ภูมิปัญญา จากมาตุภูมิ บ้านแคนน้อย ตำบลแคนน้อย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร
๑ ชุมชนน่าอยู่ แหล่งเรียนรู้หลากสาขา พัฒนาไม่รู้จบ งานศพปลอดเหล้า ปลอดการพนัน ทูบีนัมเบอร์วันระดับเพชร **ชุมชนดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้ช่วยกันทำ**
๒ บ้านแคนน้อย ตำบลแคนน้อย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร ก่อนจะเขียนเรียบเรียงได้ปรึกษากับพ่อใหญ่มี กาศักดิ์ ซึ่งผู้ให้ข้อมูลกับพ่อ ใหญ่มี คือพ่อใหญ่คำมี ไชยช่วย พ่อของพ่อใหญ่ครูเฉลิม ไชยช่วย และข้อมูล นี้ก็ได้นำไปกล่าวในการประกวดหมู่บ้าน อพป. หรือหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกัน ตนเอง ในอดีตที่ผ่านมา ประวัติมีอยู่ว่าเมื่อประมาณ ๓๓๐ ปีเศษที่ผ่านมา ได้มี ท้าวชัยบัณฑิต พร้อมอีกประมาณ ๘ ครอบครัว ได้เดินทางมาจากบ้านนาคำ อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี มาตั้งหลักปักฐานอยู่ที่บ้านแคนน้อยใน ปัจจุบัน ซึ่งตามคำบอกเล่ามีบ้านไม่กี่หลังคาอยู่แบบไม่มีผู้ใหญ่บ้าน
เดิมมีพวกย้อพวกขอมอยู่ก่อนแล้วโยกย้ายหนี จากการบอกเล่าของ ๓ ปู่ย่าว่าที่ตั้งวัด ย้อขอมตั้งอยู่ที่ใต้บ้าน สวนพ่อใหญ่ครูใบและป่าช้าอยู่ที่ หนองพุก และในเมื่อท้าวชัยบัณฑิตมาเห็นทำเลมีหนองน้ำมีโนนป่าไม้สูง อุดมสมบูรณ์ก็เลยพากันปลูกบ้านสร้างเรือนอยู่ ซึ่งท่านได้เป็นผู้นำของ หมู่บ้าน โดยตั้งชื่อบ้านเอานามของไม้แคน หรือไม้ตะเคียนซึ่งมีโคนหรือเห ง่าอยู่ที่ก้นหนองบ้านในปัจจุบัน ชื่อบ้านเดิมชื่อบ้านดงแคนน้อย ซึ่งขึ้นกับ ตำบลดงแคนใหญ่ ยายเล่าว่าคือกำนันพงษ์ ไชยช่วยนามสกุลมาจากท้าว ชัยบัณฑิต ซึ่งเป็นลูกหลาน ต่อมาก็มีกำนัน จริง ขันธุรา และกำนันตั้วหรือ ตระกูล เหล็กกล้า กำนันจันทร์ ทั้งหมดที่ผ่านมาขึ้นกับตำบลดงแคนใหญ่ ครั้นต่อมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๑ ประชากรเพิ่มขึ้นทางราชการมองเห็นว่าตำบล ดงแคนใหญ่กว้างมาก ก็เลยจัดตั้งตำบลขึ้นใหม่ ในปีพ.ศ.๒๕๒๖ ได้ยกฐานะ บ้านแคนน้อยของเราเป็นตำบลแคนน้อย ต่อมาเมื่อปีพ.ศ.๒๕๒๘ ได้รับการ จัดตั้งให้เป็นหมู่บ้านอาสาพัฒนาป้องกันตนเอง หรือ อพป. ซึ่งตอนนั้นพ่อ ใหญ่มี กาศักดิ์ เป็นกำนัน พ.ศ.๒๕๒๖ ปกครองมาจนถึง พ.ศ.๒๕๓๖ ต่อมา คือพ่อกำนันสิน ผิวผ่อง กำนันสมาน มาลัย กำนันจรัญ ถนอมพล กำนันสุดใจ จวนสาง จนมาถึงปัจจุบัน ผู้ใหญ่บ้าน คือ นายคำพูน กาศักดิ์
๔ วัดบ้านแคนน้อย ตำบลแคนน้อย อำเภอคำเขื่อนแก้ว จังหวัดยโสธร
๕
๖ อุโบสถหรือสิมวัดบ้านแคนน้อย มีเขียนไว้ที่ผนัง สิมว่า \" อุโบสถ สร้างเมื่อ ๒๓๕๘ \" ปีนี้ พ.ศ. 2560 รวมอายุได้ 202 ปี ดูจากสภาพวัสดุแล้วไม่น่าจะถึง 202 ปี คงจะบูรณะปรับปรุงมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบัน สิมเก่าได้ปล่อยทิ้งร้างขาดการเหลียว แลเอาใจใส่ และได้สร้างสิมหลังใหม่เพื่อใช้ประกอบ พิธีกรรมทางศาสนา พื้นที่วัดยังเหลืออีกมาก หวังว่า คงจะไม่โดนทุบทำลายทิ้ง รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของสิม สิมเป็นสิมทึบ เข้า-ออกทางเดียวด้านหน้า เป็นลักษณะ ผสมผสานระหว่างไม้และปูน ฐานเอวขันและผนังทั้งสี่ด้านก่ออิฐฉาบปูน แบ่งตัวสิม 4 ช่อง มี คันทวยกั้นระหว่างช่อง ช่องที่ 1 เป็นมุขหน้า ช่อง 2 และ 3 เจาะเป็นหน้าต่าง ช่องที่ 4 ทึบเป็น ส่วนที่เป็นฐานชุกชี จึงไม่ได้ทำช่องหน้าต่าง เมื่อมองจากด้านหน้า จะเห็นเสาไม้ 4 ต้น แบ่ง เป็น 3 ช่อง ช่องกลางเชื่อมไปยังประตูสิม เหนือขึ้นไปเป็นรวงผึ้งแกะด้วยไม้ ประดับด้วย กระจก โดยรวมเป็นลายเครือเถาว์ ช่องตรงกลางแกะเป็นลายคล้ายต้นไม้ มีพญาสิงหราช ยืนด้านซ้ายและด้านขวา บานประตูทำด้วยไม้แกะสลักเป็นลายก้านขด คันทวยหรือแขนนาง มี ลักษณะฝีมือที่ไม่เหมือนกัน ช่องที่ 1 คู่แรก เป็นคันทวยพญานาค 3 เศียร จังหวะเส้น การ บากลาย ลงตัวอย่างมาก เป็นงานฝีมือขั้นสูง ส่วนคันทวยที่เหลือฝีมืออีกระดับหนึ่ง อาจจะ เกิดจากของเก่า ของใหม่ก็ได้ ฝีมือช่างจึงแตกต่างกันไป
๗ ศาลหลักเมืองบ้านแคนน้อย สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ ชาวบ้านถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่าได้อันเชิญสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์และดวงวิญญาณบรรพบุรุษมาสิงสถิต ณ เสาหลักเมืองแห่งนี้ ใต้หลักเมืองมีแผ่นยันต์ เงิน ทอง เครื่องราง ของขลัง ชาวบ้านมากราบใหว้ขอพรมักจะประสบผลสําเร็จ เสาหลักเพียงนี้ทำด้วยไม้พันชาดยาว ๘๘ นิ้ว โผล่เหนือฐานรอง ๔๙.๖ นิ้วเส้นรอบวง ๒๓.๖ นิ้ว
๘ ต้นตะเคียนโบราณอายุหลายร้อยปี ที่จมอยู่ในแม่น้ำ จมอยู่ในพื้นดินแล้ว มีการนำขึ้นมา ถือว่าเป็นต้นไม้ ศักดิ์สิทธิ์ มี”เจ้าแม่ตะเคียน”สถิตย์ อยู่ โดยมีการทำพิธีอัญเชิญแล้วจะ นำมาเก็บที่วัด จากนั้นก็จะมีผู้คนนำ ธูปเทียน ดอกไม้ ผ้าแพรสีสดใสไป ผูก กราบไหว้ขอโชคขอลาภ โดย เฉพาะก่อนวัน “หวยออก” จะมีการนำ แป้งไปลูบบนต้นตะเคียน ชึ่งเชื่อกัน ว่าจะมี”เลขเด็ด”โผล่ขึ้นมา
๙ “ดอนปู่ตา” เป็นที่ประทับของผีปู่ตาหรือ ผีอารักษ์ของหมู่บ้าน ชาวบ้านเชื่อว่า ดอนปู่ตาเป็นบริเวณพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จึง ไม่กล้าตัดฟันต้นไม้ในบริเวณนั้นและไม่ กล้าจับสัตว์ต่างๆ ที่มีในดอนปู่ตามากิน เป็นอาหาร ภายในป่าดอนปู่ตามีการสร้างหอพ่อปู่และแม่ย่าไว้กราบไหว้ โดยปกติจะมีการเลี้ยงผี ๒ ครั้งต่อปี คือ เลี้ยงในช่วงเดือน ๓ และเดือน ๖ มีของเซ่นไหว้ ดังนี้ เหล้าหนึ่งไห ไก่หนึ่ง ตัว สำรับหวานสี่สำรับหมากหนึ่งคำ และบุหรี่หนึ่งมวน และมี “เต่าจ้ำ” หรือ “ขะจ้ำ” เป็นผู้ ทำหน้าที่ติดต่อเจรจากับผีปู่ตา และเป็นผู้กล่าวนำและกล่าวแทนชาวบ้านในพิธีเซ่นไหว้
โรงเรียนบ้านแคนน้อยหนองเลิง ๑๐ เดิมตั้งอยู่ศาลาวัดบ้านแคนน้อยหมู่ที่ ๑ ต.แคน น้อย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๖๖ เพื่อให้นักเรียนจากหมู่บ้านต่างๆที่อยู่ ใกล้เคียงมาเข้าเรียน เช่น บ้านนาถ่ม บ้านดอนมะ ยาง บ้านดอนเดือยไก่ บ้านเหล่าฝ้าย บ้านหนอง เลิง และบ้านดงขวาง (ขณะนี้บ้านดงขวางได้เป็น หมู่บ้านร้างไปแล้ว) ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ทางราชการได้ เห็นชอบให้เพิ่มชื่อบ้านหนองเลิงเป็นส่วนนหนึ่ง ของชื่อโรงเรียน เปลี่ยนจากชื่อ \"โรงเรียนบ้านแคน น้อย\" เป็น \"โรงเรียนบ้านแคนน้อยหนองเลิง\" โดย มีนายสมาน จวนสาง ดำรงตำแหน่งครูใหญ่ คน แรก (๒๕๐๐-๒๕๑๑) ปัจจุบันเปิดสอน ๓ ระดับ คือ ระดับก่อนประถมศึกษา ระดับประถมศึกษา และ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ตั้งแต่ปี ๒๕๓๔) ปัจจุบันมี นายนิรันดร์ เขียนนอก ดำรงตำแหน่งผู้ อำนวยการสถานศึกษา โรงเรียนบ้านแคนน้อยหนองเลิง ตั้งอยู่ในเขตหมู่บ้านแคนน้อย หมู่ที่ ๒ ต.แคนน้อย อ.คำเขื่อนแก้ว จ.ยโสธร มี พื้นที่ ๒๕ ไร่ กว้าง ยาว ด้านละ ๕ เส้น ที่เขตรอยต่อระหว่างบ้านแคนน้อยและบ้านหนองเลิง
๑๑ องค์การบริหารส่วนตำบล แคนน้อยจัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ โดยแยกออกมาจาก ตำบลดงแคนใหญ่สภาพทั่วไป และข้อมูลพื้นฐานขององค์การ บริหารส่วนตำบลแคนน้อย ชมรม Tobe namber one ชุมชนแคนน้อย
๑๒
๑๓ ปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงมีพระราชดำรัสชี้แนะแนวทางการดำรง ชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๔๐ ปีแล้ว (๒๕๑๗) ตั้งแต่ก่อนวิกฤติทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง และยั่งยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ
๑๔ เกษตรทฤษฎีใหม่ คือการ จัดการทรัพยากรระดับไร่นา ที่ดิน แหล่งน้ำ เพื่อ การเกษตรแบบผสมผสาน บนที่ดินขนาดเล็กให้เกิด ประโยชน์สูงสุด คู่ขนานด้วย หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอ เพียง เป็นการช่วยเหลือ เกษตรกรที่ประสบความยาก ลำบากให้สามารถผ่านวิกฤติ โดยเฉพาะการขาดแคลนน้ำ ได้อย่างไม่เดือดร้อนและ ยากลำบากนัก
๑๕ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแคนน้อย ศาลาอีสานเขียว ชุมชนแคนน้อย
๑๖ ประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง การทำบุญด้วยการถวายต้นผึ้ง เป็นบุญกุศล สูงส่ง ดังนั้นในการถวายทานให้แก่ผู้ตายใน งานแจกข้าว (งานทำบุญให้ผู้ตาย) เมื่อถวาย ภัตตาหารแก่พระสงฆ์แล้ว ก็ถวายหอผึ้งเพื่อ อุทิศส่วนกุศลแก่ผู้วายชนม์ บุญผะเหวด หรือบุญพระเวส หมายถึง บุญพระ เวสสันดร เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า บุญมหาชาติ ชาวอีสาน จะนิยมจัดขึ้นในเดือนสี่ (ช่วงเดือนมีนาคม) เป็นบุญ ประจำปีในฮีตสิบสอง ดังที่ปราชญ์อีสานได้ประพันธ์ ผญา (บทกลอน) เกี่ยวกับการทำบุญในช่วงเดือนสาม และเดือนสี่ไว้ว่า “เถิงเมื่อเดือนสามค้อยเจ้าหัวคอยปั้ น ข้าวจี่ ตกเมื่อเดือนสี่ค้อยจัวน้อยเทศน์มัทรี” แปลว่า เมื่อถึงเดือนสามพระภิกษุสามเณรจะรอชาวบ้านทำบุญ ข้าวจี่ และเมื่อถึงเดือนสี่(ช่วงเดือนมีนาคม) สามเณร เทศน์กัณฑ์มัทรีในงานบุญมหาชาติ
๑๗ การตักบาตรเทโวเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมา อย่างยาวนาน ตักบาตรเทโว หรือเรียกว่า การ ตักบาตรเทโวโรหณะ ซึ่งคำว่า \"เทโว” ย่อมาจาก \"เทโว โรหณะ” แปลว่า การเสด็จจากเทวโลก การตักบาตร เทโวจึงเป็นการระลึกถึงวันที่พระพุทธองค์เสด็จกลับ จากการโปรดพระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการ ทำบุญกุศลเนื่องในวันออกพรรษานี้ ประเพณีวันสงกรานต์ เป็นประเพณีฉลองการขึ้นปีใหม่ของ ไทย ซึ่งโดยทั่วไปจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑๓ – ๑๕ เมษายน ตรงกับ เดือน ๕ ตามจันทรคติ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ไทยมี ประเพณีวันสงกรานต์ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในกฎ มณเฑียรบาล ซึ่งสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้ตราขึ้น กล่าวถึงการพระราชพิธีเผด็จศกและพระราชพิธีลดแจตร พระ ราชพิธีเผด็จศกเป็นพิธีการเกี่ยวกับการตัดจากปีเก่า ขึ้นสู่ปี ใหม่ ส่วนพระราชพิธีลดแจตรนั้น พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสันนิฐานว่าหมายถึงพระราชพิธี รดน้ำเดือน ๕ แสดงให้เห็นว่าประเพณีวันสงกรานต์ของหลวง มีมาตั้งแต่ต้นสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยก่อนไทยใช้จุลศักราช การขึ้นปีใหม่จึงเป็นการขึ้นจุลศักราชใหม่
๑๘ ประเพณี บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีสำคัญของภาคอีสานบ้านเราที่ปฏิบัติสืบทอด กันมาตั้งแต่สมัยโบราณค่ะ ถือเป็นหนึ่งในฮีตสิบสองเดือนของชาวอีสานที่ทำกัน ในเดือน 6 ช่วงเข้าสู่ฤดูฝนซึ่งเป็นฤดูทำนา จะมีการจุดบั้งไฟเพื่อบูชาเทพยดา และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หรือที่ชาวอีสานเรียกกันว่า พญาแถน หรือ เทพวัสสกา ลเทพบุตร ซึ่ง มีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตาม ฤดูกาล และทำให้พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์
๑๙ ชาวบ้านแคนน้อยทำหลาย อย่างเช่น การสานตะกร้า จากไม้ไผ่ การทำข้าวโป่ง การปลูกผักสวนครัว
๒๐ วิถีชีวิตส่วนใหญ่ของคนในชุมชนบ้านแคน น้อย ชาวบ้านบ้านแคนน้อยจะกินง่ายอยู่ ง่าย ส่วนใหญ่จะทำไร่ทำนา เลี้ยงวัว ปลูก ผักทำสวน ค้าขาย ว่างๆก็จะจับกลุ่มนั่ง คุยกันตามหน้าบ้าน
จัดทำโดย นางสาว กนกวรรณ ผิวผ่อง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่๕/๑ เลขที่๑๘ เสน อ คุณครูอนุชัย หัวดอน โรงเรียนคำเขื่อนแก้วชนูปถัมภ์ สำนักงานเขตพื้นการศึกษามัธยมศึกษา เขต ๒๘
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: