สยี งบางเสยี งได้ จากการสัน่ สะเทอื น ไมส่ ามารถใช้การไดย้ นิ ไดเ้ ป็น ประโยชนเ์ ตม็ ประสิทธภิ าพ คนหูหนวกอาจสญู เสียการได้ยนิ มา ตั้งแต่กาเนดิ หรอื สูญเสียการไดย้ ินภายหลัง 2. คนหตู ึง หมายถงึ บุคคลทีม่ ีการไดย้ ินเหลอื อย่บู า้ งสามารถไดย้ ินได้ ไม่ว่าจะใชเ้ คร่อื งช่วยฟังหรือ หรอื ไม่ก็ตาม หากตรวจการไดย้ ินจะพบว่ามกี ารสญู เสยี การไดย้ ินนอ้ ยกวา่ 90 เดซิเบล ระดบั การได้ยนิ อาจแบ่งเปน็ กลุม่ ยอ่ ยดังนี้ - ตึงเล็กนอ้ ย (26-40 เดซเิ บล) - ตึงปานกลาง (41-55 เดซิเบล) - ตงึ มาก (56-70 เดซเิ บล)
- ตงึ รนุ แรง (71-90 เดซเิ บล) 3.บคุ คลที่มคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญาบคุ คลท่มี ีความบกพร่องทางสตปิ ญั ญา บคุ คลท่มี ีพัฒนาการล่าช้ากว่าคนปกติทัว่ ไปทางด้านร่างกาย อารมณ์ สงั คม ภาษา เมือ่ วดั สติปัญญา โดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแลว้ มีสติปัญญาตา่ กว่าบุคคลปกติและความสามารถในการปรบั เปลีย่ นพฤติกรรม ตา่ กวา่ เกณฑป์ กติอย่างน้อย 2 ทักษะ หรือมากกวา่ เชน่ ทกั ษะการส่ือความหมาย การดูแลตนเอง การ ดารงชวี ติ ในบา้ น การควบคมุ ตนเอง สุขอนามัย และความปลอดภยั การเรียนวชิ าการเพือ่ ชีวติ ประจาวัน การ ใช้เวลาวา่ ง การทางาน ทักษะทางสังคม และทกั ษะในการใชส้ าธารณสมบัติ เป็นตน้ ซ่งึ ลกั ษณะความบกพร่อง ทางสตปิ ัญญาจะแสดงอาการแบง่ ออกเป็น 4 ระดับ คือ 1. บกพร่องระดบั เล็กนอ้ ย - ระดับเชาวน์ปัญญา (IQ) ประมาณ 55-70 2. บกพรอ่ งระดับปานกลาง - ระดบั เชาว์ปัญญา (IQ) ประมาณ 40-55 3. บกพร่องระดบั รนุ แรง - ระดบั เชาวร์ ะดับรนุ แรงมาก (IQ) ประมาณ 25-40 4. บกพรอ่ งระดับรนุ แรงมาก - ระดับเชาวป์ ญั ญา (IQ) ประมาณ 20-25 4.บุคคลท่ีมคี วามบกพรอ่ งทางร่างกายและสขุ ภาพ บุคคลทีม่ ีความผดิ ปกติ บกพร่องหรอื สญู เสียอวัยวะ ส่วนใดสวนหน่ึงรา่ งกายทาให้ไมส่ ามารถ เคลื่อนไหวได้ดีหรอื มอี าการเกรง็ คอื อาการตึงตวั ของกลา้ มเนื้อ สว่ นใด ส่วนหนึ่งหรอื หลายสว่ น ควบคมุ การ ทรงตวั ได้ยากหรือไม่ได้เลย มีการเคลื่อนไหวของแขนขาไม่สมั พนั ธ์กันมีอาการสัน่ เดนิ เซ หรืออาจเป็นบคุ คลที่ บกพร่องเนื่องจากสขุ ภาพ หรอื อบุ ตั ิเหตุ อาการชัดโรคเรอื้ รัง โรคตดิ ตอ่ เป็นต้น ประเภทความบกพรอ่ งทางรา่ งกายหรือสุขภาพ อาจแบง่ ได้ดงั นี้ 1. บกพร่องทางระบบประสาท เชน่ บคุ คลสมองพกิ าร (Cerabarl Palsy)ไมใ่ ชบ่ ุคคลปัญญาอ่อน แตห่ มายถึง สมองส่วนท่ีใช้ควบคุมกล้ามเนอื้ สว่ นใดสว่ นหนงึ่ บกพรอ่ ง หรือสูญเสยี ทาให้มปี ญั หาในการ เคลือ่ นไหว ซ่งึ แตล่ ะคนมีลกั ษณะที่แตกตา่ งกนั เช่น กลา้ มเน้อื ออ่ นแรง หรอื กล้ามเนอ้ื เคล่ือนไหวชา้ ทรงตวั ได้ ไมด่ ี ซ่ึงแตล่ ะคนทีมากน้อยแตกตา่ งกันความบกพร่อง จะเกิดขึ้นตงั้ แตแ่ รกเกิดถงึ อายุ ประมาณ 7 ปี ลักษณะทเ่ี ห็นไดช้ ดั เจนของบุคคลสมองพิการ ได้แก่ - กลา้ มเนือ้ หดตวั เกรง็ (Spactic) เปน็ ลักษณะความผิดปกตขิ องการควบคมุ การเคลือ่ นไหว เคลอ่ื นไหวชา้ มอี าการเกร็ง ซ่งึ เราจะพบบคุ คลท่มี ีอาการในกลมุ่ นมี้ ากท่สี ุด - กลา้ มเน้อื ควบคุมการเคล่ือนไหวได้ยาก (Athetiod) มีลักษณะแขนขาไม่สัมพนั กนั หันไป ตามทศิ ทาง ต่าง ๆ - กล้ามเนื้อตงึ ตวั (Ataxia) มีอาการส่ัน เดินเซ ควบคุมการทรงตวั ไดไ้ มด่ ี ซง่ึ เราจะพบบคุ คล ท่มี ีอาการ ในกลมุ่ น้ีนอ้ ยท่สี ุด - แบบผสม มีลักษณะรว่ มตงั้ แต่ 2 ชนิด เชน่ มีอาการเกร็งรว่ มกบั การเคลอ่ื นไหวของแขน ไมส่ ัมพนั ธ์ กัน หันไปคนทิศหรือมกี ารเกร็ง ควบคุมการทรงตัวไมไ่ ด้มีการสั่นเดินเซ เปน็ ต้น 2. บกพร่องทางระบบกลา้ มเนื้อและกระดูก เชน่ กล้ามเนอ้ื เปลย่ี น ไขขอ้ อกั เสบ เป็นต้น 3. ไม่สมประกอบมาแต่กาเนิด เช่น นา้ ครั่งในสมอง แขน ขาดว้ ยหรอื กุด แขน ขามีขนาดใหญ่
เลก็ ผิดปกติ เปน็ ต้น 4. สภาพความบกพรอ่ งทางรา่ งกายและสขุ ภาพอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ บกพรอ่ งจากอุบตั ิเหตุไฟไหม้ แขน ขาขาด โรคตดิ ตอ่ เชน่ โปลิโอ การไดร้ ับอันตรายจากการคลอด หรอื บกพร่อง เนื่องจากสขุ ภาพ เช่น โรคหืด โรคหัวใจ โรคปอด โรคเอดส์ เปน็ ต้น 5.บคุ คลทม่ี ีปัญหาทางการเรียนรู้บคุ คลที่มปี ญั หาทางการเรียนรู้ บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางการรบั รู้หรอื ทางการเรยี นรู้ท่มี ี ความ ผิดปกตอิ ยา่ งเดียวหรอื หลายอยา่ งทา ใหเ้ กดิ ปัญหาทางการฟงั การอ่าน การพดู การเขียน การสะกด การคานวณ การใชเ้ หตุผล การรวบรวม ความคดิ ซ่ึงความผิดปกติน้ไี ม่ใช่เกิดจากภาวะบกพรอ่ งทางการเห็น การได้ยนิ ทางร่างกาย ทางสติปัญญา ทาง อารมณแ์ ตเ่ ป็นภาวะทางสมองท่ีมีความผิดปกตทิ าให้การแปลภาพ การแปลเสยี งหรอื การรบั รู้ แปรปรวนไป จากเดมิ เดก็ บางคนมองเหน็ หนงั สือกลบั หลงั เด็กบางคนไม่สามารถแปลความหมายหรือเขา้ ใจจากการได้ยนิ เดก็ บางคนไมเ่ ขา้ ใจตัวเลขและความหมายตัวเลข 6.บคุ คลท่มี คี วามบกพร่องทางการพดู และภาษาบุคคลที่มีความบกพรอ่ งทางการพูดและภาษา บุคคลทม่ี คี วามบกพรอ่ งในเรื่องการออกเสยี งพูด เชน่ เสียงผิดปกติ อตั ราความเรว็ และจังหวะการพูด ผดิ ปกติ หรอื คนทม่ี ีความบกพรอ่ งในเร่ืองการเขา้ ใจ และการใช้ภาษาพดู การเขียนตลอดจนระบบสัญลกั ษณ์ อ่นื ท่ีใชใ้ นการตดิ ตอ่ สอื่ สาร ซ่งึ อาจเกย่ี วกับรปู แบบภาษา เนื้อหาของภาษา และหนา้ ท่ขี องภาษา 7.บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางพฤตกิ รรมและอารมณ์ บุคคลที่มพี ฤติกรรมเบ่ยี งเบนไปจากบคุ คลทั่วไป และพฤติกรรมทเี่ บยี่ งเบนนส้ี ง่ ผลกระทบต่อการเรยี นรู้ ต่อสิง่ ต่างๆ และปัญหาทางพฤติกรรมน้ันเปน็ ไปอยา่ งต่อเนื่อง ไม่เป็นทยี่ อมรับกนั ทางสังคมและวฒั นธรรม รวมท้งั ขาดสัมพนั ธภาพกบั บคุ คลอ่นื มีพฤตกิ รรมทไี่ มเ่ หมาะสม มคี วามคบั ขอ้ งใจ มีการเก็บกดทางอารมณ์โดย แสดงออกทางรา่ งกาย ลกั ษณะของเดก็ ทีม่ ปี ัญหาทางพฤตกิ รรมและอารมณ์ - ก้าวร้าว ก่อกวน เด็กทม่ี ปี ัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ มักแสดงออกในทางกา้ วร้าว ก่อกวน ความสงบของผอู้ ่ืน พฤตกิ รรมท่ีแสดงออกอาจรวมไปถึงความโหดร้าย ทารุณสัตว์ ชกตอ่ ย ทารา้ ยตัวเองและ ผ้อู ื่น หวดี รอ้ ง กระทบื เท้า ไม่เช่อื ฟงั ครแู ละพ่อแม่ พฤตกิ รรมเหลา่ นอี้ าจรุนแรงข้นึ หากไม่ไดร้ ับการแกไ้ ขอย่าง ถกู ตอ้ ง - การเคลื่อนไหวท่ีผิดปกติ หมายถงึ ไมห่ ยดุ น่งิ เคลอ่ื นไหวอยู่ตลอดเวลา โดยปราศจากจดุ หมาย นอกจากนีย้ ังมคี วามสนใจส้นั สนใจในบทเรียนได้ไมน่ าน ขาดสมาธใิ นการเรียน - การปรับตัวทางสังคมเดก็ ทีม่ ีปัญหาทางพฤติกรรมและอารมณ์ จะมีการปรับตวั ทางสังคมไม่ ถกู ต้อง ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ทีไ่ ม่เป็นทยี่ อมรบั ทางสงั คม เช่น แกง๊ อนั ธพาล การทาลายสาธารณสมบตั ิ ลักขโมย หนี โรงเรียน การประทษุ รา้ ยทางเพศ พฤติกรรมเหล่านี้มักจะเกิดกับเด็กวัยร่นุ เป็นสว่ นใหญ่
- ความวติ กกังวลและปมดอ้ ย เด็กท่ีมีปญั หาทางพฤติกรรมและอารมณ์อาจไมก่ ลา้ พูดกล้า แสดงออกในช้นั เรยี น มีอาการประหมา่ ขาดความเชื่อมัน่ ในตนเอง พฤตกิ รรมดังกลา่ วตอ้ งเปน็ พฤติกรรมท่ี คอ่ นข้างรนุ แรงและเกดิ ข้นึ สม่าเสมอเท่านนั้ จงึ จัดว่าเปน็ เด็กทมี่ ีปญั หา - การหนสี ังคมหรือการปลกี ตัวออกจากสังคมเปน็ พฤตกิ รรมท่เี บ่ยี งเบนอย่างหนึ่ง เช่น การท่ีเด็ก ไม่คอ่ ยพูด ไมเ่ ล่นกับเพือ่ น ไม่ร่วมกิจกรรมข้ีอาย ชอบอยู่คนเดียว บางคนเจา้ อารมณ์ บางคนแสดงออกทาง สังคมไม่เหมาะสม - ความผดิ ปกติทางการเรียน เด็กที่มีปญั หาทางพฤติกรรมและอารมณจ์ ะมผี ลการเรียนต่า โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ในดา้ นการอ่าน การสะกดคา การคานวณ การตัดสินว่าเด็กคนใดเปน็ เดก็ ที่มีปัญหาทาง พฤตกิ รรมน้นั ควรพิจารณาความรนุ แรงและความสา่ เสมอควบคู่ไปด้วย การตัดสินควรใช้เกณฑเ์ ป็นหลกั ใน การพจิ ารณา 8.บคุ คลออทิสติกบคุ คลออทิสตกิ บุคคลทม่ี ีความบกพรอ่ งพฒั นาการด้านสังคม ภาษาและการส่ือความหมาย พฤติกรรม อารมณ์ และ จนิ ตนาการ ซงึ่ สาเหตเุ นอื่ งมาจากการทางานในหน้าทบี่ างส่วนของสมองทีผ่ ิดปกตไิ ป และความผดิ ปกติน้นั พบ ได้ก่อนวยั 30 เดือน ลักษณะของเดก็ ออทิสติก มีดงั นี้ 1. มีความบกพร่องทางปฏิสมั พันธท์ างสังคม เช่น ไมม่ องสบตาบุคคลอืน่ ไม่มีการแสดงออกทางสี หน้ากิรยิ าหรือทา่ ทางเลน่ กบั เพือ่ นไมเ่ ป็น ไมส่ นใจทจี่ ะทางานรว่ มกับใครไม่เขา้ ใจพฤตกิ รรมของบุคคลอ่ืน 2. มคี วามบกพร่องดา้ นการสอื่ สาร ทั้งการใชภ้ าษาพดู ความเขา้ ใจภาษา การแสดงกริ ยิ า ส่อื ความหมาย ซง่ึ มีความบกพร่องหลายระดับ ตง้ั แต่ไมส่ ามารถพดู สือ่ ความหมายได้เลย หรือคนพูดได้แต่ไม่ สามารถสนทนาโต้ตอบกบั ผอู้ ่ืนได้อยา่ งเข้าใจ บางคนพดู แบบเสยี งสะทอ้ นหรือพดู เลียนแบบทวนคาพดู บางคน จะพูดซ้าในเรื่องที่ตนเองสนใจ มกี ารใช้สรรพนามสลบั ท่ี ระดับเสียงพดู อาจมคี วามผิดปกติ บางคนพดู โทนเสยี ง เดียว บางคนพูดไมม่ ีความหมาย 3. มคี วามบกพรอ่ งด้านพฤติกรรมและอารมณ์ บางคนมพี ฤติกรรมซา้ ๆ ผดิ ปกติ เช่น เล่น โบกมอื ไปมาหรือหมนุ ตวั ไปรอบ ๆ เดนิ เขยง่ เทา้ ปลาย ท่าทางเดินงุ่มงา่ ม ยดึ ติดโดยไมย่ อมรบั การเปลยี่ นแปลงใดๆ การแสดออกทางอารมณไ์ ม่เหมาะสมกบั วยั บางคนร้องไหห้ รือหัวเราะโดยไม่มเี หตุผล บางคนมีอารมณก์ ้าวร้าว รนุ แรงเม่ือมีการเปลย่ี นแปลงสิง่ แวดล้อม เปน็ ต้น 4. มคี วามบกพรอ่ งด้านการรบั ร้แู ละประสาทสมั ผัส การใช้ประสาทสมั ผัสทัง้ ห้าคอื การรับรู้ ทางการเหน็ การตอบสนองตอ่ การฟัง การสมั ผสั การรบั กล่ินและรส มคี วามแตกตา่ งกนั ในแตล่ ะบคุ คล บางคน ชอบมองแสง บางคนตอบสนองต่อเสยี งผิดปกติ รับเสียงบางเสียงไม่ได้ ดา้ นรบั สัมผัสกล่ินและรส บางคน ตอบสนองช้าหรือไว หรือแปลกวา่ ปกติ เชน่ ชอบดมของเล่น เป็นต้น 5. มีความบกพร่องด้านการใชอ้ วัยวะต่าง ๆ อย่างประสานสมั พนั ธ์กนั การใช้สว่ นตา่ ง ๆ ของ รา่ งกายรวมถึงการประสานสัมพนั ธข์ องกลไกกล้ามเนื้อมดั ใหญแ่ ละมัดเลก็ มีความบกพร่องบางคนเคลอื่ นไหว ง่มุ ง่ามผดิ ปกตไิ ม่คล่องแคลว่ ท่าทางเดนิ หรอื วง่ิ แปลก การใช้กล้ามเน้ือมดั เล็กในการหยิบจับไทป่ ระสานกัน 6. มีความบกพรอ่ งดา้ นจินตนาการ ไม่สามารถแยกเรือ่ งจรงิ เรอ่ื งสมมตุ ิ หรอื ประยกุ ต์วธิ กี ารจาก
เหตุการณ์หน่ึงไปยงั อีกเหตุการณ์หนึง่ ได้ เข้าใจส่ิงที่เปน็ นามธรรมไดย้ าก เล่นบทบาทสมมุติไมเ่ ป็น จัดระบบ ความคดิ ลาดบั ความคดิ ลาดับความสาคัญก่อนหลงั คิดจนิ ตนาการจากภาษาไดย้ าก ทาใหเ้ กิดอปุ สรรค 7. มีความบกพรอ่ งดา้ นสมาธิมคี วามสนใจส้นั ไมอ่ ยนู่ ิ่ง 9.บคุ คลพกิ ารซอ้ นบุคคลพกิ ารซ้อน (Mutiple Handicapped) บุคคลทมี่ ีความบกพรอ่ งต้ังแต่อยา่ ง ขึ้นไปในบคุ คล เดียวกันอาจแบง่ ตามลักษณะได้ตามความพิการที่ เหน็ ชัดเจน เช่น 1. บกพรอ่ งทางการเหน็ รว่ มกับบกพรอ่ งอนื่ ๆ เชน่ การไดย้ นิ สตปิ ญั ญา รา่ งกาย การเรียนรู้ สมาธิสั้น เป็นต้น 2. บกพรอ่ งทางร่างกายรว่ มกับบกพร่องอ่ืนๆ เชน่ สตปิ ัญญา การเห็น การไดย้ นิ การเรยี นรู้ ออทิสตกิ สมาธิส้ัน เปน็ ต้น 3. บกพรอ่ งทางสติปัญญาร่วมกับบกพร่องอ่ืน ๆ เชน่ สติปัญญา การเหน็ รา่ งกาย การเรียนรู้ สมาธสิ ้ัน เปน็ ต้น 4. บกพรอ่ งทางสตปิ ญั ญากบั บกพร่องอนื่ ๆ เชน่ ร่างกาย ออทสิ ตกิ สมาธสิ ั้น เป็นต้น ลักษณะความพกิ ารซ้อนมมี ากมายหลายประเภท โดยอาจจบั ค่ๆู ดงั กล่าวข้างต้น หลายคนมีลักษณะความ พกิ ารซอ้ นมากกวา่ 2 อยา่ ง และมคี วามตอ้ งการพกิ ารเศษแตกต่างกนั ตอ้ งได้รบั การชว่ ยเหลือตามความ ต้องการเพือ่ พัฒนาให้เต็มตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: