ห น้ า | ๕๑ โซเชียล จนทาให้นักแสดงหนุ่มถูกถอดออกจากการเป็นพิธีกรและ ยตุ บิ ทบาทนักแสดง รวมท้งั รบั โทษตามกฎหมายเช่นเดียวกับคู่กรณี อย่างไรก็ตามจากกรณีข้างต้น ก็ให้บทเรียนกับนักแสดงหนุ่ม และ สานึกได้ว่าตนไม่ควรทาเช่นน้ัน และนาบทเรียนน้ี แบ่งปันและเป็น บทเรียนใหก้ ับเยาวชนและคนในสงั คมวา่ ไม่ควรเอาเป็นเย่ียงอย่าง อีกหน่ึงตัวอย่างท่ีไม่พึงปฏิบัติตาม กรณีขาดวินัยและไม่ เคารพกฎหมายจนตอ้ งถูกลงโทษของอดีตผู้บริหารขององค์กรอิสระ แห่งหน่ึง ซึ่งได้อนุมัติให้มีการสัมมนาที่ต่างจังหวัด โดยไม่ได้จัดการ สัมมนาข้ึนจริง ต้ังเรื่องให้มีการจัดสัมมนาเพ่ือให้บุคคลท่ีมีรายชื่อ เขา้ รับการสัมมนาได้ไปร่วมงานถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน และ สามารถเบิกค่าเดินทาง ค่าที่พัก ตลอดจนค่าใช้จ่ายต่างๆ อันเป็น การใช้จ่ายเงินงบประมาณ โดยไม่มีสิทธิเบิกจ่ายโดยชอบด้วย กฎหมายเพ่ือเป็นการอาพรางนาเงินงบประมาณของรัฐ มาเพ่ือ ประโยชน์ของตนเองและผู้อ่ืนโดยทุจริตเป็นเหตุให้เกิดความ เสยี หายแก่ทางราชการ เป็นการกระทาท่แี สดงถึงการไม่ดารงตนอยู่ ในวินัยและปฏิบัติการที่ไม่เคารพกฎหมายและใช้ทรัพยากรของรัฐ มาเพื่อประโยชน์ส่วนตน ในกรณีน้ี ผู้กระทาการถูกฟ้องร้องเป็น คดอี าญาและศาลได้ตดั สินลงโทษในท่ีสดุ
ห น้ า | ๕๒ ๒.๗ ความมเี หตผุ ล “ความมีเหตุผล” โดยทั่วไปมีความหมายท่ีง่ายตรงตามที่ ปรากฏ นั่นก็คือ การท่ีบุคคลใช้เหตุผลในการพิจารณาส่ิงท่ีจะ ดาเนนิ งานใดๆ ด้วยความถถี่ ว้ นรอบคอบ ไม่ย่อท้อ ไร้อคติ คานึงถึง เหตุและปัจจัยแวดล้อมทั้งหมด เพ่ือให้การดาเนินงานเป็นไปอย่าง ถูกต้องดีงาม เกิดประสิทธิผล เกิดประโยชน์และความสุข โดย ปราศจากการเบยี ดเบียนตนเองและผู้อ่ืน๑๗ ซึ่งหลักความมีเหตุผลนี้ เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สาคัญของ “หลัก ๓ ห่วง ๒ เง่ือนไข” ตาม แนวคิดปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรม ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อัน หมายถึง การตัดสินใจดาเนินการเรื่องต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลตาม หลักวิชาการ หลกั กฎหมาย หลักศีลธรรมจริยธรรม และวัฒนธรรม ท่ีดีงาม โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยท่ีเกี่ยวข้อง ตลอดจนคานึงถึง ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทาน้ัน ๆ อย่างรอบรู้และ รอบคอบ ดังน้ัน การยึดหลักความมีเหตุผลตามแนวคิดดังกล่าวนี้ จะต้องมีคุณลักษณะอื่นที่เป็นองค์ประกอบร่วมด้วย ท้ังต้องมีความ อดทนอดกล้ัน สามารถยอมรับความแตกต่างระหว่างบคุ คล ยอมรับ ความแตกต่างทางความคิดของผู้อื่น ตลอดจน ยอมรับในข้อมติ ตา่ ง ๆ ได้ด้วยความเตม็ ใจ หากเราทกุ คนยึดถอื หลกั ความมีเหตุผลนี้ เป็นหลักปฏิบัติในการดาเนินกิจการงานใดแล้ว ย่อมทาให้งานน้ัน ๑๗ จาก สถาบันไทยพัฒน์ มูลนิธิบรู ณะชนบทแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชปู ถมั ภ์ https://faq.sufficiencyeconomy.com/๒๐๐๗/๐๒/blog-post_๒๐.html
ห น้ า | ๕๓ บรรลุความสาเรจ็ บนความถกู ตอ้ งดงี ามและไม่ไปกระทบเบียดเบียน ผู้อ่นื และสงั คม
ห น้ า | ๕๔ จากแนวคิดสตู่ วั อย่างการปฏิบัติ หลักความมีเหตุผล คือ หลักสาคัญในกระบวนการประชุม รัฐสภา โดยกระบวนการประชุมสภา เป็นเวทีการขับเคลื่อนการ ดาเนินการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลโดย ตัวแทนของประชาชน๑๘ เป็นการประชุมเพ่ือแสดงความคิดเห็นท่ี แตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการต้ังกระทู้ถามการ ดาเนินงานของคณะรัฐมนตรีโดยสมาชิกรัฐสภา ซ่ึงมีการกาหนด กรอบในการตั้งกระทู้ที่ต้องมีความชัดเจน เข้าใจได้ สุภาพ และมุ่ง ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนมากท่ีสุด ทั้งผู้ถาม กระทู้และผู้ตอบจาเป็นต้องค้นคว้าเพื่อให้รอบรู้และเข้าใจในเรื่องที่ ถามและตอบ ในส่วนของกระบวนการอภิปรายและการลงมติ เป็น การกระบวนการซ่งึ เปิดให้มีการพิจารณาและปรึกษาเร่ืองสาคัญที่มี ผลกระทบต่อประโยชน์ได้เสียของชาติรวมท้ังประเด็นปัญหาทาง การเมือง ซึ่งสมาชิกทุกคนมีหน้าทีอภิปรายแสดงความคิดเห็นและ ตัดสินใจอย่างหน่ึงอย่างใดด้วยความเป็นอิสระและเท่ียงธรรม เพ่ือให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ ในการประชุมผู้เข้าร่วมประชุมต้องรับมือความแตกต่างทาง ๑๘ สบื ค้นจาก https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?ni d=๓๑๘๑๔ https://library๒.parliament.go.th/wichakarn/content/sd๕-๑.pdf https://www.senate.go.th/assets/portals/๔๙/files/handbook/km๖๒/๔.pdf
ห น้ า | ๕๕ ความคิดของผู้อื่น จึงต้องมีความอดทนอดกล้ัน และยึดความเป็น เหตุเป็นผลเพ่ือยอมรับในข้อมติต่าง ๆ ระหว่างกัน นอกจากนี้ สิ่งที่ สาคัญท่ีสุดคือ การทาหน้าที่ของประธานในท่ีประชุม ที่ต้อง ดาเนินการประชุมด้วยเป็นกลาง ยึดม่ันในหลักการตามข้อกาหนด และทาให้การประชุมเป็นไปโดยเรียบร้อย ให้สภาสามารนาข้อ ปัญหาของประชาชนมาถกแถลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงการทา หน้าที่ดังกล่าวซ่ึงเรียกร้องการมาตรฐานในการพิจารณาอย่างเป็น เหตุเป็นผลของประธานในท่ีประขุมอย่างสูง กระบวนการประชุม สภา จึงเป็นตัวอย่างกระบวนการที่ยืนอยู่บนหลักการนาเสนอ และ การรบั ฟงั ดว้ ยความถถี่ ้วนรอบคอบ การวเิ คราะห์ข้อนาเสนออย่างมี วิจารณญาณและนาข้อมูลน้ันไปประกอบการตัดสินใจบนพื้นฐาน ของความมเี หตผุ ลยงิ่ ๒.๘ การมสี ่วนรว่ ม “การมีส่วนร่วม” ถือเป็นการประพฤติปฏิบัติที่ดีของ บุคคลท่ีถือเป็นการแสดงออกเชิงประจักษ์ในการเสริมสร้างให้ บ้านเมืองเกิดความสุจริต คาว่า “ส่วนร่วม” ตามความหมายของ ราชบัณฑติ น้ัน คือ การมีส่วนได้ส่วนเสียในกิจกรรมร่วมกับผู้อ่ืน ซึ่ง ต่อมาได้ปรากฏเป็นหน่ึงในองค์ประกอบสาคัญของหลักธรรมาภิ บาล โดยเป็นกระบวนการซ่ึงประชาชนหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้มี โอกาสแสดงทศั นะและเขา้ รว่ มในกิจกรรมต่างๆ ท่มี ผี ลต่อชีวิตความ
ห น้ า | ๕๖ เป็นอยู่ของประชาชน รวมท้ังมีการนาความคิดเห็นดังกล่าวไป ประกอบการพิจารณากาหนดนโยบายและการตัดสินใจของรัฐ ประกอบด้วยการให้ข้อมูลต่อผู้เกี่ยวข้อง การเปิดรับความคิดเห็น จากประชาชน การวางแผนร่วมกัน การร่วมตัดสินใจ ร่วมติดตาม ตรวจสอบ และการร่วมรับผล ตลอดจนพิจารณาการเข้าถึงการมี ส่วนร่วมของประชาชนกลุ่มต่างๆอย่างเสมอภาค เท่าเทียม๑๙ จาก คาจากัดความท่ีกล่าวมา เห็นได้วา่ หากเราทกุ คนใหค้ วามสนใจและ เข้าไปมสี ว่ นร่วมในกิจกรรมสาธารณะต่าง ๆ โดยเฉพาะในส่วนของ ภาครัฐ ย่อมทาให้งานต่าง ๆ ท่ีดาเนินการเกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ตลอดจนมีความโปร่งใส เพราะประชาชนสามารถเข้า ช่วยกันดูแลได้ต้ังแต่ต้นและยังสามารถตรวจสอบได้ ปัญหาการ ทุจริตก็จะลดน้อยลง ความขัดแย้งกันในสังคมก็ลดลง บ้านเมืองก็ เกิดความสุจริต เช่นนี้แล้วการมีส่วนร่วมจึงเป็นสิ่งสาคัญท่ีคนใน สังคมควรร่วมกันผลักดันให้เกิดข้ึนอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงต้อง สรา้ งความตระหนกั รูร้ ว่ มกันถึงความจาเป็นของการเข้าไปมีบทบาท ในกิจกรรมสาธารณะ เพ่ือยกระดับการดาเนินงานของภาครัฐให้มี ประสิทธิภาพ ประสทิ ธผิ ล ๑๙ ถวิลวดี บุรีกุล (๒๕๕๘). ธรรมาภิบาล : กลไกสาคญั ในการปฏริ ปู เพือ่ พัฒนาประเทศ ในหนงั สือ ดุลอานาจในการเมอื งการปกครองไทย. สถาบันพระปกเกล้า
ห น้ า | ๕๗ จากแนวคดิ สตู่ วั อยา่ งการปฏิบตั ิ กรณีของนายอาทิวราห์ คงมาลัย หรือ “พี่ตูน” ที่เข้าไปมี ส่วนร่วมในการผลักดันให้เกิดกิจกรรมสาธารณะประโยชน์ อย่าง โครงการ \"ก้าวคนละก้าว\" ซง่ึ เปน็ การจดั กจิ กรรมว่ิงระดุมทุนเพ่ือซื้อ อุปกรณแ์ ละเครอื่ งมือทางการแพทย์ทจี่ ดั ขึ้นถึง ๒ คร้ัง โดยคร้ังที่ ๑ ได้เกิดข้ึนเพื่อโรงพยาบาลบางสะพาน และครั้งท่ี ๒ เป็นการระดม ทุนเพ่ือโรงพยาบาลทั่วประเทศ โครงการในครั้งนี้ได้ทาให้สังคม ตระหนักถึงความสาคัญของความพร้อมของระบบสาธารณสุขและ ตระหนักถึงพลังของคนในสังคมท่ีร่วมกันสนับสนุนกิจกรรม สาธารณะเพื่อให้โครงการดังกล่าวประสบความสาเร็จในท่ีสุด และ เม่ือ พ.ศ. ๒๕๖๑ พ่ีตูนได้รับรางวัลพระราชทานบันเทิงเทิดธรรม จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในงาน ไนน์เอ็นเตอร์เทน อวอร์ด ปี พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งถือเป็นเกียรติในชีวิต ของพต่ี นู อยา่ งยงิ่ นอกจากนี้ พบกรณีของการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบ กลไกการทางานของรัฐบาล หรือหน่วยงานที่ใช้ภาษีของประชาชน เกี่ยวกบั การทุจรติ การใช้เงนิ ภาษีประชาชน และการจัดบริการเพื่อ ประชาชน ยิ่งเป็นสิ่งท่ีจาเป็น และแม้ว่าการมีส่วนร่วมในระดับ ตรวจสอบการทางานของรัฐและหน่วยงานรัฐนน้ั ไม่ใช่ส่ิงที่กระทาได้ ง่าย แต่ในอดีตที่ผ่านมาสังคมก็ได้มีบุคคลท่ีทางานในลักษณะเช่นน้ี โดยเข้าไปมีสว่ นรว่ มในกระบวนการตรวจสอบในหลายกิจกรรมของ ภาครัฐ เพ่ือให้เกิดการทางานท่ีเป็นไปด้วยความคุ้มค่าและเพื่อ ผลประโยชน์ของคนในสังคมอย่างแท้จริง อย่างกรณีของอดีต
ห น้ า | ๕๘ สมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง ท่ีได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเปิดโปง ขบวนการทุจริต กรณีการจัดซ้ือยาและเวชภัณฑ์ในกระทรวง สาธารณสุขเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ รวมถึงการตรวจสอบกรณีการแปร รูปการไฟฟ้าฝ่ายผลิตท่ีจะนาไปเข้าสู่ตลาดหุ้น ซึ่งส่งผลต่อค่าไฟฟ้า และแนน่ อนว่าจะส่งผลต่อประชาชนในฐานะผู้บริโภค โดยในคร้ังน้ี เครือข่ายการทางานได้ใช้กลไกศาลปกครองในการยับยั้ง มากไป กว่านั้นบุคคลดังกล่าวได้มีบทบาทในการฟ้องคดีท่อก๊าซเพ่ือสกัด การผูกขาดก๊าซธรรมชาติ ในปี ๒๕๕๐ ซ่ึงถือได้ว่าเป็นตัวอย่างการ มสี ่วนรว่ มของประชาชนเพ่อื บา้ นเมอื งทไ่ี มม่ ีใหเ้ ห็นไดม้ ากนัก และอกี กรณีของการมสี ว่ นรว่ มในการตรวจสอบการทางาน ของภาครัฐท่ีไม่พึงประสงค์เป็นผลให้ประชาชนไม่ได้รับสิทธิ ประโยชน์เท่าท่ีควรจะได้รับจากภาครัฐ อย่างเหตุการณ์โด่งดัง เกี่ยวกับการพบความผิดปกติเก่ียวกับเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ใน จังหวัดหนึ่ง ทาให้องค์กรท่ีมีอานาจตรงในการตรวจสอบเรื่องน้ีเข้า มามีบทบาทในการดาเนินการสอบสวนตามขอ้ ร้องเรียนอย่างจริงจัง เม่ือตรวจสอบได้พบเอกสารหลักฐานการกระทาผิดในลักษณะของ การปลอมลายมือช่ือ การสวมสิทธิ์คนไร้ท่ีพึ่ง และการเบิกจ่ายไม่ ครบตามความจริง มากไปกว่านั้น ได้นาไปสู่การขยายผลในอีก หลายพ้ืนที่ของประเทศ จากกรณีนี้คนในสังคมต่างให้ความสนใจ เน่ืองจากกระทบต่อประชาชนในกลุ่มเปราะบางที่ควรจะได้รับการ สนับสนนุ จากภาครัฐอย่างเต็มประสทิ ธภิ าพ ดังนัน้ กลา่ วไดว้ า่ การมี ส่วนร่วมสามารถทาได้ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีอานาจ ข้าราชการ ผู้มีชื่อเสียงหรือประชาชนทุกคน เพราะการมีส่วนร่วม
ห น้ า | ๕๙ จะกลายเป็นพลังทางสังคมท่ีสาคัญ ทาให้สังคมหันมาจับตามอง และพดู ถึงเป็นวงกว้าง เช่นนี้แล้วในฐานะประชาชนชาวไทย ทุกคน ควรมีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะ หรือกระบวนการตรวจสอบ ต่าง ๆ เพื่อปกป้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์ของส่วนรวม เสียง ของประชาชนทุกคนสามารถสะกิดร่องรอยของพฤติกรรมความ ผิดปกติให้มีความชัดเจนมากขึ้น จนผู้มีอานาจและองค์กรที่ เกี่ยวข้องไม่อาจน่ิงเฉยตอ่ เหตกุ ารณเ์ ช่นน้ีได้อีกต่อไป
ห น้ า | ๖๐ สว่ นที่ ๓ การมีผู้นาทด่ี กี บั การเสรมิ สร้างบ้านเมอื งสุจรติ ในส่วนท่ีแล้ว คณะผู้จัดทาได้นาเสนอถึงนิยามและแนวคิด สาคัญของการประพฤติปฏิบัติตนท่ีดีเพื่อเสริมสร้างบ้านเมืองสุจริต พร้อมกับยกตัวอย่างง่ายๆ ประกอบการอธิบาย เพื่อให้เห็นเป็น รูปธรรม ที่ทุกคนสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ แต่ ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นว่า หากเราสามารถส่งเสริมให้คนดีได้ทาหน้าท่ี เป็นตัวแทนในการปกครองบ้านเมือง ทาหน้าท่ีในการบริหาร ราชการแผ่นดิน ก็จะทาให้มีการตัดสินใจใช้ทรัพยากรของส่วนรวม ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างแท้จริง ซึ่งน่ันหมายถึง หากภาคส่วนตา่ ง ๆ ไม่เพียงแต่เป็นภาครัฐ แม้แต่ภาคเอกชนเองได้ ผู้นาท่ีดีเข้ามาบริหาร เข้ามาปกครอง ก็ย่อมจะทาให้เกิดความ ยุติธรรม สงบสุข อันจะเป็นหนทางท่ีช่วยกันทาให้บ้านเมืองเกิด ความสุจริต ซึ่งคณะผู้จัดทาหนังสือได้ประมวลและสรุปข้อมูล พบว่า องค์ประกอบของการเป็นผู้นาที่ดีนั้น ควรมีคุณลักษณะ สาคัญอย่างน้อย ๕ ข้อ ได้แก่ การมีวิสัยทัศน์ผู้นา การยึดตามหลัก ธรรมาภิบาล ๖+๑ ซ่ึงได้เพ่ิมเติมหลักความไม่เกรงใจต่อส่ิงที่ไม่ ถูกต้องเข้าไป การยึดประโยชน์ส่วนรวม การใช้อานาจอย่างเป็น ธรรม และ การทาตนเป็นแบบอย่างที่ดี ซึ่งถือเป็นข้อท่ีสาคัญท่ีสุด อันเป็นข้อสรุปของการเป็นผู้นาท่ีดี โดยมีรายละเอียดแต่ละเร่ือง ดังนี้
ห น้ า | ๖๑ ๓.๑ การมีวิสยั ทัศน์ผู้นา “วิสัยทศั น์” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ น้ัน หมายถึง การมองการณ์ไกล เม่ือนามารวมกับคาว่า ผู้นา ซึ่งมักจะใช้กับผู้ที่เป็นหัวหน้าขององค์กรต่าง ๆ แล้ว ย่อม หมายถึง การมองเห็นภาพอนาคตของผู้นาในองค์กร แล้วกาหนด จุดหมายปลายทางและวิธีการ เพ่ือมุ่งสู่เป้าหมายปลายทางที่ ต้องการ ดังน้ัน การมีวิสัยทัศน์ของผู้นาจึงมีความสาคัญอย่างย่ิงท่ี จะเป็นตัวกาหนดถึงความเป็นไปได้ที่ผู้นาจะสามารถนาพาให้เกิด ความสาเรจ็ ได้มากนอ้ ยเพยี งใด ซึ่งหากเป็นภาครัฐ เป้าหมายสาคัญ ท่ีอาจกล่าวได้ว่า เป็นภาพร่วมกันของทุกหน่วยงาน นั่นก็คือ การที่ ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด หากผู้นาภาครัฐเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ เป็นผู้ที่มองการณ์ไกลถึงสิ่งท่ีต้องเกิดข้ึนท้ังในระยะส้ันและในระยะ ยาว ประชาชนก็จะได้รับประโยชน์อย่างท่ัวถึง ซ่ึงสามารถทาให้ ประเทศเกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะประโยชน์ที่เกิด ขน้ึ กับประชาชนนี้ ถือเปน็ การพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีความสาคัญ และ เป็นการพัฒนาอย่างยั่งยืน เมื่อคนไทยได้รับการพัฒนาเต็มตาม ศักยภาพ ก็จะมีส่วนช่วยลดปัญหาสังคมในภาพรวม ซึ่งเป็นส่วน สง่ เสรมิ บ้านเมืองสุจริตด้วย
ห น้ า | ๖๒ จากแนวคดิ สู่ตวั อยา่ งการปฏบิ ตั ิ ๑. วิสัยทัศน์ผู้นำด้ำนกำรกระจำยโอกำสทำงกำรศึกษำ ของ นำยชวน หลีกภยั นโยบายจัดตั้งอนุบาลชนบท และ โครงการนมโรงเรียน เป็นส่ิงดาเนินการมาจนถึงปัจจุบันด้วยความคิดริเริ่มและการมี วิสัยทัศน์ผู้นาของนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ เล็งเห็นความสาคัญด้านการศึกษาและการส่งเสริมสุขภาพอนามัย ให้แก่เด็กและเยาวชน และช่วยพัฒนาร่างกายของเด็กนักเรียนให้ แข็งแรง รวมท้ังมีน้าหนักและส่วนสูงเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ของกระทรวงสาธารณสุข อีกท้ัง ในโครงการนมโรงเรียนยังมี เงื่อนไขว่า น้านมท่ีใช้เป็นวัตถุดิบในโครงการนมโรงเรียนต้องเป็น น้านมดิบจากเกษตรกรในประเทศซึ่งเท่ากับเป็นการได้ช่วยเหลือ เกษตรกรผูผ้ ลิตโคนมอกี ด้วย “เม่ือเป็นรัฐมนตรี เราจึงได้คิดเร่ืองกระจายโรงเรียน ผม เป็นคนเร่ิมอนุบาลชนบท สมัยก่อนน้ัน อนุบาลมีโรงเดียวในตัว จังหวัด และเด็กที่ลูกหลานท่ีได้เรียนก็จะเป็นเด็กในตลาด ลูกนัก ธุรกิจในตลาด หรือลูกข้าราชการ แต่เด็กในหมู่บ้านตาบลเข้า ป.๑ ไม่ได้ผ่านอนุบาลนะ เพราะฉะนั้น เด็กในตลาดน่ีเข้า ป.๑ ABC จะ อ่านออกแล้ว แต่เด็กในหมู่บ้านนี้ภาษากลางยังฟังไม่ออกเลย เรา จะเห็นว่าการเริ่มของเดก็ ในหม่บู า้ นกบั เดก็ ในตลาดน้ีมันแตกต่างกัน ตอนผมเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการในตอนน้ัน ก็เลย คิดกันกับข้าราชการในกระทรวงเปิดอนุบาลชนบทขึ้น อันน้ีขอย้า
ห น้ า | ๖๓ เพราะว่าในท่ีประชุม ครม. จาได้ว่ามีรัฐมนตรีหลายท่านก็หวังดี บอกว่า ท่านรัฐมนตรีชวน อนุบาลมันจะคุณภาพไม่เท่ากับอนุบาล ในเมืองหรอกนะ ผมก็บอกว่า ผมทราบดี สู้ไม่ได้หรอก แต่ถ้าเราไม่ ทา เด็กในหมู่บ้านที่จะเข้า ป.๑ มันเทียบกับเด็กในเมืองไม่ได้เลย ถ้าเราเริ่มต้นต่างกันอย่างน้ีเด็กในหมู่บ้านก็จะลาบากในอนาคต โชคดีทใ่ี นระหว่างทเี่ ถยี งกันอยนู่ ้ัน นายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณ สูลานนท์ ท่านพูดขึ้นมาว่า “น่ีคือส่ิงที่รัฐบาลอยากเห็น” คาเดียว เท่านั้น ทุกคนก็เลยเงียบ ผมไม่ต้องเถียงต่อแล้ว ไม่มีใครค้าน เรา เลยเริ่มอนุบาลชนบท ๒,๐๐๐ ห้องเรียน ปีแรกก็มีเด็กเรียน ๘๐,๐๐๐ กว่าคนท่ัวประเทศ แต่มีข้อแม้ว่าต้องไม่เบิกงบประมาณ ใหม่ เราก็ใช้โรงเรียนประถมท่ีมีความพร้อม ท่ีผมเล่าเร่ืองนี้ เพราะ เข้าไปค้นเจอแล้วมีบันทึกไว้ว่า ผมบันทึกถึงข้าราชการในกระทรวง ว่า เร่ืองน้ีนายกรัฐมนตรีให้ความสนใจมาก กรุณาดาเนินการให้ เรยี บร้อยดว้ ย ปรากฏว่าลายมือ ลายเซน็ ผมยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ เรา กเ็ ลยเปดิ อนบุ าลชนบท กเ็ ลยทาให้เด็กในหมูบ่ ้านเลยได้เร่ิมเรียนช้ัน เด็กเล็กและอนุบาลข้ึนบ้าง ส่ิงที่ภูมิใจอยู่ทุกวันน้ีก็คือ ท่าน รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาฯ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ให้ลูกศิษย์ของท่านมาพบ บอกว่าท่านหม่อมหลวงปิ่นให้มา แสดงความยินดีกับท่านรัฐมนตรีชวนด้วย ว่าเพราะท่านอยากเห็น อยากทา แต่ในสมัยท่าน ท่านยังทาไม่ได้ แต่พอมาถึงสมัยท่านชวน ทา่ นทาได้ ทา่ นเลยมาแสดงความยินดีด้วย ผมก็จาไว้ เมื่อเราทาเร่ืองอนุบาลชนบทแล้ว เราก็ทาเรื่องเด็กเล็กโดย มนี โยบายด่มื นม ผมทาด้วยตัวเอง คิดมาตลอด ตอนท่ีเป็นรัฐมนตรี
ห น้ า | ๖๔ กระทรวงศกึ ษาธิการนี่ก็ทาบา้ ง แต่งบประมาณมีจากัด แต่ตอนเป็น นายกรฐั มนตรีน่ีมีสิทธิแลว้ ก็เชญิ ผอู้ านวยการสานกั งบฯ มาคุยบอก ว่า ถ้าให้เด็กท่ัวประเทศได้ด่ืมนมสดนี่เป็นการสร้างคุณภาพคนทั้ง สรีระกาลังกาย และสมองนี่เท่าไหร่ งบประมาณมันก็จะไม่ได้เป็น ร้อยล้านนะ แต่เป็นพันล้าน สมัยนี้คงเป็นหมื่นล้านแล้ว แต่ว่าใน ที่สุด เราก็เร่ิมในอนุบาล ๑-๓ ป.๑ ป.๒ ป.๓ เจ็ดปีได้ด่ืมนมสด นับ แต่น้ันเป็นต้น จริงๆ เลขาธิการ สปช. ในสมัยน้ัน ดร.กษมา วรว รรณ ท่านเล่าให้ฟังว่า ร้านค้าสวัสดิการคุรุสภา ขายเส้ือกระโปรง เครื่องเขียนนักเรียน ท่านบอกว่า กระโปรง กางเกง เสื้อเบอร์ ๑ ขายไม่ออกแล้ว เพราะว่าหลังจากนโยบายด่ืมนมเกิดขึ้น สรีระ เปลี่ยน ผมก็ไปดูด้วยตาตัวเอง เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า เสื้อเบอร์ ๑ ขนาดน้ี เดิมเด็กเคยใส่ขนาดนี้ ตอนนี้ใส่ไม่ได้แล้วต้องเปล่ียนเป็น เบอร์ ๒ แต่ว่าท่ีรู้ทีหลังก็คือ ท่านอาจารย์แพทย์ท่านหนึ่ง มาบอก ผมว่า ท่านชวนรู้ไหมว่า นโยบายดื่มนมของท่านนี่ทาให้คนไทย สูงข้ึน ๑๑ เซนติเมตร ผมบอก อาจารย์ผมไม่เคยทราบเลย ภายหลังได้ไปค้นที่กรมอนามัยว่า เคยวัดไว้เมื่อปี ๒๕๓๘ ตอนเรา เร่ิมนโยบายดื่มนมสักปีสองปี แล้วหลังจากน้ัน สสส. ก็ไปวัดใหม่ หลังจากน้นั สกั ๑๐ กวา่ ปี เกอื บ ๒๐ ปีต่อมา ถัวเฉล่ียคนไทยสูงข้ึน ประมาณ ๑๑ เซนติเมตร ที่เราเห็นชัดก็คือ ทีมวอลเล่ย์บอลหญิง เกิดข้ึน เมื่อก่อนใครจะไปคิด ว่าทีมเราจะไปแข่งกับบราซิล รัสเซีย อเมริกาได้ อันน้ีก็ช่ืนชมจริงๆ ว่าคนที่คิดทีมวอลเล่ย์บอลหญิงต้อง ถือเป็นตัวอย่างบุคคลของชาติคนหน่ึง เพราะกลายเป็นว่าประเทศ ไทยมาจากไหนกนั สตรไี ทย ทมี วอลเลย่ ์บอลหญิงไทย สามารถสู้กับ
ห น้ า | ๖๕ เขาติดอนั ดบั โลกไดด้ ้วย ถึงไม่ไดเ้ ป็นแชมป์แต่กต็ ิดอันดบั สูงมาก อัน นี้ก็ถือว่าเป็นผลพวงที่สรีระสตรีเราเปล่ียนแปลงไป เพราะมาจาก นโยบายดื่มนมอย่ดู ้วย”๒๐ นอกจาก นายชวน หลีกภัย แล้วยังมีนักการเมืองอีกท่าน หน่ึง ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลในการแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับ ประชาชนในภาคอีสานและได้รับการยอมรับจากประชาชนและ นักการเมืองในภาคอีสาน นักการเมืองท่านน้ีเป็น นักการเมืองน้าดี ของภาคอีสาน เป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นปราชญ์ของภาคอีสาน ท่านท่ีรู้เรื่องวิถีชีวิตและการดารงชีพของคนอีสานอย่างลึกซึ้ง ท่าน เปน็ นกั ประชาธิปไตยและเป็นผู้จุดประกายการต่อสู้เพ่ือศักด์ิศรีของ คนอีสาน วิสัยทัศน์ที่นักการเมืองท่านน้ีได้นาเสนอและผลักดันคือ การแกไ้ ขปญั หาความยากจนของคนอสี านโดยต้องแก้ไขปัญหาเร่ือง ความแห้งแล้งให้ได้ จากวิสัยทัศน์ดังกล่าวจึงทาให้เกิดการผลักดัน โครงการ โขง ชี มูล โดยการผันน้าจากแม่น้าโขงมาเติมลงแม่น้าชี แมน่ า้ มลู และแม่นา้ สาขาต่างๆ ทวั่ ภาคอสี าน จะทาให้แผ่นดินอีสาน มีน้าในการอุปโภคบริโภคตลอดท้ังปี สร้างความชุ่มชื้นให้กับผืนดิน และสามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้ท้ังปีก็จะสามารถแก้ไข ๒๐ คาบรรยายพิเศษ นาย ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในหัวข้อ “จริยธรรมของ ผูน้ า”ในหลกั สตู รประกาศนียบตั รช้ันสงู การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สาหรับนัก บริหารระดับสูง รุ่นท่ี ๒๔ วันอังคารท่ี ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๐.๓๐-๑๒.๐๐ น. ณ ห้อง ประชมุ ย่อย ๑-๒ ฝัง่ อาคารเรยี น สถาบนั พระปกเกล้า
ห น้ า | ๖๖ ปัญหาความยากจนของคนอีสานได้ จากวิสัยทัศน์นาไปสู่การ ผลกั ดนั โครงการ โขง ชี มูล ดังกล่าว ทาใหโ้ ครงการน้ีเป็นความหวัง ของประชาชนคนอีสานท่ีจะแก้ไขปัญหาความยากจนของพวกเขา และนักการเมืองจากภาคอีสานเกือบทุกคนล้วนเห็นด้วยกับ โครงการดงั กลา่ วและพยายามสานต่อใหเ้ กดิ สาเรจ็ จนถงึ ปัจจบุ นั นอกจากนักการเมืองแล้ว ภาคประชาชนก็สามารถเป็น ผู้นาทางความคิดและมีวิสัยทัศน์ท่ีกว้างไกลจนสามารถขับเคล่ือน เครือข่ายทางสังคมที่สร้างประโยชน์ให้กับโลก ให้กับประเทศชาติ และบ้านเมืองได้ ตัวอย่างเช่น ผู้นาภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนเร่ือง กา ร ส ร้ า งค ว า ม ม่ั น ค ง ท า ง อา ห า ร แ ล ะ ก า ร ส ร้ า ง เ ค รื อข่ า ย สั ง ค ม เกษตรกรรมท่ีเอ้ือเฟื้อเกื้อกูลกัน ผู้นาภาคประชาชนท่านนี้มี วิสัยทัศน์ท่ีมองเห็นว่าในอนาคตอันใกล้นี้ สังคมและโลกจะเกิด ความวนุ่ วายเนอื่ งจากการขาดแคลนอาหารและจะเกิดความขัดแย้ง แย่งชิงทรัพยากร โดยเฉพาะประชาชนท่ัวไปและเกษตรกร จะไม่ สามารถพึ่งพิงตัวเองได้จะตกเป็นทาสการผลิตในระบบทุนนิยมจน ไมม่ คี วามสขุ ดังนั้นผู้นาท่านนี้จึงต้องการสร้างสังคมที่มีความมั่นคง มัง่ คั่ง ทางอาหาร สามารถพง่ึ พาตนเองได้และเอ้ือเฟ้ือเผ่ือแผ่กัน ดัง คากล่าวท่ีว่า \"ส่ิงท่ีต้องเตรียมพร้อมที่สุด คือ ความม่ันคงทาง อาหาร สร้างอาหารไว้ให้เหลือเฟือ สร้างสังคมที่เอื้อเฟ้ือกันเป็น เร่ืองใหญ่...สร้างเครือข่ายเช่ือมโยงช่วยเหลือกัน ต่อไปคนจะไม่ท้ิง กันแน่นอน\" จากวิสัยทัศน์ดังกล่าว ผู้นาภาคประชาชนท่านนี้จึงได้
ห น้ า | ๖๗ น้อมนาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระ ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มาปฏิบัติให้เห็นเป็นแบบอย่างโดย ยดึ หลัก “การลงมือทาเองก่อนแล้วสอนทีหลัง” และต่อมาได้ก่อต้ัง “ศูนย์กสิกรรมธรรมชาติ มาบเอ้ือง” ท่ีจังหวัดชลบุรี โดยใช้ “หลัก กสกิ รรมธรรมชาติ” เปน็ เคร่ืองมือในการขับเคลือ่ น การดาเนินการ เร่ิมจากการบ่มเพาะหลักคิด ศาสตร์พระราชาด้านการจัดการดิน น้า ป่า เพ่ือฟื้นฟูระบบนิเวศให้สมบูรณ์และการพัฒนาคนตามหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และสร้างเครือข่ายเกษตรโยธินเพ่ือ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รวมทั้งการผลักดันขยายผลสร้างการศึกษาวิถี ไทย ด้วยการนา “บวร: บ้าน วัด โรงเรียน” มาบ่มเพาะเด็กและ เยาวชนใหม้ คี ณุ ธรรมนาความรู้ ในนาม “ปทู ะเลย์มหาวชิ ชาลยั ” ๓.๒ การยดึ ตามหลกั ธรรมาภบิ าล ๖+๑ แนวคิดเรื่องธรรมาภิบาล เป็นเรื่องท่ีได้รับการกล่าวถึงมา เป็นเวลานานแล้วในสังคมตะวันตก แต่ได้ปรากฏชัดในรายงานของ ธนาคารโลกเม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยมีพ้ืนฐานมาจากการมีส่วนร่วม ของประชาชนในทกุ ระดบั เพื่อใหเ้ กิดความย่งั ยืนในการพัฒนาอย่าง แท้จริง ธรรมาภบิ าลจึงเป็นทั้งแนวความคิด หลักการพื้นฐาน และ วิธีการปฏิบัติงาน โดยเป็นการบริหารงานให้มีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล ต้ังม่ันอยู่บนหลักการบริหารงานที่เท่ียงธรรม สุจริต
ห น้ า | ๖๘ โปรง่ ใส ตรวจสอบได้ มีจิตสานกึ ในการทางาน มีความรับผิดชอบใน สิ่งที่ได้กระทา พร้อมตอบคาถามหรือตอบสนองต่อผู้มีส่วนได้ส่วน เสียและพร้อมรับผิด มีศีลธรรม จริยธรรมในการทางาน การ คานึงถึงการมีส่วนร่วมในการรับรู้ ตัดสินใจ ดาเนินการและ ประเมินผล ตลอดจนร่วมรับผลจากการตัดสินใจ ผู้นาที่ดีจึงควรยึด หลักธรรมาภิบาลน้ีให้เป็นหลักสาคัญในการทางาน แต่ด้วยแนวคิด ดังกล่าวนี้มีที่มาจากสากล สาหรับบริบทประเทศไทย ยังมีปัจจัย ทางด้านวัฒนธรรมท่ีแตกต่างออกไปจากหลักดังกล่าว การยึดตาม หลกั ธรรมาภิบาสากลจึงยังไม่เพียงพอ จะต้องพิจารณาปัจจัยอีกข้อ หนง่ึ เขา้ ไปด้วย นั่นคอื เร่อื งความเกรงใจ โดยปกติ “ความเกรงใจ” ถือเป็นคุณลักษณะเฉพาะข้อหนึ่ง ของนิสัยคนไทย ท่ีแสดงออกถึงความอ่อนน้อมทางความรู้สึก ระมัดระวังที่จะไม่ให้การกระทาใด ๆ ของตนไปทาให้คนอื่นรู้สึกถึง ความและยุ่งยาก ในเรื่องต่าง ๆ จนสังคมไทยได้ทาให้ “ความ เกรงใจ” กลายเป็นบรรทัดฐานของความสัมพันธ์ทางสังคม ความ เกรงใจจึงทาให้คนเคารพสิทธิของกันและกัน ไม่กระทาส่ิงใดที่เป็น การละเมิดสิทธิและทรัพย์สินของผู้อ่ืน แม้กระท่ังของส่วนรวม ซ่ึงมี ผลทาให้การกระทาท่ีจะกระทบกระท่ังผู้อื่นเกิดขึ้นไม่มากนัก แต่ ปัจจบุ นั ความเกรงใจ มักถูกนามาใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ทาในส่ิงที่ ควรทา หรือ ไม่ทาตามหน้าท่ี เช่น เกรงใจหัวหน้า เกรงใจเจ้านาย เกรงใจผู้บังคับบัญชา เกรงใจผู้มีพระคุณ เม่ือไหว้วานให้ทาอะไร แม้ไม่ถูกต้อง หรือ ขัดต่อหน้าที่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หรือแม้กระทั่ง เกรงใจเพื่อน จึงไม่กล้าตักเตือนแม้เห็นเพ่ือนทาผิด เป็นต้น ความ
ห น้ า | ๖๙ เ ก ร ง ใ จ จึ ง ก ล า ย เ ป็ น วั ฒ น ธ ร ร ม ท่ี เ ป็ น อุ ป ส ร ร ค ส า คั ญ ใ น ก า ร ขับเคล่ือนการเสริมสร้างความสุจริตในสังคม และยังส่งผลต่อต่อ ความเจริญก้าวหน้าของประเทศชาติ ดังนั้น ผู้นาองค์กร นอกเหนือจากที่โดยท่ัวไปจะต้องยึดถือหลักธรรมาภิบาลท่ีเป็น หลกั การสาคัญของการปฏิบัติท่ีดีแล้ว ยังต้องให้ความสาคัญกับการ ยดึ หลกั ของ “ความไม่เกรงใจต่อสง่ิ ที่ไม่ถกู ต้อง” ให้เป็นค่านิยมใหม่ อกี ขอ้ หนง่ึ ดว้ ย จากแนวคิดสู่ตวั อย่างการปฏิบัติ ๑. “ควำมไม่เกรงใจต่อส่ิงที่ไม่ถูกต้อง”: หลักปฏิบัติ สำคัญของข้ำรำชกำรตำมแนวคิดของนำยชวน หลีกภยั นาย ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ท่ีมี เจตจานงแน่วแน่ต่อการส่งเสริมให้บ้านเมืองเกิดความสุจริต และ กระทาตนเป็นแบบอย่างในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเน่ือง อีกทั้ง ด้วย ประสบการณท์ างการเมอื งท่มี มี าอย่างยาวนานกว่าครึ่งศตวรรษ ทา ให้มองเห็นสภาพความเป็นจริงของปัญหาทางการเมืองท่ีเกิดจาก ความไม่สุจริตโดยตลอด ซ่ึงพบว่า สาเหตุสาคัญของปัญหาเกิดจาก “ความเกรงใจ” ของข้าราชการ จึงทาให้เกิดปัญหาการทุจริต ประพฤติมิชอบข้ึน และเสนอว่า ในการทางานให้บ้านเมืองเกิด ความสุจริตได้ นอกเหนือจากจะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลแล้ว ใน
ห น้ า | ๗๐ บริบทสังคมไทย ยังต้องเพ่ิม “หลักความไม่เกรงใจต่อส่ิงที่ไม่ ถูกต้อง” ซ่งึ เปน็ ธรรมาภิบาลภาคปฏิบัติเพ่ิมเข้าไปด้วย จึงเป็นท่ีมา ของแนวคิดธรรมาภบิ าล ๖+๑ ท่ีท่านได้มีโอกาสนาไปสอดแทรกใน การบรรยายในที่ต่าง ๆ จึงขอนาเสนอเร่ืองนี้ จากคาบรรยายของ ท่าน ในการปาฐกถาพิเศษ ปาฐกถาพิเศษ “นิด้ากับการพัฒนา ประเทศไทยอย่างย่ังยืน” ในงาน “Proud to be NIDA” วันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๒ ณ ห้อง BCC Hall โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลลาดพรา้ ว กรงุ เทพฯตอนหน่ึง “...เกือบจะพูดได้ว่า ทุกวันนี้ ปัญหาเรื่องความซ่ือสัตย์ สุจริตท้าทายการแก้ปัญหาบ้านเมืองมาก จนกระทั่งกลายเป็น เง่ือนไขหน่ึงว่า บ้านเมืองเราจะอยู่รอดปลอดภัยได้ ผู้ปกครองของ เราต้องมีเร่ืองของความซื่อตรง เร่ืองของความสุจริตเป็นหลัก การ บริหารประเทศของเรา เราเชื่อวา่ คนของเรามคี วามรู้ความสามารถ อยู่ แต่ว่าเมื่อเรา ติดกับดักกับปัญหาเรื่องน้ี ก็มีปัญหาเกิดขึ้น แล้ว ในที่สุดกลายเป็นว่า ผู้ท่ีมีการศึกษา คือ ตัวสร้างปัญหาบ้านเมือง… การสร้างคนมีความรู้ กับคนดีต้องไปด้วยกัน ผมเคยใช้คาว่า กฎหมายรัฐธรรมนญู ของไทยมมี า ๒๐ ฉบับแลว้ ระหว่างกฎหมายท่ี ดี กับ คนดีน้ัน ต้องไปด้วยกัน “บำงทีกฎหมำยท่ีบกพร่อง แต่ได้ คนดีไปบริหำรก็ไปรอด แต่มีกฎหมำยท่ีดีเย่ียม แต่ได้ผู้บริหำรที่ เลวร้ำย ก็ไปไม่รอด” ดังน้ัน ความเชื่อในเร่ืองตั้งแต่ปราชญ์คิดว่า ต้องปกครองด้วยคนดี แล้วก็มาเปล่ียนว่า ต้องปกครองด้วยหลัก กฎหมาย หลักนิติธรรม ถูกด้วยกันทั้งคู่ ถ้าไม่มีหลักกฎหมาย คนดี นนั้ อาจเปลี่ยนกลายเปน็ คนรา้ ยได้ แตแ่ มจ้ ะมกี ฎหมายที่ดี แต่ว่าคน
ห น้ า | ๗๑ น้ันเป็นคนไม่ดี เราก็มีปัญหา ดังน้ัน สองส่วนน้ี สถาบันการศึกษา ต้องมีส่วนสร้างด้วย... รุ่นน้องผม จบนิติศาสตร์นี่แหละ สองคนติด คุก วันนี้คนหน่ึงอยู่ในคุก อีกคนหนึ่งพ้นแล้ว เกิดได้อย่างไร เกิด เพราะทาสงิ่ ท่ไี ม่ถูกต้องตามกฎหมายที่ตัวเองเรียนมา ศาลฎีกาบอก ว่า ไม่รอลงอาญา เพราะเป็นคนมีหน้าท่ีต้องทาส่ิงท่ีถูกต้องกลับมา เป็นเสียเอง ก็ไม่รอลงอาญา รุ่นน้องผมท้ังคู่ ผมก็เสียดายที่สิ่งนี้ เกิดข้ึน แต่ว่ามาลงท้ายก็คือ พอดีท้ังคู่น้ันมาเกิดเหตุเพราะความ เกรงใจ ความเกรงใจเปน็ คุณสมบตั ทิ ดี่ ีเย่ียมของคนไทย แต่ว่าถ้าเรา เกรงใจไปทาสิ่งท่ีผิด ก็ต้องติดคุก กรณีนั้น คือ สามีเกรงใจภรรยา ภรรยาขอสามีไปว่ิงเต้นล้มคดี ไม่อยากพูดว่าเป็นคดีการเมือง สามี เกรงใจภรรยา ภรรยาก็เกรงใจคุณหญิงที่ขอร้อง ก็เลยไปว่ิงเพ่ือน สามีซง่ึ จบธรรมศาสตรร์ ุ่นเดยี วกัน เพื่อนเป็นตุลาการท่ีตรงเยี่ยมคน หนึ่ง คือ หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เขาเสนอเงินให้ท่าน ๑๕ ล้าน ตอน เชา้ ตอนบา่ ยเสนอให้ ๓๐ ลา้ น เพื่อลม้ คดี ท่านไม่รับ เร่ืองก็แดงขึ้น พวกเราถ้ามีโอกาส มีคาพิพากษาประเภทนี้อยู่หลายเร่ืองท่ีน่า ศึกษามากว่า เพื่อนท่ีดี ๆ ของเราทาไมต้องอยู่สภาพอย่างน้ัน คาตอบก็คือว่า การไม่ยึดหลักความชอบธรรมถูกต้องทาให้เกิด วิกฤต แม้กระทั่งภาคเอกชน จนต้องเกิดหลักธรรมาภิบาล ปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้นึ ๖ ข้อ หลักนิติธรรม หลกั คณุ ธรรมจริยธรรม หลักความ มีส่วนร่วม หลักการตรวจสอบได้ หลักความรับผิดชอบ หลักความ ค้มุ คา่ ซ่ึงสังคมไทยน้ีไม่พอ เพราะทุกเร่ืองท่ีผมอ่านคดี มาจากหลัก ความไม่เกรงใจ ความเกรงใจเจ้านาย เกรงใจบิ๊กบอส ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทยก็ติดคุก ๑๘ ปี เกรงใจนักการเมือง ปลัด
ห น้ า | ๗๒ กระทรวงการคลังก็ถูกให้ออก เกรงใจครอบครัวนายตารวจช้ัน ผู้ใหญ่ ก็ติดคุก เกรงใจนักการเมือง อธิบดีกรมการปกครองก็ถูกไล่ ออก นักเรียนนายอาเภอถูกไล่ออกร้อยกว่าคน นักเรียนท่ีจะสอบ เข้าโรงเรียนท้งั หมดมาจากสาเหตขุ องความเกรงใจและทาในสิ่งที่ไม่ ถู ก ต้ อ ง เ พ ร า ะ ฉ ะ น้ั น พ ว ก เ ร า ทั้ ง ห ล า ย ที่ ท า ห น้ า ท่ี ใ น สถาบนั การศกึ ษา ก็ขอใหท้ า่ นไดต้ ระหนกั เรื่องนี้” กล่าวโดยสรุป หลักธรรมาภิบาล ๖+๑ เป็นหลักการ บริหารงานท่ีสาคัญที่นักการเมืองและข้าราชการพึงมี พึงปฏิบัติ เพื่อการปกครองท่เี ปน็ ธรรม และการบริหารงานที่มีคุณภาพ โดยมุ่ง ประโยชน์สุขต่อประชาชนเปน็ หลกั หากนกั การเมอื งและขา้ ราชการ ไม่มีการปกครองที่เป็นธรรม หรือไม่มีหลักธรรมาภิบาลในจิตใจ ดังเช่น กรณีของอดีตปลัดกระทรวงท่านหน่ึงท่ีเจตนาแจ้งบัญชี ทรัพย์สินอันเป็นเท็จ โดยซุกซ่อนเงินสดไว้ในบ้านพักของตนเป็น จานวนเงินนบั รอ้ ยลา้ นบาท ซ่งึ ภายหลังได้ถูกคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติช้ีมูลความผิดข้อหาร่ารวย ผิดปกติ และจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ต่อมาศาลฎีกาแผนก คดีอาญาของผู้ดารงตาแหน่งทางการเมืองได้มีคาพิพากษาว่า ปลัดกระทรวงท่านน้ีมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๑๙ โดยจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และ ลงโทษห้ามดารงตาแหน่งทางราชการเป็นเวลา ๕ ปี ซ่ึงการขาด คุณธรรม ความโปร่งใส และสานึกรับผิดชอบ (ธรรมาภิบาล) ของ
ห น้ า | ๗๓ อดีตปลัดกระทรวงท่านน้ี นอกจากจะส่งผลเสียต่อตัวเองแล้ว หาก สังคมขาดซ่ึงความมีธรรมาภิบาล สังคมนั้นจะมีแต่การทุจริตคอร์รัป ชัน การใช้อานาจโดยมิชอบ การเรียกรับผลประโยชน์ การขาด ประสิทธิภาพในการบริหารงาน สุดท้ายจะเกิดความขัดแย้งทาง การเมืองการปกครอง กระท่ังเกิดผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ สังคม และส่งิ แวดล้อม ท่ีสง่ ผลกระทบต่อประชาชนและประเทศชาติได้ใน อนาคต ๓.๓ การยดึ ประโยชน์สว่ นรวม ผู้นาท่ีดีจะต้องตัดสินใจเพื่อสิ่งท่ีดีงามของสังคมไม่ใช่เพื่อ ประโยชน์หรือผลกาไรส่วนตนองค์กรเพียงด้านเดียว ถ้าคนท่ีเป็น ผ้นู าคดิ ถึงเฉพาะประโยชน์สว่ นตนโดยไม่คานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม ย่อมทาให้เกิดปัญหาตามมาหลายด้าน สภาพการณ์ของสังคม ปัจจุบันมีความขัดแย้งกันมาก เพราะผู้คนมักจะคานึงถึง ผลประโยชน์ของตนเป็นที่ต้ัง ดังจะเห็นได้จากปัญหาต่าง ๆ ใน สังคม อาทิ ปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ปัญหาการจราจรติดขัด รวมถึงปัญหาหลายๆ ครั้งมาจากผู้ท่ีคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตนโดย ไม่คานึงถึงผู้อ่ืน โดยเฉพาะ ปัญหาการทุจริตคอรัปช่ัน ซึ่งเป็น ปญั หาใหญ่ในสังคมไทย กม็ าจากการคดิ ถึงผลประโยชน์ของตนเป็น ที่ตั้ง โดยไม่คานึงถึงความเสียหายที่เกิดข้ึนกับบ้านเมือง ปัญหา คอรปั ช่ันเป็นเร่อื งใกล้ตัวและหลายคนคดิ ว่าไมเ่ ป็นไร ใครๆ ก็ทากัน
ห น้ า | ๗๔ จนเกิดทัศนคติที่ยอมรับส่งผลให้เกิดพฤติกรรมสนับสนุนคอรัปชั่น ยิ่งไปกว่าน้ัน ปัจจุบันยังมีปัญหาในลักษณะของการมีผลประโยชน์ ทับซ้อน (Conflict of interest) ซึ่งหมายถึง ความทับซ้อนกัน ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม (ผลประโยชน์สาธารณะ) ที่มีผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ โดยเฉพาะใน องค์กรภาครัฐ กล่าวคือ เป็นสถานการณ์ท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐมี ผลประโยชน์ส่วนตนอยู่ และได้ใช้อิทธิพลตามอานาจหน้าที่และ ความรับผิดชอบ เพ่ือให้เกิดประโยชน์ส่วนตน ซึ่งทาให้เกิดผล เสียหายต่อประโยชน์ส่วนรวม ดังนั้น ผู้นาซึ่งหมายถึงผู้ท่ีมีอานาจ จึงมีส่วนสาคัญยิ่งที่จะช่วยทาให้ปัญหาน้ีลดน้อยลงได้ โดยการคิด ทาส่ิงใดให้ยดึ ประโยชน์ของสว่ นรวมเป็นที่ตั้ง และ ต้องคิดแยกแยะ ระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม เพ่ือจะทาให้ บ้านเมืองเกดิ ความสุจรติ ขน้ึ ได้
ห น้ า | ๗๕ จากแนวคดิ สตู่ วั อย่างการปฏิบตั ิ การยึดถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง การคานึงถึงส่ิงท่ี ยิ่งใหญ่กว่าความสุขส่วนตน ไม่เพียงจะเป็นจุดเร่ิมเป็นคุณธรรมตั้ง ต้นท่ีจะสร้างสังคมสุจริตให้เกิดข้ึน แต่ผู้ดารงตนด้วยการยึดถือ ประโยชน์ส่วนรวม จะมีแรงผลักดันในการดาเนินการต่างๆอย่างถึง ท่ีสุด และสามารถตัดสินใจท่ีเด็ดเดี่ยวเพ่ือผลในการสร้างประโยชน์ ส่วนรวมต่อไปได้ ดังตัวอย่างของข้าราชการท่านหนึ่งซึ่งทาหน้าที่ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าในพ้ืนที่ป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ที่สุด แห่งหนึ่งในประเทศ๒๑ ข้าราชการท่านนี้ เป็นผู้ซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ และไม่ยอมก้มหัวให้กับความไม่ถูกต้องทั้งหลายทั้งปวง และผู้ยอม อุทิศตัวเองเพ่ือการอนุรักษ์ธรรมชาติเพ่ือประโยชน์แก่ประชาชน และสัตว์ แม้ในการทางาน จะพบปัญหาต่างๆ ในการบริหารจัดการ มากมาย อาทิ ปัญหาการตัดไม้ทาลายป่า การล่าสัตว์ของบุคคลท่ีมี อิทธิพล เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าถูกยิงเสียชีวิต ปัญหาความยากจนของ ชาวบ้านรอบป่า และท่ีสาคัญคือปัญหาเหล่านี้ไม่เคยได้รับความ สนใจจากผู้มีอานาจในขณะนั้น แต่ท่านก็มุ่งมั่นพยายามแก้ปัญหา ตลอดมา อย่างไรก็ดีจากความกดดันรอบด้าน ข้าราชการท่านนี้ ตัดสินใจฆ่าตัวตายเพ่ือเรียกร้องให้สังคมเห็นความสาคัญของการ ๒๑ สืบค้นจาก https://www.seub.or.th/bio-seub-nakhasathien/ https://www.the๑๐๑.world/seub-nakhasathien/ https://www.newtv.co.th/news/๔๙๘๖
ห น้ า | ๗๖ อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นการแสดงเสียสละชีวิตเพื่อแสง ถึงความมุ่งม่ันในการรักษาประโยชน์ส่วนรวมอย่างถึงที่สุดเท่าท่ี มนุษย์คนหน่ึงจะทาได้ การเสียชีวิตของข้าราชการท่านน้ี ได้สร้าง กระแสตืน่ ตวั เรอ่ื งการอนุรักษธ์ รรมชาติในประเทศไทย โดยรายงาน ทเ่ี ขาเคยเขยี นก่อนเสียชวี ิตเกย่ี วกบั คุณคา่ ของปา่ แหง่ นัน้ และความ จาเป็นที่จะต้องอนุรักษ์ผืนป่าน้ีไว้ เป็นเอกสารสาคัญที่สนับสนุนให้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าดังกล่าว ได้รับการคัดเลือกจากองค์กร ระหว่างประเทศด้านการอนุรักษ์ให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทาง ธรรมชาตใิ นเวลาต่อมา ๓.๔ การใช้อานาจอย่างเป็นธรรม “อานาจรัฐ” (State power) เป็นอานาจสูงสุดท่ีใช้ ปกครองประเทศหรือรัฐ ซึ่งสาหรับฝ่ายบริหาร ก็คือ การบังคับใช้ กฎหมาย และในการปกครองระบอบประชาธิปไตย การใช้อานาจ รัฐปกครองประเทศ กต็ ้องเป็นไปเพ่ือผลประโยชน์ของประชาชนทุก คน ไม่ว่าจะอยู่ในตาแหน่งใด ฐานะใด หรือ ภูมิภาคใด เน่ืองจาก อานาจรัฐมีความเป็นนามธรรม กล่าวคือ เป็นส่ิงท่ีมองไม่เห็น จึง จาเป็นต้องกาหนดความเป็นรูปธรรมของอานาจรัฐ คือ การตรา “กฎหมาย” เพ่ือใช้ปกครองรัฐข้ึน สาหรับประเทศไทย แต่เดิม พระมหากษัตริยท์ รงเป็นเจา้ ของอานาจรัฐและเป็นผู้ใช้อานาจรัฐแต่
ห น้ า | ๗๗ ผู้เดียว แต่ปัจจุบันเปล่ียนเป็น ประชาชนเป็นเจ้าของอานาจรัฐ แต่ ขา้ ราชการยังเป็นผใู้ ช้อานาจรัฐอย่เู หมอื นเดิม ดังน้ัน ข้าราชการ ซึ่ง หมายรวมถึงทัง้ ขา้ ราชการการเมือง และ ข้าราชการประจา ล้วนมี บทบาทสาคัญในฐานะท่ีเป็นผู้ใช้อานาจรัฐ หากผู้ใช้อานาจรัฐ ใช้ อานาจอย่างเป็นธรรม มีความเท่ียงตรงถูกต้อง ประโยชน์สูงสุดก็จะ เกิดกับประชาชน แต่หากในทางตรงกันข้าม ผู้ใช้อานาจรัฐใช้ อานาจท่ีได้อย่างบิดเบือน หรือ ที่เรามักคุ้นกันว่า “ใช้อานาจโดยมิ ชอบ”แล้ว ยอ่ มสง่ ผลใหเ้ กิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา โดยเฉพาะปัญหา การทุจริตคอรัปช่ัน ซ่ึงในที่สุดก็จะเป็นส่ิงท่ีบ่อนทาลายรากฐาน บา้ นเมืองทีส่ จุ ริตลงไป
ห น้ า | ๗๘ จากแนวคิดส่ตู ัวอยา่ งการปฏบิ ตั ิ ๑. กำรใช้อำนำจอย่ำงเป็นธรรมของ นำยชวน หลีกภัย ครั้งสมัย ดำรงตำแหน่งนำยกรฐั มนตรี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ได้เคยเล่าถึง ประสบการณ์ของท่านเก่ียวกับการใช้อานาจอย่างเป็นธรรม เมื่อ คร้ังดารงตาแหน่งนายกรัฐมนตรี ในการบรรยายให้แก่นักศึกษา หลักสูตรการบริหารจัดการด้านความมั่นคงขั้นสูง รุ่นที่ ๑๒ หัวข้อ ปัญหาภาคใต้ “...ปัญหาภาคใตน้ ัน้ เปน็ ปัญหาทจ่ี ะผกู พันความม่ันคงของ เราไปอีกนาน แต่ว่าถ้าเราไม่รู้ว่าท่ีไปท่ีมาคืออะไร เราก็จับประเด็น ปัญหาได้ไม่ถูกต้องและจะทาให้เราเกิดความสับสนผิดพลาดได้ ... ครั้งหนึ่ง จังหวัดปัตตานีเป็นเมืองอยู่ เป็นประเทศหน่ึง เป็น อาณาจกั รอีกอาณาจกั รหนงึ่ เรากไ็ มร่ ูว้ ่าเชียงใหม่ คร้ังหนึ่งก็เป็นอีก ประเทศหน่ึง เขาก็เคยเป็นอาณาจักรล้านนาอีกเมืองหนึ่ง เขาเป็น เมืองขึ้นพม่า แล้วเราไปตีมาได้ แต่บังเอิญว่าเชียงใหม่ มีวัฒนธรรม ศาสนา ภาษาเหมือนกันกับเรา เจ้าหญิงเชียงใหม่มาเป็นพระชายา พระวรชายาของรัชกาลที่ ๕ เพราะฉะนั้น ความขัดแย้งมันก็ย่อม กลืนหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ปัตตานีไม่มีอย่างน้ัน ปัตตานี ศาสนา วัฒนธรรม ภาษาต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การท่ีจะกลมกลืนน้ัน เป็นเร่ืองไม่ง่ายนัก เพราะเราจะเห็น พระวิสัยทัศน์ของในหลวง รชั กาลที่ ๖ ถา้ เราได้ดูในหนังสือที่นามาให้พวกเรา ในน้ันเราจะเห็น
ห น้ า | ๗๙ ว่ารัชกาลท่ี ๖ ทรงกาหนดรฐั ประศาสโนบาย สาหรับมณฑลปัตตานี ๖ ประการ เป็นความเฉลียวฉลาดของในหลวงรัชกาลที่ ๖ แม้กระท่ัง ท่านมาใช้ในปจั จบุ ันกย็ ังมคี วามทันสมัย ข้อหน่ึง ระเบียบหรือวิธีปฏิบัติอย่างใดเป็นทางให้พลเมือง รู้สึกเห็นไปว่า เป็นการเบียดเบียน กดขี่ศาสนาอิสลาม ต้องยกเลิก หรือแก้ไขเสียทันที การใดจะจัดขึ้นใหม่ต้องอย่าให้ขัดกับลัทธินิยม ของอิสลาม หรือยิ่งทาให้เห็นเป็นการอุดหนุนศาสดามูฮัมหมัดได้ ยิง่ ดี ข้อสอง การกะเกณฑ์อย่างใด ๆ ก็ดี การเก็บภาษีอากร หรืออย่างใด ๆ ก็ดี เม่ือพิจารณาโดยส่วนรวมเทียมกัน ต้องอย่าให้ ย่งิ กวา่ ท่พี ลเรือนในแว่นแคว้นของตา่ งประเทศ พดู ง่าย ๆ เขาติดกับ มาลายูอย่าไปทาเหนือกว่าตรงนั้น จะทาให้เกิดข้อแตกต่างกันใน ตรงนัน้ ข้อสาม การกดข่ีบีบค้ันแต่เจ้าพนักงานของรัฐบาล เนื่อง แต่การหม่ันดูแคลนพลเมืองชาติแขก โดยฐานท่ีเป็นคนต่างชาติก็ดี เน่ืองแต่การหน่วงเหนี่ยวชักช้าในกิจการตามหน้าที่ เป็นเหตุให้ ราษฎรเสียความสะดวกในทางหาเลี้ยงชีพก็ดี พึงต้องแก้ไข ระมดั ระวงั มิใหม้ ีขนึ้ ขอ้ สี่ กิจการใดทั้งหมดอันเจา้ พนกั งานต้องบังคับแก่ราษฎร ตอ้ งระวงั อยา่ ใหร้ าษฎรตอ้ งขัดข้องเสียเวลา ตรงนี้นะครับพูดง่าย ๆ ว่า เม่ือมาตดิ ต่อราชการก็อย่าใหน้ งั่ คอยอยู่นาน นี่คือเกิดขึ้นในสมัย รัชกาลท่ี ๖
ห น้ า | ๘๐ ข้อห้า ข้าราชการท่ีจะแต่งตั้งออกไปประจาตาแหน่งใน มณฑลปตั ตานี พึงเลอื กเฟน้ แต่คนมีนิสัย ซื่อสัตย์ สุจริต สงบเสงี่ยม เยือกเย็น ไมใ่ ช่สักแต่ว่าส่งไปบรรจใุ ห้ตาแหน่ง เพราะฉะน้ัน มีความ ครอบคลุมในทุกอย่างเลย ข้อหก เจ้ากระทรวงทั้งหลายจะจัดการวางระเบียบการ อย่างใดขึ้นใหม่ หรือบังคับการอย่างใดในมณฑลปัตตานี อันจะเป็น ทางพากพานถึงสุขทุกข์ราษฎร ก็ควรพิจารณาเหตุผลแก้ไขหรือ ยบั ยง้ั ถ้าไม่เห็นดว้ ยวา่ มมี ลู ขดั ขอ้ ง ก็ควรหารอื กระทรวงมหาดไทย แม้ยังไม่ตกลงกันได้ระหว่างกระทรวง ก็พึงนาความขึ้นกราบบังคม ทูลทราบฝา่ ละอองธุลีพระบาทขอพระราชทานพระบรมราชวินิจฉยั ท้ังหกข้อน้ีเราจะเห็นชัดถึงความทันสมัยของการมอง ปัญหาในพื้นที่...เหตุการณ์ความผิดพลาดเกิดขึ้น คือ การกาหนด นโยบายวันท่ี ๘ เมษายน ๒๕๔๔ วันน้ัน โดยก่อนวันนั้นหน่ึงวันมี เหตุการณ์ความไม่สงบ ลอบวางระเบิดที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ ฝ่าย การเมืองก็ลงไปวันที่ ๘ ระเบิดวันที่ ๗ วันที่ ๘ และคืนวันท่ี ๘ ก็มี การประกาศนโยบายปัญหาภาคใต้ รัฐบาลรู้หมดแล้ว จะแก้ให้หมด ภายใน ๓ เดือน ๓ เดือนคืออะไร ผมก็ถามกับคนท่ีเขาเข้าร่วมการ ประชุมว่า ๓ เดือนนั่นคืออะไร ถามท่านผู้ว่าราชการจังหวัด นครศรีธรรมราช ถามรองแม่ทัพภาค ๔ ท่านพลตรีเรวัต ในวงการ ทหารน่าจะรู้จักกันดี ผมเชิญรองแม่ทัพภาค ๔ มาทานก๋วยเต๋ียว ด้วยกัน ผมถามท่านว่า ท่านครับ ๓ เดือนคืออะไร เพราะผมรู้ว่ามี คนเดียวที่มีการทักท้วงในท่ีประชุมในวันนั้น คือ รองแม่ทัพภาค ๔ ท่านเคยได้ยินเรื่องโจรกระจอกไหม นั่นแหละ วันนั้นแหละที่
ห น้ า | ๘๑ สันนิษฐานไว้ว่า ปัญหาภาคใต้ไม่มีอะไรเป็นเพียงแค่โจรกระจอก หากจัดการแค่เดือนละ ๒๐ คน ๓ เดือนก็หมด เป็นความเชื่อของ ผู้บริหารที่เช่ือว่าหมู่บ้านนี้มีโจรกี่คนก็ให้เก็บเสีย หมู่บ้านน้ันก็จะ สงบ...แม่ทัพและรองแม่ทัพภาค ๔ ซึ่งเป็นคนเล่าเหตุการณ์ให้ผม ฟังกเ็ กษียณไปแล้ว แล้วท่านก็โดนตาหนิลงโทษ ก็เป็นคนเดียวท่ีใน การประชุมที่หาดใหญ่ และท้วงนายก ผมก็ถามท่านว่า ท่านเรวัต ทาไมท่านท้วงเอง ทาไมไม่ให้ท่านแม่ทัพทักท้วง ท่านตอบว่า ตอน น้ันท่านแม่ทัพไปรับเสด็จฯ ท่านเลยต้องเข้าประชุมแทน แม่ทัพ ภาค ๔ แต่เมื่อท่านไปท้วง ท่านในฐานะรองแม่ทัพภาค ๔ ท่านรู้ว่า ถ้านโยบายนี้ออกไป คิดว่าน่าจะมีปัญหาแน่ ขณะนั้นก็ไม่มีใครกล้า ท้วง ผู้คนก็เกรงใจกลุ่มนายก แต่ท่านก็เป็นคนเดียว ในท่ีสุดท่านก็ ถูกผู้บัญชาการทหารบกเรียกไปตาหนิว่า คุณไปทาอะไรให้นายก โกรธ นี่เป็นคาพูดของท่านนะ และในท่ีสุดท่านก็ย้ายมาประจา เกษยี ณเมอื่ มาเปน็ พลโทในตาแหนง่ ประจา ไมไ่ ด้เป็นแม่ทัพ”๒๒ หลายคนต้ังคาถามว่า “อานาจ” มีที่มาอย่างไร ซึ่ง แหล่งที่มาหน่ึงของอานาจ คือ “หน้าท่ี” อันเป็นอานาจตาม กฎหมาย มีอานาจในฐานะที่เป็น “เจ้าพนักงาน” ท่ีรับผิดชอบ ตามทกี่ ฎหมายไดใ้ ห้อานาจไว้ ดังน้ัน ในการปฏิบัติหน้าที่จึงต้องใช้ อานาจอย่างเป็นธรรม เท่ียงตรง ถูกต้อง และก่อให้เกิดประโยชน์ ๒๒ คาบรรยายพิเศษของ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในหลักสูตรการบริหาร จดั การดา้ นความมั่นคงข้ันสงู รนุ่ ท่ี ๑๒ หวั ข้อ ปัญหาภาคใต้ วันเสารท์ ่ี ๒๒ สงิ หาคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๕.๓๐ – ๑๗.๓๐ นาฬิกา ณ อาคารทรงกลม โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แจ้งวฒั นะ
ห น้ า | ๘๒ สูงสุดแก่ประชาชน หากแต่บ่อยคร้ังท่ีมักจะได้ยินว่าข้าราชการ หรือ พนักงานของรัฐซ่ึงเป็นผู้ถือกฎหมายใช้อานาจในทางที่ผิด ใช้ อานาจอยา่ งไม่เป็นธรรม ใช้อานาจในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วน ตน อาทิ นายตารวจนายหนึ่งจับกุมผู้ต้องหาในข้อหาลักทรัพย์ และได้ให้ผู้ต้องหาลงลายมือช่ือในบันทึกการจับกุม จากน้ันนา ผู้ต้องหาไปควบคุมไว้ท่ีสถานีตารวจประมาณ ๓๐ นาที ภายหลัง จึงได้เรียกร้องเอาเงินจากผู้ต้องหาเพื่อแลกเปลี่ยนกับการปล่อยตัว ไม่ดาเนินคดี โดยนาผู้ต้องหาออกมาโทรศัพท์หาภรรยาผู้ต้องหา ต่อมาเมอ่ื นายตารวจผู้น้ันได้รับเงิน ๓,๐๐๐ บาท จากผู้ต้องหาแล้ว จึงปล่อยผู้ต้องหาไป๒๓ นายตารวจผู้น้ัน ภายหลังถูกดาเนินคดีมี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๙๒๔ อีกกรณี ตัวอย่างหนึ่ง ซ่ึงมักจะเกิดขึ้นในส่วนขององค์กรปกครองส่วน ท้องถ่ิน ได้ การเรียกรับเงินเพ่ือบรรจุหรือแต่งต้ังให้เป็นข้าราชการ ท้องถิ่น ดังนั้น คาพิพากษาศาลฏีกาท่ี ๑๓๖๕๐/๒๕๕๘ ซ่ึงจาเลย ดารงตาแหน่งนายกเทศมนตรี ตาบลแหง่ หนง่ึ ในจงั บุรีรัมย์ มีอานาจ หน้าท่ีในการกาหนดนโยบายและรับผิดชอบในการบริหารราชการ ของเทศบาล และมีอานาจออกคาสั่งเกี่ยวกับการบรรจุและแต่งตั้ง พนักงานเทศบาล โดยนายกเทศมนตรีคนดังกล่าวได้เรียกเงินและ ๒๓ คาพิพากษาศาลฎกี าที่ ๑๗๔๙/๒๕๔๕. ๒๔ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ กาหนดว่า “ผู้ใดเปน็ เจ้าพนกั งาน สมาชกิ สภานติ ิบญั ญัติ แห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือ ประโยชน์อื่นใดสาหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพ่ือกระทาการหรือไม่กระทาการอย่างใดใน ตาแหน่งไมว่ า่ การนนั้ จะชอบหรอื มิชอบด้วยหน้าท่ี ต้องระวางโทษจาคุกตั้งแต่ห้าปีถึงย่ีสิบปี หรือ จาคุกตลอดชวี ิต และปรบั ตงั้ แต่หนึง่ แสนบาทถงึ สแี่ สนบาท หรอื ประหารชีวิต”
ห น้ า | ๘๓ รับเงินจานวน ๓๓๐,๐๐๐ บาท จากแม่ของผู้สมัครสอบรายหนึ่งที่ สมั ค เ ข้ าท า ง า นเ ป็ น พ นั ก ง า น เ ทศ บ า ล ก า ร ก ระ ท า ข อ ง นายกเทศมนตรีเป็นการกระทาอันมิชอบด้วยหน้าท่ี เป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๙ และจาก ๒ กรณี ดังกล่าวข้างต้นนับเป็นการกระทาท่ีใช้อานาจในทางมิชอบ ละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ และใช้อานาจเพื่อการแสวงหาผลประโยชน์ส่วน ตน การใช้อานาจท่ีเป็นไม่เป็นธรรมยังออกมาในรูปแบบของ การใช้อานาจในทางท่ีมิชอบ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐและ ประโยชน์ส่วนรวม ดังใน คาพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๓๒๘๗/๒๕๕๔ กรณีของนายกองค์การบริหารส่วนตาบล ปลัดองค์การบริหารส่วน ตาบล สมาชกิ สภาองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ๑ คน และเจ้าหน้าท่ี พัสดุ ซ่งึ ถือเปน็ “เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา” ทั้งสิ้น โดยเจา้ หนา้ ที่พัสดุมีหนา้ ท่ใี นการปิดประกาศเผยแพร่การสอบราคา โครงการรบั เหมาก่อสร้างไวโ้ ดยเปิดเผย ณ ที่ทาการองค์การบริหาร ส่วนตาบลและท่ีว่าการอาเภอและขายเอกสารสอบราคาให้แก่ผู้ท่ี สนใจซ้ือ แต่เจ้าหน้าที่พัสดุไม่ได้ติดประกาศสอบราคาโครงการ ดังกลา่ วและไมม่ กี ารขายเอกสารสอบราคาให้แก่บริษัทรับเหมาแห่ง หน่ึงชื่อ ก. ทั้งนี้ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตาบล และ ปลัด องค์การบริหารส่วนตาบลได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการเปิดซอง และพิจารณาซองสอบราคา ส่วนนายกองค์การบริหารส่วนตาบล เป็นผู้อนุมัติการจ้าง ซึ่งบุคลทั้ง ๓ ต่างปฏิบัติหน้าท่ีอยู่ท่ีทาการ องค์การบริหารส่วนตาบลด้วยกัน จึงย่อมรู้เห็นการกระทาของ
ห น้ า | ๘๔ เจ้าหน้าท่ีพัสดุ แต่กลับมีการเปิดซองสอบราคาและตกลงจ้างเหมา กรณีน้ีเป็นการสมคบกันปกปิดการสอบราคากีดกันไม่ให้บริษัท ก. เข้าสอบราคา ถือเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยไม่ชอบ ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่บุคคลอ่ืน และมีผลกระทบต่องบประมาณของรัฐในการ พฒั นาประเทศทาให้รัฐตอ้ งเสยี หาย ฉะนน้ั เม่อื ใดที่ทา่ นไดร้ บั เกียรตใิ หม้ ีหนา้ ท่ี ท่านจงพึงระลึก เสมอว่าในการใช้อานาจของท่านในแต่ละคร้ัง ต้องเป็นการใช้ อ า น า จ เ พ่ื อ ใ ห้ ง า น อั น เ ป็ น ห น้ า ที่ ไ ด้ ส า เ ร็ จ ลุ ล่ ว ง ต า ม ที่ ไ ด้ รั บ มอบหมาย ท่านต้องไม่ใช้อานาจที่ท่านมีในทางที่ผิด ท้ังท่ีเป็นการ ใช้อานาจที่ผิดกฎหมาย ทาเพ่ือประโยชน์ส่วนตน ก่อให้เกิดความ เสียหายแก่ประเทศชาติส่วนรวม และ ต้องเป็นการกระทาท่ีผิด ศีลธรรมจรรยาอันดขี องสงั คมไทย ๓.๕ การทาตนเปน็ แบบอยา่ งทด่ี ี \"แบบอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคาสอน\" เป็นคากล่าวที่ หลายคนคงคุ้นหู ซ่ึงสะท้อนให้เห็นว่า แม้คาสอนจะดีเพียงใด หากต้องการให้ผู้อื่นประพฤติปฏิบัติตาม เราต้องมีตัวอย่างที่ดีใน การทาให้ผู้อ่ืนเห็นตามได้ การทาตนเป็นแบบอย่างน้ัน หมายถึง การแสดงออก การประพฤติ และปฏิบัติในด้านบุคลิกภาพทั่วไป ต้ังแต่การแต่งกาย กิริยา วาจา และการปฏิบัติตามจริยธรรมท่ี เหมาะสมอย่างสม่าเสมอ ท่ีทาให้ผู้พบเห็นศรัทธาและถือเป็น แบบอย่าง ดังน้ัน ผู้ท่ีสอนผู้อื่น ซึ่งก็มักจะอยู่ในฐานะผู้นา ไม่ว่าจะ เป็นผู้นาครอบครัว หรือ ผู้นาองค์กร จาเป็นต้องมีพฤติกรรมตาม
ห น้ า | ๘๕ คาสอนเหล่านั้นให้เป็นแบบอย่างเสียก่อน เช่น หากเราผู้นา ครอบครัว เราอยากให้บุตรหลานเป็นผู้มีวินัยและเคารพกฎหมาย เราก็ต้องปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างด้วยการปฏิบัติตามกฎจราจร อยา่ งเครง่ ครดั ไม่ฝ่าฝืน ไม่ละเมิดสัญญาณจราจร หากเราเป็นผู้นา องค์กร อยากให้ผู้ใต้บังคับบัญชาการยึดม่ันในคุณธรรมจริยธรรม มเี หตผุ ล มีจติ สานกึ ดี มสี านกึ รับผิดชอบ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม เราก็ต้องยึดถือและปฏิบัติในส่ิงเหล่าน้ีเป็นกิจวัตรในการทางาน ก็จะทาให้เกิดการหล่อหลอมกล่อมเกลา โดยเห็นตัวอย่างที่ดีควบคู่ ไปกับคาสอน เมื่อเป็นเช่นน้ีแล้ว ผู้นาที่ดีก็ย่อมนามาซึ่งบ้านเมืองท่ี สุจริตได้ รวมทั้ง การมีแบบอย่างท่ีดียังเป็นส่วนสาคัญในการสร้าง แรงบันดาลใจให้ผู้คนรอบข้างท่ีจะนาไปสู่การขยายผลเป็นวงกว้าง ต่อไป ซ่ึงกล่าวได้ว่า การทาตนเป็นแบบอย่างที่ดีนี้ เป็นสิ่งสาคัญ และเป็นเป้าหมายปลายทางของการขับเคล่ือนการเสริมสร้าง บา้ นเมอื งสจุ ริตให้เกดิ ขึน้ อยา่ งเปน็ รูปธรรมทส่ี ุด
Search