บทท่ี 2 เอกสารและงานทีเ่ กีย่ วขอ้ ง จากการศึกษาโครงงานสมุนไพรชาข่า เป็นการนาโครงงานที่นาข่ามาแปรรูปเป็นชาโดยการปั่น และอบแหง้ มีวัตถปุ ระสงค์ เพือ่ นาสมุนไพรมาแปรรูปให้เป็นเครือ่ งดืม่ บารงุ สขุ ภาพได้ เป็นการ เพ่ิมมลู ค่า สมุนไพรในครัวเรือน และสร้างรายได้เป็นอาชีพเสริมและต่อยอดธุรกิจได้ คณะผู้จัดทาโครงงานสืบค้น ขอ้ มูลจากแหล่งเรียนรู้ ตา่ ง ๆ ซงึ่ มีเอกสารประกอบการศึกษา ดังต่อไปนี้ 1.ความสาคญั ของพืชสมุนไพร 2.ความสาคญั ในด้านเศรษฐกจิ 3.แนวทางในการพฒั นาสมุนไพร 4.การเก็บรกั ษาสมุนไพร 5.ผลกระทบการใชส้ มนุ ไพร 6.การใช้สมนุ ไพรอยา่ งไรให้ปลอดภัย 7.ลกั ษณะขา่ 8.สรรพคณุ และประโยชน์ของขา่ 9.ความปลอดภยั ในการใช้ข่ารกั ษาโรคตา่ งๆ 10.วธิ กี ารปลกู ขา่ 2.1 ความสาคญั ของพืชสมุนไพร ภาพที่ 2.1 พืชสมนุ ไพร พืชสมุนไพรเป็นผลผลติ จากธรรมชาติที่มนุษย์รู้จักนามาใช้เป็นประโยชน์ เพอ่ื การรักษาโรคภัยไข้ เจบ็ ตง้ั แตโ่ บราณกาลแล้วสามารถรกั ษาโรคบางชนิดได้โดยไม่ตอ้ งใช้ยาแผนปจั จบุ นั ซงึ่ บางชนิดอาจมีราคา แพง และต้องเสียคา่ ใชจ้ ่ายมาก อกี ทั้งยังอาจหาซ้อื ไดย้ ากในท้องถ่นิ ซง่ึ แตกต่างจากสมุนไพรนนั้ สามารถหา ได้ง่ายในท้องถิ่นเพราะส่วนใหญ่ได้จากพืชซึ่งมีอยู่ทั่วไปท้ังในเมืองและชนบทใช้เป็นยาบารุงรักษาให้ รา่ งกายมีสุขภาพแข็งแรงใชเ้ ป็นยาฆ่าแมลงในสวนผัก ใช้ปรุงแต่ง กลิ่น สี รส ของอาหาร เป็นการอนุรักษ์ มรดกไทยใหป้ ระชาชนในแต่ละท้องถิ่น รจู้ ักช่วยตนเองในการนาพืชสมุนไพรในทอ้ งถ่ินของตนมาใชใ้ ห้เกิด ประโยชน์ตามแบบแผนโบราณทาให้คนเหน็ คณุ ค่าและกลับมาดาเนินชีวติ ใกล้ชิดธรรมชาติย่ิงขึ้นทาให้เกิด ความภูมิใจในวัฒนธรรมและคุณค่าของความเป็นไทย อ้างอิงจากหนังสือการปลูกพืชสมุนไพรและ
8 เครื่องเทศคู่มือพืชสมุนไพร สมุนไพรเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวง สาธารณสุขได้ดาเนิน โครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดยเน้นการนาสมุนไพรมาใช้บาบัดรักษา โรคใน สถานบริการสาธารณสขุ ของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมใหป้ ลูกสมุนไพรเพ่ือใช้ภายในหมู่บ้านเป็นการ สนับสนุนให้มีการใช้สมุนไพรมากยิ่งข้ึน อันเป็นวิธีหนง่ึ ท่ีจะช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการส่ังซื้อ ยาสาเร็จรปู จากต่างประเทศไดป้ ีละเปน็ จานวนมาก ปัจจุบันนี้เทคโนโลยมี ีความก้าวหน้าและทันสมัยมากการเผยแพร่ข้อมูลพืชสมุนไพรในท้องถิ่นบน เวบ็ ไซตอ์ าจเปน็ สง่ิ ทท่ี าให้ทุกคนท่ีมีความสนใจสามารถเข้ามาชมผา่ นเว็บไซต์ได้ มีผู้พยายามศึกษาค้นคว้า เพ่ือพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนามาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น นามาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีมหรือยาข้ีผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาเพ่ือนาสมุนไพรมาใช้ เปน็ ยาแผนปัจจบุ นั น้ัน ไดม้ กี ารวิจยั อย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสาคัญจาก สมนุ ไพรเพือ่ ให้ได้สารที่บริสุทธ์ิ ศกึ ษาคณุ สมบตั ิทางด้านเคมี ฟิสกิ ส์ของสารเพ่ือให้ทราบวา่ เปน็ สารชนดิ ใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความ เป็นพิษและผลข้างเคียง เม่ือพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึง นาสารนนั้ มาเตรยี มเปน็ ยารปู แบบทีเ่ หมาะสมเพื่อทดลองใช้ตอ่ ไป ในพระราชบัญญัติยาฉบับท่ี 3 ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาท่ีได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาท่ีใช้ในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณหรือในการบาบัดโรค ของสัตว์ ซึ่งมีปรากฏอยู่ในตารายาแผนโบราณท่ีรัฐมนตรีประกาศ หรือยาท่ีรัฐมนตรีประกาศให้เป็นยา แผนโบราณ หรอื ไดร้ ับอนญุ าตใหข้ น้ึ ทะเบียนตารบั ยาเป็นยาแผนโบราณ ยาสมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพืชสัตว์แร่ธาตุทีย่ ังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพสมุนไพรนอกจาก จะใช้เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร ใชเ้ ตรียมเป็นเครื่องด่ืม ใช้เป็นอาหารเสริม เป็นส่วนประกอบ ในเครื่องสาอาง ใช้แตง่ กล่ิน แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็นยาฆ่าแมลงอีกด้วย ในทางตรงกนั ข้าม มี สมุนไพรจานวนไม่น้อยที่มีพิษ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึงตายได้ ดังนั้นการใช้สมุนไพรจึง ควรใช้ด้วยความระมดั ระวังและใช้อยา่ งถูกตอ้ ง ปัจจุบันมีการตืน่ ตัวในการนาสมนุ ไพรมาใชพ้ ัฒนาประเทศ มากข้ึน 2.2 ความสาคัญในดา้ นเศรษฐกจิ ในปัจจบุ นั พชื สมุนไพรจัดเปน็ พชื เศรษฐกิจชนิดหน่ึงท่ตี า่ งประเทศกาลงั หาทางลงทุนและคดั เลือก สมุนไพรไทยไปสกดั หาตวั ยาเพอ่ื รักษาโรคบางโรคและมีหลายประเทศท่ีนาสมุนไพรไทยไปปลูกและทาการ คา้ ขายแข่งกับประเทศไทย สมนุ ไพรหลายชนิดที่เราสง่ ออกเป็นรูปของวตั ถุดบิ คือ กระวาน ขม้ินชนั เรว่ เปลา้ น้อย และมะขามเปยี ก เปน็ ต้น ซง่ึ สมุนไพรเหล่านี้ตลาดต่างประเทศยังคงมีความต้องการอกี มาก ใน ปัจจบุ ันกรมวิชาการเกษตร กรมสง่ เสรมิ การเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไดใ้ ห้ความสนใจใน การศึกษาเพ่ิมขน้ึ และมีโครงการวจิ ัยบรรจุไวใ้ นแผนพัฒนาระบบการผลิต การตลาดและการสร้างงานใน แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับที่ ๖ (พ.ศ. ๒๕๓๐-๒๕๓๔) เพอื่ หาความเปน็ ไปได้ในการ พัฒนาคุณภาพและแหลง่ ปลูกสมนุ ไพรเพอื่ สง่ ออก โดยกาหนดชนิดของสมนุ ไพรทม่ี ีศักยภาพ ๑๓ ชนิด คือ มะขามแขก กานพลู เทยี นเกล็ดหอย ดองดงึ เรว่ กระวาน ชะเอมเทศ ขมนิ้ จนั ทร์เทศ ใบพลู พริกไทย
9 ดีปลีก และน้าผ้ึงสมุนไพร คือ ของขวัญที่ธรรมชาติมอบให้กับมวลมนุษยชาติ มนุษย์เรารู้จักใช้ สมุนไพรในด้านการบาบัดรักษาโรค นับแต่ยุคนีแอนเดอร์ทัลในประเทศอิรัก ปัจจุบันที่หลุมฝังศพพบว่ามี การใช้สมนุ ไพรหลายพนั ปีมาแล้วท่ีชาวอินเดียแดง ในเม็กซิโก ใช้ต้นตะบองเพชร( Peyate) เป็นยาฆ่าเชื้อ และรกั ษาบาดแผลปัจจุบันพบว่าตะบองเพชรมีฤทธิ์กล่อมประสาท ประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ท่ีชาวสุเมเรยี นไดเ้ ข้ามาตั้งรกราก ณ บริเวณแม่น้าไทกริสและยูเฟรติส ปัจจุบัน คือ ประเทศอิรัก ใช้สมุนไพร เช่น ฝิ่น ชะเอม ไทม์ และมัสตาร์ด และต่อมาชาวบาบิโลเนียน ใช้ สมุนไพรเพ่ิมเติมจากชาวสุเมเรยี น ไดแ้ ก่ใบมะขามแขก หญา้ ฝร่นั ลกู ผกั ชี อบเชย และกระเทยี ม ในยุคต่อมาอียิปต์โบราณมี อิมโฮเทป แพทย์ผู้มีชื่อเสียงซึ่งต่อมาได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้า แหง่ การรักษาโรค ของอียิปต์ มตี าราสมุนไพรทเ่ี ก่าแก่ คือ Papytus Ebers ซ่ึงเขียนเมอื่ 1,600 ปี ก่อนคริ สตศักราช ซ่ึงค้นพบโดยนักอียิปต์วิทยาชาวเยอรมันนี ช่ือ Georg Ebers ในตารานี้ได้กล่าวถึงตารา สมุนไพรมากกว่า 800 ตารับ และสมุนไพรมากกว่า 700 ชนิด เช่น ว่านหางจระเข้ เวอร์มวูด (warmwood)เปปเปอร์มินต์ เฮนเบน( henbane) มดยอบ , hemp dagbane ละหุ่ง mandrake เป็น ต้น รูปแบบในการเตรียมยาในสมัยน้ัน ได้แก่ การต้ม การชง ทาเป็นผง กลั่นเป็นเม็ดทาเป็นยาพอกเป็น ข้ีผึ้ง นอกจากน้ียังพบว่า ชาติต่าง ๆ ในแถบยุโรปและแอฟริกา มีหลักฐานการใช้สมุนไพร ตามลาดับ ก่อนหลังของการเริ่มใช้สมุนไพร คือ หลังจากสมุนไพรได้เจริญรุ่งเรืองในอียิปต์แล้ว ก็ได้มีการสืบทอดกัน มา เช่น กรกี โรมัน อาหรับ อิรกั เยอรมนั โปรตุเกส สวีเดน และโปแลนด์ ส่วนในแถบเอเชยี ตามบันทกึ ประวัตศิ าสตร์พบว่ามีการใชส้ มุนไพรท่ีอินเดยี กอ่ น แล้วสืบทอดมาที่ จีน มะละกา และประเทศไทย ประเทศไทยมีภูมิอากาศท่ีเหมาะสมต่อการเจริญงอกงามของพืช นานาชนิด โดยเฉพาะพืช สมุนไพรมีอยู่มากมายเป็นแสนๆ ชนิด ทั้งท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและจากการเพาะปลูก บางชนิดก็ใช้ เป็นวัตถุดิบในการผลิตยาแผนปัจจุบัน สมุนไพรหลายชนิด ถูกนามาใช้ในรูปของยากลางบ้าน ยาแผน โบราณ รากฐานของวิชาสมุนไพรไทยได้รับอิทธิพลจากประเทศอินเดียเป็นส่วนใหญ่ เพราะตามหลักฐาน ทางประวัติศาสตร์ชาติไทยได้อพยพถิ่นฐานมาจากบริเวณเทือกเขา อัลไตน์ประเทศจีน มาจนถึงประเทศ ไทยในปัจจุบัน จึงมีส่วนได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรม ประเพณี ศาสนา ตลอดจนการบาบัดรักษาโรคจาก ประเทศอินเดียเป็นจานวนมาก ซ่ึงปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าได้อาศัยคัมภีร์อายุรเวทของอินเดียเป็น บรรทัดฐาน คือ การวินิจฉัยโรค ชื่อสมุนไพรท่ีใช้รักษาโรคมีเค้าชื่อของภาษาบาลีสันสกฤตอยู่ไม่น้อย เช่น คาวา่ มะลิ (ภาษาสนั สกฤตวา่ มลั ลิ) เป็นต้น มีผู้ประมาณว่าในแต่ละปีมีผใู้ ชส้ มนุ ไพรในประเทศเปน็ มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท (สมุนไพรเหลา่ นี้ ได้มาจากท้ังในประเทศ และนาเข้าจากนอกประเทศโดยเฉพาะ จีน เกาหลี และอินเดีย) ทง้ั น้ีเน่ืองจากป่า ไม้ถูกทาลาย ทาให้ต้องมีการรณรงค์ให้มีการปลูกเป็นสวนสมุนไพรข้ึน ในปีพุทธศักราช 1800 ซึ่งตรงกับ รัชสมัยของพ่อขุนรามคาแหงมหาราช ซึ่งนับเป็นยุคทองของสมุนไพรไทย สวนป่าสมุนไพรของพระองค์ ใหญ่โตมากอยู่บนยอดเขาคีรีมาศ อ.คีรีมาส จ.สุโขทัย มีเน้ือท่ีหลายร้อยไร่ ซ่ึงปัจจุบันยังคงได้รับการ อนรุ กั ษไ์ ว้ เปน็ ปา่ สงวนเพ่ือเปน็ แหล่งศกึ ษาคน้ คว้าของผูท้ สี่ นใจ ตอ่ มาในรชั กาลของ พระบาทสมเด็จพระ
10 เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเห็นว่าสมุนไพรเป็นทั้งยาและอาหารประจาครอบครัว ชาติจะ เจริญม่ันคงได้ก็ด้วยครอบครัวเล็ก ๆ ท่ีมีความม่ันคงแข็งแรง มีสุขภาพพลานามัยสมบูรณ์ทั้งทางกายและ จิตใจ จงึ ทรงมพี ระกรุณาธิคุณโปรดเกลา้ ฯ ให้ดาเนินโครงการตามพระราชดาริ สวนสมนุ ไพรข้นึ ในประเทศ ในปีพุทธศักราช 2522 โดยทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการรวบรวมศึกษาค้นคว้า ในเรื่องเกี่ยวกับ สมุนไพรทุกด้าน เช่น ด้านวิชาการทางชีววิทยา ทางการแพทย์ การบาบัด การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพืชที่เป็นประโยชน์ก่อใหเ้ กดิ โครงการพระราช ดาริ สวนป่าสมุนไพรข้ึนมากมายหลายแหลง่ อีก ทง้ั ยังมีการศึกษาวจิ ัยอย่างกว้างขวางโดยสถาบันวิจยั วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี เพ่ือหาสาระสาคัญของ สมุนไพรท่ีมีพิษ ทางเภสัชมาสกัดเป็นยาแทนยาสังเคราะห์ที่ใช้กันในปัจจุบัน คนไทยไม่เพียงแต่ใช้พืช สมุนไพร เปน็ ยารักษาโรคเท่านัน้ แตไ่ ดน้ ามาดดั แปลงเพ่อื บริโภคในรปู ของอาหารและเคร่อื งด่มื สมนุ ไพร 2.3 แนวทางในการพฒั นาสมุนไพร ผูเ้ ชี่ยวชาญสมนุ ไพรของสหประชาชาติ และอาจารย์วิทยาลัยแพทย์แผนตะวนั ออก มหาวิทยาลัย รังสิต เผยกระแสความต้องการสมุนไพรในตลาดโลกเพ่ิมข้ึนสูง แนะไทยควรเร่งพัฒนานวัตกรรมการปลูก ใหไ้ ด้คณุ ภาพสม่าเสมอ ปลอดสารพิษ มีกระบวนการผลติ เป็นท่ียอมรับ รวมถงึ มีงานวิจัยรองรบั หากทาได้ จะสร้างรายได้ให้แก่ประเทศอย่างมหาศาลรองศาสตราจารย์ ดร.สุรพจน์ วงศ์ใหญ่ ผู้เช่ียวชาญสมุนไพร ของสหประชาชาติ และอาจารย์ประจาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า ประเทศไทยมีการใช้สมุนไพรเพื่อการรักษามานาน บรรพบุรุษได้ส่ังสมองค์ความรู้ด้านน้ีมาอย่างต่อเน่ือง โดยกระทรวงสาธารณสุขได้มกี ารออกประกาศ กระทรวงฯ คุ้มครองตาราการแพทย์แผนไทยของชาติ 198 ตารา และตารับยาแผนไทยของชาติ 30,000 ตารับ ตารายาสมุนไพรท่ีสาคัญ เช่น “แพทย์ศาสตร์ สงเคราะห์” ซ่ึงเป็นตาราที่ลน้ เกล้ารัชกาลท่ี 5 ทรงมพี ระราชดารใิ หร้ วบรวมไว้กวา่ 1,200 ตารับ และยังมี ตารายาวัดโพธ์ิท่ีรวบรวมจากจารึก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้น ซ่ึงจาก เอกสารและจารกึ เหล่านเี้ ป็นส่ิงยืนยันไดเ้ ป็นอย่างดีว่า ประเทศไทยมกี ารรักษาโรคดว้ ยยาสมุนไพรมานาน แต่เม่ือยาเคมีจากต่างชาติเร่ิมเข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตคนไทย ทาให้ความนิยมใช้ยาสมุนไพรลด น้อยลงภก.รศ.ดร.สรุ พจน์ กล่าวว่า ประเทศไทยขาดโอกาสทางการแขง่ ขนั ในตลาดยารักษาโรคไปอย่างน่า เสียดาย ทั้งท่ีประเทศไทยมีวัตถุดิบคือ สมุนไพรท่ีมีคุณภาพ มีสารสาคัญท่ีจะสกัดออกมา แปรรูปเป็นยา สมนุ ไพรที่มมี ลู ค่าสงู แตด่ ้วยปญั หาคือ การขาด Know-How เทคโนโลยีสมุนไพรขั้นสูง ซึ่งทาให้ไม่สามารถสร้างนวัตกรรมยาสมุนไพรได้ ตั้งแต่ต้นน้าคือ การคุมการ ปลูกพืชสมุนไพรให้ได้คุณภาพ ตัวยาสม่าเสมอ การขาดเทคโนโลยีการสกัดและการผลิตท่ีทันสมัยเพื่อ รกั ษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ได้ตามมาตรฐานสากล อันจะทาให้สามารถส่งไปจาหน่ายได้ทั่วโลก “เวลา นี้กระแสความต้องการสมุนไพรเพิ่มขน้ึ สูงมากในตลาดโลก เพราะสมุนไพรชว่ ยท้งั การรักษาโรคป้องกันและสง่ เสริมสุขภาพ ประเทศเรามสี มุนไพรมากมายและหลากหลาย แต่ขาดการสรา้ ง นวัตกรรม เพ่ือให้ได้ผลิตภัณฑ์ท่ีดีมีคุณภาพ ประสิทธิภาพและปลอดภัย ในขณะที่การผลิตหัวผลิตภัณฑ์ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อส่ิงแวดล้อม และการปลูกสมุนไพรต้องปลอดจากสารเคมี หากต้องการแข่งขันใน ตลาดโลกจะต้องเร่งพัฒนานวัตกรรมท้ังการปลูกสมุนไพรให้ได้คุณภาพสม่าเสมอ ปลอดสารพิษ ไม่ใช้ สารเคมี และต้องมีกระบวนการผลิตทไ่ี ดค้ ุณภาพเปน็ ทย่ี อมรบั มีการวจิ ัยเพ่ือยืนยนั วา่ เป็นผลิตภัณฑ์
11 สมนุ ไพรท่ดี ีจริง ๆ หากทาไดก้ ็จะสร้างรายได้ใหแ้ ก่ประเทศอย่างมหาศาล” ส่วนเหตุท่ีทาให้ความต้องการ ใช้ยาสมุนไพรเพิ่มมากขึ้นน้ัน ภก.รศ.ดร.สุรพจน์ กล่าวเพ่ิมเติมว่า เวลานี้ยาเคมีกาลังประสบปัญหาหลาย ประการ กล่าวคือ การวิจัยและพัฒนายาใหม่แต่ละตัวน้ันต้องสูงทุนสูงมาก และต้องใช้เวลานาน ยาเคมี บางชนิดก็จะมีอาการข้างเคียงท่ีเป็นพิษ ไม่สามารถนาวัตถุดิบเคมีในกระบวนการสังเคราะห์ท่ีใช้แล้ว กลับมาใช้ใหม่ได้ โรงงานท่ีสังเคราะห์ตัวยาเคมีอาจก่อมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ยาเคมีมีราคาแพงทาให้ ประชาชนเข้าถึงยาก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกาลงั พฒั นา นอกจากนัน้ ยังมีข้อจากัดในประสทิ ธิภาพการ รักษา โดยเฉพาะการรักษากลุ่มโรคไม่ติดตอ่ เร้ือรังบางชนิดที่ไม่สามารถรกั ษาให้หายขาดได้ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลอื ด ความดันโลหติ สูง เบาหวาน มะเร็ง เป็นต้น “ปัจจุบันมีคนป่วยด้วยไม่ตดิ ต่อเรื้อรงั หรอื NCDs อาทิ มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจหลอดเลือด โรคระบบทางเดินหายใจ โรคทางสมอง โรค ซึมเศร้ากันมากข้ึน โดยกลุ่มโรคเหล่าน้ี เป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรโลก 70% องค์การอนามัย โลก คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2593 จะมีประชากรครึ่งโลก คือกว่า 4,650 ล้านคน ป่วยด้วยโรค NCDs อย่างน้อยคนละ 1 โรค อันจะก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพท่ีสูงขึ้นอย่าง มากมาย ท้ังระดับประเทศและระดับโลก กล่าวได้วา่ ศตวรรษที่ 21 น้ี ท่ีเกิดวิกฤติด้านสขุ ภาพของโลกและ เป็นหน่ึงในปัจจัยสาคัญท่ีส่งผลกระทุบให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ดังน้ัน จึงต้องเร่งรีบแก้ไขปัญหาแบบ องค์ รวม เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดข้ึน นอกจากน้ันด้วยสังคมมีแนวโน้มเข้าสู่ยุคสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัว ทุกฝ่ายต้องช่วยกันเพ่ือให้เป็นผู้สูงอายุท่ีสุขภาพดี ไม่เป็นภาระให้แก่ลูกหลาน ซ่ึงการใช้สมุนไพรก็เป็นอีก ทางเลือกหนึ่งทไ่ี ดร้ ับความสนใจเพมิ่ ขึ้นในปจั จุบนั และอนาคต\" อย่างไรก็ตาม ขณะนีร้ ัฐบาลได้บัญญัติไวใ้ น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ปีพุทธศักราช 2560 มาตรา 55 ว่าด้วยการสนับสนุนให้มีการพัฒนา ดา้ นการแพทยแ์ ผนไทยในการบริการสุขภาพ โดยบญั ญตั ไิ ว้ว่า รัฐต้องดาเนินการให้ประชาชนได้รับบริการ สาธารณสุขท่ีมีประสิทธิภาพอย่างทั่วถึง เสริมสร้างให้ประชาชนมีความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการส่งเสริม สุขภาพและการป้องกันโรค และส่งเสริมและสนับสนนุ ให้มกี ารพัฒนาภูมิปญั ญาด้านแพทย์แผนไทยใหเ้ กิด ประโยชน์สูงสุด บริการสาธารณสุขต้องครอบคลุมการส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมและป้องกันโรค การ รักษาพยาบาล และการฟืน้ ฟูสุขภาพดว้ ย รัฐตอ้ งพฒั นาการบริการสาธารณสุขใหม้ ีคุณภาพและมีมาตรฐาน สูงข้ึนอย่างต่อเน่ือง และมาตรา 69 ว่าด้วยเรื่อง การส่งเสริมการสร้างนวัตกรรมเพื่อสร้างเศรษฐกิจให้กับ ประเทศ และการสร้างนวัตกรรมยาสมุนไพรก็นับเป็นโอกาสทองของคนไทย “ การท่ีรัฐบาลได้ให้การ สนับสนุนการพัฒนาสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นเรื่องท่ีดี ทาให้เปิดโอกาสให้มีการศึกษาวิจัย ค้นคว้าสมุนไพร มากข้ึน แต่อย่างไรกต็ าม การพฒั นาจะตอ้ งได้รับความร่วมมอื จากหลายๆ ภาคส่วนมาทางานรว่ มกัน และ ปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ต้องเรียนรู้ว่าตลาดโลกต้องการอะไร แล้วดาเนินการกาหนดกฎเกณฑ์เพื่อ ผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการขึ้นทะเบียนตารับยาสมุนไพรไทยเพ่ือการส่งออก หากทาสาเร็จและได้ผล จริงก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างแท้จริง เพราะประชาชนทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ เป็น การต่อยอดสร้างเศรษฐกจิ ของประเทศ บนพื้นฐานทเ่ี ปน็ จดุ แข็งของประเทศเรา จะช่วยขบั เคลือ่ นประเทศ ไทยส่กู ารเป็นผนู้ าของโลกด้านยาสมนุ ไพรต่อไปประเทศไทยมวี ัตถุดิบดคี ือ สมนุ ไพรหลากหลายประเภท มี ตารับยาดีทส่ี ืบทอดต่อกนั มาหลายร้อยปขี องบรรพบุรุษไทย แต่ส่งิ ที่ยังขาดคอื Know-How หากได้รบั การ ส่งเสริมอยา่ งจริงจัง จะทาใหป้ ระเทศไทยมีความกา้ วหน้าได้มากกว่านี้ เพราะมีพื้นฐานท่ไี ด้เปรียบกว่า
12 หลายๆ ประเทศคือ มีความหลากหลายทางชีวภาพสมุนไพรสูงมาก มตี ารับยาสมุนไพรจานวนมากท่บี ันทึก ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร และเวลาน้ีหน่วยงานรัฐได้เปิดกว้างในการศึกษาวิจัยสมุนไพรเพ่ือ ใช้ทาง การแพทย์มากขึ้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะได้มีการพัฒนา สมุนไพรไทยอย่างย่ังยืนอีกทางหนึ่ง” ภก.รศ.ดร.สุ รพจน์ วงศ์ใหญ่ กลา่ วทงิ้ ท้าย 2.4 การเกบ็ รกั ษาสมุนไพร การเก็บรักษายาสมุนไพร เป็นปัญหาอย่างหน่ึง เพราะการเก็บรักษาโดยกรรมวิธีการแปรสภาพ เป็นยา โดยการตากแห้ง การบด การอบ หรือการทาเป็นลูกกลอน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดเช้ือรา และหนอน เป็นอย่างมาก เพราะต้องเก็บสมุนไพรในท่ีแห้ง และไม่อับชื้น จะได้คงความสภาพของยาไว้ได้นาน ยา สมุนไพรมักจะมีปัญหาในการเก็บรักษาอย่างมาก หากเก็บรักษาไม่ได้คุณภาพ ก็จะเกิดสีและกล่ินท่ี เปลี่ยนแปลงไป และจะทาให้ยาเส่ือมคุณภาพ ไม่ออกฤทธ์ิ อย่างเต็มที่ เน่ืองจากตัวยาได้หมดคุณภาพไป แลว้ ภาพที่ 2.4 การเกบ็ รักษาสมุนไพร 1. ควรเป็นสถานที่ ที่ไม่อับชื้น มีอากาศถ่ายเทสะดวก และเย็น เพ่ือขับไล่ความชื้นที่อาจจะ ก่อให้เกดิ เชื้อราในตวั สมนุ ไพรได้ 2. ยาสมนุ ไพรจะต้องแห้ง ไม่เปียกช้ืน ควรจะนายาสมุนไพรมาตากแดดสม่าเสมอ ช่วยลดตอ่ การ เกิดเชื้อรา 3. แบ่งตามประเภทของยา เพื่อท่จี ะหยบิ ใช้ ได้งา่ ยและสะดวก 4. ควรตรวจความเรียบร้อยในการเก็บรักษา เพ่ือป้องกันอย่าให้แมลงหรือสัตว์ ต่าง ๆ เพราะ อาจจะทาให้เกิดความเสียหายได้ การเก็บ ” พืชสมุนไพร ” ให้ได้คุณค่าทางยามากท่ีสุดไม่เสียหาย ส่ิงที่ สาคญั อยา่ งยิง่ เห็นจะไดแ้ ก่ ช่วงเวลาท่เี หมาะสมในการเกบ็ พืชสมุนไพรเอามาเปน็ ยา การเก็บส่วนของพืชสมุนไพรเอามาทาเป็นยานั้น ถ้าเก็บในระยะเวลาท่ีไม่เหมาะสมก็มีผลต่อการออกฤทธ์ิ ในการรักษาโรคของยาสมุนไพรได้ 1. ประเภทรากหรือหวั สมควรเก็บในช่วงเวลาท่ีพืชหยุดการเจริญเติบโต ใบ ดอก ร่วงหมดแล้ว หรือในช่วงต้นฤดู หนาวถงึ ปลายฤดรู ้อน เพราเหตุว่าในช่วงน้ีรากและหัวมีการสะสมปริมาณตัวยาเอาไวค้ ่อนข้างสงู วิธกี าร เก็บจะต้องใชว้ ธิ ขี ุดดว้ ยความระมดั ระวังให้มาก อยา่ ใหร้ ากหรอื หัวเกิดการเสยี หายแตกช้า หกั ขาด ขนึ้ มา ได้
13 2. ประเภทใบ หรอื เกบ็ ทั้งต้น ควรเกบ็ ในช่วงที่พืชเจริญเตบิ โตมากท่สี ุด หรือพืชบางอยา่ งอาจจะระบชุ ว่ งเวลาเก็บอย่างชัดเจน เชน่ เกบ็ ใบไม่อ่อนหรอื ไมแ่ ก่เกินไป (ใบเพสลาด) เก็บช่วงดอกตูมเรม่ิ บาน หรือชว่ งเวลาทีด่ อกบาน เป็น ตน้ การกาหนดชว่ งเวลาทเี่ ก็บใบ เพราะช่วงเวลาน้นั ในใบมีตวั ยามากที่สดุ วิธกี ารเก็บก็ใช้วธิ ีเดด็ 3. ประเภทเปลือกตน้ และเปลือกราก เปลอื กต้นโดยมากเก็บระหว่างช่วงฤดูร้อนต่อกับฤดูฝน ปริมาณยาในพชื สมนุ ไพรมีสูงและลอก ออกได้ง่าย สะดวก อย่าลอกเปลือกออกท้ังรอบต้น เพราะกระทบกระเทือนในการส่งลาเลียงอาหารของ พืชจะทาใหต้ ายได้ทางที่ดคี วรลอกจากเปลอื กก่ิงหรือส่วนท่ีเป็นแขนงย่อย ไม่ควรลอกออกจากลาต้นใหญ่ ของต้นไม้ หรือจะลอกออกในลักษณะครึ่งวงกลมก็ได้ ส่วนเปลือกรากเก็บในช่วงต้นฤดูฝนเหมาะที่สุด เน่ืองจากการลอกเปลือกต้นหรือเปลือกรากเป็นผลเสียต่อการเจริญเติบโตของพืชควรสนใจวิธีการเก็บท่ี เหมาะสมจะดีกว่า 4. ประเภทดอก โดยท่วั ไปเก็บในช่วงดอกเร่ิมบาน แตบ่ างชนดิ เกบ็ ในช่วงดอกตูม เชน่ กานพลู เปน็ ตน้ 5.ประเภคผลแลพเมล็ด พืชสมุนไพรบางอย่างอาจจะเก็บในช่วงที่ผลยังไม่สุกก็มี เช่น ฝรั่ง เก็บเอาผลอ่อนมาเป็นยาแก้ ท้องร่วง แต่โดยทั่วไปมักเก็บเม่ือผลแก่เต็มที่แล้วตัวอย่าง เช่น มะแว้งต้น มะแว้งเครือ ดีปลี เมล็ด ฟักทอง เมล็ดชุมเห็ดไทย เมล็ดสะแก เป็นต้น คุณภาพของยาสมุนไพรท่ีจะใช้รักษาโรคได้ดีหรือไม่นั้น สาคญั อยู่ที่ชว่ งเวลาการเก็บสมนุ ไพรและวิธีการเกบ็ ยังมีปัจจัยอ่นื ๆ ที่จะตอ้ งคานงึ อกี อยา่ งกค็ อื พนื้ ดิน ท่ปี ลูกพืชสมุนไพร เช่น ลาโพง ควรปลกู ในพื้นดินที่เปน็ ด่างจะมีประมาณตัวยาสุง สะระแหน่ หากปลูก ในดินทราย ประมาณน้ามันระเหยหอมจะสูง และยังมีปัญหาทางด้านสภาพแวดล้อมในการเจริญเติบโต ภูมิอากาศเปน็ ต้น การอนุรักษ์สมุนไพรเพื่อใช้ปรุงยารักษาโรคต่าง ๆ น้ัน เราจาจะต้องศึกษาธรรมชาติของสมุนไพร เหล่าน้ีเสียก่อนว่า สมุนไพรเหล่าน้ีมีลักษณะอย่างไร ควรจะเก็บรักษาไว้เป็นเวลานานเท่าใดจึงจะเส่ือม คุณภาพ และควรเก็บด้วยภาชนะชนิดใดจึงจะไม่เกิดปฏิกิริยากับสมุนไพรเหล่าน้ี และควรเก็บอย่างไร กล่ิน รส ของสมุนไพรเหล่านี้จึงจะเส่ือมไป การอนุรักษ์สมุนไพร ดังกล่าวพอจะกล่าวโดยสังเขปได้ ดงั ตอ่ ไปน้ี คอื 1. การอนุรักษ์สมุนไพรประเภทที่มีกล่ินหอม เช่นอบเชย กฤษณา กะลาพัก พิมเสน การบูน ชมเชียง ฯลฯ ควรเก็บในขวดแก้ว หรือ ขวดพลาสติคท่ีมีฝาจุกอัดอากาศให้แน่นสนิทอย่าให้อากาศเข้าได้ และควรเช็ดให้แห้งสนิทก่อนที่จะนามาใช้เก็บสมุนไพรเหล่าน้ี ทั้งน้ี เพอื่ เก็บกล่ินของสมุนไพรเหล่าน้ีไว้ให้ อยู่ตลอดไปให้นานท่ีสุด เมื่อเราจะนามาปรุงยาเม่ือใด สมุนไพรเหล่านี้ก็ยังมีสรรพคุณดีอยู่เสมอ หากใช้ ภาชนะในการเก็บรักษาสมุนไพรเหล่าน้ีผิด เช่น ใช้ภาชนะท่ีทาด้วยเหล็ก หรือ ทองเหลืองเก็บสมุนไพร เหล่านี้ภาชนะเหล่านั้นอาจเกิดสนิม และสนิมเหล่าน้ีจะทาลายคุณภาพของสมุนไพรให้เส่ือมไปจนใช้การ ไม่ได้ และหากใช้จุกปิดฝาภาชนะเหล่าน้ีปิดไม่สนิทอากาศเข้าได้ สมุนไพรเหล่านี้ก็จะหมดกลิ่นและเส่ือม คุณภาพไมส่ ามารถจะนาไปใชท้ ายาได้อีกต่อไป
14 2. สว่ นสมุนไพรบางชนิดต้องไมเ่ กบ็ ไว้ในภาชนะทท่ี าด้วยโลหะบางชนดิ เชน่ อาลมู ิเนียม เชน่ ดี เกลือ ดินปะสิว จุลสี เกลือสินเธา สารส้ม กามะถัน น้าส้มสายชู ฯลฯ ทั้งน้ีเพราะสารต่าง ๆ ใน สมุนไพรเหล่านี้เมื่อสลายตัวออกมาแล้ว จะเกิดปฏิกิริยากับภาชนะที่ใช้เก็บ อาจจะเกิดเป็นกรดอย่างแรง ชนดิ ต่าง ๆ ซง่ึ จะมอี ันตรายเมือ่ นาสมุนไพรเหล่านี้ไปใช้ปรุงยาให้แกค่ นไข 3. สมุนไพรที่เป็นพืชบางชนิด หรือเป็นสัตว์วัตถุควรใช้ภาชนะที่ทาด้วยสังกะสี หรือทองเหลือง เป็นรูปปี๊บขนาดปี๊บน้ามันก๊าด และตอนบนควรจะทาเป็นฝาปิดรูปทรงกระบอก แบบฝาถ้าชาเพื่ออัด อากาศให้แน่นเวลาใช้เก็บสมุนไพรเหล่านี้ ก่อนเก็บสมุนไพรควรล้างภาชนะให้สอาดและตากแดดให้แห้ง สนิท รวมทั้งสมุนไพรที่จะนามาเก็บด้วย ตอ้ งตากแดดให้แห้งสนิท ก่อนจะนามาเก็บในภาชนะเหลา่ น้ีแล้ว ปิดฝาให้แน่นอย่าให้อากาศและความช้ืนในอากาศเข้าได้ เราก็จะรักษาคุณสมบัติของสมุนไพรเหล่านี้ให้มี อายุยนื นานถึง ๑ ปี หรือกว่านัน้ 4. สมุนไพรประเภทมีลักษณะเป็นน้า หรือน้ามันเช่นน้าผ้ึง น้ามันต่าง ๆ ควรเก็บไว้ในขวดแก้ว ส่วนยาดองเหล้า หรือมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือ ยาดองอ่ืน ๆ ควรใช้ขวดแก้วเป็นภาชนะเก็บรักษา จะปลอดภัยกว่า หากจะเก็บยาเหล่าน้ีเป็นเวลานาน แม้แต่ยาต้มแล้ว ใส่ยากันบูดเช่นโซเดียมเบ็นโซเอ็ด ยาประเภทน้ีหากมีความจาเป็นต้องเก็บไว้นานก็ควรเก็บไว้ในขวดแก้วจะปลอดภัยกว่า ไม่ควรเก็บไว้ใน ขวดพลาสติก หรอื ขวดอาลูมเิ นียมในระยะยาวนาน ท้ังนเ้ี พราะขวดพลาสติกและขวดอาลูมเิ นยี มมสี ารบาง ชนดิ อาจเกดิ ปฏกิ ิริยากบั ยาเหลา่ น้ีในทางทเ่ี ป็นพิษแก่คนไข้ท่ใี ช้รักษา 5. สมุนไพรประเภทเกษร หรือประเภทผงคต่าง ๆ ควรเก็บไว้ในขวดแกว หรือขวดพลาสติกอัด อากาศใหแ้ นน่ สมนุ ไพรเหลา่ นยี้ อ่ มจะมีคณุ สมบตั อิ ย่ไู ด้ในระยะอันยาวนาน 6. การอนุรักษ์สมุนไพรที่เราต้องการหยิบมาปรุงยาต่าง ๆ ควรจัดแบง่ ประเภทออกเป็นหมวดหมู่ แล้วสับ หรือห่ันให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่กล่องสังกะสีมีฝาปิดแล้วเขียนป้ายชื่อสมุนไพรเหล่าน้ันให้ชัดเจนแล้ว ทาช้ัน หรือล้ินชักบรรจุกล่องสังกะสีเหล่าน้ีไว้เป็นช่องๆ เวลาจะหยิบ สมุนไพรเหล่าน้ีมาปรุงยาเพียง เหลือบตาคูก็จะรู้ว่าสมุนไพรชนิดไหนอยู่ท่ีไหน เราก็สามารถจะนาสมุนไพรเหล่านี้มาปรงุ ยาได้สะดวกเม่ือ เราต้องการ และการที่แนะนาให้ทากล่องสังกะสีใส่สมุนไพร แยกประเภทไว้เป็นชนิดๆ และใช้ฝาปิดให้ สนิทเมือ่ หลังจากใช้แล้ว กเ็ พื่อป้องกันความชื้นและเชอ้ื ราในอากาศไม่ให้เขา้ ไปทาลายสมุนไพรเหลา่ นน้ั ให้ เส่ือมคุณภาพ หากเก็บไว้ในลิน้ ชักเฉยๆ หรือวางไว้บนห้ิงโดยไม่มีภาชนะบรรจุอีกช้ันหน่ึง สมุนไพรเหล่านี้ อาจเกดิ รา หรือเสือ่ มคณุ ภาพ เรว็ เกนิ ควร 7. สมุนไพรประเภทเป็นกรด เช่นดินปะสิว น้าประสานทอง จุลสีควรเก็บไว้ในภาชนะที่ทาด้วย แก้วรวมท้ังปรอทด้วย ส่วนดีเกลือ เกลือสินเธาจะใช้ภาชนะที่ทาด้วยดิน หรือแก้วเก็บก็ได้ แต่ยาดา มหา หิงษจ์ ะใชภ้ าชนะท่ีทาด้วยสังกะสีเป็นทีเ่ กบ็ รักษาก็ได้ 8. การเก็บสมุนไพรในโกดังเก็บของขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่น้ัน ควรสร้างเป็นชั้นข้ึนแล้วแบ่ง สมุนไพรออกเปน็ ประเภท และ หมวดหมู่โดยละเอยี ด เพ่อื สะดวกในการทเี่ ราจะหยบิ ใช้สมนุ ไพร 9. สมุนไพรบางชนิดเป็นใบไม้ซึ่งสามารถจะดูดความชื้นในอากาศได้ และพวกสัตว์ต่าง ๆ จะเข้า ไปทารังอยู่เช่นหนูและแมลงสาบ จ้ิงจกตุ๊กแก หรือสัตว์เล้ือยคลานอื่น ๆ ย่อมจะเข้าไปทาลายสมุนไพร เหลา่ นี้ใหเ้ สอื่ มคณุ ภาพ และนาส่งิ สกปรกโสโครกเขา้ ไปปะปนให้สมนุ ไพรเหลา่ น้ี จงึ เก็บสมนุ ไพรเหล่านี้
15 ไว้ในกระสอบพลาสติกอย่างหนาขนาดใหญ่เท่ากระสอบข้าวสาร และมัดปากให้แน่นเพ่ือป้องกัน ความชื้น ของอากาศ และช้ันท่ีจะเก็บสมุนไพรเหล่าน้ี ควรใช้ลวดตาข่ายอย่างตาถี่ปิดก้ันให้แข็งแรงแน่น หนาเพื่อป้องกันหนูและแมลงต่าง ๆ ไม่ให้เข้าไปทาลายได้ สมุนไพรเหลา่ นี้กจ็ ะมอี ายุอยู่ได้นานกว่าที่เราจะ เกบ็ แบบตามบญุ ตามกรรม 10. สมุนไพรประเภทเขี้ยวงาสัตว์ต่าง ๆ จะเก็บในภาชนะชนิดใดก็ได้แต่อย่าใช้ภาชนะท่ีอาจเกิด สนิมขึ้นในภายหลังเป็นใช้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมุนไพรประเภท หนอแรด หรือเขากุยน้ันควรเก็บในตู้ นิรภัยจะปลอดภัยกว่าเก็บไว้ไนภาชนะอ่ืน ๆ เพราะนอแรดนอหนึ่ง ปัจจุบันราคาหลายหมื่นบาท บางอัน นออาจถึงแสนบาทก็เป็นได้ ส่วนเขากุยน้ันเขาหน่ึงราคาพันกว่าบาทขึ้นไป จึงควรเก็บไว้ในที่ปลอดภัยจะ เหมาะกว่า 2.5 ผลกระทบการใชส้ มนุ ไพร ปัจจุบันสมุนไพรเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากข้ึนในการใช้รักษาโรคหรือการใช้เป็นอาหาร เสริม แต่หากมีการน าสมุนไพรมาใช้อยา่ งไมถ่ ูกต้อง ไมถ่ ูกวธิ ี สมุนไพรกอ็ าจจะก่อให้เกดิ โทษต่อผ้ใู ช้ได้การ นามาใช้จึงควรนาศึกษาให้มากที่สุดท้ังคุณและโทษ ในด้านของคุณประโยชน์ของสมุนไพรแต่ละอย่าง มี การกลา่ วอ้างมากมาย เรยี กได้ว่าเป็นโฆษณาชวนเชอ่ื จนแม้นแต่ตัวหมอเอง เวลาฟังยังเคลม้ิ ทีเดยี ว แต่ส่ิง ทีผ่ ูข้ ายไมบ่ อก คือ โทษหรือผลข้างเคียงของสมนุ ไพร อนั ตรายจากการใช้สมุนไพรอาจเกดิ จาก 1.สมนุ ไพรที่ทาให้เกดิ ปฏกิ ริ ิยาการแพ้ในกรณีน้ี เป็นการแพเ้ ฉพาะบุคคล เชน่ การแพอ้ าหารเสริม “นมผ้ึง” มีรายงานจากประเทศออสเตรเลียว่านมผึ้งทาให้ตายได้เน่ืองจากอาการหืดในผู้ป่วยท่ีแพ้โปรตีน ในนมผ้ึง 2. สมนุ ไพรทที่ าใหเ้ กิดเกดิ ความเป็นพษิ ต่อตับหรือไตในประเทศไทยเคยมีรายงานว่าใบข้ีเหล็กใน รูปแบบยาเม็ด ทาให้การเกิดตับอักเสบเฉียบพลัน ซ่ึงระดับความรุนแรงของภาวะตับอักเสบมีต้ังแต่ไม่มี อาการไปจนถึงมีอาการอ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียนและมีตัวเหลืองตาเหลือง ส านักงานคณะกรรมการ อาหารและยาจึงมีมติให้ระงับการผลิตและเก็บยาสมุนไพรขี้เหล็กซึ่งเป็นสูตรยาเดี่ยวออกจากตลาด อีก ตวั อย่างคือ ผลิตภัณฑ์สมุนไพรลดน้าหนกั ทมี่ ี aristolochic acid พบว่าทาให้การเกิดความผิดปกติทีไ่ ตทา ให้ เนอ้ื ไตมสี ภาพเป็นพังผืด 3. สมุนไพรที่ทาให้เกิดผลข้างเคียงตัวอย่างท่ีพบเห็นบ่อยคือ กระเทียม ที่นิยมใช้ลดไขมันในเลือด แต่มี ผลข้างเคียงคือทาให้เลือดออกง่าย หรือสมุนไพร ใบแปะก้วย ที่ทานบารุง ก็มีผลข้างเคียง จึงต้อง ระมดั ระวงั อาจเกดิ เลือดออกในสมองได้ สมุนไพรอกี ตวั ทใี่ ช้กนั มากเชน่ ชุมเหด็ มสี รรพคณุ ช่วยระบาย ชว่ ยลดนา้ หนกั แต่อาจมีผลข้างเคยี งเกิดลาไสอ้ ักเสบได้ 4. การเกิดปฏิกิริยาระหว่างยากับสมุนไพรสมุนไพรบางชนิดมีผลไปเสริมฤทธ์ิของยา บางชนิด กลับไปลดทอนฤทธิ์ของยาดังนั้นการทานสมุนไพร จึงควรแจ้งแพทย์ หรือแพทย์แผนไทย ว่าท่านทานยา อะไรอยู่ เพือ่ ปรับขนาดยาใหเ้ หมาะสม
16 5. การใช้สมุนไพรผิดชนิด ผิดวิธีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้สมุนไพรส่วนหน่ึงเกิดจากความ เข้าใจผิด ใช้สมุนไพรผิดชนิด เพราะมีรูปลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือการนามาใช้โดยผิดวิธี เช่นโบราณใช้ มะเกลอื ผสมกะทใิ นการถ่ายพยาธิแต่กลับนาไปตม้ โดยไม่ผสมกะทิ อาจเกิดพษิ ทาให้ตาบอดได้ 6. การปนเป้อื นในสมุนไพรการเลอื กซ้ือสมุนไพร ควรเลอื กซ้ือจากแหลง่ ท่ีเชอื่ ถือได้ เพราะหาก สมุนไพรนนั้ ปลูกในท่ี ท่ีมีการปนเป้อื น ไมว่ ่าจะเป็นโลหะหนัก ยาฆ่าแมลง อาจสง่ ผลใหเ้ กดิ อันตรายตอ่ รา่ งกายทงั้ แบบเฉยี บพลนั และสารบางอย่างอาจมกี ารสะสมและก่อให้เกิดอนั ตรายในระยะยาวตามมา 7. สมนุ ไพรที่มีการปลอมปนจากการสุม่ ตรวจสมนุ ไพร หลายตัวอยา่ งจะพบการปนปลอมของสาร ทม่ี ฤี ทธท์ิ างเภสชั วทิ ยา โดยเฉพาะ ยาสเตยี รอยค์ทท่ี าให้เกิดอนั ตรายต่อรา่ งกายได้หากใช้ไม่ถกู ต้อง นอกจากน้ียงั พบ การปลอมปนยาแผนปจั จบุ ันอน่ื ๆ ได้แก่ พาราเซตตามอล ยาแก้ ปวดเมอ่ื ย เป็นตน้ ทีก่ ล่าวมาทั้งหมด ไม่ไดแ้ ปลวา่ ใหห้ ยดุ ใช้สมุนไพรนะคะ ตรงข้าม หมออยากให้ใช้สมุนไพรไทย เพราะเช่ือม่นั ใน ภูมปิ ัญญา แพทยแ์ ผนไทย แต่อยากขอใหเ้ ลือกใช้ ใชใ้ หเ้ ปน็ ให้ถูกชนิด ใช้ให้ถูกสว่ น ใชใ้ หถ้ ูกขนาด ใชใ้ ห้ถูกวิธี ใชใ้ ห้ถกู กบั โรค ปรกึ ษาแพทยแ์ ผนไทย ดูแหล่งที่ซอ้ื ระมัดระวังในการใช้ หยุดการซื้อยาตามค าโฆษณา หยดุ การซอ้ื ยาทเี่ พือ่ นทานแล้วดี ร่างกาและ ไมเ่ หมือนกนั แต่คนไทยมนี สิ ัยน่ารัก กินอะไรแลว้ ดี ก็ไปแนะน าเพื่อน หากเช่ือเพื่อนก็อยา่ ลมื ไปแจง้ แพทยว์ า่ กนิ ยานี้กบั สมุนไพรตัวนี้ เพอื่ แพทยจ์ ะไดช้ ว่ ยดวู า่ มีผลข้างเคยี งอะไรหรอื ไม่ ใช้แลว้ ควรไปพบ แพทย์ตรวจอาการว่าควรลดยา หยดุ ยา หรอื เพิ่มยา ตามอาการท่ีแพทย์ตรวจพบ หากพบอาการ ผิดปกติ ใหร้ ีบไปพบแพทย์ สตรีมคี รรภ์ หรอื ใหน้ มบุตร และเด็กไมค่ วรทจี่ ะใช้สมนุ ไพรถา้ ไม่จ าเปน็ โดยเฉพาะสมนุ ไพรท่ยี ังไม่มี ข้อมูลยืนยัน ความปลอดภยั เนื่องจากสารบางชนดิ ในสมุนไพร สามารถผ่านรก ขับออกทางน้านม หรือมีผลตอ่ การ เจริญเตบิ โตได้ ในปจั จุบนั การแพทยแ์ ผนไทยมีบทบาทมากขนึ้ ในการเข้าถึงระบบสขุ ภาพของประชาชน ในทางเดยี วนั ประชาชนกเ็ ริ่มหนั มาใหค้ วามสนใจในศาสตร์ดา้ นการแพทย์แผนไทยเพิ่มมากข้นึ เนื่องจาก การแพทย์แผนปัจจบุ นั เพียงระบบเดยี วไมส่ ามารถตอบสนองปญั หาสุขภาพไดอ้ ย่างครอบคลุม จาเป็นต้อง มที างเลอื กในการดแู ลรักษาสุขภาพจงึ ได้นาเอาการแพทย์พ้ืนบา้ นหรอื การแพทย์ดง้ั เดมิ ของแต่ละประเทศ มาเปน็ ทางเลือก 2.6 การใช้สมุนไพรอยา่ งไรใหป้ ลอดภัย ก่อนอน่ื ต้องทาความเขา้ ใจกันก่อนสักเล็กนอ้ ย เพราะเวลาที่เราพดู ถึง “ยาสมนุ ไพร”คนส่วนใหญ่ จะนกึ ถึงเฉพาะสมุนไพรทเ่ี ป็นพชื เทา่ น้ัน ความจรงิ แลว้ ยาสมุนไพรหมายรวมถึง ยาท่ีไดจ้ ากสว่ นของพชื สตั ว์ และแร่ที่ยังไม่ไดผ้ สม ปรุง หรือแปรสภาพ (พระราชบัญญัตยิ า พ.ศ. 2510) (ยกเว้นการทาใหแ้ ห้ง) เช่น พชื กย็ ังเป็นส่วนของราก ต้น ใบ ผล ซ่งึ ยงั ไม่ได้ห่ัน บด หรอื สกัดเอาสารสาคัญออกไป นอกจากพชื
17 สมุนไพรที่นามาใช้เป็นยารักษาโรคต่าง ๆ แล้ว พืช ผัก ผลไม้นานาชนิดที่เรากินกันใน ชีวิตประจาวัน ก็จัดเป็นสมุนไพรเหมือนกัน แต่เป็นสมุนไพรท่ีออกฤทธ์ิอ่อนๆ เรียกว่าเป็นอาหารสมุนไพร ท่ใี ห้ประโยชน์ท้ังเป็นอาหารและยารักษาโรคไปด้วยขณะเดยี วกัน โดยในวันนี้เราจะมาพูดถึง “หลักในการ ใช้ยาสมนุ ไพร” เพอ่ื ให้ประชาชนมีความเข้าใจและสามารถใช้สมนุ ไพรไดถ้ ูกตอ้ งและปลอดภยั สมุนไพร แม้จะเป็นสิ่งท่ีมาจากธรรมชาติ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีอันตรายร้ายแรงเกิดขึ้น เพราะท่สี ดุ แลว้ หากใช้ไมถ่ กู ต้อง ใช้ไม่ถูกกับอาการ ไมถ่ ูกกับโรค ปริมาณขนาดท่ีใช้ไม่เหมาะสม หรือใชก้ ับ ผู้ทีแ่ พ้สมุนไพรบางชนิด ก็อาจเกิดอันตรายท่คี าดไม่ถึงได้เช่นกัน ดังนั้นจงึ เป็นความจาเปน็ อย่างยง่ิ สาหรับ ผู้ที่ต้องการใช้สมุนไพรบาบัดโรค จะต้องศึกษาหาความรู้เก่ียวกับพืชสมุนไพรนั้น ๆ ก่อนทุกครั้ง เพ่ือ ปอ้ งกันอันตรายท่ีอาจจะเกิดข้ึน นอกจากนั้น การนาสมุนไพรมาใช้เป็นยา ยังต้องคานึงถึงรายละเอียดอ่ืน ๆ อีกด้วย เช่น ธรรมชาติของสมุนไพรแต่ละชนิด สายพันธุ์ สภาวะแวดล้อมในการปลูก ฤดูกาล และ ช่วงเวลาเก็บ ซ่ึงส่ิงต่าง ๆ เหล่าน้ีเป็นปัจจัยสาคัญต่อการออกฤทธิ์ในการรักษาโรค ซ่ึงหากทาไม่ถูกต้อง ตามหลักวชิ าการ คณุ ภาพของยาสมุนไพรนั้น ๆ ก็จะด้อยประสิทธิภาพ ดังนั้นถ้าตอ้ งการใช้สมุนไพรอย่าง ให้ได้ผลดีท่ีสุด ก็ต้องใช้อย่างมีความรู้ โดยยึดหลักดังต่อไปนี้ (หลักการใช้ยา, สมาคมเภสัชและอายุรเวช โบราณแห่งประเทศไทย) คือ ใช้ให้ถูกต้น สมุนไพรส่วนใหญ่มีชื่อพ้องหรือซ้ากันมากแล้ว แต่ละท้องถ่ินก็อาจเรียกชื่อแตกต่าง กัน ท้ัง ๆ ที่เป็นพืชชนิดเดียวกัน หรือบางครั้งช่ือเหมือนกัน แต่เป็นพืชคนละชนิด เพราะฉะนั้นจะใช้ สมุนไพรอะไรก็ต้องใช้ให้ถูกต้นจริง ๆ ดังเช่นกรณีของหญ้าปักก่ิงที่ยกตัวอย่างข้างต้นที่นาหญ้าชนิดอ่ืนมา ขายคนทไ่ี มร่ ู้จัก ใช้ถูกส่วน พืชสมุนไพรไม่ว่าราก ดอก ใบ เปลือก ผล หรือเมล็ด จะมีฤทธ์ิในการรักษาหรือบาบัด โรคไมเ่ ท่ากัน แมก้ ระท่งั ผลอ่อน หรือผลแกก่ ม็ ฤี ทธแ์ิ ตกตา่ งกัน ดังนนั้ การนามาใชก้ ต็ อ้ งมคี วามรู้ ใช้ให้ถูกขนาด ธรรมชาติของยาสมุนไพร คือ หากใชน้ ้อยไป ก็จะรักษาไม่ได้ผล แต่ถ้าใช้มากไปก็ อาจเกิดอนั ตรายต่อร่างกายได้ เช่นกัน ใช้ให้ถูกวิธี สมุนไพรที่จะนามาใช้ บางชนิดต้องใช้ต้นสด บางชนิดต้องผสมกับเหล้า บางชนิดใช้ ต้มหรือชง ซงึ่ หากใช้ไมถ่ ูกต้องก็ไมเ่ กดิ ผลในการรกั ษา ใช้ให้ถูกโรค เช่น มีอาการท้องผูก ก็ตอ้ งใช้สมุนไพรท่ีมีฤทธเ์ิ ป็นยาระบาย ถ้าไปใช้สมุนไพรทีมีรส ฝาดจะทาใหท้ ้องยิ่งผกู มากขนึ้ โดย อาการและโรคที่ไม่ควรใช้สมุนไพร หรือถ้าหากจะใช้ควรปรึกษา แพทย์แผนไทยหรือแพทย์ แผนไทยชานาญการ ในการรักษาโรคเหล่าน้ี เนื่องจากยาสมุนไพรเป็นยาท่ีออกฤทธิ์แบบค่อยเป็นค่อยไป และต้องใช้เวลาพอสมควร ดังน้ันหากเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง (เช่น มะเร็ง โรคเอดส์ บาดทะยัก ดีซ่าน) โรคเร้ือรัง (เช่น เบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจ) โรคติดเช้ือต่าง ๆ (เช่น ปอดบวม ไข้ไทฟอยด์ มาลาเรีย วัณโรค กามโรค) เป็นโรคบางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้วา่ สามารถรักษาได้ด้วยสมุนไพรอยา่ งชดั เจน กไ็ มค่ วรท่ีจะเลอื กใช้ยาสมุนไพร นอกจากนี้ หากมอี าการเจบ็ ป่วยรุนแรง เชน่ ปวดศีรษะรุนแรง ปวดท้อง
18 รุนแรง อาเจียนรุนแรง ไอ เป็นเลือด ถ่ายเป็น มูกเลือด ชัก หอบ ตกเลือด ถูกงูพิษกัด เป็นต้น อาการเหล่าน้ีไม่ควรใช้ยาสมุนไพร แต่ควรจะไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุดการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดข้ึน จากการใช้ยาถ้ายาใดไม่เคยกินมาก่อนเลย ควรเริ่มกินในขนาดที่น้อย ๆ ก่อน เช่น กินเพียงครึ่งหนึ่งของ ขนาดท่ีกาหนดให้ รอดูว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายหรือไม่ ถ้าไม่มีจึงค่อยกินต่อไป อย่าใช้ยาเข้มข้น เกินไป เช่นยาท่ีบอกว่าให้ต้มกินธรรมดา ห้ามไปใช้ต้มเคี่ยวกิน เพราะยาจะเข้มข้นเกินไปจนทาให้เกิดพิษ ได้ เช่นยาขับนา้ นม ถ้าต้มเค่ียวจะทาให้ยาร้อนเกนิ ไปจนน้านมแหง้ ได้ควรร้พู ิษของยาก่อนใช้ เพราะไม่มยี า อะไรที่ไม่มีพิษ การรู้จักพิษจะทาให้มีความระมัดระวังในการใช้มากข้ึนไม่ควรกินยาตัวเดียวทุกวันเป็น เวลานาน ๆ โดยไม่จาเป็น โดยทั่วไปไม่ควรกินยาอะไรติดต่อกันทุกวันเกินหน่ึงเดือน เพราะจะทาให้เกิด พิษสะสมข้ึนมาได้ ข้อนี้สาคัญเพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าเป็นยาสมุนไพรคงไม่มีพิษอะไร กินทุกวันคงไม่เป็น อะไร แต่ความจริงคือ ทุกอย่ามีท้ังคุณและโทษ กินมากไปก็อาจเกิดผลไม่ได้ได้เช่นกันคนท่ีอ่อนเพลียมาก เดก็ อ่อนและคนชราหา้ มใชย้ ามาก เพราะคนเหล่าน้ีมกี าลงั ต้านทานยาน้อย จะทาใหย้ าเกิดพิษไดง้ ่าย ดังน้ันก่อนจะใช้ยาสมุนไพรแนะนาให้ท่านไปปรึกษาหรือขอคาแนะนาจากแพทย์แผนไทยใกล้ บ้านท่าน ก่อนท่ีจะเสียโอกาสและเสียเวลาที่จะต้องมารักษาอาการเจ็บป่วยหลังจากการใช้สมุนไพรที่ไม่ ถูกต้องน้ัน เราจาจะต้องศึกษาธรรมชาติของสมุนไพรเหล่านี้เสียก่อนวา่ สมุนไพรเหล่านี้มีลักษณะอย่างไร ควรจะเก็บรักษาไว้เป็นเวลานานเท่าใดจึงจะเสื่อมคุณภาพ และควรเก็บด้วยภาชนะชนิดใดจึงจะไม่ เกิดปฏิกิริยากับสมุนไพรเหล่านี้ และควรเก็บอย่างไร กล่ิน รส ของสมุนไพรเหล่าน้ีจึงจะเสื่อมไป การ อนุรักษ์สมุนไพร พบวา่ สารสกัดจากพืชเหลา่ นต้ี ่างมปี ระสทิ ธิภาพช่วยลดอาการเจบ็ ปวดเรอื้ รงั ของผปู้ ่วยได้ อย่างมีนัยสาคัญเทียบกบั ยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ พืชในวงศ์ขงิ จะมีประสิทธิภาพการในการรกั ษา เทยี บเท่าและยงั ปลอดภยั กว่า เพราะไม่ทาให้เสย่ี งตอ่ ภาวะเกยี่ วกับโรคไตอย่างการใช้ 2.7 ลกั ษณะขา่ ภาพท่ี 2.7 ลกั ษณะของข่า ►ข่า (Galangal) เป็นพืชสมุนไพรไทย ท่ีเป็นท่ีรู้จักกันดี เป็นพืชตระกูลขิง เป็นพืชที่มีลาต้นอยู่ ใตด้ ินเรียกว่า “เหง้า” เปน็ ไม้ล้มลุก มีถิน่ กาเนดิ ในประเทศไทย และในประเทศอินโดนเี ซีย เปน็ ทน่ี ิยมปลูก กันทั่วไปๆ ในประเทศไทย เป็นสมุนไพรไทยที่มาแต่โบราณ มีประโยชน์สรรพคุณทางยา นามารักษาโรค ตา่ ง ๆ ได้หลายอย่าง ขา่ ใหก้ ลน่ิ หอม สามารถนามาประกอบอาหาร เมนูต่าง ๆ ไดม้ ากมายหลากหลายเมนู ข่าเป็นพืชสมุนไพร ท่เี จรญิ เติบโตไดง้ ่ายๆ มีทรงพุ่มสูงประมาณ 1 เมตร หวั ข่ามีเน้ือในสีเหลอื ง มกี ลิ่นหอม เฉพาะ มเี หงา้ ใตด้ ินมเี ปน็ ขอ้ ๆ และมีปล้องชดั เจน มีลาต้นกลมๆ มีสีเขียว ลาต้นจะถูกห่อหุม้ ไปดว้ ยกาบใบ โดยรอบ ๆ มีใบเดย่ี ว กวา้ งรปู วงรี สเี ขียว ดอกเปน็ ชอ่ มสี ขี าว ผลรูปกลมๆ
19 1.ใบข่า เปน็ ใบเด่ยี ว ออกเรียงสลับ มลี ักษณะยาวกวา้ งรปู วงรี สเี ขียว ใบของข่ามรี สชาตเิ ผ็ดร้อน แกพ้ ยาธิได้ 2.ดอกข่า จะออกเปน็ ชอ่ ท่ยี อด มดี อกย่อยขนาดเลก็ กลบี ดอกมีสีขาว ใช้เปน็ ยาทาแกก้ ลาก เกลือ้ นได้ 3.ผลข่า มีลักษณะรปู กลมๆ มสี ีดา จะเปน็ ผลแห้งแตกได้ ใช้เป็นยาช่วยยอ่ ยอาหาร แก้คล่ืนเหียน อาเจยี น 4.หัวข่า มีลักษณะเป็นเหง้า มีเป็นข้อๆและมีปล้องชัดเจน มีรากฝอยๆงอกอยู่ทั่วไป มีสีน้าตาล ออกเหลือง เนื้อในมีสีเหลืองและมีกล่ินหอมเฉพาะ หน่อข่าอ่อนสดใช้รับประทานได้ หัวข่าแก้ท้องอืด ท้องเฟอ้ แกจ้ ุกเสียด แน่นปวดทอ้ ง 2.8 สรรพคุณและประโยชนข์ องขา่ ข่า เป็นพืชในตระกูลเดียวกับขิง มีลาต้นหรือที่เรียกว่าเหง้าอยู่ใต้ดินเป็นแนวนอน ซ่ึงส่วนน้ีเองที่ นยิ มนามาใช้ปรงุ อาหารเพ่ือเพมิ่ รสชาตเิ ผ็ดรอ้ นและกล่นิ หอมน่ารบั ประทาน นอกจากน้ี ข่ายังเป็นสมนุ ไพร ทางเลือกท่ีนิยมใช้รักษาอาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ไม่ว่าจะใช้ทารักษากลากเกล้ือน ช่วยขับลมในระบบย่อย อาหาร บรรเทาอาการปวด และยังมคี วามเชื่อท่ีว่าการรับประทานข่าอาจช่วยต้านมะเร็งได้ ข่าการใช้ข่าเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ นั้นจะให้ผลดีและปลอดภัยจริงหรือไม่ ปัจจุบันมีตัวอย่าง งานวจิ ัยกลา่ วถงึ สรรพคุณทางยาของข่าตามท่ีเช่ือกัน ดงั นี้ 1.ช่วยใหเ้ จริญอาหาร (ข่าหลวง) 2.ช่วยบารุงรา่ งกาย (เหง้า) 3.ชว่ ยบารงุ ธาตุไฟ (หน่อ) 4.ข่ามีสาร 1-acetoxychavicol acetate (ACA) ซึ่งมีฤทธ์ิยับยั้งการเกิดโรคมะเร็งจากการ เหนยี่ วนาของสารก่อมะเรง็ จึงช่วยปอ้ งกันการเกดิ โรคมะเรง็ ไปด้วยในตวั (เหงา้ ) 5.มีฤทธ์ชิ ว่ ยยับยัง้ การเจริญเติบโตของเซลลม์ ะเร็ง (สารสกดั จากเหง้า) 6.สารสกดั จากเหง้ามีฤทธิ์ช่วยช่วยลดระดับน้าตาลในเลือด (สารสกัดจากเหง้า) 7.ช่วยรกั ษาโรคหลอดลมอักเสบ (เหง้าแก่, สารสกัดจากเหงา้ ) 8.ช่วยขับเลือดลมให้เดินสะดวก ช่วยเพ่ิมการไหลเวียนของเลือดและเพ่ิมการเผาผลาญของ รา่ งกายให้ดีขน้ึ (ราก) 9.น้ามันหอมระเหยจากข่ามีประโยชน์อย่างมากต่อระบบทางเดินหายใจ จึงมีส่วนช่วยแก้อาการ หวัด ไอ และเจ็บคอได้เปน็ อยา่ งดี (สารสกัดจากเหงา้ ) 10.ชว่ ยแก้ลมแนน่ หนา้ อก (หน่อ) 11.ชว่ ยแก้ไข้สันนบิ าตหนา้ เพลงิ (เหงา้ แก่) 12.ข่าสรรพคุณทางยาช่วยแก้เสมหะ (เหงา้ , ราก) 13.ช่วยแก้อาการคลื่นไส้อาเจียน เมารถเมาเรือ ด้วยการใช้เหง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 น้ิวฟุต นามาตาจนละเอยี ดแลว้ เติมน้าปูนใส ใช้น้ายาดม่ื ครั้งละคร่ึงแก้ว หลงั อาหาร วนั ละ 3 เวลา (เหง้า)
20 14.ผงจากผลแห้งสามารถนามาใช้รักษาอาการปวดฟนั ได้ ดว้ ยการนาผลไปบดแล้วนามาทา บรเิ วณท่ปี วด (ผลข่า) 15.ใชเ้ ป็นยาแกท้ ้องขึน้ ท้องอืดท้องเฟ้อ จกุ เสยี ดแน่นท้อง ทอ้ งเดนิ ด้วยการใชเ้ หง้าข่าแก่สด ยาวประมาณ 1 น้วิ ฟตุ นามาตาจนละเอยี ดแลว้ เติมน้าปนู ใส ใช้นา้ ยาดืม่ ครั้งละครึ่งแก้ว หลงั อาหาร วันละ 3 เวลา (เหงา้ ) 16.ดอกขา่ ใชร้ บั ประทานชว่ ยแกอ้ าการท้องเสยี ได้ (ดอก) 17.ชว่ ยขบั ลมในลาไส้ ด้วยการใชเ้ หงา้ ขา่ แก่สด ยาวประมาณ 1 นว้ิ ฟุต นามาตาจนละเอียดแลว้ เตมิ นา้ ปนู ใส ใชน้ า้ ยาดม่ื ครง้ั ละครึง่ แก้ว หลังอาหาร วันละ 3 เวลา (เหง้า) 18.ข่ามสี รรพคณุ ชว่ ยแก้บดิ ปวดมวนท้อง ลมป่วง ด้วยการใชเ้ หงา้ ขา่ แก่สด ยาวประมาณ 1 นิ้ว ฟตุ นามาตาจนละเอยี ดแล้วเติมน้าปนู ใส ใช้นา้ ยาดมื่ คร้ังละครึง่ แก้ว หลงั อาหาร วันละ 3 เวลา (เหง้า) 19.ชว่ ยรกั ษาโรคทอ้ งรว่ ง (ผลขา่ ) 20.ชว่ ยแก้อาการอาหารเปน็ พษิ (เหงา้ ) 21.เหงา้ ข่าแกช่ ่วยย่อยอาหาร ช่วยแก้อาการอาหารไม่ยอ่ ย (เหง้าแก่, ผลขา่ ) 22.มฤี ทธเ์ิ ปน็ ยาระบายอ่อน ๆ (เหง้า) 23.ช่วยยบั ยั้งแผลในกระเพาะอาหาร (เหง้า) 24.ช่วยทาลายสารพิษท่ตี กคา้ งในลาไส้ (สารสกัดจากเหงา้ ) 25.ช่วยลดการบบี ตวั ของลาไส้ (สารสกดั จากเหงา้ ) 26.ชว่ ยขับน้าดี (เหง้า) 27.ช่วยแก้ดพี ิการ (ขา่ หลวง) 28.ช่วยขบั เลือด ขับนา้ คาวปลา ขับรก ดว้ ยการใชเ้ หงา้ นามาตากับมะขามเปยี กและเกลือ ให้ ผูห้ ญิงรับประทานหลังคลอด (เหงา้ ) 29.ใช้เป็นยารกั ษาแผลสด (สารสกัดจากเหงา้ ) 30.ชว่ ยลดอาการอักเสบ (เหง้า) 31.สารสกดั จากเหง้ามีฤทธ์ิชว่ ยต้านอาการแพ้ต่าง ๆ (สารสกัดจากเหงา้ ) 32.ช่วยแก้พิษจากแมลงสตั ว์กัดตอ่ ย (สารสกัดจากเหง้า) 33.ใชร้ ักษาโรคผิวหนังต่าง ๆ (เหง้า) 34.ชว่ ยฆ่าเช้ือแบคทีเรียและเช้อื รา (สารสกัดจากเหง้า) 35.ชว่ ยฆา่ พยาธิ (น้ามันหอมระเหย, ใบ) 36.ชว่ ยรักษากลากเกลือ้ น ด้วยการใชเ้ หงา้ แกเ่ ทา่ หัวแม่มือ นามาตาจนละเอียดผสมกับเหล้าโรง ใช้ทาบรเิ วณท่เี ปน็ กลากเกล้ือนบ่อย ๆ จนกว่าจะหาย (เหง้า, ใบ) 37.ช่วยแกฝ้ ีดาษ (ดอกของขา่ ลงิ ) 38.ใช้เปน็ ยาแกล้ มพิษ ด้วยการใชเ้ หงา้ ข่าแก่ ๆ ท่ีสด 1 แงง่ นามาตาจนละเอียด แล้วเติมเหลา้ โรงพอแฉะ และใช้ทงั้ น้าและเน้อื นามาทาบรเิ วณที่เปน็ ลมพิษบอ่ ย ๆ จนกวา่ อาการจะดขี ึ้น (เหงา้ ) 39.ชว่ ยแก้โรคนา้ กัด ด้วยการใชเ้ หงา้ แกส่ ดขนาดเทา่ หวั แม่มือ นามาตาให้ละเอียดแลว้ เติมเหล้า
21 โรงพอทว่ ม ท้ิงไว้ 2 วนั แล้วใช้สาลชี บุ แลว้ ทาบริเวณทีเ่ ปน็ วันละ 3 รอบ (เหง้า) 40.ชว่ ยแกฟ้ กช้า ข้อเท้าแพลง เคลด็ ขัดยอก ดว้ ยการใชเ้ หงา้ แกต่ าละเอียด นามาพอกบรเิ วณทม่ี ี อาการ หรือตาให้ละเอยี ดแล้วนาไปแช่กบั เหล้าขาวหรอื น้าส้มสายชูท้งิ ไว้ 1 วัน กรองเอาแตน่ ้ามาใชท้ า บริเวณทเี่ ปน็ (เหง้า) 41.ช่วยแก้ตะคริว (เหงา้ ) 42.ช่วยแกเ้ หน็บชา (เหง้า) 43.ชว่ ยแก้อาการปวดเมื่อยตามกลา้ มเน้ือ อาการปวดบวมตามข้อ ดว้ ยการใช้ตน้ ข่าแกน่ ามาตา ผสมกับน้ามันมะพรา้ วแลว้ ทาแก้อาการ (ตน้ แก่, ใบ, สารสกัดจากเหงา้ ) 44.ดอกและลาตน้ อ่อนสามารถใชร้ ับประทานเป็นผักสดได้ (ลาตน้ , ดอก) 45.เหงา้ ของขา่ ลิง เอามาต้มน้าแลว้ นานา้ มาผสมกบั สุรา จะช่วยเพมิ่ ดกี รขี องสรุ า ทาให้ดีกรีไม่ตก สรุ ามกี ลิน่ ฉุนแรงมากขนึ้ (เหง้าของขา่ ลิง) 46.ช่วยแก้กามโรค (เหง้าของขา่ ลิง) 47.ช่วยบารงุ สมรรถภาพทางเพศ 48.สารสกัดจากเหงา้ ขา่ มีฤทธิ์ช่วยฆ่าแมงลงวนั ได้ (สารสกดั จากเหงา้ ) 49.ช่วยไล่แมลง ดว้ ยการใชเ้ หง้านามาตาให้ละเอียดเพ่ือเอานา้ มนั หอมระเหย แล้วนาไปวางใน บรเิ วณที่มแี มลง (เหง้า) 50.ข่ามีเหง้าท่ีมีน้ามันหอมระเหย มกี ลิ่นหอม สามารถใช้ดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ กุ้ง หอย ปู ปลาได้เปน็ อย่างดี (สารสกัดจากเหง้า) 51.ในบางประเทศใชข้ ่าเพ่ือช่วยระงับกลิน่ ปากและใชด้ บั กลิน่ กาย 52.นามาใช้ประกอบอาหารได้หลายชนิดไมว่ ่าจะเป็น ตม้ ข่าไก่ ตม้ ยากงุ้ ตม้ ยาปลา แกงมัสมน่ั แกงเทโพ แกงไตปลา ผัดเผ็ด ลาบ ฯลฯ 53.มกี ารนาขา่ ไปผลิตหรือแปรรูปเป็นเครอ่ื งดื่มหรือชา ทาลูกประคบ สเปรย์ดับกลิ่น ฯลฯ การใชข้ ่าเป็นยารักษาโรคต่าง ๆ น้ันจะให้ผลดีและปลอดภัยจริงหรอื ไม่ ปัจจบุ นั มีตวั อย่าง งานวจิ ัยกลา่ วถงึ สรรพคุณทางยาของขา่ ตามทเี่ ชือ่ กนั ดังนี้ รักษากลากเกลื้อน มกี ารแนะนาใหใ้ ชข้ ่าปอกเปลือกฝานเป็นแว่นหรือทุบพอแตก นาไปแชเ่ หล้า ขาวหรือแอลกอฮอล์ทงิ้ ไวส้ กั 1 คืน แล้วใชท้ าบรเิ วณที่เปน็ กลากหรอื เกลือ้ นแรง ๆ ทาซ้า 4-5 วัน จะชว่ ย ให้โรคผิวหนังทเี่ กิดจากการติดเชอ้ื ราอย่างกลากหรือเกล้ือนดขี ้นึ ได้ ซง่ึ คุณสมบัติในด้านการฆ่าเชอ้ื ราของ ขา่ น้นั มีงานวจิ ัยพบว่าสารสกดั จากเหงา้ ข่าแห้งมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชือ้ รา Trichophyton Mentagrophytes ซึ่งเป็นสาเหตขุ องโรคกลาก โดยพบว่าในสารสกัดจากขา่ มสี ารออกฤทธ์บิ างชนดิ ทช่ี ว่ ย ต้านเชอ้ื รา และในขา่ แหง้ 1 แผ่นบาง ๆ จะมีสารนี้ 1.5 เปอรเ์ ซน็ ต์ซ่ึงเป็นเชือ้ โรคฉวยโอกาสท่ีจะทาให้ ผู้ป่วยทมี่ ภี ูมิคมุ้ กนั ต่าเกิดการตดิ เชือ้ นอกจากน้ี ยังมีอกี งานวจิ ัยหนึ่งทก่ี ลา่ วตรงกนั วา่ สารสกัดข่าดว้ ยเม ทานอลมีคุณสมบัติต้านจลุ ินทรียก์ ่อโรค หากมีการพิสจู นท์ ่ยี ืนยนั ได้วา่ ข่ามีคณุ สมบัติดงั กล่าวเม่ือใช้กบั คน จริง ภายหนา้ วงการแพทย์อาจมีการพฒั นายาตวั ใหม่โดยใช้สารสกดั จากข่าเป็นหนงึ่ ในสว่ นผสมกไ็ ด้
22 ภาพที่ 2.8 พชื สมนุ ไพรข่า งานวิจัยดังกล่าวยังบอกอีกว่าอาจไม่ใช่ข่าทุกชนิดท่ีมีคุณสมบัติน้ี เพราะจากการทดสอบในข่าตา แดงหรอื ขิงน้ันไม่พบสารต้านเชื้อราดงั กล่าว สอดคล้องกับอีกงานวจิ ัยหน่ึงท่ีช้ีว่าข่าตาแดงมีคุณสมบัติต้าน แบคทีเรียบางชนิดในระดับปานกลาง แต่เม่ือทดลองกับเช้ือราบางสกุลปรากฏว่าไม่สามารถต้านเช้ือรา เหล่าน้นั ได้ อย่างไรก็ตาม การศึกษาข้างต้นเป็นการทดลองที่ทาในห้องปฏิบัติการและปัจจุบันยังไม่มีการนา ข่ามาทดสอบกับผู้ป่วยโรคกลาก โรคเกล้ือน หรือโรคผิวหนังติดเช้ือราชนิดใด ๆ โดยตรง จึงไม่อาจยืนยัน ว่าจะมีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากน้อยเพียงใดในการรักษาจริง ข่าจะช่วยฆ่าเชื้อราได้ทุกชนิด หรือไม่ อย่างไร คงต้องรอดูผลการพิสูจน์ที่อาจมีขึ้นในอนาคต ระหว่างนี้ผู้ท่ีต้องการใช้ข่ารักษาตามวิธี ดงั กล่าวจึงควรใช้อยา่ งระมัดระวงั และควรไดร้ ับการรกั ษาแบบแพทย์แผนปจั จบุ นั หากอาการยงั ไมด่ ขี น้ึ ขับลม บรรเทาอาการอาหารไม่ย่อย เช่ือกันว่าข่ามีฤทธ์ิช่วยขับลมในระบบย่อยอาหาร บรรเทา อาการทอ้ งอืด ท้องเฟ้อ บ้างกล่าวว่าให้นาเหง้าข่าสด 5 กรมั หรือเหง้าแหง้ 2 กรมั ต้มน้าจนเดือดแล้วด่ืม บ้างก็แนะนาให้ใช้หัวข่าตาละเอียด นามาผสมน้าปูนใส 2 แก้วด่ืมรักษาอาการแน่นจุกเสียดจากอาหารไม่ ย่อย แต่ด้วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ท่ีไม่ค่อยมีการกล่าวถึงคุณสมบัติด้านการขับลมของข่า หากอยาก ลองใช้ข่าเพ่ือขับลมหรือบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยจึงควรคานึงถึงความเหมาะสมของการใช้ เช่น ใช้ที่ ปริมาณแตพ่ อดแี ละไมใ่ ชต้ อ่ เนื่องยาวนานเกนิ ไป บรรเทาอาการปวด ภายในเหง้าข่าอาจมีสารบางชนิดท่ีช่วยลดการอักเสบ ข้อมูลสนับสนุน สรรพคณุ น้ขี องข่ามกี ารรวบรวมการศึกษาท่ีพสิ ูจนป์ ระสิทธิภาพด้านการลดความเจบ็ ปวดของพชื ในวงศ์ขิง ได้แก่ ขมิ้นชัน ขิง และข่า โดยพบว่าสารสกัดจากพืชเหล่านี้ต่างมีประสิทธิภาพช่วยลดอาการเจ็บปวด เร้ือรังของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสาคัญ นอกจากน้ี งานวิจัยต่าง ๆ ยังพบว่าเมื่อเทียบกับยาแก้อักเสบชนิดไม่ มีสเตียรอยด์ พืชในวงศ์ขิงจะมีประสิทธิภาพในการรักษาเทียบเท่าและยังปลอดภัยกว่า เพราะไม่ทาให้ เสีย่ งตอ่ ภาวะเกีย่ วกับโรคไตอย่างการใช้ยาแก้อักเสบชนดิ ไมม่ สี เตยี รอยด์ ท้ังนี้ การทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่าท่ีมีเป็นงานวิจัยขนาดเล็ก ทาให้ไม่อาจระบุประสิทธิภาพ และความปลอดภัยของการใช้ข่าได้อย่างชัดเจน นอกจากน้ี การใช้พืชใตระกูลข่ายังอาจสัมพันธ์ต่อความ เส่ียงในการมีเลอื ดออกมากยิ่งขึน้ เชน่ เดยี วกบั ยาแก้อกั เสบชนิดไม่มีสเตยี รอยด์ จึงไมส่ ามารถบอกไดว้ ่าการ ใช้ขา่ จะปลอดภัยกว่าในทุกด้าน และปจั จุบนั ยงั ไมม่ ีการวิจัยเปรยี บเทียบความเส่ียงข้อนี้ รวมถึงการศกึ ษา เปรยี บเทยี บประสิทธภิ าพระหวา่ งสารสกดั จากขงิ ข่า และขม้นิ ชัน ว่าชนิดใดจะเห็นผลดมี ากกวา่ กัน
23 ต้านมะเร็ง งานวิจัยบางงานพบว่าสารสกัดจากเหง้าข่ามสี ารบางชนิดที่เป็นพิษต่อเซลลม์ ะเร็งของ ร่างกายมนุษย์ท่ีนามาทดสอบ โดยอาจมีฤทธ์ิต้านมะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งเม็ดเลือด มะเร็ง กระเพาะอาหาร มะเร็งลาไส้ใหญ่ ส่งผลให้เซลล์มะเรง็ มดลูกไวตอ่ ยาเคมบี าบัดอยา่ ง Daunomycin ย่ิงขึ้น รวมทั้งบางงานกลา่ ววา่ สารสกัดเหงา้ ขา่ ด้วยเมทานอลมีคุณสมบัตติ ้านเซลล์มะเร็งต่อมน้าเหลอื งได้ อยา่ งไร กต็ าม การทดลองทัง้ หมดนลี้ ้วนเกิดขึ้นในห้องทดลอง ไม่ได้ทดสอบกับมนษุ ย์โดยตรง การหยดสารจากข่า ลงบนเซลล์มะเร็งกับการรับประทานที่ต้องผ่านกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายย่อมแตกต่างกัน ไมส่ ามารถ นามาสรุปไดว้ า่ การรับประทานขา่ จะมผี ลในการฆา่ เซลลม์ ะเร็งได้แบบเดียวกนั ตา้ นการติดเช้ือแบคทีเรีย จากการทดลองเปรียบเทยี บระหว่างสารสกัดเหง้าข่าดว้ ยแอลกอฮอล์ผสมน้าโดย การหมักเย็น การหมักร้อน หรือสารสกัดเหง้าข่าด้วยเมทานอล โดยข่าที่ใช้ในการทดลองน้ีคือข่าแดง พบว่าสารสกัดจากทุกกระบวนการต่างมีสารประกอบสาคัญอย่างแทนนิน (Tannins) อัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซาโปนิน (Saponins) รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูงอย่างฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) แต่การหมักด้วยความร้อนจะพบสารฟีนอล (Phenol) และฟลาโวนอยด์มากกว่าวิธีอ่ืน ๆ นอกจากน้ี จากการทดสอบสารสกัดจากข่าด้วยท้ัง 3 วิธี พบว่ามีประสิทธิภาพในการ ต่อต้านแบคทีเรีย Bacillus Cereus และแบคทีเรีย Staphylococcus Aureaหต้นเหตุของอาการอาหาร เป็นพิษ แบคทีเรีย Escherichia Coli ท่ีเป็นสาเหตุของโรคอุจจาระร่วง และแบคทีเรีย Pseudomonas Auroginosa ซงึ่ เป็นเชื้อโรคฉวยโอกาสท่ีจะทาให้ผู้ป่วยท่ีมีภูมิคุ้มกันต่าเกิดการติดเช้ือ นอกจากน้ี ยังมีอีก งานวิจยั หนึง่ ที่กล่าวตรงกันว่าสารสกัดข่าด้วยเมทานอลมีคุณสมบัติต้านจุลินทรียก์ ่อโรค หากมกี ารพิสูจน์ท่ี ยนื ยันได้วา่ ข่ามีคุณสมบัตดิ ังกล่าวเมอ่ื ใชก้ ับคนจริง ภายหน้าวงการแพทยอ์ าจมีการพัฒนายาตวั ใหม่โดยใช้ สารสกัดจากข่าเปน็ หนงึ่ ในสว่ นผสมกไ็ ด้ 2.9 ความปลอดภยั ในการใช้ข่ารักษาโรคต่าง ๆ การรับประทานข่าในปริมาณที่พบได้จากอาหารท่ัวไปค่อนข้างมีความปลอดภัยสาหรับคนส่วน ใหญ่ ส่วนการรับประทานข่าเพ่ือรักษาโรคซ่ึงอาจต้องใช้ในปริมาณมากนั้นอาจจะไม่เป็นอันตราย แต่ยังไม่ สามารถยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าควรใช้ในปริมาณเท่าใดจึงจะปลอดภัย ทั้งยังข้ึนอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ ประกอบ เช่น อายุ สุขภาพโดยรวม โรคประจาตัว ดังน้ัน ก่อนใช้ข่าหรือผลิตภัณฑ์จากข่าจึงควรปรึกษา แพทย์และทาตามคาแนะนาบนฉลากอยา่ งเคร่งครัด นอกจากน้ี กลุ่มที่ต้องระมัดระวังในการใช้ข่าสาหรับรักษาโรคเป็นพิเศษก็คือหญิงตั้งครรภ์และ สตรีทก่ี าลงั ใหน้ มบุตร เนอ่ื งจากยังไมม่ ีข้อมูลเกีย่ วกบั การใช้ข่าในช่วงระหวา่ งเวลาดังกล่าวทยี่ นื ยันถงึ ความ ปลอดภัยในการใช้ คุณแม่ที่ต้ังครรภ์หรือให้นมบุตรควรหลกี เลี่ยงการใช้เป็นดีที่สุด หรือหากใช้ก็ควรได้รับ คาแนะนาจากแพทยก์ ่อนเสมอ ข่ายังอาจทาปฏิกิริยากับยารักษาโรคบางชนิดอย่างยาลดกรดหรือยาท่ีมีฤทธิ์ลดกรดในกระเพาะ อาหาร เนื่องจากข่าอาจมีฤทธ์ิเพ่ิมกรดในกระเพาะอาหาร จึงอาจส่งผลให้ยาลดกรดท่ีรับประทานมี ประสิทธิภาพลดน้อยลง ผู้ท่ีใช้ยาประเภทดังกล่าวควรระมัดระวังและสังเกตอาการตนเองขณะใช้ข่าใน ปรมิ าณมากเพอ่ื รกั ษาโรคใด ๆ ด้วย
24 นอกจากการใช้เป็นยาข้างต้นแล้ว ข่ายังใชเ้ ป็นสมุนไพรฆ่าแมลงในแปลงผักไดอ้ ย่างปลอดภัย ช่วย ดับกลิ่น ท้ังกลนิ่ เหม็น กลิ่นคาว และกลิ่นตวั ไดอ้ ย่างน่าท่ึง ในสมัยก่อนถา้ ใครมกี ล่ินตวั เขาจะแนะนาให้ใช้ ข่าทั้ง ๕ ต้มอาบ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรก็ได้มีการนาข่ามาทาเป็นสเปรย์ข่าดับกล่ินเท้าท่ีช่วย แก้ปวดเมอื่ ได้อกี แรงผสมไปกบั การนวดที่แผนกแพทย์แผนไทย ปัจจุบันมีการวิจัยพบว่า ข่ามีสรรพคุณแก้ปวดแก้อักเสบที่ดีมาก และยังมีฤทธ์ิต้านอนุมูล อิสระ ต้านมะเรง็ ตา้ นเน้ืองอก ขยายหลอดลมน้ามนั หอมระเหยในข่ามฤี ทธ์ิฆา่ เชื้อแบคทีเรียและรา ซ่ึงเป็น หลักฐานสนบั สนุนสรรพคณุ ทางยาของขา่ ตามท่คี นไทยใชก้ นั มาแต่โบราณ 2.10 วธิ ีการปลูกข่า ภาพที่ 2.10 การปลกุ ข่า ข่า เป็นพืชสมุนไพรที่มีรสเผ็ดร้อน เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นิยมนามาเป็นส่วนปะกอบในการ ทาอาหารของบ้านเรา นอกจากรสชาติท่ีเป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังมีสรรพคุณท่ีมีประโยชน์ต่อร่างกาย มากมาย ใครที่อยากจะปลูกข่าไว้กินเองหรือไว้ขาย มาดูวิธีการปลูกข่าแบบง่ายๆกันค่ะ ปลูกครั้งเดียว สามารถเก็บได้ตลอดปีเลย การเตรยี มดินปลูก วิธีการเตรียมแปลง และดินปลูก ให้เร่ิมจากพรวนหน้าดินให้ลึกอย่าน้อย 50 เซนติเมตร จากนนั้ ให้ทาการกลบทับด้วยปุ๋ยแกลบ แลว้ ตากไว้ 7-10 วนั แล้วคอ่ ยนาฟางมาคลุมทับอกี ที ซ่ึงขา่ จะชอบ ดินท่ีมีลักษณะร่วนซุย และมีความช้ืนมาก ดินแบบน้ีจะทาให้ข่าเติบโตได้ดี แต่ไม่ควรให้มีน้าขังเพราะจะ ทาใหห้ วั ตน้ ข่าเน่าได้ การเตรียมต้นข่า ตน้ พันธ์ุ ที่เหมาะจะนามาปลูกคือ ต้นท่มี อี ายปุ ระมาณ 1.6 ปี โดยก่อนจะนาลงดนิ ควรล้างน้าเอา ดินท่ีติดอยู่ต้นออกให้สะอาดก่อน จากน้ันก็ให้นาไปแช่ใน น้ายาเร่ง ราก เสร็จแล้วก็ให้นาไปเพาะไว้ในขุย มะพร้าวท่ีชุ่มน้า รอเวลา 10-15 วัน จะเริ่มมีรากอ่อนงอกออกมา ค่อยนาไปปลูกลงดินท่ีเตรียมไว้ได้เลย สาหรับการรองก้นหลุมแล้วจึงกลบดินถมให้ลึกประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร ปักต้นข่า 1-3 ต้น ลงหลุม ปลูก โดยให้ตาของหน่อข่าช้ีขึ้นด้านบน ท้ิงระยะห่างระหว่างกอที่ปลูก 60 เซนติเมตร – 1.2 เมตร แล้ว คลุมด้วยฟางหรือวัสดุท่ีเหลือใช้ในครัวเรือนเพื่อป้องกันการระเหยของน้าจากการถูกแดดเผาแล้วนาไป ปลกู ในแปลงท่เี ตรยี มไว้
25 ภาพท่ี 2.10 การเตรียมตน้ ข่า การเตรยี มต้นพนั ธุ์ ปลูกโดยใช้ต้นพันธ์ุ เลือกอายุ 8 เดือนถึง 1 ปีคร่ึง ซ่ึงเหมาะในการนามาปลูก แตกแขนงดี แข็งแรง และมีตามาก รากงอกง่าย นาข่าที่ได้มาแยกแง่ง ตัดใบและรากรวมถึงส่วนที่เน่าหรือช้า ออกให้ หมด แล้วล้างให้สะอาด จากน้ันนาต้นพันธุ์ท่ีเตรียมแล้ว ไปแช่น้ายาเร่งรากและน้ายากันเชื้อรา ประมาณ 20 นาที ถ้าเหงา้ ไหนใหญ่เกินไปก็ตัดแบ่งออก บรเิ วณรอยแผลท่ตี ัดให้ทาด้วยปูนกินหมากตรงแผลจะช่วย ปอ้ งกันเช้ือราได้ จากนัน้ นาไปเพาะชาในวสั ดุปลูกชนิดอ่อน เชน่ แกลบ หรือ ขุยมะพรา้ ว แล้วรดน้าให้ชุ่ม เป็นเวลา 10-15 วัน รอรากงอกและแทงยอดออกมาใหม่ประมาณ 10-15 วัน เพ่ือเพ่ิมอัตราการรอดแล้ว ค่อยนาไปปลูกลงดิน หากท่านใดไม่อยากรอก็สามารถนาเหง้าข่าที่แช่น้ายาแล้ว ลงปักดินปลูกได้ทันที ปลกู ขา่ เป็นกอ นาขา่ ท่ไี ดม้ าตัดใหไ้ ด้ความยาว 30 เซนติเมตร แลว้ นาไปปลกู ในแปลงที่เตรยี มไว้ การปลกู ขา่ ให้ได้ผลด ขุดหลุมให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตรและกว้าง 30 เซนติเมตร แล้วอาจจะรองก้นหลุมด้วยใบ สะเดา ยาสูบห่ันฝอย หรือพืชที่มีกล่ินฉุนเพ่ือดักทางแมลงหรือหนอน แล้วตามด้วยปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก (หลีกเล่ียงการใช้มูลวัวเพราะง่ายต่อการแพร่ของหนอนกอ) สาหรับการรองก้นหลุมแล้วจึงกลบดินถมให้ ลึกประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร ปักต้นข่า 1-3 ต้น ลงหลุมปลูก โดยให้ตาของหน่อข่าชี้ข้ึนด้านบน ท้ิง ระยะห่างระหว่างกอท่ีปลูก 60 เซนติเมตร – 1.2 เมตร แล้วคลุมด้วยฟางหรือวัสดุท่ีเหลือใช้ในครัวเรือน เพ่อื ปอ้ งกันการระเหยของนา้ จากการถูกแดดเผา การดแู ลรักษาหลงั การปลกู ใช้ปุ๋ยหมกั หรือปุ๋ยชีวภาพทาเอง เช่น จากการหมกั ผักตบชวากบั มูลไก่และแกลบ หรือจากวัสดุอื่น ท่ีหาเองได้ โดยใส่บริเวณโคนห่างต้น 5-10 เซนติเมตร (รากฝอยจะค่อยๆแผ่ขยายออกมาหาอาหารกิน) อย่างน้อยเดือนละครั้งโดยใช้ปริมาณตามความเหมาะสมในสัดส่วนที่ปลูก รดน้า 2-4 ครั้ง ต่อเดือน เพยี งพอชุ่มชนื้ โดยสังเกตความชืน้ ในดินไมใ่ หแ้ ฉะหรอื นา้ ขงั การปลกู ขา่ ตามคาแนะนาของคุณเบียร์ จะมี 3 แบบ ซ่ึงจะช่วยให้เกษตรกรได้รับผลตอบแทนที่ต่างกัน แต่ การลงทุนก็มีความแตกต่างเช่นกันดังนี้ หรือ สังเกตหน้าดิน หากยังชุ่มอยู่ไม่ต้องให้น้า หากหน้าดินแห้งก็ ใหน้ า้ เพม่ิ เตมิ ดงั ตอ่ ไปนี้
26 แบบที่ 1 ใช้ก่ิงพันธุ์ข่า 500 กิโลกรัม ลงปลูกหลุมละ 1 ต้น ได้ 2,350 กอ ระยะห่างในการปลูก 80x60 เซนตเิ มตร เก็บผลผลิตได้ 1,500 กิโลกรัม แบบนใ้ี ช้เงินลงทุนเฉพาะคา่ พนั ธ์ุ 15,000 บาท เม่ือขายข่าจะมี รายได้เทา่ กับ 1,500x30 บาท เทา่ กับ 45,000 บาท แบบท่ี 2 ใชก้ ่ิงพันธข์ุ ่า 1,000 กิโลกรัม ลงปลูกหลุมละ 2 ต้น ได้ 2,350 กอ ระยะห่างในการปลูก 80x60 เซนตเิ มตร เก็บผลผลิตได้ 3,000 กิโลกรัม แบบน้ีใช้เงินลงทนุ เฉพาะคา่ พันธ์ุ 30,000 บาท เม่อื ขาย ข่า จะมรี ายได้เทา่ กับ 30,000x30 บาท เทา่ กับ 90,000 บาท แบบท่ี 3 ใช้ก่ิงพันธขุ์ ่า 1,500 กิโลกรมั ลงปลูกหลมุ ละ 3 ต้น ได้ 1,500 กอ ระยะห่างในการปลูก 100x100 เซนติเมตร เก็บผลผลิตได้ 4,500 กโิ ลกรัม แบบนี้ใช้เงินลงทุนเฉพาะค่าพันธ์ุ 45,000 บาท เม่ือ ขายข่าจะมีรายไดเ้ ท่ากับ 4,500 x 30 บาท เทา่ กบั 135,000 บาท การลงทุนพนั ธ์ุข่ากิโลกรัมละ 30 บาท การรับซ้อื คืนในราคากโิ ลกรัมละ 30 บาท ซึ่งคุณเบียร์บอก ว่า หากเกษตรกรทา่ นใดสนใจ ลงทุนปลูกข่าภายใต้การแนะนาตามแนวทางของคณุ เบียร์นน้ั คุณเบยี รย์ นิ ดี รับซื้อผลผลิตคืนให้ทุกคน ซ่ึงราคารับซื้อนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุน เพราะลงทุนครั้งเดียว สามารถเร่ิม เกบ็ เกี่ยวคร้ังแรกเม่ือข่าอายุครบ 8 เดือน จากนนั้ นบั ตอ่ เน่ืองอีกทุก 4-6 เดือน ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิต ขา่ ได้ตอ่ เนอ่ื งนาน 10 ปี โดยไมต่ อ้ งลงทนุ ใหม่ การใหน้ ้าแปลงขา่ ในรอบหนึ่งเดือน ให้น้าข่า 2 คร้ัง คือ วันท่ี 1 และ 16 โดยตื่นตีห้าฉีดพ่นให้ปุ๋ยทางใบแก่ต้นข่า จากนน้ั เปิดน้าใสใ่ ห้แปลงขา่ ชุ่มโชกจนถึงประมาณเท่ียงวันก็หยดุ จากนนั้ ก็ปลอ่ ยใหน้ ้าหน้าดนิ คอ่ ยๆ ซมึ ลง ไปในแปลงข่าเอง พอวนั ท่ี 16 ก็ทาเหมือนกันอีกรอบ หรือ สังเกตหน้าดิน หากยังชุ่มอยู่ไม่ต้องให้น้า หาก หนา้ ดนิ แห้งก็ให้น้าเพมิ่ เติม การให้ป๋ยุ แนะนาให้ใช้เฉพาะปุ๋ยขี้ไก่แกลบเท่าน้ัน และเสริมด้วยปุ๋ยเคมีเล็กน้อย ด้วยระยะเวลาการเติบโต 8 เดือน ในช่วงเดือนที่ 1-4 ใช้ปุ๋ยสูตร 46-0-0 ช่วงเดือนที่ 5-7 ให้ใช้สูตร 0-0-60 ใส่โดยโรยรอบกอข่า ระยะห่าง 10 เซนติเมตร เพราะรากฝอยจะออกมาหาปุ๋ยกินเอง เพียงเท่าน้ี เอาใจใส่ตามคาแนะนา ก็ สามารถปลูกขา่ ตาแดง ให้ไดผ้ ลผลิตดี ตรงตามความต้องการแน่นอน เคลด็ ลบั ทเี่ กษตรกรควรรู้ คอื ทกุ คร้ังท่ีเกษตรกรขุดข่าออกแล้ว ควรกลบหลุมข่าท่ีขุดแล้วด้วยแกลบดาให้พูนเป็นหลังเต่าทั่วท้ัง กอขา่ จะช่วยใหข้ า่ มีสสี วย และทาใหข้ า่ ขุดง่ายในคราวต่อๆ ไป ช่วงเศรษฐกิจเดี๋ยวน้ีหรือมนุษย์เงินเดือนสมัยนี้น้ันจะต้องการหลุดพ้นจากบ่วงกรรมวงเวียนของ ออฟฟิศซ่ึงหลายคนก็เลือกที่จะไปบ้านเกิดและเร่ิมต้นการเป็นชาวเกษตรกร บางคนก็ตัดสินใจถูกแต่บาง คนก็ตัดสินใจผิดเพราะไม่รู้ว่าตัวเองนั้นจะต้องเตรียมตัวอย่างไรก่อนที่ตัวเองนั้นจะเป็นเกษตรกรเต็มตัว ฉะน้ันวันน้ีเราจึงมีสามเร่ืองท่ีคนท่ีคิดจะเป็นเกษตรกรจะต้องรู้ก่อนซึ่งบอกเลยว่ารู้ไว้ก็ทารายได้ได้อย่าง งามอย่างแน่นอน 1. อุดมการความคิดในการทาเกษตร
27 ซึ่งหากคุณณัฐตัดสินใจก้าวออกมาจากออฟฟิศและคิดท่ีจะเร่ิมทาเกษตรจริงๆฉะน้ันส่ิงแรกท่ีคุณ จะต้องมีน่ันก็คือความมุ่งมั่นไม่ใช่แค่รู้สึกว่าอยากจะทาก็ทาหรือเพียงทาเพราะตามกระแสแบบคนอ่ืนเค้า ทากันแลว้ กห็ นั ไปทาบ้างแบบนมี้ ันไมใ่ ช่ เพราะเม่ือเราน้ันจะอุปสรรค์ท่ีหนักหนัก ก็จะทาให้เรารู้สึกท้อถอยแล้วก็เลิกไปได้เหน่ือยก็มีบาง คนพอทาทาไปก็รู้สึกเบ่ือรู้สึกใครอยากรู้สึกแบบมันไม่ใช่ความผิดตัวเองก็เลือกไปหาพี่ใหม่ใหม่ทาฉะน้ัน ควรทาเพราะตอ้ งการอยากอนุ่ ใจทาไมง่ ัน้ มันก็ไม่มวี ันทจ่ี ะประสบความสาเรจ็ 2. มอี งคค์ วามรใู้ นการทาเกษตร แนน่ อนวา่ การท่เี รานน้ั จะจบั การทาเกษตรให้เป็นการสรา้ งรายไดห้ ลกั ของเราเรากต็ ้องเรียนรู้ทจี่ ะ หาแนวทางในการสร้างผลกาไรแต่รถต้องทุนในการผลิตแตใ่ นการลดต้นทุนนี้กส็ ามารถเพ่ิมผลผลติ ของเรา ได้เป็นอยา่ งดดี ว้ ยฉะนัน้ เราตอ้ งร้จู ักการพฒั นาซ่งึ บอกเลยวา่ ชาวเกษตรส่วนใหญ่นั้นจะขาดสง่ิ น้ีไป เพราะความรู้ท่ไี ด้จากส่วนใหญ่ก็มาจากพวกเซลล์ท่ีจะชอบขายสินคา้ หรือขายยาเป็นหลักบอกเลย ว่าการใชส้ ินค้าเหล่าน้ันมากๆก็ทาให้ชาวเกษตรกรน้ันใช้เงินลงทุนไปกบั สิ่งท่ีไม่ควร อาทิพวกขายยากาจัด พืชไทยปยุ๋ ท้งั ท้ังท่ีส่งิ เหล่านเี้ ราก็สามารถทาเองได้แถมยังประหยัดไปได้อกี เยอะด้วยเพราะเป็นแบบนี้เลยมี ชาวเกษตรหลายคนนน้ั มีแตจ่ นลงจนลงเพราะดว้ ยความเปน็ นกี่ บั สินคา้ พวกนแี้ หละ 3. จะตอ้ งมปี ระสบการณ์ แน่นอนว่าอาชีพทาการเกษตรนั้นเราจะตอ้ งร้จู ักเรียนร้รู จู้ ักการลงมือทาและจะต้องทุ่มทั้งแรงกาย แรงใจและใช้เวลาในการทาเกษตรซึ่งเรานั้นจะต้องรู้จักสังเกตเพ่ือให้เกิดประสบการณ์ต่างๆรู้จักว่าการ แก้ปญั หานนั้ เปน็ อย่างไรรู้ว่าเม่อื เจอแบบน้เี ราจะแกไ้ ขปัญหาอยา่ งไรอย่างไหน ทางท่ีดีท่ีดีเราควรจะเรียนรู้และควรปฏิบัติลงมือทาจริงไม่ใช่มัวแต่หาข้อมูลอย่างเดียวฉะน้ันการ ทาเกษตรที่ให้ได้ประสิทธิภาพก็คือเราต้องไปสัมผัสจริงๆว่าต้นไม้เป็นอย่างไรสัตว์อะไรเป็นอย่างไรเรียนรู้ กับส่งิ ท่เี ราจะต้องทาเรยี นรูธ้ รรมชาติในพืน้ ทีข่ องเราแคน่ ้เี ราก็ร้จู ักสามารถแก้ปญั หาได้ ซง่ึ น่ีกค็ ือผู้ท่ีคิดจะทาเกษตรน้ันจะต้องมีจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึง่ ไม่ได้ฉะนั้นเราก็ต้องประเมนิ ตัวเองได้ ว่าเราสามารถลงมือทาได้สาเร็จหรือไม่เรามี 3 ส่ิง น้ีจริงอยู่หรือเปล่าซึ่งถ้าเราคิดจะทาเกษตรให้สาเร็จ จริงๆนั้นก็ควรเลือกทาตามกระแสทาอะไรที่สวนกระแสบ้างหรือมีไอเดียท่ีแตกต่างกันบ้านรับรองว่า ผลผลติ ของคณุ จะตอ้ งคา้ กาไรได้อยา่ งแนน่ อน. สิ่งแรกท่ีเราทาเกษตรนั้นเราเน้นเอาตัวเราก่อนเป็นอันดับแรกเน้นทากินก่อนไม่ใช่เน้นเพ่ือขาย เป็นอย่างแรกซึ่งถ้าเกษตรกรทาแล้วดีทาแล้วโอเคแนะนาว่าลูกค้าก็ต้องโอเคด้วย ลองทาแบบหลากหลาย ลองทาเกษตรแบบผสมผสานดู เพราะบางครั้งถ้าเราเลือกทาตามกระแสเห็นว่าไอ้น่ันปลุกดีไอ้นี่ขายดีแต่เม่ือมีคนปลูกมากๆก็กับ กายเป็นว่าของช้ินน้ันก็ราคาต่าลงเพราะว่ามีคนต้องการจานวนเท่าเดิมแต่ผลผลิตมากข้ึนฉะนั้นสิ่งนี้ทาให้ หลายคนน้ันเหมอื นแมงเม่าบินเข้ากองไฟซึ่งจะออกก็ออกไม่ได้ เสียมาแลว้ หลายต่อหลายคนเสยี ท้ังเงินเสีย ทง้ั ทองเสียทั้งเวลาฉะน้ันเราจะขอเพ่ิมอีกนิดนึงให้คุณเกบ็ ไว้เป็นข้อคดิ วา่ ส่งิ น้ที ี่คุณนั้นควรจะต้องทา
28 ไมค่ วรเนน้ ปรมิ าณแต่ควรเนน้ คุณภาพใหไ้ ด้มากที่สุด ลองปลูกผักนอกฤดกู าลมากเพราะวา่ ถ้าเรา ปลูกผักตามฤดูกาลเน่ียผักที่อยู่ในตามฤดูกาลน้ันจะมีราคาถูกลงแต่ถ้าเราเอาผักนอกฤดูกลับมาขาย ใน ฤดกู าลอื่นก็สามารถสรา้ งราคาดีได้ เป็นอย่างไรกันบ้างอื่นบอกเลยว่าชีวิตของชาวเกษตรที่ม่ังคงเห็นก็คือมีท่ีดินท มาหากินไม่มีหน้ีมี สินมีของกินในที่ดินของตัวเองสามารถลดรายจ่ายในส่วนท่ีเราไม่ต้องไปเสียได้และไม่กังวลกับเร่ืองรายรับ รายจ่ายและใช้ชีวติ อย่างพอเพยี ง
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: