Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมท้องถิ่นจังหวัดน่าน

วัฒนธรรมท้องถิ่นจังหวัดน่าน

Published by rattananoiaram, 2018-04-25 04:28:20

Description: วัฒนธรรมท้องถิ่น

Search

Read the Text Version

วัฒนธรรมท้องถ่ินในแต่ละทอ้ งถนิ่ จะมีวัฒนธรรมทแี่ ตกตา่ งกนั ดังน้ี ๑. วัฒนธรรมทางภาษา คนไทยทุกภาคทกุ ท้องถิ่นได้สืบทอดวัฒนธรรมทางภาษามาอย่างตอ่ เน่ือง ทกุ คนใช้ภาษาไทย แตม่ สี าเนยี งแตกต่างกนั เรยี กว่า \"ภาษาถน่ิ \" เช่น ภาษาไทยในทอ้ งถิ่นภาคเหนือ ภาคอสี าน และภาคใต้ แตเ่ ราสามารถใช้ส่ือสารทาความเข้าใจได้ ๒. วฒั นธรรมทเ่ี กย่ี วข้องกับการกนิ ในแต่ละท้องถนิ่ มีการปรุงอาหารซึ่งเป็นวัฒนธรรมท่สี ืบทอดกนันาน โดยใชว้ ตั ถุดิบท่แี ตกต่างกนั และอาหารที่มีรสชาติแตกตา่ งกนั ตามรสนิยมของแตล่ ะภาคภาคเหนอื เชน่ น้าพริกหนมุ่ น้าพริกออ่ ง ไส้อ่วั แกงโฮะ แกงฮงั เลภาคกลาง เช่น ตม้ ยากงุ้ นา้ พรกิ -ปลาทู แกงเขยี วหวานภาคอสี าน เชน่ สม้ ตา ซปุ หน่อไม้ ลาบ แกงออ่ มภาคใต้ เชน่ แกงส้ม แกงไตปลา ข้าวยานา้ บดู ู ขนมจนี ปักษใ์ ต้ ๓. การละเลน่ พืน้ เมือง ส่วนใหญจ่ ะใชภ้ าษาถ่นิ และดนตรพี น้ื เมืองภาคเหนือ เชน่ ฟ้อนเลบ็ ฟ้อนเทียน ฟ้อนเงี้ยว ดนตรพี น้ื เมือง เชน่ สะล้อ พณิ ซึงภาคกลาง เชน่ เพลงเรอื ง ลาตัด ลิเก เต้นการาเคียวภาคอีสาน เชน่ หมอลา เซ้ิง เครือ่ งดนตรีทส่ี าคัญ คือ แคนภาคใต้ เชน่ รามโนราห์ หนงั ตะลุง รองเง็ง เพลงบอก๔. ประเพณพี ้นื เมืองภาคเหนือ เช่นประเพณสี ืบชะตา เป็นพิธตี อ่ อายุให้แก่ตนเอง ญาติพ่ีนอ้ ง และบา้ นเมืองเพื่อใหเ้ กิดความเจริญร่งุ เรอื งและความเป็นสริ มิ งคล ประเพณีปอยน้อย เป็นพธิ บี รรพชาทีจ่ ดั งานเฉลิมฉลองอย่างย่ิงใหญ่มกี ารแหล่ ูกแก้หรอื ผู้บวช ซ่งึ จะแตง่ ตัวสวยงามแบบกษตั ริย์หรือเจา้ ชาย เพราะถือคตินิยมวา่ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะออกบวชจนตรสั รู้ การแห่นยิ มให้ลูกแก้วขี่ม้า ขีช่ า้ ง หรือขี่คอคน มกี ารรอ้ งรากนั อย่างสนุกสนาน- ภาคกลาง เช่นประเพณตี ักบาตรน้าผงึ้ เป็นการถวายเภสชั หรอื ยาแด่พระสงฆ์ ในครงั้ พุทธกาลเมื่อพระสงฆเ์ กดิ อาพาธพระพทุ ธเจ้าทรงมี พทุ ธานุญาตให้พระสงฆฉ์ ันนา้ ผง้ึ ได้ เพราะถือวา่ เป็นยา จึงมีการถวายนา้ ผู้สบื ต่อกนั มาจนปัจจบุ ัน ประเพณีโยนบัว เป็นพธิ นี มสั การหลวงพ่อโต วดั บางพลีใหญ่ใน ชาวบา้ นที่อยรู่ ิมฝั่งคลองสาโรง จงั หวดัสมทุ รปราการ จะนาดอกบัวโยนถวายหลวงพ่อโต- ภาคอสี าน เชน่ ประเพณคี า้ โพธิ์ค้าไฮ เมอ่ื ผูใ้ หญ่ซึ่งเป็นที่เคารพในครอบครัวเจ็บป่วยจงึ ต้องทาพธิ ีตอ่ อายให้ยืนยาว ประเพณีบญุ บั้งไฟ ประเพณแี หน่ างแมว เพ่ือขอให้ฝนตกตามฤดกู าล- ภาคใต้ เชน่ ประเพณีชักพระ เป็นประเพณีที่เก่ียวข้องกับความศรทั ธาในพระพุทธศาสนาและชีวิตทผ่ี กู พันกับนา้ โดยชาวบา้ น จะพร้อมใจกันอญั เชิญพระพุทธรปู ข้ึนประดษิ ฐานบนบุษบก แล้วลากหรอื ชกั แห่ไปตามถนน หรือตามแมน่ ้าลา

คลอง ประเพณีสารทเดอื นสิบ เป็นงานประเพณที ไ่ี ด้รบั อิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เปน็ การอทุ ศิ ส่วนกุศลให้แกผ่ ู้ที่ลว่ งลับไปแล้ววฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาท้องถน่ิ จงั หวดั น่าน เมอื งนา่ นในอดีตเป็นนครรฐั ขนาดเลก็ รมิ แมน่ ้านา่ น ในความเป็นเมืองเล็กงดงามด้วยสถาปัตยกรรมทางพุทธศาสนา ยังสะท้อนให้เห็นการผสมผสานทางศิลปวัฒนธรรม และความสัมพนั ธท์ ้งั ด้านการเมือง การปกครอง ศาสนารวมทั้งวิทยาการดา้ นตา่ งๆ กบั กรุงสโุ ขทัย ล้านนา พุกาม และล้านชา้ ง โดยยังคงเอกลักษณข์ องความเป็นพน้ื ถิ่นนา่ นไวไ้ ด้อย่างสงา่ งาม

“วฒั นธรรมด้านประเพณีวฒั นธรรม” พธิ สี ืบชะตา สอบถามขอ้ มลู โดย คุณตาคณุ ตา พยงค์ จนั ทรังษี อายุ 80 ปี บา้ นเลขที่ 115 หม1ู่ 1 ต.ตาลชมุ อ.ทา่ วังผา จ.นา่ น พธิ สี ืบชะตาเปน็ ประเพณโี บราณ มักทาในโอกาสตา่ งๆ เชน่ วนั เกดิ อายคุ รบรอบ ฟนื้ จากการเจบ็ ปว่ ย การสืบชะตาถือเป็นการสรา้ งขวัญกาลังใจ และเปน็ สิรมิ งคล ขับไล่สง่ิ เลวร้ายใหผ้ ่านพน้ ไป

พิธีสบื ชะตาเป็นประเพณสี าคัญอย่างหน่ึงของชาวลา้ นนาทเ่ี ช่ือกนั ว่าเป็นการต่ออายหุ รอื ต่อชีวิตของบ้านเมืองหรอื ของคนให้ยืนยาว มคี วามสขุ ความเจรญิ ตลอดจนเป็นการขจัดภัยอันตรายต่างๆทจี่ ะบงั เกดิ ขึ้นให้แคล้วคลาดปลอดภยัพธิ ีสืบชะตาแบบพ้นื เมืองของจงั หวดั น่านไดย้ ึดถือและปฏบิ ตั สิ บื ต่อกันมาช้านาน ชาวน่านในทุกหม่บู ้าน ทุกตาบลตา่ งรู้จกั และยดึ มนั่ ปฏิบัติกนั อยู่ เพราะเช่อื วา่ ทกุ ข์ภยั ท้ังหลายทจี่ ะเกิดข้ึนกับตวั เอง และญาติพนี่ ้องจะหมดหายไปชวี ติ ก็จะยนื ยาวยง่ิ ข้ึน อีกท้งั เช่อื วา่ ก่อใหเ้ กิดขวัญและกาลงั ใจในการปฏิบตั ิหนา้ ที่การงานพรอ้ มท่ีจะสู้กับชะตาชีวติ ต่อไปพิธีสบื ชะตานีแ้ บ่งเปน็ ๓ ประเภทคือ ๑. สบื ชะตาคน นิยมทาเมื่อขึ้นบ้านใหม่ ย้ายที่อยู่ใหม่ ได้รับยศหรือตาแหน่งสงู ขึ้น วนั เกิดที่ครบรอบเช่น ๒๔ ปี ๓๖ ปี๔๘ ปี ๖๐ ปี ๗๒ ปี เป็นตน้ หรอื ฟ้ืนจากป่วยหนัก หรอื มผี ู้ทักทายว่าชะตาไมด่ ีจาเป็นต้องสะเดาะเคราะหแ์ ละสบื ชะตา เป็นต้น ๒. สบื ชะตาบา้ น นิยมทาเมื่อคนในหมบู่ า้ น ประสบความเดือดร้อน หรือเจ็บไขไ้ ดป้ ่วยกนั ทัว่ ไปในหมูบ่ า้ น หรือตายตดิ ต่อกันเกิน ๓ คน ขนึ้ ไป ถือเป็นเสนียดของหมู่บ้าน คนในหม่บู า้ นอาจพร้อมใจกนั จัดในวนั ปากปี ปากเดือน หรือปากวนั คือวนั ทีห่ น่ึง สอง หรอื สามวันหลังวันเถลิงศก เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเป็นสิรมิ งคล ๓. สบื ชะตาเมอื ง จัดขน้ึ เมอ่ื บ้านเมืองเกิดความเดอื ดร้อนจากอทิ ธิพลของดาวพระเคราะห์ตามความเช่ือทางโหราศาสตร์ เพราะทาให้บา้ นเมืองป่นั ป่วนว่นุ วาย เพราะการจราจลการศึก หรือเกิดโรคภัยแก่ประชาชนในเมืองเจ้านายท้าวพระยาบ้านเมืองจงึ จัดพธิ สี ืบชะตาเมือง เพอื่ ให้อายุของเมืองไดด้ าเนินต่อเน่ืองสืบไป

พิธีกรรมเครอ่ื งสืบชะตาคนประกอบด้วย๑. ไมค้ ้าสรี (สะหรี ตน้ ศรีมหาโพธิ์) ๑๐๐ เลม่๒. ขวั (สะพาน) ๑ คู่๓. ลวดเบ้ีย ๓ เสน้ (เสน้ หนึง่ ใชห้ อยเบี้ยรอ้ ยเปน็ สาย ๑๐๐ ตวั )๔. ลวดหมาก,ลวดพลู ๓ เส้น (เส้นละ ๑๐๐)๕. ลวดเมี่ยง ๓ เส้น (เสน้ ละ ๑๐๐)๖. ลวดเงนิ ๓ เสน้๗. ลวดทอง ๓ เสน้๘. ตุงยาวคา่ คิง(ยาวเทา่ ตวั คน) ๓ ตวั๙. ตุงเลก็ และตงุ ช่อ ๑๐๐ ตวั๑๐. ลวดขา้ วตอก ๓ เสน้ (เส้นละ ๑๐๐)๑๑. บอกน้า,บอกทราย อยา่ งละ ๑ กระบอก๑๒. บอกขา้ วเปลือก,บอกข้าวสาร อยา่ งละ ๑ กระบอก๑๓. ต้นกล้ามะพรา้ ว,ต้นอ้อย,ตน้ กลว้ ย อย่างละ ๓ ตน้๑๔. กลว้ ยนา้ วา้ ดบิ ๑ เครอื๑๕. มะพรา้ ว ๑ ทะลาย๑๖. สสี ายคา่ คิง(สายนา้ มันยาวเทา่ ตัว) ๑ สาย๑๗. เสื่อใหม่ ๑ ผนื๑๘. หมอนใหม่ ๑ ใบ๑๙. เสือ้ ผ้าของผ้เู ขา้ รว่ มสืบชะตา๒๐. หม้อใหม่ ๒ ใบ (หม้อเงนิ ,หมอ้ ทอง) อยา่ งละ ๑ ใบ๒๑. ใบไมท้ ี่เปน็ มงคลเช่น ใบเต๊า ใบขนนุ ใบเงิน ใบทอง เป็นต้น๒๒. เทยี นขผ้ี ้ึงแทน้ ้าหนกั ๑ บาท ๑ แทง่๒๓. ดา้ ยสายสิญจน์ ๑ มว้ น๒๔. บาตรสาหรบั ใส่นา้ พุทธมนต์ ๑ ใบ๒๕. ปลาสาหรับปล่อยจานวนเท่าอายเุ จ้าชาตา๒๖. นก ปู หรอื หอยสาหรบั ปล่อย อปุ กรณ์ดงั กล่าวใหจ้ ดั ทาเปน็ กระโจม ๓ ขา กวา้ งพอท่ีเจ้าชะตาจะเขา้ ไปนง่ั ในนั้นได้ โดยใช้ด้ายสายสญิ จน์โยงจากศรี ษะไปสู่ยอดกระโจมและดงึ ไปหาบาตรน้ามนตห์ น้าพระพุทธรูป พระสงฆจ์ ะถือด้ายสายสญิ จน์ขณะสวดมนต์และจะใช้ผกูข้อมือเจ้าชะตาอีกด้วย บางตาราก็จะให้ทาพธิ ีขึ้นทา้ วทั้งส่ีก่อนทาพิธเี ครอ่ื งประกอบพิธีอย่างอื่น ได้แก่

ขนั ตั้งสบื ชะตา ประกอบดว้ ยเทยี นเลม่ เลก็ ๘ คู่ เลม่ ๑ บาท ๑ คู่ เทียนเล่มเฟ้ือง ๑ คู่ ข้าวตอกดอกไม้ หมากหัว พลมู ัด เบ้ยี พันสาม กล้วยเครอื มะพรา้ ว บอกขา้ วเปลือก บอกข้าวสาร หม้อนา้ หม้อดินขันขอศีล ประกอบด้วยเทียนเลม่ เล็ก ๔ คู่ ข้างตอกดอกไม้ใสพ่ านขนั คารวะเคร่อื งสืบชะตา ประกอบด้วยเทียนเล่มเล็กนา้ หนัก ๒ สลงึ ๔ คู่ เทียนสืบชะตา ๓ เล่มเทยี นขนาดเลก็ ๑๐๐ เลม่ประทปี ๑๐๐ อนั และตาแหลวคาเขยี ว ๑ อันข้ันตอนในการประกอบพิธสี บื ชะตาผูด้ าเนินการและผ้ปู ระกอบพิธี ๑. พระสงฆจ์ านวน ๙ รปู ๒. อาจารยฝ์ า่ ยคฤหสั ถ์ ๓. ผู้เข้าร่วมพธิ ีสบื ชะตา (เจา้ ชะตาและคณะ)ขนั้ ตอนพิธกี าร ๑. ตง้ั เครื่องสืบชะตา จดั โต๊ะหมูบ่ ชู า ตั้งอาสนะสงฆ์ ๙ ท่ี ๒. เจา้ ชะตาจดุ ธูปเทียนบูชาพระรตั นตรยั - ประเคนบาตรน้ามนตใ์ ห้พระสงฆ์ - ประเคนขนั สืบชะตา ด้ายสายสิญจน์ - ประเคนพานอาราธนาศลี แล้วกลับไปนง่ั ซ้มุ พิธี ๓. อาจารย์(ผู้นาในการประกอบพิธี) นากล่าวบชู าพระรัตนตรยั ๔. อาจารยก์ ล่าวอาราธนาศลี -ประธานสงฆ์ให้ศีล ๕. อาจารย์อาราธนาพระปรติ ร - พระสงฆ์องค์ที่ ๓ กลา่ ว สกั เค ชุมนมุ เทวดา - คณะสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ๖. อาจารย์สมาธรรม และครัวทาน (ขอขมา) ๗. อาจารย์อาราธนาธรรม พระสงฆเ์ ทศนาธรรมสบื ชะตา ๙ ผกู ๘. ประธานสงฆ์มอบเครือ่ งสืบชะตาให้แก่เจ้าชะตาและคณะ ๙. ประธานสงฆป์ ระพรมนา้ พระพุทธมนต์ พระสงฆ์เจรญิ ไชยมงคลคาถา ๑๐. เจ้าชะตาและคณะถวายจตุปจั จยั ไทยธรรมแกพ่ ระสงฆ์ พระสงฆอ์ นุโมทนา ๑๑. อาจารยน์ ากราบพระ บูชา พระรตั นตรัย เจา้ ชะตาถวายภัตตาหารและไทยทานเป็นอันเสรจ็ พิธี

ช่อื คมั ภรี ์ที่ใช้ประกอบพธิ ีสืบชะตา ๑. มหาทิพพมนต์ ๑ ผูก ๒. อุณหัสสะวไิ ชย ๑ ผกู ๓. โลกาวุฒิ ๔ ผกู ๔. สะลาถะวิชชาสตู ร ๑ ผูก ๕. พทุ ธะสังคะหะโลก ๑ ผกู ๖. มหาไชยมงคล ๑ ผูก การเทศน์ธรรมสืบชะตาทงั้ ๙ ผูก พระสงฆ์จะเทศน์พร้อมกันรปู ละ ๑ ผกู สว่ นเคร่ืองประกอบพิธกี รรมสบื ชะตาบา้ นกบั ชะตาเมืองน้นั เครอ่ื งสบื ชะตาจะเพ่ิมมากขึน้ เปน็ เคร่ือง ๑,๐๐๐ จะมีการโยงสายสิญจนจ์ ากวัดหรอื สถานประกอบพิธผี ่านไปยงั บ้านแตล่ ะหลังจนครบทัง้ หมู่บ้านและทุกครอบครวั ก็จะเตรียมนา้ ส้มปอ่ ยน้าอบ น้าหอม และทรายมารว่ มพิธีเมื่อเสร็จแลว้ จะได้นากลับไปโปรยทีบ่ า้ นเรือนของตน

ประเพณี ส่ขู วัญ สอบถามขอ้ มลู โดย ลงุ จนั ต๊ะ ศรชี ัย (หมอสู่ขวญั ) อายุ 64 ปี บ้านเลขท่ี 104 หม1ู่ 1 ต.ตาลชุม อ.ทา่ วังผา จ.นา่ นประเพณสี ่ขู วัญ เป็นพธิ เี ลี้ยงอาหารแกข่ วญั การสู่ขวัญนีอ้ าจเรยี กวา่ “ สู่เข้าเอาขวัญ” เฮยี กขวญั (เรียกขวญั ) ฮ้อง ขวญั (ร้องขวัญ) คอื ป้อนอาหารเพื่อเชิญขวญั ให้คนื สู่ตนตวั ของบุคคล ซ่ึงป่วยเรอ้ื รังมีเหตเุ สยี ใจ หรือหมดกาลงั ใจอย่างรนุ แรง หรือเปลยี่ นวถิ ชี ีวิตความเป็นอยูใ่ หม่ โดยกลา่ วกันว่าขวญั ของบคุ คลดังกลา่ วได้เตลิดไปจากตวั ตน จึงต้องทาพิธเี รยี กและปลอบประโลมขวญันั้นใหก้ ลับคืนสู่บุคคลตามเดิม การสขู่ วญั หรอื สพู่ ระขวัญหรือสู่พระ ขวัญเป็นประเพณีของชาวลา้ นนาไทยมาแต่โบราณกาล ทางภาคกลางนิยมเรยี กวา่ การรับขวัญคนทเี่ ดินทางไกลไปต่างถิ่นเป็นเวลานาน บางทีก็ประสบความเหน่ือยยากในการเดินทาง มีความคิดถึงบ้าน หรอื ต้องเผชิญกับเหตุการณท์ ี่ทาให้ตกใจและเสียขวญั เมื่อกลบั มาถึงบา้ นเรอื งของตนแล้ว กน็ ยิ มเอาธูปเทยี นดอกไม้ไปบชู ากราบไหว้พระสงฆ์และผใู้ หญ่ทีเ่ คารพนบั ถือ มีบดิ ามารดา เป็นตน้ เพ่ือขอให้ทา่ นซึ่งมีวยั วฒุ เิ หล่านนั้ เรียกขวัญและปลอบอกปลอบใจให้ขวัญกลบั มาอยู่กับเนื้อกับตัวต่อไป อยา่ ได้ไถลไปท่อี ่ืน คนทีเ่ จบ็ ไข้ไดป้ ่วยเปน็ เวลานานหรือป่วยหนกั จนกาลังลดถอยลง มกั จะขอให้พระหรือคนเฒ่าคนแกท่ าพิธีผูกมือเรียกขวญั ในการนี้ท่านจะกล่าวถ้อยคาอนั เปน็ สิรมิ งคลเรียกขวัญแลว้ อานวยพรให้พน้ ภัย พิบตั ิอยูเ่ ยน็ เปน็ สุขตลอดไป การกล่าวคาเรียกขวัญน้ี บางทีทา่ นก็กลา่ วเป็นคาประพนั ธแ์ ละอาจเปน็ทานองท่ีมีไพเราะด้วย การเรียกขวญั หรอื สู่ขวัญเชน่ น้ีได้ทากนั แพรห่ ลาย ภายหลังได้ขยายการทาดอกไมบ้ ูชาเป็นพุ่มงดงามเรยี กว่าบายศรีประกอบดว้ ย เครอ่ื งเซน่ ไหวเ้ พิ่มเตมิ ขน้ึ อีก โดยเฉพาะในการต้องรบั คนต่างถน่ิ หรอื ผู้มเี กยี รติท่ีมาเยยี่ มเยอื น ถา้เปน็ งานตอ้ นรบั ขนาดใหญ่มากนักจะมขี บวนแห่ดว้ ย

งานประเพณีไหวพ้ ระธาตุ เมอื งนา่ นงานประเพณีไหวพ้ ระธาตุ เมอื งนา่ นเปน็ เมืองหน่งึ ในดนิ แดนลา้ นนาที่พระพุทธศาสนาเผยแผม่ าถงึ เปน็ เวลาชา้ นาน ในเขตเมืองเก่า ทั้งในตัวเมืองน่านและท่ีอาเภอปัวจะมีพระธาตตุ ้ังอยูบ่ นเนนิ เขาเดน่ เปน็ สง่า จะมขี บวนแห่ทยี่ ิ่งใหญ่ตระการตา เพ่ือบชู าองค์พระธาตุ ประกอบด้วยขบวนอัญเชิญน้าสรงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน ผ้าทิพย์พระราชทาน ขบวนแห่ครัวทานในรอบปีมงี านประเพณบี ชู าพระธาตสุ าคญั ได้แก่ - งานนมสั การพระธาตุเบง็ สกัด ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่า เดือน ๔ เหนอื (ประมาณเดือนมกราคม) - งานประเพณี “หกเปง็ ไหวส้ ามหาธาตแุ ชแ่ ห้ง” ในวนั เพ็ญเดอื น ๖ เหนือ ตรงกับวนั เพ็ญเดอื น ๔ ภาคกลาง (ประมาณปลายเดือนกมุ ภาพันธ์-มนี าคม) มีการจุดบ้องไฟถวายเปน็ พทุ ธบชู า - งานประเพณีนมัสการพระธาตุเขาน้อย ในวนั เพญ็ เดือน ๘ เหนอื ตรงกับวนั เพ็ญเดือน ๖ ภาคกลาง(ประมาณเดือน พฤษภาคม) มีงานนมสั การพระธาตุเขาน้อย และมกี ารจดุ บ้องไฟถวายเปน็ พทุ ธบูชา - งานประเพณีนมสั การสรงน้าพระเจา้ ทองทิพย์ วดั สวนตาลช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๑๒-๑๕ เมษายน

งานตานก๋วยสลาก สอบถามข้อมูลโดย คุณปา้ วนั ดี น้อยสมพงษ์ (มีศกั ด์ิเป็นคุณป้าแท้ๆ) อายุ 59ปี บ้านเลขท่ี 109 หม1ู่ 1 ต.ตาลชุม อ.ทา่ วังผา จ.น่าน งานตานก๋วยสลาก งานแห่ควั ตาน หรือครัวทาน ทานสลาก หรอื ก๋วยสลากเป็นประเพณีเกา่ แก่ทมี่ มี าตง้ั แต่ครง้ั พุทธกาลสาหรับชาวเหนอื ถอื ว่าเปน็ ประเพณีทาบญุ กลางบ้านทย่ี ิง่ ใหญ่และสาคญั เป็นเอกลกั ษณ์ของท้องถ่นิ พระภิกษรุ บั นมิ นต์เพอ่ื มารับการถวายทานโดยการจบั สลาก งานแหค่ ัวตาน หรือครวั ทาน ทานสลาก หรือกว๋ ยสลากเป็นประเพณเี กา่ แก่ที่มมี าตั้งแต่ครัง้พทุ ธกาล สลากภตั เร่มิ ต้ังแตว่ ันขน้ึ ๑๕ ค่า เดือน ๑๒ เหนือ ประมาณเดือน กนั ยายน คือหลังจากเข้าพรรษาได้ ๒ เดอื นพอดีเปน็ ต้นไปจนถึงออกพรรษา ไปอีกตามระยะเวลาอนั สมควรจะมปี ระเพณกี นิ สลากหรือตานสลากภตั สาหรับชาวเหนอื ถือวา่ เปน็ประเพณที าบญุ กลางบ้านท่ีย่งิ ใหญ่และสาคัญเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิน่ พระภกิ ษุรับนิมนต์เพอ่ื มารับการถวายทานโดยการจบัสลาก โดยถ้าอยูใ่ กลต้ ิดแม่น้าน่านก็จะมีการแข่งเรือด้วย ถ้าไมม่ ีแม่นา้ ก็ไม่มกี ารแข่งเรือจะมีการประกวดครวั ตานสลากเมอื งน่านแบ่งเปน็ ๓ อยา่ งด้วยกนั คือ – สลากสร้อย ต้นสลากใหญ่มีครบเกือบทุกอยา่ ง – สลากโชค สลากทีม่ คี วามพิเศษเพยี บพร้อมดว้ ยวัตถุ รวมถึงปจั จยั พิเศษ – สลากนอ้ ย สลากทจี่ ดั เตรยี มขา้ วปลาอาหารส้มสูกลกู ไม้ ห่อข้าว ของกนิ และหมาก เมี่ยง พลู ขม้ิน ตะไคร้หมายเหตุ : สลาก คอื เส้นหรอื ใบที่ผ้เู ป็นเจา้ ของกัณฑ์สลากเขยี นชื่อเจา้ ภาพและอทุ ิศให้ผู้ตายนา ไปรวมกนั แลว้ รวมมีจานวนเท่าไหร่ ตามจานวนพระภิกษุ สามเณร หารแบง่ เทา่ กัน ไม่มีการจบั จองของใครคนโน้นคนนี้ จงึ เรยี กวา่ “สลาก” หรอื การเสย่ี งโชคของผรู้ ับ

งานประเพณแี ขง่ เรอื จงั หวดั นา่ น

ประเพณีแข่งเรือเปน็ ประเพณีทส่ี บื ทอดกันมานานต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๙ ไดจ้ ดั ใหม้ ีการแขง่ เรือในงานทอดกฐินสามัคคีสืบทอดมาจนถงึ งานทอดกฐนิ พระราชทานในปจั จบุ นั ราวกลางเดือนตลุ าคม หรอื ตน้ เดือนพฤศจิกายนของทกุ ปี โดยถือเอาวนัเปดิ สนามแข่งเรือตามวนั ถวายสลากภัตของวดั ชา้ งค้าวรวิหารซ่งึ เปน็ วัดหลวง จะจัดงานถวายสลากภัตก่อน งานแข่งเรือประเพณีจังหวัดนา่ นจึงเป็นประเพณคี ู่กับตานก๋วยสลากของวดั ชา้ งค้ามาจนทุกวันนี้ ภายหลังทางจังหวัดไดผ้ นวกงานสมโภชงาช้างดาอันเปน็ สมบตั ิล้าคา่ คู่บ้านคเู่ มืองของจังหวัดน่านเข้าไปดว้ ย นอกจากนั้นยังมีงานแข่งเรือท่ีอาเภอเวียงสาในเทศกาลตานก๋วยสลากเรือทเ่ี ข้าแข่งแต่ละลาใช้ไม้ซุงใหญ่ ๆ เอามาขุดเป็นเรือ เอกลกั ษณ์โดดเดน่ ของเรอื แขง่ เมืองน่าน คือ ท่หี วั เรอื แกะเป็นรปูพญานาค ชูคอสงา่ งาม หางเรือเป็นหางพญานาคงอนสงู ด้วยคนเมอื งน่านเช่อื ว่าบรรพบรุ ุษของตนคือ เจา้ ขุนนุ่น ขนุ ฟอง เกิดจากไข่พญานาคเป็นสัญลกั ษณ์แห่งความอดุ มสมบูรณ์ การตอ่ เรือแขง่ เป็นรูปพญานาคจึงถอื เป็นการบชู าบุญคุณพญานาคผเู้ ป็นเจ้าแหง่ นา้ และบรรพบรุ ุษของชาวเมืองน่านประเภทการแข่งขนั มีท้งั เรือใหญ่ เรือกลาง และเรือเลก็ รวมท้ังประเภทสวยงาม นอกจากน้ียังมีการประกวดกองเชยี ร์อกีด้วย และหากมาในช่วงซ้อมก่อนการแข่งขัน ตอนเยน็ ๆ จะเหน็ ชาวบา้ น นกั เรียนจบั กลุ่มอยรู่ ิมนา้ เพ่ือดกู ารซอ้ มเรอื เชยี ร์ทีมเรอื และฝพี าย ที่เป็นคนท้องถิน่ เป็นวิถีชีวติ ที่มีสีสัน และเปน็ กิจกรรมทีส่ ร้างสรรค์ นบั เป็นประเพณีที่นา่ สนใจอย่างยิ่ง

วัฒนธรรมด้านอาหาร ข้าวเหนียว เป็นข้าวทม่ี ีลักษณะเดน่ คือการตดิ กนั เหมือนกาวของเมล็ดข้าวท่สี กุ แล้ว ปลกู มากทางภาคอีสานของประเทศไทยและ ประเทศลาว ข้าวเหนียวเป็นท่นี ยิ มบริโภคอยา่ งกว้างขวางในประเทศ และเปน็ อาหารหลักของประชากรในภาคตะวันออกเฉยี งเหนือและภาคเหนือ หรือจงั หวดั นา่ นข้าวเหนยี วก็เป็นวฒั นธรรมท้องถ่นิ ดา้ นอาหารในจังหวัดน่านดว้ ยเช่นกนั นอกจากการบรโิ ภคโดยตรงแลว้ ยงั มีการนาข้าวเหนยี วมาเป็นวตั ถดุ บิ ในการผลิตสุราพื้นเมืองหรือเรยี กบ้านบา้ นวา่ “เหลา้ เถอ่ื น” หรือจะเป็นการผลติแปง้ ข้าวเหนยี วเพื่ออตุ สาหกรรมอาหารและขนมขบเค้ียวนั้นเอง ขา้ วเหนียวมี 2 สี คอื สีขาวและสีดา(คนเหนอื เรยี กวา่ \"ข้าวก่า)แตข่ า้ วเหนยี วดาจะมสี ารอาหาร ที่เปน็ ประโยชน์มากกว่าข้าวเหนยี วขาว สารอาหารทวี่ ่า คือ “โอพีซี\"(OPC)มีสรรพคุณช่วยชะลอการแก่ก่อนวยั และความเสือ่ ม ถอยของรา่ งกาย โดยสารโอพีซีที่พบในขา้ วเหนียวดา เปน็ สารชนดิ เดียวกับสารสกัดทไ่ี ด้จากองนุ่ ดาองุน่ แดง เปลือกสนเป็นต้นสรรพคณุ -เป็นอาหารร่าเริง ทาใหส้ มองสงบ คลายเครยี ด กนิ แลว้ จะรู้สึกผอ่ นคลาย ทาใหอ้ มิ่ ท้องนาน -เพมิ่ สมรรถภาพการทางานของกระเพาะอาหาร -ชะลอการแกก่ ่อนวัย และความเส่ือม ถอยของรา่ งกาย -ช่วยขบั ลมในรา่ งกาย -สรา้ งเมด็ เลือด ทาให้เม็ดเลือดสมบูรณ์ -ปอ้ งกันหลอดเลือดหวั ใจตีบ -ป้องกนั ปัญหาวุ้นนัยน์ตาเส่ือม

สารสาคัญ ธาตุเหล็ก กรดโฟลิก และวติ ามินอี วิธนี ง่ึ นาขา้ วสารเหนยี วมาแช่นา้ (ภาษาบา้ นเรียกว่า หม่าข้าว) เพือ่ ใหข้ า้ วอมิ่ น้าใชเ้ วลาไมต่ า่ กว่า 3 ชัว่ โมงมเิ ชน่ น้ันหากขา้ วไมอ่ ่ิมน้าเวลานงึ่ ขา้ วจะไมส่ ุก หากเปน็ ข้าวสารใหม่จะใชเ้ วลาแช่น้า น้อยกวา่ จากนั้นนามาซาวเอาแต่ขา้ ว เทน้าซาวข้าว(น้าขา้ วหมา่ ) เกบ็ ไวใ้ ช้ล้างจาน หรือสระผม นาข้าวสารใสใ่ นหวด ท่ีวางบนหม้อนง่ึ แล้วนาขน้ึ ตง้ั ไฟแรง ปดิ ฝารอจนไอน้าผ่านขา้ วเหนียวจนเกอื บสุก เปดิ ฝาหมอ้ แลว้ ใช้ไมพ้ ายพลกิ ข้าวสว่ นทีย่ งั ไมส่ กุ กลบั ลงไปด้านลา่ งแทนส่วน ท่สี ุกแลว้ จากนน้ั นาข้าวลงมาเทบนโบม (ภาชนะสาหรบั พักและคนขา้ วใหไ้ อนา้ ระเหยออกไปเพื่อใหข้ ้าวเยน็ และไม่เปยี ก ช้ืนจากไอนา้ เพื่อเก็บไว้รับประทานทั้งวันได้ในกอ่ งขา้ ว หรอื กระติบ๊ ขา้ ว) นาไมพ้ ายเกล่ยี ขา้ ว พลิกไปมาใหไ้ อนา้ ท่ีรอ้ นระเหยออกไปให้ทวั่ ถึง พอได้ที่ก็ม้วนขา้ วเกบ็ เอาไว้ในกระติบ๊ ข้าวเหนียวหม่าขา้ ว หวด โบม

ส้มสที องผลไมข้ องดีเมืองน่าน ส้มสีทองเมืองนา่ น เป็นส้มที่มเี ปลือกผวิ สเี หลืองทองสวยงาม รสชาติหวาน หอม จนโดดเด่นกลายเป็นท่เี ล่ืองชอื่ และเป็นคาขวัญเมืองน่าน เปน็ พนั ธุส์ ้มทีไ่ ด้รบั การพัฒนา เน่ืองจากเดมิ เมืองนา่ นไม่มตี น้ สม้ รสดีมาก่อน เดมิ คือส้มพนั ธเุ์ ขียวหวานตอ่ มาเม่อื ปี พ.ศ. 2468 “หม่ืนระกา” ผูค้ มุ เรอื นจาจงั หวดั นา่ น ได้นาสม้ จีนเขา้ มาปลกู ก่อนเป็นคร้งั แรก แลว้ จงึ มีผูน้ าส้มพันธุ์ต่างๆเข้ามาปลกู ที่เมอื งน่านด้วย จนกระทงั่ ปี พ.ศ. 2480 นายคารพ นุชนยิ ม อดีตศึกษาธิการจงั หวดั นา่ น ไดร้ เิ รมิ่ การปลูกสม้ เขียวหวานจากก่งิ ตอน แต่ผลสม้ ทีป่ ลกู แทนที่เปลือกจะมสี ีเขยี วเหมอื นท่ัวไป กลบั กลายเปน็ สีเหลอื งทองสวยงามและมีรสชาติหวาน หอม อร่อยกวา่ พันธุ์ดัง้ เดมิ เนอื่ งจากอิทธิพลของอากาศ คือ อุณหภมู ริ ะหวา่ งกลางวนั และกลางคืนท่ตี า่ งกันถึง 8 องศาเซลเซยี ส ทาให้สาร\"คารท์ นี อยพิกเมนต์\" ในเปลอื กส้มเปลี่ยนจากสเี ขียว เป็นสเี หลอื งทอง สาหรับส้มสที องเมืองนา่ นในพ้นื ท่ีอาเภอทุ่งช้าง จะมีรสชาตดิ ีกวา่ อาเภออน่ื ๆ เพราะนา้ ท่าอดุ มสมบรู ณ์กวา่ แตก่ ็ขึ้นอยู่กบั การบารงุ รักษา บางสวนจะเป็นสีทอง บางสวนกไ็ ม่เปน็ ส้มท่เี ก็บมาจากสวนในวนั แรกๆ อาจยังมีรสเปรย้ี วเจอื อยมู่ ากชาวสวนเรยี กว่ายังไมล่ มื ตน้ บางลูกที่มสี ีเขยี วปนอยู่ เม่ือผา่ นไปสกั วันสองวันกจ็ ะกลายเป็นสีเหลืองสม้ ทว่ั ทง้ั ลกู และจะมีรสชาติดกี ว่าลกู ท่เี ก็บใหมๆ่ สม้ นีส้ ามารถเก็บไว้ไดป้ ระมาณ 10-12 วัน โดยไม่จาเปน็ ต้องใสต่ ้เู ยน็ สามารถซอ้ื สม้ ได้เกือบทกุ ตลาดในจังหวดั นา่ น และตลาดของชมุ ชน โดยส้มสีทองจะออกตลาดมาให้ได้ชิมกันตั้งแต่ชว่ งเดอื น พฤศจิกายน –ธนั วาคม เปน็ ส้มรนุ่ แรกและร่นุ ทีส่ องในช่วงเดือน มกราคา-กมุ ภาพนั ธ์

ข้าวหลามเมอื งนา่ น “นา่ น” เป็นจงั หวดั เลก็ ๆ ที่เงียบสงบของภาคเหนือ เป็นจังหวดั ทมี่ ากมายไปดว้ ยวิถชี วี ิตและศลิ ปวัฒนธรรมอนั เกา่ แก่ มีวัดวาอารามโบราณให้ไดเ้ ทยี่ วชมมากมาย โดยมวี ดั ดัง คือ“วดั ภูมนิ ทร์” ท่มี ชี ื่อเสยี งโด่งดังด้วยภาพจติ กรรมฝาผนัง “ปมู่ า่ น ย่ามา่ น” ทเ่ี รียกวา่ เปน็ ภาพกระซบิ รักบันลอื โลก ท่ีถา้ หากใครมาเทยี่ วจ.นา่ น กต็ อ้ งมาชมกันใหไ้ ด้ ไม่อยา่ งนั้นก็เหมือนมาไมถ่ ึง จ.นา่ น และเม่ือได้มาเทยี่ ว จ.นา่ น แล้วหากจะอยากซ้ือของฝากไปฝากคนทางบ้านละ่ ควรซ้ืออะไรดี?? ขอแนะนาเลยว่าควรหาซอื้ของฝากขนึ้ ช่ืออย่าง“ขา้ วหลาม” ทีม่ ีขายอย่ทู วั่ ไปใน จ.นา่ น โดยเฉพาะแถววดั ภูมินทร์ จะมรี ้านค้าหลายรา้ นท่ีต้ังเรียงรายอยรู่ มิ ถนน และวางขายข้าวหลามกระบอกสีขาวๆ เชื้อเชญิ ให้นักทอ่ งเที่ยวได้ซื้อหาขา้ วหลามเป็นของฝากกนั“ข้าวหลาม” จดั ว่าเป็นขนมหวานที่คนเมืองนา่ นทากนั มาแตโ่ บราณ ซึ่งหากใครอยากจะชมการทาข้าวหลามของคนน่าน แนะนาวา่ สามารถมาชมการทา และการเผาขา้ วหลามใหเ้ หน็ กันแบบสดๆ ได้ที่ “ชุมชนบ้านสวนตาล” ต.ในเวยี ง อ.เมอื ง เป็นชุมชนที่มีชาวบา้ นทาอาชีพเผาข้าวหลามขาย ซ่งึ สามารถติดต่อเพื่อไปชมการทาข้าวหลามล่วงหน้าได้ที่ โทร. 0-5477-3927 สาหรับการทาข้าวหลามของชมุ ชนบา้ นสวนตาล จะเลอื กใชต้ น้ ไผ่ ท่ีเรียกว่า ไม้ไผ่ข้าวหลาม ซงึ่ มีคุณลักษณะพเิ ศษ คอื มีลาปลอ้ งที่ยาว มหี ลายขนาดทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ และมเี ย่ือไผ่ทร่ี อ่ นดีมากทาให้การปลอกออกจากลาไผ่ได้ดี แล้วก็มที ง้ั ความหอมและได้รปู ทรงของข้าวหลามที่ดี เหมาะสาหรบั ใช้ทาข้าวหลามโดยเฉพาะ เมื่อเลือกกระบอกไมไ้ ผ่ทตี่ ้องการไดแ้ ลว้ กจ็ ะนามาตดัใหไ้ ด้ความยาวตามต้องการ จากน้ันกน็ ามาทาขา้ วหลาม คือ เอาข้าวเหนยี วท่เี ตรยี มไวแ้ ล้ว มากรอกใสใ่ นกระบอกไมไ้ ผ่ และก็เทนา้ กะทสิ ดท่ีปรงุ รสไว้แลว้ ใสล่ งไปจนเกือบเต็มกระบอก ถา้ ต้องการไส้อะไรก็ใส่ลงไปด้วยเลย แล้วกน็ ากระบอกไม้ไผน่ ั้นมาเผา การเผาข้าวหลาม คือจะมีการปกั หลักสองหลกั ไว้ แล้วก็นาเหลก็ มาพาดเป็นราวเพื่อใชใ้ นการเผากระบอกข้าวหลาม โดยจะเรียงกระบอกข้าวหลามเปน็ แถวยาวลกั ษณะพงิ เอน และก่อไฟให้ห่างจากกระบอกขา้ วหลาม แลว้ กค็ วบคุมไฟเผาข้าวหลามไป

เรอ่ื ยๆ จนข้าวหลามสุกได้ที่ก็เป็นอนั วา่ ใชไ้ ด้ แลว้ กจ็ ะนาข้าวหลามมาปอกเปลือกดา้ นนอกออกให้หมด ให้เห็นแต่กระบอกสีขาวๆ และผวิ ของกระบอกข้าวหลามจะมีความบาง เพื่อให้สะดวกและง่ายตอ่ การกนิท้งั น้ขี ้าวหลามจะมที ัง้ ข้าวเหนียวดา ข้าวเหนียวขาว และมีหลากหลายไส้ให้เลอื กลมิ้ รส อาทิ ไสถ้ ว่ั ดา, ไสส้ ังขยา, ไส้เผือก, ไส้งาดา และก็ยงั มีแบบ 2 ไส้ใน 1 กระบอกด้วย อย่างเชน่ ไส้ถ่วั ดากบั เผือก ซงึ่ ขา้ วหลามของ จ.นา่ น จะมไี สเ้ ตม็ ทง้ั กระบอก และหากว่าซ้ือข้าวหลามกลบั ไปเปน็ ของฝาก ก็สามารถอยู่ได้ประมาณ 2 วนั โดยไม่ตอ้ งแช่ตู้เย็น หากใครได้มโี อกาสมาแอว่ เมอื งน่าน หลังจากได้เท่ยี วเมืองนา่ นจนม่วนใจ๋กันแลว้ ก็อยา่ ลมื หาซ้ือของฝากอย่าง “ข้าวหลาม” ติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนทางบ้าน ให้ได้อม่ิ อร่อยกันแบบไมต่ ้องกลัวอว้ นกนั เลย(การเผาขา้ วหลาม) (ข้าวหลามของ จ.นา่ น จะถูกปอกเปลือกออกหมด) (รา้ นขายขา้ วหลามบรเิ วณหนา้ วัดภูมินทร์)

อาหารพน้ื ถ่นิ เมอื งนา่ นแกงส้มเมือง เปน็ แกงยอดนิยมทม่ี ใี ห้ลมิ้ ลองเกือบทกุ ร้านในตัวเมืองน่าน นยิ มแกงใสป่ ลา อยา่ งปลาคัง เพราะเนือ้ เยอะกา้ งน้อยกนิ งา่ ย เคร่ืองแกงประกอบด้วย ตะไคร้ หอมแดง กระเทียม ใบมะกรูด ขมนิ้ สด พรกิ ชีฟ้าแห้ง และกะปโิ ขลกรวมกัน นาเครอ่ื งแกงใส่หม้อตงั้ น้าใหเ้ ดือดใสป่ ลาลงไป พอเดือดใส่สม้ มะขามหรือมะนาวลงไปก็ได้ให้รสชาตเิ ปร้ยี วนาจากนน้ั จึงใสผ่ ักคูณผกั บุ้งเมือง ผักกูด มะเขอื เทศ และใบแมงลกั ลงไปตม้ ใหผ้ ักพอสลดก็ยกเสิรฟ์ ได้แกงแค เปน็ แกงผักรวมพ้ืนบ้านหลายๆ ชนดิ ใสเ่ นื้อสัตวต์ ามความชอบ แต่ทนี่ ยิ มคือแกงแคกบ ส่วนเครื่องแกงมีเพยี งพรกิ ข้หี นูแห้ง กระเทยี ม เกลือ กะปโิ ขลกรวมกนั แลว้ นาเนอ้ื ทเ่ี ตรยี มไว้ย่างไฟให้พอหอม จากนัน้ นามาคลกุ เคร่อื งแกงแลว้ คั่วให้หอมจงึค่อยเติมน้า พอน้าเดือดใสผ่ กั พื้นบา้ นตามฤดกู าล ถา้ มีหวายกใ็ ส่หวายกอ่ น ตามดว้ ยมะเขือเปราะ มะเขือพวง ดอกแค ถัว่ ฝกั ยาวชะอม ใบชะพลู ตาลึง ผักเผ็ด ใบพริก แค่นีก้ ็ไดแ้ กงแคแสนอร่อยแลว้ นอกจากนยี้ ังมแี กงขนนุ ซึ่งวธิ ที าคลา้ ยแกงแค เพียงใส่กระดูกหมแู ละขนุนลงไป

ส้ามะเขือ นามะเขือขน่ื หรือมะเขือเปราะ ใบชะพลู ชะอม หัวปลี ล้างนา้ แลว้ หั่นฝอยเตรยี มไว้ จากนั้นเตรียมเครื่องปรุงมีตะไคร้กระเทียม หอมแดง พริกแห้ง กะปิ โขลกรวมกนั แล้วนามาผัดกับหมูสบั จนสุก จากน้นั นาเคร่ืองที่ผดั สุกแล้วมาขยารวมกบั ผักที่เตรียมไว้ โรยหน้าดว้ ยแคปหมู ต้นหอมผกั ชี และโรยงาดาคว่ั เพม่ิ ความหอม

หอ่ น่งึ / แอบ๊ หอ่ น่งึ มวี ธิ ีการทาคลา้ ยห่อหมกของภาคกลาง คือนาเคร่ืองปรุงมตี ะไคร้ กระเทียม หอมแดง พริกแห้ง ขม้ิน เกลือกะปิ โขลกพอหยาบ ใสเ่ นอ้ื ต้นหอม ผกั ชี ใบมะกรดู ซอย คลุกเคล้าใหเ้ ขา้ กนั แลว้ เทลงบนใบยอห่อดว้ ยใบตอง แตไ่ ม่นิยมใส่กะทิแลว้ นาไปนึง่ เชน่ ห่อนง่ึ ไก่ ห่อนึ่งหน่อไม้ สว่ นการแอบ๊ คล้ายการงบ (ปิง้ เผา) ของภาคกลาง แต่ภาคเหนือไม่ใส่กะทใิ ชเ้ นือ้ สับละเอียดคลุกกบั พรกิ แกงชนดิ เดยี วกับหอ่ นึ่งคลุกกบั เนื้อใสเ่ นื้อ ตน้ หอม ผักชี ใบมะกรูดซอย แล้วห่อด้วยใบตองย่างไฟอ่อนๆ เช่นแอ๊บออ่ งออ (มนั สมองหมู) แอบ๊ ไก่ แอ๊บปลาไก่มะแข่น ถือเปน็ เมนยู อดนยิ มตามรา้ นอาหารใน จ. น่าน มะแข่นหรอื มะแขว่น ทางภาคกลางเรียกลูกระมาศหรือหมากมาศเป็นพชื สมุนไพรท่ขี ึ้นตามปา่ ดิบพบมากในภาคเหนือโดยเฉพาะ จ. น่าน คนเหนือนิยมนาเมล็ดแห้งของมะแขน่ มาทาเป็นเครอ่ื งเทศปรุงรสในอาหารพืน้ บ้าน เช่น ใส่ในแกง ลาบ และหลู้ เนื่องจากมีกลน่ิ หอมฉนุ และมรี สเผ็ดร้อนคล้ายพริกไทย และเมนูยอดนยิ มที่มาถึง จ. นา่ น แลว้ ต้องไม่พลาด คอื ไกม่ ะแข่น ท่ีนาเมล็ดแห้งมาโขลกหยาบคลุกเคลา้ กับน่องและปกี ไก่ ใสซ่ อสปรงุรสหมักให้เข้าเนื้อ แลว้ นาไปทอดในนา้ มันร้อนๆ จนไก่สกุ เหลอื งหอมน่ากิน

ไก คอื สาหรา่ ยน้าจดื ทชี่ อบข้ึนในน้าใสสะอาดท่ีไหลตลอดเวลา ตา่ งกบั สาหรา่ ยอีกชนดิ คือสาหร่ายเทาท่ชี อบขึน้ อยู่ในนา้ นงิ่ความตา่ งทาให้สาหรา่ ยไกไม่มีกล่ินคาว ซึง่ ไกในแม่นา้ นา่ นจะมแี ค่ชว่ ง อ. บอ่ เกลือ และ อ. ท่าวงั ผาเทา่ นั้น สว่ นดา้ นลา่ งในเขตอ. เมอื งไมม่ ีแล้ว เพราะนา้ เรมิ่ สกปรก ช่วงปหี นึง่ จะเกบ็ ไกได้เพยี งชว่ งเดอื น พ.ย. - พ.ค. ดงั นัน้ คนน่านโดยเฉพาะชาวไทล้ือใน อ.ทา่ วังผา นิยมเกบ็ ไกมาทาเปน็ อาหารพนื้ บ้าน เช่นห่อนึง่ ไก นาไกสดๆ ท่เี พง่ิ เกบ็ มาลา้ งใหส้ ะอาดแล้วสับละเอียดรอไว้ โขลกกระเทียม หอมแดง ตะไคร้ รากผักชี พรกิ ชฟี้ ้าให้ละเอยี ด แล้วนาไกสับลงคลกุ เคลา้ ใสน่ า้ ใบยา่ นางคั้นสด เติมเกลอื เล็กน้อยแลว้ ผสมใหเ้ ข้ากัน ตักใส่ใบตองสด ห่อแล้วนาไปนึง่ราว 30 นาที จะไดห้ ่อนงึ่ ไกหอมชวนกนิไกยี นาไกสดมาลา้ งสะอาดแล้วตากแดดจัดๆ เพยี ง 1 วนั จะได้ไกแห้งสเี ขียวสด จากนั้นนามาคัว่ ให้กรอบแลว้ ยีหรือป่นให้ละเอยี ด ปรงุ รสดว้ ยกระเทยี มเจียว งาขาว เกลือ และน้าตาลทรายเลก็ น้อย (หอ่ นง่ึ ไก) (ไกยี)

น้าพรกิ หน่มุ นา้ พริกหนมุ่ คือนา้ พริก ที่เป็นอาหารลา้ นนา ทรี่ จุ้ ักกนั มาช้านาน ไมแ่ น่ชัดว่าเร่ิมมกี ารคดิ คน้ เมนูนา้ พริกหนมุ่ ข้ึนมาเมอ่ื ไหร่ น้าพริกหนุ่มเป็นเมนูที่ประกอบมาจากพริกชนิดหนงึ่ ชื่อสายพนั ธว์ ่า \"พรกิ หนุ่ม\" สามารถใชไ้ ด้ท้ังพริกหนมุ่ ที่แก่จัด หรอื ยงั ไม่แก่มาก ก็ได้ แต่สว่ นมากนยิ มใช้พริกหน่มุ ท่ียงั ไม่แกจ่ ัด นามายา่ งโขลกใส่ส่วนผสม ในบล็อกนา้ พริกหนุ่มของเราได้มีสูตรวิธีปรงุ นา้ พริกหนุ่มหลายสูตร เพ่อื นๆสามารถคน้ หาและอ่านเพิ่มเติมได้ เมือ่ ปรุงนา้ พรกิ หนุ่มเรยี บรอ้ ยแล้ว สามารถรบั ประทานควบคู่กบั เมนูอื่นๆ ไดห้ ลากหลายเมนู แต่ทีเ่ รามักจะพบเห็น และเคยล้มิ ลองกันมาแล้ว คือ น้าพรกิ หนุ่ม กนิ คู่กับแคบหมู วธิ รี ับประทานนัน้ กง็ ่ายมาก คือ ใชแ้ คบหมคู ยุ้ หรือตกั นา้ พรกิ ข้ึนมาพอประมาณ ตามแตล่ ะคนชอบ บางทา่ นก็ชอบรบั ประทานคู่กบั ผกั ข้าวเหนียว กม็ ี บางสตู ร มีการใส่ปลารา้ สบั หรือบางทีก็ใสก่ ะปแิ ลว้ ย่างไฟ เพ่มิ ความหอมและรสชาติกลมกล่อมของปลาร้า หรือกะปิตามแตค่ วามนิยมบางสตู รก็ใสน่ า้ ปลากับเกลอื ผักชี ผกั หอมลงไปดว้ ย เรียกได้ว่าเมนูน้าพริกหนุ่มนนั้ สามารถประยกุ ต์ และปรุงได้หลากหลายรูปแบบตามแต่ความชอบจรงิ ๆ

นา้ พริกออ่ ง เป็นน้าพริกพื้นบา้ นของภาคเหนอื หากใครได้มาเท่ียวในภาคเหนือ โดยเฉพาะจงั หวัดเชยี งใหม่จะต้องได้ลองกินน้าพรกิ กันอยา่ งแน่นอน เพราะนา้ พริกอ่องหากินได้งา่ ยตามร้านอาหารท่วั ไปและตลาดในจงั หวัดทางภาคเหนือโดยเฉพาะภาคเหนือตอนบน หรือแม้กระท่ังโรงแรมต่างๆ เมอ่ื มีการจดั งานสมั มนาหรือประชุมต่างๆกจ็ ะมีการจัดเตรียมอาหารไว้สาหรบั เลยี้ งแขก และอาหารทขี่ าดไมไ่ ด้เสียเลยก็คงจะหนไี มพ่ น้ นา้ พริกอ่อง เป็นอยา่ งแนน่ อน จงึ ทาใหน้ ้าพริกอ่องเป็นทร่ี ู้จกั กนัอย่างแพรห่ ลาย ลักษณะเด่นของน้าพรกิ อ่อง คือ จะมสี สี ้มของสีมะเขือเทศและพริกแห้ง ที่เคยี่ วจนเป็นน้าขลุกขลกิ มีนา้ มันลอยหน้าเลก็ น้อย มีสามรส คือ เปร้ยี ว เคม็ เผด็ เล็กน้อย และรสหวานตามนิยมรบั ประทานกบั ผักสดหรือผักตม้ กไ็ ด้ และทนี่ ิยมรับประทานรว่ มกันอีกอยา่ งหนง่ึ คือ แคบหมู ซึ่งจะทาให้ได้อรรถรสในการกนิ เพ่ิมมากขน้ึคาวา่ อ่อง ในภาษาเหนือนั้น หมายถงึ วธิ กี ารปรุงน้าพริกท่ีตอ้ งผัดเค่ยี วท้ิงไว้ให้นา้ คอ่ ยๆงวดลง นา้ พริกอ่องยังสะท้อนให้เห็นถงึวฒั นธรรมการกนิ ของคนเหนือได้อย่างชดั เจน เม่ือพิจารณาจากส่วนประกอบตา่ งๆ จะเห็นไดว้ า่ วตั ถุดบิ ทน่ี ามาเป็นส่วนประกอบในน้าพริก คือ วัตถดุ บิ ท่ีได้จากธรรมชาติท่ีเกดิ จากวถิ ชี วี ติ ของคนในท้องถน่ิ นน้ั ๆ นา้ พรกิ อ่อง จึงขน้ึ อยกู่ ับความหลากหลายทง้ั ในระบบนิเวศและฤดูกาล จนกลายเป็นวัฒนธรรมอาหารประจาถิน่ ของคนเหนอื มาจนถึงทุกวนั น้ี อกี ทั้งยงั มีวิธกี ารทากไ็ ม่ยากอย่างที่คดิ นอกจากน้ยี งั มเี รื่องเลา่ เกยี่ วกับ “นา้ พรกิ อ่อง” ไว้วา่ “เมื่อกอ่ นมชี าวพม่าชอื่ “นายอ่องหม่อง”อยากจะกนิ ขนมเสน้ น้าเง้ียว จึงทาการตาน้าพรกิ เพื่อจะทาเป็นน้าเงย้ี ว กาลังเตรียมส่วนผสมค่ัวพรกิ ค่ัวหอมกลิ่นหอมๆ กาลงั ได้ท่ี ระหวา่ งน้ัน ลูกนายอ่องหมอ่ งกร็ อ้ งไห้ เพราะหิวข้าว นายออ่ งหม่อง บอกให้ลูกเงยี บกไ็ ม่เงยี บซักที เอาแตร่ ้องไห้ เพราะหิวข้าวมาก นายอ่องหมอ่ งโมโห จึงตกั นา้ พรกิ ท่ีกาลังทา ยงั ไม่เสรจ็ มาให้ลกู ชายกิน ซึง่ รสชาตินา้ พริกตอนนั้น มันเผ็ดมาก นายอ่องหม่องเลยเก็บผักมากินกบั น้าพริก ปรากฏว่ารสชาติมันอรอ่ ย รู้สึกติดใจ ลองเอาไปใหช้ าวบ้านแถวน้ันกนิ กต็ ิดใจ เลยพากันเรียก “นา้ พริกปู่อ่อง” พอนานวันเข้า ก็เรยี กช่ือเพี้ยนไป ใหส้ ้ันลง เหลอื เพียงน้าพรกิ อ่อง จึงเรียกตดิ ปากกันมาเท่าทุกวนั น้ี”จะเห็นไดว้ า่ นา้ พริกออ่ งเปน็ วัฒนธรรมการกนิ และเป็นภูมปิ ัญญาชาวบ้านด้ังเดิมของชาวลา้ นนา ที่มีการสบื ทอดกนั มาตั้งแตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั

วัฒนธรรมดา้ นดนตรี ดนตรีพนื ้ บ้าน ปิ น สะล้อ ซอนา่ น พอ่ ครูไชยลงั กา เครือเสน ศิลปิ นแหง่ ชาติ สาขาศิลปะการแสดง ดนตรีพนื ้ บ้าน คอื ผ้เู ชีย่ วชาญปิ นซงึ และสะล้อ และยงั สามารถประดษิ ฐ์เคร่ืองดนตรี คาร้อง และทานองเพลงซอป่ันฝ้ าย ศิลปิ นแหง่ ชาติอกี ทา่ นหนงึ่ คอื พอ่ ครูคาผายนปุ ิ ง ผ้ขู บั“ซอลอ่ งนา่ น” ท่เี ลา่ ถงึ ตานานการสร้างบ้านแปงเมอื งนา่ น ตามเรื่องเลา่ ขานกนั มาช้านานวา่ ครงั้ เม่ือพระยาการเมอื งอพยพย้ายเมอื งจากวรนคร อาเภอปัว มาสร้างเมืองใหมท่ ภี่ เู พยี งแชแ่ ห้งนนั้ ขบวนเสดจ็ แหแ่ หนใหญ่โตมาตามลานา้ นา่ น ผ้ตู ิดตาม คือ ป่ คู ามาและยา่ คาปี ้ ขบั ร้ องโต้ตอบด้วยปฏภิ าณกวี คลอปิ น และสะล้อ เพอ่ื ไมใ่ ห้การเดนิ ทางนา่ เบื่อสะลอ้ เปน็ เครือ่ งดนตรีประเภทเครอื่ งสี ทาให้เกิดเสยี ง ดว้ ยการสี มสี าย ๒ สาย คนั ชักของสะล้อเป็นคนั ชกั อิสระ ใชส้ ดี ้านนอกเหมอื นซอสามสายของวัฒนธรรมดนตรีไทย ภาคกลาง สะลอ้ ของนา่ นมี ๒ ลักษณะ คือ สะลอ้ กลม และสะล้อก๊อบ สะล้อกลมเป็นเครือ่ งดนตรดี ั้งเดิมเหมอื น สะลอ้ สองสายของเชียงใหม่ แต่มลี ักษณะเฉพาะทีเ่ ป็น ภูมปิ ัญญาของชาวนา่ น พจิ ารณาไดจ้ ากการจัดตาแหนง่ ลกู บิด การตัดหนา้ กะลามะพรา้ ว การขงึ สายสะลอ้ เปน็ ต้น ส่วนสะลอ้ ก๊อบ เปน็ สะลอ้ ท่มี นี มหรือหย่อง คันหนึ่งมจี านวน ๙ นมบา้ ง ๑๑ นมบ้าง การที่สะล้อมีนมหรอื หย่องน้ี ชว่ ยใหก้ ารเลน่ เคร่ืองดนตรีชนดิ นคี้ ลอ่ งตัวมาก โดยเฉพาะ เดก็ ๆท่ีต้องการฝึกเลน่ เคร่ืองดนตรีชนิดนี้ปนิ หรือซงึ เปน็ เครื่องดนตรีประเภทดดี ของลา้ นนา ทเ่ี ป็นทรี่ ู้จักโดยทว่ั ไป เป็นเครื่องดดี สายคู่ โดยแบง่ ออกเปน็ สายคู่บนและสายคู่ล่าง รวมทง้ั สิน้ สสี่ าย มี ๓ ขนาด คอื ขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ซงึ่ ให้เสียงทมุ้ เหมาะกับการบรรเลงประกอบการขับซอการซอ ชาวนา่ นมีศิลปะการขับซอที่เปน็ เอกลักษณ์ เฉพาะตวั ซอเมอื งน่านไดร้ บั การกลา่ วขานว่ามีความไพเราะ ดงั มีคากลา่ ววา่คนนา่ นพดู เรว็ ซอช้า เชยี งใหม่พูดช้าซอเรว็ การขับซอของน่านมที านองที่เป็นแบบฉบบั ควรคา่ ต่อการ รกั ษา เรยี นรู้ และสบื ทอดต่อไปอย่างยงิ่ เชน่ ทานองดาด เมอื งน่าน หรือทานองลอ่ งนา่ น ซ่งึ มีความเก่าแก่สบื ทอดกัน มาต้ังแต่สมยั เมืองนา่ นยงั ตัง้ อยู่ที่เมืองปวั นอกจากน้ีกย็ ังมี บทเพลงเก่าแกด่ ้งั เดมิ สืบทอดต่อกันมาอกี จานวนมาก แม้ว่าบางเพลงอาจมีชื่อเรยี กตรงกบั เพลงของ

ทอ้ งถน่ิ อืน่ ๆ ในดินแดนล้านนา กต็ าม แต่เพลงของนา่ นกม็ ีทานอง เฉพาะของตนเอง เช่น เพลงกลอ่ มนางนอน แม่หม้ายกอ้ ม แม่หมา้ ยเครอื ตนี ตุ๊ม ตีนแหบ เพลงลับแลงหรือเพลงลับแล เพลงป่นั ฝ้าย ซ่ึงเปน็ ทานองที่ให้อรรถรสทไี่ พเราะอย่างมากวงสะล้อ ซอ ปิน จึงเปน็ วงดนตรที ีม่ คี ุณคา่ โดยตรง ทัง้ ต่อชาวนา่ น ชาวลา้ นนา และชาวไทยท้งั ประเทศ ดนตรี ของชาวน่านจงึ มีความโดดเดน่ เฉพาะตวั ท่ีควรแก่ความ ภาคภูมิใจ เพราะกว่าจะถงึ ยุคสมัยน้ี บรรพบุรุษของชาวน่าน ไดส้ รา้ งสรรค์ ปรุงแต่งพฒั นา และสืบทอดตดิ ตอ่ กันมา ชาวน่านไดน้ าดนตรีเข้าไปสอดแทรกในประเพณีหลายอยา่ ง จนเป็นสว่ นหนึ่งของกิจกรรมประเพณที ี่ได้รับการยอมรับ และถอื ปฏบิ ตั ติ ่อเนื่องกันมาจนถึงปัจจบุ ัน เคร่ืองดนตรี สะล้อ เคร่ืองดนตรี ซอ เครือ่ งดนตรี ปิน

วฒั นธรรมดา้ นจติ กรรม วัดภูมินทร์ ตัง้ อยู่ท่บี ้านภูมนิ ทร์ อาเภอเมืองน่าน จังหวัดนา่ น ใกล้กบั พพิ ธิ ภัณฑสถาน-แห่งชาตนิ า่ น เดมิ ชอ่ื \"วัดพรหมมินทร์\" เปน็ วดั ที่แปลกกวา่ วดั อื่น ๆ คอื โบสถแ์ ละวิหารสร้างเปน็ อาคารหลังเดียวกนั ประตูไมท้ ั้งส่ีทิศ แกะสลกั ลวดลายโดยช่างฝมี อื ลา้ นนาสวยงามมาก นอกจากนฝี้ าผนังยงั แสดงถงึ ชวี ติ และ วฒั นธรรมของยคุ สมัยท่ผี ่านมาตามพงศาวดารของเมอื งนา่ นวัดภูมนิ ทรส์ ร้างขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2139 โดยพระเจา้ เจตบุตรพรหมมนิ ทร์ เจ้าผคู้ รอง เมืองน่านได้สรา้ งข้นึ หลังจากที่ครองนครน่านได้ 6 ปี มปี รากฏในคมั ภรี ์เมือง เหนือวา่ เดิมช่ือ \"วัดพรหมมินทร\"์ ซง่ึ เปน็ ชอื่ ของเจ้าเจตบุตรพรหมมินทร์ ผู้สร้างวดั แต่ตอนหลงั ช่อื วดั ได้เพย้ี นไปจากเดิมเป็น วดั ภูมินทร์สิ่งทน่ี ่าสนใจของวดั ภูมินทร์ 1. พระอุโบสถจตรุ มขุ ความสวยแปลกของวดั ภูมนิ ทรท์ ไ่ี มเ่ หมือนใคร และไมม่ ีใครเหมอื น เป็นหนึ่งเดียวในประเทศไทยกค็ ือ เปน็ พระอโุ บสถ ทรงจตุรมขุ พระประธานจตุรพกั ตร์ นาคสะดุง้ ขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทนิ ไวก้ ลางลาตัวนาค พระอโุ บสถจตุรมุข นก้ี รมศลิ ปกรไดส้ นั นษิ ฐานวา่ เปน็ พระอุโบสถจตรุ มุขหลังแรกของ ประเทศไทยพระอุโบสถ ตรงใจกลางประดิษฐาน พระพุทธรูปขนาดใหญ่ 4 องค์ หนั พระพักตร์ออก ด้านประตทู ัง้ สท่ี ิศ หันเบ้ืองพระปฤษฏางค์ ชนกันประทับ นง่ั บนฐาน ชุกชี เป็นพระพุทธรูปปางมารวชิ ัย ผู้ทีไ่ ปชมความงามของ พระอโุ บสถน้ีไมว่ า่ จะเดินขึ้นบันไดทิศใด จะพบพระพักตร์ ของพระพุทธรปู ทุกด้าน

2. ภาพจติ รกรรมฝาผนงั วัดภูมินทร์ได้รบั การบรู ณะครั้งใหญส่ มยั เจ้าอนันตวรฤทธิเดช เม่อื พ.ศ.2410 (ปลายสมัยรัชกาลท่ี 4) ใช้เวลาซอ่ ม นาน ถงึ 7 ปี จิตรกรรมฝาผนังในวิหาร หลวงเขยี นข้นึ ในช่วงนี้ ภาพจิตรกรรมหรือ “ฮบู แตม้ ” ในวัดภมู ินทร์เป็นชาดกในพุทธ ศาสนา แต่ถ้าพจิ ารณารายละเอยี ดของวิถชี ีวติ ของคนเมอื งในสมัยนัน้ มีภาพทน่ี า่ สนใจอยู่หลายภาพ ภาพเด่น คือ ภาพ ปู่ม่านย่ามา่ น ซ่งึ เปน็ คาเรียกผชู้ ายผหู้ ญิงชาวไทลอ้ื ในสมัยโบราณกระซิบสนทนากนั ผชู้ ายสักหมึก ผหู้ ญิงแต่งกายไทล้ือ อยา่ งเตม็ ยศ ภาพวาดของหนุ่มสาวคนู่ มี้ คี วามประณตี มาก ภาพนไี้ ด้รับการยกย่องวา่ เปน็ ภาพทง่ี ามเปน็ เยยี่ มของวดั ภมู นิ ทร์ ภาพธรรมเนยี มการอยู่ขว่ ง ของชาวไทลื้อ พ่อแมจ่ ะอนุญาตให้หนุ่มสาวพบปะกนั ท่ีชานบ้านในเวลาคา่ ขณะหญงิ สาวกาลงั ป่นั ฝา้ ย หรอื “อย่ขู ่วง” หากสาวเจ้า ตกลงปลงใจดว้ ยกจ็ ะจัดพธิ ีแตง่ งาน หรือท่เี รียกวา่ “เอาคาไป ป่องก๋ัน” หรอื เปน็ ทองแผ่นเดียวกัน การคา้ ขาย แลกเปลี่ยนในชุมชน ภาพชาวพ้นื เมอื ง ซง่ึ อาจเป็นชาวเขา “เปอ๊ ะ” ของปา่ บนศรีษะเพ่ือนามาแลกเปลี่ยนกบั คน ชีวิตความเปน็ อยู่ของคนเมอื งนา่ น หญงิ สาวกาลงั ทอผา้ ดว้ ยก่ีพนื้ เมือง นอกชานมีเรือนเลก็ ๆ ต้ังหม้อน้าดนิเผาท่เี รยี กว่า “ร้านนา้ ”สว่ นชายหนมุ่ ไว้ผมทรงหลักแจว หรอื ทรงมหาดไทย แสดงให้เห็นอทิ ธพิ ลตะวนั ตกท่เี ขา้ มา ผสมผสานในวิถพี นื้ เมืองน่าน ภาพชาวต่างประเทศ ท่เี ขา้ มาเมืองนา่ น ช่วงรัชกาลที่ 5 ทรงผม และเครอื่ งแต่งกายของผ้หู ญิงเปน็ รูปแบบดยี วกบั ที่กาลงั เป็นท่ีนิยมในยโุ รปขณะน้นั นอกจากนเี้ ป็นภาพจิตรกรรม ฝาผนังเรือ่ งราวของพทุ ธประวตั ิคันธกมุ ารและเนมีราชชาดก มสี ่ิงทน่ี า่ ตน่ื เต้น เประทับ ใจท่ีสุดคือ ภาพบคุ คลขนาดใหญเ่ ทา่ ตวั คน ทอี่ าจมชี วี ิตอยจู่ รงิ ในเวลานนั้ ความใหญ่โตมโหฬารของภาพบคุ คล 6 ภาพ มใิ ช่จะทาให้คนชมต้องตะลึงเท่านั้น หากภาพวาดมคี วามงดงามมากเพราะบรรยายถึงอาภรณ์ การแต่งกาย ของหญงิ ชาย โดยเฉพาะสามารถถ่ายทอดอารมณ์ชีวติ ชวี าและแสดงถงึ ลีลาอัน อ่อนชอ้ ยไดเ้ ป็นอย่างดภี าพเหลา่ นี้ส่วนมากเขียนอยบู่ นบานประตู ซ่ึงเมือ่ เปดิ ประตูออก บานประตูจะบังภาพไปบางส่วน

3. สถปู เจดีย์พระมาลยั โปรดโลก ภายในกจ็ ะเปน็ รูปป้นั จาลองนรกสาหรบั คนที่ทาบาปว่าจะไดร้ ับผลกรรมเชน่ ไร เพ่อื เป็นการยา้ เตอื นใจ

วฒั นธรรมดา้ นเคร่อื งนงุ่ หม่ผา้ ทอเมืองน่าน ความหมายของวิถชี ีวิตที่ซอ่ นอยู่ ผ้าทอเมืองนา่ น ใครเห็นต่างก็ตอ้ งหลงเสนห่ ์ลวดลายและสสี ันบนผนื ผา้ ที่ไมม่ ีใครเหมือน ด้วยผ้าทีท่ อจากฝ้าย ผสานกบัภูมิปัญญาท้องถน่ิ ทใี่ ชก้ รรมวธิ ีการยอ้ มสีแบบธรรมชาติ ทาให้ไดผ้ ้าฝ้ายทีม่ สี สี ันสวยงาม สีอ่อนโยนไม่ฉูดฉาด ดเู ปน็ ธรรมชาตินามาทอเป็นผา้ ซ่นิ สวมใสไ่ ด้ทุกโอกาสลวดลายของผา้ ทอไดบ้ อกเล่าความเป็นมาของวถิ ชี วี ิตคนเมืองน่านผา่ นลวดลายที่มีด้วยกัน 2 แบบคือ ลวดลายด้งั เดิมมาจากชาวพ้ืนเมืองดัง้ เดิม ได้แก่ ผา้ พ้นื ผ้าขาวม้า ผ้าลายคาดก่านแบบน่าน ผา้ ขาวมา้และลวดลาย “ผา้ ทอลายนา้ ไหล” มาจากการทอลวดลายผ้าของชาวไทลอื้ ท่ีอพยพเข้ามาอยู่ทบ่ี ้านหนองบวั บา้ นต้นฮ่าง และบ้านดอนมลู อ.ท่าวังผา จ.นา่ น ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2379 ได้สบื ทอดการออกแบบลายผา้ จากรุ่นสรู่ นุ่ มากวา่ 150 ปี และได้มีการประยกุ ต์ลวดลายขึ้นใหม่ ดัดแปลงมาจากลายของไทล้ือเดิมจนกลายเปน็ ลายน้าไหล สีสันของผ้ามีสีออ่ นโยน ไมฉ่ ดู ฉาด สะทอ้ นวถิ ีชวี ิตของชาวไทล้ือทอี่ ยู่กันอย่างสงบ เรียบง่าย ทง้ั ยงั พบหลกั ฐานทางประวตั ิศาสตร์ที่จิตรกรรมฝาผนังวดั ภูมนิ ทร์ ที่มลี วดลายของหญิงชาวไทลื้อนุ่งซน่ิ ลายน้าไหลอีกด้วย ซ่ึงถือว่าเป็นลายผา้ ท่ีพบได้เพยี งแหง่ เดยี วในไทยเสน่หผ์ า้ ทอลายน้าไหล เอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียว

เสน่หข์ อง “ผ้าทอลายน้าไหล” เปน็ ศิลปะการทอผา้ ดว้ ยมือ โดยลายผ้ามลี กั ษณะหยักๆ เหมอื นคล่ืนของสายน้าทก่ี าลังไหลเป็นทางยาว จึงถูกเรยี กว่าผ้าทอลายนา้ ไหลการทอผ้าลายน้าไหลในสมยั แรกๆ นยิ มใชไ้ หมเงนิ และไหมทองตรงลายผ้าที่เปน็ หยกั เหมือนลายนา้ ซึ่งทอด้วยเทคนิคที่สืบทอดมาจากบรรพบรุ ุษ เรยี กว่า การเกาะล้วง คือการใช้มอื จบั เส้นดา้ ยหรือไหมต่างสีสอด (ลว้ ง) ให้เกดิ ลายทตี่ ้องการขณะทอ เปน็เทคนคิ ท่พี บในการทอผ้าของเมอื งน่านเทา่ น้นั ผ้าทอลายน้าไหล ต่อมาภายหลังมีการทอลวดลายอื่นๆ เพิ่มมากข้ึน เชน่ ลายจรวด เป็นการทอท่ีเพ่ิมหยักในลายนา้ ไหลให้คลา้ ยจรวดกาลังพุ่ง นอกจากนี้ยังมี ลายดอกไม้หรือลายแมงมุม มาจากการที่นาผา้ ลายน้าไหลมาต่อกันแลว้ จะมจี ดุ ช่องว่างตรงกลางจึงเติมเสน้ ใหเ้ ป็นลายขาเล็กๆ แยกออกมา ดูคลา้ ยดอกไมห้ รอื แมงมมุ

ลายแมงมมุ และยงั มลี ายใหมเ่ พิ่มอีกหลายลาย เช่น ลายเล็บมือนาง ลายธาตุ ลายกาบ ลายใบมดี ลายดาวลม้ เดอื น เพ่ือให้มคี วามหลากหลายในการเลือกซ้ือเลือกใช้ และยังเปน็ การเพม่ิ มูลคา่ ของผลติ ภัณฑผ์ ้าทอมือของเมืองน่านอีกดว้ ย ลายดาวล้อมเดอื น

สรุป นา่ นแมจ้ ะเปน็ เมืองเล็กๆ แต่ก็เป็นประเภทเล็กดีรสโต ทีเ่ ต็มไปด้วยสง่ิ นา่ สนใจใหช้ วนคน้ หา โดยเฉพาะมนตเ์ สนห่ ์ของมรดกทางวฒั นธรรมแหง่ ล้านนาตะวันออก อนั เปน็ เอกลกั ษณท์ ตี่ กทอดมาถึงปัจจุบัน ที่กลายเปน็ ปัจจยั สาคญั ให้ใครหลายๆคนท่ีเคยไปแอว่ เมืองนา่ นแลว้ ตา่ งตกหลุมรักเมืองนเี้ ข้าเต็มเปา และท้ังหมดนก่ี ็คือมนต์เสน่ห์ แห่งศลิ ปวฒั นธรรมเมอื งน่านทีเ่ ปน็ พ้ืนท่ีทอ่ งเท่ยี วอนั โดดเด่นของเมืองๆน้ี ซึ่งทุกวนั นี้บ้านเมอื งน่านยังคงความสงบงามคลาสสิกเหมือนดังหยดุ เวลาไว้ ดุจดัง “เมอื งเก่าที่มีชีวติ ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook