อิเหนา ตอน ศึกกะหมงั กุหนงิ จัดทาโดย นางสายพร นาละออง กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ประกอบการเรยี นรวู้ ชิ า ท๓๑๑๐๑ ภาษาไทย โรงเรยี นลาปางกัลยาณี จงั หวดั ลาปาง สานักงานเขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษามธั ยมศกึ ษา เขต ๓๕ กลบั สู่เมนูหลกั
อิเหนา ตอนศึกกะหมังกหุ นิง ผู้จดั ทำ ประวตั ผิ ้แู ต่ง ประวตั ิ และควำมเป็ นมำของอเิ หนำ กำรวเิ ครำะห์คุณค่ำทำงวรรณคดี คำอธิบำยศัพท์และคำรำชำศัพท์ ลกั ษณะของคำประพนั ธ์ เรื่องย่ออเิ หนำ ตอนศึกกะหมงั กหุ นิง รสวรรณคดี แหล่งอ้ำงองิ
เรื่องอเิ หนำมำจำกพงศำวดำรชวำซึ่งกล่ำวถึงกษัตริย์ชวำพระองค์หน่ึง มพี ระนำมว่ำ “ไอระ ลงั คะ” (หรือ องั รกะ) พระองค์ทรงมีควำมสำมำรถ ด้ำนกำรรบ สำมำรถรวมดนิ แดนชวำเข้ำด้วยกนั เป็ นผู้ต้งั วงศ์เทวำ และทรง เป็ นพระอยั กำของอเิ หนำ เร่ืองรำวของกษัตริย์พระองค์นีช้ ำวชวำได้นำมำเล่ำ ต่อผสมผสำนแต่งเติมกนั เป็ นทำนองนิทำนคือ นทิ ำนปันหยี แทรกเร่ือง ปำฏหิ ำริย์และสิ่งมหัศจรรย์เพื่อเสริมพระเกยี รติ ต่อมำมผี ู้นำมำแต่งเป็ น หนังสือซึ่งมหี ลำยสำนวน ระเด่น ปรู พจรถได้รวบรวมไว้ดงั นี้ หิตะยตั ปันหยสี ะมหิ รัง แต่งเป็ นภำษำมลำยู ซึ่งแปลมำจำกภำษำชวำสมยั กลำง สุรัตกณั ฑ แต่งเป็ นภำษำชวำ ต้นฉบบั ได้มำจำกเมืองโซโล กลบั สู่เมนูหลกั
ประวตั แิ ละทม่ี ำ(ต่อ) ปันหยอี งั กรณี แต่งเป็ นภำษำชวำ ได้มำจำกเมืองปำเลม็ บัง กล่ำว กนั ว่ำเป็ นฉบับทมี่ ีเนื้อเรื่องสมบูรณ์กว่ำทุกสำนวน มำลตั แต่งเป็ นภำษำชวำโบรำณ ทเ่ี รียกว่ำ ภำษำกวไี ด้มำจำกเกำะ บำลี อเิ หนำ ฉบบั เขมร คดั เร่ืองมำจำกสมุดเดอมูรำต์ มเี นื้อเร่ืองเหมือน อเิ หนำ ซ่ึงเป็ นพระรำชนิพนธ์ในพระบำทสมเดจ็ พระพุทธเลศิ หล้ำ นภำลยั
อเิ หนำฉบบั ภำษำไทยมีหลำยสำนวน ดงั นี้ ๑. อเิ หนำสำนวนเก่ำคร้ังอยุธยำตอนปลำย (ต้นฉบับสูญหำย) ซ่ึงเจ้ำฟ้ำหญงิ กณุ ฑลและเจ้ำฟ้ำหญงิ มงกฎุ พระรำชธิดำใน พระบำทสมเดจ็ พระเจ้ำอยู่หัวบรมโกศทรงนิพนธ์ไว้คือ อเิ หนำใหญ่ (ดำหลงั ) และอเิ หนำเลก็ ตำมลำดบั ๒. อเิ หนำซ่ึงสมเดจ็ กรมพระยำดำรงรำชำนุภำพได้มำจำก เมืองนครศรีธรรมรำช เป็ นคำกลอนตอนเดยี วทรงคดั ลงไว้ ในตำนำนอเิ หนำ (พระบำทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้ำ เจ้ำอยู่หัวทรงมีพระรำชดำริว่ำ เป็ นสำนวนคร้ังกรุงเก่ำ) กลบั สู่เมนูหลกั
ประวตั ิและทม่ี ำ(ต่อ) ๓. อเิ หนำพระรำชนิพนธ์ในพระบำทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้ำจุฬำ โลก มเี พยี ง ๖ ตอน คือ ๑.ต้งั วงศ์เทวำสี่นคร ถึงอเิ หนำไปอยู่เมืองหมันหยำ ๒.อเิ หนำเข้ำห้องจนิ ตะหรำ ถึงอเิ หนำตอบสำรท้ำวกเุ รปัน ๓.วหิ ยำสะกำเทย่ี วป่ ำ ถงึ ท้ำวหมนั หยำรับสำรท้ำวกเุ รปัน ๔.ศึกกะหมังกหุ นิง ๕.อเิ หนำปลอมเป็ นปันหยคี ้นหำบุษบำ ถงึ อณุ ำกรรณขนึ้ เขำ ประจำหงนั ๖.ย่ำหรันตกไปเมืองมะงำดำ ถงึ ระเด่นดำระหวนั ตำมย่ำหรันมำ เมืองกำหลงั
๔. อิเหนาคาฉนั ท์ ของเจา้ พระยาพระคลงั (หน) เฉพาะตอนอิเหนาเผาเมืองดาหา จนถึงอิเหนาเขา้ ไปแกส้ งสยั ในเมืองดาหา ๕. พงศาวดารอิเหนา ของขนุ นิกรการประกิจ (บิน อบั ดุลลาห์) แปลมาจากภาษา มลายู ๖. อิเหนา ซ่ึงสมเด็จพระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรคว์ รพินิต ทรง แปลจากภาษามลายู ๗. อิเหนา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั การรับเรื่องอิเหนาเขา้ มาน้ัน กล่าวกนั ว่า หญิงมลายชู ื่อยะโว ซ่ึงเป็ นเชลย จากเมืองปัตตานีไดเ้ ล่าถวายเจา้ ฟ้าหญิงกณุ ฑลและเจา้ ฟ้าหญิงมงกุฎพระราชธิดาใน พระเจา้ อยู่หัวบรมโกศ เจา้ ฟ้าท้งั สองจึงทรงแต่งเรื่องอิเหนาเป็ นบทละคร คือ อิเหนาใหญ่ (ดาหลงั ) และอิเหนาเลก็ ดงั กล่าวแลว้ เน้ือความตอนหน่ึงในเพลงยาว ซ่ึงอยตู่ อนทา้ ยบทละครพระราชนิพนธ์เรื่องอิเหนา เป็นหลกั ฐานเกี่ยวกบั เร่ืองที่มา ของเรื่องอิเหนา และจุดประสงคใ์ นการแต่ง
เร่ืองอิเหนามาจากพงศาวดารชวาซ่ึงกล่าวถึงกษตั ริยช์ วาพระองคห์ น่ึง มี พระนามวา่ “ไอระ ลงั คะ” (หรือ องั รกะ) พระองคท์ รงมีความสามารถดา้ นการรบ สามารถรวมดินแดนชวาเขา้ ดว้ ยกนั เป็ นผูต้ ้งั วงศ์เทวา และทรงเป็ นพระอยั กาของ อิเหนา เรื่องราวของกษตั ริยพ์ ระองคน์ ้ีชาวชวาไดน้ ามาเล่าต่อผสมผสานแต่งเติมกนั เป็ นทานองนิทานคือ นิทานปันหยี แทรกเร่ืองปาฏิหาริยแ์ ละสิ่งมหศั จรรยเ์ พ่ือเสริม พระเกียรติ ต่อมามีผูน้ ามาแต่งเป็ นหนังสือซ่ึงมีหลายสานวน ระเด่นปูรพจรถได้ รวบรวมไวด้ งั น้ี หิตะยตั ปันหยสี ะมิหรัง แต่งเป็นภาษามลายู ซ่ึงแปลมาจากภาษาชวาสมยั กลาง สุรัตกณั ฑ แต่งเป็นภาษาชวา ตน้ ฉบบั ไดม้ าจากเมืองโซโล ปันหยอี งั กรณี แต่งเป็นภาษาชวา ไดม้ าจากเมืองปาเลม็ บงั กล่าวกนั วา่ เป็นฉบบั ท่ีมี เน้ือเรื่องสมบูรณ์กวา่ ทุกสานวน
วรรณคดเี รื่องอเิ หนำ บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศ หลา้ นภาลยั ได้รับ ยกย่องจำกวรรณคดสี โมสร เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๙ วา่ เป็น ยอดของบทละครรำ สมเดจ็ พระบรมวงศเ์ ธอกรมพระยาดารงราชานุภาพ ทรงอธิบายวา่ “ในบรรดาละครราที่คนชอบไม่มีเรื่องใดเสมอดว้ ยเรื่อง อิเหนา บทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั เพราะ เป็นหนงั สือที่ดีพร้อมท้งั กระบวนกลอนและกระบวนรา กล่าวคือ กวมี ีความ ประณีตในการสรรคาท่ีมีความไพเราะสละสลวยไม่มีท่ีเปรียบ และมีความหมาย แสดงอารมณ์อนั วจิ ิตรลึกซ้ึง ท้งั ยงั จดั กระบวนราไดอ้ ยา่ งงดงามเหมาะเจาะกบั คา ท่ีใชอ้ ยา่ งไม่มีที่ติ” กลบั สู่เมนูหลกั
กษตั ริยว์ งศเ์ ทวา ๔ พระองค์ คือ ทา้ วกุเรปัน ทา้ วดาหา ท้าวกาหลงั และทา้ วสิงหัดส่าหรี ครองเมืองกุเรปัน ดาหา กาหลงั และสิงหัดส่าหรี ตามพระนามของพระองค์ กษตั ริยท์ ้งั ๔ เมืองน้ีต่างมีมเหสี ๕ องค์ คือ ประไหมสุหรี มะเดหวี มะโต ลิกู และเหมาหลาหงี ประไหมสุหรีเมืองกเุ รปันและดาหา เป็นราชธิดาของทา้ วหมนั หยาซ่ึง มีราชธิดา ๓ องค์ องคส์ ุดทอ้ งไดอ้ ภิเษกกบั โอรสทา้ วมงั กนั ภายหลงั ได้ ครองเมืองหมนั หยา
ท้าว กุเ รปั นปรารถนาจะ ให้ประ ไ หมสุ หรี มี โอ รสจึ งทาพิธี บว งสรว งเ ทว ดา ประไหมสุหรีทรงสุบินว่า พระอาทิตยท์ รงกลดลอยมาตกลงตรงหน้า นางรับไวไ้ ด้ โหรทานายวา่ โอรสจะมีฤทธ์ิมาก พอถึงวนั ประสูติก็เกิดอศั จรรย์ แผน่ ดินไหว ฟ้าร้อง เกิดพายุพดั และฝนตกมาห่าใหญ่เจ็ดวนั เจ็ดคืน พอประสูติโอรส องค์ปะตาระกาหลา พระอยั กากท็ รงนากริชจารึกพระนาม “อิเหนา” มาประทาน ท้าวดาหามีราชธิดาช่ือบุษบา ประสูติจากประไหมสุหรี ในวนั ประสูติก็เกิด อศั จรรย์ ดอกไมน้ านาพรรณส่งกล่ินหอมตระหลบอบอวลไปทวั่ ทา้ วกุเรปันจึงขอ หม้นั ให้อิเหนา ต่อมาทา้ วดาหามีโอรสประสูติจากประไหมสุหรีชื่อสียะตรา องค์ ปะตาระกาหลาเสดจ็ มาประทานกริชใหเ้ ช่นเดียวกบั อิเหนา ส่วน ประไหมสุหรีแห่งกรุงกุเรปันก็ประสูติพระราชธิดาชื่อวิยะดา ทา้ วดาหาก็ไดข้ อ หม้นั ให้ สียะตรา ทา้ วสิงหดั ส่าหรีมีโอรสชื่อสุหรานากง ทา้ วกาหลงั มีธิดาช่ือสกาหน่ึงหรัด โอรส ธิดาท้งั สองเมืองไดต้ ุนาหงนั (หม้นั ) ตามประเพณีของกษตั ริยว์ งศเ์ ทวา
ต่อมาอยั กี (ยาย) ของอิเหนาท่ีเมืองหมนั หยาสิ้นพระชนม์ อิเหนาเสด็จไปในพิธี พระเมรุแทน ทา้ วกเุ รปัน เสร็จงานแลว้ ยงั ไม่ยอมกลบั เมืองกเุ รปัน เพราะหลงรักนางจินตะหรา ธิดาของทา้ วหมนั หยา ทา้ วกเุ รปันตอ้ งส่งสารไปเตือนใหก้ ลบั เมือง แลว้ นดั การอภิเษก อิเหนากบั บุษบา แต่อิเหนาไม่ปรารถนา จึงปลอมตวั เป็นปันหยี ชื่อ มิสาระปันหยี คุม ไพร่พลรุกรานเมืองต่าง ๆ ไดโ้ อรสธิดาของเมืองเหล่าน้นั เป็นเชลย กองทพั ปันหยีมาถึง เมืองหมันหยา ท้าวหมันหยาไม่กล้าต่อสู้เพราะคิดว่าโจร และยอมยกนาง จินตะหราให้ แต่เม่ือทราบว่าปันหยีคืออิเหนา ทา้ วหมนั หยาก็ปฏิเสธไม่ยอมยกนางจิน ตะหราใหด้ ว้ ยเกรงทา้ วกเุ รปันจะติโทษ แต่ในท่ีสุดอิเหนากไ็ ดน้ างจินตะหราเป็นชายา ฝ่ ายทา้ วดาหามีสารถึงทา้ วกุเรปันเตรียมพิธีอภิเษกอิเหนากบั บุษบา ทา้ วกุเรปันมี สารสั่งให้อิเหนาไปอภิเษก แต่อิเหนาก็บอกตดั นางบุษบา ทาให้ทา้ วกุเรปันและทา้ วดา หาเคืองพระทยั มาก ทา้ วดาหาจึงตดั การตุนาหงนั และประกาศว่าใครมาขอบุษบาก็จะ ยกให้
กล่ำวถึงระตูจรกำปรำรถนำจะมีคู่ จึงให้ช่ำงวำดไปวำดรูปธิดำเมืองต่ำง ๆ ช่ำงวำดได้วำดรูปนำงจินดำส่ำหรีธิดำของท้ำงสิงหัดส่ำหรี และวำดรูปนำงบุษบำ ธิดำของท้ำวดำหำ ๒ รูป ปะตำระกำหลำซึ่งเป็ นองค์เทวอัยกำได้ลักรูปนำง บุษบำไปจำกช่ำงวำดรูปหน่ึง เมื่อระตูจรกำเห็นรูปนำงบุษบำก็หลงรัก จึงอ้อน วอนท้ำวล่ำสำผู้พ่ีชำยให้ไปขอนำงบุษบำ ท้ำวดำหำก็ยอมยกให้ด้วยควำมแค้น เคืองอเิ หนำทีต่ ัดกำรอภเิ ษก ฝ่ ำยองค์ปะตำระกำหลำได้นำรูปนำงบุษบำท่ีลักจำกช่ำงวำดไปทิ้งไว้ที่โคน ต้นไทร วิหยำสะกำตำมกวำงไปพบรูปนำง ก็คลั่งไคล้ใหลหลง อ้อนวอนท้ำว กะหมังกุหนิงพระรำชบิดำให้ส่งทูตไปขอนำงบุษบำ แต่ท้ำวดำหำไม่ยอมยกให้ เพรำะได้ยกบุษบำมำให้จรกำไปก่อนแล้ว เป็ นเหตุให้ท้ำวกะหมังกหุ นิงโกรธมำก จึงเตรียมรบชิงนำงบุษบำ ท้ำวดำหำแจ้งข่ำวศึกแก่สำมพระนครและระตูจรกำให้ ไปช่วย ท้ำวกุเรปันส่ังอิเหนำให้ไปช่วยเมืองดำหำ อิเหนำจึงจำใจยกทัพไปช่วย เมืองดำหำ
ทา้ วกะหมงั กหุ นิงยกทพั ถึงเมืองดาหา ไดร้ บกบั อิเหนา ฝ่ ายอิเหนาไดร้ ับชยั ชนะ สงั คามาระตาฆ่า วหิ ยาสะกาตาย ส่วนอิเหนากฆ็ ่าทา้ วกะหมงั กุหนิง แลว้ อิเหนากเ็ ขา้ เฝ้า ทา้ วดาหา พอไดเ้ ห็นนางบุษบาอิเหนาก็หลงรักนางทนั ที คร้ันทา้ วดาหาจดั พิธีแต่งงาน บุษบากับจรกา อิเหนาก็หาอุบายลักพานางบุษบาไปอยู่ในถ้า เป็ นเหตุให้องค์ ปะตาระกาหลาโกรธการกระทาของอิเหนา จึงดลบนั ดาลให้เกิดลมหอบเอานางบุษบา ไป ขณะท่ีอิเหนากลบั ไปแกส้ งสัยในเมืองดาหา คร้ันกลบั มาไม่พบนางก็ปลอมเป็นปัน หยเี ที่ยวมะงุมมะงาหราติดตามนางบุษบาไปตามเมืองต่าง ๆ ฝ่ ายนางบุษบา องคป์ ะตาระกาหลาแปลงให้เป็นชายช่ืออุณากรรณ พร้อมท้งั สาป วา่ แมพ้ บ อิเหนาก็อยา่ ใหจ้ ากนั ได้ จนกวา่ พ่ีนอ้ งวงศเ์ ทวาท้งั ส่ีเมืองมาพบกนั จึงจะ จากนั ได้ อุณากรรณรบชนะบา้ นเลก็ เมืองนอ้ ย ในที่สุดกไ็ ปถึงเมืองกาหลงั ที่ซ่ึงพ่ีนอ้ ง วงศเ์ ทวาทุกคนที่เท่ียวออกตามหานางบุษบามาพบกนั ต่างก็จากนั ได้ จึงพน้ คาสาปของ องคป์ ะตาระกาหลา พากนั กลบั เมือง แลว้ กษตั ริยว์ งศเ์ ทวา ที่ไดต้ ุนาหงนั กนั ไว้ ก็เขา้ พธิ ีอภิเษกกนั อิเหนาไดอ้ ภิเษกกบั นางบุษบาและนางจินตะหราพร้อมกนั
ทา้ วกุเรปันปรารถนาจะให้ประไหมสุหรีมีโอรสจึงทาพิธีบวงสรวงเทวดา ประ ไหมสุหรีทรงสุบินว่า พระอาทิตยท์ รงกลดลอยมาตกลงตรงหน้า นางรับไวไ้ ด้ โหร ทานายวา่ โอรสจะมีฤทธ์ิมาก พอถึงวนั ประสูติก็เกิดอศั จรรย์ แผน่ ดินไหว ฟ้าร้อง เกิด พายพุ ดั และฝนตกมาห่าใหญ่เจด็ วนั เจด็ คืน พอประสูติโอรส องคป์ ะตาระกาหลา พระ อยั กากท็ รงนากริชจารึกพระนาม “อิเหนา” มาประทาน ทา้ วดาหามีราชธิดาชื่อบุษบา ประสูติจากประไหมสุหรี ในวนั ประสูติก็เกิด อศั จรรย์ ดอกไมน้ านาพรรณส่งกลิ่นหอมตระหลบอบอวลไปทวั่ ทา้ วกุเรปันจึงขอ หม้นั ให้อิเหนา ต่อมาท้าวดาหามีโอรสประสูติจากประไหมสุหรีช่ือสียะตรา องค์ ปะตาระกาหลาเสดจ็ มาประทานกริชใหเ้ ช่นเดียวกบั อิเหนา ส่วน ประไหมสุหรีแห่งกรุงกุเรปันก็ประสูติพระราชธิดาช่ือวิยะดา ทา้ วดาหาก็ไดข้ อ หม้นั ให้ สียะตรา ทา้ วสิงหดั ส่าหรีมีโอรสชื่อสุหรานากง ทา้ วกาหลงั มีธิดาช่ือสกาหน่ึงหรัด โอรส ธิดาท้งั สองเมืองไดต้ ุนาหงนั (หม้นั ) ตามประเพณีของกษตั ริยว์ งศเ์ ทวา
วรรณคดีเรื่องอิเหนาท่ีตดั ตอนมาให้ศึกษาต่อไปน้ี เป็ นตอนศึกกะหมงั กุหนิง ตามที่ได้กล่าวแต่ต้นแล้วว่าเร่ืองน้ีรับมาจากชวา จึงมีศัพท์ภาษาชวาปนอยู่มาก โดยเฉพาะช่ือตวั ละครลว้ นเป็ นภาษาชวา คาศพั ท์หลายคามีรากศพั ท์มาจากภาษาบาลี และสันสกฤต (ในสมยั โบราณ ชวาไดร้ ับอิทธิพลทางศาสนาจากอินเดีย จึงรับอิทธิพล ของภาษาบาลีและสันสกฤตดว้ ยโดยปริยาย) เช่น คาวา่ บีกู น่า จะมาจากคาภาษาบาลี ว่า ภิกขุ และคาว่า ประมาหนา น่าจะมาจากคาสันสกฤตว่า พราหมณะ เป็ นตน้ ผู้ ศึกษาควรหาความรู้จากพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน หรือไต่ถามผรู้ ู้ หรือศึกษา จากหนงั สือท่ีเก่ียวกบั เร่ืองอิเหนา เช่น คาอธิบายเรื่องอิเหนาพระนิพนธ์สมเด็จพระเจา้ บรมวงศ์เธอ เจา้ ฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต และตานานละครอิเหนา พระราช นิพนธข์ องสมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดารงราชานุภาพ ซ่ึงจะช่วยให้ ผูศ้ ึกษามีความรู้เร่ืองอิเหนาแตกฉานข้ึน เช่น ได้ทราบว่าตวั ละครฝ่ ายชายใน วรรณคดีไทยซ่ึงมีชื่อวา่ “อิเหนา” น้นั ทางชวาคาวา่ อิเหนา มาจากศพั ท์ อินู แปลวา่ ผูเ้ ยาว์ เป็ นคาประกอบหน้าพระนามคือ ระเด็นอินูกะระตะปาตี มิได้เป็ นช่ือเช่นใน วรรณคดีไทย กลบั สู่เมนูหลกั
คาวา่ ระเดน็ (ระเด่น) แปลวา่ เจา้ ชาย คาวา่ อินู แปลวา่ ผเู้ ยาว์ ช่ือตวั คือ กะระตะปาตี (หรือบางฉบบั เป็น กดู าวาเนงปาตี) แปลรวมวา่ เจา้ ชายเยาวราช (ยพุ ราช) กะระตะปาตี (ซ่ึงไทย เรียกพระนามวา่ อิเหนา) เป็นตน้ กลบั สู่เมนูหลกั
ผแู้ ต่ง (ผทู้ รงพระราชนิพนธ์) พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลิศหลา้ นภาลยั ที่มา ไทยรับวรรณคดีเร่ืองอิเหนามาจากนิทานปันหยีของชวา มาต้งั แต่สมยั อยุธยา โดยสันนิษฐานว่าเจา้ ฟ้าหญิงกุณฑลและ เจ้าฟ้าหญิงมงกุฎ พระธิดาในพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศในสมยั อยุธยาตอนปลาย ทรงนิพนธ์ข้ึนจากคาบอกเล่าของขา้ หลวง หญิงชาวมลายู โดยทรงนิพนธ์ไว้ ๒ สานวน คือ ดาหลัง (อิเหนาใหญ่) กบั อิเหนา (อิเหนาเลก็ ) พอเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ัง ที่ ๒ บทละครท้งั สองเร่ืองไดพ้ ลดั พรากไป รัชกาลที่ ๑ ทรงรวบรวมและทรงพระราชนิพนธฉ์ บบั หน่ึง โดยดาเนินเน้ือ เร่ืองตามเรื่องอิเหนาเลก็ จุดมุ่งหมาย เพื่อใชแ้ สดงละครใน ลกั ษณะคาประพนั ธ์ กลอนบทละคร กลบั สู่เมนูหลกั
ทา้ วกะหมงั กุหนิงไดใ้ ห้ราชทูตนาราชสารไปสู่ขอนางบุษบาให้กบั วิ หยาสะกาโอรสของพระองค์ แต่ทา้ วดาหาไม่ยกให้ เน่ืองจากไดย้ กให้กบั จรกาไปก่อนแลว้ แมท้ า้ วกะหมงั กหุ นิงจะรบกต็ ามใจ ทา้ วกะหมงั กุหนิงรู้ว่าอย่างไรเสียก็ตอ้ งรบกบั กรุงดาหาเป็ นแน่ จึง เชิญระตูผูน้ ้องท้งั สองคือระตูปาหยงั และทา้ วประหมันและบรรดาหัว เมืองข้ึนท้งั หมดยกทพั มาช่วย คร้ันระตูผูน้ ้องมาถึงจึงไดท้ กั ทว้ งให้ทา้ ว กะหมงั กุหนิงเปลี่ยนใจหาสตรีอ่ืนให้โอรสดีกวา่ ท่ีจะให้ราษฎรเดือดร้อน ทา้ วกะหมงั กหุ นิงไม่เห็นดว้ ย กลบั ตอบวา่ จะยอมตายเพ่อื ลูก
หลงั จากทูตกะหมงั กุหนิงไปแลว้ ทา้ วดาหาก็สั่งให้เตรียมป้องกันเมือง และ เตรียมรบทนั ที คือให้ทูตถือสารไปยงั ๓ เมือง และเมืองจรกา ตลอดจนหัวเมืองข้ึน ท้งั หลายให้ยกทพั มาช่วยรบ ท้าวกุเรปันมีสารให้อิเหนาไปช่วย และบอกให้ระตู หมนั หยากาชบั ให้อิเหนาไปช่วยรบศึกที่กรุงดาหาให้ได้ แลว้ ให้ กะหรัดตะปาตียก ทพั ไปคอยสมทบั กบั ทพั อิเหนา กะหรัดปาตียกทพั ไปรอทพั อิเหนาที่ปากทางเมือง หมนั หยา ส่วนทพั เมืองกาหลงั ยกพลมาพบกบั ทพั เมืองสิงหดั ส่าหรี ซ่ึงสุหรานากงเป็น แม่ทพั นามา จึงสมทบพลยกไปยงั กรุงดาหาดว้ ยกนั ส่วนทา้ วกะหมงั กุหนิงเตรียมทพั ไปรบเพ่ือแยง่ บุษบา แต่โหรทกั ใหร้ ออีก ๗ วนั จึงค่อยเคล่ือนทพั ถา้ ไปก่อน ๗ วนั ท้งั พ่อและลูกชะตาจะถึงฆาต ทา้ วกะหมงั กุหนิงไม่ เช่ือฟังเพราะวา่ เตรียมทพั เสร็จแลว้ กลวั อายแม่ทพั นายกองท้งั ปวงจึงออกเดินทพั ไปกบั โอรสและนอ้ งชายถึงเมืองบุหราหงนั เมืองหนา้ ด่าน กรุงดาหา ระตูบุหราหงนั แจง้ ไปยงั กรุงดาหา แลว้ เตรียมป้องกนั เมือง รุ่งข้ึนเมืองบุหราหงนั ถูกตีแตก ทา้ วดาหาทราบข่าวศึกจึงเตรียมการต่อสู้ ใหท้ พั เมืองข้ึนอยนู่ อกเมืองต้งั ค่าย ป้องกนั เมืองเป็น ๒ ช้นั
ฝ่ ายระตูหมนั หยาไดร้ ับสารจากทา้ วกุเรปัน จึงบงั คบั ให้อิเหนายกทัพไปช่วย มิฉะน้นั จะไม่ยอมให้อยกู่ บั นางจินตะหรา อิเหนาจึงจาใจตอ้ งไปและไดฝ้ ากนางสกา ระวาตี และนางมาหยารัศมีไวก้ บั นางจินตะหรา อิเหนาไดอ้ อกเดินทพั ไปพบกบั ทพั กะหรัดตะปาตี จึงร่วมเดินทางไปดว้ ยกนั พอเขา้ เขต กรุงดาหาก็ให้ ตามะหงงไปทูลทา้ ดาหาว่าเสร็จศึกแลว้ จะเขา้ เฝ้า สุหรานากงยก กองทพั ออกมาสมทบกบั อิเหนา ทา้ วกะหมงั กุหนิงให้ยกทพั ออกรบกบั ทพั อิเหนาดว้ ยเขา้ ใจวา่ เป็นทพั จรกา เวลา ออกเดินทพั น้นั มีลางร้ายต่าง ๆ แสดงวา่ จะปราชยั เมื่อลงมือรบกนั แลว้ ทา้ วกะหมงั กหุ นิงทราบวา่ เป็นทพั ของอิเหนา รู้สึกเกรงกลวั อยู่ แต่ดว้ ยขตั ติยมานะจาใจตอ้ งสู้ ในการ เจรจาโตต้ อบกนั ไปมาน้นั วิหยาสะกาโกรธอิเหนาจึง ขบั มา้ ถือทวนออกมาจะรบกบั อิเหนา แต่สงั คามาระตาขบั มา้ ออกมารับ และฆ่าตายดว้ ยทวน ทา้ วกะหมงั กหุ นิงโกรธมากจึงขบั มา้ รบกบั อิเหนาเป็นเวลานาน ในท่ีสุดกล็ งจาก หลงั มา้ รบกนั ดว้ ยกริชและถูกอิเหนาแทงตาย กลบั สู่เมนูหลกั
คาประพนั ธ์ท่ีใชใ้ นเรื่อง อิเหนา คือ บทละครรา ลกั ษณะของบท ละครราน้นั นิยมแต่งเป็นกลอนมาแต่สมยั โบราณ อาจจะเป็นเพราะกลอน เป็ นคาประพันธ์ท่ีมีแบบแผนไม่ยุ่งยากเหมือนคาประพันธ์บางชนิด จานวนคาในวรรคมีไดต้ ้งั แต่ ๗ คาถึง ๙ คา จึงสามารถยืดหยนุ่ จานวน คาให้ส้ันหรือยาวรับกนั ไดพ้ อดีกบั การร้อง ซ่ึงจะตอ้ งมีการเอ้ือนเสียงไว้ จงั หวะ ท้งั ยงั ตอ้ งใหส้ อดคลอ้ งกบั ท่าราอยา่ งเหมาะเจาะงดงามอีกดว้ ย
การข้ึนตน้ กลอนบทละคร อาจใชค้ าไดต้ ้งั แต่ ๒ คาถึง ๔ คา คา ข้ึนตน้ ท่ีใช้ ๒ คา ไม่ตอ้ งส่งสัมผสั ไปยงั วรรคตอ่ ไป เช่น เม่ือน้นั พระโฉมยงพงศอ์ สญั แดหวา บดั น้นั จ่ึงมหาเสนาตามะหง คา “เม่ือน้ัน” ใชก้ บั ตวั ละครที่มีศกั ด์ิสูง คา “บัดน้ัน” ใชก้ บั ตวั ละครที่ไม่มีศกั ด์ิสูง
การข้ึนตน้ ๔ คา มีลกั ษณะคลา้ ยกบั การข้ึนตน้ บทดอกสร้อย คือมี คาวา่ “เอ๋ย” เป็นคาที่ ๒ คาแรกและคาที่ ๓ ซ้ากนั และคาสุดทา้ ยของ วรรคน้ีจะส่งสมั ผสั ไปยงั คาท่ี ๒ หรือคาท่ี ๕ ของวรรคต่อไปเช่น น่าเอ๋ยน่าหวั จริงแลว้ คะขา้ ชว่ั หาเล้ียงไม่ อายแก่ผสี างบา้ งเป็นไร นี่ใครใชใ้ หเ้ จา้ มาคบขา้ เม่ือจบความตอนหน่ึง จะกล่าวถึงเรื่องใหม่ใชค้ าข้ึนตน้ วา่ “มาจะ กลา่ วบทไป” เช่น มาจะกล่าวบทไป ถึงสุหรานากงเรืองศรี กลบั สู่เมนูหลกั
๑. โครงเร่อื ง ๑. แนวคดิ ของเร่อื ง เร่อื งอเิ หนา ตอนศึกกะหมงั กหุ นงิ เป็นเร่ืองทแ่ี สดง ใหเ้หน็ ถงึ ความรกั ของพ่อทม่ี ตี ่อลูก รกั และตามใจทกุ อย่าง แมก้ ระทงั่ ตวั ตายก็ ยอม ๒. ฉาก เน้ือเร่อื งกลา่ วว่าเป็นเร่อื งของชวา แต่การบรรยายในเร่ือง เป็น ฉากของไทย บา้ นเมอื งทก่ี ลา่ วพรรณนาไวค้ อื กรุงรตั นโกสนิ ทร์ วฒั นธรรม ประเพณีทป่ี รากฏในเร่อื งคอื เร่อื งของไทยทส่ี อดแทรกเอาไวอ้ ย่างมศี ิลป์ ๓. ปมขดั แยง้ อเิ หนา ตอนศึกกะหมงั กหุ นิง มหี ลายขอ้ ขดั แยง้ แต่ละปม ปญั หาเป็นเร่อื งทอ่ี าจเกดิ ไดใ้ นชวี ติ จรงิ และสมเหตสุ มผล เช่น ปมแรก คอื ทา้ วกเุ รปนั จะใหอ้ เิ หนาอภเิ ษกกบั บษุ บา แต่อเิ หนาหลงรกั จนิ ตะหรา ไมย่ อมอภเิ ษกกบั บษุ บา
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ปมทส่ี อง ทา้ วดาหาขดั เคอื งอเิ หนา ยกบษุ บาใหจ้ รกา ทาใหท้ า้ วกเุ รปนั และ พระญาตทิ ง้ั หลายไมพ่ อพระทยั ปมทส่ี าม ทา้ วกะหมงั กหุ นงิ ขอบษุ บาใหว้ หิ ยาสะกา แต่ทา้ วดาหายกใหจ้ รกา ไปแลว้ จงึ เกดิ ศึกชงิ นางข้นึ ปมทส่ี ่ี อเิ หนาจาเป็นตอ้ งไปช่วยทา้ วดาหา จนิ ตะหราคดิ วา่ อเิ หนาจะไป อภเิ ษกกบั บษุ บา จนิ ตะหราขดั แยง้ ในใจตนเอง หวนั่ ใจในสถานภาพของ ตนเอง ปมขดั แยง้ ทง้ั หมด ปมทส่ี ามเป็นปมปญั หาทส่ี าคญั ทส่ี ุดในตอนน้ี
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒. ตวั ละคร ๒.๑ ทา้ วกเุ รปนั (๑) เป็นกษตั รยิ ว์ งศเ์ ทวาผูย้ ง่ิ ใหญ่ครองเมอื งกเุ รปนั มอี นุชา ๓ องค์ ครองเมอื งดาหา กาหลงั และสงิ หดั สา่ หรี มโี อรสและธดิ ากบั ประไหมสุหรี คอื อเิ หนากบั วยิ ะดา มโี อรสกบั ลกิ ู หน่ึงองค์ คอื กะหรดั ตะปาตี ทา้ วกเุ รปนั เป็นคน ถอื ยศถอื ศกั ด์ิ ไมไ่ วห้ นา้ ใคร ไมเ่ กรงใจใคร เช่น ในราชสาสน์ ถงึ ระตูหมนั หยา กลา่ วตาหนิอย่างไมไ่ วห้ นา้ วา่ เป็นใจใหจ้ นิ ตะหราแย่งอเิ หนาจากบุษบา สอนลูก ใหย้ วั่ ยวนอเิ หนาเป็นเหตใุ หบ้ ษุ บารา้ งคู่ตนุ าหงนั ความจรงิ ทา้ วกเุ รปนั น่าจะเกรงใจทา้ วหมนั หยาบา้ ง เพราะถงึ อย่างไรจนิ ตะหราก็เป็นหลานของประไหมสุหรี และผูท้ ผ่ี ดิ ควรจะเป็นอเิ หนามากกวา่
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒.๒ ทา้ วดาหา (๑) เป็นอนุชาองคร์ องของทา้ วกเุ รปนั มรี าชธดิ ากบั ประไหมสุหรีชอ่ื บษุ บา ซง่ึ เป็นคู่ตนุ าหงนั ของอเิ หนา และมโี อรสองคเ์ ลก็ ชอ่ื สยี ะตรา เป็นคู่ตนุ าหงนั ของ วยิ ะดา ทา้ วดาหาเป็นผูท้ ห่ี ยง่ิ ในศกั ด์ศิ รี แต่ใจรอ้ น ไมค่ ดิ ถงึ ผลเสยี ทจ่ี ะตามมา ภายหลงั (๒) เป็นผูท้ ม่ี ขี ตั ตยิ มานะ เมอ่ื ไดป้ ระกาศไปวา่ จะยกบษุ บาใหใ้ ครกไ็ ด้ ทม่ี าสู่ขอ ครนั้ จรกามาสู่ขอก็รกั ษาวาจาสตั ย์ ยกบษุ บาใหจ้ รกา แลว้ แจง้ ไป กเุ รปนั กาหลงั และสงิ หดั สา่ หรี ทงั้ ๆ ทร่ี ูอ้ ยู่ว่า สามกษตั รยิ ไ์ มเ่ หน็ ดว้ ย
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒.๓ อเิ หนา (๑) เป็นโอรสของทา้ วกเุ รปนั กบั ประไหมสุรี เป็นชายหนุ่มรูปงาม เขม้ แขง็ เดด็ ขาด เอาแต่ใจตวั เจา้ ชู้ เก่งกลา้ สามารถ แต่ก็รูจ้ กั เกรงใจคน เช่น เมอ่ื ไดน้ าง สะการะวาตแี ละมาหยารศั มี กไ็ มก่ ลา้ ลว่ งเกนิ นาง เพราะรกั และเกรงใจจินตะ หรา ต่อเมอ่ื จนิ ตะหรายนิ ยอมจงึ ไดส้ องนางเป็นชายา (๒) เป็นคนด้อื ดงึ เอาแต่ใจตวั เช่น ไดร้ บั พระราชสาสน์ จากทา้ วกเุ รปนั ถงึ สองฉบบั กด็ ้อื ดงึ ไมย่ อมกลบั กเุ รปนั ไมย่ อมอภเิ ษกกบั บษุ บา ถึงกบั บอกวา่ ใครมาขอก็ใหเ้ ขาไป (๓) เป็นคนทเ่ี คารพเกรงกลวั บดิ า คอื ทา้ วกเุ รปนั แมจ้ ะด้อื ดึงเป็นบางครงั้ (๔) เป็นคนทม่ี อี ารมณล์ ะเอยี ดอ่อน เมอ่ื จากสามนาง เหน็ สง่ิ ใดก็คดิ ถงึ นางทง้ั สาม
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) (๕) เป็นคนทม่ี คี วามรบั ผดิ ชอบ รกั ชอ่ื เสยี งเกยี รตยิ ศวงศต์ ระกูล เมอ่ื เกดิ ศึก กะหมงั กหุ นิงแมจ้ ะเคยด้อื ดงึ เอาแต่ใจตวั แต่เมอ่ื ทราบขา่ วศึกกร็ บี ไปช่วย (๖) เป็นคนรูก้ าลเทศะ รูส้ านึกผดิ เมอ่ื ยกทพั มาดาหา ไมก่ ลา้ เขา้ เฝ้าทา้ วดาหา ทนั ที ขอพกั พลนอกเมอื ง และรบแกต้ วั ก่อน (๗) เป็นคนรอบคอบ มองการณไ์ กล ไมป่ ระมาท เช่น ตอนทส่ี งั คามาระตารบ กบั วหิ ยาสะกา อเิ หนาเตอื นวา่ สงั คามาระตาไมช่ านาญกระบ่ี อย่าลงจากหลงั มา้ เพลงทวนนน้ั ชานาญอยู่แลว้ จะเอาชนะไดง้ า่ ยกวา่
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒.๔ จนิ ตะหรา (๑) เป็นราชธดิ าของระตหู มนั หยากบั ประไหมสุหรี เป็นสวย แสนงอน มจี รติ กริ ยิ า (๒) เป็นคนเจยี มตวั ใจนอ้ ย พดู ดี มเี หตผุ ล (๓) เป็นคนเหน็ ใจผูอ้ น่ื เช่น ยอมใหอ้ เิ หนาไปรบั นางสะการะวาตแี ละนาง มาหยารศั มมี าอยู่ในวงั ดว้ ยกนั (๔) เป็นคนมคี วามรูส้ กึ ไว รบั รูไ้ ว แน่ใจว่าอเิ หนาไปแลว้ คงไม่กลบั เพราะการ ทม่ี คี นมาแย่งชงิ บษุ บา แสดงวา่ บษุ บาเป็นคนสวย เชอ่ื มนั่ วา่ ถา้ อเิ หนาพบบษุ บา แลว้ คงลมื ตนแน่ (๕) เป็นคนพดู จาไพเราะ
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒.๕ ทา้ วกะหมงั กหุ นิง (๑) เป็นกษตั รยิ เ์ มอื งกะหมงั กหุ นงิ มอี นุชาสององค์ คอื ระตูปาหยงั กบั ระตู ปะหมนั โอรสคอื วหิ ยาสะกา เป็นคนรกั ลูกยง่ิ ชวี ติ ยอมทาทกุ อย่างเพอ่ื ลูก แม้ ตวั เองจะตอ้ งตายก็ยอม (๒) เป็นคนตดั สนิ ใจเดด็ ขาด เดด็ เดย่ี ว กลา้ หาญในการรบ (๓) เป็นคนประมาทคาดการณผ์ ดิ ไมร่ ูจ้ กั วเิ คราะหฝ์ ่ายขา้ ศึก คือคาดวา่ อเิ หนาอยู่หมนั หยากาลงั เคอื งกนั อยู่ คงไมย่ กทพั มาช่วย
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๒.๕ วหิ ยาสะกา (๑) เป็นหนุ่มนอ้ ยรูปงาม โอรสองคเ์ ดยี วของทา้ วกะหมงั กหุ นิง เป็นทร่ี กั ของ พอ่ แม่ เอาแต่ใจตนเอง จะเอาอะไรตอ้ งได้ (๒) เป็นคนอ่อนไหว ขาดสติ เหน็ ภาพวาดของบษุ บาก็หลงใหล ครองสติ ไมไ่ ด้ (๓) เป็นคนทร่ี กั ศกั ด์ศิ รี มคี วามละอายแก่ใจทท่ี าใหพ้ อ่ แมเ่ ดอื ดรอ้ น
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๓. การพจิ ารณาคณุ ค่าดา้ นวรรณศิลป์ ๓.๑ การใชภ้ าษากระทบใจ สะเทอื นอารมณ์ และใหข้ อ้ คดิ เช่น (๑) “เจา้ ทกุ ขร์ อ้ นอย่างไรหลากใจนกั จงเลา่ ไปใหป้ ระจกั ษซ์ ง่ึ จาบลั ย์ หรอื มงุ่ มาดปรารถนาสง่ิ อนั ใด บดิ าจะหาใหด้ งั ใฝ่ฝนั เวน้ ไวแ้ ต่ดาวเดอื นตะวนั นอกนน้ั จะใหส้ มอารมณค์ ดิ ” ใชส้ านวนโวหาร ถอ้ ยคาไพเราะ กนิ ใจ กระทบอารมณใ์ หผ้ ูอ้ ่านสงสาร เหน็ ใจในความรกั ของพอ่ แม่
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) (๒) “ดงั่ หง่ิ หอ้ ยจะแขง่ แสงอาทติ ย์ เหน็ ผดิ ระบอบบรุ าณมา” เป็นคาพดู ของระตปู าหยงั กบั ระตปู ระหมนั กลา่ วแก่ทา้ วกะหมงั กหุ นงิ เป็น คาพดู ของคนทป่ี ระเมนิ กาลงั ของตนเอง รูต้ วั ดวี ่าเป็นระตูเมอื งเลก็ ๆ ไมอ่ าจสู ้ กษตั รยิ ว์ งศเ์ ทวาได้ เมอ่ื สูไ้ มไ่ ดก้ ไ็ มค่ วรจะสู ้ เป็นการใชภ้ าพพจนอ์ ปุ มา เปรยี บเทยี บไดด้ มี าก ถา้ ทกุ คนคดิ ก่อนทา ชวี ติ ก็คงจะไมม่ ปี ญั หาว่นุ วายสบั สน คาน้ีจงึ ตดิ ปากคนมาจนถงึ ทกุ วนั น้ี
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) (๓) “พด่ี งั พฤกษาพนาวนั จะอาสญั เพราะลูกเหมอื นกลา่ วมา” เป็นคาพดู ของทา้ วกะหมงั กหุ นิง ซง่ึ ใหค้ วามรูส้ กึ สะเทอื นใจ น่าสงสารหวั อกของคนทเ่ี ป็นพอ่ ความรกั ลูกทาใหท้ นไมไ่ ดท้ เ่ี หน็ ลูกมคี วามทกุ ข์ แมร้ ูต้ วั วา่ ไปรบครงั้ น้ีอาจจะตอ้ งตายก็ยอม เป็นภาพพจนอ์ ปุ มา เปรยี บเทยี บไดด้ มี าก เพราะ เปรยี บเทยี บกบั ธรรมชาตทิ เ่ี หน็ ไดช้ ดั คอื ตน้ ไมใ้ นป่าตน้ ใดมลี ูกมาก รสชาตอิ ร่อย กจ็ ะมที งั้ คนทง้ั สตั วต์ ่าง ๆ มาดงึ ท้งึ เอาลูกเอาผลไปกนิ โดยไม่ คานึงถงึ ตน้ บางครงั้ ก็หกั ก่งิ ฟนั ตน้ เพอ่ื เอาลูกเอาผล ตน้ ไมป้ ่าจงึ ตายเพราะลูก ผูพ้ ดู กลา่ วดว้ ยความรูถ้ งึ ชะตากรรมของตน แต่ก็ยอมตายเพราะลูก ใหข้ อ้ คดิ คตเิ ตอื นใจผูเ้ป็นลูกทงั้ หลาย ใหค้ ดิ ถงึ ความรกั ของพอ่ แม่ เพราะถงึ ใครจะรกั เรา แค่ไหนก็ไมเ่ ทา่ กบั ทพ่ี ่อแมร่ กั
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคด(ี ต่อ) ๓.๒ การใชภ้ าษาใหเ้ หน็ นาฏการ คอื เหน็ ภาพเคลอ่ื นไหว เช่น (๑) ชาวหนา้ ด่านดาหา บดั นน้ั ชาวเมอื งซง่ึ ประจาหนา้ ท่ี สอดแทงแยง้ ยงิ ไพรี ไมท่ อ้ ถอยคอยทตี า้ นทาน วางปืนตบั ตอบรอบค่าย คนรายรกั ษาหนา้ ด่าน ชกั ปีกกากนั้ ประจญั บาน ยกกระดานข้นึ ตง้ั บงั ตน บนหอรบเรยี งปืนใหญ่ยงิ บา้ งท่มุ ท้งิ หนิ ผาดงั ห่าฝน ตวั นายรายกากบั พวกพล ต่างคนคอยรบรบั ไว้
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) (๒) ทหารกะหมงั กหุ นงิ พวกทหารโหส่ นนั่ หวนั่ ไหว บดั นนั้ หนุนกนั ข้นึ ไปมากมาย คนื ขวา้ งเขา้ ไปในค่าย ยดั ปืนยนื ยงิ ชงิ ชยั เผาทาลายค่ายลอ่ หอคอย บา้ งวง่ิ ท้งิ ถอนขวากเขากวาง งวงควา้ งาแทงไมท่ อ้ ถอย เอาเชอื กฉุดจดุ คบเพลงิ ราย พงั ทบั ยบั ย่อยลงทนั ใด กองชา้ งขบั ชา้ งเขา้ งา้ งแย่ง กรุยแตะเสาไตใ้ หญ่นอ้ ย
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๓.๓ ใชค้ าบรรยายใหเ้ หน็ ภาพพจน์ เช่น การต่อสูร้ ะหวา่ งทา้ วกะหมงั กหุ นิง กบั อเิ หนา ผูอ้ ่านจะนึกถงึ ภาพท่าราอนั งดงามของอเิ หนา และทา้ วกะหมงั กหุ นิง ดงั น้ี เมอ่ื นน้ั ทา้ วกะหมงั กหุ นิงเรอื งศรี ไดฟ้ งั ช่นื ชมยนิ ดี ครงั้ น้ีอเิ หนาจะวายชนม์ อนั เพลงกรชิ ชวามลายู กูรูส้ นั ทดั ไมข่ ดั สน คดิ แลว้ ชกั กรชิ ฤทธริ ณ ร่ายราทากลมารยา กรขวานนั้ กมุ กรชิ กราย พระหตั ถซ์ า้ ยนน้ั ถอื เชด็ หนา้ เขา้ ปะทะประกรชิ ดว้ ยฤทธา ผดั ผนั ไปมาไมค่ รนั่ ครา้ ม
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) เมอ่ื นน้ั ระเด่นมนตรชี าญสนาม พระกรกรายฉายกรชิ ตดิ ตาม ไมเ่ ขด็ ขามครา้ มถอยคอยรบั หลบหลกี ไวว่องป้องกนั ผดั ผนั หนั ออกกลอกกลบั ปะทะแทงแสรง้ ทาสาทบั ย่างกระหยบั รกุ ไลม่ ไิ ดย้ งั้ เหน็ ระตูถอยเทา้ กา้ วผดิ พระกรายกรชิ แทงอกตลอดหลงั ลม้ ลงด่าวด้นิ ส้นิ กาลงั มอดมว้ ยชวี งั ปลดปลง
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) ๓.๔ รสวรรณคดี บทละครราเรื่องอิเหนานอกจากจะงดงามดว้ ยกระบวน กลอนและท่าราดงั กลา่ วแลว้ ยงั ถึงดว้ ยรสแห่งวรรณคดีท้งั ๔ รส ไดแ้ ก่ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พโิ รธวาทงั และสลั ลาปังคพิสัย เสำวรจนี คือ รสแห่งความไพเราะงดงามท่ีไดจ้ ากบทชมความงามต่าง ๆ เช่น ชมความงามของธรรมชาติ ความงามของตวั ละคร เคร่ืองแต่งกาย ชมความ งามของปราสาทราชวงั เป็นตน้ ตวั อย่ำง พกั ตร์นอ้ งละอองนวลปลงั่ เปล่ง ดงั่ ดวงจนั ทร์วนั เพง็ ประไพศรี อรชรออ้ นแอน้ ท้งั อินทรีย์ ดงั กินรีลงสรงคงคาลยั งามจริงพริ้งพร้อมท้งั สรรพางค์ ไม่ขดั ขวางเสียทรงที่ตรงไหน พิศพลางประดิพทั ธ์กาหนดั ใน จะใคร่ไปโอบอุม้ องคม์ า
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) นำรีปรำโมทย์ คือ รสแห่งความสาราญอารมณ์ท่ีไดจ้ ากบทโอโ้ ลม ปฏิโลม หรือบทรักเก้ียวพาราสี ระหวา่ งตวั พระกบั ตวั นาง ตวั อย่ำง เอนองคล์ งแอบแนบขา้ ง เชยปรางพลางประคองสองสม คลึงเคลา้ เยา้ ยวนสารวลรมย์ เกลียวกลมสมสวาทไม่คลาดคลา กรกอดประทบั แลว้ รับขวญั อยา่ ตระหนกอกส่นั นะโฉมฉาย ฤดีดาลซ่านจบั เนตรพราย ดงั สายสุนีวาบปลาบตา
กำรวิเครำะห์คุณค่ำวรรณคดี(ต่อ) พโิ รธวำทัง คือ รสแห่งอารมณ์โกรธที่ตวั ละครแสดงพฤติกรรมกา้ วร้าว ต่อกนั ตวั อย่ำง เม่ือน้นั สังคามารตาเรืองศรี ฟังวหิ ยาสะกาพาที ดงั ตรีเพชรบาดในอุรา จึงร้องวา่ เหวยไพรินทร์ ลมลิ้นหยาบคายนกั หนา มาถามไถไ่ ลเ่ อากิจจา คือจะปรารถนาสิ่งใด
สัลลำปังคพสิ ัย คือ รสแห่งความเศร้าโศก ทุกขร์ ะทมใจท่ีตวั ละครแสดง ออกมา ตวั อย่ำง ดว้ ยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมยส์ มสอง ไม่ต่าศกั ด์ิรูปชว่ั เหมือนตวั นอ้ ง ท้งั พวกพอ้ งสุริยว์ งศพ์ งศพ์ นั ธุ์ โอแ้ ต่น้ีสืบไปภายหนา้ จะอายชาวดาหาเป็ นแม่นมน่ั เขาจะค่อนนินทาทุกส่ิงอนั นางราพนั วา่ พลางทางโศกา กลบั สู่เมนูหลกั
กระยาหงนั = วมิ านสวรรคช์ ้นั ฟ้า กะระตะ = เร่งมา้ กิดาหยนั = ผมู้ ีหนา้ ท่ีรับใชใ้ กลช้ ิดพระเจา้ แผน่ ดิน กหุ นง = ก้นั หยนั่ = เขาสูง อาวธุ สาหรับเหน็บติดตวั ใบมีดต้งั แต่กน่ั ถึง ระตู = ปลายเท่ากนั มีคมท้งั สองขา้ ง แกว้ พกุ าม = เจา้ เมือง งาแซง = แกว้ อนั มีคา่ จากเมืองพกุ ามในพม่า เจียระบาด = ไมเ้ ส้ียมปลายแหลม วางเอนเรียงเป็นลาดบั สาหรับ ป้องกนั ขา้ ศึก ผา้ คาดเอวชนิดหน่ึง มีชายหอ้ ยท่ีหนา้ ขา
ตุนาหงนั = หม้นั บีกปู ระมาหนา = ภิกขกุ บั พราหมณ์ บีกู บีกู มาจาก ภิกขุ ประมาหนา มาจาก พราหมณะ อสญั หยา = เทวดา อะหนะ = คาเดียวกบั อานะ แปลวา่ บุตร ยหิ วา = ชวาใจ วหิ ลน่ั = ค่ายท่ีทาใหข้ ยบั รุกเขา้ ไปหาขา้ ศึกทีละนอ้ ย เสน่า = อ่านวา่ สะ-เหน่า ศสั ตราวธุ คลา้ ยมีด ใชส้ าหรับขวา้ ง โหมด = ผา้ ที่ทออยา่ งประณีตดว้ ยเสน้ ไหมประสมกระดาษเงิน กระดาษทอง เต่าร้าง = ชื่อตน้ ไมช้ นิดหน่ึง ตน้ คลา้ ยตน้ หมาก ผลเป็นทะลายเป็น พวง เต่าร้ัง หรือหมากคนั กเ็ รียก
หนงั สอื อา้ งองิ กรมวชิ าการ,กระทรวงศึกษาธกิ าร. หนงั สอื เรยี นภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี ๔ วรรณสารวจิ กั ษ.์ กรุงเทพมหานคร : คุรุสภา. ๒๕๔๔. ฐะปะนยี ์ นาครทรรพและคณะ. หนงั สอื เรยี นภาษาไทย ชน้ั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๔ เล่ม ๒. กรุงเทพมหานคร : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์ ๒๕๔๔. กลบั สู่เมนูหลกั
Search
Read the Text Version
- 1 - 47
Pages: