ทฤษฎีพัฒนาการ ทางสตปิ ัญญา อ. วรี พงศ์ เฉลมิ ร่งุ โรจน์ หลักสูตรวทิ ยาศาสตรบัณฑติ (จิตวิทยา) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ วิทยาเขตปัตตานี 268-106 Developmental Psychology
Outline • ทฤษฎพี ัฒนาการ • ทฤษฎพี ฒั นาการทางสติปญั ญา • ทฤษฎสี ององคป์ ระกอบ • ทฤษฎคี วามสามารถทางสมองขัน้ พน้ื ฐาน • ทฤษฎโี ครงสร้างเชาวน์ปัญญา • ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ Piaget • ทฤษฎพี ัฒนาการทางสตปิ ัญญาของ Bruner • ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปญั ญาของ Vygotsky
ทฤษฎพี ัฒนาการ • คาอธิบายทเี่ ป็นผลสรปุ จากการศึกษาพฒั นาการและพฤติกรรมมนุษย์ โดยวธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ โดยตั้งอยู่บนความเชือ่ พื้นฐานบางประการ เพื่อเป็นฐานแนวคดิ ที่ใช้อธบิ ายพฒั นาการมนษุ ย์ในด้านตา่ งๆ นาไปสู่ การศกึ ษาค้นควา้ เพม่ิ เตมิ ท้งั ในแง่ตรวจสอบความจริงท่คี ้นพบแล้ว หรอื คน้ พบความจริงในมมุ ใหม่ๆ ท่ตี า่ งไปจากเดิม บคุ คลจึงมองเห็นและเข้าใจ พฒั นาการมนุษยใ์ นแต่ละชว่ งวยั ได้มากข้ึน
ทฤษฎพี ัฒนาการทางสติปญั ญา
ทฤษฎสี ององคป์ ระกอบ • Charles Spearman (1904) เชื่อวา่ เชาวน์ ปัญญาของมนุษยม์ ี 2 องคป์ ระกอบ • องค์ประกอบทว่ั ไป (General factor หรือ G) • เปน็ ความสามารถพ้นื ฐานทีใ่ ชใ้ นการทางาน หรือการทากจิ กรรมทกุ ประเภทให้มี ประสิทธิภาพ • ผูท้ ีม่ ี G-factor สงู ยอ่ มทาให้ประสิทธภิ าพ การทางานสูงไปดว้ ย • องค์ประกอบเฉพาะ (Specific factor หรือ S) • เป็นความสามารถเฉพาะของแตล่ ะบคุ คล เช่น ความสามารถทางคณติ ศาสตร์ ภาษา ดนตรี ศลิ ปะ ฯลฯ
ทฤษฎสี ององค์ประกอบ • อย่างไรกต็ าม G-factor และ S-factor ไม่ไดม้ ีความสัมพนั ธก์ นั มากนกั ดังนนั้ • ผูท้ ่มี ี G-factor สงู ไมจ่ าเปน็ ต้องทางานทุกอยา่ ง ได้ดี โดยเฉพาะงานท่ีต้องใชค้ วามสามารถเฉพาะ หรือ S-factor สงู ๆ • แต่ถา้ ผ้นู นั้ มี G-factor สูง และมี S-factor ในงานนัน้ สูงด้วย กจ็ ะทาใหท้ างานน้นั ไดด้ ี
ทฤษฎีความสามารถทางสมองข้ันพื้นฐาน • Louis. L. Thurstone (1938) ศกึ ษาสตปิ ญั ญาโดยทา factor analysis และพบวา่ สมรรถภาพทางสมองของมนษุ ย์ ไมไ่ ดม้ ีแค่ความรพู้ ้นื ฐานหรอื ความสามารถทัว่ ไป (G) เพยี ง อย่างเดยี ว แตป่ ระกอบไปดว้ ยกลมุ่ ของความสามารถหลาย ชนิดรวมกัน แตล่ ะกล่มุ ของความสามารถกจ็ ะทาหนา้ ท่ี โดยเฉพาะ และสามารถทางานร่วมกับกลมุ่ ความสามารถอ่ืนๆ ได้ ซง่ึ มอี ยู่ด้วยกัน 7 องค์ประกอบ เรยี กว่า “Primary Mental Abilities”
การใช้เหตุผลในการ ความเข้าใจภาษา แก้ปญั หา (Verbal (Inductive reasoning) comprehension) ความเร็วในการรับรู้ ความคลอ่ งแคลว่ ใน และจาแนกส่ิงเรา้ การเลือกใชค้ า (Perceptual (Word fluency) speed) ความจาและการ ความสามารถทาง ระลกึ ข้อมลู มติ ิสัมพันธ์ (Memory) (Spatial relations) ความสามารถในการ คานวณ (Numerical ability)
ทฤษฎีโครงสร้างเชาวน์ปญั ญา • J. P. Guilford (1960) เชือ่ วา่ ความสามารถแตล่ ะอย่างของ มนุษยล์ ้วนเป็น Specific Ability เขาจึงพัฒนาทฤษฎีเชาวน์ ปัญญาโดยจาแนกองคป์ ระกอบของเชาวนป์ ัญญาให้เห็นอยา่ ง ชดั เจนและจัดทาเป็น Model of intelligences โดย ประกอบด้วยมติ ิ (Dimensions) 3 มติ ิ แตล่ ะมิติประกอบด้วย หน่วย คอื • เนอื้ หา (contents) 6 ลักษณะ • วิธกี ารคิด (operations) 5 ลักษณะ • ผลจากการคิด (products) 6 ลกั ษณะ • องค์ประกอบของความสามารถทางเชาวนป์ ัญญาจงึ เท่ากบั 6 x 5 x 6 = 180 องคป์ ระกอบ
โครงสร้างเชาวนป์ ัญญา 3 มิติ วธิ กี ารคิด เนอื้ หา ผลการคดิ (Operations) (Contents) (Products) กระบวนการที่เกดิ ขึน้ ในสมอง การ สง่ิ เรา้ ท่กี ่อใหเ้ กดิ ความคิดและ สง่ิ ท่ไี ด้จากการคดิ แล้วนามาจัดเปน็ รวบรวมข้อมลู ข่าวสารทไี่ ด้รับแคิดละ ความร้สู ึก อาจเปน็ ส่งิ ของ เรอ่ื งราว ระบบ ประเภท กลุ่ม และสามารถ พยายามเขา้ ใจความหมาย สัญลกั ษณ์ หรือเหตุการณต์ ่างๆ ดัดแปลงหรือนาไปใชไ้ ด้ C = ความเข้าใจ V = การรับรู้ทางสายตา U = หน่วย M = ความจา (ชว่ั คราว, ถาวร) A = การรับรู้ทางหู C = พวก D = การคดิ แบบอเนกนยั S = สญั ลักษณ์ R = ความสมั พนั ธ์ N = การคิดแบบเอกนัย M = ภาษา S = ระบบ E = การประเมิน B = พฤติกรรม T = การแปลงรูป I = การประยุกต์
ทฤษฎีพฒั นาการทางสติปัญญา ของ Piaget • Piaget (1950) นกั ชีววทิ ยาชาวสวิส ศกึ ษาพฒั นาการ ทางด้านความคดิ ของเด็กตง้ั แต่วยั แรกเกิดจนถงึ วยั รุ่น อย่างเปน็ ระบบระเบียบ โดยต้ังอยู่บนรากฐานของ พันธกุ รรมและสง่ิ แวดล้อมซง่ึ สามารถพสิ ูจน์ใหเ้ ห็นจริงได้ จากการมปี ฏสิ มั พันธ์ระหวา่ งเดก็ กบั สิง่ แวดล้อม • Piaget เชื่อวา่ เด็กไม่มีความรแู้ ละความคดิ ตดิ ตัวมาต้ังแต่ เกิด แตเ่ รยี นรโู้ ลกภายนอกรอบตัวและพฒั นาความคิดไป ตามลาดบี ขั้นตอนพร้อมๆ กับพัฒนาการทางดา้ นร่างกาย • Piaget เน้นการเข้าใจธรรมชาตแิ ละพัฒนาการของเดก็ เพื่อการส่งเสรมิ พัฒนาการในช่วงทเ่ี ด็กกาลังพัฒนาไปสู่ ขั้นท่ีสูงกว่า จงึ ไมเ่ ห็นด้วยกบั การเรง่ พฒั นาการของเดก็ ให้ เร็วขนึ้ ซง่ึ ไม่เปน็ ไปตามธรรมชาติ
แนวคดิ พื้นฐานทฤษฎี พฒั นาการของเดก็ เปน็ ไปตามระดบั วุฒภิ าวะ (Maturation) เป็นกระบวนการท่แี นน่ อน น่ันคือ พฒั นาการวยั ต่อไปอาจทานายได้จากลักษณะของวัยตอนตน้ พฒั นาการของเดก็ เป็นไปตามการสะสมการเรยี นรู้ (Learning) ท่ีได้จากประสบการณก์ ับ ส่ิงแวดลอ้ มและการปรับตวั ให้เข้ากบั สิ่งแวดล้อมของเขา พฒั นาการของเดก็ เกิดข้ึนจากการผสมผสานระหว่างทฤษฎีวุฒภิ าวะ (Maturation theory) และทฤษฎีการเรียนรู้ (Learning theory)
คาถามที่เกิดขน้ึ จาก กระบวนการซมึ ซบั ประสบการณ์ สภาวะสมดลุ การมีปฏสิ ัมพนั ธ์กับ (Assimilation) (Equilibration) ส่งิ แวดลอ้ ม โครงสรา้ งทฤษฎี Schema กระบวนการปรับขยายโครงสร้าง (Accommodation)
1. ขนั้ ประสาทรบั รูแ้ ละการเคลอ่ื นไหว (Sensori-Motor Stage) 0-2 ปี • พฤติกรรมในวัยน้ขี ้ึนอยู่กับการเคลอ่ื นไหวเป็นส่วน ใหญ่ การแสดงออกทางร่างกายจงึ ทาใหเ้ หน็ วา่ มี สตปิ ญั ญาด้วยการกระทา สามารถแกป้ ัญหาได้แม้จะ ยังพดู ไม่ได้ • การมีปฏิสมั พนั ธก์ ับส่ิงแวดลอ้ มดว้ ยตัวเองชว่ ยให้ พัฒนาการด้านสติปญั ญา ความคิดและความเขา้ ใจ กา้ วหนา้ อยา่ งรวดเร็ว • พฤติกรรมท่พี บบ่อย เชน่ การเลียนแบบซ้าๆ และการ ลองผิดลองถกู หลงั จากนั้นพฤตกิ รรมการแสดงออกจะ ค่อยๆ มีจดุ มงุ่ หมายมากขน้ึ และมวี ธิ กี ารใหมๆ่ เพื่อให้ ใหไ้ ด้ส่ิงที่ตอ้ งการ
2. ข้นั กอ่ นปฏบิ ตั กิ ารคิด (Preoperational Stage) 2-7 ปี
2. ขน้ั ก่อนปฏบิ ตั ิการคดิ (Preoperational Stage) 2-7 ปี • ขน้ั การคิดแบบญาณหยง่ั รู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้ เหตผุ ล (Intuitive Thought) 4-7 ปี • ความคดิ รวบยอดของเดก็ ดีขึ้น รจู้ ักแยกประเภทและ แยกชิ้นส่วนของวตั ถุ เขา้ ใจความหมายของตวั เลข เร่ิม มีพฒั นาการเกยี่ วกบั การอนุรกั ษ์แต่ยงั ไม่ชดั เจน • เดก็ สามารถแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้าโดยไม่ต้องคดิ เตรียมการกอ่ นล่วงหนา้ ได้ • ร้จู กั นาความรใู้ นสงิ่ หนึง่ ไปอธิบายหรือแก้ปญั หาอ่นื และ สามารถนาเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหาแต่ยังขาด การวิเคราะห์เพราะเหตุผลของเด็กยังขึ้นอย่สู ่งิ ท่ีเดก็ รบั รู้ หรือสมั ผสั จากภายนอก
Tests of Various of Conservation
Dog!!! 3.ขัน้ ปฏบิ ตั ิการคดิ เปน็ รูปธรรม (Concrete Cat!!! Operation Stage) 7-11 ปี • เด็กสามารถสร้างกฎเกณฑแ์ ละต้ังเกณฑ์ในการ แบง่ สิ่งแวดลอ้ มออกเป็นหมวดหมูไ่ ด้ • เขา้ ใจเหตุผล รู้จกั การแก้ปัญหาสง่ิ ตา่ งๆ ทเ่ี ปน็ รปู ธรรมได้ • เข้าใจเก่ียวกับเรือ่ งความคงตวั ของสง่ิ ต่างๆ โดยท่ี เด็กเข้าใจว่าของแขง็ หรอื ของเหลวจานวนหนึ่ง แม้ว่าจะเปล่ียนรปู ร่างไปกย็ งั มนี า้ หนักหรอื ปรมิ าตรเทา่ เดิม • เขา้ ใจความสมั พันธข์ องส่วนยอ่ ย สว่ นรวม • ลกั ษณะเด่นของเดก็ วยั น้ีคือ มคี วามสามารถใน การคดิ ยอ้ นกลับ (Reversibility)
3. ขัน้ ปฏิบตั กิ ารคดิ เปน็ รปู ธรรม (Concrete Operation Stage) 7-11 ปี • นอกจากน้ัน ความสามารถในการจาของเด็ก ในช่วงนม้ี ปี ระสิทธภิ าพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือ จดั การได้อย่างสมบูรณ์ • สามารถสนทนากบั บุคคลอืน่ และเข้าใจความคิด ของผู้อื่นไดด้ ี ลกั ษณะการคิดสาคญั ในข้ันนท้ี ่ีไม่ พบในขน้ั เขา้ ใจเหตุผล (Intuitive)
ความแตกต่างระหวา่ งขนั้ ปฏบิ ตั ิการคดิ ขน้ั 2 และ 3 วิธีการคดิ ลักษณะ Preoperational Concrete Stage Operation การสร้างภาพในใจ (Mental การบอกหรืออธิบายหรือวาดภาพเส้นทางเดนิ ✗ Stage ✗ Representation) จากบา้ นไปโรงเรียน ✗ ✓ การคิดยอ้ นกลับได้ การคดิ ย้อนจากขอ้ มลู ปจั จบุ นั ไปสขู่ ้อมูลก่อน ✗ ✓ (Reversibility) หน้านี้ ✓ การเขา้ ใจเร่ืองการคงตัวหรือ ความสามารถในการเข้าใจลกั ษณะปรมิ าณของ การอนุรักษ์ (Conservation) สิง่ ต่างๆ ตามสภาพความจริง แม้ลกั ษณะทาง ✓ กายภาพจะเปลยี่ นไปก็ตาม การเปรยี บเทียบลาดับของส่ิง การจดั ลาดบั สงิ่ ของโดยเปรียบเทยี บคณุ สมบตั ิ ตา่ งๆ (Seriation) เชงิ ปริมาณดา้ นต่างๆ เช่น น้าหนัก ขนาดความ สั้นยาว อ้วนผอม หรอื ปรมิ าตร
4. ข้นั ปฏบิ ตั กิ ารคดิ เปน็ นามธรรม (Formal Operational Stage) 11-15 ปี • ความคิดแบบเด็กสิ้นสดุ ลง เรม่ิ มีความคดิ แบบ ผู้ใหญ่ • เดก็ สามารถคดิ หาเหตผุ ลนอกเหนอื ไปจากข้อมูล ทม่ี ีอยู่ คิดแบบวิทยาศาสตร์ สามารถ ต้งั สมมติฐานและทฤษฎ๊ มแี ละสนใจทจี่ ะสร้าง ทฤษฎเี ก่ยี วกับทกุ ส่ิงทุกอยา่ ง • มคี วามคดิ นอกเหนอื ไปจากสิ่งปัจจบุ นั พอใจทีจ่ ะ คดิ พิจารณาเกี่ยวกบั สิ่งทไ่ี ม่มตี วั ตนหรือนามธรรม
ทฤษฎีพฒั นาการทาง สตปิ ัญญาของ Bruner • Bruner (1915-2016) เช่อื ว่า “การเรียนรู้ เป็นกระบวนการทางสังคมทผี่ ้เู รยี นจะต้อง ลงมอื ปฏบิ ัติ และสร้างองคค์ วามรู้ดว้ ย ตนเองทง้ั นโ้ี ดยมีพื้นฐานอยบู่ น ประสบการณห์ รอื ความรเู้ ดมิ ” • การเรยี นรู้โดยการคน้ พบ (Discovery Approach) เกดิ จากบุคคลมีปฏสิ มั พันธ์กบั สิง่ แวดล้อมและเลือกรบั ร้ใู นสิง่ ทตี่ ัวบคุ คล เลือกหรอื ใส่ใจ เกิดความอยากรู้อยากเห็น ซงึ่ จะเปน็ ผลักดันให้บคุ คลสารวจ ส่งิ แวดลอ้ มและเกดิ การเรยี นรดู้ ้วยการ คน้ พบและการแกป้ ัญหา
แนวคิดพ้ืนฐาน • การเรียนรูเ้ ปน็ กระบวนการท่ีผเู้ รยี นมีปฏิสมั พนั ธ์ กบั สง่ิ แวดล้อมด้วยตนเอง • ผู้เรียนแต่ละคนจะมีประสบการณแ์ ละพื้น ฐานความรทู้ ่ีแตกต่างกนั การเรียนรจู้ ะเกิดจาก การท่ีผูเ้ รียนสร้างความสัมพันธ์ระหวา่ งสิ่งท่ีพบ ใหม่กับความรเู้ ดิมแลว้ นามาสร้างเปน็ ความหมายใหม่ ซ่ึงอยใู่ นขั้นพัฒนาการทาง ปัญญาคอื Enactive, Iconic และ Symbolic representation ซง่ึ เปน็ กระบวนการท่เี กิดขน้ึ ตลอดชวี ติ มใิ ชเ่ กดิ ขนึ้ ช่วงใดชว่ งหนึง่ ของชวี ติ เทา่ น้ัน
พฒั นาการทางสตปิ ัญญาของมนุษย์ • การเจรญิ เติบโตที่เพมิ่ ข้ึนสงั เกตได้จากการเพ่ิมการ ตอบสนองท่ีไมผ่ ูกพันกับสง่ิ เร้าเฉพาะตามธรรมชาติที่ เกดิ ขนึ้ ในขณะนน้ั • การเจริญเตบิ โตขึ้นอยู่กบั เหตุการณท์ ี่เกดิ ขึน้ ภายในตัวคน ไปสู่ \"ระบบเก็บรักษา\" ท่ีสอดคล้องกับส่ิงแวดลอ้ ม • การเจรญิ เติบโตทางสติปญั ญาเกยี่ วข้องกบั การเพ่ิม ความสามารถที่จะพดู กบั ตนเองและคนอน่ื ๆ โดยใช้คาพูด และสญั ลกั ษณ์ในสิง่ ท่ีบคุ คลน้นั ๆ ไดท้ าไปแล้วหรือสง่ิ ท่ีจะ ทา • การเจริญเติบโตทางสติปญั ญาข้นึ อยู่กบั ปฏิสัมพันธท์ ่เี ป็น ระบบและโดยบงั เอญิ ระหว่างผู้สอนและผเู้ รยี น
พฒั นาการทางสตปิ ญั ญาของมนษุ ย์ • การสอนสามารถอานวยความสะดวกไดโ้ ดยสือ่ ทางภาษา ซ่ึงจบลงโดยไมเ่ พียงแตเ่ ปน็ สอ่ื สาหรบั การแลกเปล่ียน เท่านน้ั แต่ยงั เปน็ เครอ่ื งมือทีผ่ เู้ รยี นสามารถใช้ใหต้ นเอง นาคาสงั่ ไปยังสิ่งแวดลอ้ มดว้ ย • การพัฒนาทางสตปิ ญั ญาเหน็ ไดจ้ ากการเพิ่ม ความสามารถทจี่ ะจัดการกับตัวเลือกหลายๆ อยา่ งในเวลา เดียวกัน ความสามารถทจ่ี ะเฝา้ ดขู ั้นตอนต่างๆ ใน ระยะเวลาเดียวกัน และความสามารถที่จะจดั เวลาและการ เขา้ รว่ มกิจกรรมในลกั ษณะทเ่ี หมาะสมกบั ความตอ้ งการ หลายๆ อยา่ ง
โครงสร้างทางสติปัญญา Enactive (แรกเกิด-2 ปี) Iconic (2-4 ปี) Symbolic • ใชก้ ารกระทาเป็นการเรยี นรู้ โดยเด็ก • เดก็ รบั รจู้ ากสิ่งทีเ่ ห็น และสร้างภาพ • เดก็ เข้าใจลักษณะของส่ิงเร้าไดด้ ียิ่งขึ้น ใช้การสมั ผัสหรอื ลงมือกระทาเองเพ่ือ ขนึ้ มาในสมองซง่ึ มีประโยชน์ในการ สามารถคิดหาเหตุผล สรุป หรือ แสดงความรคู้ วามเข้าใจ ลอกเลยี นแบบ (Identification) แกป้ ัญหาส่ิงเรา้ ทีเ่ ปน็ นามธรรมและ สัญลกั ษณ์ได้ • เดก็ มองโลกไดแ้ ต่ในแงข่ องตนเอง มี ความเขา้ ใจคบั แคบ และไม่สามารถ • มีพฒั นาการความรู้ความเขา้ ใจทาง เห็นแง่อ่นื ๆ ได้ ภาษาเพ่ิมข้ึน จงึ สามารถใช้ภาษาเป็น เครอ่ื งมือในการคิดได้ดี • เรียนรูโ้ ดยการใชภ้ าพแทนการสัมผัส ของจรงิ
ทฤษฎพี ัฒนาการทาง สติปญั ญาของ Vykotsy • Vykotsky (1896-1934) สรา้ งทฤษฎีเชาวนป์ ัญญาโดย เนน้ ทวี่ ฒั นธรรม สังคม และการเรยี นรทู้ ี่มตี ่อพฒั นาการทาง เชาวนป์ ัญญา ซ่งึ นอกจากสงิ่ แวดลอ้ มตามธรรมชาตแิ ล้ว มนุษย์ยังได้รับอทิ ธพิ ลจากสิง่ แวดล้อมทางสงั คมที่เกดิ จาก วัฒนธรรมของแตล่ ะสงั คมตง้ั แตแ่ รกเกดิ ดว้ ย • Vykotsky เชอ่ื วา่ “ภาษา” เปน็ เครื่องมือสาคัญของการคดิ และพฒั นาปญั ญาขนั้ สงู โดยแรกเรมิ่ จะพฒั นาแยกจาก พฒั นาการทาด้านรา่ งกาย แตใ่ นภายหลงั จะพฒั นาไป พรอ้ มๆ กัน
ระดบั สตปิ ญั ญา ขั้นเบือ้ งตน้ (Elementary Mental Process) • เชาวน์ปญั ญาพื้นฐานตามธรรมชาตโิ ดยทไ่ี มต่ อ้ งมีการเรียนรู้ ข้ันสงู (Higher Mental Process) • เชาวนป์ ญั ญาท่เี กดิ จากการมีปฏสิ มั พันธก์ บั ผใู้ หญท่ อี่ บรมเลย้ี งดู ถา่ ยทอด วฒั นธรรมใหโ้ ดยใชภ้ าษา
พฒั นาการทางด้านภาษา • ใชใ้ นการติดต่อและพฒั นา ภาษาที่พดู กับตัวเอง • เปน็ ภาษาท่ีเก่ยี วข้องกบั การคิด ปฏิสมั พันธก์ บั ผู้อน่ื โดย (Egocentric Speech) แก้ปัญหาในใจเม่อื เดก็ เจอปัญหาที่ สอ่ื สารความคิดที่ตนคดิ และ ยงุ่ ยากมากขน้ึ โดยทาตามลาดบั รูส้ ึกกบั ผู้อนื่ 3-7 ปี ขนั้ ตอน การได้รับคาแนะนาชว่ ยเหลอื บางส่วนจากผู้เช่ียวชาญช่วยให้การ ภาษาสังคม (Social Speech) • เด็กมีภาษาพูดกบั ตนเอง มกั พูดคน แกป้ ญั หาทาไดง้ า่ ยมากข้นึ 0-3 ปี เดียว โดยท่ตี นเข้าใจภาษานน้ั ๆ เอง ซึง่ ไม่เก่ียวขอ้ งกบั ผอู้ ืน่ ช่วยในการ ภาษาท่ีพูดในใจ ประสานความคิดและพฤตกิ รรมของ (Inner Speech) 7 ปีข้นึ ไป เด็กและตดั สินใจแสดงพฤติกรรม
Zone of Proximal Development • พื้นท่รี อยต่อพฒั นาการ (Zone of Proximal Development) เป็นระยะหา่ งระหว่างระดับพฒั นาการที่ เปน็ จรงิ (Actual Development Level) กับระดับ พัฒนาการทีส่ ามารถเปน็ ไปได้ (Potential Development Level) ถูกใชใ้ นการอธบิ ายความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งการเรียนร้แู ละพฒั นาการ • พืน้ ทรี่ อยต่อพฒั นาการเป็นการทาหนา้ ท่ี/ทางานอย่างใด อย่างหนง่ึ ในปัจจุบนั ที่บุคคลยังไม่สามารถจะทาได้ แต่อยู่ ในกระบวนการั้จะทาให้บุคคลมีความพรอ้ มท่ีสามารถทา หน้าท/่ี ทางานได้อย่างสมบรู ณ์ในอนาคต ซึ่งอยู่ในระยะ เรม่ิ ต้น (Embryonic State)
Zone of Proximal Development • พื้นทรี่ อยต่อพฒั นาการจึงเปน็ พน้ื ทที่ ี่เด็กกาลังจะ เขา้ ใจในบางส่งิ บางอยา่ ง แต่เดก็ ตระหนักรู้วา่ ในตอนน้ีเขายังมีความสามารถในการแกป้ ญั หา ไดไ้ มด่ ีพอหรอื เกินกาลงั ความสามารถของเดก็ แต่ หากเด็กได้รับการช่วยเหลือ แนะนา ชกั จูงจากใคร กต็ ามที่มีความสามารถสูงกวา่ เช่ียวชาญกว่า เขา กจ็ ะสามารถทาได้หรือแก้ปัญหาได้ • Vykotsky จึงนยิ ามพนื้ ท่รี อยตอ่ พฒั นาการนวี้ า่ เปน็ “ระยะหา่ งระหว่างระดับพฒั นาการท่แี ทจ้ รงิ ” ซงึ่ กาหนดโดยลักษณะการแกป้ ัญหาของแตล่ ะ บคุ คลกับระดับของศักยภาพแห่งพฒั นาการที่ กาหนด โดยผ่านการแกป้ ัญหาภายใต้คาแนะนา ของผูอ้ นื่ ทีม่ คี วามสามารถเหนือกว่า
Zone of Proximal Development • พนื้ ทีร่ อยต่อพัฒนาการอยู่ระหว่างระดับการแสดงพฤตกิ รรมท่ี ได้รบั การช่วยเหลือกับการทางานที่เดก็ ทาอย่างอสิ ระตามลาพัง โดยพน้ื ทน่ี ้ีไม่มคี วามคงท่ี ไมแ่ น่นอน และแปรเปล่ียนได้ ซึง่ ทา ใหเ้ ด็กสามารถเรยี นรไู้ ดม้ ากข้นึ เข้าใจความซับซอ้ นในมโนทศั น์ และทกั ษะตา่ งๆ มากขนึ้ • การแปรเปล่ียนในพ้ืนทนี่ ีม้ ีลกั ษณะเป็นวงจรซ้าไปมา คือ พฤตกิ รรมใดที่เดก็ เคยไดร้ ับความชว่ ยเหลอื ในอดีตสามารถ กลายเปน็ การทางานอิสระตามลาพงั ในปัจจุบนั และเมอ่ื เจอ สถานการณก์ ารเรียนรู้ใหมท่ ่ตี ้องได้รับความช่วยเหลอื จากที่เด็ก เคยทางานตามอิสระตามลาพงั ก็จะกลับกลายเป็นการทางานที่ ตอ้ งได้รับความช่วยเหลือจากผู้อืนทีเ่ ช่ียวชาญกวา่ ผลคือเด็กจะ ไดค้ วามรู้ ทักษะ กลวิธี และพฤติกรรมการเรียนรู้ท่สี งู ขึ้น
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: