สวนพฤกษศาสตร์ ในโรงเรียน ประกอบวชิ า ว32101 เทคโนโลยี 2 ครูผ้สู อน รัชชนก วงศ์เขียว
คานา หนงั สอื อิเลก็ ทรอนิกส์เรื่อง สวนพฤฟษศาสตร์ใน โรงเรียน เลม่ นี ้ใช้ประกอบวชิ า ว32101 เทคโนโลยี 2 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปี ท่ี 5 ซงึ่ ในเนือ้ หาจะอธิบายถงึ ต้นไม้ และดอกไม้ ในโรงเรียนวงั เหนือวิทยา หวงั เป็นอยา่ งย่ิงวา่ จะเป็นประโยชน์ตอ่ ผ้ทู ี่ศกึ ษาได้ เป็นอยา่ งดี ช่ือนายอคั รมณี ลาภใหญ่ ชื่อนางสาว กลุ ยา ผาบสายยาน ผ้จู ดั ทา
ดอกชบา ช่ือสามญั Chinese rose ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Hibiscus rosa sinensis. ตระกลู MALVACEAE ถ่ินกาเนิด จีน อินเดียและฮาวาย
ลกั ษณะทวั่ ไป ชบาในบา้ นเรารู้จกั กนั มานานแลว้ จะเห็นไดจ้ ากบา้ นคนสมยั ก่อน จะมีชบายอยแู่ ทบทุกบา้ นปัจจุบนั ชบาไดร้ ับการผสมพนั ธุ์เพื่อใหไ้ ด้ พนั ธุใ์ หม่ออกมามากมาย ซ่ึงลว้ นแต่สวย ๆ งาม ๆท้งั น้นั ทาใหไ้ ด้ ดอกของชบาท่ีมีรูปร่างสวยงามสีสนั ของดอกสดใส ขบาน้นั จดั เป็น ไมพ้ มุ่ ความสูงดดยทว่ั ไปประมาณ 2.50 เมตร ใบมีสีเขียวเขม้ มนรี ปลายใบแหลม แต่ปัจจุบนั กย็ งั มีพนั ธุ์ แตกต่างออกไปอีกมากมาย
การดแู ล แสง: ชอบแสงแดดมาก น้า : ตอ้ งการน้าพอประมาณ ดิน: เป็นไมท้ ่ีปลกู ไดง้ ่ายสามารถเจริญเติบโตไดใ้ นดิน แทบทุกชนิด แต่ไม่ควรใหด้ ินเปี ยกหรือแฉะเกินไป ป๋ ุยใส่ป๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั
สรรพคุณทางยาและประโยชน์ ในคมั ภีร์อายรุ เวท พดู ถึงสรรพคุณของดอกชบาวา่ ช่วย ฟอกโลหิต บารุงจิตใจใหแ้ ช่มชื่น บารุงผวิ พรรณ นอกจากน้ี ยงั ช่วยรักษาและบรรเทาโรคเก่ียวกบั ไต และโดยเฉพาะโรค เก่ียวกบั ระบบสืบพนั ธุ์ของผหู้ ญิง เช่นเสียเลือดประจาเดือน มากเกินไป ประจาเดือนมาไม่สม่าเสมอ รวมท้งั ปัญหาเร่ือง ระดขู าวไม่เพียงแต่ดอกชบาเท่าน้นั ท่ีใชเ้ ป็นยาดีของอินเดีย ส่วนอื่นๆของชบายงั ใชเ้ ป็นยารักษาโรคไดด้ ว้ ย อยา่ งเช่น เปลือกตน้ ชบาใชร้ ักษาโรคผวิ หนงั ที่เกิดจากเช้ือรา ใบชบาใช้ แกแ้ ผลไฟไหมน้ ้าร้อนลวก บารุงผม
ดอกลีลาวดี ช่ือวงศ์ : Apocynaceae ช่ือสามญั : Frangipani , Pagoda tree, Temple tree ชื่อวทิ ยาศาสตร์ : Plumeria spp.
ลกั ษณะเด่น ลีลาวดีมีถิ่นกาเนิดในทวปี อเมริกา พบในบริเวณพืน้ ท่ี ตงั้ แตป่ ระเทศเม็กซิโกตอนใต้ถึงตอนเหนอื ของทวีปอเมริกา โดยเฉพาะหม่เู กาะทะเลแคริบเบยี น ลีลาวดีเป็นไม้ยืนต้น มีขนาดตงั้ แตพ่ ่มุ เตยี ้ แคระสงู ประมาณ 0.9-1.2 เมตร จนถงึ ต้นท่ีสงู มาก อาจสงู ถึง 12 เมตร ลาต้นแตก กิ่งก้านสขาและพมุ่ ใบสวยงาม มีนา้ ยางสขี าวข้น เป็นไม้ผลดั ที่ สลดั ใบในฤดแู ล้งก่อนที่จะผลิดอกและผลิใบรุ่นใหม่ ก่ิงท่ียงั ไม่ แก่มีสเี ขียว ออ่ นนมุ่ ดเู กือบจะอวบนา้ ก่ิงแก่มีสีเทามีรอย ตะป่ มุ ตะป่ า ก่ิงไมส่ ามารถทานนา้ หนกั ได้ ก่ิงเปราะ เปลอื กลา ต้นหนา ต้นที่โตเตม็ ที่แล้วจะพฒั นาจนกระทง่ั มีความแข็งแรง มากขนึ ้
การดูแลรักษา 1.การให้นา้ การปลกู ในกระถาง การให้นา้ ควรให้จนดินเปียกทว่ั ถึง จนนา้ สว่ นเกินระบายออกทางรูระบายนา้ แล้วปลอ่ ยให้วสั ดุ ปลกู แห้งก่อนการให้นา้ ครัง้ ตอ่ ไป หรือช่วงแล้งจดั อาจเว้นวนั และควรตรวจดคู วามชืน้ ของวสั ดปุ ลกู อย่เู สมอ การปลกู ลง ดนิ ควรให้นา้ แตน่ ้อยให้ประมาณสปั ดาห์ละครัง้ ขนึ ้ อย่กู บั สภาพความชืน้ ในอากาศ ถ้าอากาศร้อนควรให้นา้ มากกว่า ปกติ เพื่อรักษาความเขียวของใบแตก่ ารให้นา้ มากเกินไปมี ผลตอ่ การเจริญเตบิ โตทางก่ิงก้านมากและทาให้ไมอ่ อกดอก
การดแู ลรักษา 2.การให้ป๋ ยุ เนื่องจากต้นลลี าวดีท่ีสวยและมีราคาสงู นนั้ จะต้องมี ฟอร์มต้นท่ีดีคอื มลี กั ษณะของทรงพมุ่ กลมมีก่ิงก้านสาขา แตกออกดแู ล้วมีความพอดกี บั ความสงู ของต้นดงั นนั้ การให้ ป๋ ยุ ไนโตรเจนมากเกินไปจะทาให้ต้นสงู ชะลดู และไมแ่ ทงชอ่ ดอกในเวลาอนั ควรในการท่ีจะเร่งการเจริญเติบโตทงั้ ทาง ใบ ลาต้น และดอกคอื การใช้ป๋ ยุ ไนโตรเจนฟอสฟอรัสและ โปแตสเซยี มในอตั ราสว่ นท่ีเทา่ กนั หรือให้ฟอสฟอรัสสงู และ ให้ธาตอุ าหารรองท่จี าเป็นตอ่ ลลี าวดีคอื แมกนีเซียม ทองแดงเหลก็ สงั กะสี กามะถนั และแมงกานีส
วานหางจระเข้ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Aloe vera (L.) Burm.f. ช่ือพอ้ ง : Aloe barbadensis Mill ช่ือสามญั : Star cactus, Aloe, Aloin, Jafferabad, Barbados วงศ์ : Asphodelaceae ช่ืออ่ืน : หางตะเข้ (ภาคกลาง) วา่ นไฟไหม้ (ภาคเหนือ)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไมล้ ม้ ลุกอายหุ ลายปี สูง 0.5-1 เมตร ลาตน้ เป็นขอ้ ปลอ้ งส้ัน ใบ เป็นใบเด่ียว ออกเรียงเวยี นรอบตน้ ใบหนาและ ยาว โคนใบใหญ่ ส่วนปลายใบแหลม ขอบใบเป็นหนาม แหลมห่างกนั แผน่ ใบหนาสีเขียว มีจุดยาวสีเขียวออ่ น อวบ น้า ขา้ งในเป็นวนุ้ ใสสีเขียวอ่อน ดอก ออกเป็นช่อกระจะที่ ปลายยอด กา้ นช่อดอกยาว ดอกสีแดงอมเหลือง โคมเชื่อม ติดกนั เป็นหลอด ปลายแยกเป็น 6 แฉก เรียงเป็น 2 ช้นั รูป แตร ผล เป็นผบแหง้ รูปกระสวย
สรรพคุณ • ใบ - รสเยน็ ตาผสมสรุ า พอกฝี • ทงั้ ต้น - รสเยน็ ดองสรุ าดื่มขบั นา้ คาวปลา • ราก - รสขม รับประทานถ่ายโรคหนองใน แก้มตุ กิด • ยางในใบ - เป็นยาระบาย • นา้ ว้นุ จากใบ - ล้างด้วยนา้ สะอาด ฝานบางๆ รักษาแผล สดภายนอก นา้ ร้อนลวก ไฟไหม้ ทาให้แผลเป็นจาง ลง ดบั พิษร้อน ทาผิวป้ องกนั และรักษาอาการไหม้จาก แสงแดด ทาผวิ รักษาสวิ ฝ้ า และขจดั รอย แผลเป็น
ตน้ พดุ ซอ้ น ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Gardenia Augusta ชื่ออื่น ๆ : พดุ ป่ า (ลาปาง), พดุ ฝร่ัง (กรุงเทพฯ), พดุ สา, พดุ สวน, พดุ จีบ (กลาง), เคด็ ถวา, แคถวา (เชียงใหม่) ชื่อสามญั : Gerdenia วงศ์ : RUBIACEAE (The Madder Family)
ลกั ษณะทวั่ ไปของสมุนไพร ตน้ : เป็นพรรณไมพ้ มุ่ เต้ีย มีลกั ษณะลาตน้ คลา้ ยกบั พดุ จีบ จะผดิ กนั กต็ รง ที่วา่ พดุ ซอ้ นจะไม่มีสีขาวอยใู่ นตน้ และใบ เหมือนพดุ จีบ ใบ : พดุ ซอ้ นเป็นไมท้ ่ีมีใบหนาแน่น ทาใหด้ ูทึบ ลกั ษณะของใบรูปมนรี ปลายใบแหลม ใบจะมีความยาวประมาณ 2-2.5 นิ้ว มีสีเขียว เขม้ ใบจะ เหมือน ๆ กบั พดุ จีบ แต่จะผดิ กนั กต็ รงท่ีไม่มียางสีขาวเท่าน้นั ดอก : ส่วนมากจะออกดอกเป็นดอกเดี่ยว อยตู่ ามง่ามกิ่งตอน ใกล้ ๆ กบั ตรงส่วนยอด ลกั ษณะของดอกเหมือน ๆ กบั ดอกพดุ จีบ ดอกของ พดุ ซอ้ น จะมีสีขาว และกลีบดอกจะซอ้ น ๆ กนั หลายช้นั จะมีกล่ินหอมอ่อน ๆ เมลด็ (ผล) : ผลจะออกเป็นฝัก มีลกั ษณะเป็นรูปขอบขนาน ตรงปลายจะ แหลมและโคง้ ภายในจะมีเมลด็ ประมาณ 3-6 เมด็ ถา้ แก่จดั จะ แตกออกเป็น 2 ซีก และเมลด็ จะมีเยอื่ หุม้ เป็นสีแดง
การขยายพนั ธุ์ : โดยการตอนก่ิง ส่วนที่ใชเ้ ป็ นยา : น้าจากตน้ เน้ือไม้ น้าจากดอก เน้ือท่ีหุ้ม เมลด็ ใบ สรรพคุณ : น้าจากตน้ ใชเ้ ป็ นยาขบั พยาธิ เน้ือไมใ้ ชเ้ ป็ นยา เย็นลดพิษไข้ ใช้ทาธูป ทาหัวน้าหอมน้าจากดอก ใช้ผสม น้ามนั ใชเ้ ป็นยารักษาโรคผิวหนงั เน้ือที่หุม้ เมลด็ จะใหส้ ี ถิ่นที่อยู่ : พรรณไมน้ ้ี มกั จะพบข้ึนในป่ าดงดิบทางภาคเหนือ และนิยมปลกู เป็นไมป้ ระดบั ทว่ั ไป
ตน้ ตะแบก ช่ือวทิ ยาศาสตร์ Lagerstroemia floribunda Jack LYTHRACEAE วงศ์ - ชื่อสามญั ชื่อทอ้ งถิ่นอ่ืน ๆ วา่ แลนไห้ (เชียงใหม่), ตะแบกขาวใหญ่ (ปราจีนบุรี), ตะแบกใหญ่ (ราชบุรี,นครราชสีมา), เปลือยดง (นครราชสีมา), ตะแบกหนงั (จนั ทบุรี), เปลือย (สุโขทยั ,พษิ ณุโลก), ตะแบกแดง (ประจวบคีรีขนั ธ์)
ลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์ ไมต้ น้ ผลดั ใบ สูง 15-30 เมตร โคนตน้ เป็นพพู อน เปลือกเรียบเป็นมนั สีเทาหรือเทาอ่อน มีรอยแผลเป็นดวงตลอดท้งั ตน้ ใบ : ใบเดี่ยว ออกตรงขา้ ม รูปใบหอก กวา้ ง 5-8 เซนติเมตร ยาว 12- 20 เซนติเมตร ปลายมน มีต่ิงแหลมเลก็ โคนมน ขอบใบมว้ นข้ึน ใบอ่อนสีออกแดง ดอก : สีม่วงอมชมพแู ลว้ เปลี่ยนเป็นสีขาว ออกเป็นช่อท่ีปลายก่ิง ดอกตูม รูปทรงคลา้ ยลูกข่าง มีจุกส้นั ๆอยทู่ ี่ปลายยอด กลีบเล้ียงมีสนั นูนพาดตามยาว กลีบดอก 6 กลีบ โคนคอดเป็นกา้ นส้นั ๆ เม่ือบานเส้นผา่ ศูนยก์ ลาง 3-3.6 เซนติเมตร เกสรตวั ผจู้ านวนมาก ผล : รูปไข่ กวา้ ง 0.8-1 เซนติเมตร ยาว 1.3-1.7 เซนติเมตร เมื่อแก่ แตกแตกออกเป็น 6 แฉก ถว้ ยกลีบเล้ียงจะหุม้ โคนของผลเช่นเดียวกบั อินทนิลน้าและอินทนิลบก ผลมีขนาดเลก็ ลกั ษณะของผลเป็นรูปไข่ ยาว ประมาณ 0.8-1 เซนติเมตร
สรรพคุณ เปลือกมีสรรพคุณเป็นยาแกล้ งแดง เปลือกใชป้ รุงเป็นยาแกบ้ ิด และมูกเลือด ขอนดอกมีสรรพคุณเป็นยาบารุงหวั ใจ บารุงปอด บารุงตบั บารุงทารกครรภ์ ใชเ้ ป็นยาแกล้ มกองละเอียด ไดแ้ ก่ อาการหนา้ มืด ตาลาย สวงิ สวาย ใจส่นั บารุงดวงจิตใหช้ ุ่มชื่น ใชเ้ ป็นยาแก้ ไขร้ ้อนเพือ่ ตรีโทษ แกเ้ หง่ือ แกเ้ สมหะ ในบญั ชียาจากสมุนไพร มีปรากฏการใชข้ อนดอกในกลุ่มยารักษาอาการทางระบบ ไหลเวียนโลหิต (แกล้ ม) ซ่ึงมีส่วนประกอบของขอนดอก ร่วมกบั สมุนไพรชนิดอ่ืน ๆ
การปลกู และดแู ลรักษา 1.ขยายพนั ธุ์โดยการเพาะเมลด็ 2.ช่วงการออกดอก กรกฎาคม – กนั ยายน 3.ถ่ินกาเนิดและนิเวศวทิ ยา ข้ึนในที่ชุ่มช้ืน 4.ตอ้ งการแสงแดดจดั หรือกลางแจง้ ปริมาณน้าปาน กลาง ควรให้ น้า 5-7 วนั /คร้ัง ดินร่วนซุย มีความช้ืนปาน กลางถึงสูง 5.ใชป้ ๋ ุยคอกหรือป๋ ุยหมกั อตั รา 2 : 3 กิโลกรัม/ตน้ ควร ใส่ปี ละ 4 - 5 คร้ัง ใชป้ ๋ ุยเคมี สูตร 15 - 15 - 15 6.ไม่คอ่ ยมีปัญหาเร่ืองโรค เพราะเป็นไมท้ ี่ทนตอ่ โรค พอสมควร แตค่ วรระวงั หนอนเจาะลาตน้
ผจู้ ดั ทา นายอคั รมณี ลาภใหญ่ เลขที่ 6 ชนั้ ม.5/5 นางสาวกลุ ยา ผาบสายยาน เลขที่ 29 ชนั้ ม.5/5
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: