Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือประวัติศาสตร์-ตำบลนาสาร

หนังสือประวัติศาสตร์-ตำบลนาสาร

Published by alongkonnasan, 2021-11-28 17:49:33

Description: หนังสือประวัติศาสตร์-ตำบลนาสาร

Search

Read the Text Version

คำนำ ประวัตศิ าสตร์เป็นส่ิงที่นา่ สนใจ น่าค้นหา และเป็นสงิ่ ที่บอกเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตว่ามีเหตุการณ์ใด เกิดข้ึนบา้ ง ทั้งวิถีชีวติ วิถีชมุ ชน ความเป็นไปของสภาพแวดลอ้ ม ซึ่งขอ้ มลู ที่ผู้จดั ทำได้นำมาเผยแพรน่ ้ี เปน็ ประวตั ิของตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซง่ึ ตำบลนาสาร เปน็ ตำบลที่มคี วามสำคัญ ทางดา้ นประวตั ิศาสตรอ์ ันยาวนานรว่ มร้อยปี ประวตั ิความเป็นมาของชุมชน วฒั นธรรมท้องถ่ินซึ่งมีความ นา่ สนใจเป็นอยา่ งมาก ผู้จดั ทำจงึ ไดเ้ รยี บเรยี งข้อมูลต่าง ๆ ทน่ี า่ สนใจเกีย่ วกับตำบลนาสาร เพอ่ื เป็นการเผยแพ ร่คว ามรู้ และเป็นการบนั ทึกเร่ืองราวต่าง ๆ ทีเ่ กิดข้นึ ในตำบลนาสารให้คงอย่ตู ลอดไป ผจู้ ัดทำหวงั เปน็ อยา่ งยิง่ วา่ หนังสอื เล่มนี้จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ต่อไปในอนาคต หากเกิดข้อผิดพลาดประการใดต้องขออภัย มา ณ ทนี่ ้ดี ้วย คณะวศิ วกรสังคมตำบลนาสาร ผ้จู ัดทำ

กติ ติกรรมประกาศ หนังสือประวัติตำบลนาสารนส้ี ำเร็จได้ดว้ ยดีด้วยความกรุณาอย่างยงิ่ จากเทศบาลเมืองนาสาร และ คุณลกั ษณะหญิง เพชรชิต ที่ให้ยมื หนงั สอื 77 ปบี า้ นนาสารมาคัดลอกเร่อื งราวประวัติลงในหนังสือป ระวัติ ตำบลนาสาร รปู ภาพประกอบหนงั สือโดยคุณ พจนนั ท์ สทุ ธริ ักษ์ หนังสือเลม่ น้ีจะมีประโยชน์อยู่ไม่นอ้ ยเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในตำบลนาสารทำให้ท ราบถึง เรือ่ งราวประวัติอดตี ความเปน็ มาของแตล่ ะชุมชนในตำบลนาสาร คณะวิศวกรสังคมตำบลนาสาร ผจู้ ดั ทำ

สารบัญ หน้า เรอื่ ง ก คำนำ ข กติ ติกรรมประกาศ ค สารบัญ 5 ตำบลนาสาร 5 ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศ 5 แมน่ ้ำสำคัญ 5 ภูมิอากาศ 5 ทรพั ยากรธรรมชาติ 6 ลักษณะของแหลง่ น้ำ,ลักษณะของไม้และปา่ ไม้ 6 การคมนาคม 7 ประวตั ิความเป็นมาของชุมชน 19 โครงสร้างของชุมชน 20 โครงสรา้ งด้านเศรษฐกิจและอาชพี 28 สภาพทางเศรษฐกิจในปัจจบุ นั 29 ความเชอื่ ประเพณแี ละพิธกี รรม 30 สถานทสี่ ำคัญ 34 การเปลยี่ นแปลงทางสงั คมและวฒั นธรรม 38 การดำเนนิ งานโครงการยกระดับเศรษฐกจิ และสงั คมรายตำบลแบบบูรณาการ 40 การพัฒนาสมั มาชีพและสร้างอาชพี ใหม่ (การยกระดับสนิ ค้าOTOP/อาชีพอน่ื )

ตำบลนาสาร ขนาดและทีต่ ้ัง มพี ื้นที่ 67.13 ตารางกโิ ลเมตร อาณาเขต ทศิ เหนือ จดตำบลควนสุบรรณและอำเภอบา้ นนาเดมิ ทิศใต้ จดตำบลคลองปราบ ทศิ ตะวันออก จดตำบลลำพนู ทศิ ตะวันตก จดตำบลน้ำพู ลักษณะภูมปิ ระเทศ ลักษณะของพืน้ ท่ีโดยทั่วไป เป็นที่ราบลุ่มและทีร่ าบเชิงเขา มีภูเขาภายในบริเวณเขตเทศบาล มลี ำหว้ ยหลายแหง่ และมลี ำคลองฉวางไหลผา่ นกลางตัวเมอื ง จากทศิ ตะวนั ออกไปสทู่ ิศตะวนั ตก สว่ นทีร่ าบสงู มเี พยี งเล็กน้อย แมน่ ำ้ สำคญั คลองฉวาง มีต้นกำเนิดมาจากเขาหนองไหลผ่าน 4 ตำบล ผา่ นตำบลเพ่มิ พนู ทรัพย์ เขตเทศบาลเมือง นาสาร ไปทางทศิ ตะวนั ตกสตู่ ำบลนำ้ พุ ไปออกสู่แม่นำ้ ตาปีทบ่ี ้านปากหวาน ตำบลทา่ ชี ความยาว ประมาณ 50 กิโลเมตร ภูมิอากาศ พนื้ ทีข่ องเทศบาลเมอื งนาสาร ต้ังอยทู่ างทศิ ตะวันตกของจังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี ไดร้ ับอิทธิพลจากลม มรสมุ ตะวันออกเฉียงเหนือทพ่ี ดั ผา่ นอา่ วไทย และมรสุมตะวนั ตกเฉยี งใต้จากมหาสมุทรอินเดีย จึงท ำให้มชี ว่ ง ฤดูฝนที่ยาวนานระหวา่ งเดอื นพฤษภาคมถึงเดอื นมกราคม ทรพั ยากรธรรมชาติ ลักษณะของดิน มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแกก่ ารเพาะปลกู พืชทางการเกษตร เชน่ เงาะ ทุเรียน มงั คุด ปาลม์ และอน่ื ๆ และประกอบกับเปน็ ดินที่อดุ มไปด้วยแรธ่ าตุต่าง ๆ เช่น แร่ดบี กุ แร่ยิปซั่มเป็นตันโดยมี พื้นที่เหมืองแร่เก่า ส่วนใหญ่อยู่บริเวณชมุ ชนห้วยมุด ปัจจุบนั ได้เลิกกิจการมีชาวบ้านเข้าครอบครอง ตั้งบา้ นเรอื นอยู่อาศัยและปลูกยางพารา บางสว่ นเทศบาลได้สงวนไว้เพื่อใช้เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น สร้างสวนสาธารณะสร้างสนามกีฬา เปน็ ต้น

ลักษณะของแหล่งนำ้ 1. หนอง บงึ จำนวน 3 แหง่ - หว้ ยมดุ คดิ เป็นพื้นท่กี กั เกบ็ นำ้ ประมาณ 400,000 ลา้ นลกู บาศก์เมตร - เหมืองแกะ คดิ เป็นพ้ืนท่ีกักเกบ็ นำ้ ประมาณ 440,000 ล้านลกู บาศกเ์ มตร - ขุนทองหลาง คิดเป็นพ้ืนท่กี กั เก็บน้ำประมาณ 120,000 ลา้ นลูกบาศกเ์ มตร 2. คลอง ลำธาร ห้วย จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ คลองฉวาง และห้วยนาโตน ลักษณะของไม้และป่าไม้ พื้นที่ป่าได้แก่ ป่าห้วยมดุ ป่าเหมืองแกะ ซึ่งเปน็ พ้ืนทีห่ มดสภาพปา่ มีราษฎรเข้าครอบครองปลูกยางพาราและสวนไม้ผล ตั้งอยู่บริเวณชุมชนห้วยมุด ชุมชนเหมืองแกะ ชมุ ชนวงั หล้อ การคมนาคม เทศบาลเมอื งนาสารมีความสะดวกในการคมนาคมขนส่งติดตอ่ ทั้งภายในเขตเทศบาลและต ำบล ใกลเ้ คียง ตลอดจนอำเภอและจงั หวัดอนื่ ๆ โดยทางรถยนตแ์ ละทางรถไฟ คอื ทางรถยนต์ โดยทางหลวงแผน่ ดินหมายเลข 4009 ไปอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี อำเภอเวยี งสระ ทาง หลวงแผน่ ดินหมายเลข 41 (ถนนสายเอเชีย) ไปอำเภอทุ่งสง จงั หวดั นครศรธี รรมราช อำเภอพนุ พนิ จังหวัด สรุ าษฎรธ์ านี จังหวัดชมุ พร ทางรถไฟ ในเขตเทศบาลมีรถไฟผ่านและมสี ถานีรับ – ส่ง ผูโ้ ดยสารถงึ 2 สถานี คอื สถานีรถไฟนาสาร และสถานีรถไฟหว้ ยมุด

ประวัตคิ วามเป็นมาของชมุ ชน นาสาร เปน็ ตำบลแหง่ หนง่ึ อยูใ่ นทอ้ งทอ่ี ำเภอบ้านนาสาร จงั หวัดสุราษฎร์ธานี เนือ่ งจากเป็นท้องที่ ที่อุดมสมบูรณไ์ ปด้วยพืชพันธุ์ธญั ญาหาร และแร่ธาตุ จงึ มีประชากรตา่ งถ่นิ เคล่อื นยา้ ยมาต้ังบา้ นเรอื นทำมาหา กิน เช่น ทำกจิ การเหมอื งแร่ ทำสวนยางพารา สวนผลไม้ ทำใหต้ ำบลนาสารมีประชากรหนาแน่น การค้า เจริญรุง่ เรือง เศรษฐกจิ โดยรว่ มดีขึน้ ตามลำดับ พร้อมทงั้ ยังเปน็ ท่ตี ง้ั ของส่วนราชการและสถานศึกษ าด้วย องคป์ ระกอบดังกล่าวในปี พ.ศ. 2483 ได้มีพระราชกฤษฎีกาจดั ตัง้ เทศบาลตำบลนาสารขน้ึ เพอื่ ความสะดวก ในบรหิ ารและการปกครอง แต่เนื่องจากมพี ้ืนที่กว้างขวางเกินกว่าทีจ่ ะปกครองควบคมุ ดูแลได้ทัว่ ถงึ ดงั นัน้ ในปี พ.ศ. 2484 มีพระราชกฤษฎีกาเปลย่ี นแปลงเขตเทศบาลตำบลนาสาร คงเหลือพ้ืนท่ีทั้งหมดจนถึง ปัจจุบัน 67.13 ตารางกิโลเมตร ต่อมาเมือ่ วันที่ 13 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2547 ได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทย เปลี่ยนแปลงฐานะเทศบาลตำบลนาสารเปน็ เทศบาลเมอื งนาสาร ตำบลนาสาร แบ่งเปน็ 25 ชุมชน ดงั นี้ 1. ชุมชนเหมอื งแกะ ประวตั ชิ มุ ชนเหมืองแกะ ชุมชนเหมอื งแกะ เปน็ 1 ใน 25 ชุมชนของเทศบาลเมอื งนาสาร อ.บา้ นนาสาร จ.สุราษฎร์ ธานี เรมิ่ กอ่ ตัง้ มาไมท่ ราบแนช่ ดั ประมาณเกอื บ 100 ปี เหน็ จะได้ โดยใชช้ ือ่ “เหมอื งแกะ” มาตั้งแต่ ต้น ท่มี าของชอ่ื ชมุ ชนในอดตี มีการทำเหมืองแรด่ ีบุก โดยชาวจีน มาเลเซีย พ้นื ทีโ่ ดยรวมเคยเป็นป่า เมอื่ มกี ารก่อต้งั เหมืองแร่จะต้องมีการเซน่ ไหวด้ ว้ ย หมู ไก่ เปด็ แตช่ าวบา้ นมคี วามเช่อื ว่าเจ้าที่ไม่รับ ของเซ่นไหว้ จึงตอ้ งเซ่นไหว้ดว้ ย “แกะ” จึงเป็นท่มี าของชื่อ “เหมอื งแกะ” คนกลุ่มแรกทเ่ี ข้ามาต้ัง หมู่บ้านกค็ อื คนท่ีมาทำงานในเหมอื งแรน่ นั้ มีทั้งคนในทอ้ งถ่นิ และคนทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ

2. ชมุ ชนขนุ ทองหลาง ประวัติความเป็นมา เดมิ ทกี ารหกั ร้างถางป่า เพ่อื ทำไรป่ ลูกข้าว ทำสวนยางพารา สวนผลไม้ มคี นมาอาศัยใน ชมุ ชนไม่ก่คี รัวเรือน หาไมฟ้ นื ของป่าไปขาย ตอ่ มามกี ารใหส้ มั ปทานเหมืองแรด่ บี กุ จงึ มีกลุ่มคนจาก ตา่ งถนิ่ เขา้ มาทำมาหากิน รับจา้ งเปน็ คนงานในเหมือง เมือ่ หยุดการทำเหมืองแร่แล้ว บางคนกไ็ ด้จับ จองที่ดนิ ในละแวกใกล้เคียงทำสวนยางพารา ทำสวนผลไม้ สร้างความเจริญในชุมชนขน้ึ เร่ือย ๆ ตาม ความเชื่อและการเล่าต่อ ๆ กนั มา แตข่ าดการบนั ทึกไวเ้ ป็นหลักฐาน ชุมชนขนุ ทองหลาง มสี ิง่ ท่ีชาว ชมุ ชนและคนละแวกใกลเ้ คียงเคารพนบั ถือและใหค้ วามศรทั ธา ความเชอื่ ในส่ิงศกั ด์ิสทิ ธ์ คือ “พอ่ ตา ขนุ ” เลา่ กนั ว่า ใครมเี รื่องเดือดร้อน หากว่าไม่ผดิ ทำนองคลองธรรมแล้ว ไปบนบานศาลกลา่ วกับทา่ น แลว้ จะประสบผลสำเรจ็ ทุกวันน้ไี ด้มกี ารสรา้ งศาล “พอ่ ตาขุน” ไวใ้ นชุมชนขุนทองหลาง มผี คู้ นไป สกั การะเสมอมา เม่ือมกี ารเลิกสมั ปทานเหมืองแร่ ผคู้ นทเี่ คยทำงานและอาศัยอยู่ในชมุ ชนก็พากนั ไปหาท่ีทำกนิ ประกอบกิจการค้าขายในตลาดนาสาร เหลอื เพยี งบางครัวเรอื นที่ประกอบอาชีพทำสวนย างพ ารา และสวนผลไม้ และมีผคู้ นอพยพมาจากจงั หวัดนครศรธี รรมราช มาจับจองท่ีดนิ ทำการเกษตรและตั้ง รกรากเป็นครัวเรอื นในชุมชนจนถึงปจั จบุ ันนี้ มคี ณะกรรมการบรหิ ารชมุ ชนหลายสมยั ชว่ ยกันบริหาร ชมุ ชน สร้างความเจริญสืบต่อกันมา ขณะนีบ้ า้ นเมอื งเจริญขึ้นจากการพฒั นาของเทศบาลเมืองนาสาร ชมุ ชนขุนทองหลางจึงเป็น แหลง่ เศรษฐกจิ ทางการเกษตรท่ีสำคัญของเมืองนาสาร 3. ชุมชนซอยร่วมใจ ประวตั ิ ชมุ ชนซอยร่วมใจ ประมาณปี พ.ศ. 2465 ได้มีชาวจนี เชอ่ื สายไทย ชอ่ื นายเจยี กลุ ซอ หยกุ ซอ้ ย และครอบครัว ไดม้ าอาศยั อยู่ในบริเวณทเ่ี ปน็ ชมุ ชนซอยรว่ มใจในปัจจบุ ัน เขา้ มาทำมาหากิน เล้ียงชพี ด้วยการปลกู ผกั และทำการเกษตร ซ่งึ ดินในชุมชนซอยรว่ มใจในอดีตเป็นดนิ ที่มคี วามอุดมสมบูรณ์เหมาะใ นก าร เพาะปลูกเปน็ อย่างมาก พชื ผกั ทน่ี ายเจียกลุ ซอปลูก จงึ มคี วามอดุ มสมบูรณเ์ ป็นที่ตอ้ งการของตลาด เปน็ อย่างมาก ต่อมา นายเจียกุลซอไดช้ กั จูงเพอื่ น ๆ เข้ามาอาศัยอยู่อีกหลายครอบครวั ซึง่ สมยั น้ันมี ร้อยโทเขยี ว พูลศิริ เปน็ นายกเทศมนตรีตำบลนาสาร เหน็ วา่ ในบริเวณดังกล่าวนี้ มปี ระชาชนเข้ามา อาศัยอยเู่ ป็นจำนวนมาก จงึ ไดป้ ระชมุ ชาวบา้ นเพ่อื จดั ตั้งชื่อซอยถนนหรือซอย ชาวบ้านที่ เข้าร่วม ประชมุ เหน็ ว่าพ้ืนทที่ ่ีตนอาศัยอยูจ่ ะมารวมตัวรวมใจกันเพื่อทำการพฒั นากันอย่เู ปน็ ประจำ จึงมีมติให้ ชื่อวา่ “ซอยรว่ มใจ” ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2529 นายนุกลู เวยี งวีระ นายกเทศมนตรีในสมัยนนั้ ได้แตง่ ตั้ง ใหเ้ ป็นชุมชนซอยรว่ มใจตง้ั แต่นนั้ มาจนถึงปัจจุบนั โดยมี นายชม สนิ ไชย เปน็ ประธานชุมชนคนแรก

4. ชุมชนอู่มาด ประวตั ชิ ุมชนอู่มาด ความเป็นมาของ “บ้านอูม่ าด” คนเฒ่าคนแกเ่ ลา่ ต่อกนั มาว่า เดิมบริเวณบา้ นอู่มาดมีหนอง น้ำขนาดใหญอ่ ยแู่ ห่งหนึ่ง ซง่ึ เชือ่ มต่อกบั คลองฉวาง และได้มเี รอื มาลำหน่งึ แลน่ มาตามลำคลองฉวาง เขา้ มาในหนองน้ำและได้เกิดล่มในหนองน้ำแห่งนี้ชาวบ้านจงึ ไดเ้ รยี กบรเิ วณน้วี ่า “บ้านอูม่ าด” ซึ่ง หนองน้ำดงั กล่าวยงั ไดป้ รากฏรอ่ งรอยอยู่ แต่กลายสภาพเปน็ ปา่ สาคูและตน้ื เขนิ มาก เดิมบา้ นอู่มาด จะมอี าณาเขตบรเิ วณครึง่ หนง่ึ ของพืน้ ท่ชี มุ ชนสวนมังคุดในปจั จบุ ัน ตอ่ มาได้ขยบั ขยายบกุ เบกิ พื้นทไ่ี ด้ ทำนา ทำสวน ออกไป ในบริเวณทเี่ ป็นปา่ รกรา้ งเดิม เรียกว่า “บา้ นหัวนอน” โดยครอบครัวแรกท่เี ขา้ ไปบกุ เบิกคือ ครอบครัวนายโรย รกั ชาติ และไดม้ คี รอบครัวอื่น ๆ ตามกนั มา จนกลายเปน็ ชุมช นอู่มาดมาถึง ในปัจจบุ ัน 5. ชุมชนหน้าสถานรี ถไฟ ประวัตขิ องชมุ ชนหน้าสถานรี ถไฟ ชมุ ชนหนา้ สถานรี ถไฟ เปน็ ช่อื ทที่ างการตงั้ ข้ึนตามชอ่ื ถนน เน่อื งจากเปน็ ชมุ ชนอยหู่ นา้ สถานี รถไฟบา้ นนาสาร ชาวบา้ นจึงเรียกกนั เร่ือยมา ชมุ ชนหน้าสถานีรถไฟ มีเงาะโรงเรียนต้นแรก เมื่อปี พ.ศ. 2468 โดยชาวจีน สญั ชาติมาเลเซยี ชือ่ นายเค หว่อง มีภมู ลิ ำเนาอย่ทู ่ปี ีนัง ได้นำเมล็ดพนั ธเ์ุ งาะ มาปลูกขา้ งบา้ นพกั ปรากฏว่ามเี งาะต้นหนง่ึ มีลกั ษณะต่างออกไป นัน่ คือ รปู ผลค่อนข้างกลม เนื้อ หวาน กรอบ ลอ่ น เปลือกบาง หอม รสชาตอิ ร่อย ในปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภมู ิพลอดลุ ยเดชได้เสด็จพระราชดำเนิน เพอ่ื เยย่ี มเยียนพสกนกิ รจังหวัดสุราษฎรธ์ านี นายชัช อุตตมาง กรู ผู้นำชาวสวนเงาะไดท้ ลู เกลา้ ฯ ถวายเงาะโรงเรียน และขอพระราชทานชื่อพนั ธุเ์ งาะนเี้ สียใหม่ จงึ ได้ ชื่อว่า “เงาะโรงเรียน” อย่างเป็นทางการ เมื่อนายเค หว่อง เลิกล้มกิจการเหมืองแร่ไป ในปี พ.ศ. 2497 ไดข้ ายทีด่ นิ จำนวน 18 ไร่ พร้อมบา้ นพกั แกก่ ระทรวงศกึ ษาธกิ าร ซ่งึ ได้ใชป้ รบั ปรุงเป็น สถานที่เรยี น เรยี กวา่ “โรงเรยี นนาสาร” ตัง้ แตเ่ มือ่ วันท่ี 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 ชมุ ชนหนา้ สถานีรถไฟ เดิมมโี รงพยาบาลบา้ นนาสารอยูใ่ นละแวกเดยี วกัน แตเ่ ม่อื วนั ท่ี 22 มถิ นุ ายน พ.ศ. 2527 ไดเ้ กิดเหตุการณเ์ พลิงไหมโ้ รงพยาบาล จากนน้ั โรงพยาบาลกไ็ ด้ยา้ ยไปตงั้ อยู่ที่ ชุมชนคลองหา ถนนนาสาร - สรุ าษฎร์ธานี และได้จดั ตงั้ หน่วยควบคุมโรคติดต่อแมลงท่ี 4 และ สาธารณสุขอำเภอบ้านนาสารจากนนั้ ในปี พ.ศ. 2537 บรษิ ทั ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ไดเ้ ข้า มาดำเนินการกอ่ สร้างศูนย์จำหน่ายปูนตราทีพีไอขึ้นและเมื่อปี พ.ศ. 2547 ทางชุมชนได้เสนอ โครงการของบประมาณจากทางเทศบาลตำบลนาสาร ในการจัดสรา้ งศาลาอเนกประสงค์ชุมชนหน้า สถานีรถไฟ เพ่ือใชท้ ำกิจกรรมตา่ ง ๆ ของชุมชน

6. ชมุ ชนคลองหา ประวตั ิชมุ ชนคลองหา ชุมชนคลองหาเดิมทเี ป็นพีน้ ทป่ี ่าทบึ ยังไม่เป็นหมบู่ า้ น เริม่ จากเกดิ หมูบ่ า้ นนาเตรียะข้ึนก่อน เมื่อคนในหมบู่ ้านนาเตรียะแตง่ งานมคี รอบครวั หลาย ๆ ครอบครวั จึงแยกออกมาทำมาหากนิ ในพ้ืนท่ี ป่าทบึ (ชุมชนคลองหาในปจั จุบนั ) ตรงสามแยกห้วยมดุ เดิมเป็นจดุ รวมของหมูบ่ ้านในอดตี ชาวบ้าน พบลำคลองหน่ึงสายซ่ึงเปน็ ปลายคลอง ชาวบา้ นสงสยั ว่า ต้นน้ำคลองสายนี้มาจากที่ใดเพ ราะมภี ูเขา กัน้ อยูจ่ งึ ช่วยกนั ตดั หญ้า หาลำคลองท่ีเป็นต้นนำ้ จงึ ใช้ช่ือหมู่บา้ นว่า “บา้ นคลองหา”ในอดีตตรงสาม แยกหว้ ยมุดมีศาลาหลงั ใหญเ่ ปน็ ทปี่ ระชมุ ของประชาชนในหมู่บา้ น เม่ือมีหมู่บา้ นนาเตรียะและหมบู่ า้ น คลองหาขน้ึ แตย่ งั ถอื วา่ เปน็ หมบู่ ้านเดยี วกนั ต่อมาตั้งเปน็ ชุมชนเดยี วกัน ใช้ชือ่ ว่า “ชุมชนคลองหา – นาเตรียะ” ประธานชมุ ชนคนแรกคอื “นายสนิ ยงั พัฒน์” เม่อื มกี ารประชมุ กจ็ ะใชส้ ถานที่โรงเรียน บ้านคลองหา – นาเตรยี ะ (โรงเรยี นเทศบาล 3) เป็นศูนยก์ ลางการประชุม ตอ่ มาหลายคนในชุมชน เหน็ ว่าชุมชนคลองหา – นาเตรียะเปน็ ชุมชนทีก่ วา้ ง และมจี ำนวนประชากรมาก คณะกรรมการชมุ ชน และประชาชนในชุมชน จงึ ลงความเหน็ วา่ ควรแยกเป็น ๒ ชมุ ชน คือ ชุมชนคลองหา และชุมชน นาเตรยี ะจนถึงปัจจุบนั 7. ชมุ ชนห้วยมดุ 1 ประวัตชิ ุมชนหว้ ยมุด 1 เดมิ ชมุ ชนห้วยมุดเปน็ เขตปา่ สงวนเสอื่ มโทรมและได้รับสมั ปทานให้ทำอาชพี การทำเหมืองแร่ ดบี กุ โรงเล่ือยบญุ ชัย โรงงานอาบน้ำยางไมห้ มอนรถไฟ ป่าไม้ ประชาชนในพนื้ ทีม่ าจากการอพยพจาก หลายจังหวดั เข้ามาอยู่เพือ่ ประกอบอาชีพ ซึ่งประชาชนสว่ นใหญ่มาจากอำเภอปากพนงั จังหวัด นครศรธี รรมราช อำเภอไชยา จงั หวดั สุราษฎร์ธานี และอำเภอหลงั สวน อำเภอฉวี จังหวัดชุมพร รวมทง้ั ประชาชนภาคอสี าน มารวมตัวกันเพ่อื ประกอบอาชพี รับจ้าง ทำให้เกดิ เป็นชุมชนใหญ่และมี หลากหลายอาชีพ และต่อมาได้มีการแบ่งเขตการปกครองจากห้วยมดุ ทีเ่ ปน็ ชุมชนใหญ่ เป็น 3 ชุมชน น่นั คือ ชมุ ชนห้วยมดุ 1 ชมุ ชนหว้ ยมดุ และชุมชนห้วยมดุ 3 ในวันท่ี 17 พฤศจกิ ายน 2547 8. ชมุ ชนห้วยมดุ 2 ประวตั ชิ ุมชนหว้ ยมดุ 2 เดมิ ชมุ ชนหว้ ยมดุ เป็นเขตป่าสงวนเสือ่ มโทรมและได้รับสัมปทานให้ทำอาชีพการทำเหมืองแร่ดีบุก โรงเลอื่ ย บญุ ชยั โรงงานอาบนำ้ ยางไมห้ มอนรถไฟ ปา่ ไม้ ประชาชนในพน้ื ที่มาจากการอพยพจากหลายจังหวัดเขา้ มาอยู่ เพื่อประกอบอาชีพ ซ่งึ ประชาชนส่วนใหญม่ าจากอำเภอปากพนงั จงั หวัดนครศรีธรรมราช อำเภอไชยา จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี และอำเภอหลังสวน อำเภอฉวี จังหวัดชมุ พร รวมท้ังประชาชนภาคอสี าน มารวมตัวกันเพื่อ ประกอบอาชีพรับจา้ ง ทำให้เกิดเปน็ ชุมชนใหญ่และมีหลากหลายอาชีพ และต่อมาได้มีการแบ่งเขตการ ปกครองจากหว้ ยมุดที่เปน็ ชมุ ชนใหญ่ เป็น เป็น 3 ชุมชน นั่นคือ ชุมชนห้วยมดุ 1 ชุมชนหว้ ยมุด และชุมชน ห้วยมดุ 3 ในวันท่ี 17 พฤศจกิ ายน 2547

9. ชมุ ชนห้วยมดุ ๓ ประวัตชิ ุมชนหว้ ยมุด ๓ เดิมชุมชนหว้ ยมุดเป็นเขตป่าสงวนเส่ือมโทรมและไดร้ บั สมั ปทานให้ทำอาชพี การทำเหมืองแร่ ดีบุก โรงเลอ่ื ยบญุ ชัย โรงงานอาบนำ้ ยางไมห้ มอนรถไฟ ปา่ ไม้ ประชาชนในพน้ื ท่ีมาจากการอพยพจาก หลายจงั หวัดเขา้ มาอยเู่ พื่อประกอบอาชีพ ซ่งึ ประชาชนส่วนใหญ่มาจากอำเภอปากพนงั จังหวัด นครศรธี รรมราช อำเภอไชยา จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี และอำเภอหลังสวน อำเภอฉวี จังหวัดชุมพร รวมทง้ั ประชาชนภาคอสี าน มารวมตัวกันเพื่อประกอบอาชีพรบั จ้าง ทำใหเ้ กดิ เป็นชุมชนใหญ่และมี หลากหลายอาชพี และตอ่ มาไดม้ กี ารแบง่ เขตการปกครองจากหว้ ยมุดทเ่ี ป็นชุมชนใหญ่ เป็น ๓ ชมุ ชน นนั่ คอื ชมุ ชนห้วยมดุ ๑ ชมุ ชนห้วยมดุ ๒ และชมุ ชนหว้ ยมุด ๓ ในวนั ที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๗ 10. ชมุ ชนพลู ศริ ิ ประวัตชิ ุมชนพูลศริ ิ ชุมชนพูลศริ ิ ตั้งอย่ทู างทิศใตข้ องทีว่ า่ การอำเภอบ้านนาสาร ระยะทางประมาณ ๒ กิโลเมตร มีถนนรถไฟถนนสายหลกั นาสาร – บา้ นสอ้ ง ชอ่ื ถนนพลู ศิริ ผา่ นกลางชมุ ชน คำวา่ “พูลศริ ิ” เป็น นามสกุลของร.ท.เขยี ว พูลศริ ิ อดตี นายกเทศมนตรตี ำบลนาสาร ซงึ่ เปน็ ผูด้ ำเนนิ การสร้างถนนสายนี้ ในขณะนั้น เดิมชมุ ชน พลู ศริ มิ ีช่ือเรียกวา่ บา้ นสะพานสอง และบา้ นสะพานหนง่ึ (ปัจจบุ ันบ้านสะพาน หนึ่งแยกเป็นชุมชนใหม่ชื่อว่า ชุมชนสะพานหนึ่ง) ต่อม าสมัยที่ นายนุกูล เวียงวีระ เป็น นายกเทศมนตรีตำบลนาสาร ได้มกี ารจดั ต้งั ชมุ ชนตา่ ง ๆ ขน้ึ ในเขตเทศบาลตำบลนาสาร จึงมีชุมชน พูลศริ ิเกดิ ขน้ึ มกี ารแตง่ ตงั้ ให้ นายผิน ปลอดอักษร เปน็ ประธานชุมชนคนแรก ตอ่ มามกี ารแตง่ ตัง้ และ เลือกต้ังประธานชุมชนมาโดยตลอด 11. ชมุ ชนสะพานหน่ึง ประวัติชมุ ชนสะพานหน่ึง ชุมชนสะพานหนึ่ง เปน็ ช่อื ท่ปี ระชาชนในชมุ ชนสะพานหนึ่งต้ังขนึ้ เนื่องจากอดีตพืน้ ที่บริเวณ นี้มีคลองแวะไหลผา่ น ประชาชนในพื้นท่ีเรียกว่า “สะพานหนึ่ง” ซง่ึ เดิมอยใู่ นชุมชนพลู ศิริ ต่อมา จำนวนประชากรเพิ่มมากข้ึน นายโกศล ศุทธางกูร เปน็ นายกเทศมนตรีเมอื งนาสาร จึงจดั ตง้ั ชุมชน ในเขตเทศบาลเมอื งนาสารข้ึนใหม่อีก ๘ ชุมชน รวมทั้งชุมชนสะพานหน่ึงดว้ ย ซง่ึ เดมิ มีเพียง ๑๖ ชุมชน รวมชุมชนใหมด่ ้วยเป็น ๒๔ ชมุ ชน ในสว่ นของชมุ ชนสะพานหนงึ่ ได้แยกมาจากชมุ ชนพูลศิริ และเรยี กช่ือชมุ ชนใหมต่ ามช่อื คลองสะพานหนงึ่ ว่า “ชุมชนสะพานหนงึ่ ” มีการแต่งตัง้ ประธานและ คณะกรรมการบริหารชมุ ชนสะพานหน่งึ โดยมี นายพนม แซโ่ คว้ เปน็ ประธานคนแรก ประชากรในชุมชนสะพานหนึ่งส่วนมากเปน็ คนในท้องถน่ิ เดมิ อกี สว่ นหนงึ่ เปน็ คนทอ้ งถ่นิ อ่ืน ทม่ี าอาศัยอยูแ่ ละประกอบอาชีพหลายอาชีพในชุมชน ซึ่งสว่ นใหญ่เปน็ อาชีพรับจ้าง อาชีพก่อสร้าง และคา้ ขายเปน็ สว่ นใหญ่ มีวฒั นธรรมและประเพณที ่หี ลากหลาย

12. ชุมชนนายาง ประวตั ิชุมชนนายาง บ้านนายางกอ่ ตงั้ เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๐ พืน้ ท่บี ้านนายางเป็นป่าไม้คุ้มครอง เปน็ พื้นท่ี ราบประมาณ ๒/๓ ของพน้ื ท่ที ัง้ หมด มีต้นไม้ใหญม่ ากมาย มีไมย้ างประมาณ ๖๐ % ของพื้นท่ีป่า มไี มต้ ะเคียน ไม้ตะแบก อนิ ทนนิ และอื่น ๆ อีกมากมาย มีสตั วป์ า่ มากมาย เช่น เสอื และชา้ งอยู่เป็น โขลง ชาวบา้ นตำบลท่าชเี ข้ามาแผ้วถาง ปลูกข้าว ทำไร่เลอ่ื นลอย ต่อมาทางราชการเปิดใหม้ ีการสมั ปทานปา่ ไม้ในเขตพนื้ ท่ี นายพรอ้ ม แกว้ อำรัตน์ ไดส้ ัมปทาน และทำการถอนต้นไมใ้ นเขตพ้ืนท่ีนี้ การนำไมอ้ อกจากพื้นท่ี ตอ้ งชักลากด้วยช้าง (เรยี กว่าทางชัก) ไปลงที่คลองฉวาง ล่องไมไ้ ปผูกแพท่แี ม่น้ำตาปี เพ่อื นำไปขายท่ีตัวเมืองสุราษฎร์ธ านี ต่อมาทาง ราชการไดเ้ ปิดใหม้ กี ารจองพื้นทีบ่ ริเวณนค้ี นละ ๑๒ ไร่ และเขา้ มาอาศัยอย่ใู นพื้นทปี่ ระมาณ ๑๐ ครวั เรือน และตงั้ ชอ่ื ว่าบ้านนายาง พืน้ ทีส่ ว่ นใหญ่เปน็ พน้ื ทร่ี าบมหี นองนำ้ ใหญน่ ้อย เดมิ คือ หนองน้ำ นายาง หนองลำเจยี ก หนองชุมแสง หว้ ยหมืน่ ณรงค์ และคลองนกไข่ ประชากรส่วนใหญ่มีอาชพี ทำนา และปลกู ยางพารา เมื่อมปี ระชากรเข้ามาอาศัยอยู่มากข้ึน ไดม้ ีการตดั ถนนเขา้ มาในหมู่บา้ นประมาณ ปพี .ศ. ๒๕๐๐ โดยการนำของ พระครพู ศิ าลคุณาภรณ์ รว่ มกับชาวบา้ นช่วยกนั ทำถนน ต่อมานายฉาย คงที่ ไดบ้ ริจาคทด่ี นิ ประมาณ ๗ ไร่ เพ่อื สรา้ งโรงเรยี น บ้านนายาง ชาวบ้านได้รว่ มกนั สรา้ ง ๔ หอ้ งเรยี น เม่อื ปพี .ศ. ๒๕๐๒ ปจั จบุ ันโรงเรียนไดถ้ กู ยุบไปแล้ว 13. ชุมชนทงุ่ คาเกรยี น ประวตั ิชุมชนทุ่งคาเกรียน คนในอดตี การสรา้ งเมืองหรอื การสร้างถิน่ ฐานที่อยอู่ าศัยและทำมาหากิน จะยดึ เน้นให้อยใู่ กล้ แหล่งน้ำธรรมชาติหรือแม่นำ้ ลำคลอง ซง่ึ เปน็ ยทุ ธศาสตรใ์ นการกอ่ สร้างเมือง เพราะน้ำเป็นปัจจัย หลกั ในการดำรงชีวติ การคมนาคม การเกษตรและน้ำยังเปน็ ส่วนสำคัญในการทำยุทธศาสตร์ เพ่อื การ รบและปอ้ งกันประเทศดว้ ย บ้านทุ่งคาเกรยี นก็เปน็ ชมุ ชนนึ่งท่ตี ั้งถิน่ ฐานอย่ตู ดิ กบั คลองสายหนง่ึ ชื่อว่า “คลองฉวาง” ซึ่ง ลำคลองสายนีไ้ หลจากเทือกเขาบรรทัดผ่านหม่บู ้านหลายหมบู่ ้านในอำเภอบ้านนาสาร คนในอดีต ไมไ่ ดบ้ ันทกึ ไว้เปน็ หลักฐานอยา่ งชดั เจน แต่มีการเล่าขานกันมาจากผเู้ ฒา่ ผ้แู กท่ ยี่ งั มชี วี ติ อยวู่ ่า ราษฎร ในบา้ นทุ่งคาเกรยี นกม็ ีการคมนาคมทางน้ำในอดีต ซึง่ ใช้เรือทอ่ เปน็ พาหนะ และมที ่าเทียบเรืออยู่ที่ บา้ นนายปนิ่ บญุ อินทร์ (หลงั สำนกั งานการไฟฟา้ บ้านนาสารปัจจบุ ัน) แตต่ ่อมาเมอ่ื มีการทำเหมอื งแร่ จึงทำให้แมน่ ้ำแหง่ น้ีตื้นเขินไปการคมนาคมทางนำ้ จึงถูกยกเลกิ เมอื่ มกี ารทำเหมอื งแรถ่ นนสายแรกท่ี ตัดผ่านบ้านทุ่งคาเกรียน คอื ถนนเหมืองทวด เพราะพ่อค้าเหมอื งแรใ่ ชถ้ นนสายน้ีเปน็ เสน้ ทางในการ ขนส่งแรด่ บี กุ จากเหมืองแรเ่ หมืองทวด และเหมืองแรท่ ่ีบา้ นวังหิน สว่ นถนนสายที่ ๒ คอื ถนนเหมือง ขุนทองหลาง และมกี ารทำเหมอื งแร่ทีบ่ ้านขุนทองหลางเช่นกนั ความเป็นมาของทุ่งคาเกรียนนั้น ในอดีตเป็นพืน้ ทีร่ าบ มีความอุดมสมบรู ณ์เหมาะสำหรับ การเกษตรและเลีย้ งสตั ว์ มีการทำนา ๓ แห่ง คือ นานอ้ ย (บริเวณตรงข้ามปา่ ช้าจีนปัจจุบัน) ทุ่ง นาพัฒเซีย (บรเิ วณตรงข้ามโรงเรียนเทศบาล ๔ ปจั จบุ นั ) และนาพัง ส่วนที่ดินท่ีเปน็ ทุ่งหญ้ากว้าง เหมาะแก่การเลี้ยงสัตว์ ต่อมามีชาวบา้ นหรือคนลำพูน (คนลำพนู คือ ชาวบา้ นหมาก) ชาวบ้าน

กอบแกบ ชาวบา้ นวงั หิน ซ่งึ ตอนเชา้ มกั จะนำฝงู ววั ฝงู ควายมาเล้ยี งในทุ่งหญ้าน้ีและทงุ่ หญา้ น้ีมีหญ้า คาเล็ก ๆ เมอ่ื วัว ควายจำนวนมากกินหมดแล้วก็จะมองเหน็ ทงุ่ หญ้าคาเหี้ยนเตยี น จงึ เป็นท่เี รียกกัน ของคนสมัยน้ันว่า “ทุง่ คาเกรียน” พอตกบา่ ยก็จะตอ้ นฝูงวัว ฝงู ควายไปกินน้ำทน่ี าพัง เพราะนาพัง เปน็ แหลง่ น้ำขนาดใหญ่ อุดมสมบูรณท์ ปี่ ลาหลากหลายชนดิ เช่น ปลามดั (ตวั คลา้ ยปลาดกุ ) แต่สูญ พันธไ์ุ ปแลว้ และยังมตี ำนานเกยี่ วเนือ่ งกบั บ้านทุ่งคาเกรยี น คอื เรื่อง “ หนองหัวเรอื ” ต่อมาเมอ่ื มกี ารอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐาน คนกลุม่ แรกท่เี ข้ามาก่อน คือ สกลุ เพชรเมือง บุญ อินทร์ เดชเสน่ห์ และพนั ธุท์ องดี บา้ งกอ็ พยพมาจากกอบแกบ บา้ นนาเดมิ และทุ่งเตา เม่ือมีการ ก่อสรา้ งท่อี ยอู่ าศยั และการจับจองที่ดนิ การเพิม่ ของจำนวนประชากรเปน็ จุดเริ่ม การจัดตั้งหมู่บา้ นจึง เกิดข้นึ สำหรบั “บ้านทงุ่ คาเกรี้ยน” ไดม้ ีการเรยี กชือ่ เพ้ียนไปจากเดิม เปน็ “บ้านท่งุ คาเกรยี น” จน เกิดความเคยชิน เพราะคำวา่ เกรี้ยน ออกเสียงยาก สำหรบั การเมืองการปกครอง สมัยนน้ั ไดม้ ีนายคลา้ ย เพชรเมอื ง เป็นผู้ใหญบ่ ้านคนแรก และ มีทา่ นขนุ นาสาร เป็นเจ้าตำบลนาสาร ต่อมาตำบลนาสารไดย้ กฐานะเป็นเทศบาลเมอื งนาสารและบา้ น ท่งุ คาเกรียน กไ็ ด้จดั ตั้งเป็น “ชมุ ชนทุ่งคาเกรียน” ตัง้ แตน่ ั้นมา มีการเล่าขานกนั ว่า ก่อนการจัดตง้ั ชุมชนทุ่งคาเกรยี น ไดม้ พี ระธดุ งค์ ๒ องค์ เดินทางมาธุดงค์ และมีความประสงค์เดินธุดงคม์ าทว่ี ัดโฉลกศิลาราม ไดพ้ ัฒนาศาสนสถานดงั กลา่ ว พระธดุ งค์ ๒ องค์น้ี คอื พ่อท่านครเู ขยี ว และพอ่ ทา่ นจอมเพชร ซง่ึ เป็นทส่ี กั การบูชา เคารพนบั ถอื และเป็นสง่ิ ยดึ เหนี่ยว ทางจติ ใจของพี่นอ้ งประชาชนตลอดมา ดา้ นการศึกษา มกี ารศึกษาเกดิ ขึน้ ครั้งแรกท่วี ดั โฉลกศิลาราม โดยมีนกั เรียนประมาณ ๕๐ คน โดยมี ครแู ยม้ พวงทิพย์ และครูถวลิ หนูศรีแก้ว เป็นครูผูส้ อน ตอ่ มามีการเปดิ โรงเรยี นขึน้ ๒ แห่ง คอื โรงเรียนบา้ นทงุ่ คาเกรียน และโรงเรยี นขุนทองหลาง ก่อนที่จะมกี ารเปิดเรยี นน้ัน ครูและนกั เรยี นตอ้ ง ย้ายไปเรยี นกนั ท่ใี ต้ถุนบา้ นนายเริ่ม เดชเสน่ห์ เพราะโรงเรยี นบ้านทงุ่ คาเกรียนยงั สร้างไม่เสร็จ ส่วน โรงเรยี นขุนทองหลางน้ันเป็นโรงเรียนประชาบาล มนี กั เรยี นของลูกหลานคนงามเหมือ งแร่ท้ังหมด โดยเทศบาลตำบลนาสารได้จัดสรรงบประมาณก่อสร้างอาคาร ส่วนเงินเดอื นครผู สู้ อนต้องไป รับที่ อำเภอบ้านนาสาร หลงั จากนั้นเมอ่ื การทำแรไ่ ดห้ ยุดกจิ การไป โรงเรียนแห่งน้กี ถ็ ูกปดิ ไปดว้ ย เมอื่ เศรษฐกจิ เฟ่ืองฟู ความอุดมสมบรู ณ์ของทรัพยากรธรรมชาติมีมากมาย ผู้คนก็มีความโอบ อ้อมอารีมคี วามรักความสุขและความอยูด่ มี สี ขุ จึงมีการชกั จงู การอพยพ การย้ายถ่ินเข้ามาทำมาหา กนิ และต้งั ถนิ่ ฐาน ซ่งึ กลุ่มคนเหล่าน้ีไดย้ า้ ยมาจากเพชรบรุ ี ราชบรุ ี นครปฐม และนครศรีธรรม ราช สว่ นใหญ่ประกอบอาชีพสานเขง่ จกั รสานอื่น ๆ และทำสวนยางพารา ได้ตัง้ ถิ่นฐานตามแนวถนนสาย ขุนทองหลาง และเป็นที่เรียกขานกนั ว่า “ถนนฝงั่ ลาว” ต่อมาเมื่อเทศบาลตำบลนาสารไดย้ กฐานะข้ึน เปน็ เทศบาลเมอื งนาสาร ชมุ ชนท่ตี งั้ ตามแนวถนนสายขุนทองหล างก็ได้แยกไปเปน็ ชุมชนใหม่ คือ “ชุมชนทงุ่ คาเกรยี นใหม่”

14. ชุมชนศรเี วียง ประวตั ชิ ุมชนศรเี วยี ง เดิมชุมชนศรีเวยี ง เป็นสว่ นหนงึ่ ของชมุ ชนซอยร่วมใจซงึ่ เปน็ ชุมชนทีม่ ขี นาดใหญม่ าก และมี จำนวนประชากรเป็นจำนวนมาก ในปี พ.ศ.๒๕๔๗ คณะผ้บู ริหารเทศบาลเมอื งนาสาร ภายใต้การนำ ของนายกเทศมนตรีเมืองนาสาร ชอื่ นายโกศล ศทุ ธางกูร มนี โยบายท่จี ะแยกชุมชนในเขตเทศบาล เพอื่ ให้ประชากรในพื้นท่ดี ังกล่าวได้รบั การสวสั ดิการอย่างท่ัวถงึ กัน ซง่ึ ไมเ่ ฉพาะแต่ชุมชนศรีเวียง เท่านน้ั เนื่องจากเดิมชมุ ชนในเขตเทศบาลเมอื งนาสารมเี พียง ๑๖ ชมุ ชน ดังน้นั การแบ่งเขตก าร ปกครองใหม่ เพ่อื ให้ประชาชนได้รับสวสั ดกิ ารและการดูแลอย่างทัว่ ถึง จึงแบง่ เขตการปกครองใหมใ่ น เขตเทศบาลเมอื งนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี ได้เป็น ๒๔ ชุมชน ในปี พ.ศ. ๒๕๔๗ ชุมชนศรเี วียง มีประธานชมุ ชนคนแรก คือนายตกั สิน สขุ สริ สิ วสั ดิ์ อยู่ใน วาระ ๒ ปี และต่อมาในสมยั ท่ี ๒ มีประธานชุมชน คอื นายประสาน สมแก้ว ในสมัยตอ่ มาคอื นาย ไชยยศ สขุ โศม ซงึ่ ดำรงตำแหนง่ ประธานชมุ ชนจนกระท่ังปัจจุบัน ชมุ ชนศรเี วยี ง จดั เปน็ ชมุ ชนตลาดของเทศบาลเมืองนาสาร ประชากรของชมุ ชนส่วนใหญ่ ประกอบอาชพี คา้ ขายเปน็ หลัก ซึง่ พน้ื ทขี่ องชมุ ชนศรีเวียงประกอบดว้ ยตลาดถงึ ๒ แห่ง นั่นคอื ตลาด เทศบาลเมอื งนาสารและตลาดอดุ มสนิ ทำให้รายได้ของชมุ ชนมาจากการค้าขายเปน็ สว่ นใหญ่ อาณาเขตของชมุ ชนศรีเวยี ง นบั ตัง้ แตป่ ากซอยรว่ มใจตดิ กบั ถนนพชิ ัยเดชะ จนกระท่ังถงึ สาม แยกบา้ นอาจารย์นพรัตน์ และรวมถึงถนนเทศบาล ๒ และถนนศรเี วียงท้งั สาย 15. ชมุ ชนนาสารนอก ประวตั ิชุมชนนาสารนอก ดว้ ยชุมชนนาสารนอก ได้รบั การจดั ต้ังขึ้นตามนโยบายของเทศบาลเมืองนาสาร เมอื่ วนั ท่ี ๑๗ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๕๔๗ เพอื่ สร้างใหช้ มุ ชนมคี วามเข้มแข็ง และมีส่วนรว่ มในกจิ กรรมต่าง ๆ เช่น ด้านวัฒนธรรม ประเพณี สขุ อนามยั และการศกึ ษา พรอ้ มทั้งให้ศูนย์กลางประสานงาน พฒั นาแก้ไข ปัญหาของชุมชน โดยแยกตัวมาจากชมุ ชนตลาด ซ่งึ เปน็ ชมุ ชนทม่ี ีขนาดใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก เพอ่ื ความสะดวกในการบริหารงาน เทศบาลเมอื งนาสารจึงได้แบง่ ชมุ ชนตลาดออกเป็นชุมชนยอ่ ยอีก ๔ ชมุ ชน และชมุ ชนนาสารนอก เป็นชมุ ชนหนงึ่ ท่ีแยกตัวออกมาจากชุมชนตลาด 16. ชมุ ชนคลองฉวาง ประวตั ิชมุ ชนคลองฉวาง ก่อนปีพุทธศักราช ๒๔๙๐ ทิศเหนือของเขตเทศบาลเมืองนาสาร ข้ามคลองฉวาง เช่น เป็น ทต่ี งั้ ของวัดนาสารเป็นสถานที่รวมจติ ใจ เปน็ สถานทศี่ กึ ษา และให้การรกั ษาดว้ ยยาสมุนไพร โดยหลวง พ่อชม เจ้าอาวาสวดั นาสาร ยังมีถนนผา่ นวดั นาสารไปสูห่ มบู่ ้านนาเตรยี ะ บ้านคลองหา (นายวิจิตร ดำรงธรรม, ๒๕๕๐: ๑๑) ประมาณปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๙๘ ยังเป็นท่ีตัง้ ของโรงไฟฟ้า ที่จา่ ยกระแสไฟ แสงสวา่ งบางเวลาของนายสำลี ต่อมาถนนสายดังกลา่ วพฒั นามาเป็นถนนสาย ๔๐๐๙ ของกรมทาง หลวง สายนาสาร - สุราษฎรธ์ านี และถนนคลองหา ๑ ของเทศบาลเมืองนาสาร เป็นท่ีตง้ั ของชมุ ชน คลองฉวางในปัจจุบัน

ชมุ ชนคลองฉวาง ลักษณะทางกายภาพเป็นชมุ ชนเมือง ทีม่ กี ารพฒั นามาอยา่ งต่อเน่อื ง มี สภาพภมู ศิ าสตร์ท่เี ปน็ ธรรมชาติ ในสว่ นของพืชสวน และการเกษตร โดยภาพรวมเป็นชมุ ชนเมืองและ แหลง่ ธุรกจิ การกำหนดยุทธศาสตร์ ซง่ึ เกี่ยวกบั พันธกจิ ของชุมชนคลองฉวาง และสภาพเศรษฐกิจใน ชุมชนคลองฉวางเปน็ สำคัญ ทั้งน้ยี งั ต้องตงั้ อยกู่ ับศกั ยภาพขององคก์ รท้องถ่ิน ทกุ ๆ ระดับ สรุปการกำหนดยทุ ธศาสตร์ เพ่ือไปส่กู ระบวนการแผนแมบ่ ทของชุมชนคลองฉวาง จะเป็น รูปธรรมท่ีสรา้ งสรรค์ตอ่ สังคมในระดับใดน้ัน จึงขน้ึ อย่กู บั ความพรอ้ มองค์กรทอ้ งถิ่น ในภาระของ ชุมชนคลองฉวาง เปน็ เพียงการได้มีส่วนรว่ มในการนำกระบวนการทางปัญญา สูว่ ธิ ีคิดของเทศบาล เมอื งนาสารเท่าน้ัน 17. ชมุ ชนประชาสามคั คี ประวตั ชิ ุมชนประชาสามคั คี ชมุ ชนประชาสามัคคี ก่อตงั้ ข้ึนเม่ือ พ.ศ. ๒๕๔๗ แบง่ แยกจากชุมชนตลาด เนอ่ื งจากเทศบาล ตำบลนาสาร ไดร้ บั การยกฐานะ ขนึ้ เปน็ เทศบาลเมอื งนาสาร เพื่อใหก้ ารปกครอง ดูแลทุกขส์ ขุ ภายใน เขตพื้นทขี่ องเทศบาลเมืองนาสาร สามารถดำเนนิ การไดท้ ่วั ถงึ จงึ แบ่งแยกชมุ ชน จาก ๑๖ ชมุ ชน เปน็ ๒๔ ชุมชน ชุมชนประชาสามคั คี จึงไดแ้ ยกออกจากชมุ ชนตลาด พร้อมกบั ชมุ ชนนาสารใน ชุมชน นาสารนอก ชุมชนคลองฉวาง ชมุ ชนศรเี วียง เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๔๗ 18. ชมุ ชนปลายรางพัฒนา ประวตั ชิ ุมชนปลายรางพฒั นา ชมุ ชนปลายรางพัฒนา แต่เดมิ นัน้ ชาวบา้ นขนานนามวา่ “บา้ นปลายราง” บ้าง “บ้านบน ควน”บ้าง เพราะบริเวณทตี่ ัง้ ของชุมชนนั้นเปน็ พื้นท่ีเนินดินขนาดใหญ่และสงู กว่าพื้ นท่ีใกล้เคียง สภาพทว่ั ไปสมัยก่อนเปน็ ป่าสงวน รกทบึ และมีผคู้ นอาศัยอยไู่ ม่กี่ครัวเรือน ซงึ่ ปา่ สงวนแห่งน้ีก็เป็ น พ้ืนทท่ี ีก่ ารรถไฟใชต้ ัดตน้ ไม้ เพ่อื ใชส้ ่วนหนง่ึ ไปทำเป็นไมห้ มอนรองรางรถไฟ และอีกส่วนหนงึ่ ใช้เป็น เช้อื เพลิงเพ่ือขับเคลื่อนหวั รถจกั รไอน้ำลากโบกี้รถไฟในสมยั นัน้ ดงั นัน้ ทางการรถไฟจงึ ได้ก่อสรา้ งราง รถไฟซง่ึ แยกกออกมาจากสถานรี ถไฟหว้ ยมุด เขา้ มาในพื้นที่ปา่ สงวนแหง่ นแ้ี ละรางรถไฟ นั้นได้ทอด ยาวออกมาสน้ิ สุดลงท่ีบริเวณบ้านปลายรางแห่งน้ี ซึ่งยังมหี ลักฐานเป็นร่องรอยปรากฏจนถงึ ปัจจุบัน ตอ่ มาเมื่อรถไฟไดพ้ ฒั นามาเป็นหัวจักรดเี ซลทางการรถไฟจึงไดเ้ ลกิ ใช้รถไฟสายดงั กล่าว และได้ปล่อย ให้เป็นที่รกร้างวา่ งเปล่าเป็นเวลานาน เมอ่ื เวลาผ่านไปได้มชี าวบา้ นอพยพมาจากต่างถ่นิ ได้มาจับจอง พน้ื ที่และบกุ รกุ แผว้ ถางป่าสงวนแห่งน้ีเพื่อทำมาหากิน และต่อมาอีกไมน่ านกม็ ีผู้อพยพมาอาศัยอยจู่ น เตม็ พนื้ ทบ่ี ้านปลายราง แตเ่ ดมิ บา้ นปลายรางเปน็ พ้ืนทสี่ ่วนหน่ึงของชุมชนวงั หลอ้ เทศบาลตำบลนาสาร ตอ่ มาเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๗ เทศบาลตำบลนาสารไดร้ ับการยกฐานะเป็นเทศบาลเมืองนาสาร คณะผูบ้ ริหารจึงได้มี นโยบายแบ่งเขตการปกครองใหม่ จากเดิม 16 ชมุ ชน เป็น 24 ชุมชน และเปน็ 25 ชมุ ชน ซงึ่ บา้ นปลายรางก็ได้แบ่งแยกออกมาตัง้ เปน็ ชุมชน และใหช้ ือ่ ใหมว่ า่ “ชมุ ชนปลายรางพฒั นา”

19. ชมุ ชนหนองมว่ ง ประวตั ิชมุ ชนหนองม่วง ชุมชนหนองมว่ ง แตเ่ ดิมข้นึ กับชุมชนอูม่ าด เนอื่ งจากพ้นื ที่ดังกล่าวกว้างมาก ข่าวสารตา่ ง ๆ จึงไม่ค่อย กระจายอย่างทวั่ ถึง หนองม่วงปจั จุบันนน้ั พน้ื ทส่ี ่วนใหญเ่ ป็นพน้ื ทีส่ วนผลไม้ และนาข้าวของพีน่ ้องชาวอู่มาด เรียกวา่ “ทุ่งนาฝาด” อยู่ทางทิศใต้ของชมุ ชนอู่มาด เม่อื ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ชมุ ชนหนองม่วง (นาฝาดเดิม) แยก จากชมุ ชนอู่มาด และมกี ารเลอื กตง้ั ประธานคณะกรรมการบริหารชุมชนเป็นครัง้ แรก โดยมนี ายชำนาญ อนิ ชู เป็นประธานคนแรก นายบรรจง พลายแก้ว นายวริ ชั ชว่ ยชูชาติ นายไสว แดงเพชร นายบรรจง พลายแก้ว นางทพิ ยส์ ุดา ช่วยพฒั น์ นายโชค เพชรประเสริฐ นายวิรัช ช่วยชชู าติ (คนปจั จุบนั ) ตามลำดับ อนงึ่ คำวา่ “หนองมว่ ง” นน้ั ใจกลางหนองม่วงประกอบด้วยทงุ่ นา และหนองนำ้ ขนาดใหญ่ อดุ มสมบูรณ์ ไปด้วยสตั วน์ ้ำนานาชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมปี ลาชุกชุมมากมาย ภายในหนองน้ำดังกล่าวมีต้นมะม่วง (มว่ งคนั ) ตน้ ใหญ่ ๑ ตน้ มผี ลกลมคล้ายผลมะกอก รสชาตเิ ปรี้ยวมากมาย มลี กั ษณะเฉพาะ คือ ผลแก่จะมยี าง ออกมา เมื่อถูกผิวหนังจะไหมแ้ ละคันมาก ปัจจุบันพื้นที่ดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพกาลเวลา ระบบนิเวศนถ์ กู ทำลาย พ้ืนทสี่ ่วนใหญถ่ กู ประชาชนบุกรุกทำเปน็ พื้นทีท่ ำกินจนถึงปจั จุบนั น้ี 20. ชมุ ชนสวนมงั คดุ ประวตั ิชุมชนสวนมังคุด “ชมุ ชนสวนมังคุด” เป็นชมุ ชนเก่าแกต่ ั้งขน้ึ มาประมาณ ๕๐๐ กวา่ ปีท่ีผ่านมาซง่ึ สนั นฐิ านวา่ ไดต้ ้งั ชือ่ ตามผู้ ที่มาอยู่อาศัยและดูแลชมุ ชนแห่งน้ี คือ กรมหม่นื ขุดราชกิจ ชุมชนสวนมังคุดเป็นชุมชนท่มี ีพ้ืนที่ราบเหมาะแกก่ ารทำเกษตรและปศสุ ัตว์และพืชเศรษฐกจิ ทสี่ ำคญั และมี ชอ่ื เสยี งทำรายได้ใหแ้ ก่คนในชุมชน คอื มงั คดุ ซึง่ เปน็ ที่นยิ มและปลกู เป็นทแ่ี พร่หลายซ่งึ ปจั จุบันนั้นยังเห็นได้ ทั่วไป ประชาชนในชุมชนประกอบอาชีพหลักทางดา้ นการเกษตรและเปน็ แหลง่ รายไดส้ ำคัญของประชาชนใน ชมุ ชน แตใ่ นปจั จุบันประชาชนประสบปญั หาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำสร้างความเดือดร้อนใหแ้ ก่ป ระช าชน เปน็ อย่างยงิ่ ปัจจบุ นั ชุมชนสวนมังคดุ ได้รับการปรบั ปรงุ ภูมิทัศน์และสภาพแวดลอ้ มท่ีดขี น้ึ ประชาชนได้รับการบริการ ขั้นพื้นฐานไม่วา่ จะเปน็ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เชน่ ไฟฟา้ ถนน แหลง่ น้ำ ฯลฯ เยาวชนในชมุ ชนไดร้ บั การศึกษา พ้ืนฐานอยา่ งเทา่ เทยี มกัน ภายใต้การกำกับดแู ลของเทศบาลเมอื งนาสารและคณะกรรมการบรหิ ารชุมชนท่ี ได้รบั การเลอื กตัง้ จากประชาชนแต่ยงั ส่งผลกระทบเนื่องจากชมุ ชนมีประชากรเพม่ิ ข้นึ 21. ชุมชนทา่ พลา ประวตั ชิ ุมชนทา่ พลา ทา่ พลา เป็นชอื่ ที่ตง้ั ขน้ึ ตามช่อื ของถนน กลา่ วคือชมุ ชนท่าพลามีถนนสายหลกั ๑ สาย คอื ถนนท่าพลา มีคลองฉวางไหลผ่าน สภาพน้ำเป็นน้ำลึก ป่าอดุ มสมบูรณ์ ฤดฝู นน้ำหลากมาก มีต้นไม้ชนิดหนง่ึ ท่ขี ึ้นบริเวณรมิ คลองคอื ต้นพลา ซง่ึ ในอดตี เวลาประชาชนสัญจรไปมาบรเิ วณคลองฉวางจะมีสะพานไมพ้ รอ้ มศาลาพักร้อนและ ต้นพลาซ่งึ มีจำนวนมาก สามารถพักเหนอื่ ยได้ ทำใหป้ ระชาชนเรยี กชือ่ ชมุ ชนว่า “ท่าพลา” จนถึงปัจจบุ ัน

22. ชุมชนนาเตรยี ะ ประวตั ชิ ุมชนนาเตรียะ บ้านนาเตรียะ เป็นหมู่บ้านทีร่ าษฎรเรียกตามสภาพในอดตี เพราะในพื้นท่ีบริเวณนี้ ประกอบดว้ ย ต้นเตรียะเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นพืชในตระกลู ปาล์มชนิดหนึ่งคล้าย ๆ กบั ตน้ ค้อและต้นทงั ต้นโตเต็มทขี่ นาด ไลเ่ ลย่ี กับต้นมะพร้าว ใบกว้างคล้ายกบั ใบตาล แตใ่ บแตกเปน็ รวิ้ ก้านใบมหี นาม ชาวบ้านใชใ้ บของมันมาเย็บ คล้ายใบจากสาคูทำเป็นหลังคามุงบ้าน สมัยก่อนหมูบ่ ้านนาเตรียะ อยู่ภายใต้การปกครองของอำเภอ บ้านนาสาร มผี ู้ใหญบ่ า้ นปกครองรวม ๓ ทา่ น คอื ๑.ผู้ใหญ่เกต เผอื กหนู ๒.ผู้ใหญ่กลอ่ ม อินเตรียะ ๓.ผใู้ หญ่อ่ำ มีดี ตอ่ มาได้เปล่ยี นสถานะจากหมู่บา้ นมาเปน็ ชมุ ชนตามการยกฐานะการปกครองท้องถน่ิ ในรูปแบบเทศบาล ซ่งึ แต่เดมิ เป็นชุมชนคลองหา ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๔๑ จึงได้แยกการปกครองมาเป็นชุมชนนาเต รียะจนถึง ปจั จุบนั และมีการปกครองชมุ ชนในรูปแบบของคณะกรรมการบริหารชมุ ชน โดยประธานชมุ ชนคนแรก แต่เดิมสภาพทั่วไป เป็นป่ารกทึบ มีบ้านเรือนไม่มากนัก ชาวบ้านมีอาชีพในการทำสวนยางพารา สวนผลไม้ และทำนา เพราะพนื้ ทีท่ ั้งสองด้านของชุมชนขนาบไปด้วยทลี่ ่มุ ทางดา้ นทศิ ตะวนั ออกมที งุ่ นาโหลน ติดกับเขานาสาร เป็นทีล่ ุ่มกว้างใหญ่ เป็นแหลง่ เพาะพันธุ์สัตว์นำ้ หลายชนิด เช่น ปลา , เต่า, หอย, กงุ้ ซง่ึ ชาวบา้ นไดอ้ าศยั เป็นแหลง่ อาหารมาเป็นเวลาช้านาน คลองเชิงหมอระบายน้ำออกไปทางชมุ ชนคลองหา ทิศตะวันตกมที ุง่ นาสาร เป็นทล่ี ่มุ กว้างใหญ่ ชาวบ้านใชเ้ ป็นทท่ี ำนาข้าว เพราะดนิ อุดมสมบูรณ์ ข้าวจึงเจริญ งอกงาม เลยได้ช่ือวา่ ทงุ่ นาสาร มีลำคเู หมอื งใชร้ ะบายนำ้ ออกไปท่คี ลองฉวางใกล้ ๆ กบั สะพานโค้ง เป็นแหล่ง ที่มปี ลาชกุ ชมุ มาก ตอ่ มาเทศบาลตำบลบ้านนาสาร ได้รับการยกฐานะเปน็ เทศบาลเมืองนาสาร อยู่ภายใต้การ บรหิ ารงานของนายกเทศมนตรี 23. ชุมชนทุ่งคาเกรียนใหม่ ประวตั ิชมุ ชนท่งุ คาเกรียนใหม่ บ้านทงุ่ คาเกรียนไมม่ ใี ครทราบแนช่ ดั ว่าตั้งขึน้ เม่อื คร้ังใด แตเ่ มอ่ื มาดสู ภาพแวดล้อมถงึ แม่น้ำ ลำคลอง หนองนำ้ ภเู ขา ก็สามารถพจิ ารณาถงึ ทมี่ าที่ไปใกลเ้ คียงความจริง และมีประจกั ษ์หลกั ฐานได้เป็นอย่างดี บ้านทงุ่ คาเกรียนต้งั อยู่บนริมฝงั่ คลองฉวางทางทศิ เหนอื ซึง่ ชาวบ้านเรียกขานลำคลองนีว้ ่า “คลองหวาง” ต้นนำ้ เกดิ จากภูเขาบรรทัด ซึ่งเปน็ ภูเขาสูง เป็นลำคลองไหลผา่ นทีร่ าบลุ่มบา้ นเหมอื งทวด บ้านวังหิน บ้าน หมาก ในตำบลลำพนู ไหลผ่าน บา้ นทุ่งคาเกรยี น บา้ นอูม่ าดในตำบลนาสาร และไหลผ่านน้ำพุ ท่าชี ไหลลงสู่ แม่น้ำตาปี จะเหน็ ไดว้ า่ หมู่บ้านต่าง ๆ ตงั้ อยรู่ ิมฝัง่ คลองเป็นสว่ นมาก หมู่บา้ นทุ่งคาเกรียนเป็นหม่บู ้านหนึ่งใน ตำบลนาสาร หมบู่ ้านน้เี ปน็ ทุ่งโลง่ อุดมไปด้วยหญา้ คา เหมาะสำหรับการเล้ียงสัตว์ เช่น ววั ควาย หมู่บ้าน ใกล้เคยี งเมื่อหมดฤดทู ำนา ราษฎรได้นำสัตวเ์ หล่านน้ั มาเลยี้ ง เพราะทงุ่ หญา้ แห่งน้มี ีหนองน้ำใหญ่ ซึง่ ตั้งอยู่เชงิ ภเู ขาสามยอด เรยี กวา่ “หนองน้ำนาพงั ” หนองน้ำนน้ี อกจากใช้เลี้ยงสัตว์แล้วยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยปล า นานาชนิด ในช่วงแรกได้นำสตั ว์มาเลยี้ ง เมอ่ื เห็นวา่ ทีด่ ินในท่งุ นอ้ี ดุ มสมบูรณ์กค็ ่อย ๆ อพยพมาต้ังถ่ินฐาน บ้านเรือนมากขน้ึ หมูบ่ ้านทุ่งคาเกรยี นมีผใู้ หญบ่ า้ นคนแรก คือ นายคล้าย เพชรเมอื ง ต่อมาบ้านเมืองเจรญิ ข้นึ ทางราชการได้ยกฐานะตำบลนาสารข้ึนเปน็ เทศบาลตำบลนาสาร และหมู่บา้ นตา่ ง ๆ ในตำบลนีย้ กฐานะเป็น ชมุ ชน ชุมชนบา้ นทุ่งคาเกรยี นมีถนนจากนาสารผ่านเข้าชุมชนเป็น ๒ สาย สายแรกเรียกวา่ ถนนเหมืองทวด แยกไปในลำพูนไปเหมืองแร่บา้ นกอบแกบ เหมืองทวด สายท่ี ๒ เรียกวา่ ถนนขนุ ทองหลาง แยกไปเหมือง

วิวาทและเหมืองขนุ ทองหลาง มีโรงเรยี น ๒ แหง่ คอื โรงเรียนบ้านนาสาร เปดิ สอนตงั้ แต่ชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี ๑ – ๖ และโรงเรียนเทศบาล ๔ ( บ้านทงุ่ คาเกรียน ) เปิดสอนตงั้ แต่อนบุ าล ๑ – ประถมศึกษาปที ่ี ๖ และ ตอ่ มาราษฎรเหน็ วา่ ชุมชนบา้ นทุง่ คาเกรียนเป็นชุมชนใหญม่ าก บรกิ ารไมท่ ั่วถึง จึงไดแ้ ยกออกเปน็ ๒ ชุมชน เรียกวา่ ชมุ ชนบา้ นทุ่งคาเกรยี นใหม่ ไปทางถนนขุนทองหลาง 24. ชมุ ชนวงั หลอ้ ประวตั ิชุมชนวงั หลอ้ พ้นื ที่ในสมัยโบราณ มีคำบอกเลา่ ต่อกันมาวา่ ณ บริเวณลำคลองฉวาง ถัดลงมาจากวดั สว่างประชารมย์ มาตามสายน้ำประมาณ ๔๐๐ เมตร ซง่ึ อยทู่ างทิศใตข้ องชมุ ชนวงั หล้อในปัจจุบนั มีแอง่ น้ำขนาดใหญ่ รัศมี ประมาณ ๒๐๐ เมตร มคี วามลกึ เป็นอย่างมาก ขนาดทว่ มหลงั ช้าง ชาวบ้านเรยี กแอง่ น้ำลึกน้วี ่า “วงั ” และ บรเิ วณรมิ ตลง่ิ ของแอ่งนำ้ นัน้ มีต้นหลอ้ ข้ึนอย่เู ปน็ จำนวนมาก ชาวบา้ นจึงเรียกบริเวณนั้นว่า วงั หลอ้ และต่อมา ได้ใช้เปน็ ชอื่ เรียกชมุ ชนวังหล้อจนถึงปัจจบุ นั 25. ชุมชนหม่บู า้ นมนั่ คง ประวตั ชิ ุมชนหม่บู า้ นมนั่ คง เดือน สิงหาคม 2547 ผู้นำชมุ ชน นกั พัฒนาชมุ ชนเทศบาลเมอื งนาสาร ได้วางแผนออกสำรวจประชาชนผ้มู ีปญั หาดา้ นทีอ่ ยู่อาศัย เดือน กันยายน 2548 ผนู้ ำชุมชน นกั พัฒนาชมุ ชนเทศบาลเมอื งนาสาร ไดท้ ำการออกสำรวจกลุ่มเปา้ หมายทีม่ คี วามป ระสง ค์ จะขอเข้าร่วมโครงการ เพอ่ื ให้เทศบาลเมืองนาสาร แก้ปญั หาความเดือดรอ้ นให้ตามสภาพความเดือ ดร้อ น ของประชาชนในพน้ื ที่ตามท่ีไดส้ ำรวจมาในเบื้องต้น โดยทัง้ น้ีมผี ู้ประสงคข์ อเขา้ ร่วมแก้ปัญหาในโครงการรวม ทั้งสน้ิ จำนวน 474 ครวั เรอื น โดยแยกออกได้เปน็ ประเภทของปญั หาดงั ต่อไปน้ี 1. ประเภทซอ่ มแซมบา้ น 177 ครวั เรอื น 2. ประเภทสร้างบ้านใหมใ่ นที่ดินเดมิ 91 ครัวเรอื น 3. ประเภทสร้างบ้านใหม่ในทีด่ นิ ใหม่ 206 ครวั เรือน รวมทง้ั ส้ิน 474 ครัวเรอื น เดอื น พฤศจิกายน 2548 กล่มุ ประชาชนทม่ี ีปัญหาด้านทีอ่ ยู่อาศยั และมคี วามประสงค์ขอเขา้ รว่ มโครงการ ไดร้ วมตัวกันจัดกลุ่ม ตา่ ง ๆ ตามประเภทของปัญหาในชุมชน โดยไดจ้ ัดต้ังกลมุ่ ในรูปแบบของกลุ่มสหกรณต์ ามคว ามส ามารถ ของวงเงนิ ออม โดยดำเนินการแบ่งกลุ่มออกเปน็ โซนได้ 4 โซน โดยได้กำหนดใหม้ ชี ุมชนอยู่ภายในโซนแตล่ ะ โซนเท่า ๆ กัน 1 มถิ ุนายน 2549 ได้ดำเนินการขอจดทะเบยี นเปน็ สหกรณ์ ฯ ในรูปแบบของสหกรณฯ์ ประเภทสหกรณ์บริการ โดยใช้ชือ่ ใน การจดั ต้ังสหกรณ์ ฯ “สหกรณเ์ คหสถานบรกิ ารบ้านมน่ั คงเมอื งนาสาร จำกดั ” 6 มิถนุ ายน 2559 ประกาศจดั ตั้งเป็นชมุ ชนใหม่ เปน็ ชมุ ชนท่ี 25

โครงสร้างของชมุ ชน ด้านการปกครอง เทศบาลเมืองนาสาร ครอบคลุมพนื้ ท่ตี ำบลนาสารท้ังหมด เมอื่ ตำบลนาสารไดย้ กฐานะเป็นเขตเทศบาล ตำบลซ่งึ เป็นเทศบาลตำบลแหง่ แรกในจังหวดั สรุ าษฎรธ์ านี เม่อื พ.ศ. ๒๔๘๓ ไดผ้ นวกเอาตำบลพรพุ แี ละตำบล ทา่ ช้ีในขณะน้นั เปน็ เขตเทศบาลตำบลนาสารด้วย นับวา่ เป็นพ้นื ที่ในเขตเทศบาลตำบลที่ก ว้างขว างมาก ในประเทศไทย เกินกำลงั ทจ่ี ะปกครองดูแลพฒั นาใหเ้ จริญได้ทวั่ ถึง จงึ ไดท้ ำเร่อื งราวขอแกไ้ ขให้เหลือเพียง ตำบลนาสารเพยี งตำบลเดยี ว ก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๒ ตำบลนาสารมีท่ที ำการกำนนั อยู่ท่ีบ้านพรุพี มีกำนันช่อื ขนุ นาสารสาธร (กล่นิ ห นูศรี แก้ว) ตอ่ มาเมอื่ ขุนนาสารสาธรเสียชีวิต นายเฟ่อื ง หนูศรีแก้ว เปน็ กำนันตำบลพรพุ ี ในเวลาตอ่ มา ในส่วน ตำบลนาสาร มีนายพลบั โพธ์เิ พชร เป็นกำนันตำบลนาสาร มีนายเบยี ด บญุ ษร เป็นผู้ใหญ่บา้ นตำบลนาสาร เป็นคนสุดท้าย การประกาศพระราชกฤษฎีกายกฐานะตำบลนาสารขนึ้ เป็ นเทศบาลตำบลนาสาร เขตเทศบาลนาสาร รวมถึงบ้านพรุพี บ้านท่าชี ซึ่งเป็นเขตปกครองท่ีกวา้ งขวาง จึงมีการขอแก้ไขเขตเทศบาลตำบลนาสาร ไม่รวมบ้านพรพุ ี บา้ นท่าซี จงึ มีประกาศพระราชกฤษฎีกายกฐานะตำบลนาสารเปน็ เทศบาลต ำบล นาส าร ถึงสองฉบบั ดา้ นประชากร จำนวนประชากรในเขตเทศบาลเมอื งนาสาร มจี ำนวนประชากรท้ังสน้ิ 19,447 คน แยกเปน็ ชาย 9,505 คน หญงิ 9,942 คน จำนวนครวั เรอื น 7,589 ครัวเรอื น ดา้ นการศึกษา ประชากรในเขตเทศบาลเมืองนาสาร เป็นประชากรทอ่ี าศัยอยู่ในเขตเมืองซง่ึ เปน็ ศนู ยก์ ลางการศกึ ษา 1. สถานศกึ ษาสังกัดสำนักงานเขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 11 ได้แก่ - โรงเรียนบ้านนาสาร 2. สถานศึกษาสงั กัดสำนกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษาสรุ าษฎรธ์ านี เขต 3 ได้แก่ - โรงเรียนนาสาร 3. สถานศึกษาสังกดั การศกึ ษาเอกชน ไดแ้ ก่ - โรงเรียนจงฮ้ัว - โรงเรยี นพทุ ธยาศรม - โรงเรียนอนุบาลนวพร ๔. สถานศึกษาสังกดั เทศบาลเมอื งนาสาร ไดแ้ ก่ - โรงเรยี นเทศบาล ๑ (ห้วยมุด) - โรเรียนเทศบาล ๒ (อมู่ าด) - โรงเรยี นเทศบาล ๓ (คลองหา) - โรงเรยี นเทศบาล ๔ (ทุ่งคาเกรียน) - โรงเรยี นเทศบาล ๕ วสนุ ธราภิวัตก์ - วิทยาลัยอาชีวศกึ ษาเทศบาลเมืองนาสาร

ดา้ นศาสนา ประชากรในเทศบาลเมืองนาสารส่วนใหญ่ 99.0 % นับถือศาสนาพุทธ นอกเหนือจากนั้นนบั ถือศาสนา อสิ ลาม ครสิ ต์ และศาสนาอ่ืนรวมกนั ประมาณ 1.0 % มีวดั 4 แห่ง สำนกั สงฆ์ 2 แหง่ โบสถ์คริสต์ 2 แห่ง ประชาชนยังยึดม่นั ในวฒั นธรรมประเพณีทางศาสนา เช่น ประเพณสี งกรานต์ เทศกาลขนึ้ ปใี หม่ วันสำคญั ทาง ศาสนาต่าง ๆ เปน็ ตน้ โครงสรา้ งด้านเศรษฐกจิ และอาชพี เศรษฐกิจ ในอดตี อำเภอบ้านนาสารมีพ้นื ทมี่ าก มีความอดุ มสมบูรณ์ ตามสภาพภูมศิ าสตร์ ก่อนมีการแบ่งแยก การปกครองเป็นก่ิงอำเภอหลังปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ตลาดนา สารมคี วามเจรญิ ด้านเศรษฐกิจสงั คมวัฒนธ รรมมีก าร ทำเหมืองแร่มาก่อนปี ร.ศ. ๑๑๒ การทำป่าไม้ สวน ยางพารา ในตลาดนาสาร ทีย่ า่ นธรุ กิจมรี ้านค้า โรงแรม ร้านภตั ตาคาร โรงยาฝ่ิน ร้านโกป้ี โรงหนงั โรงงานและโรงงานผลติ น้ำอดั ลม ขนม แปรรูป ร้านขายเครือ่ งสีข้าว การทำเหมืองแร่ดีบุกยุคแรกก่อน ร.ศ. ๑๑๘ ขณะนั้นบ้านนาสารยังเป็นอำเภอลำพูนขึ้นกบั การ ปกครองมณฑลนครศรีธรรมราช ปีพ.ศ. ๒๔๖๗ นายฮอ่ ม่งุ หล่องจีนแคะชาวมาเลเซียมาทำเหมืองหลุม ที่เหมืองแกะและรับเหมาทำทางรถไฟ ตำบลนาสาร นายเคหวอ่ งและนายตันวันไหล ทำเหมืองหลุมท่ี บ้านขุนทองหลางและบ้านเหมอื งทวดตำบลนาสารและบา้ นเหมืองแกะ

1. นายตนั วันไหล มาจากอโิ ปจังหวดั ปีนงั มาทำเหมอื งหลมุ ยคุ ท่ี ๒ ในตำบลนาสาร 2. นายตนั เกงชนั บตุ รชายนายตนั วนั ทำเหมอื งฉดี ในนาสารยคุ สุดทา้ ย 3. นางก้ยุ เฮียน พ่ีสาวนายฮอ่ สิ่งหล่อ ชาวปีนังมาทำเหมอื งแร่หลมุ ยุคแรกและรบั เหมาก่อสรา้ งทางรถไฟ สายใต้ 4. เอกสารขอใบแทนสัมปทานบัตรของนายเค หว่อง 5. “โรงสูง อาคารไมส้ ไตลช์ ิโน – โปรตุกีส แบบทอ้ งถ่ินนยิ มที่ชาวนาสารเรยี กว่า โรงสูง” สร้างโดย นายฮอ่ มุ่งหล่อง กอ่ นปี พ.ศ. ๒๕๕๔

การทำเหมืองยคุ แรก การทำเหมอื งแร่ คอื การทำเหมือง ในแหล่งท่ีอย่บู นเนนิ ควน หรอื ไหล่เขา โดยใช้แรงงานคนหรือระเบิดพัง ดิน ทรายปนแรจ่ ากหนา้ เหมืองแลว้ ปลอ่ ยให้ ดนิ ทรายปนเนอ้ื แรล่ งรางกู้แรเ่ หมอื งเจาะ งัน เป็นวิธีทำเหมืองในที่ทางแร่โดยใช้ แรงงานคน ระเบิด ขุด เปิดเปน็ ร่องหรือ อุโมงค์เขา้ ไปในภูเขา เพอ่ื ตามสายแร่ใน แนวดิ่งและแนวขนาน แลว้ นำหนิ ปนแร่ จากสายแร่ขน้ึ มาทุบยอ่ ย แล้วล้างเลือก เอาแต่กอ้ นแรท่ ีม่ ปี รมิ าณสูงหรือ นำเข้า เครื่องแต่งแร่ มีการทำเหมืองแร่แบบ หลมุ เจาะงนั ทเี่ หมืองขุนทองหลางเหมือง แกะในยคุ แรก

การทำเหมืองยคุ แรกก่อนญ่ีป่นุ เกิดข้นึ ทีบ่ ้านเหมอื งทวด ใชว้ ิธเี ดิน ถา้ มีของต้องใชเ้ กวียนหรือน่ังช้างจาก ตลาดนาสารไดเ้ ฉพาะเดือน ๔ เดอื น ๕ เทา่ น้นั การทำเหมืองหลุมท่ีบ้านขนุ ทองหลางตอ้ งเดินข้ามเขามา หรือ เดนิ ทางจากตลาดนาสารเพอ่ื ไปเหมืองขุนทองหลางไปรถไฟลงสถานีพรุพี \"การทำเหมอื งหลมุ ยคุ แรกทบ่ี ้านเหมืองทวดและบ้านขุนทองหลาง กอ่ นญป่ี นุ่ ขึ้นใชว้ ธิ ีเดินเท้าถ้ามีของ อปุ กรณต์ ้องใชเ้ กวียนหรอื นั่งช้าง ซ่ึงมีชา้ งของแพทย์สายพ่อของน้าแผ้ว เจา้ หนา้ ทปี่ ่าไมห้ ลายเชือกรับจา้ งจาก เหมอื งทวดมาเหมืองขุนทองหลาง เดนิ ข้ามเขามาทางปละตก หรอื จากตลาดนาสารถา้ มีสง่ิ ของและหลายคนไป โดยรถไฟลงสถานีพรพุ ีเดนิ ขึ้นทางปละออกไปทางเหมืองขนุ ทองหลางสะดวก นายตันเกงซนั ไดน้ ำรถจักรยานมาจากอโิ ป จังหวัดปนี ัง มาใช้เปน็ คนั แรกออกจากตลาดในหวั เช้าพร้อมปืน ลกู ซองเปน็ ประจำกลับมาบ้านมืดค่ำทุกวัน ถ้าวันไหนมเี สือดำมาขวางทางก็ไมไ่ ปบา้ นทุ่งคาเกรียนจะเป็นป่ามี เสอื ดำชุกชมุ ” หลังสงครามญีป่ ุน่ แพ้ คนญ่ีปุ่นท่มี าทำเหมืองแรบ่ า้ นกอบแกบถูกสง่ ตัวกลับเมืองไดข้ ายรถยนต์ให้นายตัน เกงซัน ไดใ้ ชข้ นสมั ภาระไปเหมอื งทวด จนเลิกการทำเหมอื งเหมอื งทวดตอ่ มาเป็นพนื้ ทท่ี ำเหมืองแร่ของ บรษิ ัท ฟลู ิไก จำกดั ไดม้ าทำเหมอื งฉีดท่ีเหมืองขนุ ทองหลาง ตงั้ แตย่ ุคกลางจนยุคสดุ ทา้ ยกอ่ นปี พ.ศ. ๒๕๒๘ ไดห้ ยุด ทำเหมอื งแร่ เพราะแรด่ ีบุกไม่มีราคา

การทำเหมอื งแร่และการคา้ ในนาสารหลังปพี .ศ. 2560 การทำเหมืองแร่ยุคแรก ๆ ในนาสารคอื การทำเหมือง หลุม โดยมีชาวจีนแคะย้ายภูมิลำเนามาจากรัฐเคดะ ประเทศมาเลเซยี เขา้ มาทำเหมอื งแร่ในพ้ืนที่เหมืองทวด เหมืองวิวาท เหมอื งขนุ ทองหลาง เหมอื งหินถาก เหมืองหว้ ย จงปะ เหมอื งสามศพ เหมืองแกะ ก ารท ำเ ห ม ื อง ในแ หล่ งล านแร่ และ แร่ ใ นแหล่ งแร่ จบ เปลือกดนิ ใช้วธิ พี ังหน้าดินและลา้ งแร่ตอ้ งใชน้ ำ้ จำนวนมาก เช่น การทำแร่เรือขดุ โดยใช้เครื่องจกั รและของ แร่ป นดิน ทราย โดยใชเ้ ครือ่ งตัก แลว้ นำแร่ในดนิ ทรายไปเข้าเครอื่ งกู้แร่ ของบรษิ ทั ไซมีสตนิ เซนตเิ กรด จำกดั ที่บ้านห้วยมุดปัจจบุ นั ไม่มแี ลว้ การทำเหมืองฉดี ด้วยการเปดิ หนา้ ดินหรือ พังห น้าดิน โดยใช้เครื่องจักรฟงั หนา้ ดนิ ด้วยการใช้แรงเช่นเดียวกับ เหมืองสบู แล้วใช้เคร่ืองดดู นำ้ ดนิ ทรายแร่เขา้ ส่รู างกูแ้ ร่แล้ว แปรเป็นเนอ้ื แร่ดบี ุกบรสิ ุทธ์ิ เช่น การทำแรย่ คุ ปลาย ของ บริษทั เหมืองแร่สรุ าษฎร์ธานี ทำแรท่ ี่บ้านเหมอื งแกะ เฉยี งพรา้ เหมืองทวด ฯลฯ

การทำธรุ กิจในตลาดนาสารหลงั ปี พ.ศ. 2588 ภาพหมอเขียว พูนศริ ิ หมอชู ศริ ิรักษ์ โรงหมอ หมอเขยี ว พูนศริ ิ ยา้ ยมาจากจงั หวัดราชบุรีต้ังอยู่ท่ถี นนนาสารในอดตี ทา่ นเปน็ หมอทหารเสนารักษ์ เปดิ โรงหมอรักษาโรคท่ัวไปในตลาดนาสารยคุ แรก ๆ ก่อนหมอกอบกลุ และหมอสวสั ด์ิ ศรสี กลุ เมฆ โรงหมอชู ศิริรักษ์ หมอแผนไทยท่านย้ายครอบครวั มาจากอำเภอพุนพินก่อนปี พ.ศ. ๒๔๘๒ ต้งั อยู่ถนนวเิ วก รกั ษาโรคเกย่ี วกบั เดก็ กวาดซางคอ กวาดตาลปากและยาต้มสมุนไพรทกุ ชนิดจนปจั จุบนั รา้ นเครือ่ งยาจนี “ ชุนแซตึง” เปน็ ของนายวอ่ งฉุ่น แซห่ วอ่ ง เป็นชาวจนี แคะภมู ลิ ำเนาเดมิ มาจากจังหวัดปีนัง ประเทศมาเลเซีย มาอยตู่ ลาดนาสารประมาณปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ตง้ั ร้านอยถู่ นนนาสารในขายยาสำเรจ็ รปู ทุกชนิด มีสมุนไพรไทย-จีน มียาทนั ใจ ยาปะสะนอแรด ยาสตรีนสิ ิงเหและสมนุ ไพรตามสงั่ ทุกชนดิ เป็นโอกาสทผ่ี ปู้ ว่ ย ท่ีมารกั ษาร้านหมอเขียวแลว้ รา้ นปิดกจ็ ะมาใช้บริการท่ีรา้ นขนุ แซตงึ เพราะรา้ นอยู่เย้อื งกัน ร้านค้า เจียเล่ยี งกี่ เปน็ รา้ นค้าทันสมยั ยา้ ยภมู ลิ ำเนามาจากทานพอจังหวัดนครศรธี รรมราช พ.ศ. ๒๕๕๔ จำหน่ายเส้ือยดื ตราห่าน กางเกงแพรขายาว อปุ กรณต์ ดั ไม้ เครอื่ งกอ่ สร้าง พ.ศ. ๒๕๕๐๒ ย้ายจากถนน นาสาร ออกไปสร้างอาคารไม้ ๒ ข้ัน อยถู่ นนวเิ วกเป็นร้านคา้ ปลีก ส่งอาหารสัตวใ์ นปัจจุบัน ร้านโกวเล่งกี่ เป็นรา้ นขายตะเกยี งเจ้าพายุ อุปกรณ์ตาชั่ง เคร่อื งไหว้ เครือ่ งปรงุ อาหารจีนเท ศและเป็น โรงงานผลติ นำ้ อดั ลม น้ำซาสี่ นำ้ เขียวแดง โซดาจดื รา้ นตงั้ เมยี ก่ี เป็นเตยี่ ของถา้ แก่ท่งหยู๋ (โกยาว) เป็นรา้ นทำขนมหวาน งาดำ งาขาว จนั อบั ขนมเป๊ียะทุกชนิด ร้านตั้งอยู่ถนนนาสารนอกข้างตรอก “ ร้านน้ำปลา” มีโรงงานแปง้ มันอยู่สะพาน ๑ และทำการเกษตร นายท่งหยู๋ (โกยาว) คอื นายธำรง ช้ินดรนริ ตั น์ ชาวนาสารผ้ทู รงคณุ วุฒิทางการเกษตรและเป็นนักวิช าก าร ทอ้ งถน่ิ นาสาร ร้านโกปี้ “ กวงเม้ง” ตง้ั อยู่หลังสถานีรถไฟตดิ กับรา้ นขายจกั รชงิ เกอรข์ องน้านคิ ม อง้ึ มณี ลกู ชายป้ากิมต้ัง ทเ่ี ปน็ ตัวแทนจำหน่ายจักรซิงเกอรใ์ หญใ่ นเขตอำเภอรอบนอก

ร้านโกปี้ “ ซินฮกง้วน” เปน็ รา้ นนายโกป้ี ทม่ี ลี กู คา้ ประจำของนายอำเภอข้าราชการ นักการเมอื งมากมาย แซล้งโอยวั ะ ใสก่ ระป๋องนมรอ้ ยหดู ว้ ยเชือกกล้วย หนา้ รา้ นทกุ เชา้ มจี าโก้ยทอด โรตีบังโหมด กลางคืนมีขนม หวาน ข้าวเหนียวหน้า ป้าสมขายตั้งรา้ นอยใู่ ต้โรงแรมกว๊ งเจา เป็นทน่ี ัดพบของผูน้ ำในนาสารทุกคนในอดตี ร้านขา้ วมนั ไกร่ ้านแรกในนาสาร ตงั้ ง่วนฮ้งั ตง้ั อยูถ่ นนนาสารนอก ข้างตรอกปา้ หน่าว แมข่ องโกภ่เู วียงวีระ เป็นของนายเหงยี นฮี เซยี่ งฉนิ (แชต่ ้ัง) เกิดทหี่ มบู่ ้านถ่ายเหลยี งเช่า มณฑลกวางตุ้ง เมืองซวั เถา เดินทางมา ประเทศไทยตอนอายุ ๑๗ ปี มาอยู่ท่ีจังหวัดราชบุ รี ทำไร่ยาสบู หลังปี พ.ศ. ๒๔๔๐ ย้ายมาอยู่พนุ พนิ ปพี .ศ. ๒๔๙ ยา้ ยครอบครัวมาอยอู่ าศัยในอำเภอบ้านนาสารอาศัยทดี่ ินของลงุ สวสั ดิ์ เนยี มสวุ รรณ คุณพ่อ ของพ่ีประสพ เนยี มสุวรรณ ทด่ี ินหนา้ ถ้ำทราย ปลูกขงิ ผกั ทุกชนิด เลี้ยงหมูและขายเต้าหูท้ อด เตา้ ฮวย เดือย หน้าวิกหนัง หลงั ปีพ.ศ. ๒๔๙๕ มาขายข้าวมันไกก่ ว๋ ยเตีย๋ ว บา้ นเลขที่ ๕๘ ถนนนาสารนอก โรงแรมในตลาดนาสาร ธุรกิจในตลาดนาสารก่อนปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นอกจากนายเหมืองมาคุมงานยงั มีอาชีพที่ตอ้ งใชโ้ รงแรม เปน็ ที่พกั มหี นงั กลางแปลง นักพากษ์หนงั การทำธรุ กิจขายส่งสินค้า ทตี่ อ้ งมสี ินคา้ ตัว อย่างเป็นห าบห รือ เปน็ กระเปา๋ ใบใหญ่บรรจุสนิ ค้าตวั อย่างมานำเสนอหรอื กลุ่มคนท่ีมาตดิ ต่อทำกิจกรรมในตลาดนาสาร กอ่ นปี พ.ศ. ๒๔๙๖ มโี รงแรมกว๊ งเจา ตอ่ มามีโรงแรมปิ๊กฮวด มาเปน็ โรงแรมนิรันดร์ใ นกลุ่มชินธ เนศ โรงแรมศรีสง่าของนางทองม้วน ศรีสวัสด์ิ ในปพี . ศ. ๒๕๑๔ โรงแรมคลฟิ ทส่ี ร้างด้วยงบประมาณท้องถิ่น โดยเทศบาลตำบลนาสาร สมยั นายนกุ ูล เวยี งวีระ เป็นนายกเทศมนตรจี นถึงปัจจบุ นั ขนมหวานปา้ สม ก่อนพ. ศ. ๒๕00 ขนมหวานในตลาดนาสาร เช่น ขนมถัว่ ตัด ขนมจันอับ ขาวแดง ขนมงาขาวงาดำ ขนมเปี๊ยะ มโี รงงานในตลาดนาสารผลิตสง่ ออกไปต่างตำบล คอื รา้ นหย่งู ้วนจั่น ตลาดนาสาร แตถ่ ้าขนมหวาน ขา้ วเหนียวและขา้ วเหนยี วดำ ข้าวเหนียวเหลอื ง มขี ายในตลาดเช้า แต่ขนมหวานทกุ ชนิดตำรบั ภาคกลางต้อง ขนมหวานปา้ สม้ พ.ศ. ๒๔๔๔ นางสมศรี บุญมี นายสมยั บญุ มยี ้ายครอบครัวมาจากจังหวดั กาญจนบรุ ี พร้อม ลูกสาวสองคนมาขายขนมหวาน นางสาวมลฑา บุญมี นางสาวมาลี บญุ มี เป็นแมค่ า้ ขนมหวานวัย ๑๖ ท่สี วยทส่ี ุดในขณะน้ันเรมิ่ เข็นขนม หวานทกุ ชนิดมาขายหัวมมุ รา้ นน้ำชา ชินฮกงว๊ น ขายต้ังแต่หวั คำ่ จนหนังเลกิ มีลกู เถ้าแกโ่ รงเลื่อย เถ้าแก่ใน

ตลาดนัน้ หมายปองจนไดแ้ ต่งงานกับโก้ ใชเ้ ลง้ ลกู ชายเจา้ ของร้านโกวเล่งก่ี โรงงานผลิตโซดานำ้ จืด น้ำเขียว น้ำแดง ร้านทองยคุ แรกในตลาดนาสาร นายเต็กหย่งุ แซจ่ ิ้ว นายเต็กหยุง่ แซ่จวิ้ เปน็ ชาวจนี ไหหลำ พ.ศ. ๒๕๕๑ ยา้ ยมาอยอู่ ำเภอบ้านนากับเพ่อื น จากประเทศจีนมา รับจา้ งทำสวน พ.ศ. ๒๔๘๔ ยา้ ยไปทำนาท่ีบา้ นเขาหลักอำเภอทงุ่ ใหญ่ ได้หัดทำเครอื่ งเงินเครือ่ งทองรปู พรรณ พ.ศ. ๒๕๔๓ ย้ายไปเปน็ ช่างทองที่จงั หวดั ตรังแล้วแต่งงานกับนางสาวสุเอ้ง ทองหวาน เปน็ ลกู สาวร้านขายยา และรับซอื้ ยางพาราในอำเภอกนั ตัง แล้วยา้ ยมาอำเภอบ้านนาสาร พ.ศ. ๒๔๙๕ เปิดรา้ นทองรูปพรรณและขาย ทองทต่ี ลาดนาสารทถี่ นนนาสารนอก ซ้อื ทองและจำหลอมมเี ทคนิคสกดั ทองจนได้คุณภาพทอง เน้ือบ ริสุทธิ์ พเิ ศษ เป็นที่นยิ มของลูกคา้ มากและเปิดร้านรบั จ้างเย็บเสอ้ื ผา้ เลีย้ งคอกหมูดว้ ยเจเ้ อง้ ภรรยา พ.ศ. ๒๕๐๕ เร่ิมทำงานเกษตรปลูกเงาะโรงเรียนนาสารแปลงแรก พ.ศ. ๒๕๐๖ ทำสวนยางพาราทีบ่ า้ นวังหนิ ตำบลลำพูน โกหนา้ ปาน ทีถ่ ูกเรยี กขานของชาวนาสารเป็นผทู้ ำธุรกิจทำทองทใ่ี ช้ความมุง่ มานะซื่อสตั ยแ์ ละมคี วามโอบ อ้อมอารีเป็นทีร่ ักและนับถอื จนเป็นภาพลักษณข์ องร้านทองหน้าปาน นายเต็กหยุง่ แซจ่ ้วิ เปน็ โกหน้าปานและ เป็นนายทวีชยั สขุ านนท์สวัสด์ิ ท่มี ชี ือ่ รา้ น “ ทองดศี ิลป์” คบู่ ้านนาสารจนถงึ ปจั จุบัน ยง่ กิม เจา้ ของตำนาน ไกท่ อด ปาท่องโก๋ ตำนานปาทอ่ งโก๋ เป็นขนมแปง้ น่งึ คลา้ ยขนมถว้ ยฟูเน้ือแป้งนม่ิ มรี สหวานมสี ีขาวสแี ดงใส่ถาดไมไ้ ผ่ คลุมผ้า ขาวสะอาดวางขายบนโต๊ะหน้าบ้านและเปน็ เจา้ ตำรบั ไก่ทอดนาสาร เน้ือบาง ชบุ แป้งทอดกรอบรสชาตมิ ันเผ็ด พอดี มีรสเครือ่ งเทศผสมอาหารจนี แคะ ตับด้วยไม้ไผ่ผกู เชือกกลว้ ย ทอดดว้ ยน้ำมนั รอ้ นจนเนื้อไกแ่ ห้งแป้งแดง กรอบ แยกชนิดและราคา มีหวั ไกต่ ดั ปากผ่าซกี พร้อมตนี เครอ่ื งในตบั หวั ใจ กระเพาะ ไส้ ขาไก่ รสชาติเดียวกบั ไก่ทอดสมิ เก้ียว ไก่ทอดบนสถานีรถไฟนาสาร ทีย่ า้ ยครอบครัวมาจากจังหวดั ตรงั มารับสิทธิ์ขายของบนรถไฟ เช่น ข้าวทงใบตอง ใบสปั ปะรด ชอ้ นกา้ น ไก่ทอดสมิ เกยี้ ว ก็เป็นอาหารรสเลศิ พเิ ศษของผโู้ ดยสารรถไฟและ การด์ รถทกุ ขบวน

สภาพทางเศรษฐกิจในปจั จบุ นั เทศบาลเมืองนาสาร มีพนื้ ท่สี ่วนใหญ่ทำการเกษตรปลูกพชื เศรษฐกิจทส่ี ำคัญไดแ้ ก่ สวนไม้ผลตา่ ง ๆ เช่น เงาะ ทุเรียน มังคดุ ลองกอง เป็นตน้ และผลไมท้ ่ีข้นึ ชื่อของนาสาร คือ \"เงาะโรงเรียน\" มีถิน่ กำเนดิ อยู่ในบรเิ วณ โรงเรยี นนาสาร เนอื่ งจากเทศบาลเมืองนาสาร มลี ักษณะพนื้ ที่โดยทว่ั ไปเป็นที่ราบล่มุ และท่ีราบเชิงเขา พ้ืนดินมีความ อุดมสมบูรณ์ ประชากรสว่ นใหญ่มีอาชีพด้านเกษตรกรรม จงึ ต้งั บา้ นเรือนกระจัดกระจายไปต ามที่ดินท่ีตน ถอื ครองในเขตชุมชนต่าง ๆ ทง้ั 24 ชุมชน มชี มุ ชนทป่ี ระชากรอาศัยอย่หู นาแน่น คอื พ้ืนที่ในเขตเมือง ซ่งึ เปน็ ศูนย์กลางการคา้ ขาย ไดแ้ กบ่ รเิ วณตลาดนาสาร บริเวณชุมชนห้วยมดุ ชมุ ชนทุ่งคาเกรยี น และชุมชน หน้าสถานรี ถไฟ ดงั ทกี่ ล่าวแล้ววา่ พ้ืนที่เทศบาลเมืองนาสารตลอดจนวถิ ชี ีวติ ของประชากรเปน็ ลกั ษณะกง่ึ เมืองก่ึงชนบท ดังนัน้ อาชพี ส่วนใหญข่ องประชากรจงึ แตกต่างจากทอ่ี ่นื ซึ่งสามารถแสดงให้เหน็ ดังนี้ 1. เกษตรกรรม 65.0 % 2. ค้าขาย 15.0 % 3. รบั ราชการ 10.0 % 4. รับจ้าง 5.0 % 5. อน่ื ๆ 5.0 % การเกษตรกรรม เทศบาลเมอื งนาสารมพี ื้นท่สี ่วนใหญท่ ำการเกษตรปลกู พชื เศรษฐกจิ ทีส่ ำคญั ได้แก่ ยางพารา และสวนผลไม้ มแี หลง่ น้ำทสี่ ำคญั ในการเพาะปลูกจากน้ำใต้ดนิ และน้ำจากคลองฉวางซ่งึ มีอยตู่ ลอดปี การพาณชิ ยกรรมและบรกิ าร เทศบาลเมืองนาสาร มีพื้นท่ีทีเ่ ป็นเขตการพาณิชย์เพียงเลก็ น้ อย เฉพาะในเขตตลาดนาสารเท่านน้ั ประมาณ 280 ไร่ มีตลาดสด 2 แหง่ สำหรบั ประชาชนซอื้ ขายสินคา้ อปุ โภคบรโิ ภคท่วั ไป มีร้านค้าประมาณ 445 รา้ น มธี นาคาร 5 แหง่ ได้แก่ธนาคารออมสนิ ธนาคารเพ่อื การเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารทหารไทย จำกดั (มหาชน) ธนาคารไทยพาณชิ ย์ จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรงุ ไทย จำกดั มหาชน ) สถานธนานุบาล 1 แห่ง โรงฆา่ สัตว์ 1 แหง่ การอุตสาหกรรม เนื่องจากประชากรสว่ นใหญ่ของเทศบาลเมืองนาสาร ประกอบอาชพี ทางด้านเกษตรกรรม มีจำนวน โรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นอ้ ยราย เช่น โรงงานก่อสรา้ งเสาเข็มคอนกรตี อดั แรง นอกนัน้ เป็นอุตสาหกรรม ขนาดยอ่ ยในครัวเรอื นไดแ้ ก่ การทำน้ำดม่ื บรรจุขวด ทำเส้นขนมจีน ซอ่ มรถยนต์ จักรยานยนต์ เป็นต้น

ความเชือ่ ประเพณแี ละพิธกี รรม ชาวนาสารมีความเช่ือสืบทอดกนั มากอ่ นปพี .ศ. 2500 โดยมีความยึดมนั่ ความเชอ่ื น้ัน จะชว่ ยให้ปลอดภยั มีความสุขในชวี ติ เช่น ความเชือ่ เรอื่ งผสี างเทวดา ไสยศาสตร์ เชน่ ผเี จา้ ท่ี ผีเจ้าท่งุ ผเี จา้ ปา่ ผีแมซ่ ้อื หมายถึง ผีของทารกในชาตกิ อ่ น ติดตามลกู ของตนในชาติน้ี ชาวบา้ นสมัยก่อนมกั วติ กว่า ทารก แรกเกดิ อาจเสียชวี ิตในช่วง 3 วนั เนื่องจากผแี มซ่ อื้ จะนำลูกของตนกลับไป แตห่ าก 3 วนั ลว่ งแล้ว ทารกยังมี ชวี ติ แสดงวา่ ผแี มซ่ ้อื ปล่อยใหเ้ ป็นลูกของตนในชาตนิ ้ี มคี ำกลา่ วแต่โบราณว่า “สามวนั ลกู ผี สี่วันลูกคน” ผีครูหมอ หมายถึง ครผู ู้มีความชำราญในคาถาศิลปะวทิ ยาการ เม่ือตายไปแล้วลูกศิษย์ยังคงเคารพนับถอื จะเรียกวา่ ผคี รูหมอโนรา ผีครูหมอหนงั ลุง ผคี รูหมอรกั ษาโรค มีการบชู าตามเวลา หรือการบนบานศาลกล่าว ต่อครหู มอโนรา แกบ้ นด้วยเครือ่ งสังเวย และพิธแี ก้บนครูหมอจัดขนึ้ ทกุ ปใี นวนั จบปจี บเดอื น มีการรำ โนรา ถวาย เชญิ ครหู มอโนรามาประทบั ทรงซ่ึงเรียกวา่ “ลงคร”ู หรือโนราโรงครู ปัจจบุ ันยงั มที ีว่ ัดควนศรี ตำบลพรุพี วัดโฉลกศลิ าราม ตำบลนาสาร วดั กอบแกบ วัดปลายนำ้ อำเภอบ้านนาสาร ผตี ายาย หมายถงึ ผีบรรพบุรุษทช่ี าวนาสารโบราณใหค้ วามสำคญั แกเ่ ครอื ญาติฝ่ายแมม่ ากกว่าฝา่ ยพอ่ และ มักเช่ือวา่ ผีตายายคอยเฝา้ ดูแลลูกหลาน บางบา้ นมหี ้ิงตายายเอาไวบ้ ูชากราบไหว้ มีความเช่ือวา่ เมือ่ ถึงวันสารท หรอื เดอื นสบิ จะกลบั มาเยี่ยมมาพบลกู หลานประจำทกุ ปี ถอื เป็นงานบุญหมรบั – ส่งตายาย ประเพณีวันสารทเดือนสิบ วันรบั – ส่งตายาย เปน็ วันที่ชาวนาสารปฏบิ ัติมาตอ่ เน่ืองแตโ่ บราณ เพ่อื รวม เครอื ญาตทิ ำบุญระลกึ ถึงบรรพบุรุษทีเ่ ช่ือว่า “ตายาย” เป็นความเชอ่ื จากคติ ปพุ เปตพลี ในชว่ งวันแรม 1 ค่ำ เดอื น 10 เปน็ วนั รบั ตายาย ถึงวันแรม 15 คำ่ เดือน 10 จะเปน็ วันตัง้ ร้านเปรตส่งตายาย กอ่ นวนั ทำบญุ ส่งตา ยายจะมกี ารร่วมกันทำขนมเดอื น 10 เชน่ ขนมลา (แทนเสอ้ื ผ้า) ขนมข้าวพอง (แทนแพใหต้ ายายข้ามแมน่ ้ำ) ขนมกง (แทนเครอ่ื งประดบั ) ขนมสะบ้า (แทนลูกสะบา้ ไวเ้ ล่นวนั สงกรานต์) ขนมดซี ำ (แทนเงินเบยี้ ไวใ้ ช้จ่าย) ลกู หลานจัดเตรยี มอาหาร ขา้ วของเครือ่ งใชส้ ำหรบั ให้ตายาย โดยจดั ลงสำรับ ทีเ่ รียกว่า “หมรบั ” บางท่ีเรียกวา่ “จาด” จะมีการตั้งรา้ นเปรต โดยวางขนมนมเนยบนหลาเปรต หรอื ร้านเปรต เม่ือพระสงฆ์สวดบงั สุกุลเสร็จ เด็ก ๆ กส็ นุกกับการ “ชิงเปรต” หรือแย่งของบชู า ซ่ึงเมอื่ ได้มาแล้วถือว่าเสมือนได้พรจากตายาย หลงั ปพี .ศ. 2455 แผ่นดนิ นาสารมีชาวจีนอพยพเข้ามาอยู่อาศยั ทำธุรกจิ เหมืองแร่ และทำทางรถไฟ มี นายฮ่อ สุงหล่อง นายเต็งลี นายต้นวันไหล นายหวัง ซเ่ี จ้ิน นายหยบั เส็ง ชาติอาสา นายเต็งกี่ มาทำการเกษตร ปลูกขิง แซ่ แต่ต้ึง ชาวจีนแคะ กวางตุง้ ฮกเก้ียน ไหหลำ ตลาดนาสารมีวัฒนธรรมประเพณีของชาวจีน วัฒนธรรมการแตง่ งาน งานฉลองเทศกาล และประเพณี ประเพณีเทศกาลตรุษจีน ตรงกับวันท่ี 1 เดือน 7 ตามปฏทิ ินจีน หรือประมาณเดอื นกุมภาพนั ธ์ หรือต้น เดือนมนี าคมของไทย ก่อนวันตรุษจีนมีการทำความสะอาดบา้ นเรือน ร้านค้า ท่ีอยู่อาศยั วนั สำคญั คือ วนั ไหว้ เซ่นไหวเ้ ทพเจ้า เจ้าท่ี และวิญญาณบรรพบรุ ุษ ชว่ งบ่ายของวันไหว้เปน็ การเลีย้ งฉลองสังสรรค์ระหวา่ งญาตมิ ติ ร มกี ารแจกองั่ เปาเป็นซองแดงบรรจธุ นบตั ร รงุ่ ขึ้นเปน็ วันทอ่ งเที่ยวพกั ผอ่ น ประเพณีเช็งเมง้ เปน็ เทศกาลเซ่นไหวด้ วงวิญญาณบรรพบุรษุ ทีห่ ลมุ ฝงั ศพ มีการทำความสะอาดฮวงซุ้ย ตกแต่งใหส้ วยงาม ตรงกับวนั ท่ี 5 เดอื น 3 ตามปฏิทนิ จนี หรอื ตรงกบั วันที่ 5 เดอื นเมษายนของทุกปี ประเพณี เช็งเมง้ เป็นการแสดงถงึ ความกตัญญรู ะลกึ ถงึ พระคุณบรรพบุรษุ นอกจากนช้ี าวจนี ในนาสารยังมีประเพณสี ารท จนี ประเพณีไหว้พระจนั ทร์

สถานทส่ี ำคัญ ถ้ำเหมน็ (ถ้ำขม้นิ ) ต้งั อยู่ในเขตอุทยานแหง่ ชาตใิ ต้ร่มเย็น ใน เขตอำเภอบา้ นนาสาร จงั หวัดสุราษฏร์ธานี อยู่ ในเขตเทศบาลนาสาร เป็นถ้ำหินปูนทมี่ ีขนาด กว้างใหญ่มาก มีหินงอกหินย้อยที่มีความ สวยงามและเปน็ ที่อยูอ่ าศัยของค้างคาวจำนวน มาก ภายในถ้ำจัดให้มีเส้นทางการศึกษา ธรรมชาติ ระยะทาง 1250 เมตร ห่างจาก ตลาดนาสารไปทางถนนสาย 4009 นาสาร – บา้ นดอน ประมาณ 3 กโิ ลเมตร ถ ้ ำเ ห ม ็ นเ ป ็ นช ื ่ อท ี ่ป ระ ช าชนใ นท ้ องถิน่ คลองหา – นาเตรียะ เรียกขานมาแต่โบราณ ดว้ ยเป็นสถานที่เก่ยี วพันกบั วิถีชีวิตท างด้าน เศรษฐกิจและศาสนา กอ่ นปพี .ศ. 2500 ถ้ำเหม็นเปน็ แหล่งผลติ ปุ๋ยธรรมชาติดว้ ยเป็นท่อี าศัยของค้าง คาว “ขคี้ ้างคาว” จงึ เปน็ วสั ดุทางการเกษตร การปลกู พชื เกษตรทงั้ ยืนตน้ และพืชลม้ ลกุ ท่มี ปี ลกู โดยทั่วไป จงึ ทำให้ นาสารเปน็ แหลง่ ผลติ ขงิ สง่ ออกไปขายในท้องถิน่ รอบนอก โดยการบรรจเุ ขง่ ไมไ้ ผส่ ่งทางรถไฟ สู่หาดใหญ่ นครศรธี รรมราช ตรัง ชุมพร ถ้ำเหม็นเคยเป็นแหลง่ เศรษฐกิจอันสำคัญท้ังในสว่ นแรงงานในทอ้ งถ่ินและการทำธุรกิ จขค้ี า้ งค าว ซึ่งมี จำนวนมากภายในถ้ำ นอกจากจะซ้ือขายใช้ในตำบลนาสารแลว้ การทำเกษตรในเขตภาคใต้คือการปลูกข้าว ในเขตอำเภอไชยา มะลวน หัวไทร ร่อนพิบูลย์ ปากพนัง พัทลุงและจากอำเภอภาคใต้ตอนบ นจนภ าค ใต้ ตอนล่าง กอ่ นปีพ.ศ. 2517 นายเรียง เกาไสยานนท์ และนายเหือม ชใู จ ได้ทำการสง่ ออกขีค้ า้ งคาวจากถ้ำ เหมน็ โดยใชแ้ รงงานในท้องถิน่ นับสิบชีวติ บรรจุกระสอบกก ขนด้วยเกวยี นไปสง่ สถานีรถไฟ หลงั ปี 2517 มีการแยกชน้ิ ส่วนรถจิ๊บเล็กนำขน้ึ ไปบนถ้ำเพอื่ บรรทุกขี้คา้ งคาวจากถ้ำด้านในออกสูป่ ากถ้ำ แทนการแบกหามโดยแรงงาน ถ้ำเหมน็ จงึ เปน็ แหลง่ ผลิตปุย๋ ธรรมชาติทผ่ี ูกพัน กับวิถีชวี ติ ของชาวนาสาร เปน็ การอยู่ รว่ มกันดว้ ยภมู ปิ ัญญาและธรรมชาติ ถำ้ เหม็นถกู เปลีย่ นช่ือเป็นถ้ำขม้ิน ใชเ้ รียกชือ่ เป็นทางการทเ่ี ผยแพรอ่ ย่าง แพร่หลาย เป็นสถานที่ท่องเท่ยี วท่ี สำคัญของอำเภอบ้านนาสาร จงั หวัด สรุ าษฎร์ธานี

คลองฉวาง คลองฉวางมตี น้ กำเนิดมาจากเขาหนองไหลผ่าน 4 ตำบล ผ่านตำบล เพม่ิ พนู ทรพั ย์ เขตเทศบาลเมือง นาสาร ไปทางทิศตะวนั ตกสู่ตำบลนำ้ พุ ไปออกสู่แมน่ ำ้ ตาปที ่บี ้านปากหวาน ตำบลท่าชี ความยาวประมาณ 50 กโิ ลเมตร คลองฉวางในอดตี เคยเป็นเสน้ ทางคมนาคม และการเดินทางของหลวงสิทธิปลัดเมอื งนครศรีธ รรมราช ท่ีตั้งตวั เป็นเจ้าไม่ยอมขนึ้ ดว้ ยกรงุ ธนบรุ ี กรงุ ธนบรุ ไี ด้ให้หลวงศักด์ิเปน็ แมท่ ัพยกกำลังมาปราบ กรุงธนบุรียกทพั ข้ามแม่น้ำตาปีท่บี า้ นท่าขา้ ม นายหลวงสทิ ธิปลัดเมอื งนครศรีธรรมราชมาตง้ั ทัพรบั ทบ่ี ้านท่าหมาก นาสาร การ มาครงั้ แรกกรงุ ธนบุรตี อ้ งถอยทพั ไปรวมกบั เมอื งไชยา แลว้ กลบั มาทำการรบท่ีบ้านท่าข้าม จนปลัดเมือง นครศรีธรรมราช ต้องถอยทัพกลบั อกี หลกั ฐานทางประวัติศาสตรท์ เี่ ชือ่ ได้วา่ คลองฉวางกับความสำคัญของกา รเป็ น เส้นทางคมนาคมมาแตโ่ บราณ เมื่อคร้ังเป็น แขวงอำเภอลำพนู ทีอ่ ย่ใู นการปกค รองของ เมืองนครศรีธรรมราช กรุงธนบุรีให้พระยา จักรี (แขก) เป็นแม่ทัพใหญ่คุมกำลังพล 5,000 ย ก มาต ีเมือง นค รศรีธ รร มราช กองทัพยกลงมาถงึ แมน่ ้ำหลวง (แมน่ ำ้ ตาปี) มาถงึ บ้านทา่ หมาก แขวงอำเภอลำพนู แดน เมืองนครศรธี รรมราช มีกำลังข้าศึกตง้ั ค่ายสกัด กองทัพกรุงธนบรุ พี ่ายแกข่ า้ ศกึ พระยาศรพี พิ ฒั นแ์ ละพระยา เพชรบรุ ตี ายในทีร่ บ คลองฉวางในชื่อเรียกภาษาทอ้ งถิน่ ทเี่ รยี กวา่ “คลองหวาง” มีสองนัยยะอนั สำคญั ทีม่ ีส่วนสมั พันธ์กับวิถี ชวี ิตคนในทอ้ งถ่ิน ประการแรกการเรียกชื่อคลองหวาง จากวถิ ชี ีวติ โบราณกอ่ นมีการคมนาคมที่เปน็ ถนน คือ การสญั จรเพ่อื การติดต่อกับสว่ นราชการหรอื การคา้ ขายของประชาชนที่มาจากตำบลทุ่งเตา บา้ นเฉียงพร้า หรอื เขตหมบู่ ้านใกลเ้ คียงจะตอ้ งออกจากบา้ นมาในเวลาคำ่ คืน เมื่อมาถงึ คลองหวางตามภาษาท้องถิ่นทแ่ี ปลวา่ สวา่ ง หรือรงุ่ เชา้ ท่มี ีรอ่ งรอยก่อน พ.ศ. 2435 คอื รอยเหยยี นใตบ้ ริเวณหวั สะพานวัดนาสาร

วัดอภยั เขตตาราม (วดั ใหม่) สร้างขน้ึ โดยพระครูอภยั เขตนคิ มเจา้ อาวาสวดั บา้ นส้อง เม่ือปี ๒๔๘๒ โดยมีพระมหาบญุ มเี ปน็ เจา้ อาวาสองค์แ รก จนถึงปี ๒๔๙๖ อาจารยพ์ นั ธ์ พระครูพศิ าลคุณาภรณ์ ฉายา สุจิณโณ เปน็ เจ้าอาวาสจนถงึ ปัจจุบัน ท่ตี ั้งวดั ใหม่เดิมเป็น ที่ดนิ ของ นางซว้ น เสียงสุวรรณ ตง้ั อย่ฝู ั่งตะวนั ตกริมทาง รถไฟ มีพนื้ ทป่ี ระมาณ ๑๐ ไร่ โรงพระจีน หัวเฉยี วฉือสา้ นเสื้อ ก่อนสงครามโลกครง้ั ท่ี ๒ กอ่ นปพี .ศ. ๒๔๔๐ มีการสรา้ งทางรถไฟสายใต้ ไดม้ ีหวั หนา้ จับกังทม่ี าควบคุม การก่อสร้างได้ตงั้ ศาลบชู าเจ้าที่ ตามความเช่อื บรเิ วณริมคลองฉวางหวั สะพานโค้งฝั่งทิศเหนือจนเป็นศาลเจ้าที่ ชาวจนี ในตลาดนาสารเคารพบูชามาแตโ่ บราณ จนปพี .ศ. ๒๕๐๕ เกดิ อุทกภยั และวาตภยั ในภาคใต้ ชาวจนี โดย คณะกรรมการได้ก่อสร้างศาลเจ้า “หัวเฉยี วฉือส้านเสื้อ” ในที่ดินบริเวณสี่แยกถนนนาสาร – บ้านดอน ในกโิ ลเมตรที่ 1 ถนนสาย ๔๐๐๙ ในทด่ี ินถอื ครองของนายชิงฟู แซอ่ ู้ บดิ านายชัช อุตมางกูร ได้มอบให้ คณะกรรมการโรงพระ ฯ ตอ่ มาคณะกรรมการซง่ึ มีนายฮ่อเกว นายจชู อ้ ยและนายยิดสือ ได้ตดิ ต่อขออนุญาต ก่อต้งั เปน็ “สมาคมกุศลสงเคราะหบ์ ้านนาสาร”

วัดนาสาร เปน็ วัดประจำอำเภอบา้ นนาสาร ในความรบั ผดิ ชอบสงั กัดคณะสงฆ์มหานกิ าย ทิศเหนือจดหมบู่ ้านพัชริน ทิศใตจ้ ดคลองฉวาง ทิศตะวนั ออกจดเขานาสาร ทศิ ตะวันตกจดทุง่ นาสาร วัดนาสารตงั้ เม่อื ปี พ.ศ. 2455 เปน็ วัดทีเ่ คารพบชู าของประชาชน โดยชาวนาสารและชาวสุราษฏรธ์ านี จุดเดน่ ของวัด คือ ภายในวัดติดกับเขา นาสาร ซ่งึ มีถำ้ ขนาดใหญ่และมเี อกลักษณท์ ่ีสวยงาม คงความเปน็ ธรรมชาติ เหมาะสำหรบั นกั ทอ่ งเท่ยี วทสี่ นใจ ไหวพ้ ระและทอ่ งเท่ยี วทางธรรมชาตขิ องถำ้ ภเู ขาทรายเหมืองแกะ เมอื่ ปพี .ศ. 2469 นายเคหว่อง ชาวจนี สญั ชาติมาเลเซยี จากเมอื งปีนัง ไดเ้ ข้ามาบุกเบกิ ทำเหมืองแร่ดีบุก ในขั้นตอนของการขดุ แร่ดบี กุ น้นั จะต้องดดู ทรายขึน้ มาเพอ่ื แยกรอ่ นแร่ออก นานวันเข้ากองทรายที่ดูดขึ้นมา ก็ไดก้ ลายเป็นเนนิ ทรายกองมหมึ าเท่าภูเขา จนกลายเปน็ สถานท่ีท่องเทีย่ วทนี่ า่ สนใจในปจั จุบนั

การเปลยี่ นแปลงทางสังคมและวฒั นธรรม สถาปตั ยกรรมแนวชิโน-โปรตุกสี ชิโน (SINO) แปลว่าจนี ส่วนโปรตุกีส คอื ประเทศโปรตเุ กส - รูปแบบสถาปัตยกรรมชิ โน-โปรตุกสี เรมิ่ มีในภาคใต้ข อง ประเทศไทยประมาณปี พ.ศ. ๒๔๕๖ แถวเมอื งชายทะเลจาก ก ล ุ่มผ ู้ทำเหมือ งแร่ชาวจีน ชาวตะวันตกในยคุ โคโลเนี่ยน - มลี กั ษณะทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณ์ ทางสถาปัตยกรรมทีม่ ีรปู แบบ เฉพาะ ถ้าเป็นอาคารที่ เป็น ตกึ แถวบรเิ วณทอ้ งถน่ิ เกาะภูเกต็ เรียกว่า “เตี๊ยมฉู่” ถ้าเป็น คฤหาสน์เรยี กวา่ “อ้ังมอ้ หลา่ ว” - ถ้าเป็นอาคารคอนกรตี จะมีชอ่ งลมเป็นลวดลายและมีกระจกประดบั มคี วิ้ บัว มีลายปูนปั้นตามรปู แบบ ประโยชน์ใชส้ อยและสัญลกั ษณ์ มเี สาดา้ นหน้าอาคาร เวน้ เป็นทางเดินใต้ชายคาอาคาร - ภายในอาคารมีราวบันได ราวเฉลยี งและลกู กรง กลางบา้ นที่พักอาศยั จะมโี ถงโลง่ จะมบี อ่ นำ้ หรือลาน ภายในบา้ น ประดับปพู นื้ ดินเผาทมี่ ลี วดลาย สถาปตั ยกรรมชิโน-โปรตกุ สี แบบท้องถน่ิ นยิ มในบ้านนาสารยุคแรก นบั วา่ เป็นรปู แบบอาคารทพ่ี กั อาศยั ที่ ไดร้ ับความนยิ มมาก นอกนนั้ เปน็ บ้านพกั ของคนทำเหมืองแร่ สถานที่ราชการมีใหเ้ ห็นในตลาดนาสาร อาคารที่ อยอู่ าศัยจะมีบอ่ นำ้ ส่วนตัวอยู่กลางบา้ น ถา้ เป็นอาคารรว่ มจะมบี ่อน้ำใช้ระหว่างอาคาร การตกแต่งภายใน จะเป็นแบบวินเทจ เช่น ผ้าปูโต๊ะ ม่านหน้าตา่ ง มีลายลูกไม้สวยงาม ราวบันได เก้าอี้ โต๊ะ เป็นไม้กลงึ “แนวเชคโค\" ใชต้ ะเกียงเจา้ พายใุ ห้แสงสวา่ ง อาคารแบบชโิ น–โปรตกุ สี ในบา้ นนาสารยังมใี นถนนนาสารนอก – นาสารใน ถนนวิเวก ชโิ น-โปรตกุ ีส เป็นสถาปตั ยกรรมผสมผสานตะวนั ออก – ตะวันตกยคุ จกั รวรรดินิยมองั กฤษมีอทิ ธพิ ลจาก มลายรู ุง่ เรอื งและมมี ากในภาคใต้เมืองทา่ ริมฝั่งทะเลมาเกอื บ ๑๐๐ ปี คนนาสารเคยมีความเข้มข้นทางค่านิยมอาคารชิโน-โปรตกุ ีส สถานทร่ี าชการ ที่ว่าการอำเภอบา้ นนาสาร กอ่ นปีพ.ศ. ๒๔๘๔ จะมเี สาหนา้ รว่ มกันตามค่านิยมในยคุ น้นั ต่อมามีการลดเสาออกคงไว้แต่ทางเท้า อาคารมี ช่องลมเพอ่ื ระบายอากาศชน้ั บนและช้ันล่าง อาคารฉลเุ ปน็ ลายเครอื เถาวส์ วยงามมีคำยันประดับหัวเสา หรอื ใช้ เปน็ ไมค้ ้ำยันเปน็ รปู ทรงเรขาคณติ ก่อนปี พ.ศ. ๒๕๐๐ อาคารไมแ้ ปรรปู แบบท้องถนิ่ นยิ มชโิ น–โปรตกุ ีสของบา้ นนาสารไดห้ มดไปเม่ือมีก าร ก่อสรา้ งอาคารพาณิชยต์ ามแบบของการทางรถไฟแหง่ ประเทศไทยและการชำรุดตามสภาพ

ประตมิ ากรรมพระบรมราชานสุ รณ์ ปพี .ศ. 2558 จากความคดิ นายธีระพล ช่วยเรยี ง อดีตนายอำเภอบ้านนาสาร นกั ปกครองผูม้ ีวสิ ัยทัศน์ ไดม้ องเห็นพนั ธกจิ อัน สำคัญที่มีต่อการปกครองทอ้ งถ่นิ และความ จงรักภกั ดีไดร้ วบรวมกำลงั ศรทั ธาจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในแต่ละตำบลและนักธรุ กิจใน ตลาดนาสารได้ทำการกอ่ สร้าง โดยมพี ระ บรมรูปรัชกาลท่ี 5 สูง 1.50 เมตร หล่อ โลหะรมดำ มปี ระตมิ ากรรมนนู สงู ดา้ นหลงั พระบรมรูปมีเรอ่ื งราวพระราชกรณยี กิจของ พระบาทสมเดจ็ พระปิยมหาราช รชั กาลที่ 5 และประวัติเรอื่ งราวของอำเภอบ้านนาส าร ด้านเศรษฐกิจแต่โบราณ ป่าไม้ ยางพารา เหมืองแร่ และเงาะโรงเรียนนาสาร มีนาย เขี้ยง เกิดนาสาร ออกแบบ นายสมมิตร ประตมิ ากร ตงั้ อยู่ทางทศิ เหนือของทีว่ ่าการ อำเภอบ้านนาสาร ประตมิ ากรรมลอยตวั พระโพธิสตั วก์ วนอิม ตามสภาพภูมศิ าสตร์และลกั ษณะฮวงจ้ยุ ตามตำนานฮวง จุ้ยนาสารทมี่ ีเขาวัดนาสารและเขาสามยอด คอื เหตุแห่ง ศาสตรแ์ ละความเชื่อ นายสุวรรณ เจนนพกาญจน์ นายก เทศมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๒ เข้าใจความเชอื่ จึงไดส้ รา้ งส่งิ อันเปน็ มงคลความเชื่อ ดังกล่าว โดยการศึกษารูปแบบพระโพธิสัตว์กวนอิมจาก หลากหลายสถานท่ี เชน่ สมุทรสงคราม ศาลเจา้ ทงุ่ สง วดั ถ้ำเสอื จังหวัดกระบี่ ฯลฯ ไดส้ รปุ รูปแบษตามคณะกรรมการโดยมอี าจารย์คำแหง วิชยั ดิษฐ์ เปน็ ประธาน โดยใหน้ ายเขี้ยง เกิดนาสาร ออกแบบ อาจารย์เม จากวัดกระเบียด เป็นประติมากรและไดม้ ี คณะกรรมการจากทอ้ งถิ่นมาร่วมมอี าจารย์พิชิต เอ่งฉ้วน และกลุ่มประชาชนนักธรุ กจิ รว่ มดำเนินการต่อแล้วเสร็จในปพี .ศ. ๒๕๔๗ สมัยนายโกศล

สว่ นประกอบเครอ่ื งลำยองหน้าบนั โบสถว์ ัดนาสาร ปพี .ศ. ๒๔๗๒-๒๔๘๐ประติมากรรมและเครืองลำยอง วัดนาสาร พระอุโบสถวัดนาสารสร้างในปพี .ศ. ๒๔๗๒ โดยชา่ งโบราณในเมอื งสุราษฎรธ์ านี ตามเวลาการก่อสร้าง เสร็จ ปีพ.ศ. ๒๔๔๐ ท่ถี อื ว่าเป็นศลิ ปะไทยประเภทประติมากรรมและสถาปตั ยกรรมทส่ี วยงามท่ีสุด 1.งานสถาปตั ยกรรมตวั พระอุโบสถ มขี นาดพอดีไม่ใหญ่ไมเ่ ลก็ เกนิ ในสมยั ปัจจบุ ัน สอดคลอ้ งกับการทำกจิ ของสงฆอ์ ยา่ งพอเหมาะ 2.ส่วนประกอบอันสำคญั ของหนา้ บันโบสถ์ทเี่ ป็นเครือ่ งลำยอง ไดอ้ อกแบบสวยงาม เถาวล์ ายก้านขดได้ สัดส่วนของช่องไฟ ระยะตัวลายและบากตวั ลาย ความวจิ ิตรของเถาวล์ ายทซ่ี ับซอ้ นไดจ้ ังหวะไม่ขดั ตา 3.ความสวยงามของลายหนา้ กระดานส่วนรองรบั เครื่องบน เปน็ ประจำยามลายพลวิ้ ไม่ขดั ตากระจัง รวน ขนาดพองามบอกคณุ สมบตั ิของกระจังรวนไดช้ ัดเจนท้งั ซา้ ย - ขวา 4.ช่อฟ้าออกแบบเปน็ นกหัสดายุ ไมเ่ หมอื นซอ่ ฟา้ ท่วั ไป ของสถาปตั ยกรรมไทยขนบนยิ มขณะน้ันจนถึง นางหงส์ทม่ี ีความวจิ ติ รพิสดาร เปน็ สัตว์หมิ พานตส์ อดรบั จนต้องยอมรับว่าเปน็ ฝีมือชา่ งทเี่ รอื งภูมริ ู้ 5.นอกจากลวดลายก้านขดท่ีสำคญั คือ การผูกลายพระนารายณ์ทรงนาคสดั ส่วนรูปร่างช่างสมสว่ นจนไม่มี ทต่ี ำหนิได้ จนการจบยอดลายกา้ นขดเปน็ เทวดา ๘ องคเ์ ป็นสิ่งปกปกั รักษาชาวนาสารทง้ั แปดทศิ 6.การออกแบบตัวอกั ษรประกอบหน้าบันทศิ ตะวันออกและทศิ ตะวันตกเป็นอกั ษรไทยประยุกต์ท่สี วยงาม ลงตวั ของสัดส่วนและซอ่ งไฟ จนแทบไม่นา่ เชอื่ ว่าเป็นการผูกลายโดยชา่ งในท้องถ่ินสมัยโบราณ สถาปตั ยกรรมและประตมิ ากรรมของนาสารทมี่ ปี รากฏมาชา้ นานได้มีการจัดซ่อมมาสองคร้งั คร้งั แรกหลงั ปี พ.ศ. ๒๕๓๑ และไดซ้ ่อมอีกคร้งั ในปพี .ศ. ๒๕๕๙

โนราสาย สมแก้ว ศลิ ปินภูมิปญั ญาท้องถน่ิ ผู้ดำรงเอกลักษณ์ ศิลปะท้องถิ่นใต้ของนาสาร จงั หวดั สรุ าษฎรธ์ านี โนราสาย สมแก้ว เป็นลกู ของนายสรวง สม แก้ว คนตเี ครื่องโนราในทอ้ งถน่ิ พนื้ เพเป็นชาว ตำบลนาสาร หมูบ่ ้านวงั หล้อ หดั โนรามาตั้งแต่ อายุ ๑๒ ปี จากครูหมอโนราพุม่ บ้านวังหลอ้ และครูโนราขวัญ บ้านคลองหาเหนอื โนราสายมคี วามเขม้ ข้นในการดำรงวิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่นบา้ นนาสาร ของชมุ ชน วงั หลอ้ จากอดตี จนปัจจบุ ัน โนราในฐานะทเี่ ปน็ การแสดงพนื้ บา้ นชาวใต้ ทม่ี คี วามผูกพนั และมีบทบาทหน้าท่ีต่อวิถีชีวิต ของชาวภาคใต้ ทั้งในด้านความบันเทิง การ ประกอบพิธกี รรมในสว่ นการแสดงพื้นบ้านมี บทบาทในฐานะเปน็ สอ่ื บันเทงิ ของคนในท้องถ่ิน ในพธิ กี รรมทางความเชื่อและศาสนา เกิดขน้ึ ในแต่ละช่วงของชีวติ ชาวบา้ นตัง้ แตเ่ กิดจนตาย โนราเป็นวฒั นธรรมพื้นบา้ นท่มี สี ่วนชว่ ยให้วัฒนธรรมของชาวบา้ นมั่นคง ยงั เปน็ ภาพสะท้อนของสังคม วฒั นธรรมและสภาพแวดล้อมอน่ื ๆ โนราเป็นนาฏศิลปท์ ่ีเปน็ ตวั แทนของชาวภาคใต้ ทบี่ อกได้ถงึ ความแข็ง กรา้ ว บึกบึน ฉับไว และเดด็ ขาด ภาพท่ปี รากฏของลลี าท่าทางในทา่ รำมนี ัยอันสำคญั ท่ีสัมพันธ์กบั บุคลิกภาพ ชาวใต้

การดำเนนิ งานโครงการยกระดับเศรษฐกจิ และสงั คมรายตำบลแบบบรู ณาการ กิจกรรมรกั ษต์ ้นไม้ฟน้ื ฟูส่งิ แวดลอ้ มในชุมชน ณ วัดสวา่ งประชารมณ์ ชุมชนสวนมังคุด ตำบลนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี

กจิ กรรมอบรมการให้ความร้พู ัฒนายกระดับสู่ OTOP ผ่านระบบออนไลน์(Google Meet)

การพัฒนาสัมมาชพี และสรา้ งอาชพี ใหม่(การยกระดับสินคา้ OTOP/อาชพี อืน่ ) กจิ กรรมอบรมการตลาดชอ่ งทางออนไลน์ ผ่านระบบออนไลน์ (Google Meet)

กจิ กรรมการอบรมเชงิ ปฏิบตั ิการสตู รมาตรฐานผลติ ภณั ฑ์ชมุ ชน และความปลอดภยั ในอาหาร เพอ่ื การยกระดับสู่ มาตรฐานผลิตภณั ฑ์ OTOP (หลกั สูตรสาขาวิชาชวี วทิ ยา สังกดั คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สัมมาชพี การทำกอ้ นเชอ้ื เห็ด) ณ ศาลาอเนกประสงค์ ชมุ ชนศรีเวยี ง ตำบลนาสาร อำเภอบา้ นนาสาร จังหวดั สรุ าษฎร์ธานี

การอบรมถา่ ยทอดองค์ความรภู้ มู ปิ ัญญาทอ้ งถิน่ โดยปราชญ์ชาวบ้าน สืบสานภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ระบบออนไลน์ (Google Meet)

การอบรมสง่ เสรมิ ผลติ ภณั ฑ์ท้องถน่ิ สรา้ งรายไดใ้ ห้ชมุ ชน(ไตปลาแหง้ ) ผา่ นระบบออนไลน์ (Google Meet)

กิจกรรมหลกั สูตรสาขาวชิ า นวัตกรรมอาหารและโภชนาการสังกัด คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สมั มาชีพกลว้ ยฉาบปรงุ รสในบรรจภุ ณั ฑ์ รสปาปริกา้ บาบิคิว และกลว้ ยกวน) ณ ศาลาอเนกประสงค์ ชมุ ชนศรีเวียง ตำบลนาสาร อำเภอบา้ นนาสาร จังหวัดสรุ าษฎรธ์ านี

กจิ กรรมหลักสตู รสาขาวชิ า นวตั กรรมอาหารและโภชนาการสงั กดั คณะวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สัมมาชพี เต้าฮวยมะพรา้ วออ่ นและวุ้นผลไม)้ ณ ศาลาอเนกประสงค์ ชุมชนศรีเวยี ง ตำบลนาสาร อำเภอบา้ นนาสาร จังหวัดสรุ าษฎร์ธานี


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook