Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศึกษาการใช้ถ้อยคำสำนวน สถาพร ศรีสัจจัง

ศึกษาการใช้ถ้อยคำสำนวน สถาพร ศรีสัจจัง

Published by วิวัฒน์ แชมป์, 2021-10-07 08:13:16

Description: ศึกษาการใช้ถ้อยคำสำนวน สถาพร ศรีสัจจัง

Search

Read the Text Version

๔๙ ดังเมด็ น้ำคา้ งอันพรมเมื่อคืนคำ่ -ใครหรือ,ท่หี าญกล้ายืนยนั วา่ รูจ้ ํานวนนับ. ด่งั การโอบอุ้มทารกไว้ในครรภข์ องมารดา-ใครหรอื , จกั บอกได้ถึงทุกข์สุขแห่ง อารมณ์ ด่ังรสหอมหวานแห่งผลมะมว่ ง-ใครหรือ, ทบ่ี อกไดว้ า่ ธาตอุ าหารใดปรุงแต่ง ให้โดยจาํ เพาะ. ดงั่ ความพรบิ พร่างวาวของทางช้างเผอื กบนท้องฟ้ามีตาดวงใดหรอื -ที่รู้ แยกแยะ ถึงพนื้ ฐานแห่งความสัมพนั ธข์ องหมเู่ ทหะวตั ถุอันร่วมกันเปล่งแสงน้ัน. และ-หรอื ใบไม้ใบใดที่ขนานชอ่ื ตนเองว่าเป็นปา่ . ไมม่ ,ี ไม่มีใครจกั สามารถตีความเก่ียวกับรักแห่งเธอไดโ้ ดยแท้. (ทวี่ า่ รกั -รักนนั้ . 2529: 12) ลงุ เจ้าดัง่ ดาวคืนเดือนดบั ทอแสงวับวับให้ฟ้าใส ส่องพืน้ ทึมทึบสูท่ างไท สาดชี้ชอ่ งชัย-ประชาชน (ณ เพงิ พักริมห้วย.2531: 13) ๏ ยิง่ มนั ถกู ใคร ๆ เรยี ก“ไอเ้ หลิม” มนั คลา้ ยยิ่งฮึกเหิม-ยง่ิ กระหาย ยง่ิ ถกู ขึ้นบญั ชี-“ตีใหต้ าย” มันกลับคลา้ ยยิ่งส–ู้ ยิ่งชคู อ

๕๐ ๏ ยิง่ ถูกต้อนถกู ขยี้ตีกระหนํา่ ยง่ิ เหมือนจนั ทน์ถกู ย้ำ- ย่งิ หอมช่อ เหมอื นกับมนั ไม่กลวั วา่ หวั ตอ ทโ่ี ผล่ลอ่ อยปู่ รม่ิ ๆ จะทิ่มแทง (ฟ้องนายหวั .2543: 46) จากบทกวีข้างตน้ มีจังหวะจะโคนเหมอื นเพลงพื้นเมืองปักษ์ใต้ 2.2.2 อปุ ลักษณ(์ Metaphor) ปรีชาช้างขวญั ยืน(2525: 217) อธิบายอุปลักษณ์ว่า“เป็นการเปรียบเทียบลักษณะท่ีเหมือนกบั ของ ส่ิงสองสิ่งโดยพูดเหมือนกบั ว่าสองสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดยี วกัน” “ซึ่งเป็นการเปรียบเทียบของ สองสิ่งที่ไม่จําเป็นตอ้ ง นํามาเปรียบเทยี บกันว่าเป็นส่งิ เดียวกนั หรือเท่ากนั ทุกประการ โดยใช้คําว่า “เป็ น” “เทา่ ” “คอื ” ฯลฯ ในการ เปรยี บเทยี บ”(วิภา กงกะนนั ทน.์ 2533: 39) ในการศึกษางานกวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง ผู้วิจัย พบการใช้ภาพพจน์อุปลักษณ์ ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ น้ำแรงแห่งชาวนา คือมหาชลาสนิ ธ์ุ ไหลเช่ยี วเป็นเกลยี วรนิ พร้อมชะลา้ งกาลลี าญ คล่นื คนย่อมคล่ืนคน คอื มวลชนอนั ไพศาล เพรียกพรอ้ งเม่อื พ้องพาน จกั พับพ่ายได้ดังฤๅ ลา้ นแสนมาประสาน อดุ มการณร์ ว่ มยดึ ถอื คมเคยี วกจ็ ะคือ คมกูค้ า่ สังคมคน (กอ่ นไปสูภ่ ูเขา.2518: 183)

๕๑ เปน็ เช่นรางธารลําหว้ ยท่ีรองรับน้ำเพ่ือรนิ ไหลแจกจา่ ย, เป็นเช่นกระแสลมท่รี ้เู พียงเอ้ือใหใ้ บเรือได้ล่องเวิ้งน้ำ, เป็นเช่นไมด้ อกอันมเิ คยรหู้ วงกลน่ิ หอมไว้เพยี งเพ่ือตน, เป็นเช่นดาวเหนืออันบ่งทิศชี้ทางแก่นักเดินทางพเนจรอยา่ งมิรู้จําแนก เผ่าพนั ธ์ุ, เปน็ เชน่ แผน่ ดินซ่ึงรองรบั หล่อเล้ียงและเพาะสรา้ งพืชพนั ธถุ์ ้วนมวล, เปน็ เช่นแผน่ ฟา้ อนั ยอมใหห้ มู่ดาวน้อยใหญ่อยู่รว่ มอาศยั , เป็นเชน่ แผ่นนำ้ อันโอบอุ้มมวลชีวิตไว้ภายใต้, และเปน็ เชน่ ตาน้ำ ณ ขุนหว้ ยอนั ร้เู พยี งเพาะเม็ดน้ำเพื่อเป็นบรรณาการแ มหาสมทุ ร. เปน็ เชน่ นั้น, รักแหง่ เธอโดยแท้-พึงเปน็ เชน่ น้ัน. (ท่ีวา่ รกั -รกั นน้ั . 2529: 14) ๏ เขตแดนต่อแดน- เป็นด่งั ดา่ น กําแพงปราการคือเทอื กเขา คนื ค่าํ -ล้านดาวพร่างพราวเงา ทาบเถ้าแดงพริบอยู่พรายพราย (ณ เพงิ พักริมหว้ ย.2531: 34) 2.2.3 ปฏิภาคพจน์(Paradox) ปฏิภาคพจน์ คือ“ข้อความที่มีความหมายขดั กนั ไมว่ า่ ผ้ใู ช้จะจงใจหรือไม่ก็ตาม เปน็ ข้อความที่กลา่ วถงึ สง่ิ ท่แี ปลกแตจ่ ริง หรือไม่นา่ เป็นได้แต่เปน็ ไปแล้ว” (วภิ ากงกะนนั ไปแลว้ ทน.์ 2533: 45) เชน่

๏ เราแพเ้ ขาแล้วแกว้ เอ๋ย ๕๒ เจบ็ ปวดทุกขท์ น้ ทนเอา อมทุกข์อมโรคโศกไว้ อยา่ เผยความแพแ้ ก่เขา สรา้ งไฟอย่าให้มีเพลิง อยูก่ บั หมู่เราร่าเรงิ อย่าให้เขาปรุงย่งุ เหยิง รู้เชงิ เกบ็ จาํ กับใจ (กอ่ นไปสภู่ เู ขา.2518: 152) บางชว่ งเวลาของชวี ิต-มีความรู้สกึ บางประการก่อเกิด, ออ่ นหวาน ปิติอ่ิมงาม โหยหาและพร่ันพรงึ , คลา้ ยดั่งเขา้ ใจแตม่ ิเขา้ ใจ, คล้ายดงั่ รจู้ กั แตม่ ริ จู้ ัก, คลา้ ยดง่ั กล้าแต่ขลาดกลัว, และคลา้ ยด่งั จกั โผพงุ่ เขา้ ไปสู่แตม่ อิ าจยา่ งเทา้ . และบดั นี้-คือเธอ, ผยู้ นื อยแู่ ล้ว ณ เบือ้ งประตูงธรณีแหง่ ความรัก. (ทีว่ ่ารกั -รกั นนั้ . 2529: 6) ๏ คล้ายไกล–จงึ คล้ายมองไม่เหน็ สีเกา่ จึงเป็นเหมือนสใี หม่ คลา้ ยเพง่ –จงึ พรอ่ งไม่ว่องไว ภาพนิง่ จึงไหว–ในวงตา (ทะเล ป่าภู และเพงิ พกั . 2541:) 116 ๏ รเู้ หตมุ าทนี่ ่ี จงึ ร้ผู ล–ว่าคือใด มาใกลห้ รือมาไกล ก็เพียงรู้โดยตวั เรา ๏ ไม่ตอบและไมถ่ าม เหมอื นรู้ความเพยี งเลาเลา ใคร่รู้ หรอื ดูเบา จึงละมา้ ย จึงคล้ายคลึง

๕๓ ๏ เห็นตงึ ในความหย่อน และเห็นผอ่ นในรัดรึง ความจริงประชมุ จงึ ประจกั ษ์แจง้ ทห่ี วั ใจ ๏ เห็นพบและเห็นจาก จึงเหน็ มาและเหน็ ไป เห็นทาส– จึงเหน็ ไท อยู่ในเพงิ –ทผี่ ่านทาง๚๛ (ทะเล ป่าภู และเพงิ พกั .2541: 137) 2.2.4 อาวตั พากย์ (Synesthesia) อาวัตพากย์ คือ“การใช้คําแทนผลของสัมผัสที่ผิดไปจากธรรมดา เช่น รส เป็นผลสัมผัสด้วยลิ้น กล่ิน เป็นผลของสัมผัสจากจมูก การใช้โวหารแบบน้ีจะใช้ข้อความ เช่น รสของความสุข โดย ปกติความสุขเป็นผล ของสัมผัสด้วยใจ”(วิภายใจ กงกะนนั ทน์.2533: 47) ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้ ถงึ เม่ือแดดจืดหมอกจาง คลายเวี่ยคลมุ วาง เพือ่ เปิดฉายภาพแนวภู (คอื นกว่ายเว้ิงฟ้า.2529:68) จากบทกวีมีการใช้คําแทนผลของสัมผัสที่ผิดไปจากธรรมดาคือคําว่า“แดดจืด”ซึ่ง คําว่า“จืด” เป็นรส ทีส่ ัมผัสด้วยลิ้น สถาพร ศรสี จั จั งสือ่ ถงึ แสงแดดออ่ น ๆ ในยามเชา้ ทม่ี ีหมอกปกคลมุ ตามแนวภูเขา กลิน่ เคม็ ออ่ น ๆ จากเกลือทะเลท่ใี สผ่ สมลงไปโชยมาปะทะจมูกทก่ี า่ํ แดง เพราะลมหนาวของนักเดนิ ทางหนุ่มอยเู่ ป็นระยะ ๆ (ดั่งผเี ส้ือเถ่อื น:คือชายพเนจร,ป่าภู-ทงุ่ ราบและเวิ้งทะเล.2531: 27) จากบทกวี สถาพร ศรีสัจจัง ใช้คําแทนผลของสัมผัสที่ผิดไปจากธรรมดา คือคําว่า “กลิ่นเค็มอ่อน”ซง่ึ คําวา่ ๆ“เค็ม” เปน็ รสท่สี ัมผสั ด้วยล้ิน

๕๔ น้ำเสยี งเปล่ียวเศร้าและสงสยั แปลกหน้ากระไรไดป้ านน้ัน เหมอื นมีชวี ิตอยู่วนั วนั ในบ่วงแรว้ อนั ไร้ตวั ตน (ทะเล ป่าภู และเพงิ พัก.2541: 78) จากบทกวี มีการใช้คําแทนผลของสัมผัสที่ผิดไปจากธรรมดาคือคําว่า“น้ำเสียงเปลี่ยวเศร้า” ซึ่งคําว่า “เปลี่ยวเศรา้ ”โดยปกติเป็นรสทส่ี มั ผสั ดว้ ยใจ ซ่ึงทําใหร้ ้สู ึกซมึ เศร้าอย่างเหงา ๆ ๏ เหน็ พฤติกรรมเพื่อน เหมอื นเลือนเลือนเหมือนรางราง เหมือนใจจะจดื จาง ตอ่ การเทิดประชาธรรม (ฟ้องนายหวั .2543: 41) จากบทกวี มีการใชค้ าํ แทนผลของสัมผสั ที่ผดิ ไปจากธรรมดา คือคําวา่ “ใจจืด”ซึ่งคําวา่ “จืด” เปน็ รสท่ี ควรสมั ผสั ด้วยลิน้ สถาพร ศรสี จั จงั ส่อื ถงึ เพ่ือนท่ีไม่มนี ้ำใจ 2.2.5 อติพจน(์ Hyperbole) อติพจน์“เป็นการใช้คําพูดเกินจริง คือเกินกว่าความหมายที่ผู้พูดต้องการ จะเป็นมากเกินไป น้อยเกินไป ใหญ่เกินไป เล็กเกินไป ดีเกินไป เลวเกินไปก็ได้ การพูดเกินจริงน้ีต้องเกินจนกระทั่งเป็นจริงตาม คําพูดไมไ่ ด”้ (ปรีชาชา้ งขวัญยนื .2525: 224) เชน่ ๏ อีสานร้อนดอนแลง้ แห้งอย่างนี้ หากแผ่นดินมันจะปีห้ รือจะป่น

ก็ยอ่ มจะไดล้ ือซึ่งชื่อคน ๕๕ ท่ีอยบู่ นซับน้ำนาม“ซับแดง” แดงจะเดือดเลือดแดงด้วยแรงเดือด (ก่อนไปส่ภู ูเขา.2518: 170) และดินจะอาบเลือดทุกหนแหง่ ไฟที่คมุ สุมขอนจะรอ้ นแรง เมื่อคนแซงขึ้นซดั รัฐการ และดาวเหนอื ผาเพที่เรร่ อ่ น อาจจะหยดุ โคจรบนทางผา่ น หยดุ เพื่อไว้อาลัยในตํานาน ของหมู่บา้ นทีเ่ คยี วไดเ้ กย่ี วดาว อนาถงบประมาณทหารกลา้ ใชเ้ พือ่ ปราบมวลประชากนั ฉ่าฉาว กินแตเ่ ลอื ดประชาชนจนคลงุ้ คาว กอ, ออ.ราํ มะนาวรํามนา ประชาสามญั ยงั รนั ทด คนโกงยังคดยังอา่ โอ่ และเข็มแหง่ นาฬิกายังเฉโก ยงั อดโซเวลานาที ดอกไมย้ ังมิได้บานดอกกว้าง ดินดอนยงั ดา่ งยัง ร้างสี มันสมองหัวใจ-ยงั ขายดี

๕๖ แพร่พันธุ์องึ ม่ีท้งั แผน่ ดนิ พอ่ นัง่ ดดู าวในคนื น้ี เห็นแววหมน่ มีไมร่ ู้สิ้น หรือคนตอ้ งรดน้ำตาริน ลงราดแผ่นดนิ -อีกเนิ่นยาวฯ (ณ เพิงพกั ริมหว้ ย.2531: 16) จากบทกวีเป็นการกล่าวเกินจริงให้เห็นว่า ประชาชนมีความรันทด เพราะมีคนไม่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่มี ความยุติธรรม ไม่มีความเสมอภาค มีความเห็นแก่ตัวอยู่ในประเทศชาติเป็จํานวนมาก เมื่อเป็นเช่นนี้ สถาพร ศรสี จั จงั จึงกลา่ วเกินจริงใหเ้ ห็นวา่ ประชาชนกต็ ้องรอ้ งไหจ้ นน้ำตาไหลลงบนแผน่ ดนิ อีกเนิน่ นาน 2.2.6 บคุ คลวตั ิ(Personification) บุคคลวัติ คือ“การสมมุติสิ่งไม่มีชีวิต ความคิดนามธรรม หรือสัตว์ให้มีสติปัญญา อารมณ์ หรือกิริยา อาการเยี่ยงมนุษย์”(ราชบัณฑิตยสถาน.2546: 324) นอกจากนี้ กุหลาบ มัลลิกะมาส (2548: 128) เรียกภาพพจน์ชนิดน้ีว่า“บุคลาธิษฐาน”และได้อธิบายว่า“เป็นการสมมุติขึ้น ให้มีกิริยาอาการเหมือนมนุษย์ เป็นคํามีความหมายรวม แต่อาจแยกย่อยได้เป็น สิ่งต่าง ๆ ที่มิใช่คน แต่ทํากิริยาอาการเสมือนหน่ึง เป็นคน (Personification) สิ่งต่างที่ไม่ใช่คนหรอื ไม่ (นามธรรมีตัวตน) สมมุติขึ้นเป็นคน ทํากิริยาอาการอย่าง คนและยังมเี นอ้ื เรอ่ื งเล่าประกอบอีกด้วย (Allegory)และสัตว์ ท่มี ีเรื่องเล่าประกอบเป็นนิทานเทยี บกับมนุษย์ใน เชงิ สอนใจต่าง ๆ (Fable)”เชน่ นงั่ ลงรมิ วหิ ารโบราณสมัย ฟงั เพลงกล่อมเทวาลัยในหน้าหนาว ในยามทข่ี อบฟา้ ระย้าดาว สายลมเล่านิยายใตแ้ สงจันทร์ (คอื นกวา่ ยเว้ิงฟา้ .2529: 44) จากบทกวี สถาพร ศรีสจั จงั เปรยี บสายลมใหเ้ ป็นส่ิงมชี ีวติ ท่ีกระทํากรยิ าเหมือนมนุษย์ คือ เล่านยิ าย

๕๗ ผ่านดกึ ,น้ำค้างที่พรา่ งฟ้า ก็จะโรยกลอ่ มมาให้หญ้าช่ืน ครั้นเม่อื สางสรุ ิยฉายกฉ็ ายพน้ื เทวาลัยก็มติ ่ืนเสมอมาฯ (คอื นกว่ายเวิ้งฟา้ .2529: 46) จากบทกวีเปรียบเทวาลัยใหเ้ ป็นส่ิงมีชวี ิตทีแ่ สดงกริ ิยาเหมือนมนุษย์ คือ ไม่ตน่ื งามเกลยี วเกล็ดคลนื่ ไกวเปล เม่อื ลมพดั เท กระทบกระแทกกระทํา ซ่งึ เกาะน้อยนาํ - แลนี-คือกฎนาฏกรรม ช้ีตอบให้วญิ ญาณคน (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 62) จากบทกวี เปรียบเกลียวคล่นื ให้เปน็ สง่ิ มีชีวิตทีก่ ระทํากริยาเหมอื นมนุษย์ คือไกวเปล แลว้ ห้วยน้ำเคยหลากก็รินหลง่ั นกพญาไฟก็จะน่ังรายงานข่าว อาบอายแดดอุน่ ปีกวาว ณ กิ่งเก๊ยี ะยาว บนสันภู (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 87) จากบทกวี สถาพร ศรสี จั จัง เปรยี บนกพญาไฟกระทาํ กิริยาเหมือนมนุษย์ คือ นง่ั รายงานข่าว

๕๘ 2.2.7 ปุจฉา(Interrogation) ปุจฉา “เปน็ การใช้ขอ้ ความซึง่ เปน็ คําถามแต่คําถามนน้ั บอกคาํ ตอบอยใู่ นตัว ไมต่ ้องการคําตอบ คือ คาํ ถามนนั้ ทาํ หน้าท่บี อกเลา่ ”(ปรชี าช้างขวญั ยนื .2525: 228) ดงั ตวั อยา่ ง ต่อไปน้ี ๏ วา่ –หากโจรรา้ ยบกุ เข้ารุกถิ่น แย่งยึดเอาแผน่ ดินอย่างหนา้ ด้าน กรีฑาทัพโหมบกุ เข้ารุกราน ถา้ เปน็ ทา่ น–ท่านจักเปน็ เชน่ ดงั ใด? จะอ่อนขอ้ งอเข้าใหเ้ ขาข่ี เปน็ ขี้ข้าโดยดี,ฤๅสวนใส่ จะอยู่เย็นแตเ่ ป็นทาส–หรือเปน็ ไท ซึง่ อาจต้องยากไร้ ต้องทุกข์ทน สาํ หรับเรา–ประชาชาติกัมปเู จยี เคยกู้ชาติเลอื ดเร่ยี มาทุกหน จงึ วันน้ีกบั คาํ ยอมจาํ นน จักไม่มีสักคนท่ีพูดกนั (ยนื ต้านพายุ.2524: 20-21) จากบทกวีเป็นการใช้คําถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านคิดว่า จะทําอย่างไรหากมีโจรร้ายบุกรุกเข้ายึด แผ่นดินเกิด เช่นประชาชนชาวกัมปูเจียพร้อมกับเสนอคําตอบและอธบิ ายเหตุผลประกอบ เพื่อเป็นตัวเลือกให้ ผู้อ่านคดิ วา่ จะทําอยา่ งไรโดย สถาพร ศรสี จั จัง กลา่ วให้เห็นวา่ ชาวกมั ปูเจียไม่เคยยอมแพส้ ักคน ซึ่งเป็นคําตอบ ใหผ้ ู้อา่ นเกดิ ความรู้สกึ คล้อยตามไปดว้ ยว่าจะต้องสู้ และไมย่ อมแพ้

๕๙ ๏ พ่อนง่ั ดูดาวเมือ่ ด่นื ดึก ใครบ้างหนอนึกถึงคนื หนาว ใครหนอ - จกั สานตํานานดาว พอ่ หวัง,เพยี งเจ้าไดร้ ู้จํา-๚๛ (ณ เพงิ พกั รมิ ห้วย.2531: 16) บทกวี“ถึงลูกชาย:จงรู้ถงึ ตาํ นานดาว…”สถาพร ศรีสัจจัง เขียนรําลกึ ถึงนิสิต จิระโสภณ โดยใช้คําถาม เพอ่ื กระตุ้นให้ตระหนักในพันธกจิ ของนิสติ จิระโสภณ ๏ “ใดคอื กอ่ งเก็จเมด็ นำ้ ค้าง ควา้ งคว้างลดั ฟ้ามาแต่ไหน ละรูปเกลด็ ฟ้ามาทาํ ไม และมาเพอื่ ส่ิงใดในแผ่นfbo” (ทะเล ป่าภู และเพิงพกั .2541: 146) จากบทกวีเป็นการใช้คําถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้อ่านอยากรู้แหล่งทีเ่ กิดเมด็ นำ้ ค้างและ อยากรู้ว่าเม็ดน้ำมี ความสาํ คัญต่อพืน้ ดินอยา่ งไรบ้า งซึ่งเปน็ คาํ ถามท่ีทราบคําตอบอยู่แลว้ แต่ สถาพร ศรีสัจจัง ถามเพ่ือให้ผู้อ่าน รู้สกึ เห็นความสําคัญของธรรมชาติรอบตัว 2.2.8 สัทพจน์(Onomatopoeia) สุจิตรา จงสถิตย์วัฒนา.(2549: 39) อธิบายสัทพจน์ว่า“คือภาพพจน์เปรียบเทียบโดย ใช้คํา เลียนเสียง”ซึ่งเป็นการ“สร้างประสิทธิภาพแห่งเสียง ที่นําให้ผู้อ่านเข้าถึงหรือใกล้ชิดกับการพรรณนาตามบท ร้อยกรอง ถ้ากวีสอดใส่เสยี งธรรมชาติเอาไว้ไดอ้ ย่างเหมาะสม นั่นก็คือเป็นเครื่องให้เกิดจินตนาการได้ยิง่ ขึ้น ” (กุหลาบ มลั ลิกะมาส.2517: 166) เช่น

๖๐ 2.2.8.1 การเลยี นเสียงปรากฏการณ์ธรรมชาติเชน่ O วาตะวบู ก็โถมถะถัง่ ณ ไทย วะหววู ะหววิ ก็ครากไ็ คล คะโครมครนื ฯ (ยืนต้านพาย.ุ 2524: 14-15) จากบทกวี คําเลียนเสียงลม“วะหวูวะหวิว”สื่อให้เห็นภาพลมพายุพัดกระหนํ่า ยังประเทศไทย อย่างหนักด้วยกําลังลมที่มีความเร็วสูง ได้ยินเสียงดังไม่นานก็เกิดเสียงดัง“คะโครมครืน” ทําให้มองเห็นภาพ ความรนุ แรงของลมที่ทาํ ใหค้ ลน่ื โถมหาดทราย เป็นฤดูเต็งรังปลิดใบร่วง ลมเหนือทง้ิ ช่วงอยู่หวิวหวู ฟา้ ดาํ ,เดอื นดับ-ไม่นา่ ดู พ่อกับลงุ เจา้ อยู่ที่หนา้ ปาง (ณ เพงิ พักริมหว้ ย.2531: 14) จากบทกวี คาํ เลียนเสียงลมพัด“หววิ หวู”ส่ือใหเ้ ห็นภาพของลมเหนือท่ี พัดแรงเข้ามาเป็นระยะ ๆ ใน ฤดูทตี่ น้ เตง็ รังทง้ิ ใบร่วง และสื่อให้เขา้ ใจว่าเป็นชว่ งทกี่ าศหนาว ๏ เป็นฤดูลมโหมพนา เปร๊ียะเปร๊ยี ะแล้วปรา– กฏเพลิงพลงุ่ พรายโดยพลนั (ทะเล ป่าภู และเพิงพัก.2541: 86)

๖๑ จากบทกวี คําเลียนเสียงไฟ“เปรี๊ยะเปร๊ียะ”ทําให้มองเห็นภาพประกายไฟท่ีกําลังติดลุกลามไหม้ป่า อย่างรวดเร็วและไดย้ ินเสยี งดงั มาเป็นระยะ ๆ แนวป่าซ่าเสยี งสายฝนสาดา แนวพายุพาดกระหนํ่าโหม พร่างพร่างพรูพรูเข้าจู่โจม ตระโบมแผ่นพนื้ และปา่ ภู ฯ (ทะเล ป่าภู และเพงิ พัก.2541: 130) จากบทกวี คําเลียนเสียงฝน “ซ่า” ทําให้มองเห็นภาพสายฝนซึ่งตกอยู่ในที่ไกล ๆ กําลังเคลื่อนตัว เข้ามาใกล้แนวป่าอย่างรวดเร็ว ตามกระแสลมพายุที่พัดกระหนํ่า ทําให้ฝนตก “พร่างพร่างพรูพรู”สื่อให้เห็น ภาพพายุฝนทกี่ ําลงั ตกลงมาโหมกระหนํ่าพื้นดินและป่าอยา่ งหนัก 2.2.8.2 การเลียนเสียงสตั ว์เชน่ เสียงร้องปง ปงจากนกแปก หวดี แหวกฟ้าคํ่าเหมอื นคนื เก่า พับผา้ คงทอดเงียบงมึ งึมเงา แต่คนเลา่ -คนเปน็ เชน่ ดงั ใด ฯ (ณ เพิงพักริมหว้ ย.2531: 33) จากบทกวี คําเลียนเสยี งนกแปก “ปงปง” สือ่ ให้ได้ยินเสียงร้องของนกแปก ในเวลากลางคืนทําใหร้ ู้สกึ วังเวง

๖๒ 2.2.8.3 การเลียนเสยี งของคน เชน่ กรามกัดอยู่กรอดกรอด นำ้ หนกั ทอดกระสอบสี ก้มหนา้ อยู่ตาปี บร่ ู้ฟ้าเป็นฉนั ใด (ก่อนไปสู่ภูเขา.2518: 142) จากบทกวี คําเลียนเสียงกัดกราม“กรอดกรอด” สื่อให้เห็นภาพกรรมกรเอากรามขบกันไว้แน่นเพื่อ ออกแรงแบกกระสอบที่หนกั นบั เป็นความอดทนอย่างยงิ่ 2.2.8.4 การเลยี นเสียงสง่ิ ของตา่ ง ๆ เชน่ เปร้ยี ง!เพือ่ นขวำ้ ลงดิน เลอื ดเพื่อนรนิ ราดพน้ื เหลือแต่วิญ– ญาณขบถ จอ่ เชื้อชื้น วีรชน ฯ (กอ่ นไปสภู่ ูเขา.2518: 172) ๏ อีกร่งุ ,รมิ ไร่-ในราวเท่ยี ง ปนื พรานแผดเปรี้ยงป่วนปน่ั ลุงคงล้มควา่ํ ลงกลางคัน หาบพนั ธุ์ข้าวคา้ งกับบ่าคา-- (ณ เพิงพกั ริมหว้ ย.2531: 30) จากบทกวี“เปร้ียง”เปน็ คาํ เลียนเสียงปืน

๖๓ เหมือนด่ังรวงข้าวเหลืองอ่ิมเม็ดในฤดเู ก็บเกี่ยวอนั รู้แตม้ สกี ํ่าทองให้แกท่ ้องทุ่ง. ……………………………………………………………………………… โคง้ รวงลงรอมืออันเหมาะมาเก็บฉับฉบั -ดังคล้ายร้เู พียงเอ้ือให้, (ทีว่ า่ รัก–รกั น้ัน. 2529: 25) จากบทกวี“ฉับฉบั ”เป็นคาํ เลียนเสยี งการเกบ็ เก่ยี วข้าว 2.3 การใช้สญั ลักษณ์ การใชส้ ัญลกั ษณ์ เปน็ ศลิ ปะการใชภ้ าษาวธิ ีหน่งึ ของผู้ประพันธ์ ซง่ึ ทำใหง้ านประพันธ์มีความลมุ่ ลึก เพราะผู้ประพนั ธ์ไม่อธิบายอย่างตรงไปตรงมา ผู้อา่ นต้องคดิ วิเคราะหแ์ ละตีความเอง การใชส้ ัญลักษณ์ขึน้ อยู่ กบั ความชำนาญของผ้ปู ระพนั ธแ์ ต่ละคน ดงั ท่ี สุจติ รา จงสถิตวฒั นา ได้อธบิ ายสญั ลกั ษณไ์ ว้วา่ สญั ลกั ษณเ์ ป็นกลวธิ ีทางวรรณศลิ ป์ที่อาจจะมีความสมั พันธ์เชอ่ื มโยงกับภาพพจน์ แต่มิใชป่ ระเภท 1 ของภาพพจน์ สญั ลักษณห์ ลายอย่างอาจจะพฒั นามาจากการใช้ภาพพจน์เปรยี บเทยี บวา่ มกี ารเปรยี บเทียบจน เกดิ เปน็ ความเขา้ ใจร่วมกนั ใน \"ขนบ\" วรรณศลิ ปอ์ ย่างใดอย่างหนงึ่ หรือของชาติใดชาติหนงึ่ หรอื วฒั นธรรมใด วัฒนธรรมหนึ่ง ภาพพจนเ์ หล่านัน้ กจ็ ะกลายเป็นสัญลักษณ์ คือ เป็นสิ่งท่ีใช้แทนอีกสงิ่ หน่งึ โดยมิตอ้ งใชก้ ลวธิ ี การเปรียบเทยี บอีกสญั ลักษณ์มีลักษณะท่ีเปน็ ทั้งลักษณะเฉพาะและลักษณะสากล (สุจิตรา จงสถิตวฒั นา. 2549: 47-47) บทกวี \"ดาวศรัทธายงั คงโชนจ้าแสง\" สถาพร ศรีสจั จัง ใช้ \"ดวงดาว\" เปน็ สญั ลักษณแ์ ทน นิสิต จริ ะ โสภณ ว่ามีอุดมการณ์ทย่ี ิ่งใหญเ่ พ่อื มวลชน แมเ่ สยี ชวี ติ ลงแลว้ แต่อดุ มการณเ์ พ่อื มวลชนยังดำรงอยู่และมีแต่จะ ขยายกว้างออกไป โดยไม่มสี ่ิงใดทำลายได้ ดังบทกวี ๏ - - ที่ขอบฟ้าไกลลิบ ละล่วิ โนน่ ดาวหนงึ่ โชนฉายแสงข้ึนเจิดจ้า ทอวาวพราวพรายแสงศรทั ธา เปดิ แผน่ ฟา้ มืดมดิ สนทิ น้ัน แผน่ ดนิ มดื -มืดมิดสนิทมาก

๖๔ ทกุ แห่งหลุมขวากล้วนขวางกั้น ดาวดวงเดยี ว-ดาวหนงึ่ จงึ สำคัญ ที่จะสาดแสงปัน ให้พื้นพราย- - ทจ่ี ะสาดหัวใจให้คนทกุ ข์ ใหก้ ลา้ ลุกลืมตาขน้ึ มาได้ ทจ่ี ะปลกุ ศรทั ธาคนกล้าตาย ให้สานแสงแหง่ สายศรัทธาไป และแน่นอน วนั หน่งึ ฟ้ามดื น้นั ก็จะพลันเจดิ จา้ เป็นฟ้าใหม่ เมือ่ ดาวแสนล้านดวงโชตชิ ว่ งไฟ โชตลิ งทาบอาบใจ ประชาชน - - ฯ ๏ “ตำนานเก่าเก่าเลา่ ว่า มนั ฆ่ามันขยเี้ สยี่ ปีป้ ่น ไมม่ ีแม้คำ จำนน เหล่ามามืดมนหนทาง ดบั ดาวฤๅจกั ดับได้ แตกดับสลายเพียงรา่ ง แต่แสงยงั โชตริ างชาง เป็นเย่ยี งเปน็ อยา่ ง สืบมา- -”ฯ ๏ ...ทีข่ อบฟา้ ไกลลิบ ละลว่ิ โน้น ดาวนบั ล้านฉายโชนประกายจ้า ทอวาวพราวพรายสายศรัทธา ยิง่ เน่ินนาน ย่ิงเต็มฟ้า...ยิง่ พรา่ พราว.ฯ (ยนื ต้านพายุ. 2524: 11-12)

๖๕ บทกวี \"ชอ่ งช้าง-พรุพรี-นาสาร\" ใช้ \"มวลไม้ดอก คงบานคลี่กลบี ออกทุกย่านท่า\" เปน็ สัญลกั ษณแ์ ทน ประชาชนรุ่นใหม่สืบต่ออดุ มคตขิ องนักสูป้ ระชาชนรนุ่ เก่าที่ลม้ ตายหรอื แกเ่ ฒา่ โรยราไปนักอดุ มคติร่นุ ใหมจ่ ะ เกิดท่วั ทุกย่าน เพื่อต่อสู้เพ่ือความชอบธรรมของสงั คม เลือดสแี ดงทชี่ โลมแผน่ ดินนัน้ จะเปน็ เลือดของนกั ส้รู ุน่ ใหม่สบื ตอ่ ไป ๏ สางแลว้ , สายแล้ว - แสงแดดสอ่ ง ทาบตอ้ งทวิ ไม้อยหู่ มน่ หม่น เหมือนบอกวา่ ใจของคนจน ท่ัวทุกตำบล - ไม่สบาย ช่องช้าง - พรพุ ,ี รถไฟผ่าน ตอ่ ช่วงนาสาร - ไปทางใต้ นกั สู้ผคู้ น - เกิดกลน่ ราย ด่งั ฤๅ - จักสลายลงโรยรา ดงั นน้ั - พรงุ่ นม้ี วลไมด้ อก คงบานคล่กี ลบี ออกทุกย่านท่า แดงสเี ลอื ด - อาจต้องทาบลงโลมทา เลือดพรานร้าย - เลอื ดประชา, ฤๅเลือกใคร ฯ (ณ เพิงพักริมห้วย. 2531: 28) บทกวี “สบิ : คือผเี ส้ือ” สถาพร ศรสี ัจจัง ใช้ “ผเี สอ้ื ” เปน็ สญั ลกั ษณ์แทน บุคคลผรู้ กั อิสระแตย่ งั ประโยชนใ์ ห้แกส่ ังคม เป็นผ้สู ร้าง เปน็ ผู้ให้ และเป็นส่ิงดงี าม คือ ให้ท้ังความดี และความงามแก่โลก เป็นพลัง เคลอื่ นไหวที่งดงาม ต้องกดกวที ีว่ า่ “ทำไมผเี ส้อื จงึ ชอบฤดรู ้อน..” เด็กสาวเปรยเสยี งขน้ึ เหมือนไม่มีเจตนาถามผู้ใดโดยเฉพาะ. ชายหนุม่ ทน่ี ่งั ใกล้เงียบนง่ิ ขณะท่ใี ชก้ ลางคนบนแครพ่ ลกิ ตัว ตะแคงมาทางคนตั้งถามพร้อมกับเอ่ยคำขึ้น : “มนั ชอบทุกฤดูแหละ...ขอเพียงมดี อกไม้บาน” “มันมาจากไหน...แลว้ จะไปไหนอกี ”

๖๖ เสยี งใสหวานถามต่อ : “- - แม้ตัวเองก็คงไม่ร.ู้ .และมีประโยชนใ์ ดทจ่ี ะต้องร.ู้ มันคงรูเ้ พยี งว่าท่นี ีม่ ีพลังดูดดึงแห่งดอกไม้สีสวย, เกสรหอมหวาน ...จงึ มุ่งมารบั รู้สมั ผัสตามเงือ่ นไขหน้าทด่ี ำรงอยู่แล้วในตัวมัน. - -ชีวติ ผเี สอ้ื เปน็ เพยี งชว่ งสน้ั ๆ - เพยี งวนั น้ี, วนิ าทีนห้ี รอื ฤดนู ้ี -แตม่ ันก็ไดเ้ อ้ือให้และสร้างขึ้น, เพื่อใหแ้ ละสรา้ งขน้ึ ในการลงแรง ผสมเกสรไมด้ อก, เพ่ือให้ในการแตม้ สีสันแก่ดวงตาเธอ และเพ่ือให้เธอไดร้ ับรู้วา่ โดยแทแ้ ล้วโลกนเี้ คล่อื นไหว-เพียง ดว้ ยปีกอนั บางเบาเหลอ่ื มสีของมนั ...” “อ๋อ...เป็นเช่นน้นั - -” (ด่ังผเี สื้อเถ่ือน. 2531: 117-118) บทกวี \"ไอ้เหลิมกับนายก\" สถาพร ศรสี ัจจงั ใชค้ ำ \"ปากมดี โกนอาบนำ้ ผึง้ เปน็ สญั ลักษณ์ของ นายกรฐั มนตรีผูห้ นึ่ง ซึ่งเป็นบุคคลทใี่ ช้คำพดู ท่ีอ่อนโยนนา่ ฟัง แตค่ ำพดู น้นั คมเชอื ดเฉือนความรู้สกึ ผูฟ้ งั ๏ ด้วยฉายา “ปากนดิ โกนอาบน้ำผึ้ง” ที่บางใครเสือกทะลงึ่ ให้คุณค่า ที่บางใครเผลอพล้งั ตั้งฉายา ยอ่ มสะทอ้ นไดว้ ่าเจ้าปาก (ฟ้องนายหัว. 2543: 116)

๖๗ อ้างองิ กิตติมา จันทร์ลาว. (๒๕๕๕). วิเคราะห์กวีนิพนธ์ของ สถาพร ศรีสัจจัง ปริญญา – SWU IR. สืบค้นเมื่อ ๑๑ สงิ หาคม ๒๕๖๔. จาก http://ir.swu.ac.th/jspui/bitstream/123456789/3532/2/Kittima_J.pdf


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook