Scan me วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันสาคัญสากลทางพระพุทธศาสนา สาหรับ ชาวพุทธทุกนิกายท่ัวโลก เป็นวันหยุดราชการในหลายๆ ประเทศ อีกทั้งยัง เป็นวันสาคัญ ในระดับนานาชาติตามข้อมติของสมัชชาใหญ่ แห่ง สหประชาชาติ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันที่เกิดเหตุการณ์สาคัญท่ีสุดใน พระพุทธศาสนา 3 เหตุการณ์ ได้แก่ การประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของ พระพุทธโคดม ซ่ึงท้ัง 3 เหตุการณ์นี้ได้เกิดข้ึนตรงกัน ณ วันข้ึน 15 ค่า เดือน 6 หรือวันเพ็ญแห่งเดือนวิสาขะ (ต่างปีกัน) ชาวพุทธจึงถือว่าเป็น วันที่รวมการเกิดเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ย่ิง และเรียกการบูชาในวันน้ีว่า วิสาขบูชา ย่อมาจาก วิสาขปุรณมีบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน วสิ าขะ ห้องสมดุ ประชาชนอาเภอชะอวด 075 381510
วันวสิ าขบชู า วันวิสาขบูชา วันสาคัญทางพระพุทธศาสนา และเป็นวันหยุดราชการ ของไทย ซึ่งประวัติวันวิสาขบูชา เป็นวันท่ีพระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ และ ปรินิพพาน มาบรรจบกัน ในวันน้ีพุทธศาสนิกชนจะไปทาบุญ ตักบาตร เวยี นเทียนทีว่ ัด สาหรับ วันวิสาขบูชา 2563 ตรงกับวันพุธท่ี 6 พฤษภาคม เช่ือว่า ทุกคนรู้จักชื่อวันสาคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างวันวิสาขบูชากั นดีอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนทที่ ราบความเป็นมา และความสาคญั ของวันวิสาขบูชา ถา้ ง้ัน อย่ารอช้า...เราไปค้นหาความหมายของวันวิสาขบูชา และอ่านประวัติ วนั วิสาขบูชา พรอ้ ม ๆ กันดีกว่าค่ะ
ความหมายของวันวสิ าขบูชา คาว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคาว่า \"วิสาขปุรณมีบูชา\" แปลว่า \"การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ\" ดังน้ัน วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชา ในวนั เพญ็ เดอื น 6 การกาหนดวันวิสาขบชู า วนั วิสาขบูชา ตรงกับวันข้ึน 15 คา่ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติ ของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมี อธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่า กลางเดือน 7 หรอื ราวเดือนมิถนุ ายน อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกาหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เน่ืองด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตาแหน่งท่ีต่างไปจาก ประเทศไทย ทาใหว้ ันเวลาคลาดเคลอื่ นไปตามเวลาของประเทศนั้น ๆ ประวัตวิ นั วิสาขบูชาและความสาคญั ของ วันวิสาขบชู า วนั วสิ าขบูชา ถือเป็นวันสาคัญย่ิงทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็น วันท่ีเกิด 3 เหตุการณ์สาคัญท่ีเกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญ เดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกัน นบั เปน็ เวลาหลายสบิ ปี ซ่งึ เหตกุ ารณอ์ ศั จรรย์ 3 ประการ ได้แก.่ ..
1. วนั วิสาขบูชา เป็นวันทีพ่ ระพุทธเจา้ ประสตู ิ เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุง กบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไป ประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพือ่ ประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยม ในสมัยน้ัน ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี คร้ันพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวาย พระนามว่า \"สทิ ธัตถะ\" แปลว่า \"สมปรารถนา\" เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิง เขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้า เฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทานายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า \"พระราชกุมารน้ีจักบรรลุพระ สัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธ์ิอย่างย่ิง ทรงหวังประโยชน์ แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จัก แพร่หลาย\" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะ ทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเป่ียมล้นด้วยปีติ ถึงกับ ทรุดพระองคล์ งอภวิ าทพระราชกมุ ารตามอย่างดาบส
2. วนั วสิ าขบชู า เป็นวันทีพ่ ระพุทธเจา้ ตรสั รูอ้ นตุ ตรสมั มาสัมโพธญิ าณ หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธ์ิ ฝ่ัง แมน่ ้าเนรญั ชรา ตาบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเชา้ มืดของวันพุธ ข้นึ 15 ค่า เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้ เรียกวา่ พุทธคยา เปน็ ตาบลหนึง่ ของเมืองคยา แห่งรัฐพหิ าร ของอนิ เดีย สงิ่ ทตี่ รสั รู้ คอื อริยสจั ส่ี เป็นความจริงอนั ประเสรฐิ 4 ประการ ของพระพทุ ธเจา้ ซง่ึ พระพุทธเจา้ เสด็จไปทตี่ ้นมหาโพธ์ิ และทรงเจรญิ สมาธภิ าวนาจนจิตเป็นสมาธไิ ดฌ้ านที่ 4 แลว้ บาเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ ฌาน 3 คอื - ยามตน้ : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนวิ าสานสุ สติญาณ\" คอื ทรงระลกึ ชาตใิ นอดีตทัง้ ของตนเองและผูอ้ ่นื ได้ - ยามสอง : ทรงบรรลุ \"จุตูปปาตญาณ\" คอื การรแู้ จง้ การเกดิ และดบั ของสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย ดว้ ยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและ อบุ ตั ิของวญิ ญาณทงั้ หลาย - ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ \"อาสวักขยญาณ\" คือ รู้วธิ กี าจดั กเิ ลสดว้ ย อรยิ สจั 4 (ทุกข์ สมุทัย นโิ รธ มรรค) ได้ตรสั รูเ้ ปน็ พระ สัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญ เดือน 6 ซึ่งขณะน้ันพระพุทธองค์มี พระชนมายไุ ด้ 35 พรรษา
3. วนั วิสาขบชู า เปน็ วนั ท่พี ระพุทธเจ้าเสดจ็ เข้าสู่ปรินพิ พาน (ดบั สังขาร ไม่กลับมาเกิดสรา้ งชาติ สรา้ งภพอีกต่อไป) เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจาพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้ เมอื งเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงพระประชวรอยา่ งหนัก ครนั้ เมื่อ ถึงวันเพ็ญ เดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับ ภัตตาหารบิณฑบาตท่ีบ้านนายจุนทะ ตามคากราบทูลนิมนต์ พระองค์ เสวยสูกรมทั ทวะทีน่ ายจุนทะตง้ั ใจทาถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้น มุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพ่ือเสด็จดับขันธ์ ปรนิ พิ พาน เม่ือถึงยามสุดท้ายของคืนน้ัน พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิม โอวาทว่า \"ดูก่อนภิกษุท้ังหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อม สลายไปเป็นธรรมดา ท่านท้ังหลายจงยังกิจท้ังปวงอันเป็นประโยชน์ของ ตนและประโยชน์ของผู้อ่ืนให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด\" หลังจาก น้ันกเ็ สด็จเข้าดับขันธป์ รนิ ิพพาน ในราตรเี พญ็ เดือน 6 นัน้ ประวัตคิ วามเป็นมาของวันวสิ าขบูชาในประเทศไทย ปรากฏหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เร่ิมต้นคร้ังแรกในประเทศไทย ต้ังแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจาก ลังกา น่นั คือ เม่ือประมาณ พ.ศ. 420 พระเจา้ ภาตกิ ุราช กษตั ริยแ์ ห่งกรุง ลังกา ไดป้ ระกอบพิธีวิสาขบชู าข้นึ เพื่อถวายเปน็ พทุ ธบชู า จากน้นั กษตั ริย์ ลงั กาพระองคอ์ ื่น ๆ ก็ปฏิบัตปิ ระเพณวี สิ าขบชู านส้ี บื ทอดต่อกนั มา
สว่ นการเผยแผเ่ ข้ามาในประเทศไทยนนั้ นา่ จะเปน็ เพราะประเทศ ไทยในสมัยกรุงสโุ ขทยั มคี วามสัมพนั ธ์ด้านพระพทุ ธศาสนากบั ประเทศลงั กา อยา่ งใกล้ชดิ เหน็ ได้จากมีพระสงฆ์จากลงั กาหลายรปู เดนิ ทางเขา้ มาเผยแพร่ พระพุทธศาสนา และนาการประกอบพธิ วี ิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศ ไทยด้วย สาหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ ในหนงั สอื นางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวสิ าขบชู า พระเจา้ แผ่นดนิ ข้าราช บริพาร ท้ังฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดท้ังประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกัน ประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดสู ว่างไสว ไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะท่ี พระมหากษัตรยิ ์ และพระบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบาเพญ็ พระราช กุศลต่าง ๆ คร้ันตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดาเนินพร้อมด้วยพระบรม วงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ ตลอดจนข้าราชการท้ังฝ่ายหน้า และ ฝ่ายใน ไปยังพระอารามหลวง เพ่ือทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วน ชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาต แด่พระภกิ ษุสามเณร บรจิ าคทานแกค่ นยากจน ทาบุญไถช่ วี ติ สตั ว์ ฯลฯ หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รบั อิทธิพลของศาสนาพราหมณ์ มากขึ้น ทาให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่ง มาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360)มีพระราชดาริท่ีจะให้ฟ้ืนฟูพิธีวิสาขบูชาข้ึนมาใหม่ โดยสมเด็จ พระสังฆราช (มี) สานักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทาขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันข้ึน 14 ค่า 15 ค่า และวันแรม 1 ค่า เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้ จัดทาตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทาบุญ ทากุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟ้ืนพิธีวิสาขบูชาข้ึนมาในครานี้ จึงถือเป็น แบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเน่ืองมาจวบ จนกระท่ังปัจจุบัน
วนั วิสาขบชู าเปน็ วันสาคญั สากลของสหประชาชาติ วันวิสาขบูชา ถอื เป็นวันสาคัญทสี่ ุดทางพระพุทธศาสนา เนอ่ื งจาก ล้วนมีเหตุการณท์ ีเ่ กย่ี วข้องกับการถือกาเนิดของพระพทุ ธศาสนา คือ เป็น วนั ท่ีพระศาสดา คือ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ประสตู ิ ตรสั รู้ และปรินพิ พาน ดงั น้ัน พุทธศาสนกิ ชนทวั่ โลกจงึ ใหค้ วามสาคญั กบั วนั วิสาขบชู าน้ี และในวันที่ 13 ธนั วาคม พ.ศ. 2542 องค์การสหประชาชาตไิ ด้ ยอมรับญัตติที่ประชุม กาหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสาคัญของโลก โดย เรียกว่า Vesak Day ตามคาเรียกของชาวศรีลังกา ผู้ท่ียื่นเร่ืองให้ สหประชาชาตพิ ิจารณา และไดก้ าหนดใหว้ นั วิสาขบูชาน้ีถอื เป็นวันหยดุ วัน หนึ่งของสหประชาชาติอีกด้วย ทั้งนี้ เพ่ือให้ชาวพุทธท่ัวโลกได้มีโอกาส บาเพญ็ บญุ เนอื่ งในวันประสูติ ตรัสรู้ และปรนิ พิ พานของพระบรมศาสดา โดยการที่สหประชาชาติได้กาหนดให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสาคัญ ของโลกนั้น ได้ให้เหตุผลไว้ว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็น มหาบุรุษผู้ให้ความเมตตาต่อหมู่มวลมนุษย์ เปิดโอกาสให้ทุกศาสนา สามารถเข้ามาศึกษาพุทธศาสนา เพื่อพิสูจน์หาข้อเท็จจริงได้โดยไม่ จาเป็นต้องเปล่ียนมานับถือศาสนาพุทธ และทรงส่ังสอนทุกคนโดยใช้ ปญั ญาธิคุณ โดยไม่คิดค่าตอบแทน ส่ิงทต่ี รัสรู้ คือ อรยิ สจั ส่ี เป็นความจริง อันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซ่ึงพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้น มหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานท่ี 4 แล้ว บาเพญ็ ภาวนาตอ่ ไปจนไดฌ้ าน 3 คอื - ยามต้น : ทรงบรรลุ \"ปุพเพนิวาสานสุ สติญาณ\" คือ ทรงระลกึ ชาตใิ นอดตี ทัง้ ของตนเองและผอู้ ืน่ ได้ - ยามสอง : ทรงบรรลุ \"จุตปู ปาตญาณ\" คอื การรแู้ จ้งการเกดิ และดบั ของสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย ดว้ ยการมีตาทิพยส์ ามารถเห็นการจตุ แิ ละ อุบตั ิของวญิ ญาณท้งั หลาย
- ยามสาม หรอื ยามสุดทา้ ย : ทรงบรรลุ \"อาสวักขยญาณ\" คือ รวู้ ิธี กาจัดกิเลสด้วย อรยิ สจั 4 (ทกุ ข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค) ได้ตรสั ร้เู ป็นพระ สัมมาสัมพทุ ธเจา้ ในคนื วันเพ็ญ เดอื น 6 ซง่ึ ขณะนนั้ พระพทุ ธองคม์ ี พระชนมายไุ ด้ 35 พรรษา การประกอบพธิ ใี นวันวสิ าขบูชา การประกอบพิธีใน วันวสิ าขบูชา จะแบ่งออกเปน็ 3 พธิ ี ไดแ้ ก่ 1. พธิ ีหลวง คอื พระราชพธิ ีสาหรับพระมหากษัตรยิ ์ พระบรมวงศา นวุ งศ์ ประกอบในวนั วิสาขบูชา 2. พธิ รี าษฎร์ คือ พธิ ีของประชาชนทว่ั ไป 3. พิธีของพระสงฆ์ คอื พธิ ีทพี่ ระสงฆป์ ระกอบศาสนกิจ กจิ กรรมในวนั วสิ าขบชู า กิจกรรมทพี่ ุทธศาสนิกชนพงึ ปฏบิ ตั ใิ น วนั วิสาขบูชา ไดแ้ ก่ 1. ทาบญุ ใสบ่ าตร กรวดน้าอทุ ิศส่วนกศุ ลให้ญาตทิ ลี่ ่วงลับ และเจา้ กรรมนายเวร 2. จัดสารบั คาวหวานไปทาบญุ ถวายภตั ตาหารทวี่ ัด และปฏิบัติ ธรรม ฟังพระธรรมเทศนา 3. ปล่อยนกปลอ่ ยปลา เพ่ือสรา้ งบุญสรา้ งกุศล 4. ร่วมเวยี นเทียนรอบอุโบสถที่วดั ในตอนค่า เพ่อื ราลกึ ถึงพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ 5. ร่วมกจิ กรรมเก่ยี วกับวนั สาคญั ทางพทุ ธศาสนา 6. จัดแสดงนทิ รรศการ ประวัติ หรอื เร่อื งราวความเป็นมาเกี่ยวกับ วันวิสาขบูชา ตามโรงเรยี น หรอื สถานทร่ี าชการต่าง ๆ เพอ่ื ให้ความรู้ และ เปน็ การรว่ มราลกึ ถึงความสาคัญของวนั วสิ าขบชู า 7. ประดับธงชาตติ ามอาคารบา้ นเรอื น วดั และสถานทรี่ าชการ 8. บาเพญ็ สาธารณประโยชน์
หลกั ธรรมทสี่ าคญั ในวันวิสาขบชู า ทีค่ วรนามาปฏิบตั ิ ในวันวิสาขบชู า พุทธศาสนกิ ชนท้งั หลายควรยดึ มน่ั ในหลกั ธรรม ซง่ึ หลักธรรมทคี่ วรนามาปฏิบัตใิ นวนั วิสาขบูชา ไดแ้ ก่ 1. ความกตัญญู คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมท่ีคู่กับความกตเวที ซ่ึงหมายถึงการ ตอบแทนคุณท่ีมผี ทู้ าไว้ ความกตัญญแู ละความกตเวทีนี้ เป็นเครอื่ งหมายของ คนดี ทาใหค้ รอบครวั และสังคมมคี วามสขุ ซ่งึ ความกตญั ญกู ตเวทีนน้ั สามารถ เกิดขึ้นได้กับทั้งบิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็น ทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้น พุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนความ กตัญญูกตเวทีด้วยการทานุบารุงพระพุทธศาสนา และดารงพระพุทธศาสนา ให้อยสู่ ืบไป 2. อริยสจั 4 คอื ความจรงิ อนั ประเสริฐ 4 ประการทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงตรัสรใู้ น วัน วิสาขบชู า ได้แก่ - ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะท่ีทนได้ยาก ซ่ึงทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วน ทุกข์จร คือ ทุกข์ท่ีเกิดขึ้นในการดาเนินชีวิตประจาวัน เช่น การพลัดพราก จากสง่ิ ทเี่ ป็นท่รี ัก หรือความยากจน เป็นต้น - สมุทยั คอื ต้นเหตขุ องปัญหา หรือสาเหตุของการเกดิ ทุกข์ และ สาเหตุสว่ นใหญข่ องปญั หาเกดิ จาก \"ตัณหา\" อันไดแ้ ก่ ความอยากไดต้ ่าง ๆ อย่างไมม่ ที ่ีสิ้นสุด - นิโรธ คอื ความดับทกุ ข์ เป็นสภาพทค่ี วามทุกข์หมดไป เพราะ สามารถดับกเิ ลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้ - มรรค คือ หนทางที่นาไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพ่ือ แก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดาริชอบ วาจาชอบ กระทา ชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ต้ังจติ ม่นั ชอบ
3. ความไม่ประมาท คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทาอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วน ต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทาให้เราใช้ ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทน้ันจะทาให้เกิดปัญหายุ่งยาก ตามมา ดังนั้น ในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ดว้ ยความมสี ติ วันวสิ าขบูชา นับว่าเป็นวันท่ีมคี วามสาคัญสาหรบั พุทธศาสนิกชน ทกุ คน เป็นวันที่มีการทาพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมราลึกถึงพระวิสุทธิ คุณ พระปัญญาธคิ ุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกท้ังเพ่ือเป็นการราลึกถึงเหตุการณ์อัน น่าอัศจรรย์ท้ัง 3 ประการ ท่ีมาบังเกิดในวันเดียวกัน และนาหลักธรรม คาสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติใน การดารงชีวติ ค่ะ
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: