แผนการจัดการเรียนรู้ มงุ่ เนน้ สมรรถนะอาชพี บรู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ภาษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชีพ รหสั วชิ า 3000-1101 หลกั สูตรประกาศนยี บตั รวิชาชีพชั้นสงู พุทธศักราช 2557 จัดทาโดย นางสาวสรุ ียพ์ ร บุญน้าชู ตาแหน่ง ครู ค.ศ.2 วทิ ยาลัยเทคนคิ สตั หบี สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา
คานา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ท่ีไดป้ ระกาศใชต้ ้ังแต่เดือนสงิ หาคม 2542 เปน็ ต้นมา ได้เน้นใหค้ รู-อาจารยแ์ ละผเู้ ก่ียวขอ้ งทง้ั หลายจัดการเรยี นการสอนโดยเนน้ ผู้เรยี นสาคญั ท่ีสุด ซง่ึ กจิ กรรมการเรียนการ สอนทีจ่ ดั ควรมีลักษณะสาคัญดังนี้ 1. ผเู้ รียนได้เรียนรูจ้ ากการปฏบิ ัติจริง 2. ผู้เรียนมีโอกาสเลือกเรยี นรู้ในสิ่งทีต่ นถนดั และสนใจ 3. ผูเ้ รียนไดม้ โี อกาสแสวงหาความรู้และสร้างองค์ความรดู้ ว้ ยตัวเอง 4. ผู้เรยี นได้มีโอกาสที่จะนาความรู้ไปปฏบิ ัติใชจ้ ริงในชีวิตประจาวนั 5. ผูเ้ รียนมสี ว่ นร่วมในการประเมนิ ผลการเรยี นรขู้ องตนเอง บรษิ ทั สานกั พิมพ์เอมพนั ธ์ จากดั ได้ตระหนักถึงภารกิจของครอู าจารย์ ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ให้ สอดคล้องกบั พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ ด้วยการบูรณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และ คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ไวใ้ นรายวิชา และในการคิดกิจกรรมที่จะสง่ เสริมการเรียนรขู้ องนกั เรียนตามพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติ ใหเ้ ปน็ รูปธรรมจึงไดจ้ ดั ทาส่ิงอานวยความสะดวกใหแ้ ก่ครูอาจารย์เปน็ คูม่ อื ครูเพ่ือประกอบหนังสือเรียนวิชาภาษาไทย เพื่อส่ือสารในงานอาชีพ รหสั 3000 - 1101 3-0-3 ซึง่ ประกอบด้วย จุดประสงคร์ ายวชิ า สมรรถนะรายวิชา และคาอธบิ ายรายวิชา หมวดวิชาทักษะชีวิต/ กลุ่มวชิ าภาษาไทย ตารางวิเคราะห์หลักสตู ร กาหนดการสอนท่บี รู ณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่บรู ณาการคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ หวงั ว่าคู่มือครเู ล่มน้ีคงเป็นประโยชนแ์ ก่ครู-อาจารย์ได้ใชเ้ ป็นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ใหบ้ รรลุตาม วัตถปุ ระสงค์ต่อไป
สารบัญ จดุ ประสงค์รายวชิ า และสมรรถนะรายวิชา หมวดวิชาทักษะชีวิต วชิ าภาษาไทยเพื่อสือ่ สารในงานอาชพี คาอธบิ ายรายวชิ า กาหนดการสอนที่บูรณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่บูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์ แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 1....................................................................................................................................................................11 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2................................................................................................................................................................. 24 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3....................................................................................................................................................................31 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 4....................................................................................................................................................................38 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 5....................................................................................................................................................................46 แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 6....................................................................................................................................................................54 แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 7....................................................................................................................................................................63 แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 8....................................................................................................................................................................69 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 9....................................................................................................................................................................74 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 10................................................................................................................................................................. 79 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 11................................................................................................................................................................. 81 แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 12................................................................................................................................................................. 87 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 13................................................................................................................................................................. 92 แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 14................................................................................................................................................................. 98 แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 15.................................................................................................................................................................104 แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 16................................................................................................................................................................109 แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 17................................................................................................................................................................114 รายการตรวจสอบและอนญุ าตให้ใช้ ภาคผนวก ก ตัวอย่างแบบสังเกตพฤติกรรมการปฏบิ ัตงิ านรายบคุ คล ข ตวั อยา่ งแบบสงั เกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลมุ่ ค ตวั อยา่ งแบบประเมนิ การนาเสนอผลงานรายบคุ คล ง ตัวอย่างแบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ จ ตัวอย่างแบบรวมคะแนนการประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ฉ ตวั อย่างแบบสรุปผลการประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ซ วธิ ีการใชแ้ บบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
ภาษาไทยเพอ่ื สื่อสารในงานอาชีพ รหัสวิชา 3000-1101 3 หนว่ ยกติ (3 ช่ัวโมง) เวลาเรยี นต่อภาค 54 ช่ัวโมง ตารางวเิ คราะห์หนว่ ยการเรียนรตู้ ามจุดประสงค์รายวิชา และสมรรถนะรายวชิ า จดุ ประสงค์รายวิชา เพื่อให้ 1. มีความรคู้ วามเข้าใจเก่ียวกับการใชภ้ าษาไทยส่อื สารในงานอาชพี 2. สามารถนาภาษาไทยไปใช้เปน็ เครอื่ งมอื ส่ือสารในงานอาชีพ 3. เหน็ คุณค่าและความสาคญั ของการใช้ภาษาไทยสือ่ สารในงานอาชพี สมรรถนะรายวิชา 1. เลือกใช้ถ้อยคาสานวน ระดับภาษา ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ เหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล โอกาสและ สถานการณ์ 2. วิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารในชีวิตประจาวันและงานอาชีพจากสื่อประเภทต่างๆ และ นาเสนอข้อมลู ตามหลักการ 3 พูดติดตอ่ กจิ ธรุ ะ ธุรกจิ และพดู ในโอกาสต่างๆ ของสงั คมตามหลักการ 4. เขยี นติดต่อกิจธรุ ะ ธรุ กจิ และเขยี นรายงานตามหลกั การ คาอธิบายรายวิชา ศึกษาและปฏิบตั ิเก่ียวกับหลักการใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร การวิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินค่าสารใน ชวี ิตประจาวันและในงานอาชีพจากส่ือประเภทตา่ งๆ การนาเสนอข้อมูลหรือบรรยายสรุป การพูดในงานอาชีพและใน โอกาสตา่ งๆ ของสงั คม การเขยี นเพ่อื ตดิ ต่อกจิ ธรุ ะและธุรกจิ และการเขียนรายงานวิชาการหรอื รายงานการวิจัย
วิธีการใช้แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 1. ในการทากิจกรรมทุกคร้ัง ครูจะใช้แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ทาการสังเกตและประเมนิ นักเรยี น (ดตู วั อย่างในภาคผนวก จ) 2. ในขณะเดียวกัน เพ่ือความเท่ียงในการประเมิน ครูจะมอบแบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ซ่ึงเปน็ ชดุ เดยี วกบั ของครูใหป้ ระธานกลุ่มสังเกตและประเมนิ นักเรียน 3. คุณลักษณะที่ประเมินตลอดจนพฤติกรรมบ่งชี้ท่ีระบุในแบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ กรมอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ท่ี ศธ 1911/3363 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 เร่ือง แนวปฏิบัติในการกากับดูแลการบูรณาการคุณธรรม กาหนดให้ครูอาจารย์ผู้สอนต้องบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในทุกรายวิชา โดยให้มีคะแนน 20% เมื่อการจัดการเรียนการสอน ครบทุกรายวิชาตามโครงสร้างของหลักสูตรแล้ว จะต้องมกี ารบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะ อนั พึงประสงคค์ รบ 11 คุณลกั ษณะ ดงั นั้น คุณลักษณะทป่ี ระเมินตลอดจนพฤติกรรมบ่งชี้ จงึ ขึ้นอยู่กบั สถานศกึ ษาและครูเห็นสมควรว่า เหมาะสมกับเนื้อหาวิชาเพียงใด ตัวอย่างที่แสดงมาน้ีจึงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในที่นี้ได้เลือกคุณลักษณะและ พฤติกรรมบง่ ช้ี จานวน 7 คณุ ลกั ษณะ (10 ข้อ) กาหนดขอ้ ละ 1 คะแนน 4. เม่ือทาการประเมินในแต่ละคร้ัง ครูจะนาคะแนนของนักเรียนแต่ละคนไปสรุปในแบบรวมคะแนน การประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (ดูตัวอยา่ งในภาคผนวก ฉ) เพื่อดูพัฒนาการ ของนกั เรยี น 5. ครูมอบให้ประธานกลุ่มสรุปคะแนนการประเมินในแต่ละครั้งที่ประเมินลงในแบบรวมคะแนนการ ประเมินคุณธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 6. หลังจบภาคการศึกษา นาหลักฐานคะแนนที่ได้ท้ัง 2 ส่วน คือ จากครูและประธานกลุ่มไปสรุปลงใน แบบสรุปผลการประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ (ดูตัวอย่างในภาคผนวก ช) ใน ที่นี้ได้แบ่งคะแนนท่ีได้จากครู 10% และจากประธานกลุ่ม 10% ก็จะได้ผลรวมคะแนนคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 20%
โครงการสอนวิชา รหัส 3000-1101 วิชาภาษาไทยเพ่ือการสือ่ สาร 3-0-3 คณุ ธรรม จริยธรรม คา่ นิยม และคณุ ลักษณะ สัปดาห์ หน่วย ชั่วโมง สาระการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ อันพงึ ประสงค์ ที่ ท่ี ที่ 1 1 1-3 การใชภ้ าษาไทยเพื่อสื่อสารใน 1 .อธิบายความหมายของ งานอาชีพ ภาษาได้ 1. ความหมายของภาษา 2. บอกความสาคัญของ 2. ความสาคัญของภาษาเพ่ือ ภาษาเพ่ือส่ือสารได้ สือ่ สาร 3. เขยี นแผนภมู ิแสดง 3. องคป์ ระกอบของการส่ือสาร องคป์ ระกอบของการ 4. ประเภทของภาษาเพื่อ สือ่ สารได้ สอ่ื สาร 4. บอกประเภทและระดับ 5. ระดับของภาษา ของภาษาในการสื่อสารได้ 6. ข้อควรระวงั ในการใช้ภาษา 5. ใชภ้ าษาสือ่ สารได้ เพื่อการส่อื สาร เหมาะสม ๗.สรุปสาระสาคัญ 6. บอกและแก้ไข ความมีมนุษยสมั พนั ธ์ ขอ้ บกพร่องของการใช้ ความมีวนิ ัย ภาษาในการสื่อสารได้ ความรบั ผดิ ชอบ 2 2 4-6 การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์ 1 .อธบิ ายความหมายและ ความเชื่อม่นั ในตนเอง และประเมนิ ค่าสารใน ขน้ั ตอนในการวเิ คราะห์ ความสนใจใฝร่ ู้ ชวี ิตประจาวันและงานอาชีพ การสงั เคราะห์สารได้ ความรกั สามัคคี จากสือ่ ตา่ งๆ 2 .บอกหลกั การอ่านขา่ ว ความคิดริเริม่ สร้างสรรค์ 1. การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์ บทความ โฆษณาจากสื่อ ความพง่ึ ตนเอง และประเมินคา่ สารใน ตา่ งๆ และขน้ั ตอนในการ ชีวติ ประจาวันและงานอาชพี วเิ คราะหส์ ารได้ 2. หลักการอ่านข่าว บทความ 3 .บอกประเภทของสารใน โฆษณาจากส่ือต่างๆ ชวี ิตประจาวนั และงาน 3. ข้ันตอนในการวเิ คราะหส์ าร อาชีพ 4. ประเภทของสารใน 4. อธบิ ายจุดมุง่ หมายและ ชวี ติ ประจาวันและงานอาชีพ หลักการรับสารจากสื่อ ต่างๆ ได้ 5. บอกประเภทของสอ่ื ได้ 6. วิเคราะห์ สงั เคราะห์ และประเมินคา่ สารได้
สปั ดาห์ หนว่ ย ชั่วโมง สาระการเรียนรู้ จดุ ประสงค์การ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ท่ี ท่ี ท่ี เรยี นรู้ คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะ 3 2 7-9 5 .จุดม่งุ หมายในการ รบั สารจากส่อื ต่างๆ อนั พึงประสงค์ 6 .หลักการรับสาร จากส่ือตา่ งๆ ความมีมนุษยสัมพันธ์ 7. ประเภทของส่อื 8. การประเมนิ ค่าสาร ความมีวินัย 9. สรุปสาระสาคญั 4 3 10-12 การพูดในงานอาชีพ 1. อธบิ าย ความรับผิดชอบ และการนาเสนอ ข้อมลู หรือการ ความหมาย ความเช่อื มน่ั ในตนเอง บรรยายสรปุ 1 .ความหมายและ ความสาคญั และ ความสนใจใฝร่ ู้ ความสาคัญของการ พูด ความมุง่ หมายใน ความรกั สามัคคี 2. ความมุ่งหมายและ องค์ประกอบของการ การพูดได้ ความคดิ รเิ ริ่มสรา้ งสรรค์ พดู 3. การพดู ในงาน 2 .บอก ความพึง่ ตนเอง อาชพี 4. การพดู สาธิต องคป์ ระกอบของ 5 .การพูดเพ่ือขาย สนิ คา้ หรือบริการ การพูดได้ 5 3 13-15 6. การสมั ภาษณ์ 7. การพูดเพอื่ กา 3. พูดสาธิต พดู ประชาสัมพนั ธ์ 8 .การพดู แนะนา เสนอขายสนิ คา้ ตนเองและวิทยากร 9. การสนทนาทาง สมั ภาษณ์ พูด โทรศัพท์ ประชาสัมพนั ธ์ พูดแนะนาตนเอง และวทิ ยากรได้ 4. พูดสนทนาทาง โทรศัพท์ได้ 5. พดู เพ่ือ นาเสนอข้อมลู
10. การนาเสนอ หรอื การบรรยาย ขอ้ มูลหรือบรรยาย สรุปได้ สรปุ 11. สรปุ สาระสาคัญ สปั ดาห์ หน่วย ชวั่ โมง สาระการเรียนรู้ จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ คุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลักษณะ อนั พงึ ประสงค์ ที่ ที่ ท่ี 6 4 16-18 การเขียนบันทึก 1.อธบิ ายความหมายของ การเขียนบันทึกได้ 1.ความหมายของการเขยี น 2.บอกหลักและวิธกี าร เขียนบันทึกท่ัวไปได้ บันทกึ 3.บอกรปู แบบการเขยี น บันทกึ ได้ 2.หลักการเขยี นบันทึกและวธิ ี 4.เขียนบนั ทึกทั่วไปตาม กาหนดได้ เขียนบันทึกทวั่ ไป 3.รปู แบบของการเขียนบันทกึ 4.ส่วนประกอบของการเขยี น บนั ทึก และวธิ เี ขียนบนั ทึก 5.สรปุ สาระสาคัญ 7 5 19-21 การเขียนโครงการ 1. บอกความหมายและ 1. ความหมายของโครงการ ความสาคญั ของโครงการ 2. ความสาคญั ของโครงการ ได้ 3. รปู แบบการเขียนโครงการ 2. เขยี นสว่ นประกอบของ 4. ประเภทของโครงการ โครงการได้ ความมมี นุษยสัมพันธ์ 5. สว่ นประกอบของโครงการ 3. บอกวธิ ีการเขียน ความมวี ินัย 6. วิธเี ขยี นโครงการ โครงการทด่ี ีได้ ความรับผดิ ชอบ 7. สรุปสาระสาคัญ 4. เขยี นโครงการตาม ความเช่ือมนั่ ในตนเอง เนือ้ หาท่ีกาหนดให้ ความสนใจใฝร่ ู้ 8 6 22-24 การเขยี นรายงาน 1.บอกความหมายของการ ความรกั สามัคคี 1.ความหมายของการเขยี น รายงาน เขียนรายงานได้ ความคิดริเริ่มสรา้ งสรรค์ 2.ความสาคัญของรายงาน 3.รปู แบบของรายงาน 2.อธิบายความสาคญั ของ ความพึง่ ตนเอง 4.ประเภทของรายงาน - รายงานเหตุการณ์ รายงานได้ 3.บอกรปู แบบของรายงาน ได้
- รายงานผลการปฏบิ ัตงิ าน 4.อธิบายประเภทของ 5.สรุปสาระสาคัญ รายงานได้ 9 7 25-27 การเขยี นรายงานการประชุม 1.บอกความหมายของ 1.ความหมายรายงานการ รายงานการประชุมได้ ประชมุ 2.อธบิ ายหลักการเขยี น 2.หลักการเขยี นรายงานประชุม รายงานการประชมุ ได้ 3.ลกั ษณะรายงานการประชมุ 3.บอกลักษณะรายงาน 4.ขั้นตอนการจัดทารายงานการ การประชมุ ท่ีดไี ด้ ประชมุ 4.อธบิ ายขนั้ ตอนการ 5.สรุปสาระสาคญั จัดทารายงานการประชมุ สัปดาห์ หน่วย ชั่วโมง สาระการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคณุ ลักษณะ อันพึงประสงค์ ที่ ท่ี ที่ 10 - 28-30 สอบกลางภาคเรียน 11 8 31-33 การเขียนรายงานทางวชิ าการ 1.บอกแหลง่ ข้อมลู ในการ หรือรายงานการวจิ ยั เขยี นรายงานทางวิชาการ 1.แหล่งขอ้ มูลในการเขียน หรอื รายงานการวิจยั ได้ รายงานทางวิชาการหรือ 2.บอกความหมายและ รายงานการวจิ ยั ระดับของรายงานทาง 2.รายงานทางวิชาการหรือ วชิ าการหรอื รายงานการ รายงานการวิจัย วิจัยได้ 3.ส่วนประกอบและการเขยี น 3.วิเคราะห์ส่วนประกอบ ส่วนประกอบของรายงานทาง และเขยี นสว่ นประกอบ ความมีมนุษยสัมพนั ธ์ วชิ าการหรอื รายงานการวิจยั ของรายงานทางวชิ าการ ความมวี ินยั 4.ขนั้ ตอนในการเขียนรายงาน หรอื รายงานการวจิ ยั ได้ ความรบั ผิดชอบ 5.สรปุ สาระสาคัญ 4.ทารายงานได้ถกู ต้อง ความเช่ือม่นั ในตนเอง ตามขั้นตอนและแบบแผน ความสนใจใฝร่ ู้ 12 9 34-36 การเขยี นจดหมายสมัครงาน 1.บอกประโยชนท์ จี่ ะได้รบั ความรักสามัคคี 1.สว่ นประกอบของจดหมาย จากการเขยี นจดหมาย ความคดิ รเิ ริ่มสร้างสรรค์ สมคั รงาน สมัครงานทีด่ ีได้ ความพ่ึงตนเอง
2.หลกั การเขียนจดหมายสมัคร 2.บอกส่วนประกอบของ งาน จดหมายสมคั รงานได้ 3.การเขียนรายละเอียดใน 3.อธบิ ายหลักการเขียน จดหมายสมคั รงาน จดหมายสมัครงาน 4.สรปุ สาระสาคัญ โดยทวั่ ไปได้ 4.บอกการเขยี น รายละเอียดในจดหมาย สมคั รงานได้ 5.เขียนจดหมายสมคั รงาน ตามรายละเอียดที่ กาหนดให้ได้ 6.แนะนาวธิ กี ารเขียน จดหมายสมัครงานท่ดี ีได้
สปั ดาห์ หนว่ ย ชว่ั โมง สาระการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ คุณธรรม จริยธรรม ท่ี ท่ี ท่ี คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะ 13 10 37-39 การกรอกแบบฟอรม์ เอกสาร อนั พงึ ประสงค์ 14 11 เพ่ือกิจธุระ 1.ความหมายของการกรอก 1.บอกความหมายของการ แบบฟอรม์ 2.คุณสมบัตขิ องผู้กรอก กรอกแบบฟอรม์ ได้ แบบฟอร์ม 3.ขอ้ ควรปฏิบัติในการกรอก 2.อธบิ ายคณุ สมบัติของผู้ แบบฟอรม์ 4.องค์ประกอบสาคญั ในการ กรอกแบบฟอร์มได้ กรอกแบบฟอรม์ ท่ัวไป 5.ประเภทของแบบฟอร์ม 3.บอกข้อควรปฏบิ ัติใน 6.สรปุ สาระสาคัญ การกรอกแบบฟอร์มได้ 40-42 การเขียนประชาสัมพนั ธใ์ นงาน อาชีพ 4.เขยี นองค์ประกอบ 1.ความหมายของการ ประชาสมั พนั ธ์ สาคัญในการกรอก 2.ความสาคัญของการเขียน ประชาสมั พันธ์ แบบฟอร์มได้ 3.วัตถุประสงค์ของการเขียน ประชาสมั พนั ธ์ 5.บอกประเภทของ 4.เครื่องมือสื่อสารทีใ่ ช้ในการ ประชาสัมพันธ์ แบบฟอรม์ ได้ ความมมี นุษยสัมพันธ์ 5.องคป์ ระกอบของข้อความ ประชาสัมพันธ์ 6.กรอกแบบฟอร์มเอกสาร ความมวี นิ ยั เพื่อกิจธรุ ะได้ ความรับผดิ ชอบ ความเชือ่ มน่ั ในตนเอง 1. บอกความหมายและ ความสนใจใฝร่ ู้ ความสาคญั ของการ ความรกั สามัคคี ประชาสัมพนั ธ์ได้ ความคิดรเิ ร่มิ สร้างสรรค์ 2. อธบิ ายวัตถปุ ระสงค์ ความพง่ึ ตนเอง ของการเขยี นเพอ่ื การ ประชาสัมพันธไ์ ด้ 3. บอกเครื่องมือสอ่ื สารท่ี ใช้ในการประชาสมั พันธไ์ ด้ 4. วิเคราะห์องคป์ ระกอบ ของขอ้ ความ ประชาสัมพนั ธไ์ ด้ 5. อธิบายหลักการเขยี น เพอ่ื การประชาสัมพันธ์ได้ 6. ใชภ้ าษาในการ ประชาสัมพันธ์ได้
สัปดาห์ หนว่ ย ชัว่ โมง สาระการเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะ ที่ ที่ ท่ี อันพงึ ประสงค์ 15 11 43-45 6.หลักการเขยี นประชาสัมพนั ธ์ ความมมี นุษยสัมพนั ธ์ ในงานอาชีพ ความมีวินยั ความรับผิดชอบ 7.การใช้ภาษาในการเขียนเพื่อ ความเชื่อม่นั ในตนเอง ความสนใจใฝ่รู้ การประชาสัมพันธ์ ความรกั สามัคคี ความคดิ ริเริม่ สรา้ งสรรค์ 8.หลักการนาเสนอขา่ ว ความพ่งึ ตนเอง ประชาสมั พนั ธ์ 9.สรปุ สาระสาคญั 16 12 46-48 การเขยี นโฆษณา 1. บอกความหมาย และ 1. ความหมายของการโฆษณา แนวคิดเกีย่ วกบั การ 2. แนวคดิ เกี่ยวกบั การโฆษณา โฆษณาได้ 3. ความแตกต่างของการ 2. อธบิ ายความแตกตา่ ง โฆษณาและการประชาสมั พันธ์ ของการโฆษณาและการ 4. ความสาคญั ของการโฆษณา ประชาสัมพันธไ์ ด้ 5. จดุ มุ่งหมายของการโฆษณา 3. บอกความสาคัญ และ 6. ลกั ษณะสาคญั ของการ จดุ มุ่งหมายของการ โฆษณา โฆษณาได้ 4. อธบิ ายลักษณะสาคัญ 17 12 49-51 7. ประเภทของการโฆษณา และประเภทของการ 8. ประเภทของสอ่ื โฆษณา โฆษณาได้ 9. องคป์ ระกอบของข้อความ 5. บอกประเภทของส่อื โฆษณา โฆษณาได้ 11. วธิ เี ขยี นข้อความโฆษณา 6. อธบิ ายองค์ประกอบ 12.การใชภ้ าษาเพ่อื การโฆษณา และวิธีเขียนข้อความ 13. สรปุ สาระสาคญั โฆษณาได้ 7. เขียนข้อความโฆษณา ได้ 18 - 52-54 ทบทวน/สอบปลายภาคเรียน หมายเหตุ กาหนดการสอนท่บี รู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงคน์ ้ี จัดทาขน้ึ เพ่ือเป็นแนวทางใหก้ ับ ครผู สู้ อนในการจัดการเรยี นการสอนเทา่ นั้น สามารถเปลยี่ นแปลงได้ข้ึนอยกู่ บั ผ้สู อน และสถานศกึ ษาทีจ่ ะนาไปประยกุ ตใ์ ช้เปน็ สาคญั
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 1 หนว่ ยที่ 1 ชือ่ วิชา ภาษาไทยเพ่ือส่อื สารในงานอาชีพ รหสั 3000–1101 เวลาเรยี นรวม 54 คาบ ( 3-0-3 ) สอนครงั้ ท่ี 1 (1–3) ชือ่ หน่วย การใชภ้ าษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ จานวน 3 คาบ ชอื่ เรอ่ื ง การใชภ้ าษาไทยเพ่ือสื่อสารในงานอาชีพ สาระสาคัญ ในสงั คมปจั จุบนั มีอาชพี หลายประเภททผี่ ปู้ ระกอบอาชีพต้องอาศัยภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการติดต่อ สอื่ สาร เชน่ อาชพี ครู นักธุรกิจ แพทย์ พยาบาล ทนายความ ทหาร ตารวจ ฯลฯ หากตอ้ งมกี ารตดิ ต่อเกี่ยวขอ้ งกับ ผู้อ่ืนแลว้ กต็ ้องใช้ภาษาไทยในการสื่อความหมายอยตู่ ลอดเวลา ภาษาจึงเปน็ เคร่อื งมืออานวยความสะดวกในการ ติดต่อสื่อสาร จุดประสงค์การเรยี นรู้ 1. อธบิ ายความหมายของภาษาได้ 2. บอกความสาคัญของภาษาเพื่อส่ือสารได้ 3 .เขียนแผนภมู ิแสดงองคป์ ระกอบของการสอื่ สารได้ 4. บอกประเภทและระดับของภาษาในการส่ือสารได้ 5. ใช้ภาษาสื่อสารไดเ้ หมาะสม 6. บอกและแก้ไขขอ้ บกพร่องของการใช้ภาษาในการสือ่ สารได้ 7. มีการพฒั นาคุณธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผ้สู าเรจ็ การศึกษา สานักงาน คณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทีค่ รูสามารถสังเกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอื่ ง 7.1 ความมมี นุษยสัมพนั ธ์ 7.6 การละเวน้ สิ่งเสพติดและการพนนั 7.2 ความมวี ินยั 7.7 ความรักสามัคคี 7.3 ความรับผิดชอบ 7.8 ความกตญั ญกู ตเวที 7.4 ความซอ่ื สตั ย์สจุ รติ 7.5 ความเชือ่ ม่นั ในตนเอง สมรรถนะรายวิชา 1.เลือกใชถ้ ้อยคาสานวน ระดับภาษา ถกู ต้องตามหลักเกณฑ์ เหมาะสมกับกาลเทศะ บุคคล โอกาส และ สถานการณ์
เนื้อหาสาระ 1.ความหมายของภาษา 2.ความสาคัญของภาษาเพื่อส่ือสาร 3.องคป์ ระกอบของการสื่อสาร 4.ประเภทของภาษาเพ่อื สื่อสาร 5.ระดับของภาษา 6.ขอ้ ควรระวงั ในการใชภ้ าษาเพื่อการสื่อสาร 7.สรุปสาระสาคญั กิจกรรมการเรียนรู้ ขั้นนาเข้าสบู่ ทเรยี น 1. ผเู้ รยี นรบั ฟังจุดประสงคร์ ายวิชา สมรรถนะรายวิชา ลแคาอธบิ ายรายวิชา ตามหลกั สูตรประกาศนียบตั ร วชิ าชพี พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๖ ของสานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา แนวทางวัดผลและการประเมินผลการ เรยี นรู้ พร้อมทัง้ ซักถามและแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั การเรยี นวชิ าภาษาไทยเพื่อส่อื สารในงานอาชีพ 2 .ครูกล่าวถงึ การท่จี ะใช้ภาษาให้เกิดประสิทธิผลนน้ั ผู้ใช้ภาษาจะต้องไดร้ บั การฝึกฝนตามสมควร ตามปกติ น้ันการสอนภาษาใดๆ ก็จะต้องสอนการใช้ภาษา หลกั ภาษา วรรณคดี และวัฒนธรรมในดา้ นการใชภ้ าษาน้ันประกอบ ไปดว้ ยทกั ษะทงั้ 4 ดา้ นคือ การฟงั การพดู การอ่าน และการเขยี น 3. ครูกล่าวถึงคาว่า ภาษา มาจากคาวา่ “ภาษ” แปลวา่ พดู บอก กลา่ ว ตามความหมายของภาษาใน พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๔ : ๘๖๘) ไดใ้ ห้ความหมายของคาวา่ “ภาษา” ไว้ว่า ภาษา น. เสียงหรอื กิรยิ าอาการซึง่ ทาความเข้าใจซ่ึงกันและกนั ได้ คาพูด, ถ้อยคาท่ีใช้พูดจากนั 4. ผู้เรียนแสดงความคิดเหน็ เก่ยี วกับการใช้ภาษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชพี ตามรูปภาพทคี่ รูผู้สอนนามา ประกอบการเรียนการสอน เพอ่ื เช่ือมโยงเข้าสู่การเรยี นรูใ้ นเนื้อหาสาระต่อไป
ขั้นสอน 5. ครูผู้สอนอธบิ ายความหมายและความสาคญั ของภาษาเพอื่ ส่ือสาร พร้อมยกตัวอย่างการสอื่ สารโดย ใชภ้ าษาไทย เพ่อื ให้เหมาะสมกบั กาลเทศะ บุคคลและโอกาส 6. ครบู อกองค์ประกอบของการส่ือสาร ประกอบด้วย 6.1. ผสู้ ่งสาร คือ ผ้ทู ีท่ าหน้าที่สง่ เรอื่ งราวต่างๆ ผา่ นส่ือไปยังผู้รับสาร 6.2. สาร คือ สาระหรอื เรื่องราวต่างๆ ทตี่ อ้ งการสื่อ 6.3. ผู้รบั สาร คอื บคุ คลเป้าหมายท่ที าหน้าที่รบั สาร 6.4. สอ่ื คือช่องทางทนี่ าสารจากผู้สง่ สารไปยังผู้รบั สาร ซึ่งมที ง้ั ส่ือมวลชน เช่น วิทยุ โทรทศั น์ หนงั สอื พมิ พ์ และส่อื เทคโนโลยหี รอื ระบบโทรคมนาคม เชน่ โทรศพั ท์ โทรสาร การสื่อสารผ่านดาวเทียม เป็นต้น 6.5 ปฏิกิรยิ าตอบกลบั คือการแสดงอาการรับรู้ เห็นดว้ ยไมเ่ หน็ ดว้ ย ต่อตา้ น แสดงปฏกิ ิรยิ าตอบโต้ 6.6 สภาพแวดล้อมทางสังคม 7. ครูแสดงแผนภมู อิ งคป์ ระกอบของการส่ือสารของมนุษย์ เพอื่ ส่ือให้ผูเ้ รียนเขา้ ใจได้ง่ายย่ิงขึน้ 8. ครูและผเู้ รยี นบอกประเภทของภาษาเพื่อส่อื สาร โดยการแบง่ ประเภทของภาษาในการส่ือสารตามวธิ ี แสดงออก สามารถแบง่ ภาษาออกเป็น ๒ ประเภท คือ 8.1. วจั นภาษา (Verbal Language) หมายถึง ภาษาที่ใชต้ วั อักษรเป็นสญั ลักษณ์ หรือภาษาพูด ที่ออกเสียงเป็นถ้อยคาหรือเป็นประโยคทีม่ ีความหมายเขา้ ใจได้ เชน่ คาพูดคาสนทนาทเ่ี ราใช้อยูโ่ ดยทว่ั ไป วจั นภาษา หรือภาษาถ้อยคาเปน็ ภาษาที่มนุษย์สรา้ งข้นึ อยา่ งมีระบบ มีหลกั เกณฑ์ทางภาษาหรอื ไวยากรณ์
8.2 อวัจนภาษา (Non-verbal Language) หมายถงึ ภาษาทีใ่ ช้ท่าทาง หรือ ภาษาท่ีไม่ออกเสียง เป็นถ้อยคา แตม่ ลี ักษณะในภาษาทแ่ี ฝงอยใู่ นถ้อยคาน้ัน เชน่ น้าเสยี ง การเนน้ เสียง จังหวะของการพูดและการหยุด พูด และหมายถงึ กริ ิยาท่าทาง การเคลื่อนไหว การใช้สหี น้าหรือสายตา และยังรวมไปถึงสอื่ อื่นๆ ทเี่ ขา้ มาเกี่ยวข้องใน การแปลความหมายของมนุษย์ 9. ครอู ธิบาย และให้ผ้เู รียนยกตวั อยา่ งระดับของภาษา โดยการแบ่งระดบั ของการใชภ้ าษาเพื่อส่ือสาร แบง่ ได้ เป็น ๓ ระดับ ดังน้ี 9.1. ภาษาระดบั ทางการ เปน็ ภาษาทมี่ ลี ักษณะเปน็ แบบแผนและมีมาตรฐานในการใช้ ได้แก่ ภาษาราชาการ ภาษาทางการศึกษา ราชาศัพท์ คาสุภาพ เป็นตน้ 9.2 ภาษาระดบั ก่ึงทางการ เป็นภาษาท่ีใช้อยา่ งไม่เปน็ แบบแผนหรือไม่เป็นพธิ รี ีตอง ได้แก่ คาท่ีใชใ้ นภาษา โฆษณา คาทใ่ี ช้ในภาษาสื่อมวลชน คาเฉพาะกลมุ่ เป็นตน้ 9.3. ภาษาระดบั ไม่เป็นทางการ เป็นภาษาที่ไมไ่ ด้มาตรฐาน ไม่คานึงถงึ ความถูกตอ้ งเหมาะสม ได้แก่ v คาตลาดหรอื ภาษาปาก เช่น ผัว เมีย รถมอไซค์ กินข้าว ในหลวง v คาภาษาถิน่ เชน่ มว่ นซ่นื แซบอีหลี หนั (หมนุ ) กระแป๋ง v คาสแลงหรอื คาคะนอง เชน่ เริ่ด กิ๊ก ฟิน ลัล้ ลา วืด มโน เงิบ มวา๊ ก v คาหยาบหรือคาตา่ ได้แก่ คาด่า คาสบถ คาหยาบคาย v คาโบราณทปี่ จั จบุ ันเลิกใช้แลว้ เชน่ เผอื เขอื ศีรษะแหวน 10 .ครแู ละผูเ้ รียนบอกข้อควรระวังในการใช้ภาษาเพื่อการส่อื สารในปัจจบุ นั 11. ครูและผู้เรยี นยกตัวอยา่ งประกอบข้อควรระวงั ในการใช้ภาษาเพื่อการสอ่ื สาร ดังนี้ 11.1. ใชค้ าให้ถกู ต้องตามความหมาย และยกตัวอย่างการใช้คาผิดความหมาย ดังนี้
11.2. การใชศ้ พั ทส์ านวนให้เหมาะสมกับกาลเทศะหรือโอกาส ตวั อยา่ งได้แก่ 11.3. การใชศ้ ัพทส์ านวนใหเ้ หมาะสมกบั ระดับฐานะบคุ คล ตวั อย่างเชน่ ประธานนักศึกษากาลงั หม่า ข้าวอย่ใู นห้องกจิ กรรม ตัวแทนผปู้ กครองกโ็ ซ้ยอยู่หลังห้องประชุม (หม่า แปลวา่ กิน ควรใช้กับเด็กเลก็ โซย้ แปลว่า กิน เปน็ คาสแลงใช้กันในกลมุ่ วยั รนุ่ ท้งั สองประโยคควรใช้คาวา่ รบั ประทาน จะเหมาะสมทส่ี ุด) 11.4. การใชค้ าสานวนภาษาตา่ งประเทศโดยไมจ่ าเป็น เช่น ตวั อย่างการใช้คาสานวนภาษาองั กฤษ ปะปนอยู่ในประโยคภาษาไทย 11.5. การใช้คาศัพทส์ แลง การใช้คาศพั ท์สแลงทาใหก้ ารสอื่ ความหมายไม่ชัดเจน เพราะคาสแลงจะ มีความหมายแฝง ไมต่ รงตามตวั อกั ษร ต้องอาศยั บรบิ ทในการตีความ ตวั อย่างศพั ท์แสลงไดแ้ ก่
11.6. การใช้คาต่างระดับ การใช้คาต่างระดับทาใหภ้ าษาไมช่ ัดเจน ไมส่ ละสลวยและบางกรณียงั ทาให้เกิด ความหมายขดั แย้งกันในประโยค ตัวอย่างเช่น +ผชู้ ายใจงา่ ยกว่าสตรี (ควรใช้คาว่า ผูห้ ญงิ ) +สุภาพสตรีดเู ข้มแขง็ ไม่แพ้ผู้ชาย (ควรใช้คาว่า สุภาพบรุ ุษ) +จงั หวัดกาญจนบุรมี สี ถานที่ให้เทีย่ วใหช้ มหลายแห่ง ลว้ นแลว้ แต่นา่ ศึกษา นา่ ทัศนา (ควรใช้คาว่า น่าดู ให้เปน็ ภาษาระดับเดยี วกับคาวา่ ชม) +เด็กคอ่ ยๆ วิ่งถลาไปหาแม่ (ควรใช้คาวา่ ว่ิงถลา เพราะคาว่าค่อยๆ แสดงความหมายวา่ ชา้ แต่คาว่า ถลา แสดงวา่ เรว็ ) 11.7. การใชค้ าฟุ่มเฟือยหรือซา้ ซาก ผใู้ ชภ้ าษาในการสอ่ื สารควรหลีกเลี่ยงการใชค้ าฟมุ่ เฟือยหรือ ซา้ ซากโดยไม่จาเป็น ตัวอย่างเชน่ พายคุ ร่าชีวิตชาวประมงตาย ควรใชค้ าว่าพายุครา่ ชีวิตชาวประมง ซึ่งความหมาย ชัดเจนอยู่แลว้ วา่ ชาวประมงตาย ฉะนนั้ ไม่ควรมสี ่วนขยาย ตาย ซา้ ซ้อนกนั อีก หรอื ที่ผานกแอน่ บนภูกระดึง ฉนั ประสบพบเหน็ ความสวยงามของพระอาทิตยย์ ามเชา้ ควรใช้คาวา่ ประสบ พบ หรือ เห็น เพยี งคาใดคาหน่งึ นน้ั เพราะ ทงั้ สามคามคี วามหมายเดียวกันทงั้ ส้ิน 11.8. การเว้นวรรคตอนท่ีถูกต้อง ในการสอื่ สารไมว่ ่าจะเป็นการพูดหรือการเขยี นกต็ าม ผูส้ ่งสารควรเอาใจใส่ กับการเว้นวรรคตอนใหม้ าก เพราะถ้าเว้นวรรคผิด ความหมายก็จะผดิ ไปดว้ ย เชน่
11.9 การวางคาขยายใหถ้ ูกท่ีการวางคาขยายให้ถูกท่ี จะชว่ ยใหเ้ ปน็ ประโยคมีความชัดเจน สอ่ื ความหมายได้ ถูกต้องและรวดเรว็ ได้แก่ 11.10. การใช้ประโยคทกี่ ะทัดรดั ชดั เจน ผ้ใู ช้ภาษาในการสื่อสารควรหลกี เลย่ี งประโยคยาวๆ โดยไมจ่ าเปน็ ตวั อย่างเช่น 11.11. การใช้ประโยคท่ีสละสลวย ในการสอื่ สารถา้ ผู้สง่ สารรจู้ กั เลอื กเฟน้ ถ้อยคาก็จะทาใหผ้ รู้ ับ สารเขา้ ใจและเกดิ จินตภาพตามข้อความนัน้ ๆ ได้ การผูกประโยคที่สละสลวยอาจต้องใช้วธิ ีขดั ความหรือขนานความมา ชว่ ยการขัดความ คือ การยกข้อความสองขอ้ ความข้ึนเทยี บกัน โดยให้มีใจความถ่วงกัน คือ มีช่ังน้าหนกั ของข้อความท้ังสองข้างเทา่ ๆ กนั เช่น
11.12. การใชค้ ากากวม ถ้าผู้สง่ สารใชค้ ากากวมจะทาให้ผรู้ ับสารเข้าใจไม่ตรงกนั เพราะผูร้ ับสารสามารถ ตคี วามไดห้ ลายแง่หลายมมุ 12.ครูเปิดดวี ที ัศน์ประกอบการสอนเรือ่ งการใช้ภาษาไทยเพื่อส่ือสารในงานอาชีพ 13.ครูผูส้ อนเน้นใหผ้ ู้เรียนไดใ้ ห้ความสาคญั ในการใชภ้ าษาไทยเพ่ือสอ่ื สารในงานอาชีพมาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ ยิ่งขน้ึ โดยนา รูปภาพประกอบ และฉายวดิ ีทัศน์เกีย่ วกบั “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” และยดึ หลกั “ทางสายกลาง” ทีต่ อ้ ง ประชาชนชาวไทยกาลงั ปลูกฝังใหเ้ กิดกบั ชนทุกชน้ั ในปัจจุบันมาใชใ้ ห้เกิดประสิทธภิ าพกบั การดารงชีวติ อยา่ งท่ัวถงึ เศรษฐกจิ พอเพียง (Sufficiency Economy) เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงมีพระราชดารสั ช้ีแนะแนวทางการดาเนินชีวิตแกพ่ สกนกิ รชาวไทยมาโดยตลอด ไดท้ รงเน้นยา้ แนวทางการแกไ้ ขเพ่ือให้รอดพน้ และ ดารงอยู่ได้อย่างมนั่ คงและย่งั ยนื ภายใตก้ ระแสแห่งความเปล่ยี นแปลงต่างๆซึง่ สามารถสรุปไดด้ งั น้ี 1)ความพอเพยี ง คือรู้จักพอประมาณ พออยู่ พอมี พอกนิ พอใช้ ประหยดั และไมเ่ บยี ดเบยี นผอู้ ื่น 2) ความมเี หตุผล คือ ตดั สินใจกระทาส่ิงต่างๆ เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความพอเพียงต้องใชเ้ หตุผล และพิจารณา ด้วยความรอบคอบ 3) การมีภูมิคมุ้ กันทด่ี ี คือ เตรียมใจให้พร้อมรับผลกระทบและความเปล่ียนแปลงทจี่ ะเกดิ ขนึ้ ใน อนาคต คือ ทาใหเ้ ข้มแขง็ เข้มแข็งทางการเงนิ ก็คือครอบครวั ตอ้ งมเี งนิ ออม ไม่ใชม่ หี น้ี ถา้ มีหนีก้ ็คอื เปน็ เร่ืองของ ความอ่อนแอ แต่ถา้ มีเงนิ ออมมากก็เป็นเรอื่ งของความเข้มแขง็ โดยมีเง่ือนไขสาคญั คือเร่ืองคณุ ธรรม เพราะการทีโ่ กง เอาเงนิ ไปใชแ้ ลว้ กป็ ระสบความสุข ความร่ารวยซงึ่ ผดิ กบั หลักการดงั กลา่ ว เพราะผิดเง่ือนไข คือ เร่อื งคณุ ธรรม โรงเรยี นไหนจะเอาปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพยี งไปใช้ จะตอ้ งสร้างคณุ ธรรมในโรงเรียนก่อน ตงั้ แตผ่ ้บู รหิ าร ครู นักเรยี น และบคุ ลากรทุกคนต้องมีคุณธรรม
4) การมีความรู้ คือ นาความรู้มาใช้ในการวางแผนและดาเนินชีวิต 5) การมีคุณธรรม คือ มีความซอื่ สตั ยส์ ุจรติ สามคั คี และชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกนั 14. หลังจากท่ีดวู ิดีทศั น์เรยี บรอ้ ยแล้ว ครผู สู้ อนให้ผ้เู รยี นสรปุ ใจความสาคญั และรว่ มกันแสดงความคิดเห็นใน การทาบญั ชคี รัวเรือน ซ่ึงเป็นสว่ นหนง่ึ ของกระบวนการเรยี นรู้ การศกึ ษา การฝึกตน เพื่อใหเ้ กิดการปฏบิ ตั ิพัฒนา ความรู้ ความคิด และการปฏิบตั ทิ ี่ถูกต้อง กอ่ ให้เกิดความเจริญในดา้ นอาชีพหรอื เศรษฐกิจ สงั คม และวัฒนธรรม ซ่ึง การทาบญั ชคี รัวเรือนเป็นเรอ่ื งการบันทึกรายรับรายจ่ายประจาวัน/เดอื น/ปี วา่ มีรายรับรายจ่ายจากอะไรบา้ ง จานวน เท่าใด รายการใดจ่ายนอ้ ยจ่ายมาก จาเป็นน้อยจาเป็นมาก กอ็ าจลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามความจาเปน็ ถ้าทุกคนคิดได้ก็ แสดงว่าเป็นคนรู้จักพัฒนาตนเอง มีเหตุมีผล รจู้ ักพอประมาณ รักตนเอง รักครอบครัว รกั ชุมชน และรกั ประเทศชาติ มากขน้ึ จงึ เห็นได้วา่ การทาบัญชคี รัวเรอื น คอื วถิ ีแหง่ การเรียนรเู้ พื่อพฒั นาชีวิตตามปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง บญั ชีครัวเรือน ไม่ได้หมายถึงการทาบัญชหี รือบนั ทึกรายรับรายจ่ายประจาวันเทา่ นน้ั แต่อาจหมายถึงการ บันทกึ ข้อมูลด้านอนื่ ๆ ในชีวิต ในครอบครัว เช่น บัญชที รพั ยส์ ิน พนั ธ์พุ ืช ในครอบครัวหรือชมุ ชน บัญชคี วามรู้ความคิด ของแต่ละบุคคล บัญชผี ู้ทรงคุณวุฒ/ิ ผรู้ ูใ้ นชุมชน บญั ชภี ูมิปัญญาตา่ งๆ เป็นต้น สงิ่ หรือเร่ืองราวต่างๆ ในชีวิตของทุกคน สามารถจดบันทึกได้ทกุ เร่ือง หากทกุ คนทาได้กจ็ ะเปน็ ประโยชน์อยา่ งมาก เพราะทุกคนจะเป็นคนเรยี นรู้/ครอบครัว เรยี นร/ู้ ชุมชนเรียนรูแ้ ละประเทศเรียนรู้ การเรยี นรู้เปน็ ท่ีมาของปญั ญา ปัญญาเป็นทม่ี าของความเจริญทง้ั กาย สังคม ใจ และจติ วิญญาณของมนุษย์ 9. ให้นักเรยี นบันทกึ รายรับ-รายจา่ ยในครวั เรอื นของตนเองในภาคเรยี นนี้ตามแบบฟอรม์ ที่กาหนดให้
สมุดบันทึก รายรับ-รายจ่าย ในครัวเรือน ของนาย/นาง/นางสาว....................................................... ประจาภาคเรยี นที่.../........ระหวา่ งเดอื น..................ถึงเดือน................พ.ศ ........... วนั เดอื น รายการ รายรับ รายจา่ ย คงเหลือ ปี หมายเหตุ ถ้าไม่พอใหใ้ ช้กระดาษ A-4 ตีแบบฟอร์มเพ่มิ เตมิ ได้ 15. ใหผ้ เู้ รียนปฏบิ ัตกิ ิจกรรม โดยพิจารณาข้อบกพร่องในการใชภ้ าษา บอกข้อบกพร่อง และแก้ไขใหถ้ ูกต้อง ดงั น้ี 1) ปจั จบุ ันน้ีภาษาไทยมคี วามเสอ่ื มขนึ้ มาก 2) สตรีก็มีท่าทางเข้มแข็ง และเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองไม่แพผ้ ชู้ าย 3) อาหารในร้านน้ี นา่ ทานทง้ั นัน้ 4) ผมหวงั วา่ อาจารยจ์ ะกรุณาสง่ หนงั สอื มาใหผ้ ม และหวังว่าจะไมเ่ บยี้ ว 5) คุณลงุ จะต้องเดนิ ทางไปราชการยงั โคราช 6) หากคนรนุ่ กอ่ นไม่พยายามรกั ษาวัตถุสถานนั้นไวแ้ ลว้ พวกเรากค็ งไม่มีโอกาสไดเ้ ห็นหรือได้ศกึ ษา มันเลย 7) ท่ีหน้าผาแหง่ น้ีคลาคลา่ เต็มไปดว้ ยผู้คนท่ีพากนั ไปน่ังเฝา้ ชมพระอาทติ ย์ข้ึน 8) เขาไปทาบญุ แลว้ มิหนาซ้ายงั ฟงั เทศนด์ ว้ ย 9) พอหวั ถงึ หมอน ขา้ พเจา้ ก็นอนหลบั ปางตายทีเดียว 10) ฉันมองออกไปยังท้องทงุ่ อันกวา้ งใหญ่ มถี นนโรยกรวดแคบๆ 16. แบ่งกลมุ่ ผเู้ รยี นตามความเหมาะสม แตล่ ะกลุม่ เลือกใชอ้ วัจนภาษามาแสดงหน้าช้ันเรยี นโดยใหเ้ พ่อื นๆ กล่มุ อ่นื ตีความว่าอวจั นภาษาทแ่ี สดงน้นั มีความหมายอย่างไร
ข้นั สรปุ และการประยุกต์ 17. ครแู ละผู้เรยี นสรุปสาระสาคญั การใชภ้ าษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชีพอยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ผู้ใชภ้ าษา จาเปน็ ตอ้ งเลือกใช้ประเภทของภาษา ระดับภาษา การใช้คาและสานวนภาษาให้ถูกต้อง/เหมาะสมกับสถานการณแ์ ละ โอกาสท่ใี ช้ 18. ผูเ้ รยี นนาบทความเรื่องเศรษฐกจิ พอเพยี งมาสรุปใจความสาคญั และสามารถนาไปประยุกต์ใชใ้ น ชวี ิตประจาวนั ทีจ่ าเปน็ โดยทัว่ ไป ซึ่งทุกคนจะพบเหน็ เสมอจากการดาเนนิ ชีวติ 19. ผ้เู รียนสรุปการใช้ภาษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชีพ และการดสู ือ่ เปน็ กระบวนการรับสารซงึ่ ตอ้ งใช้ ปัญญาและเหตผุ ลในการพจิ ารณาสารอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในยคุ ปจั จุบนั ซ่ึงส่ือตา่ ง ๆ มีบทบาท สาคญั ตอ่ การดาเนนิ ชวี ิต ทง้ั ให้ความร้แู ละเพ่มิ ความคดิ เพลิดเพลินจติ และสรา้ งความจรรโลงใจ เสริมสร้างโลกทัศน์ ใหก้ ว้างไกลและใช้พัฒนาตนเองและสังคม ซึง่ จะทาใหเ้ ราสามารถเข้าใจตนเอง และบุคคลอน่ื ได้ดีและปรบั ตัวให้อยใู่ น สงั คมได้อย่างมคี วามสุขไม่สร้างปญั หาให้เปน็ ภาระสังคม ดาเนินชวี ิตอย่างมีคุณคา่ ทาประโยชนใ์ ห้กบั ตนเอง ครอบครวั และประเทศชาติต่อไปอยา่ งเต็มท่ี 20 .ผเู้ รียนทาแบบประเมินผลการเรยี นรู้ กิจกรรมส่งเสริมการเรยี นรู้ และกจิ กรรมเสนอแนะ 21. สรปุ ความรู้ท่วั ไปโดยการถาม-ตอบ เพ่ือประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันและประเมินผู้เรยี นตามแบบฟอร์ม ต่อไปนี้ ชอื่ ผ้เู รยี น ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น วิธกี ารเรียนรู้ ความสนใจ สตปิ ัญญา วุฒิภาวะ 1. 2. 3.
ชอื่ ผูเ้ รยี น แบบประเมินประสบการพ้ืนฐานการเรียนรู้ วธิ ีการเรียนรู้ ประสบการณ์พ้นื ฐานการเรยี นรู้ 1. 2. ความรู้ ทักษะ ผลงาน 3. แบบวเิ คราะหผ์ เู้ รยี นเป็นรายกลุ่มตามวิธีการเรยี นรู้ กลุ่มจนิ ตนาการ กลมุ่ คิดวิเคราะห์ กล่มุ สามญั สานึก กลุ่มปฏิบัติ 1. 2. 1. 1. 1. 3. 4. 2. 2. 2. 3. 3. 3. 4. 4. 4.
กลมุ่ ศกั ยภาพ แบบวิเคราะหผ์ เู้ รียนเปน็ รายกล่มุ ตามศกั ยภาพผู้เรียน 1. เหตุผล รายช่อื ผเู้ รยี น 2. ภาษา 3. ศลิ ปะ 1. 2. 3. 4. มิติสมั พันธ์ 1. 2. 3. 5. ดนตรี 1. 2. 3. 6. มนษุ ยสัมพนั ธ์ 1. 2. 3. 7. เข้าใจตนเอง เขา้ ใจชวี ติ .1 2. 3. 8. ธรรมชาตแิ ละส่ิงแวดลอ้ ม 1. 2. 3. 1. 2. 3. 1. 2. 3. สอ่ื และแหล่งการเรียนรู้ 1. หนงั สอื เรียน วิชาภาษาไทยเพื่อสื่อสารในงานอาชีพ ของสานกั พิมพเ์ อมพันธ์ 2. สอื่ คอมพวิ เตอร์ Power Point 3.กิจกรรมการเรยี นการสอน 4..รูปภาพประกอบ การวดั ผลและการประเมินผล วิธวี ดั ผล 1. สังเกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. ประเมนิ พฤติกรรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤติกรรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกล่มุ 4. การสังเกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จริยธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
เครอื่ งมือวัดผล 1.แบบสงั เกตพฤติกรรมการปฏิบตั งิ านรายบุคคล 2.แบบประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม 3.แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครูและผูเ้ รยี นรว่ มกันประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ ผล 1.เกณฑ์ผา่ นการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ 2.เกณฑผ์ ่านการประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม คอื ปานกลาง (50 % ขึ้นไป) 3.เกณฑ์ผา่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุม่ คือ ปานกลาง (50% ขึ้นไป) 4.แบบประเมินคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ กจิ กรรมเสนอแนะ 1. ทากจิ กรรมสง่ เสริมการเรียนรู้ กจิ กรรมเสนอแนะ และแบบประเมินผลการเรียนรู้ 2. ผู้เรยี นฝกึ ทักษะการใช้ภาษาไทยเพอ่ื ส่ือสารในงานอาชพี โดยฟงั ข่าวสารจากขา่ วเศรษฐกจิ โทรทัศน์ จด บนั ทึกเรือ่ งทสี่ นใจแล้วนามาเลา่ ใหเ้ พือ่ นรว่ มช้นั เรยี นฟงั หน้าห้องเรียน 3. ผเู้ รียนดูภาพยนตรเ์ รอื่ งสน้ั เก่ียวกบั การใช้ภาษาไทยเพ่ืองานอาชีพ 1 เรือ่ ง แล้วสรปุ ใจความสาคญั ที่ไดจ้ าก เร่อื ง และประโยชนท์ จี่ ะนาไปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั 4 .ผเู้ รยี นสรุปใจความสาคัญจากการอา่ นหรอื ดูขา่ วสารจากแหล่งส่อื สารทั่วไปแลว้ สรุปสาระสาคัญเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียงจากการอ่านหรือดูจากเนื้อหานัน้ ๆ
บันทกึ หลงั การสอน 1. ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... 2. ผลการเรียนของนักเรียน/ผลการสอนของคร/ู ปัญหาที่พบ ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... 3. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................ (นางสาวสุรยี พ์ ร บญุ นา้ ชู) ตาแหนง่ ครู
24 แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 2 หนว่ ยที่ 2 ชอื่ วิชา ภาษาไทยเพื่อสอ่ื สารในงานอาชีพ รหัส 3000–1101 เวลาเรยี นรวม 54 คาบ ( 3-0-3 ) ชอื่ หน่วย การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และประเมินคา่ สารใน สอนครงั้ ท่ี 2 (4–6) ชวี ติ ประจาวนั และงานอาชพี จากสอ่ื ตา่ งๆ ชอื่ เรื่อง การวเิ คราะห์ การสังเคราะห์และประเมนิ ค่าสารในชีวิตประจาวันและงานอาชีพ จานวน 3 คาบ จากส่ือตา่ งๆ แนวคิดสาคญั การวเิ คราะห์ การสงั เคราะหแ์ ละประเมนิ คา่ สารในชีวติ ประจาวนั และงานอาชีพจากสื่อต่างๆ โดยใชท้ กั ษะ การฟัง การดู และการอ่านเป็นสิ่งจาเป็นในการดาเนินชีวิตและในการประกอบอาชีพ เพราะจะทาให้ผู้อ่านสามารถ เข้าใจจุดมุ่งหมายหรือสาระสาคัญของสารได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทาให้สามารถนาความรู้ ความคิดที่ได้จากสาร ไปใชป้ ระโยชน์อย่างมปี ระสิทธิภาพ สมรรถนะย่อย วเิ คราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าสารในชีวิตประจาวันและงานอาชีพจากส่ือประเภทต่างๆ และนาเสนอ ข้อมูลตามหลักการ จุดประสงค์การปฏิบตั ิ ด้านความรูแ้ ละทักษะ 1. อธบิ ายความหมายและข้ันตอนในการวิเคราะห์ การสงั เคราะหส์ ารได้ 2. บอกหลกั การอา่ นขา่ ว บทความ โฆษณาจากสื่อต่างๆ และขั้นตอนในการวิเคราะหส์ ารได้ 3. บอกประเภทของสารในชวี ติ ประจาวันและงานอาชพี 4. มีการพัฒนาคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้สาเร็จการศึกษาด้าน คุณธรรม จรยิ ธรรม/บูรณาการปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา ทคี่ รูสามารถสังเกตได้ขณะทาการสอนในเรื่อง 4.1 ความมีมนุษยสัมพนั ธ์ 4.6 การประหยัด 4.2 ความมีวนิ ัย 4.7 ความสนใจใฝ่รู้ 4.3 ความรับผิดชอบ 4.8 การละเว้นสิ่งเสพตดิ และการพนัน 4.4 ความซือ่ สัตย์สจุ ริต 4.9 ความรักสามคั คี 4.5 ความเช่ือมั่นในตนเอง 4.10 ความกตัญญูกตเวที
เนอื้ หาสาระ 1.การวเิ คราะห์ การสงั เคราะห์และประเมินค่าสารในชวี ติ ประจาวันและงานอาชีพ 2.หลักการอ่านข่าว บทความ โฆษณาจากส่ือตา่ งๆ 3.ขน้ั ตอนในการวเิ คราะห์สาร 4.ประเภทของสารในชีวิตประจาวันและงานอาชีพ กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นาเขา้ สบู่ ทเรียน 1. ครูสนทนากบั ผเู้ รียนกลา่ วถึงการวิเคราะห์และการสังเคราะห์สาร จึงหมายถึง การทผี่ ู้รบั สารสามารถ รบั สารอย่างใคร่ครวญไตร่ตรอง พินจิ พจิ ารณา สามารถนาสาระสาคัญและความรคู้ วามคดิ ท่ไี ด้จากสารนัน้ ไปใช้ ประโยชน์ได้ 2. ผ้เู รยี นยกตัวอยา่ งสารในชีวติ ประจาวนั หมายถึง เรื่องราว ขอ้ มลู ตา่ งๆ ทีม่ นษุ ย์ใช้ตดิ ต่อถงึ กนั ใน ชีวิตประจาวัน เช่น การพบปะสนทนา การเผยแพรค่ วามรู้ การปฏิบัตภิ ารกิจตา่ งๆ รวมถงึ สารทมี่ งุ่ ให้ความ บันเทงิ 3. ครูกลา่ วเพ่ิมเติมเรื่องสารในงานอาชพี หมายถงึ สารทม่ี เี น้อื หาเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพตา่ งๆ ผรู้ บั สารสามารถพจิ ารณาได้ตามความถนัด ความสนใจในงานอาชีพของตน ซงึ่ สารเหลา่ นจ้ี ะชว่ ยใหผ้ อู้ ่านมี ความรอบร้ใู นงานอาชีพ ทราบขา่ วคราวทท่ี นั สมยั ในสายอาชพี ชว่ ยพัฒนาความรูค้ วามสามารถในงาน อาชีพให้มปี ระสิทธภิ าพ และดว้ ยมุมมองทที่ ันสมัยน้ี ทาใหเ้ ป็นผมู้ องการณไ์ กล และมีวิสยั ทัศนท์ ี่กว้างใน งานอาชพี ขนั้ สอน 4.ครูอธิบายการวเิ คราะห์ การสังเคราะห์และประเมนิ คา่ สารในชวี ิตประจาวนั และงานอาชพี โดยปจั จบุ ัน ถือเปน็ ยุคข้อมลู ขา่ วสาร มีข้อมูลข่าวสารต่างๆ เผยแพร่สู่ผ้อู า่ นผ้ฟู ังตลอดเวลา ผ้รู บั สารจึงควรเป็นผมู้ ีความรอบร้ใู น ข้อมูลข่าวสารตา่ งๆ มคี วามสามารถทางการใช้ภาษาทจ่ี ะช่วยใหส้ ามารถวิเคราะหส์ ารได้อยา่ งรวดเร็วและถูกต้องส่งผล ให้ผรู้ บั สารสามารถเลอื กรับสารที่มีประโยชนต์ อ่ ตนเองและงานอาชพี ของตนได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ มิฉะน้ันอาจตก เป็นเหยอื่ เป็นผเู้ สยี เปรียบ หรอื ถกู กระทา เช่น การหลอกลวงใหร้ ่วมธรุ กจิ แชร์ลูกโซ่และการขายสินค้าละเมิด สทิ ธบิ ัตร แตส่ งิ่ ทีผ่ อู้ า่ นจะต้องคานงึ ในการอา่ นอยู่เสมอคือจะตอ้ งอา่ นให้ไดร้ ับประโยชน์คุ้มค่ากับเวลาและทรัพย์ท่เี สีย ไป
5.ครแู ละผูเ้ รียนอธิบายหลกั การอ่านข่าว บทความ โฆษณาจากสือ่ ตา่ งๆ มีดงั นี้ 5.1. กาหนดจดุ มุ่งหมายว่าอ่านเพ่ืออะไร 5.2. ศึกษาส่วนประกอบตามประเภทของสารที่อ่าน เช่น 5.3. ทาใจให้เป็นกลาง ปราศจากอคติ จะชว่ ยให้ได้ขอ้ มูลที่ถูกต้องไมเ่ กิดขอ้ ผิดพลาด 5.4. อ่านขอ้ มลู อยา่ งละเอยี ด เพื่อจบั ประเด็นสาคัญหรอื สาระสาคญั ของเร่ือง 5.5. แยกแยะข้อเท็จจริงและขอ้ คิดเห็น ตอ้ งแยกแยะได้ว่าส่วนใดเปน็ ข้อเทจ็ จริง ข้อคิดเห็นหรือข้อความ แสดงอารมณ์ความรูส้ ึกของผเู้ ขยี น 5.6. ทราบความหมายและจุดม่งุ หมายในการเขยี น หากเปน็ สารในงานอาชีพ ต้องทราบ ความหมายของศพั ท์ทีใ่ ช้ในงานอาชีพ และต้องทราบจุดมุ่งหมายในการเขียนของผ้เู ขียนวา่ ตอ้ งการจะบอกอะไรแก่ ผอู้ ่าน สามารถสรปุ คุณคา่ ที่ได้จากสารที่อา่ น เกดิ ความคิดสร้างสรรค์ อนั เกดิ จากความคิดแทรกความคิดเสรมิ นา ความรูค้ วามคิดทไี่ ด้ไปประยุกตใ์ ช้ใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเองและงานอาชพี ตัวอยา่ ง สว่ นประกอบของบทความ
6. ครูและผเู้ รียนชว่ ยกันอธิบายขัน้ ตอนในการวเิ คราะหส์ าร มกี ารนาสารที่อ่านมาแยกเปน็ สว่ นๆ โดย พิจารณาถงึ ส่ิงต่อไปน้ี 6.1. รูปแบบการประพนั ธ์ ผ้วู เิ คราะหต์ ้องพิจารณาวา่ สารที่ตนวิเคราะห์น้ันมรี ปู แบบการเขียนอย่างไร เป็นรอ้ ย แกว้ เชน่ บทความ นวนยิ าย ข่าว ข้อความโฆษณา เร่อื งสนั้ ฯลฯ หรือเป็นร้อยกรองชนิดใด เชน่ กลอน โคลง ฉันท์ กาพย์ ร่าย ฯลฯ 6.2. เนื้อเรอ่ื ง ผวู้ เิ คราะห์ต้องแยกแยะให้ไดว้ ่าสารนั้นกลา่ วถึงใคร ทาอะไร ที่ไหน เมอื่ ใด ทาไม อย่างไร 6.3. สานวนภาษาและการใช้ถ้อยคา ผู้วเิ คราะหส์ ามารถแยกแยะได้ว่าภาษาที่ผเู้ ขียนใชเ้ ป็นภาษาแบบใด ภาษา ทางการ ภาษากึง่ ทางการ ทัง้ น้ีสานวนภาษาและถ้อยคาท่ใี ช้ย่อมสัมพันธก์ ับรปู แบบในการเขียน เช่น บทความ วิเคราะห์ขา่ วมักใช้ภาษากึง่ ทางการ ถา้ เปน็ บทความทอ่ งเที่ยวอาจใชภ้ าษาพูดปนดว้ ยเพื่อความเป็นกนั เองกับผู้อ่าน หรอื ข้อความโฆษณามักใช้ภาษาทม่ี ีคาสแลงปะปน เพ่ือความทันสมัย เร้าใจ ชวนจดจา เปน็ ต้น 6.4. กลวธิ กี ารนาเสนอ เปน็ สง่ิ ทผี่ วู้ ิเคราะหจ์ ะสามารถพจิ ารณากลวธิ ใี นการนาเสนอสารวา่ ทาใหเ้ ร่ืองทอ่ี า่ น นา่ สนใจอยา่ งไร เช่น โฆษณาอาจมีภาพประกอบ การนาเพลงท่นี ิยมในขณะน้นั มาขึ้นตน้ บทความทจ่ี ะเขยี น หรือการ เขยี นข่าวอาจพาดหวั ขา่ วอย่างตน่ื เตน้ แตพ่ ออา่ นเน้ือขา่ วแลว้ กลบั ไมม่ ขี ้อมลู อะไรทน่ี ่าสนใจ เป็นตน้ 7. ครูและผเู้ รียนชว่ ยกันวเิ คราะหบ์ ทความเรอ่ื งอยู่กบั เทคโนโลยี ดังตอ่ ไปน้ี 7.1. เรื่องอยกู่ บั เทคโนโลยี เปน็ สารท่ีมรี ปู แบบร้อยแก้ว ประเภทบทความ 7.2. เขยี นโดยเพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง อยใู่ นคอลมั น์ โลกหมุนเรว็ ในวารสารมติชนสุดสัปดาหฉ์ บับประจาวนั ที่ 9-15 มกราคม 2558 ปที ี่ ๓๕ ฉบบั ที่ 1795 หน้า 42 7.3. เนอ้ื เรอ่ื งกลา่ วถึงบทความหรอื ความจาเป็นของเทคโนโลยีท่ีมตี ่อคน โดยยกตัวอยา่ งว่าแม้กระท่ังเด็กท่ีจะ เขา้ มาทางานบ้าน แทนทจ่ี ะถามเจ้าของบ้านว่าจะให้นอนห้องไหน กลบั ถามวา่ มีไวไฟหรือเปล่า รู้วา่ ต้องพิมพพ์ าสเวิรด์ ลงในมือถือจึงจะใชส้ มาร์ตโฟนได้ผู้เขียนกล่าวถึงยอดการใชส้ มาร์ตโฟนของคนไทยจาก 25% เพม่ิ เป็น 28% และคาด การว่าจะเพ่มิ เปน็ 50% ของจานวนประชากร ซง่ึ รวมทงั้ มารดาของผเู้ ขยี นวยั 87 ปดี ้วยผเู้ ขียนตัง้ ข้อสังเกตวา่ โฆษณา สนิ ค้า โฆษณาบริการ เชน่ E-Banking และส่ิงพมิ พต์ ่างๆ ต่างทราบวา่ ถ้าต้องการเขา้ ถึงกลุ่มผู้บรโิ ภคก็ตอ้ งใชส้ ื่อ ออนไลน์ 7.4. ผเู้ ขยี นใช้สานวนภาษาที่เขา้ ใจง่าย ใชศ้ ัพท์ทางเทคโนโลยเี พื่อใหง้ ่ายแก่การอธิบาย ใช้คาใน ลักษณะคาเสริมสร้อย เชน่ ชานิชานาญ ใช้คาอยา่ งไม่เป็นทางการ เช่น แมห่ นทู างานบา้ นคนใหม่ 7.5 กลวธิ ีนาเสนอ นาเสนอข้อมูลเรียงตามลาดบั เวลา เพิม่ ความนา่ สนใจขึ้นเร่ือยๆ เล่าเรือ่ งอย่างชวนติดตาม 7.6 ความคดิ แทรกความคิดเสริม ขณะทอี่ ่านงานเขยี น ผอู้ ่านก็มีความรูส้ ึกมสี ว่ นร่วมกับเร่ืองที่เล่าและยังเป็น คนหนึ่งในจานวน 28% ทีใ่ ช้สมาร์ตโฟน สว่ นความคดิ เสริมก็คิดว่าคงใชส้ มารต์ โฟนเครื่องท่ีใช้อยู่ในปจั จบุ ันจนถึงยุคท่ี เปล่ียนไปใชน้ าฬิกาแทนมอื ถือ 8.ครูและผเู้ รียนบอกประเภทของสารในชีวติ ประจาวันและงานอาชพี โดยปัจจบุ ันการนาเสนอสารในงานอาชีพ เพอ่ื ใหผ้ ้รู ับสารไดฟ้ ังเสียง ดภู าพ และอ่านข้อความควบคู่กันไปพร้อมๆ กนั น้นั จดั เป็นกระบวนการเสนอสารทไี่ ด้รบั
ความนยิ มเปน็ อย่างยิ่ง เพราะทาให้การเสนอสารบรรลวุ ตั ถุประสงค์ กล่าวคือ ผู้สง่ สารสามารถสง่ สารไปยัง กลมุ่ เปา้ หมายได้ตรงตามวัตถุประสงคช์ ัดเจน และรวดเรว็ ในขณะทผ่ี รู้ บั สารกส็ ามารถรบั รเู้ รอื่ งราวตา่ งๆ ไดอ้ ยา่ ง ถูกต้องและรวดเร็ว ซงึ่ ประเภทของสารท่ีใช้ในการฟัง การดู และการอ่าน มดี ังน้ี 8.1. สารทีใ่ หค้ วามรู้ ไดแ้ ก่ สารทีเ่ ป็นเรือ่ งราวทางวิชาการและวชิ าชพี 8.2. สารทีโ่ น้มนา้ วใจ ได้แก่ สารท่ีนาเสนอในรปู ของโฆษณา ประชาสมั พันธ์ การหาเสยี ง 8.3. สารทจี่ รรโลงใจ ไดแ้ ก่ สารทน่ี าเสนอเปน็ บทสนุ ทรพจน์ บทเพลง นทิ าน เร่อื งสน้ั สภุ าษติ นวนิยาย ข้นั สรปุ และการประยุกต์ 9. สรุปโดยการถามและตอบเก่ียวกับเรือ่ งดังตอ่ ไปนี้ 9.1.การวิเคราะห์ การสงั เคราะหแ์ ละประเมินคา่ สารในชีวิตประจาวันและงานอาชีพ 9.2.หลักการอ่านขา่ ว บทความ โฆษณาจากสอื่ ตา่ งๆ 9.3 ข้นั ตอนในการวเิ คราะห์สาร 9.4.ประเภทของสารในชวี ติ ประจาวนั และงานอาชพี เพอ่ื ประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวันและประเมนิ ผ้เู รยี นตามแบบฟอรม์ ต่อไปนี้ ช่อื ผ้เู รียน ประสบการณ์พื้นฐานการเรยี นรู้ วธิ ีการเรียนรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4. 5. สอื่ และแหล่งการเรยี นรู้ 1.หนังสือเรยี น วิชาภาษาไทยเพ่อื สื่อสารในงานอาชีพ ของสานักพิมพเ์ อมพนั ธ์ 2.รูปภาพ 3.กจิ กรรมการเรียนการสอน 4.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้
การวัดและประเมินผล วิธีวัดผล 1. สังเกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. ประเมินพฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลมุ่ 3. ตรวจกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ 4. ตรวจกิจกรรม 5. ตรวจแบบประเมินผลการเรียนรู้ 6. การสงั เกตและประเมนิ พฤติกรรมด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ เคร่ืองมือวัดผล 1. แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล 2. แบบประเมินพฤตกิ รรมการเข้ารว่ มกิจกรรมกลมุ่ 3. แบบประเมินกิจกรรมสง่ เสรมิ การเรียนรู้ 4. แบบประเมินกจิ กรรม 5. แบบประเมินผลการเรยี นรู้ 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รยี นร่วมกนั ประเมนิ เกณฑ์การประเมินผล 1. เกณฑผ์ า่ นการสังเกตพฤติกรรมรายบุคคล ต้องไมม่ ีชอ่ งปรับปรงุ 2. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤติกรรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม คือ ปานกลาง (50 % ข้ึนไป) 3. เกณฑ์ผา่ นการสงั เกตพฤติกรรมการเขา้ รว่ มกิจกรรมกลุม่ คือ ปานกลาง (50% ข้นึ ไป) 4. ตอบคาถามในกจิ กรรมส่งเสริมการเรยี นร้จู ึงจะถือวา่ ผา่ น เกณฑ์การประเมิน มเี กณฑ์ 4 ระดับ คือ 4= ดมี าก, 3 = ดี, 2 = พอใช้, 1= ควรปรับปรุง 5. กจิ กรรม เกณฑ์ผา่ น คือ 50% 6. แบบประเมินผลการเรียนรมู้ เี กณฑผ์ ่าน 50% 7 แบบประเมินคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ คะแนนข้ึนอยู่กับการ ประเมินตามสภาพจรงิ
กจิ กรรมเสนอแนะ ให้ผู้เรียนฝกึ พูดดงั หัวขอ้ ต่อไปน้ี 1.การวิเคราะห์ การสงั เคราะห์และประเมินคา่ สารในชีวติ ประจาวนั และงานอาชีพ 2.หลกั การอา่ นข่าว บทความ โฆษณาจากสือ่ ตา่ งๆ 3.ข้นั ตอนในการวิเคราะหส์ าร 4.ประเภทของสารในชวี ิตประจาวนั และงานอาชพี
บันทึกหลังการสอน 1. ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... 2. ผลการเรียนของนักเรียน/ผลการสอนของคร/ู ปัญหาท่พี บ ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... 3. แนวทางการแกป้ ัญหา ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................................................................... ....................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................................................................... ลงชื่อ................................................................ (นางสาวสุรยี ์พร บุญนา้ ชู) ตาแหนง่ ครู
Search
Read the Text Version
- 1 - 36
Pages: