เ พ่ื อ เ ป น แ น ว ท า ง ใ น ก า ร พั ฒ น า ผู เ รี ย น ท่ี มี ค ว า ม ต อ ง ก า ร พิ เ ศ ษ ค่มู อื สาํ หรบั ครู
สารบญั 1 7 - ความบกพรอ่ งขอ้ จาํ กดั และ 14 การเสยี เปรยี บของผเู้ รยี น 22 - ปจจยั ทสี ง่ ผลตอ่ ผเู้ รยี นทมี ี 27 ความตอ้ งการพเิ ศษ - การรบั รแู้ ละการเรยี นรขู้ อง เดก็ ทมี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ - การประยกุ ตท์ ฤษฎกี ารเรยี นรู้ สาํ หรบั สอน/พฒั นาเดก็ ทมี คี วาม ตอ้ งการพเิ ศษ - เทคนิคในการสรา้ งแรงจงู ใจ ใหแ้ กผ่ เู้ รยี นทมี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ
ความบกพรอง ขอจํากดั และการเสียเปรียบของผูเรียน ความบกพรอ่ ง ข้อจาํ กัด และการเสียเปรยี บ ของผู้เรยี น 1
ความบกพรองทางการเห็น ความบกพร่อง : ตาบอด ความพิ การ : มองไม่เห็น ความเสียเปรียบ : - ต้องใช้สิงอํานวยความสะดวกพิเศษในการใช้ชีวิต เช่น อักษรเบรลล์ เบรลล์บล็อก - ยากในการเรียนทีต้องเห็นภาพได้ - ไม่สามารถทํากิจกรรมทีต้องใช้สายตาได้เหมือนคน ทัวไป ความบกพรองทางสติปญญา ความบกพร่อง : พัฒนาการเจริญเติบโตไม่เต็มที ความพิ การ : มีสติปญญาตําและมีความสามารถ ในการเรียนรู้น้อย ความเสียเปรียบ : มีระดับสติปญญาหรือเชาว์ปญญาที ตํากว่าเกณฑ์เฉลียเมือเทียบกับเด็ก ในระดับอายุเดียวกัน 2
ความบกพรองทางการไดยิน ความบกพร่อง : หูตึง หูหนวก ความพิ การ : ไม่ได้ยินเสียง ความเสียเปรียบ : - ไม่เข้าใจคําพูด และความหมายของการสนทนาได้ ทาํ ให้เรียนไม่เข้าใจหรืออาจจะเกิดความเข้าใจผิด เกียวกับเรืองทีเรียนได้ - ต้องอาศัยเครืองช่วยฟงตลอดเวลา - ไม่สามารถใช้ภาษาพูดได้หรือมีการใช้ภาษาผิด เ นื อ ง จ า ก ไ ม่ ไ ด้ ยิ น เ สี ย ง ข อ ง ต น เ อ ง - ไม่สามารถทาํ กิจกรรมทีต้องใช้เสียงได้ 3
ความบกพรองทางการเรียนรู ความบกพร่อง : สมองบางส่วนทํางานผิดปกติ ความพิ การ : เรียนรู้ช้าและมีปญหาการเรียนรู้ เฉพาะอย่าง ความเสียเปรียบ : - มีผลการเรียนรู้ทีตํากว่าปกติ - ด้อยโอกาสทางสิงแวดล้อมและวัฒนธรรม ความบกพรองทางพฤติกรรม หรืออารมณ ความบกพร่อง : มีความผิดปกติของสมองส่วนที รับรู้อารมณ์และความคิด ความพิ การ : ไม่สามารถควบคุมอารมณ์หรือ พฤติกรรมทีออกมาของตนเองได้ ความเสียเปรียบ : ไม่สามารถปรับตัวหรือสามารถอยู่ ร่วมกับผู้อืนได้อย่างเรียบร้อย สอดคล้องกับสภาพการณ์ 4
ออทิสติก ความบกพร่อง : ระบบการทํางานของสมองบาง ส่ ว น ทํา ง า น ผิ ด ป ก ติ ความพิ การ : มีความผิดปกติทางการสือ ความหมาย พฤติกรรม ความเสียเปรียบ : มีข้อจํากัดทางด้านพฤติกรรม หรือมีความสนใจเฉพาะเรือง ความบกพรองทางการพูด และภาษา ความบกพร่อง : อวัยวะทีใช้ในการพูดผิดปกติ ความพิ การ หรือมีความบกพร่อง : พูดไม่ชัด และลีลาการพูดผิดปกติ ความเสียเปรียบ : - การพูดและการใช้ภาษาทีผิดปกติทาํ ให้ฟงไม่รู้ เรือง สือความหมายต่อกันไม่ได้ - มีอากัปกิริยาทีผิดปกติขณะพูด 5
ความบกพรองทางรางกาย การเคล่ือนไหว และสุขภาพ ความบกพร่อง : อวัยวะไม่สมส่วน มีส่วนใด ส่ ว น ห นึ ง ห รื อ ห ล า ย ส่ ว น ห า ย ไ ป ความพิ การ : อวัยทีใช้เคลือนไหวไม่สามารถ ทาํ งานได้เปนปกติ ความเสียเปรียบ : - มีความลาํ บากในการเคลือนไหวจนเปนอุปสรรค ในการเคลือนไหวและการศึกษาเล่าเรียน 6
ความบกพรอง ขอ จํากดั และการเสียเปรียบของผูเ รียน ปจจัยทีส่งผล ต่อผู้เรยี นทีมี ความต้องการพิเศษ 7
ปจจัยดานการเรียน ผลดี เมือมีการออกแบบแผนการเรียนการสอนทีเหมาะ สม มีความหลากหลาย และสามารถปรับใช้ได้กับเด็กที มีความต้องการพิเศษได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผล ให้พัฒนาการทางด้านการเรียนของผู้เรียนทีมีความ ต้องการพิเศษเพิมขึน เพราะฉะนันผู้เรียนจะสามารถเรียนได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และได้รับความรู้อย่างครบถ้วน และ สามารถนาํ ความรู้ไปปรับใช้ได้จริง ผลเ สี ย เมือแผนการเรียนทีได้รับการออกแบบนัน ไม่มี ประสิทธิภาพและไม่สามารถนาํ ไปปรับใช้ได้จริงกับผู้ เรียน จะส่งผลให้พัฒนาการด้านการเรียนของผู้เรียนที มีความต้องการพิเศษนันเปนไปได้อย่างล่าช้าและไม่ต่อ เนือง อาจทําให้ประสบปญหากับการเรียนรู้ในด้านอืน ๆ ต่อไป 8
ปจจัยดานการใชชีวิตในโรงเรียน ผลดี เมือผู้เรียนทีมีความต้องการพิเศษได้รับการดูแล อย่างเหมาะสมในโรงเรียน เช่น โรงเรียนจัดหาครูการ ศึกษาพิเศษเพืออํานวยความสะดวกหรือมีสิงอาํ นวย ความสะดวกต่าง ๆ จะทําให้การใช้ชีวิตในโรงเรียนของ ผู้เรียนมีประสิทธิภาพ มีความสะดวกสบายและคล่อง ตัวมากขึน ส่งผลให้ผู้เรียนมีความสุขกับการได้ใช้ชีวิต อยู่ในโรงเรียนและพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ของผู้ เรียนทีดีขึนตาม ผลเ สี ย เมือผู้เรียนทีมีความต้องการพิเศษได้รับ ประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในโรงเรียนในทางลบเช่น การทีไม่มีสิงอาํ นวยความสะดวกภายในโรงเรียน จะ ทาํ ให้ผู้เรียนใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างลําบาก อาจ ทาํ ให้ผู้เรียนมีความรู้สึกหดหู่หรือเสียกาํ ลังใจในการ เรียน ส่งผลให้ผู้เรียนไม่อยากเรียน หรือไม่อยากพบปะ กับผู้คน 9
ปจจัยดานประสบการณ จากเพ่ือนรวมชั้น ผลดี เมือผู้เรียนทีมีความต้องการพิเศษมีเพือนร่วมชันที ดีและได้รับประสบการณ์ทีดีจากเพือนร่วมชัน จะทาํ ให้ ผู้เรียนเปดใจในการเข้าสังคมได้เปนอย่างมาก มากไป กว่านัน ประสบการณ์ทีดีจากเพือนร่วมชันจะทาํ ให้ผู้ เ รี ย น มี พั ฒ น า ก า ร ท า ง ด้ า น สั ง ค ม แ ล ะ อ า ร ม ณ์ อ ย่ า ง รวดเร็ว เพราะมีเพือนร่วมชันเปนหนึงในองค์ประกอบ ของการพัฒนา ผลเ สี ย เมือผู้เรียนทีมีความต้องการพิเศษได้รับ ประสบการณ์ทีไม่ดีหรือด้านลบจากเพือนร่วมชัน จะ ทําให้ผู้เรียนสูญเสียกําลังใจ อาจส่งผลให้ผู้เรียนกลัว การทีจะเข้าสังคม เพราะโดนกลันแกล้งมาก่อน ด้วย ประสบการณ์ทีไม่ดีเหล่านัน อาจทาํ ให้พัฒนาการทาง ด้ า น สั ง ค ม แ ล ะ อ า ร ม ณ์ นั น เ ป ลี ย น ไ ป ใ น ท า ง ที แ ย่ ขึ น ไ ด้ 10
ปจจัยดานประสบการณจากครู ผลดี เมือนักเรียนได้พบเจอครูทีเข้าใจและพยายามทีจะ ช่วยเหลือผู้เรียนอย่างสุดความสามารถ ผู้เรียนจะ สามารถรับรู้ความตังใจนัน และจะเปดใจยอมรับครู ส่ ง ผ ล ใ ห้ ค รู เ ป น สิ ง สํา คั ญ ที ทํา ใ ห้ พั ฒ น า ก า ร ใ น ด้ า น ต่าง ๆ ของผู้เรียนพัฒนาไปได้อย่างเหมาะสมและมี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ ผลเ สี ย เมือนักเรียนพบเจอครูทีไม่เข้าใจในตัวผู้เรียน ผู้เรียน จะรู้สึกว่าครูนันไม่เข้าใจในสิงทีผู้เรียนกาํ ลังพยายามจะ สือสาร ส่งผลให้ผู้เรียนอาจเกิดประสบการณ์ทางด้านลบ ต่อครูและไม่อยากเรียนกับครู ส่งผลต่อพัฒนาการด้าน อืน ๆ ต่อไปได้ 11
ปจจัยดานประสบการณสังคม นอกโรงเรียน ผลดี เ มื อ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ พ บ เ จ อ กั บ สั ง ค ม ภ า ย น อ ก ที ดี แ ล ะ เข้าใจในตัวผู้เรียน จะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความภาค ภูมิใจทีคนอืนในสังคมภายนอก มองเขาเหมือนกับคน ปกติทัวไป ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความมันใจในตัวเอง เกิดความกล้าทีจะใช้ชีวิต และมองเห็นคุณค่าในชีวิต ของตนเอง ผลเ สี ย เ มื อ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ พ บ เ จ อ สั ง ค ม ภ า ย น อ ก ที ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ใ น ตัวผู้เรียนนัน อาทิ มองด้วยสายตาทีเหมือนผู้เรียนเปน สิงทีแปลกและต่างจากคนปกติทัวไป ส่งผลให้ผู้เรียน เกิดความไม่มันใจในตนเอง และส่งผลให้ผู้เรียนเกิด ค ว า ม รู้ สึ ก เ ก ลี ย ด แ ล ะ โ ท ษ ต น เ อ ง ต ล อ ด เ ว ล า ว่ า ทํา ไ ม ค น ถึงมองเขาด้วยสายตาเหล่านัน 12
ปจจัยดานการดําเนินชีวิตประจาํ วัน ผลดี เมือผู้เรียนอยู่ในสังคมทีดี สังคมทีพร้อมจะ สนับสนุนผู้เรียนให้มีความเท่าเทียมผู้อืน อาทิ มีทางเท้า ทีดี มีสิงอํานวยความสะดวกทีเพียบพร้อม จะทําให้การ ดาํ เนินชีวิตประจําวันของผู้เรียนนันเปนไปได้อย่างราบ รื น แ ล ะ ผู้ เ รี ย น รู้ สึ ก ว่ า ตั ว เ อ ง จ ะ ไ ม่ ต้ อ ง เ ป น ภ า ร ะ ข อ ง ใครเพราะสามารถใช้ชีวิตได้เองผ่านทางสิงอาํ นวย ความสะดวกทีรัฐบาลจัดหาไว้ให้ ผลเ สี ย เมือผู้เรียนเจอสิงต่าง ๆ ในสังคมทีเปนอุปสรรคต่อ การดาํ รงชีวิตประจําวัน เช่น ในสังคมทีอยู่ไม่มี เบรลล์บล็อคหรือไม่มีคุณภาพ รวมถึงการข้ามถนนที ทําได้ลาํ บาก จะส่งผลให้ผู้เรียนนันเกิดความท้อใจในการ ใช้ชีิวตประจาํ วัน เพราะว่าไม่ได้รับสิงอํานวยความ สะดวกทีเปนสิทธิพืนฐานและสมควรทีจะได้รับ ส่งผลให้ ผู้เรียนรู้สึกแปลกแยกจากสังคม และเปนอุปสรรคต่อ การดาํ เนินชีวิตประจําวัน 13
ความบกพรอ ง ขอจาํ กดั และการเสียเปรียบของผูเรียน การรบั รู้ ของเด็กทีมีความ ต้องการพิเศษ 14
ประสบการณดานการเรียน เด็กทีมีความต้องการพิ เศษอาจประสบกับ ความยากลาํ บากด้านการเรียนหลายประการ เช่น - เด็กทีมีความบกพร่องทางการเห็นจะใช้เวลาในการ อ่านหนังสือมากกว่าปกติ บางส่วนมีความจาํ เปนต้อง เ รี ย น รู้ ผ่ า น สื อ พิ เ ศ ษ อ ย่ า ง อั ก ษ ร เ บ ร ล ล์ อ า จ เ กิ ด ขี ด จํากัดในการจินตนาการภาพตามความเปนจริง - เด็กทีมีความบกพร่องทางร่างกายหรือการ เคลือนไหวจะมีข้อจาํ กัดในการเรียนวิชาทีต้อง เคลือนไหว อย่างวิชาพลศึกษา - เด็กทีมีความบกพร่องทางการได้ยิน อาจต้องใช้ เวลาในการทําความเข้าใจภาษามากกว่าเด็กทัวไป 15
ประสบการณดานการเรียน - เด็กทีมีความบกพร่องทางอารมณ์หรือสติปญญาอาจ ควบคุมอารมณ์ได้ลาํ บาก อาจแสดงอาการไม่พอใจ ฉุนเฉียว หรือสนใจจดจ่อกับสิงต่าง ๆ เปนเวลานาน ๆ หรืออาจจะมีความสนใจทีเฉพาะเจาะจงกว่าเด็กปกติ ทัวไป การเรียนรู้ การรับรู้ และเหตุผลของเด็กกลุ่มนี จะค่อนข้างเฉพาะตัว ไม่เข้าใจเหตุผลของคนอืน อาจ ทําให้การเรียนรู้ในเรืองต่าง ๆ รอบตัวยากลาํ บากหรือ มีความเข้าใจทีผิดพลาดในบางเรือง 16
ประสบการณดานการเรียน โดยสรุป เด็กทีมีความต้องการพิเศษอาจได้พบกับ ข้อจํากัดในการเข้าร่วมบางรายวิชา หรือจําเปนต้องใช้ สือการเรียนรู้ทีแตกต่าง เฉพาะตัว รวมถึงอาจใช้เวลา เรียนรู้นาน และมีความท้าทายในการทาํ งานร่วมกับผู้ เรียนคนอืน สิงทีต้องระวัง คือ ไม่ให้เด็กรับรู้ถึงความ สามารถด้านการเรียนรู้ของตนในเชิงลบ มองว่าตนมี ความสามารถตํากว่าผู้อืน เพราะอาจทาํ ให้ความมันใจ ในตัวเองลดลง มองโลกในแง่ร้าย เกิด learnt helplessness จนรู้สึกหมดหวังกับการเรียน 17
ประสบการณดานการใชชีวิตในโรงเรียน เด็กทีมีความต้องการพิ เศษอาจเผชิญกับสิ งแวดล้อม ในโรงเรียนบางประการทีไม่ส่ งเสริมพั ฒนาการและ ไม่ตอบสนองต่อความต้องการพิเศษ ทําให้รับรู้ตนเอง ได้อย่างไม่ถูกต้อง อาทิ หากทางเดินและอาคารในโรงเรียนไม่ได้ ออกแบบโดยอ้างอิงหลัก Universal Design ไม่มี ทางลาด ลิฟต์ ราวจับตามบันได ปายอักษรสีทีมองได้ ชัดหรืออักษรเบรลล์ เด็กทีมีความบกพร่องทาง ร่างกายหรือการเคลือนไหวและเด็กทีมีความบกพร่อง ทางการเห็นอาจประสบปญหาขณะขึนอาคารเรียน หรือเคลือนย้ายเปลียนห้องเรียนและต้องใช้เวลาใน การเคลือนไหวมากกว่าผู้อืน รวมถึงอาจต้องการ ความช่วยเหลือเพิมเติมจากเพือน ครู หรือบุคลากร ในโรงเรียน ประสบการณ์นีอาจทาํ ให้ผู้เรียนรับรู้ใน ทางลบว่าตนไร้ความสามารถและไม่สามารถใช้ชีวิต ได้ด้วยตนเอง เปนสิงทีต้องระวังไม่ให้เกิดขึน 18
ประสบการณจากเพื่อนรวมช้ัน หากครู ไม่ ส่ งเ สริ มความเ ข้ าใจเ กี ยวกั บเ ด็ กที มี ความ ต้องการพิเศษกับผู้เรียนคนอืน อาจทําให้เกิดปญหา การกลันแกล้งขึนในโรงเรียน ดังตัวอย่างต่อไปนี - เด็กทีมีความต้องการพิเศษอาจถูกล้อเลียนเรือง ลักษณะเฉพาะตัว เช่น รูปร่าง ใบหน้า และทักษะการ คิดของเด็กทีมีความบกพร่องทางสติปญญา เปนต้น - เด็กอาจถูกเพือนสอนคาํ พูดทีไม่เหมาะสม เนืองจากไม่เข้าใจทางภาษาอย่างลึกซึง ทาํ ให้นาํ ไปใช้แล้วเกิดความเข้าใจผิด ลดสัมพันธภาพกับ คู่สนทนา ท้ายทีสุ ดเด็กทีมีความต้องการพิ เศษอาจหมดความ มันใจในตัวเอง รู้สึกไม่ไว้วางใจใคร รวมถึงปฏิเสธที จะรับความช่วยเหลือจากผู้อืน ทาํ ให้ไม่สามารถพัฒนา ทักษะต่อไปได้เท่าทีควร 19
ประสบการณจากครู รู้ สึ ก ว่ า ค รู ไ ม่ เ ข้ า ใ จ ใ น สิ ง ที ต น เ อ ง ต้ อ ง ก า ร จ ะ สื อ ส า ร - รู้สึกเรียนไม่เข้าใจทีครูสอน - ไม่เข้าใจสิงทีครูกําลังเตือนว่าเปนสิงทีผิด - ไม่เข้าใจเจตนาของการลงโทษของครู และมองว่า ครูเปนคนทีชอบใช้ความรุนแรง ประสบการณจากสังคมนอกโรงเรียน ไม่ชอบสายตาทีคนภายนอกมองมาเหมือนตนเอง เปนคนทีแปลกแตกต่างจากผู้อืน - ขาดความมันใจ - ไม่กล้าเข้าร่วมสังคมกับผู้อืน ทาํ ให้ขาดทักษะการ ส ร้ า ง สั ม พั น ธ ภ า พ ที ดี กั บ ผู้ อื น - รู้สึกแปลกแยก ไม่เปนทียอมรับของผู้คนภายนอก 20
ประสบการณดานการ ดําเนินชีวิตประจาํ วัน - สิงต่าง ๆ ทีใช้ในชีวิตประจาํ วันไม่ได้อาํ นวย ความสะดวกตามความต้องการของตนเองอย่าง เพียงพอ เช่น เบรลล์บล็อก , ทีขึนรถเมล์สําหรับ คนพิการ , ทางราบสําหรับรถเข็น - รู้สึกว่าตนเองไม่สามารถดาํ เนินชีวิตเพียง ตัวคนเดียวได้ ต้องการคนทีคอยช่วยเหลือ อยู่เสมอ - รู้สึกว่าตนเองต้องใช้ชีวิตทีแปลกแยก ดาํ เนินชีวิตไม่เหมือนคนทัวไป 21
ความบกพรอง ขอจาํ กัด และการเสียเปรียบของผเู รยี น การประยุกต์ ทฤษฎีการเรยี นรู้ สาํ หรบั สอน/พัฒนา เด็กทีมีความ ต้องการพิเศษ 22
ทฎษฎีปญญานิยม (Cognitivism) ใ ห้ ผู้ เ รี ย น ไ ด้ มี โ อ ก า ส เ รี ย น รู้ ถึ ง ค ว า ม สั ม พั น ธ์ ระหว่างสิงต่าง ๆ รอบตัว แล้วให้ผู้เรียนได้ลองเชือม ความสัมพันธ์ของสิงเหล่านัน ตามประสบการณ์ที ตนเองมี ไม่ว่าจะเปนจากทีบ้าน โรงเรียน หรือสังคม ข้างนอก รวมไปถึงการเรียนการสอนควรทีจะแทรก ประสบการณ์ทีผู้เรียนสามารถเจอได้ในการใช้ชีวิต 23
ทฎษฎีพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) การนาํ ทฤษฎีการวางเงือนไขมาใช้ประโยชน์ โดยการสร้างข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้ เรียน เช่น ถ้าทําแบบฝกหัด 5 ข้อเสร็จจะได้กินของ ว่าง เพือกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดการทาํ พฤติกรรมทีผู้ สอนต้องการ รวมไปถึงการลงโทษทีควรมีการตังข้อตกลง หากทาํ ผิดจะมีการลงโทษ เช่น หากไม่ทําการบ้านทีให้ จะไม่ได้กินของว่าง เพือเปนการลดพฤติกรรมและ ปรับพฤติกรรมของผู้เรียน 24
ทฎษฎีสังคมเชิงพุทธิปญญานิยม (Social Cognitivism) ปรับเปลียนห้องเรียนให้มีความคล้ายคลึงกับ สภาพความเปนจริงภายนอก เช่น มีถนนจาํ ลองและ สัญญาณไฟแดงในห้องเรียน เพือบอกว่านักเรียน สามารถข้ามถนน หรือ รถสามารถหยุดและไปได้เมือ ไหร่ เมือผู้เรียนได้เรียนอยู่กับสภาพแวดล้อมทีเปน ตัวแบบ จะทําให้ผู้เรียนเก็บจํา เพือไปทําตาม แล้วนาํ ไปใช้ได้ โดยทีผู้สอนอาจจะไม่ต้องสอน โดยเฉพาะผู้ เรียนทีมีความบกพร่องทางด้านการเรียนรู้ ทีต้องการ ประสบการณ์ทางด้านสิงแวดล้อม และการเรียนรู้ทีมี ป ร ะ สิ ท ธิ ภ า พ 25
ทฎษฎีมนุษยนิยม (Humanism) ให้ผู้เรียนได้เห็นถึงคุณค่าของตนเองในการมี ชีวิตอยู่ โดยการสอดแทรกความรู้ในด้านต่าง ๆ เพือ ให้ผู้เรียนได้ค้นพบตนเอง เช่น การจัดกิจกรรม I’m the star ให้ผู้เรียนออกมาแสดงหรือพูดถึงความ สามารถของตนเองมี หรือการวาดรูปตัวเองใน อนาคต เพือให้ผู้เรียนได้ตังเปาหมายของการใช้ชีวิต ทีมีคุณค่าของตนเอง 26
ความบกพรอง ขอจํากดั และการเสียเปรียบของผูเ รยี น เทคนิคในการสรา้ ง แรงจูงใจให้แก่ ผู้เรยี นทีมีความ ต้องการพิเศษ 27
1. เห็นคุณคาของส่ิงที่ทาํ - แสดงออกให้เห็นว่าสิงทีตนเองสอนเปนสิงทีน่าสนใจ เช่น การแสดงบทบาทสมมติ เพือให้ผู้เรียนหันมาสนใจ ก า ร เ รี ย น ม า ก ยิ ง ขึ น แ ล ะ จ ะ ค ล้ อ ย ต า ม ใ น สิ ง ที ส อ น - การนํากิจกรรมกลุ่มมาให้นักเรียนได้ร่วมกันทาํ กิจกรรม เช่น กิจกรรมการล่าสมบัติ โดยนักเรียนจะ ต้องร่วมกันระดมความคิดกับเพือน ในการตอบคําถาม หากตอบคาํ ถามถูกก็จะได้คาํ ใบ้ของสถานทีซ่อนสมบัติ เ พื อ ใ ห้ ผู้ เ รี ย น มี ค ว า ม อ ย า ก รู้ อ ย า ก เ ห็ น แ ล ะ มี ส่ ว น ร่ ว ม ใ น กิ จ ก ร ร ม นั น ม า ก ที สุ ด - การจัดกิจกรรมสําหรับเด็กทีมีความต้องการพิเศษ นันควรทีจะจัดตามความต้องการของผู้เรียน โดยแบ่ง เปนกลุ่มย่อยเพือให้ผู้เรียนทีมีความต้องการพิเศษได้มี การแลกเปลียนความคิดและเรียนรู้ร่วมกัน เพือให้ผู้ เรียนมีความสนใจในการเรียนมากขึน 28
2.เชื่อม่ันในการพยายาม - พยายามให้ผู้เรียนเห็นว่าการพยายามเปนสิงทีจะ ทาํ ให้ผู้เรียนประสบความสําเร็จ โดยการโยง ประสบการณ์ในอดีตทีเคยทําพลาดหรือทําไม่ดีมา เทียบกับสิงทีได้ในปจจุบันทีดีกว่า เพือให้ผู้เรียนเกิด แรงจูงใจในการเรียนรู้จากความพยายาม เช่น การ เอาคะแนนสอบก่อนเรียนกับหลังเรียนมาเทียบกัน เพือให้เห็นว่าเมือตัวเองได้พยายามเรียนไปแล้ว คะแนนได้ออกมาดีกว่าตอนก่อนเรียน 29
3. เช่ือมั่นในความสามารถ ของตนเอง - มอบหมายงานทีสอดคล้องกับความสามารถของ ตนเอง รวมไปถึงการมอบหมายงานให้ผู้เรียนทีมี ความต้องการพิเศษสามารถทาํ ได้ เพือให้ผู้เรียนมี ความมันใจและสิงทีตนเองมี และเห็นถึงความ สามารถทีตนเองมีอยู่ 30
4. เรียนรูจากความผิดพลาด - ให้ผู้เรียนมีการบันทึกไดอารีเกียวกับกิจกรรมที ต น เ อ ง ทํา ใ น แ ต่ ล ะ วั น เ พื อ ดู ว่ า ต น เ อ ง มี สิ ง ที ผิ ด พ ล า ด และควรปรับปรุงอย่างไร ตรงไหนบ้าง รวมไปถึงให้ มองสาเหตุของปญหานัน และหาวิธีการแก้ปญหา ด้วยตนเอง ถือเปนการจูงใจให้ผู้เรียนมีแรงกระตุ้น ในการเรียนรู้ 31
5. เปนเจาของการเรียนรู ของตนเอง - ให้พูดเรียนออกมาแสดงหรือพูดถึงความสามารถ ของตนเองมี หรือการวาดรูปตัวเองในอนาคต เพือ ให้ผู้เรียนได้ตังเปาหมายของการใช้ชีวิตทีมีคุณค่า ของตนเอง และให้เกิดแรงจูงในการเรียนต่อไป 32
จดั ทาํ โดย นายนภัทร ชางขนุน ( 6143571927 ) นางสาวบุญสิตา เกงโสภณ ( 6143579027 ) นางสาวศิรฎา โยธาสุข ( 6143641127 ) นายกณวรรธน เรืองเพ็ง ( 6144701327 ) นางสาวกัญญาภรณ รุงเรืองวาณิช ( 6144704227 ) นายจักรี วงศคาํ ฝน ( 6144707127 ) นางสาวณิชกานต ปนแกว ( 6144714527 )
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: