ความสัมพนั ธร์ ะหว่างวรรณคดีกับประตมิ ากรรมไทย ประตมิ ากรรม เป็นผลผลิตและมรดกทางวฒั นธรรมแขนงหน่งึ ท่มี ีคณุ คา่ ยงิ่ ทง้ั ในดา้ นการศกึ ษาทางวฒั นธรรม ศลิ ปกรรม สงั คมศาสตร์ มนษุ ยศ์ าสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ สนุ ทรียศาสตรโ์ บราณคดแี ละปรชั ญาศาสนา เป็นภาพสะทอ้ นถงึ ชวี ติ ของคนสมยั กอ่ นในบรบิ ท ของสภาพแวดลอ้ มในช่วงเวลานน้ั ๆ การศกึ ษาความรูเ้ กี่ยวกบั ประตมิ ากรรมมปี ระเด็นในการนาเสนอประกอบดว้ ย 1. ความหมายของประตมิ ากรรม 2. ประเภทของประตมิ ากรรม 3. รูปแบบทางประติมากรรม 4. กรรมวิธีทางประตมิ ากรรม 5. บทบาทความสาคญั และประโยชนข์ องประตมิ ากรรม 6. ความงามของประติมากรรม มรี ายละเอยี ดดงั นี้ 1.ความหมายของประตมิ ากรรม ประตมิ ากรรม หมายถึง งานศลิ ปประเภทวิจติ รศลิ ป์ ท่สี รา้ งสรรคข์ นึ้ เพ่อื การช่ืนชมในคณุ คา่ ทางศิลปะเป็นสาคญั มกี าร แสดงออกดว้ ยปรมิ าตรรูปทรง 3 มิติ มคี วามกวา้ ง ความยาวหรือความลกึ ความสงู ซ่งึ กนิ ระวางพนื้ ท่ใี นอากาศ สรา้ งโดยวธิ ี ตา่ งๆ สามารถรบั รูด้ ว้ ยการมองเห็นทางสายตา ซง่ึ เรยี กวา่ ทศั นศลิ ป์ นอกจากนแี้ ลว้ ราชบณั ฑติ ยสถาน (2550 : 509) ประติมากรรม คอื ศิลปะประเภทหนึ่งในสาขาทศั นศิลป์ มีรูปทรงเป็น 3 มติ ิ ทาดว้ ยวสั ดหุ ลายชนดิ เช่น ดนิ เหนยี ว ไม้ หิน โลหะ โดยกรรมวิธีต่างๆ เป็นรูปคน รูปสตั ว์ ลวดลาย หรอื รูปทรงนามธรรม 2.ประเภทของประติมากรรม โดยประตมิ ากรรมเป็นศลิ ปะทว่ี า่ ดว้ ยเรือ่ งของปรมิ าตรท่กี นิ พนื้ ท่ใี นอากาศ ดงั นนั้ การจาแนกประเภทของประติมากรรมจึงใช้ ปรมิ าตรและลกั ษณะการกินพนื้ ท่ใี นอากาศเป็นเกณฑใ์ นการจาแนก ทง้ั นี้ พยรู โมสกิ รตั น์ (2548 : 135 – 136) ไดจ้ าแนก ประเภทของประตมิ ากรรมออกเป็น 3 ประเภท ดงั นี้ 2.1 ประติมากรรมร่องลึก (lncised Relief Sculpture) หมายถงึ ประตมิ ากรรมท่เี กดิ จากการใชเ้ คร่อื งมอื แกะเซาะลงบน พนื้ ผวิ หรอื เนอื้ วสั ดเุ กดิ เป็นรอ่ งลกึ เวา้ โคง้ โดยรูปทรงท่สี รา้ งขึน้ จะเกิดนา้ หนกั ความเขม้ ขน้ ของแสงเงาตามระดบั ความลกึ ประติมากรรมประเภทนสี้ ามารถดไู ดเ้ พยี งดา้ นหนา้ ตรงเทา่ นนั้ (คมสนั คาสงิ หา. 2550 : 5)
2.2 ประตมิ ากรรมรูปนูน (Relief Sculpture) หมายถงึ ประตมิ ากรรมท่สี รา้ งปรมิ าตรและลกั ษณะการกนิ พนื้ ท่ใี นอากาศ ดว้ ยระดบั และลกั ษณะความสงู ตา่ หรือความนนู ของพนื้ ผวิ งาน ซ่งึ ทาใหเ้ กิดแสงกบั เงาเพ่อื ชว่ ยเนน้ มติ ิของรูปทรงจากพนื้ หลงั (Background) นบั รวมตงั้ แตต่ วั งานท่มี ีระดบั ความนนู ออกมาจากพนื้ หลงั เลก็ นอ้ ย ไปจนถงึ งานทม่ี รี ะดบั ความนนู ออกมาจาก พนื้ หลงั มากๆ จนดเู หมือนหลดุ ลอยออกมาจากพนื้ หลงั สมเด็จฯ เจา้ ฟา้ กรมพระยานรศิ รานวุ ตั วิ งศ์ ออกแบบ, ศิลป์ พรี ะศรี ประติมากร (2475) ตน้ แบบเหรยี ญท่รี ะลกึ เฉลิมพระนคร 150 ปี (ดา้ นหนา้ ) หล่อ ปลาสเตอร์ (ท่มี ามหาวิทยาลยั ศิลปากร, 2540 ก : 241) 2.3 ประติมากรรมลอยตวั (Round Relief Sculpture) หมายถงึ ประตมิ ากรรมท่ชี ิน้ งานตงั้ อยโู่ ดยอิสระ ไม่มสี ่วนหนง่ึ สว่ นใดตดิ กบั พนื้ หลงั (Background) มกี ารกนิ พนื้ ทใ่ี นอากาศรอบดา้ น หรืออากาศสามารถไหลเวยี นถา่ ยเทไดโ้ ดยรอบ ชิน้ งาน และผชู้ มสามารถชมผลงานไดร้ อบดา้ น มเี พยี งดา้ นลา่ งหรอื ดา้ นท่อี ยตู่ ิดกบั พนื้ หรอื ฐานของชิน้ งานเท่านนั้ ไม่สามารถ ชมได้ (คมสนั ต์ คาสงิ หา. 2550: 7) ศลิ ป์ พีระศรี (2468) พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อย่หู วั หล่อปลาสเตอร,์ ขนาดสองเทา่ พระองคจ์ รงิ (ท่มี ามหาวทิ ยาลยั ศลิ ปากร, 2535 : ไมม่ ีเลขหนา้ ) 3.รูปแบบทางประตมิ ากรรม รูปแบบของประตมิ ากรรม หรือรูปแบบทางศิลปะ (Art Form) หมายถึง ผลรวมจากการผสานรวมตวั กนั ของส่วนประกอบ ทางศลิ ปะ (Elements of Art) ต่างๆ เชน่ เสน้ ระนาบ มวล ปรมิ าตร สี รูปรา่ ง พนื้ ผวิ ท่วี า่ งฯลฯ การจาแนกรูปแบบทางศลิ ปะ นนั้ มีความแตกตา่ ง และหลากหลายขึน้ อยกู่ บั เกณฑท์ ่ใี ชใ้ นการจาแนกท่สี าคญั มี ดงั นี้ 3.1 แบบเหมอื นจรงิ (Realistic) หมายถึง ประตมิ ากรรมท่แี สดงรูปลกั ษณะของคน สตั ว์ สง่ อน่ื ๆ ท่พี บเห็นในธรรมชาติ เกดิ จากประสบการณท์ ่ศี ิลปินพบเหน็ สิง่ ต่างๆและนาเสนอผลงาน โดยไมม่ ีการเปลย่ี นแปลงหรอื บิดเบอื นไปจากความเป็นจรงิ จะ ยึดหลกั ความจรงิ ท่ปี รากฏอยใู่ นธรรมชาตอิ ย่างเครง่ ครดั แตก่ ารสรา้ งสรรคข์ องประตมิ ากรนน้ั ไมใ่ ช่เป็นการลอกเลียนแบบ
ธรรมชาติ แตเ่ ป็นการแปลความหมายและถา่ ยทอดความรูส้ กึ นกึ คดิ ของตนลงไปในผลงานอกี ทอดหน่งึ รูปแบบ จะเป็นการ นาเสนอ ความจรงิ และขอ้ เทจ็ จรงิ ตา่ งๆ ประติมากรรมแบบรูปลกั ษณจ์ าแนก ออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดงั นี้ 3.1.1 แบบเหมอื นจริงธรรมชาติ (Natural Realistic) หมายถงึ ประติมากรรมท่สี รา้ งสรรคข์ นึ้ เพ่อื ความมงุ่ หมาย ในการเลยี นแบบลกั ษณะความเป็นจรงิ ตา่ งๆ ตามธรรมชาตใิ หม้ ากท่ีสดุ เท่าท่ีประตมิ ากรจะสามารถทาได้ ประติมากรรม รูปแบบนสี้ ว่ นมากจะนยิ มสรา้ งขนึ้ ในลกั ษณะรูปเหมือนบคุ คล ซง่ึ ไดแ้ สดงการเลยี นแบบ ความเหมอื นจรงิ ตามธรรมชาติในส่วน ตา่ งๆ เช่น รอยยน่ ของผิวหนงั สีผิว เสน้ ผม ลกู ตา สีลกู ตา เล็บ และขมุ ขนตา่ งๆ โดยใชข้ ผี้ งึ้ เป็นวสั ดใุ นการปั้น ตกแตง่ สรา้ ง รายละเอียด เพราะเป็นวสั ดทุ ่สี ามารถเก็บรายละเอยี ดไดด้ ี แลว้ หล่อดว้ ยไฟเบอรก์ ลาส นอกจากนนั้ แลว้ ยงั นาวสั ดจุ รงิ มาเป็น สว่ นประกอบ เชน่ เสอื้ ผา้ รองเทา้ และ ส่ิงสงั เคราะหม์ าเป็นสว่ นประกอบ เช่น ลกู ตาเทียม และเสน้ ผมสงั เคราะห์ รวมถงึ การ ระบายสี เพ่อื ใหเ้ กดิ ความเหมือนจรงิ ตามธรรมชาติใหม้ ากท่ีสดุ มานพ สวุ รรณปินฑะ (2536) ศรี ษะทา่ นพทุ ธทาส,ไฟเบอรก์ ลาส,ขนาดเทา่ จรงิ 3.1.2 แบบเหมือนจรงิ (Realistic) หมายถึง ประตมิ ากรรมท่สี รา้ งสรรคข์ นึ้ เพ่อื ความม่งุ หมายในการแสดงความ เหมอื นจรงิ โดยความเหมอื นจรงิ นนั้ เป็นความเหมอื นในทางโครงสรา้ ง สดั สว่ น และความถกู ตอ้ งของลกั ษณะทางกายวภิ าค ศาสตร์ (Anatomy) ประติมากรรมรูปแบบนสี้ ว่ นมากจะนิยมสรา้ งขนึ้ ในลกั ษณะรูปเหมอื นบคุ คล ซง่ึ ไดแ้ สดงความเหมือนจรงิ ในทางโครงสรา้ ง สดั สว่ น และความถกู ตอ้ งของลกั ษณะทางกายวภิ าคศาสตรโ์ ดยรายละเอยี ดบางส่วนจะปั้นให้ เป็นมวล (Mass) เชน่ เสน้ ผม คิว้ จะทาเป็นกล่มุ ของมวล เป็นตน้ รวมถงึ ไมม่ กี ารสรา้ งรอยย่นท่ลี ะเอยี ดบรเิ วณผิวหนงั การใชล้ กู ตา เทยี มและการใชก้ รรมวิธีทางจติ รกรรมในการระบายสีผวิ หนงั ใหเ้ หมอื นกบั สผี วิ ของบคุ คลดงั เชน่ ประติมากรรมแบบเหมอื นจรงิ ธรรมชาติ ศลิ ป์ พีระศรี และฉาย เทียมศลิ ปไชย. ทา้ วสรุ นารี (2477) หล่อโลหะรมดา ขนาดเทา่ คนจรงิ
3.2 แบบนามธรรม (Abstract) หมายถงึ ประติมากรรมท่สี รา้ งสรรคข์ นึ้ โดยการคลี่คลายและตดั ทอนรูปทรงใหผ้ ิดแผกไป จากรูปทรงธรรมชาตอิ ยา่ งสนิ้ เชงิ โดยไดเ้ ปลี่ยนสภาพของสว่ นตา่ งๆ ใหก้ ลายเป็นทศั นธาตทุ างศลิ ปะ เช่น เสน้ พนื้ ผวิ มวล ปรมิ าตร เป็นตน้ แลว้ ใชห้ ลกั การ ทางองคป์ ระกอบศลิ ป์ (Art Composition Principle) ในการจดั การควบคมุ ทศั นธาตตุ า่ งๆ ใหเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการของประตมิ ากร ทงั้ นผี้ ลงานในรูปแบบนี้ จะมงุ่ เนน้ การแสดงออกถึงแนวความคดิ ของประติมากร รวมถงึ ความรูส้ กึ ของรูปทรงเป็นสาคญั มากกว่าความเหมือนจรงิ ตามธรรมชาตทิ ่ตี าเหน็ จมุ พล อทุ โยภาศ (2535) กาฝาก, แกะไม้ , สงู 53 เซนตเิ มตร ท่มี า สมาคมประตมิ ากรไทย 2536 - 60 3.3 แบบกึ่งนามธรรม (Semi Abstract) หมายถงึ ศิลปะท่มี ีการตดั ทอนรูปทรงบางส่วนออกไปจากความเป็นจรงิ หรือ ดดั แปลงไปจากธรรมชาติ รูปแบบนที้ ่จี รงิ แลว้ อย่บู นเสน้ แกนเดยี วกนั มปี ลายขา้ งหนงึ่ เป็นรูปธรรมและอีกขา้ งหนง่ึ เป็นนามธรรม ตรงกลางเป็นกง่ึ นามธรรม นอกจากสามจดุ นแี้ ลว้ ผสู้ รา้ งสรรคม์ ีอสิ ระท่จี ะยืนท่จี ดุ ใดจดุ หนงึ่ ของเสน้ แกนนกี้ ็ได้ ชลดุ น่มิ เสมอ (2498) คดิ , ปลาสเตอร์ กวา้ ง 75 สงู 72 เซนตเิ มตร (ท่มี ามหาวทิ ยาลยั ศิลปากร2540 ข: 72) 4.กรรมวิธที างประตมิ ากรรม กรรมวธิ ีทางประตมิ ากรรม หมายถงึ วธิ ีการท่ปี ระตมิ ากรใชใ้ นการสรา้ งผลงานเพ่อื ใหเ้ กดิ รูปทรง (Form) ทก่ี ินระวางพนื้ ทใ่ี น อากาศ เพ่อื แสดงถงึ แนวความคดิ หรอื เร่ืองราวตามความมงุ่ หมายของศลิ ปินกรรมวิธีตา่ งๆ นน้ั ศลิ ปินเป็นผเู้ ลอื กใชเ้ พ่ือ สนองตอบ แนวความคิดและความมงุ่ หมายของการสรา้ งสรรค์ ทงั้ นี้ พยรู โมสิกรตั น์ (2548:141 - 142) ในการสรา้ งงาน ประตมิ ากรรมไว้ 5 กรรมวธิ ี ดงั นี้
4.1 การป้ัน (Modeling) หมายถึง วธิ ีการสรา้ งรูปทรงซง่ึ เป็นวิธีในลกั ษณะบวก โดยการบอกเพ่อื ใหเ้ กดิ รูปทรงดว้ ยวสั ดทุ ่อี อ่ น ตวั สามารถเปลี่ยนแปลงไดต้ ามความตอ้ งการเช่น ดนิ เหนยี ว ดนิ นา้ มนั ขีผ้ งึ้ เป็นตน้ 4.2 การหลอ่ (Casting) เป็นกระบวนการสรา้ งงานประตมิ ากรรมท่ีกระทาตอ่ เน่อื งจากการปั้นหรอื ถอดพิมพจ์ ากงานท่สี รา้ ง ขนึ้ จากกรรมวิธีอ่ืน ๆ ท่สี าเรจ็ แลว้ วสั ดทุ ่ใี ชใ้ นการหลอ่ มอี ย่หู ลายชนิด ทง้ั นขี้ นึ้ อยกู่ บั วตั ถปุ ระสงคก์ ารใชง้ านและงบประมาณ การสรา้ ง ถา้ หลอ่ เป็นตน้ แบบสาหรบั การถอดพมิ พเ์ พ่อื หลอ่ ดว้ ยวสั ดทุ ่คี งทนถาวรตอ่ ไป จะหลอ่ ดว้ ยปูนปลาสเตอรซ์ ง่ึ มคี วาม เปราะ มีราคาถกู และหลอ่ งา่ ย สว่ นวสั ดทุ ่นี ิยมใชห้ ล่อรูปประติมากรรมถาวร คอื สารดิ ซง่ึ เป็นโลหะผสมโดยใชท้ องแดงเป็น หลกั ผสมกบั ดีบกุ 4.3 การแกะสลกั (Carving) หมายถึง วธิ กี ารสรา้ งรูปทรง โดยการใชเ้ คร่อื งมือกระทาลงบนวสั ดุ เอาสว่ นท่ไี มต่ อ้ งการออก เพ่อื ใหเ้ กดิ รูปทรงตามท่ตี อ้ งการ วสั ดทุ ่ใี ช้ ไดแ้ ก่ ไม้ หิน โฟม เทียน เขาสตั ว์ งาชา้ ง เขยี้ วสตั ว์ เป็นตน้ 4.4 การสลกั ดนุ คอื การใชเ้ ครื่องมอื ตอกดนุ โลหะใหน้ ูนเป็นรูปและ ลวดลายตามตอ้ งการ และแกะหรอื สลกั ใหเ้ ป็นเสน้ เป็น รอ่ งรอยแสดงรายละเอยี ดและขอบเขตของรูปใหแ้ นช่ ดั มกั ใชว้ สั ดทุ ่มี ีเนอื้ เหนยี วหรอื คอ่ นขา้ งเหนยี ว ไมแ่ กรง่ จนเกินไป เชน่ เงิน ทอง อะลมู ิเนยี ม เป็นตน้ 4.5 การประกอบวสั ดุ หมายถึง วธิ ีการสรา้ งรูปทรงโดยการใชว้ สั ดตุ า่ งๆ หรอื วตั ถสุ าเรจ็ รูปมาประกอบใหเ้ กดิ รูปทรงตามท่ี ตอ้ งการ ดว้ ยวธิ ีการปะตดิ เช่อื ม ตอก ทบุ เคาะ มดั เยบ็ เป็นตน้ ในปัจจบุ นั แนวทางการสรา้ งประตมิ ากรรมไดเ้ ปิดกวา้ งและมี การกระตนุ้ หรือจงู ใจใหผ้ สู้ รา้ งงานแสวงหาวสั ดแุ ละวธิ ีการแปลกๆ มาใชใ้ นการสรา้ งงาน ประตมิ ากรรมของตนอยา่ งกวา้ งขวาง ซง่ึ อาจเรยี กวา่ ประตมิ ากรรมเทคนคิ ผสม 5.บทบาทความสาคัญและ ประโยชนข์ องประติมากรรม 5.1บทบาทของประตมิ ากรรม มคี วามตา่ งกนั ตามลกั ษณะการใชส้ อยจาแนกได้ 4 ลกั ษณะ ดงั นี้ (1) ประติมากรรมรูปเคารพ ไดแ้ ก่ ประติมากรรมท่สี รา้ งขนึ้ สาหรบั เคารพบชู า ตามความเช่ือ ความศรทั ธาของศาสนิกชน เช่น ประพทุ ธรูป เทพเจา้ ในศาสนาพราหมณ์ รวมทงั้ รูปเคารพในลทั ธิและศาสนาอ่นื ๆ (2) ประติมากรรมรูปตวั แทน ไดแ้ ก่ ประติมากรรมรูปเปรียบหรือรูปเหมอื นบคุ คล รูปเปรียบ คือ รูปสมมติเป็นบคุ คลใดๆ ท่ไี ม่ ประสงคจ์ ะทาใหเ้ หมอื นหรือไมส่ ามารถทาเป็น รูปเหมือนได้ เช่น รูปบคุ คลในอดตี ท่ไี มส่ ามารถหาภาพถ่ายมาเป็นตน้ แบบได้ หรือรูปบคุ คล ในสงั คมท่มี ขี อ้ หา้ มหรือมีความเช่ือเรอื่ งของคน ส่วนรูปเหมอื น คอื รูปท่ที าเลยี นแบบบคุ คลจรงิ (3) ประติมากรรมตกแตง่ คอื บรรดารูปและลวดลายทง้ั หลายท่ที าขนึ้ ตามกระบวนการวธิ ีของประติมากรรมเพ่อื ประดบั ตกแตง่ สวนและบรเิ วณบา้ น อาคารท่ที าการและเมือง ซง่ึ รวมเรยี กไดว้ า่ ตกแตง่ ภมู ิทศั น์ นอกจากนมี้ ีรูปประติมากรรมและลวดลายท่ี ตกแตง่ บนองคป์ ระกอบของ สถาปัตยกรรมและเครือ่ งใชส้ อยบางอย่าง เช่น เคร่อื งปั้นดินเผา ภาชนะโลหะดนุ ลาย ราชยาน บลั ลงั ก์ ธรรมาสน์ เป็นตน้
(4) ประตมิ ากรรมรูปสาธิตและเล่าเรอื่ ง คือ ประตมิ ากรรมท่ีสรา้ งขนึ้ เพ่อื แสดงเรือ่ งราวหรอื วิธีปฏบิ ตั ิ เช่น รูปฤาษีดดั ตน รูปพทุ ธประวตั ิ เป็นตน้ 5.2 ความสาคัญและประโยชนข์ องประตมิ ากรรม ประติมากรรมมหี นา้ ท่สี นองตอบความตอ้ งการของมนษุ ยแ์ ละสงั คมทงั้ ดา้ นวตั ถแุ ละจติ ใจ เช่น เพ่อื ประโยชนใ์ ชส้ อยสง่ เสรมิ ลทั ธคิ วามเชอ่ื และศาสนา ส่งเสรมิ ความเคารพและศรทั ธา สง่ เสรมิ อานาจ และบารมขี องผปู้ กครอง เพ่ือยกระดบั จิตใจและรสนิยม และเพ่อื แกป้ ัญหาท่วี า่ ง โดยใชป้ ระตมิ ากรรมรูปแบบต่างๆ เป็น เครื่องมอื ในการตอบสนองประตมิ ากรรมมหี นา้ ท่สี นองประโยชนต์ ่อสงั คมทงั้ ดา้ นวตั ถแุ ละจติ ใจ อนั เก่ียวกบั ประโยชนใ์ ชส้ อย และความรืน่ รมยย์ ินดีท่ีมนษุ ยส์ ามารถรบั รูค้ ณุ ค่าจากผลงานสรา้ งสรรคเ์ หล่านไี้ ด้ ดงั นี้ (1) เพ่อื ส่งเสรมิ ลทั ธิความเช่ือศาสนา และความเคารพและศรทั ธา จากหลกั ฐานทา ประวตั ิศาสตรบ์ ่งชวี้ า่ มนษุ ยส์ มยั ก่อน ประวตั ศิ าสตรส์ รา้ งงานศิลปกรรมตา่ งๆ ขนึ้ เพ่อื ตอบสนองความเช่ือในลทั ธิวิญญาณนิยมและศาสนาต่อมาไดค้ ลคี่ ลายทงั้ ใน ดา้ นรูปแบบและกรรมวิธีในแตล่ ะยคุ สมยั จากเดิมท่เี ป็นรูปสญั ลกั ษณก์ พ็ ฒั นามาส่ปู ระติมากรรมรูปเคารพ เช่น รูปเทพเจา้ และ พระพทุ ธรูป เป็นตน้ (2) เพ่อื ส่งเสรมิ อานาจและบารมขี องผปู้ กครอง ความมีอานาจและความยง่ิ ใหญ่ของผปู้ กครองอาศยั ปัจจยั หลายประการ เกือ้ หนนุ ใหม้ ีช่อื เสียงและเป็นทย่ี อมรบั ของประชาชน ประตมิ ากรรมเป็นเครือ่ งมอื หนง่ึ ท่นี กั ปกครองใชใ้ นการแสดงความ ยงิ่ ใหญข่ องตนเองตอ่ สงั คม (3) เพ่อื ยกระดบั จติ ใจและรสนิยม จดุ หมายปลายทางของมนษุ ยใ์ นการดารงชีวติ ประการหนง่ึ คือการปลดปล่อยใหพ้ น้ จาก สญั ชาตญาณป่าเถ่ือนไปส่สู ภาวะอดุ มคติ การยกระดบั จติ ใจและรสนยิ มจึงเป็นสง่ิ สาคญั สาหรบั มนษุ ย์ เป็นพฤตกิ รรมอนั พงึ ประสงคแ์ ละเป็นสิง่ ท่ีแยกความแตกตา่ งระหวา่ งมนษุ ยก์ บั สตั วอ์ ยา่ งแทจ้ รงิ (4) เพ่อื แกป้ ัญหาท่วี า่ ง ในการสรา้ งสถาปัตยกรรมมกั จะมีพนื้ ท่เี หลืออยมู่ าก ทงั้ ส่วนท่เี ป็นอาคารอยอู่ าศยั และสว่ นท่เี ป็นทว่ี ่าง โดยรอบอาคา การจดั แตง่ ท่วี า่ งจงึ ตอ้ งศกึ ษาเร่ืองราวของท่วี า่ งทางสถาปัตยกรรม ซง่ึ นอกเหนอื จากประโยชนใ์ ชส้ อยแลว้ ยงั มี ความสมั พนั ธก์ บั สนุ ทรยี ศาสตรด์ ว้ ย เพราะนอกเหนอื จากการใชง้ านตามปกติ การใชป้ ระโยชนจ์ ากท่วี ่างทางสถาปัตยกรรมจะ ชว่ ยเสรมิ แตง่ การใชท้ ่วี า่ งท่มี คี ณุ ค่าอย่แู ลว้ ใหม้ คี ณุ คา่ ยง่ิ ขนึ้ ไปอีกมลี กั ษณะต่างๆ ไดแ้ ก่ การแกป้ ัญหาท่วี า่ งดว้ ยประติมากรรม ตกแตง่ ประติมากรรมแขวน ประติมากรรมบนฝาผนงั และประตมิ ากรรมกบั ส่ิงแวดลอ้ ม 6.ความงามของประตมิ ากรรม ความงามของประตมิ ากรรมเป็นคณุ ค่าทเ่ี กิดขนึ้ ทง้ั ในสว่ นขององคป์ ระกอบทางนามธรรม (Subjective)ประกอบดว้ ย เนือ้ หา เรอื่ ง แนวเร่ือง และองคป์ ระกอบทางรูปธรรม (Objective) หรือรูปทรง ซง่ึ ประกอบดว้ ยโครงสรา้ งทางรูป ไดแ้ ก่ ทศั นธาตทุ ่ี รวมตวั กนั อยา่ งมเี อกภาพ และโครงสรา้ งทางวตั ถุ ไดแ้ ก่ วสั ดแุ ละกรรมวธิ ีทใ่ี ชใ้ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน ในดา้ นองคป์ ระกอบ
ทางรูปธรรมนน้ั คณุ คา่ ทางความงามเกิดขนึ้ จากลกั ษณะความสงู ต่าท่มี คี วามพอเหมาะพอดี รูปทรง ท่วี ่างและความงามของ วสั ดุ ทง้ั นคี้ วามงามของประติมากรรมมดี งั นี้ 1. ความงามทางลกั ษณะสงู ต่า ๆ (Beauty in Relief) โดยลกั ษณะทางกายภาพของของประตมิ ากรรมมรี ะดบั ความสงู ต่า หรือความตนื้ ลกึ ท่ี เป็น 3 มติ ิ ซ่งึ กินพนื้ ท่ใี นอากาศความสงู ต่าทม่ี คี วามพอเหมาะพอดถี ือไดว้ า่ มคี วามงามในตวั ของมนั เอง เป็น ความงามท่ีเกดิ จากระดบั ความสงู ต่าทก่ี อ่ ใหเ้ กดิ มิติของปรมิ าตรและรูปทรง และกอ่ ใหเ้ กดิ ความงามจากคณุ คา่ ของแสงเงาใน แต่ละชว่ งเวลา 2.ความงามทางรูปทรง (Beauty in Form) ประติมากรรมเป็นศิลปะ 3 มิติ โดยรูปทรงจะใหค้ วามหมายทางดา้ นการจบั ตอ้ ง สมั ผสั และความรูส้ กึ เน่ืองจากมติ ทิ ่เี กดิ ขนึ้ เป็นมติ ทิ ่เี ป็นจรงิ ปรมิ าตรและความประสานกลมกลืนของรูปทรงอยา่ งพอดีเป็นสง่ิ แสดงออกซง่ึ คณุ ภาพของรูปทรงดว้ ย รูปทรง ปรมิ าตร และมวลทป่ี ระสานกลมกลนื กนั จนเกิดเป็นรูปทรงใหมข่ นึ้ มาท่มี ี องคป์ ระกอบ ท่เี ป็นเง่อื นไข 3 ประการ ไดแ้ ก่ 2.1.ทวี่ า่ ง (Space) มีความสาคญั ต่อรูปทรงมาก เพราะเป็นพนื้ ทท่ี ่จี ะถกู กนิ เนอื้ ท่วี า่ งดว้ ยปรมิ าตรของรูปทรง บอ็ คชโิ อนี (Bocchioni : 1882 – 1916) ไดก้ ลา่ วไวว้ า่ ประตมิ ากรจะตอ้ งทาชีวติ ขอ สรรพสงิ่ ดว้ ยการแสดงออกถงึ การขยายตวั ของมนั ใน อากาศใหม้ ีความเดน่ ชดั สมกั คาว่าเป็นวตั ถกุ นั เนอื้ ท่ใี นอากาศ ดงั นนั้ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรูปทรงกบั พนื้ ท่วี ่างจะตอ้ งได้ สดั ส่วนท่เี หมาะสมมเี อกภาพ 2.2.ฐานหรือพนื้ ศิลปินจะตอ้ งคานึงถงึ ระดบั ความสงู ต่าของฐานใหเ้ หมาะสมกบั ผลงานโดยใชข้ นาดของผลงานเป็น ตวั กาหนดขนาดฐานพนื้ ทงั้ นเี้ พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดลุ กนั ปกตฐิ านมกั จะแยกออกจากตวั ชิน้ งานอย่างเดด็ ขาด ผอู้ อกแบบจะ คานงึ ถงึ ความสาคญั เป็นส่วนๆ ไป ความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งมเี อกภาพของฐานและรูปทรงแสดงถงึ คณุ ภาพการออกแบบในองคร์ 2.3ลกั ษณะผวิ เป็นสิ่งเสรมิ สรา้ งความงามและความนา่ สนใจใหก้ บั ผลงานผิวนอกจะแตกตา่ งกนั ตามวสั ดทุ ่ใี ชใ้ นทาง ประติมากรรมพนื้ ผิวแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ พนื้ ผิวท่เี กิดขนึ้ ตามธรรมชาติซง่ึ เป็นลกั ษณะตามธรรมชาตขิ องวสั ดแุ ละ พนื้ ผวิ ท่มี นษุ ยส์ รา้ งขนึ้ วธิ กี ารอนุรักษ์ สืบสาน และเผยแพร่ 1.ประตมิ ากรรมไดก้ ่อใหเ้ กดิ ความช่นื ชมและความประทบั ใจต่อกวไี ดถ้ า่ ยทอดความช่นื ชมนนั้ ลงในวรรณคดีอยา่ งแจม่ ชดั 2.ประตมิ ากรรมไดร้ บั ความรูแ้ ละความบนั ดาลใจจากวรรณคดีไปสรา้ งสรรคง์ านของตนอย่างมากมาย ผจู้ ดั ทาโดย นางสาว ณภทั รวรา พิรยิ ะธนารกั ษ์ ม.4/6 เลขท่ี 9
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: