Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

การถ่ายทอดทางพันธุกรรม

Published by rapeph_t, 2020-07-31 00:24:19

Description: พันธุกรรม

Search

Read the Text Version

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 1 บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 2 บทท่ี 3 การถ่ายทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรม  พนั ธุศาสตร์ (องั กฤษ: genetics) เป็นสาขาหน่งึ ของชีววทิ ยา ศกึ ษาเก่ียวกบั ยีน การถา่ ยทอดลกั ษณะทาง พนั ธกุ รรม และความหลากหลายทางพนั ธุกรรมของสง่ิ มชี วี ิต  ลักษณะทางพันธุกรรม  ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่แี ปรผนั ไม่ต่อเน่ือง คือ มลี กั ษณะนนั้ มีกค็ ือมถี า้ ไมม่ กี ็คอื ไม่มี ( มมี าแตก่ าเนิด ) เช่น การมี ลกั ยมิ้ การไม่มีลกั ยมิ้ การห่อลิน้ ได้ การกระดกนิว้ หวั แม่มอื ได้ หมเู่ ลือด การเวียนขวญั บนศรี ษะไปทางขวาหรือทางซา้ ย การพบั ลนิ้ ได้ การถนดั มอื ขวา  ลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีมีความแปรผนั ต่อเน่ือง คือ มลี กั ษณะท่มี ีการเปลีย่ นแปลง ( มพี ฒั นาการ ) เชน่ ลกั ษณะสี ผิวของคนมีตงั้ แต่ดาสนิท ดาปานกลาง ดานอ้ ยลงเรื่อยๆ จนถึงผวิ ขาว ความสงู  ทม่ี าของโครโมโซม  รูปร่างและลักษณะของโครโมโซม บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 3  คาศัพทท์ างพนั ธุศาสตร์ ยีน ( gene ) เป็นหน่วยพนั ธุกรรมท่ีควบคมุ ลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมของส่ิงมชี วี ิตและถ่ายทอดจากรุน่ หนง่ึ ไปยงั อีกรุน่ หน่ึง เชน่ ยนี T, ยีน t , ยนี R , ยนี ซ่งึ แยกเป็นยีนเด่นและยีนดอ้ ย แอลลลี ( allele ) คือยนี ท่ปี ระกอบหรอื ยีนท่ีอยกู่ นั เป็นค่กู นั เฉพาะลกั ษณะหน่งึ ๆเป็นยีนท่ีอย่บู นตาแหนง่ เดียวกนั ของโครโมโซมท่ีเป็นค่กู นั เช่น T เป็นอลั ลีล กบั t แตไ่ ม่เป็น อลั ลีลกบั S หรือ s ซง่ึ ควบคมุ ลกั ษณะอ่นื ลกั ษณะใดท่ถี กู ควบคมุ ดว้ ยอลั ลลี มากกว่า ๑ ค่จู ะเรียกว่า multiple alleles โดมิแนนต์ ( dominant ) หมายถงึ ลกั ษณะท่ีมีโอกาสปรากฏในรุน่ ต่อมาเป็นสดั สว่ นมากกว่า เขยี นดว้ ยตวั ย่อ ภาษาองั กฤษตวั ใหญ่แทนยีนเด่น เช่น สงู ถนดั มือขวา รเี ซสซีฟ ( recessive ) หมายถงึ ลกั ษณะท่ีมโี อกาสปรากฏในรุน่ ต่อไปได้ นอ้ ยกว่า เขียนดว้ ยตวั ย่อภาษาองั กฤษ ตวั เลก็ แทนยีนดอ้ ย เชน่ เตยี้ ถนดั มือซา้ ย ฟี โนไทป์ ( phenotype ) หมายถึง ลกั ษณะของสิ่งมีชวี ติ ท่ปี รากฏใหเ้ หน็ เชน่ ลาตน้ สงู กบั เตยี้ จโี นไทป์ ( genotype ) หมายถงึ แบบของยีนท่อี ยเู่ ป็นค่ๆู ท่ีควบคมุ ลกั ษณะของส่ิงมีชีวติ ในรา่ งกาย การเขียนจีโน ไทป์ เขียนไดห้ ลายแบบ เชน่ TT , Tt , tt , T/T , T/t , t/t โฮมอไซกสั ( homozygouse ) เป็นสภาพของส่ิงมชี ีวติ ท่มี ยี นี 2 ยนี เหมือนกนั ควบคมุ ลกั ษณะหนึง่ เช่น TT = homozygouse dominant gene (พนั ธุแ์ ทเ้ ดน่ ) tt = homozygouse recessive gene (พนั ธุแ์ ทด้ อ้ ย) เฮเทอโรไซกัส ( heterozygouse ) เป็นสภาพของสิ่งมชี ีวติ ท่มี ียนี 2 ยนี แตกต่างกนั และควบคมุ ลกั ษณะหนง่ึ เช่น Tt = heterozygouse gene (พนั ธุท์ าง = hybrid) โครโมโซม ( Chromosome ) โครโมโซมคือโมเลกลุ ดอี อกซไี รโบนิวคลีโอโปรตนี อย่ใู นนิวเคลยี สของเซลล์ ใน ระหว่างการแบง่ เซลลจ์ ะมองเห็นเป็นแท่งติดสเี ขม้ ในเชงิ พนั ธศุ าสตรโ์ ครโมโซมมีหนา้ ท่เี กบ็ ขอ้ มลู ทางพนั ธกุ รรมไวใ้ น บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ลกั ษณะของการเรยี งลาดบั นิวคลโี อไทดบ์ นดเี อนเอ Gamete คอื เซลลส์ ืบพนั ธุ์ มนษุ ยม์ เี ซลลส์ บื พนั ธุส์ องเพศคอื เพศผคู้ ือ sperm และเพศเมยี คือ egg Locus หมายถงึ ตาแหน่งของจนี บนโครโมโซม Dominant Allele หมายถงึ อลั ลีลท่แี สดงลกั ษณะใหเ้ ห็นไดท้ งั้ ในสภาพท่ีเป็น homozygote และ heterozygote Recessive Allele หมายถึง อลั ลลี ท่จี ะแสดงลกั ษณะใหป้ รากฏไดก้ ็ต่อเม่อื เป็น homozygote เท่านนั้ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 4 ความน่าจะเป็ นและกฎแห่งการแยกตวั ( ของเมนเดล ) กฎขอ้ ท่ี 1 การแยกตวั ( law of segregation ) กฎขอ้ ท่ี 2 การรวมกลมุ่ กนั อย่างอิสระ ( law of independent assortment ) บดิ าแห่งพนั ธุศาสตร์ คือ เกรเกอร์ เมนเดล ( Greqor Mendel ) ไดศ้ กึ ษาถ่วั ลนั เตา ท่งั หมด 7 อย่าง  เมนเดล กาหนดให้ รุน่ พอ่ พนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุเ์ ป็นรุ่น P1 และรุน่ ลกู เป็นรุ่น F1 ตามลาดบั บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 5 ตวั อย่าง ถา้ เอาตน้ ถ่วั ลนั เตาตน้ สงู พนั ธุแ์ ทม้ าผสมพนั ธุก์ บั ตน้ เตีย้ พนั ธุแ์ ทล้ กู รุน่ F1จะมีจโี นไนไทลแ์ บบใด และถา้ มี จานวนรุน่ F1 มี 750 ตน้ จะมีจานวนตน้ สงู ตอ่ ตน้ เตยี้ เท่าไร ตวั อยา่ ง  ถา้ เราเอาถ่วั ลนั เตาตน้ สงู พนั ธท์ างมาผสมพนั ธุก์ บั ตน้ สงู พนั ธุแ์ ทล้ กู รุน่ รุน่ F1จะมจี ีโนไนไทล์ และถา้ มี จานวนรุน่ F1 มี 500 ตน้ จะมีอตั ราส่วนตน้ สงู ตอ่ ตน้ เตยี้ เทา่ ไร ตัวอย่าง  ถา้ เราเอาถ่วั ลนั เตาตน้ สงู พนั ธท์ างมาผสมพนั ธุก์ บั ตน้ สงู พนั ธุท์ าง ลกู รุน่ F1จะมีจีโนไนไทลแ์ ละฟีโนไทล์ บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม อยา่ งไร และถา้ มจี านวนรุน่ F1 มี 500 ตน้ จะมตี น้ สงู ต่อตน้ เตยี้ คดิ เป็นรอ้ ยละเท่าไร ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 6  จานวนโครโมโซมของสิ่งมีชีวติ  การสืบพนั ธุข์ องสิง่ มชี ีวิต เม่อื เซลลไ์ ขแ่ ละเซลลอ์ สจุ ิผสมกนั โครโมโซม 23 แทง่ จากเซลลอ์ สจุ ิและโครโมโซมอีก 23 แทง่ จากเซลลไ์ ข่จะมา จบั ค่กู นั ไดเ้ ซลลใ์ หม่ท่ีเกิดจากการผสมของเซลลไ์ ข่ท่เี รยี กว่า ไซโกต ( Zygote ) ซง่ึ มจี านวนโครโมโซม 23 คู่ และมีการ เจรญิ แบ่งเซลลเ์ ป็นเซลลร์ า่ งกายท่มี โี ครโมโซม 23 คู่ หรอื 46 แทง่ เทา่ เดิม บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 7  เพดดกี รี ( Pedegree ) หรอื พงศาวลี หมายถงึ แผนภาพลาดบั เครือญาติ หรือแผนภาพแสดงการสืบพนั ธุท์ ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาการถ่ายทอดลกั ษณะทาง พนั ธุกรรมทาไดโ้ ดยการเก็บขอ้ มลู ของคนในครอบครวั หลายๆช่วั อายคุ นแลว้ นามาเขียนแผนภาพซง่ึ ตอ้ งใชส้ ญั ลกั ษณต์ ่าง ตัวอยา่ ง สธุ ีเป็นโรคแขนขาลีบแต่งงานกบั สดุ า ซ่งึ เป็นพาหะของโรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลบี ไดบ้ ตุ รสาว 2 คน บุตรชาย 2 บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม คน บตุ รสาวคนท่ี 1 เป็นพาหะของโรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลีบ บุตรสาวคนท่ี 2 เป็นกลา้ มเนอื้ แขนขาลบี สว่ นบตุ รชายคนท่ี 1 ปกติ บตุ รชายคนท่ี 2 เป็นกลา้ มเนือ้ แขนขาลบี ถา้ นามาเขียนแผนผงั เพดดีกรขี องครอบครวั นจี้ ะไดอ้ ยา่ งไร ( กาหนดให้ c แขนขาปกติ และ c แขนขาลีบ ) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 8  โครโมโซม คทู่ ่ี 1-22คือ โครโมโซม รา่ งกาย คทู่ ี่ 23 คือ โครโมโซม เพศ  โรคทางพนั ธุกรรม โรคทางพนั ธุกรรม หรือ โรคติดตอ่ ทางพนั ธุกรรม เป็น โรคท่เี กดิ ขนึ้ โดยมีสาเหตมุ าจากการ ถา่ ยทอดพนั ธุกรรมของฝ่ังพ่อและแม่ หากหนว่ ยพนั ธกุ รรมของพอ่ และแม่มคี วามผดิ ปกตแิ ฝงอยู่ โดยความผิดปกติเหลา่ นี้ เกิดขนึ้ มาจากการผ่าเหลา่ ของหน่วยพนั ธุกรรมบรรพบรุ ุษ ทาใหห้ น่วยพนั ธกุ รรมเปล่ียนไปจากเดิมได้ ทงั้ นี้ โรคทางพนั ธกุ รรม นี้ เป็นโรคติดตวั ไปตลอดชีวิต ไมส่ ามารถรกั ษาใหห้ ายขาดได้ โดย โรคทางพนั ธกุ รรม เกดิ จากความผิดปกตขิ องโครโมโซม 2 ประการ คือ ความผิดปกติของออโตโซม (โครโมโซมรา่ งกาย) และความผิดปกตขิ อง โครโมโซมเพศ  โรคทเี่ กิดจากความผดิ ปกตขิ องโครโมโซมร่างกาย เรยี กว่า ออโตโซม (Autosome) โรคท่เี กิดจากความ ผิดปกตบิ นออโตโซม คือ โรคท่เี กดิ จากความผิดปกติของโครโมโซมในรา่ งกาย ท่มี ี 22 คู่ หรือ 44 แทง่ สามารถเกิดไดก้ บั ทกุ เพศ และมโี อกาสเกิดไดเ้ ท่า ๆ กนั โรคท่เี กดิ จากความผิดปกติบนออโตโซม แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ ความผิดปกติ ท่จี านวนออโตโซม และความผิดท่รี ูปร่างโครโมโซม ประกอบดว้ ย บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม 1.1 ความผดิ ปกติของจานวนออโตโซม เป็นความผิดปกติท่จี านวนออโทโซมในบางค่ทู ่เี กินมา 1 โครโมโซม จงึ ทาให้ โครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายทงั้ หมดเป็น 47 โครโมโซม เช่น ออโทโซม 45 แทง่ 1 โครโมโซมเพศ 2 แท่ง ไดแ้ ก่ โรค ความผิดปกติ รูปภาพ กลุม่ อาการดาวน์ (Down's เกดิ จากความผิดปกติของออโทโซมโดยคทู่ ่ี 21 syndrome) เกินมา 1 โครโมโซม ทาใหเ้ ด็กในระยะแรกเกดิ จะ มีตวั อ่อนปวกเปียก ศีรษะแบน ดงั้ จมกู แบน ตา หา่ ง และตาชขี้ ึน้ บน ใบหผู ิดรูป ปากปิดไมส่ นิท มี ลิน้ จกุ ปาก นวิ้ มือสนั้ ป้อม เสน้ ลายมือขาด ท่เี ทา้ มีชอ่ งกวา้ งระหวา่ งนิว้ หวั แมเ่ ทา้ และนิว้ ท่สี อง ลายเทา้ ผิดปกติ อาจมีหวั ใจพิการแต่กาเนดิ และ ปัญญาอ่อน อายสุ น้ั พ่อแม่ท่ีมอี ายมุ ากมีโอกาส ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 9 กลุ่มอาการเอด็ เวริ ด์ (Edward's เสยี่ งท่ลี กู จะเป็นกลมุ่ อาการดาวน์ syndrome) เกิดจากโครโมโซมคทู่ ่ี 18 เกินมา 1 โครโมโซม ทา ใหเ้ ป็นปัญญาอ่อน ปากแหว่ง เพดานโหว่ คาง เวา้ นวิ้ มือบิดงอ และกาแนน่ เขา้ หากนั ปอดและ ระบบย่อยอาหารผดิ ปกติ หวั ใจพิการแต่กาเนิด ทารกมกั เป็นเพศหญิง และมกั เสยี ชีวิตตงั้ แต่กอ่ น อายุ 1 ขวบ กลุม่ อาการพาทวั ซนิ โดม จากความผดิ ปกติของออโทโซมค่ทู ่ี 13 เกินมา 1 ( Patau syndrome) โครโมโซม ลกั ษณะท่ีปรากฏจะพบวา่ มีอาการ ปัญญาอ่อน ปากแหว่ง เพดานโหว่ หหู นวก นิว้ เกนิ ตาอาจพิการ หรือตาบอด สว่ นใหญ่อายสุ น้ั มาก 1.2 ความผดิ ปกติทร่ี ูปร่างของออโตโซม เป็นความผิดท่ีออโทโซมบางโครโมโซมขาดหายไปบางสว่ น เชน่ โครโมโซมคู่ ท่ี 5 หายไป 1 โครโมโซม แต่จานวนโครโมโซมเทา่ กบั คนปกติ คือ 46 แทง่ ไดแ้ ก่ โรค ความผิดปกติ รูปภาพ กลุม่ อาการคริดูชาต์ เกิดจากแขนโครโมโซมคทู่ ่ี 5 หายไป 1 โครโมโซม (Cri-du-chat syndrome) ลกั ษณะท่พี บ คือ มีศรี ษะเลก็ กว่าปกติ หนา้ กลม ใบ บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม หตู ่ากว่าปกติ ตาห่าง มีอาการปัญญาออ่ น ลกั ษณะ กลุ่มอาการเพรเดอร-์ วลิ ลี ท่เี ด่นชดั ในกลมุ่ อาการนคี้ ือ มีเสียงรอ้ งแหลมเลก็ (Prader-Willi syndrome) คลา้ ยเสียงแมวรอ้ ง จงึ เรียกกลมุ่ อาการนอี้ ีกอย่าง หน่งึ ว่า Cat-cry-syndrome เกิดจากความผดิ ปกติของโครโมโซมค่ทู ่ี 15 ทาให้ ผปู้ ่วยมรี ูปรา่ งอว้ นมาก มือเทา้ เล็ก กินจุ มีความ บกพรอ่ งทางสติปัญญา มีพฤติกรรมแปลก ๆ เชน่ พดู ชา้ รวมทงั้ เป็นออทิสติกดว้ ย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 10  โรคทเ่ี กิดจากความผิดปกตทิ ถ่ี า่ ยทอดทางพันธุกรรมในโครโมโซมเพศ ( Sex chromosome) ความผิดปกติของโครโมโซมเพศ สว่ นใหญ่เกิดจากจานวนโครโมโซมเพศ คือ โครโมโซม X หรือ โครโมโซม Y ขาด หายหรือเกินมาจากปกติ และยงั ถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมไปสลู่ กู หลานอีกดว้ ย ความผิดปกติเช่นนี้ แบง่ ได้ 2 แบบ คือ 1. ความผิดปกตทิ ่เี กดิ กบั โครโมโซม X 2. ความผดิ ปกตทิ ่เี กิดกบั โครโมโซม Y 2.1 ความผดิ ปกติทเ่ี กิดกบั โครโมโซม X ความผิดปกติท่เี กิดกบั โครโมโซม X มี 2 กรณี คอื 2.1.1. โครโมโซม X ขาดหายไป 1 โครโมโซม ทาใหเ้ หลอื โครโมโซม X เพยี งแทง่ เดียว และเหลอื โครโมโซมใน เซลลร์ า่ งกาย 45 แท่ง พบไดใ้ นเพศหญิงเป็นแบบ 44+XO เรียกผปู้ ่ วยลกั ษณะนีว้ ่า กลมุ่ อาการเทอรเ์ นอร์ (Turner's syndrome) ลกั ษณะของผปู้ ่ วย คือ ตวั เตยี้ คอมีพงั พดื กางเป็นปีก แนวผมทา้ ยทอยอย่ตู ่า หนา้ อกกวา้ ง หวั นมเลก็ และอย่หู ่างกนั ใบหใู หญ่อย่ตู ่ามีรูปรา่ งผดิ ปกติ แขนคอก รงั ไข่ไมเ่ จรญิ ไมม่ ีประจาเดือน เป็นหมนั มอี ายยุ ืนยาวเท่าๆ กบั คนปกตทิ ่วั ๆ ไป ดงั รูป 2.1.2 โครโมโซม X เกินมาจากปกติ พบไดท้ งั้ ในเพศหญิงและเพศชาย มีดงั นี้ บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม 2.1.2.1 ในเพศหญิง โครโมโซมเพศ เป็น XXX หรือ XXXX จึงทาใหโ้ ครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายเป็น 47 โครโมโซม หรอื 48 โครโมโซม ดงั นนั้ โครโมโซมจึงเป็นแบบ 44+XXX หรือ 44+XXXX เรยี กผปู้ ่ วยท่เี ป็นแบบนวี้ ่า ซูเปอรฟ์ ี เมล (Super female) ลกั ษณะของผปู้ ่วยในเพศหญิงท่วั ไปดปู กติ สตปิ ัญญาต่ากว่าระดบั ปกติ ลกู ท่เี กิดมาจากแมท่ ่ีมี โครโมโซมแบบนอี้ าจมีความผิดปกติเช่นเดียวกบั แม่ 2.1.2.2 ในเพศชาย โครโมโซมเพศเป็น XXY หรือ XXXY จงึ ทาใหม้ ีโครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายเป็น 47 โครโมโซม หรอื 48 โครโมโซม ดงั นนั้ โครโมโซมจึงเป็นแบบ 44+XXY หรอื 44+XXXY เรียกผปู้ ่วยแบบนวี้ ่า กลุ่มอาการไคลนเ์ ฟลเตอร์ (Klinefelter's syndrome) ลกั ษณะของผปู้ ่ วยในเพศชายมีลกั ษณะคลา้ ยเพศหญิง สะโพกพาย หนา้ อกโต จะสงู มากกว่าชายปกติ ลกู อณั ฑะเล็ก ไมม่ อี สจุ ิ จึงทาใหเ้ ป็นหมนั ดงั รูป ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 11 2.1.3 ความผดิ ปกติท่เี กิดกบั โครโมโซม Y ความผิดปกติท่เี กิดกบั โครโมโซม Y โดยมโี ครโมโซม Y เกนิ มาจากปกติ โครโมโซมเพศ จงึ เป็นแบบ XYY จงึ ทาใหโ้ ครโมโซมในเซลลร์ า่ งกายเป็น 47 โครโมโซมเป็นแบบ 44+XYY เรยี กผปู้ ่วยท่เี ป็นแบบนีว้ า่ ซูเปอรเ์ มน (Super men) ลกั ษณะของผปู้ ่วยในเพศชายจะมีรูปรา่ งสงู ใหญ่กวา่ ปกติ มีอารมณร์ า้ ย โมโหงา่ ย บางรายมีจิตใจปกติ และไม่เป็นหมนั ดงั รูป ตาบอดสี (Color blindness) บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม เป็นภาวะการมองเหน็ ผิดปกติ โดยมากเป็นการตาบอดสีตงั้ แตก่ าเนิด และมกั พบในเพศชายมากกว่า เพราะเป็น การถา่ ยทอดทางพนั ธุกรรมแบบลกั ษณะดอ้ ยบนโครโมโซม ผทู้ ่เี ป็นตาบอดสีส่วนใหญ่จะไม่สามารถแยกความแตกตา่ ง ระหวา่ งสีเขียวและสีแดงได้ จึงมีปัญหาในการดสู ญั ญาณไฟจราจร รองลงมาคือ สนี า้ เงินกบั สเี หลือง หรืออาจเห็นแต่ภาพ ขาวดา และความผิดปกตนิ จี้ ะเกดิ ขนึ้ กบั ตาทงั้ สองขา้ ง ไม่สามารถรกั ษาได้ ฮโี มฟี เลยี (Hemophilia) คือ โรคเลอื ดออกไหลไม่หยดุ หรอื เลือดออกง่ายหยดุ ยาก เป็น โรคทางพนั ธุกรรม ท่พี บมากใน เพศชาย เพราะยนี ท่กี าหนดอาการโรคฮีโมฟีเลยี จะอยใู่ น โครโมโซม X และถ่ายทอดยีนความผิดปกตนิ ใี้ หล้ กู สว่ นผหู้ ญิง หากไดร้ บั โครโมโซม X ท่ผี ิดปกติ กจ็ ะไมแ่ สดงอาการ เน่ืองจากมี โครโมโซม X อกี ตวั ขม่ อยู่ แตจ่ ะแฝงพาหะแทน ลกั ษณะอาการ คือ เลือดของผปู้ ่วยฮีโมฟีเลยี จะไม่สามารถแข็งตวั ได้ เน่ืองจากขาดสารท่ที าใหเ้ ลือดแขง็ ตวั อาการ ท่สี งั เกตได้ เช่น เลือดออกมากผดิ ปกติ เลอื ดกาเดาไหลบ่อย ขอ้ บวม เกิดแผลฟกชา้ ขึน้ เอง แต่โรคฮโี มฟีเลยี นี้ สามารถ รกั ษาได้ โดยการใชส้ ารชว่ ยใหเ้ ลอื ดแขง็ ตวั ทดแทน ภาวะพร่องเอนไซม์ จี- 6- พดี ี (G-6-PD : Glucose-6-phosphate dehydrogenase) โรคพรอ่ งเอนไซม์ G6PD หรือ Glucose-6-phosphate dehydrogenase เป็น โรคทางพนั ธกุ รรม ท่ที าใหเ้ ม็ดเลอื ด แดงแตกไดง้ า่ ย เม่ือไดร้ บั ส่งิ กระตนุ้ ซ่งึ สาเหตขุ อง ภาวะพรอ่ งเอนไซม์ จี- 6- พดี ี นนั้ เกดิ จากความผิดปกติของโครโมโซม แบบ X ทาใหเ้ อนไซม์ G6PD ท่คี อยปกป้องเมด็ เลอื ดแดงจากการทาลายของสารอนุมลู อสิ ระบกพรอ่ ง จนไมส่ ามารถ ปอ้ งกนั การทาลายสารอนมุ ลู อสิ ระท่ีเป็นพษิ ต่อเซลลเ์ มด็ เลือดแดงได้ ผปู้ ่วยจึงมอี าการซดี เป็นครงั้ คราว เน่ืองจากเมด็ เลอื ดแดงแตกอย่างฉบั พลนั ในเดก็ จะมีอาการดีซ่าน สว่ นผใู้ หญ่จะปัสสาวะเป็นสีดา ถ่ายปัสสาวะนอ้ ยจนเกิดอาการไต วายได้ โดยสงิ่ ท่สี ามารถกระตนุ้ ใหเ้ กิดอาการได้ เช่น อาหารอย่างถ่วั ปากอา้ ท่มี ีสารอนมุ ลู อิสระมาก รวมทงั้ การติดเชือ้ โรคต่าง ๆ ทาใหเ้ ซลลเ์ ม็ดเลือดขาวหล่งั สารอนมุ ลู อิสระมากขนึ้ ทงั้ นี้ โรคนไี้ มส่ ามารถรกั ษาได้ ถา้ รูจ้ กั การระวงั ตวั เชน่ หลกี เลยี่ งยา หรอื อาหารท่แี สลง ก็จะไม่เกิดอนั ตราย ท่สี าคญั คือ ผปู้ ่วยตอ้ งดืม่ นา้ มาก ๆ เพ่อื ปอ้ งกนั ไมใ่ หไ้ ตวาย ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 12 กลุม่ อาการทริปเปิ้ ลเอก็ ซ์ (Triple x syndrome) เกิดในผหู้ ญิง โดยจะมโี ครโมโซม x เกินมา 1 แทง่ ทาใหเ้ ป็น XXX รวมมโี ครโมโซม 47 แท่ง ทาใหผ้ หู้ ญิงคนนนั้ เป็น หมนั เจรญิ เติบโตไม่เต็มท่ี และไม่มีประจาเดอื น กลุม่ อาการดับเบลิ วาย (Double y syndrome) เกิดในผชู้ าย ท่มี โี ครโมโซม y เกนิ มา 1 แทง่ มจี ีโนไทป์ เป็น xyy เรียกวา่ Super Male ลกั ษณะจะเป็นผชู้ ายท่ีมี รา่ งกายปกติ แตเ่ ป็นหมนั มีอารมณฉ์ นุ เฉียว สงู มากกว่า 6 ฟตุ มรี ะดบั ฮอรโ์ มนเพศชายในเลอื ดสงู กวา่ ปกติ สว่ นใหญ่เป็น หมนั ไม่สามารถมีบตุ รได้ โรคทเ่ี กดิ จากความผิดปกติทางพนั ธุกรรมอนื่ ๆ ไดแ้ ก่ ฟี นิลคโี ตนูเรีย (Phenylketonuria) หรือ (Phenylpyruvic oligophrenia) เป็น โรคทางพนั ธกุ รรม ท่เี กดิ จากการถ่ายทอดทางโครโมโซม โดยโครโมโซมนนั้ มีความบกพรอ่ งของยีนท่สี รา้ ง Phenylalanine hydroxylase ทาใหผ้ ปู้ ่วยไม่สามารถสรา้ งเอนไซมน์ ไี้ ด้ จึงไมส่ ามารถยอ่ ยสลายกรดอะมิโน phenylalanine ไปเป็น tyrosine เหมือนคนปกติ จึงเกิดภาวะ phenylalaine สะสมในเลือดมากผดิ ปกติ และมี phenylpyruvic acid และกรดอนิ ทรยี อ์ ่นื ปนในปัสสาวะ รวมทงั้ อาการโลหิตเป็นพษิ ดว้ ย โดยผปู้ ่ วยฟีนิลคโี ตนเู รียนี้ มกั จะ มีอาการปัญญาอ่อน และไม่สามารถรบั ประทานอาหารไดเ้ หมือนคนท่วั ไป โดยอาการฟีนลิ คโี ตนเู รียนี้ จะพบในคนผวิ ขาว มากกว่า และในประเทศไทยพบไมม่ าก สไปโนซรี เี บลลารอ์ ะแทก็ เซยี (spinocerebellar ataxia) เป็น โรคทางพนั ธกุ รรม ท่ียงั ไมม่ ที างรกั ษา โดยเกิดจากโพลกี ลตู าไมน์ ไตรนวิ คลโี อไทด์ ผลิตซา้ มากเกนิ ปกติ ทาให้ ผปู้ ่วยสญู เสยี ความสามารถในการเคล่ือนไหวทางกายภาพ ทงั้ ท่าเดนิ การพดู ตากระตกุ และอาจมีอาการอ่นื รว่ มดว้ ย แตร่ ะบบจติ ใจและความรูส้ กึ นึกคิดยงั ปกติ ทงั้ นี้ สไปโนซีรเี บลลารอ์ ะแท็กเซยี มหี ลายชนิด ซง่ึ แตล่ ะชนดิ จะแสดงอาการต่าง ๆ กนั ไป รวมทงั้ อายขุ องผปู้ ่วยท่เี ร่มิ เป็น บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม โรค และลกั ษณะการถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรมก็แตกตา่ งกนั ไป ขนึ้ อย่กู บั ตาแหน่งของยีนบนโครโมโซมของผปู้ ่ วยท่ไี ดร้ บั ผลกระทบ โรคทาลัสซีเมีย ( Thalassemia ) เป็นลกั ษณะท่ีถกู ควบคมุ ดว้ ยยีนดอ้ ยบนโครโมโซม ซง่ึ เม่ือผดิ ปกตจิ ะทาใหก้ ารสรา้ งฮีโมโกลบิน ซง่ึ เป็น สว่ นประกอบของเม็ดเลือดผิดปกติ เม็ดเลอื ดแดงจึงมรี ูปรา่ งผิดปกติ นาออกซเิ จนไม่ดี ถกู ทาลายไดง้ า่ ย ทาใหผ้ ปู้ ่วย โรค ทาลสั ซเี มยี เป็นคนเลือดจาง และเกดิ ภาวะแทรกซอ้ นตามมา ในประเทศไทยพบผปู้ ่วย โรคทาลสั ซีเมยี รอ้ ยละ 1 คือ ประมาณ 6 แสนคน แต่พบผเู้ ป็นพาหะถงึ รอ้ ยละ 30-40 คอื ประมาณ 20-25 ลา้ นคน ดงั นนั้ ถา้ หากผเู้ ป็นพาหะมา แต่งงานกนั และพบยีนผิดปกติรว่ มกนั ลกู กอ็ าจเป็น โรคทาลสั ซีเมียได้ ทงั้ นี้ โรคทาลสั ซีเมยี แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ แอลฟาธาลสั ซเี มีย และ เบตา้ ธาลสั ซเี มีย ซ่งึ กค็ ือ ถา้ มีความผิดปกตขิ องสายแอลฟา ก็เรียกแอลฟาธาลสั ซีเมีย และถา้ มี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 13 ความผิดปกติของสายเบตา้ ก็เรยี กเบตา้ ธาลสั ซีเมีย ผปู้ ่วย โรคทาลสั ซเี มีย จะมอี าการซีด ตาขาวสเี หลอื ง ตวั เหลือง ตบั มา้ มโตมาตงั้ แต่เกิด ผิวหนงั ดาคลา้ กระดกู ใบหนา้ จะเปลยี่ นรูป มจี มกู แบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแกม้ นนู สงู กระดกู เปราะ หกั ง่าย เจรญิ เตบิ โตชา้ กว่าคนปกติ สว่ นอาการนนั้ อาจจะไมร่ ุนแรง หรืออาจรุนแรงจนถึงแกช่ วี ติ เลยกไ็ ด้ คนท่มี ี อาการมากจะมอี าการเลือดจางมาก ตอ้ งใหเ้ ลอื ดเป็นประจา หรือมภี าวะตดิ เชือ้ บ่อย ๆ ทาใหเ้ ป็นไขห้ วดั ไดบ้ ่อย ขอ้ แนะนาสาหรบั ผปู้ ่วย โรคทาลสั ซีเมยี คือ ใหท้ านอาหารท่มี ีกรดโฟลิกสงู เชน่ ผกั ใบเขยี ว เนอื้ สตั ว์ ใหม้ าก ๆ เพ่ือ นาไปใชส้ รา้ งเมด็ เลือดแดง โรคซีสติกไฟโบรซสี (Cystic fibrosis) เป็นความผิดปกติทางพนั ธุกรรม ท่ที าใหร้ า่ งกายสรา้ งเย่ือเมือกหนามากผิดปกติในปอดและลาไส้ ทาใหผ้ ปู้ ่ วย หายใจลาบาก และเย่อื เมือกหนาเหลา่ นนั้ อาจทาใหป้ อดติดเชือ้ หากมแี บคทีเรียเตบิ โตอยู่ สว่ นเย่ือเมือกหนาในลาไส้ จะ ทาใหย้ ่อยอาหารไดล้ าบาก ปัจจบุ นั ยงั ไมม่ ีวธิ ีรกั ษาโรคนี้ แต่สามารถบรรเทาไดโ้ ดยการใชย้ าสลายเย่อื เมือก โรคซิกเกลิ เซลล์ (Sickle-cell) เป็นความผิดปกตทิ างพนั ธุกรรมท่เี กิดขนึ้ กบั เลอื ด ทาใหฮ้ โี มโกลบินมีรูปร่างผดิ ปกติ เซลลเ์ มด็ เลือด แดงเป็นรูปเคียว จึงไมส่ ามารถลาเลยี งออกซเิ จนไดม้ ากเทา่ กบั เซลลเ์ ม็ดเลอื ดแดงท่ีมีรูปรา่ งปกติ สง่ ผลใหเ้ กดิ อาการ หลอดเลือดอดุ ตนั ผปู้ ่ วยจะอ่อนเพลียและไมม่ แี รง โรคคนเผอื ก (Albinos) ผทู้ ่เี ป็น โรคคนเผอื ก คอื คนท่ไี มม่ เี ม็ดสที ่ีผิวหนงั จะมผี ิวหนงั ผม ขน และม่านตาสีซีด หรือขี าว เพราะขาดเม็ดสเี ม ลานนิ หรือมีนอ้ ยกว่าปกติ ทาใหท้ นแสงแดดจา้ ไม่ค่อยได้ โรคดกั แด้ มีผวิ หนงั แหง้ แตก ตกสะเก็ด ซ่งึ แต่ละคนจะมคี วามรุนแรงของโรคต่างกนั บางคนผวิ แหง้ ไมม่ าก บางคนผวิ ลอก ทงั้ ตวั ขณะท่ีบางคนหากเป็นรุนแรงกม็ กั จะเสียชีวิตจากการติดเชือ้ ท่เี ขา้ ทางผิวหนงั โรคทา้ วแสนปม (neurofibromatosis) บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม เป็นโรคผวิ หนงั ท่ีถา่ ยทอดโดยโครโมโซม ลกั ษณะท่พี บคือ รา่ งกายจะมีตมุ่ เตม็ ไปท่วั รา่ งกาย ขนาดเลก็ ไปจนใหญ่ แบ่งเป็น 2 ชนิด คอื ชนิดท่พี บบ่อย พบประมาณ 1 ใน 2,500 ถงึ 3,500 คน โดยพบอาการอย่างนอ้ ย 2 ใน 7 อาการ ต่อไปนีค้ ือ มีปานสกี าแฟใส่นมอย่างนอ้ ย 6 ตาแหน่ง, พบกอ้ นเนอื้ งอกตามผวิ หนงั 2 ตมุ่ ขึน้ ไป, พบกระท่ีบรเิ วณรกั แรห้ รือ ขาหนีบ, พบเนือ้ งอกของเสน้ ประสาทตา, พบเนอื้ งอกของม่านตา 2 แหง่ ขึน้ ไป, พบความผิดปกตขิ องกระดกู และมี ประวตั ิคนในครอบครวั เป็นโรคนี้ สว่ น โรคทา้ วแสนปม ประเภทท่ี 2 พบไดน้ อ้ ยมาก ราว 1 ใน 50,000 ถงึ 120,000 คน ผปู้ ่วยจะไม่มอี าการทาง ผวิ หนงั แตจ่ ะพบเนอื้ งอกของหชู นั้ ใน และมีประวตั คิ นในครอบครวั เป็นโรคนี้ โรคลูคีเมยี (Leukemia) หรอื โรคมะเร็งเมด็ เลือดขาว เป็นโรคท่เี กิดจากความผิดปกติของไขกระดกู ทาใหม้ ีการ สรา้ งเมด็ เลือดขาวจานวนมากในไขกระดกู จนเบียดบงั การสรา้ งเม็ดเลือดแดง ทาใหเ้ กิดภาวะโลหิตจาง สว่ นเม็ดเลือด ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 14 ขาวท่สี รา้ งนนั้ ก็เป็นเม็ดเลอื ดขาวตวั อ่อน จึงไม่สามารถตา้ นทานเชอื้ โรคได้ จงึ เป็นไขบ้ ่อย ซง่ึ สาเหตขุ องการเกิดโรคลคู ี เมยี มีหลายปัจจยั ทงั้ พนั ธุกรรม กมั มนั ตภาพรงั สี การติดเชือ้ เป็นตน้ อาการของผปู้ ่ วย ลคู เี มยี จะแสดงออกมาในหลายรูปแบบ เช่น มไี ขส้ งู เป็นหวดั เรอื้ รงั หนา้ มืด วงิ เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ตวั ซีด เซลลล์ คู ีเมียจะไปสะสมตามอวยั วะตา่ ง ๆ เชน่ ตบั มา้ ม ต่อมนา้ เหลือง ทาใหเ้ กดิ อาการบวมโต บางคน เป็นรุนแรง ทาใหถ้ งึ แก่ชีวติ ได้ การรกั ษา โรคลคู ีเมีย ทาไดโ้ ดยใหย้ าปฏชิ วี นะ เพ่ือลดจานวนเม็ดเลือดขาว หรืออาจใชเ้ คมีบาบดั เพ่ือใหไ้ ขกระดกู กลบั มาทาหนา้ ท่ีตามปกติ โรคเบาหวาน คอื ภาวะท่ีรา่ งกายมีระดบั นา้ ตาลในเลือดสงู กวา่ ปกติ เน่ืองจากขาดฮอรโ์ มนอินซลู ิน ทงั้ นีโ้ รคเบาหวาน ถือเป็น โรคเรือ้ รงั ชนดิ หนง่ึ และเป็น โรคทางพนั ธกุ รรม โดยหากพ่อแมเ่ ป็นเบาหวาน ก็อาจถ่ายทอดไปถึงลกู หลานไดแ้ ละ นอกจากพนั ธกุ รรมแลว้ สิง่ แวดลอ้ ม วิธีการดาเนินชวี ิต การรบั ประทานอาหาร ก็มีสว่ นทาใหเ้ กิดโรคเบาหวานไดเ้ ชน่ กนั อาการท่วั ไปของผทู้ ่เี ป็น โรคเบาหวาน คือจะปัสสาวะบ่อย เน่อื งจากนา้ ตาลท่ีออกมาทางไตจะดงึ เอานา้ จาก เลอื ดออกมาดว้ ย จึงทาใหม้ ปี ัสสาวะมากกว่าปกติ เม่ือถ่ายปัสสาวะมาก กท็ าใหร้ ูส้ กึ กระหายนา้ ตอ้ งคอยดมื่ นา้ บ่อย ๆ และดว้ ยความท่ผี ปู้ ่วย โรคเบาหวาน ไม่สามารถนานา้ ตาลมาเผาผลาญเป็นพลงั งาน จงึ หนั มาเผาผลาญกลา้ มเนือ้ และ ไขมนั แทน ทาใหร้ า่ งกายผ่ายผอม ไม่มีไขมนั กลา้ มเนอื้ ฝ่อลีบ อ่อนเปลีย้ เพลียแรง นอกจากนี้ การมนี า้ ตาลค่งั อย่ใู น อวยั วะตา่ ง ๆ จึงทาใหอ้ วยั วะต่าง ๆ เกิดความผิดปกติ และนามาซง่ึ ภาวะแทรกซอ้ นมากมาย โดยเฉพาะ โรคไตวายเรอื้ รงั , หลอดเลือดตบี ตนี , อมั พฤกษ์ อมั พาต, ตอ้ กระจก, เบาหวานขนึ้ ตา ฯลฯ  การป้องกนั โรคทางพนั ธุกรรม โรคทางพนั ธกุ รรม ไม่สามารถรกั ษาใหห้ ายขาดได้ เน่อื งจากจะติดตวั ไปตลอดชีวติ ทาไดแ้ ตเ่ พียงบรรเทาอาการ ไมใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ มากเท่านนั้ ดงั นนั้ การป้องกนั โรคทางพนั ธกุ รรม ท่ดี ที ่สี ดุ คอื ก่อนแต่งงาน รวมทงั้ กอ่ นมีบตุ ร ค่สู มรสควร บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ตรวจรา่ งกาย กรองสภาพทางพนั ธุกรรมเสียกอ่ น เพ่ือทราบระดบั เสี่ยง อีกทงั้ โรคทางพนั ธุกรรม บางโรค สามารถตรวจพบ ไดใ้ นชว่ งกอ่ นตงั้ ครรภ์ จงึ เป็นทางหนึ่งท่ีจะชว่ ยใหท้ ารกท่ีจะเกิดมา มีความเสยี่ งในการเป็นโรคทางพนั ธกุ รรมนอ้ ยลง  เทคโนโลยีชวี ภาพ คือ เทคโนโลยีซง่ึ นาเอาความรูท้ างดา้ นต่างๆของวิทยาศาสตรม์ าประยกุ ตใ์ ชก้ บั สง่ิ มชี ีวติ หรอื ชิน้ สว่ นของสงิ่ มีชีวิต หรือผลผลติ ของส่งิ มีชีวติ เพ่ือเป็นประโยชนต์ ่อมนษุ ยไ์ ม่ว่าจะเป็นทางการผลิตหรอื ทางกระบวนการ ของสนิ คา้ หรอื บรกิ าร เพ่ือใชป้ ระโยชนเ์ ฉพาะอย่างตามท่ีเราตอ้ งการ โดยสามารถใชป้ ระโยชนท์ างดา้ นตา่ งๆ เช่น ดา้ น การเกษตร ดา้ นอาหาร ดา้ นสงิ่ แวดลอ้ ม ดา้ นทางการแพทย์ เป็นตน้ หรือ เทคโนโลยชี ีวภาพ (Biotechnology) หมายถึง การปรุยกุ ตใ์ ชค้ วามรูเ้ ก่ียวกบั สง่ิ มชี วี ติ มาใชใ้ นการปรบั ปรุงคณุ ภาพชีวิตของมนษุ ยด์ ว้ ยการเพ่ิมผลผลติ ปรับปรุงพนั ธุแ์ ละ การสงั เคราะหส์ ารเคมีตา่ ง ๆ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 15 พนั ธุกรรม (Heridity) หมายถึง การถา่ ยทอดลกั ษณะทางพนั ธุกรรมท่ีถ่ายทอดจากพอ่ แมไ่ ปสลู่ กู หลาน วิธีการพฒั นาลกั ษณะท่ีตอ้ งการใหเ้ กิดขนึ้ ในสิง่ มีชีวิต โดยการนาความรูท้ างดา้ นเทคโนโลยชี ีวภาพและพนั ธุกรรมมาใชม้ ี 3 วิธี ดงั นี้ การคัดเลือกพันธุ์ - การคดั ลอกพนั ธุห์ รอื การโคลน (Cloning) - การใชพ้ นั ธวุ ศิ วกรรม (Genetic Engineering) การคดั เลือกพนั ธุ์ แบ่งไดเ้ ป็น 2 ชนิด คือ 1. การคดั เลือกพนั ธุผ์ สม มนษุ ยไ์ ดใ้ ชว้ ิธีการคดั เลือกพนั ธุผ์ สมกบั พชื และสตั วม์ ากมายหลายชนดิ โดยตอ้ งการเพ่ิม คณุ ค่าของพชื และสตั วใ์ หต้ รงตามความตอ้ งการของมนษุ ย์ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ พืชผกั หลายพนั ธุไ์ ดร้ บั การผสมใหม้ คี วาม ตา้ นทานต่อแมลงและโรคต่าง ๆ การผสมและการคดั เลอื กววั พนั ธุน์ มและววั พนั ธุเ์ นือ้ ใหไ้ ดผ้ ลผลติ สงู กว่าววั พนั ธุพ์ ืน้ เมอื ง และมีความตา้ นทานโรคต่าง ๆ ไดด้ กี ว่าพ่อพนั ธุแ์ ละแม่พนั ธุจ์ ากต่างประเทศ การคดั เลือกพนั ธุผ์ สม มี 2 วิธี คือ 1.1 การคดั เลือกพนั ธุผ์ สมท่ีเกิดจากการผสมในสายพนั ธุเ์ ดยี วกนั (Inbreeding) ทาไดโ้ ดยนาสง่ิ มชี ีวิตชนิดเดียวกนั 2 ตวั มาผสมกนั ลกู ผสมท่ีเกิดจากการผสมในสายพนั ธุเ์ ดียวกนั เช่นนจี้ ะมีความคลา้ ยคลงึ กบั รุน่ พ่อแม่มาก จดุ ประสงคข์ อง การผสมในสายพนั ธุเ์ ดียวกนั คอื การสรา้ งพนั ธุท์ ่มี ลี กั ษณะพิเศษโดยเฉพาะใหก้ บั สตั ว์ ขอ้ เสียของการผสมภายในสายพนั ธุเ์ ดยี วกนั คือ 1. ไปลดโอกาสของรุน่ ลกู ท่จี ะไดร้ บั การถา่ ยทอดลกั ษณะใหม่ ๆ เกิดขนึ้ 2. ทาใหย้ ีนท่ีควบคมุ ลกั ษณะดอ้ ยสว่ นท่ไี มด่ ี มีโอกาสปรากฏไดม้ าก ทาใหเ้ กิดผลเสยี ต่อพชื หรือสตั วท์ ่ไี ดร้ บั การ คดั เลือกพนั ธุ์ เชน่ ทาใหม้ ีขนาดเล็ก มผี ลผลิตต่า ทาใหค้ วามสามารถในการสืบพนั ธุต์ ่า และทาใหล้ กั ษณะท่ีผิดปกติ ปรากฏไดม้ าก บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม 1.2 การคดั เลอื กพนั ธุผ์ สมท่เี กดิ จากการผสมขา้ มสายพนั ธุ์ (Hybridization) เป็นการผสมท่นี าสง่ิ มชี วี ิตท่มี ลี กั ษณะทาง พนั ธุกรรมแตกตา่ งกนั มาผสมกนั ไดล้ กู ผสมท่ีมลี กั ษณะแตกตา่ งกนั แลว้ จึงคดั พนั ธุล์ กู ผสมท่ไี ดร้ บั ลกั ษณะท่ีดีท่สี ดุ จาก พ่อแม่มาเพาะพนั ธุต์ อ่ ไป เชน่ การผสมขา้ วท่มี ีเมลด็ ยาว นา้ หนกั มากกบั ขา้ วท่มี ีความตา้ นทานโรคสงู จะไดข้ า้ วพนั ธุผ์ สม ท่มี ีลกั ษณะท่ตี อ้ งการทงั้ สองอยา่ ง สตั วแ์ ละพืชพนั ธุด์ ๆี ในปัจจบุ นั สว่ นใหญ่เป็นผลผลิตจากการผสมขา้ มสายพนั ธุ์ เป็นตน้ ว่าไก่พนั ธุไ์ ข่ ไก่พนั ธุเ์ นอื้ โคพนั ธุเ์ นือ้ กระบือ ขา้ ว ขา้ วฟ่าง ขา้ วโพด ผลไมช้ นิดตา่ ง ๆ ท่ไี มม่ ีเมลด็ เชน่ แตงโม สม้ ตลอดจนไมด้ อกท่มี ีสีสนั สวยงาม แปลกตา และมีขนาดใหญ่ เช่น กลว้ ยไม้ กหุ ลาบ 2 การคดั เลอื กพนั ธุพ์ ืชใหมจ่ ากการเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่อื ในการเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่อื พืชท่นี กั เรียนไดศ้ กึ ษามาแลว้ จะพบว่า ผลของการเพาะเลีย้ งเนือ้ เย่อื จะไดต้ น้ พืชท่สี มบรู ณ์ มีลกั ษณะเหมอื นกนั จานวนมาก แตต่ น้ ออ่ นท่ไี ดจ้ ากการเพาะเลีย้ ง ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 16 เนอื้ เย่อื เม่ือเลีย้ งตอ่ ๆ ไปหลายๆ รุน่ จะเกิดการเปล่ียนแปลงหรอื กลายพนั ธุไ์ ปตามสภาพแวดลอ้ มจานวนมาก โดยไม่ ตอ้ งใชส้ ารเคมีหรือกมั มนั ตรงั สเี ป็นตวั กระตนุ้ ใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ ปัจจุบนั พบว่าในขณะเลีย้ งเซลลจ์ ะมกี ารกลายพนั ธุ์ ไดม้ าก โดยไม่ตอ้ งใชส้ ารเคมหี รือกมั มนั ตรงั สี ซ่งึ เม่ือเกิดแลว้ จะพบไดง้ า่ ย โดยเฉพาะเม่อื เกดิ กบั เซลลเ์ ดี่ยวหรือกล่มุ เซลล์ เล็กๆ เม่ือมีการผนั แปรเน่ืองจากการกลายพนั ธุม์ ากๆ ทาใหส้ ามารถคดั เลือกตน้ ท่มี ีลกั ษณะใหม่ เพ่อื นาไปขยายพนั ธุ์ โดยตรงหรือใชผ้ สมต่อไป นอกจากนีอ้ าจมกี ารคดั เลอื กลกั ษณะท่ีมปี ฏกิ ริ ยิ ากบั สงิ่ แวดลอ้ ม เช่น ทนโรคหรือแมลง ทนแลง้ และสามารถขนึ้ ในดนิ เคม็ ในกรณีเหลา่ นสี้ ามารถคดั เลือกตน้ ท่เี จรญิ ในสภาพแรน้ แคน้ ไดด้ หี ลายช่วั อายกุ ระบวนการ เช่นนีเ้ รียกว่า วิวฒั นาการเทียม เพราะมีการกระตนุ้ ใหเ้ กิดการกลายพนั ธุม์ ากๆ โดยมีการจาลองสภาพแวดลอ้ มท่ไี ม่ เหมาะสมเพ่อื คดั เลือกตน้ ท่มี ีคณุ สมบตั ิพิเศษ ในประเทศไทยไดใ้ ชเ้ ทคโนโลยีในการกลายพนั ธุข์ องเซลลร์ า่ งกายไดผ้ ลกบั ยาสบู และขา้ วโดยทดลองใหเ้ กิดการกลาย พนั ธุจ์ นปลกู ไดใ้ นดนิ เค็มและกลว้ ยไมท้ าใหม้ ลี กั ษณะดอกท่แี ปลกออกไป และกาลงั พยายามหาพืชพนั ธุต์ า่ งๆ ท่สี ามารถ ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพแวดลอ้ มไดม้ ากขนึ้ การคัดลอกพนั ธุห์ รอื การโคลน (Cloning) การคดั เลอื กพนั ธุห์ รือการโคลน หมายถึงการสรา้ งส่ิงมชี วี ติ ขนึ้ มาใหม่โดยไมไ่ ดอ้ าศยั การปฏิสนธิของเซลลส์ บื พนั ธุเ์ พศผู้ คืออสจุ ิกบั เซลลส์ ืบพนั ธุเ์ พศเมียคอื ไข่ แต่ใชเ้ ซลลร์ า่ งกายในการสรา้ งสิ่งมชี ีวิตขนึ้ มาใหม่ การนาเทคโนโลยีการโคลนมาใช้ เน่ืองจากการผสมโดยการคดั เลอื กพนั ธุไ์ มส่ ามารถจะควบคมุ ใหพ้ นั ธุพ์ อ่ และ พนั ธุแ์ ม่ถ่ายทอดลกั ษณะไปยงั รุน่ ลกู ไดต้ ามท่ีตอ้ งการ แตก่ ารใชก้ ารโคลนสามารถผลิตรุน่ ลกู ใหม้ ลี กั ษณะท่ีตอ้ งการได้ ตามความประสงค์ ซง่ึ สิ่งมีชีวิตท่เี กิดขนึ้ ใหมจ่ ะมอี งคป์ ระกอบทางพนั ธุก์ รรมเชน่ เดียวกบั ส่ิงมชี ีวิตท่เี ป็นตน้ กาเนดิ ทกุ ประการ การโคลนพืช 1. การตดั ปักชา สว่ นท่ตี ดั เป็นชนิ้ สว่ นเล็กๆ จากพืช เช่น ก่งิ ใบ ราก เม่ือนาไปปักชา จะสามารถเจรญิ เติบโตเป็นพชื บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ใหมไ่ ด้ และมีองคป์ ระกอบทางพนั ธกุ รรมเหมือนตน้ เดมิ ทุกประการ ตวั อยา่ งสว่ นของพชื ท่ีใชใ้ นการตดั ปักชา ไดแ้ ก่ ก่งิ เช่น พ่รู ะหง ฤาษีผสม ชบา พลดู ่าง โกสน มะลิ ราก เชน่ กระชาย มนั สาปะหลงั แครอท หวั ผกั กาด ใบ เช่น โคมญ่ีป่นุ ตน้ ตายใบเป็น กหุ ลาบหนิ เศรษฐีพนั ลา้ น 2. การเพราะเลยี้ งเนือ้ เย่อื โดยการใชเ้ ซลล์ อวยั วะ เนอื้ เย่ือ และโพรโทพลาสตข์ องพืชมาเลยี้ งในสารอาหารและจดั ใหอ้ ยใู่ นสภาวะท่เี หมาะสมสว่ นตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ จะเจรญิ เป็นพชื ใหมท่ ่ีมีลกั ษณะตรงตามพนั ธุเ์ ดิมทกุ ประการ เช่น การ ขยายพนั ธุก์ ลว้ ยไม้ ขา้ ว ปาลม์ นา้ มนั ยาสบู การโคลนสัตว์ วิธีการจะยากกว่าการโคลนพชื มาก แต่นกั วิทยาศาสตรก์ ส็ ามารถโคลนสตั วไ์ ดส้ าเรจ็ เชน่ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 17 1. การโคลนกบ ของ นายเจบี กอรด์ อน(J.B. Gurdon) จากมหาวิทยาลยั ออกซฟ์ อรด์ ในประเทศองั กฤษ ซง่ึ นบั เป็นการ โคลนสตั วม์ ีกระดกู สนั หลงั เป็นครงั้ แรก โดยมีวธิ ีการคือ นานวิ เคลียสของเซลลท์ ่ไี ดจ้ ากลาไสเ้ ล็กของลกู อ๊อดกบไปใสใ่ น เซลลไ์ ข่ของกบอีกตวั หนึ่งท่ที าลายนวิ เคลียสแลว้ ซ่งึ ไข่กบสามารถเจรญิ เติบโตเป็นกบตวั ใหม่ท่ีมีลกั ษณะเหมือนกบท่ี เป็นเจา้ ของตน้ แบบนิวเคลยี สท่นี ามาใชใ้ นการโคลน 2. การโคลนแกะ ของ ดร.เอียน วลิ มตุ (Dr. Ian Wilmut) ท่ชี ่ือ แกะดอลลี่ กใ็ ชเ้ ทคโนโลยีวิธีเดียวกนั กบั การโคลนกบ 3. การใชพ้ นั ธวุ ิศวกรรม (Genetic Engineering) พนั ธุวศิ วกรรม หมายถึง กระบวนการเปลยี่ นแปลงสารพนั ธุกรรม เพ่อื ใหไ้ ดส้ ง่ิ มชี วี ิตท่มี ีคณุ สมบตั ิตามท่ปี ระสงค์ พนั ธวุ ศิ วกรรมเป็นการนายีนของสง่ิ มีชีวิตชนิดหน่ึงไปใสใ่ หก้ บั ยีนของสิ่งมชี วี ิตอีกชนิดหนึ่ง ซง่ึ มวี ิธีการนเี้ รียกวา่ การตดั ตอ่ แตง่ ยีน ทงั้ นีเ้ พราะไดม้ กี ารตดั แยกโมเลกลุ ของยีนออก แลว้ นายีนจากสงิ่ มีชีวิตอ่นื ประกอบตอ่ รอยเขา้ ไป ประโยชนท์ ไ่ี ด้จากพนั ธุวิศวกรรม ท่สี าคญั ไดแ้ ก่ 1. การผลิตฮอรโ์ มน ในปัจจบุ นั มีการผลิตฮอรโ์ มนตา่ งๆ ในแบคทเี รียและยสี ต์ เช่น อินซูลนิ (Insulin) โกรทฮอรโ์ มน (Growth Hormone) เอน็ ดอรฟ์ ิน(Endorphin) 2. การสรา้ งวคั ซีน ทาใหไ้ ดป้ รมิ าณวคั ซีนท่ไี ม่จากดั และยงั สามารถไดว้ คั ซนี ท่ีดกี ว่าและปลอดภยั กว่า เพราะมกี าร กาจดั เอาสว่ นของแอนตเิ จนท่มี พี ษิ ออกไป เชน่ วคั ซนี แกโ้ รคกลวั นา้ โรคตบั อกั เสบ โรคปากเทา้ เป่ือยในสตั ว์ 3. การผลิตชิน้ สว่ นดเี อ็นเอ เพ่อื ใชต้ รวจสอบสภาวะพนั ธุกรรม เช่น ตรวจสอบโรคโลหิตจาง โรคธาลสั ซเี มีย ภาวะ ปัญญาอ่อน ยีนท่ีอาจทาใหเ้ กดิ มะเรง็ 4. การปรบั ปรุงสายพนั ธุจ์ ลุ ินทรีย์ เพ่ือใหไ้ ดส้ ายพนั ธุใ์ หมท่ ่ีมีประสทิ ธิภาพสงู หรือเพ่อื ผลติ วิตามิน ยาปฏชิ ีวนะ และ กรดอะมิโนในปรมิ าณสงู หรือเพ่อื กาจดั ยงุ หรือแมลงศตั รูพชื 5. การปรบั ปรุงพนั ธุพ์ ืชและสตั ว์ เพ่ือใหไ้ ดส้ ายพนั ธุพ์ ืชท่ีทนต่อความเค็มของดนิ ต่อแมลง ตอ่ ยากาจดั วชั พืช และมี คณุ ค่าทางอาหารดีขนึ้ เช่น สรา้ งพนั ธุพ์ ชื ท่ีตรงึ ไนโตรเจนได้ สรา้ งพนั ธุข์ า้ วโพดท่มี ีปริมาณกรดอะมิโนโลซีนและทรปิ บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม โตเฟนสงู ขึน้ ส่วนการปรบั ปรุงพนั ธุส์ ตั ว์ ไดแ้ ก่ การสรา้ งสตั วใ์ หม้ ขี นาดใหญ่กวา่ เดมิ และมีคณุ ค่าทางอาหารเพ่มิ มาก ขนึ้ 6. การทาแผนท่ียีนหรือแผนท่จี โี นม (Human Genome) ในรา่ งกาย จโี นม (Genome) หมายถงึ ชุดของยนี หรือสาร พนั ธุกรรมหรอื ดเี อน็ เอของสิง่ มีชวี ติ จีโนมหน่งึ จีโนม หมายถงึ ดีเอ็นเอท่มี อี ยทู่ งั้ หมดในเซลลห์ น่ึงเซลลข์ องส่ิงมีชวี ิต จดุ ประสงคข์ องการทาแผนท่ียีน เพ่อื ใหร้ ูจ้ กั ยนี ทงั้ หมดของคนวา่ ยีนไหนอย่ตู รงไหน ทาหนา้ ท่ีอะไรมอี ิทธิพลต่อรา่ งกาย อย่างไร ประโยชนข์ องการทาแผนท่ยี ีน ชว่ ยในการรกั ษาโรคต่าง ๆ ท่ีถา่ ยทอดมาทางพนั ธุกรรม เชน่ โรคมะเรง็ ตบั โรคมะเรง็ ลาไส้ และโรคมะเรง็ เตา้ นม 7. การรกั ษาดว้ ยยนี หรือยนี บาบดั (Gene Therapy) เพ่อื แกไ้ ขความผิดปกตทิ างพนั ธกุ รรมบางอย่าง ทาไดโ้ ดยใสย่ ีน จาลองแบบท่สี ามารถส่งั การไดเ้ ขา้ ไปภายในเซลลข์ องบคุ คลท่ีมีความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรมนนั้ ๆ โดยตรง เช่น คนท่ไี ม่ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 18 สามารถสรา้ งโปรตีนท่จี าเป็นต่อการทางานท่ถี กู ตอ้ งของปอดได้ เพราะค่ขู องยีนท่คี วบคมุ การสรา้ งโปรตนี ชนิดนีบ้ กพรอ่ ง ผิดปกติทงั้ คู่ โดยนกั วิทยาศาสตรจ์ ะใสย่ นี ชุดทางานไดป้ กตเิ ขา้ ไปในไวรสั ซง่ึ ไม่มพี ิษสงใด ๆ แลว้ นาไวรสั ท่ีถกู ตดั แตง่ ยีน พ่นเขา้ ไปในปอดของคนไข้ ซ่งึ นกั วจิ ยั หวงั วา่ ยนี ชุดท่ใี สเ่ ขา้ ไปในไวรสั นจี้ ะทาหนา้ ท่ผี ลิตโปรตนี ขนึ้ มาภายในรา่ งกายของ คนไขไ้ ด้ แต่การรกั ษาดว้ ยวิธีนยี้ งั คงอย่ใู นขนั้ ทดลองเทา่ นนั้ ซง่ึ จะตอ้ งมกี ารปรบั ปรุงพฒั นาต่อไป 8. ดา้ นพลงั งาน ไดแ้ ก่ การผลติ พลงั งานจากมวลชวี ภาพท่มี อี ยจู่ านวนมาก เชน่ การผลิตแอลกอฮอลจ์ ากแปง้ มนั สาปะหลงั และการสรา้ งแบคทีเรยี ท่สี ามารถเปลย่ี นความหนืดของนา้ มนั ทาใหส้ ามารถดดู ขนึ้ มาใชไ้ ดม้ ากขนึ้ ถงึ แมว้ ่า พนั ธุวิศวกรรมจะมปี ระโยชนอ์ ย่างมากต่อมนษุ ย์ แต่ถา้ นาไปใชใ้ นทางท่ีผิดหรือขาดความระมดั ระวงั ก็อาจทาใหเ้ กิดโทษ ไดอ้ ย่างมหนั ตเ์ ชน่ กนั GMOs เป็นตวั ย่อของคาว่า genetically modified organisms ตวั s ขา้ งทา้ ยแสดงว่าเป็นพหพู จน์ หมายความว่า มี หลายชนิด แปลความหมายเป็นภาษาไทยไดว้ ่า \"สงิ่ มชี ีวติ ท่ไี ดจ้ ากการดดั แปรหรือตดั แต่งสารพนั ธุกรรม\" สารพนั ธกุ รรม (DNA) คือ สารเคมที ่ีประกอบกนั ขนึ้ เป็นหน่วยพนั ธกุ รรมหรอื ยีน (gene) และสงิ่ มชี ีวิตท่วี ่านอี้ าจเป็นพืช สตั ว์ หรือ จลุ นิ ทรยี ก์ ็ได้ ขณะนโี้ ลกมผี ลิตภณั ฑ์ GMOs ท่เี ป็นจลุ นิ ทรยี ์ เช่น จลุ ินทรียท์ ่ใี ชอ้ ย่ใู นอตุ สาหกรรมอาหารและยา สตั วบ์ าง ชนิด เชน่ ปลาแซลมอน แต่ GMOs สว่ นใหญ่ท่ไี ดร้ บั การกลา่ วถงึ ในปัจจบุ นั เกิดจากการดดั แปรสารพนั ธุกรรมในพืช สาเหตทุ ่มี ีความนิยมทา GMOs ในพืชก็เพราะวา่ เทยี บกบั สตั วแ์ ลว้ ทาไดง้ ่ายกวา่ และสามารถศึกษาผลกระทบท่เี กดิ ขนึ้ ไดจ้ ากหลายช่วั อายุ (generation) ของพืช โดยใชเ้ วลานอ้ ยกว่าการศึกษาในสตั ว์ ซง่ึ แตล่ ะช่วั อายขุ องสตั วม์ ีระยะเวลา ยาวนาน คาวา่ modify หมายถงึ การปรบั แต่งหรอื การดดั แปลง และ modified หมายความว่า ไดร้ บั การปรบั แต่งหรือดดั แปลงไป เรียบรอ้ ยแลว้ แตใ่ นกรณีของเทคโนโลยชี ีวภาพสมยั ใหม่นนั้ คานหี้ มายถึงการดดั แปรหรือตดั แต่งท่ีเกดิ ขนึ้ โดยมนษุ ย์ จาก การใชว้ ิธีการทางพนั ธุวศิ วกรรมเท่านนั้ (ซง่ึ จะกลา่ วถงึ ต่อไป) สว่ นวธิ ีการอ่ืน เชน่ การปรบั ปรุงพนั ธุด์ ว้ ยการผสมพนั ธุแ์ ละ การคดั เลอื กพนั ธุ์ (breeding) แมจ้ ะเป็นการดดั แปรยีนโดยฝีมอื ของมนุษย์ แตก่ ไ็ มถ่ ือว่าส่ิงท่ีไดน้ นั้ เป็น GMOs เน่อื งจา บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม มนษุ ยม์ ไิ ดท้ าการเปลยี่ นแปลงท่ตี วั ยีนโดยตรง แตเ่ ป็นเพยี งผชู้ ว่ ยใหย้ นี ของพืชแตล่ ะตน้ ไดม้ โี อกาสมาพบกนั มากขนึ้ จากนนั้ จะปลอ่ ยใหก้ ารผสมและการเปล่ยี นแปลงของยนี อย่ภู ายใตอ้ ิทธิพลของธรรมชาติ วิธกี ารตดั ต่อยนี ทาอยา่ งไร การตดั ต่อยีนนนั้ ทาโดยใชเ้ ทคโนโลยีท่เี รียกว่า \"พนั ธุวิศวกรรม (genetic engineering)\" ซง่ึ เป็นสว่ นหนึ่งของ เทคโนโลยชี วี ภาพ (biotechnology) กลา่ วไดว้ ่าวธิ ีการนเี้ ป็นการคดั เลอื กสายพนั ธุโ์ ดยเจาะจงไปยงั ยนี ท่ีตอ้ งการโดยตรง แทนท่วี ธิ ีการผสมพนั ธุแ์ ลว้ คดั เลอื กลกู ผสมท่ีมีลกั ษณะตามความตอ้ งการซง่ึ ตอ้ งใชเ้ วลานาน การเจาะจงไปยงั ยีนโดยตรง ท่วี ่านี้ เร่มิ โดยการคน้ หายีนตวั ใหมห่ รือใชย้ ีนท่ที ราบอยแู่ ลว้ ว่ามีคณุ ลกั ษณะ (traits) ตามอย่างท่ีเราตอ้ งการ ยีนตวั นอี้ าจ มาจากพชื สตั ว์ หรือจลุ ินทรียก์ ไ็ ด้ เม่ือไดย้ นี มาแลว้ กน็ ายนี ดงั กลา่ วใสใ่ นโครโมโซม ภายในเซลลข์ องพืช ประโยชนต์ ่อเกษตรกร ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 19 1. ทาใหเ้ กิดพชื สายพนั ธุใ์ หมท่ ่ีมคี วามทนทานต่อสภาพแวดลอ้ ม เช่น ทนต่อศตั รูพชื หรือมีความสามารถในการปอ้ งกนั ตนเองจากศตั รูพชื เช่น เชือ้ ไวรสั เชือ้ รา แบคทีเรีย แมลงศตั รูพชื หรอื แมแ้ ตย่ าฆา่ แมลงและยาปราบวชั พชื หรือในบาง กรณีอาจเป็นพชื ท่ที นแลง้ ทนดนิ เคม็ ดนิ เปรยี้ ว 2. ทาใหเ้ กิดพืชสายพนั ธุใ์ หมท่ ่ีมสี มบตั เิ หมาะแกก่ ารเก็บรกั ษาเป็นเวลานาน ทาใหส้ ามารถอยไู่ ดน้ านวนั และ ขนสง่ ไดเ้ ป็นระยะทางไกลโดยไมเ่ นา่ เสยี เชน่ มะเขอื เทศท่สี กุ ชา้ หรือแมจ้ ะสกุ แต่ก็ไม่งอม เนอื้ ยงั แขง็ และกรอบ ไมง่ อม หรือเละเม่อื ไปถงึ มือผบู้ รโิ ภค ประโยชนต์ ่อผบู้ ริโภค 1. ทาใหเ้ กิดธัญพืช ผกั หรอื ผลไมท้ ่มี ีคณุ สมบตั ิเพ่ิมขึน้ ในทางโภชนาการ เช่น สม้ หรือมะนาวท่มี วี ิตามินซเี พ่ิมมากขนึ้ หรอื ผลไมท้ ่มี ีขนาดใหญ่ขนึ้ กวา่ เดมิ ใหผ้ ลมากกวา่ เดิม ลกั ษณะเหลา่ นเี้ ป็นการเพม่ิ คุณคา่ เชงิ คณุ ภาพ (quality traits) 2. ทาใหเ้ กิดพนั ธุพ์ ืชใหม่ๆ ท่มี คี ณุ ค่าในเชงิ พาณิชย์ เช่น ดอกไมห้ รอื พืชจาพวกไมป้ ระดบั สายพนั ธุใ์ หม่ท่ีมีรูปรา่ งแปลก กว่าเดิม ขนาดใหญ่กว่าเดิม สีสนั แปลกไปจากเดิม หรอื มีความคงทนกว่าเดิม ซ่งึ ถือว่าเป็น quality traits เช่นกนั ประโยชนต์ ่ออตุ สาหกรรม 1. การท่พี ืชมีความตา้ นทานโรคไดด้ ีทาใหล้ ดการใชส้ ารเคมี และช่วยใหไ้ ดพ้ ชื ผลมากขนึ้ กว่าเดิมมีผลทาใหต้ น้ ทุนการ ผลติ ต่าลง วตั ถดุ ิบท่มี าจากภาคเกษตร เชน่ กากถ่วั เหลือง อาหารสตั วจ์ ึงมีราคาถกู ลง ทาใหเ้ พ่มิ อานาจในการแข่งขนั 2. นอกจากพืชแลว้ ยงั มี GMOs หลายชนิดท่ใี ชก้ นั อย่ใู นปัจจบุ นั นีใ้ นอตุ สาหกรรมอาหาร เช่น เอนไซมท์ ่ใี ชใ้ นการผลิต นา้ ผกั และผลไม้ หรือเอนไซมไ์ คโมซินท่ใี ชใ้ นการผลิตเนยแข็งแทบทงั้ หมดเป็นผลิตภณั ฑท์ ่ไี ดจ้ าก GMOs และมีมาเป็น เวลานานแลว้ 3. การผลติ วคั ซีน หรือยาชนิดอ่นื ๆ ในอตุ สาหกรรมยาปัจจบุ นั นลี้ ว้ นใช้ GMOs แทบทงั้ สนิ้ อีกไม่นานนเี้ ราอาจมีนา้ นมววั ท่มี ีสว่ นประกอบของยาหรอื ฮอรโ์ มนท่จี าเป็นตอ่ มนุษย์ ประโยชนต์ ่อสิง่ แวดลอ้ ม บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม 1. เม่อื พชื มีสมบตั ิสามารถปอ้ งกนั ศตั รูพืชไดเ้ อง อตั ราการใชส้ ารเคมีเพ่อื ปราบศตั รูพืชก็จะลดนอ้ ยลงจนถึงไมต่ อ้ งใช้ เลย ทาใหล้ ดมลภาวะตอ่ สิง่ แวดลอ้ มท่ีเกดิ ขนึ้ จากการใชส้ ารปราบศตั รูพืช และลดอนั ตรายตอ่ เกษตรกรเองท่ีเกิดขึน้ จาก พษิ ของการฉีดพ่นสารเหล่านนั้ ในปรมิ าณมาก 2. หากยอมรบั ว่าการปรบั ปรุงพนั ธุแ์ ละการคดั เลือกพนั ธุพ์ ืชเป็นการเพิ่มความหลากหลายของสายพนั ธุใ์ หม้ ากขึน้ แลว้ การพฒั นา GMOs กย็ ่อมมีผลทาใหเ้ พิม่ ความหลากหลายทางชวี ภาพขนึ้ เชน่ กนั เน่อื งจากยีนท่มี ลี กั ษณะเด่นไดร้ บั การ คดั เลือกใหม้ ีโอกาสแสดงออกไดใ้ นสิ่งมีชวี ติ หลากหลายสายพนั ธุม์ ากขนึ้ ขอ้ เสยี ของ GMOs ความเสีย่ งตอ่ ผบู้ ริโภค ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 20 1. สารอาหารจาก GMOs อาจมีสิง่ ปนเปื้อนท่เี ป็นอนั ตราย เชน่ เคยมีข่าวว่า กรดอะมโิ น L-Trytophan ของบรษิ ัท Showa Denko ทาใหผ้ บู้ รโิ ภคในสหรฐั เกิดอาการป่วยและลม้ ตาย อยา่ งไรก็ตาม กรณีท่เี กิดขนึ้ นแี้ ทจ้ รงิ แลว้ เป็นผลมา จากความบกพร่องในขนั้ ตอนการควบคมุ คณุ ภาพ (quality control) ทาใหม้ สี ่งิ ปนเปื้อนหลงเหลอื อยหู่ ลงั จาก กระบวนการทาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ มใิ ช่ตวั GMOs ท่เี ป็นอนั ตราย 2. ความกงั วลในเรอื่ งของการเป็นพาหะของสารพษิ เชน่ ความกงั วลท่ีว่า DNA จากไวรสั ท่ีใชใ้ นการทา GMOs อาจเป็น อนั ตราย เช่น การทดลองของ Dr. Pusztai ท่ที ดลองใหห้ นกู ินมนั ฝร่งั ดิบ GMOs ท่มี ี lectin และพบวา่ หนมู ภี มู คิ มุ้ กนั ลดลง และมีอาการบวมผดิ ปกตขิ องลาไส้ ซง่ึ งานชนิ้ นไี้ ดร้ บั การวพิ ากษว์ ิจารณอ์ ย่างสงู โดยนกั วทิ ยาศาสตรส์ ว่ นใหญ่มี ความเห็นวา่ การออกแบบการทดลองและวิธีการทดลองบกพรอ่ ง ดงั นนั้ ควรดาเนินการทดลองท่ีรดั กมุ มากขนึ้ เพ่อื ใหไ้ ด้ ขอ้ มลู ท่ีเช่ือถือไดม้ ากขนึ้ และจะสามารถสรุปไดว้ า่ ผลท่ีปรากฏมาจากการตดั แต่งทางพนั ธกุ รรมหรอื อาจเป็นเพราะ เหตผุ ลอ่นื 3. ความกงั วลต่อการเกิดสารภมู แิ พ้ (allergen) ซ่งึ อาจไดม้ าจากแหลง่ เดิมของยีนท่นี ามาใชท้ า GMOs นนั้ ตวั อย่างท่ี เคยมี เชน่ การใชย้ นี จากถ่วั Brazil nut มาทา GMOs เพ่ือเพ่มิ คณุ ค่าโปรตีนในถ่วั เหลืองสาหรบั เป็นอาหารสตั ว์ จาก การศกึ ษาท่มี ีขึน้ ก่อนท่จี ะมีการผลติ ออกจาหนา่ ย พบว่าถ่วั เหลอื งชนดิ นอี้ าจทาใหค้ นกลมุ่ หนง่ึ เกดิ อาการแพเ้ น่ืองจาก ไดร้ บั โปรตนี ท่เี ป็นสารภมู ิแพจ้ ากถ่วั Brazil nut บรษิ ทั จึงไดร้ ะงบั การพฒั นา GMOs ชนิดนไี้ ป อย่างไรกต็ าม พืช GMOs อ่นื ๆ ท่มี จี าหนา่ ยอย่ทู ่วั ไปในโลกในขณะนี้ เชน่ ถ่วั เหลอื งและขา้ วโพดนนั้ ไดร้ บั การประเมินแลว้ ว่าอตั ราความเส่ียงไม่ แตกตา่ งจากถ่วั เหลืองและขา้ วโพดท่ีปลกู อยทู่ ่วั ไปในปัจจบุ นั ความเส่ียงตอ่ ส่ิงแวดล้อม 1. มีความกงั วลวา่ สารพิษบางชนดิ ท่ีใชป้ ราบแมลงศตั รูพชื เชน่ Bt toxin ท่มี ีอย่ใู น GMOs บางชนิดอาจมผี ลกระทบต่อ แมลงท่ีมปี ระโยชนช์ นิดอ่ืน ๆ เช่น ผลการทดลองของ Losey แห่งมหาวิทยาลยั Cornell ท่กี ลา่ วถึงการศกึ ษาผลกระทบ ของสารฆ่าแมลงของเชือ้ Bacillus thuringiensis (บที )ี ในขา้ วโพดตดั แตง่ พนั ธุกรรมท่มี ตี อ่ ผเี สือ้ Monarch ซ่งึ การทดลอง บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม เหลา่ นที้ าในหอ้ งทดลองภายใตส้ ภาพเง่ือนไขท่ีบีบเคน้ และไดใ้ หผ้ ลในขนั้ ตน้ เทา่ นนั้ จาเป็นอย่างย่ิงท่ีจะตอ้ งมกี ารทดลอง ภาคสนามเพ่อื ใหท้ ราบผลท่ีมนี ยั สาคญั ก่อนท่จี ะมีการสรุปผลและนาไปขยายความ 2. ความกงั วลต่อการถา่ ยเทยีนออกสสู่ ่งิ แวดลอ้ ม ทาใหเ้ กิดผลกระทบต่อความหลากหลายทางชวี ภาพเน่อื งจากมสี าย พนั ธุใ์ หมท่ ่ีเหนือกว่าสายพนั ธุด์ งั้ เดมิ ในธรรมชาติ หรือลกั ษณะสาคญั บางอย่างถกู ถา่ ยทอดไปยังสายพนั ธุท์ ่ไี ม่พงึ ประสงค์ หรือแมก้ ระท่งั การทาใหเ้ กดิ การดือ้ ต่อยาปราบวชั พืช เช่น ท่กี ลา่ วกนั ว่าทาใหเ้ กดิ super bug หรือ super weed เป็นตน้ ในขณะนีม้ กี ารวิจยั จานวนมากเกี่ยวกบั การถ่ายเทของยีน แต่ยงั ไมม่ ีขอ้ ยนื ยนั ในเรอ่ื งนี้ แมว้ า่ จะมีความกงั วลอยู่ แต่ควรทราบว่า GMOs เป็นผลิตผลจากเทคโนโลยที ่ไี ดร้ บั การดแู ลอย่างดที ่สี ดุ อย่างหนงึ่ เท่าท่ี มนษุ ยเ์ คยคิดคน้ มา ในประเทศไทยมแี นวปฏิบตั ใิ นเรื่องความปลอดภยั ทางชวี ภาพสาหรบั นกั วิจยั (biosafety guidelines) ทกุ ขนั้ ตอน ทงั้ ในระดบั หอ้ งปฏิบตั กิ ารและในการทดลองภาคสนามเพ่อื ใหก้ ารวิจยั และการพฒั นา GMOs มี ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 21 ความปลอดภยั สงู สดุ และเป็นพืน้ ฐานในการประเมนิ ความเสี่ยงตอ่ มนษุ ยแ์ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ซง่ึ การประเมนิ ความเส่ียงนี้ เป็นสิง่ ท่จี าเป็นท่ตี อ้ งกระทาอย่างต่อเน่ืองในแต่ละสภาพแวดลอ้ ม เพ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ท่ีรอบดา้ นและรดั กมุ ท่ีสดุ อย่างไรก็ดี กรณี GMOs เป็นโอกาสท่ดี ีในการท่ปี ระชาชนในชาติไดม้ ีความตน่ื ตวั และเรง่ สรา้ งวฒุ ภิ าวะ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งความรูค้ วามเขา้ ใจในเทคโนโลยชี วี ภาพ ซ่งึ เป็นเร่ืองท่จี าเป็นอย่างยิง่ เน่อื งจากการตดั สินใจใดๆ ของ สงั คมควรเป็นไปโดยอย่บู นพืน้ ฐานของความเขา้ ใจในวิทยาศาสตร์ และโดยขนั้ ตอนทางวทิ ยาศาสตร์ น่นั คือการให้ ความสาคญั กบั ท่มี าของขอ้ มลู และการตรวจสอบความถกู ตอ้ งแมน่ ยาของขอ้ มลู มิใชเ่ ป็นไปโดยความต่นื กลวั หรือการ ตามกระแส ตวั อย่างโจทยเ์ รื่องการถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม  ถา้ พอ่ และแม่มยี ีนเด่นควบคมุ ลกั ษณะการมีลกั ยมิ้ เพยี ง 1 ยีนทงั้ สองคน โอกาสการถา่ ยทอดลกั ษณะการมีลกั ยมิ้ ไปสลู่ กู จะเป็นอยา่ งไร ( กาหนดให้ ⚫ ยนี เดน่ มลี กั ยมิ้  ยีนดอ้ ยไม่มีลกั ยมิ้ )  ถา้ พอ่ เป็นโรคธาลสั ซีเมียและแมป่ กติ แต่เป็นพาหะโรคธาลสั ซีเมยี โอกาสการถ่ายทอดโรคธาลสั ซเี มยี ไปยงั ลกู จะเป็น อยา่ งไร ( กาหนดให้ ⚫ ยนี เด่น ไมป่ ็นโรค  ยนี ดอ้ ยเป็นโรคธาลสั ซีเมยี )  โรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลีบเป็นลกั ษณะดอ้ ยบนโครโมโซม x ถา้ ชายเป็นโรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลีบแต่งงานกบั หญิงท่ีเป็น บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม พาหะ ลกู จะมีจีโนไทป์ และฟี โนไทป์ เป็นอย่างไร อตั ราสว่ นของลกู ลกั ษณะปกติตอ่ ลกู ลกั ษณะกลา้ มเนือ้ ลบี เท่าใด ( กาหนดให้ M แทนยีนควบคมุ ลกั ษณะปกติ และ m แทนยีนควบคมุ โรคกลา้ มเนือ้ แขนขาลบี ) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 22  หญิงคนหนึ่งตาปกติแต่มพี ่อเป็นตาบอดสี แตง่ งานกบั ชายปกตซิ ง่ึ มีพอ่ เป็นตาบอดสี จงหารอ้ ยละของลกู ทีเป็นโรคตา บอดสีเป็นอยา่ งไร ( กาหนดให้ C แทนยีนควบคมุ ลกั ษณะตาปกติ และ c แทนยีนควบคมุ ลกั ษณะตาบอดสี )  พ่อแม่ท่ีมีผวิ ปกติแตเ่ ป็นเฮเทอโรไซกสั ของลกั ษณะผิวเผอื กซ่งึ เป็นลกั ษณะดอ้ ย มีโอกาสท่จี ะมลี กู ผวิ เผือกเป็นเทา่ ไร บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ( กาหนดให้ R ผิดปกติ r ผวิ เผอื ก ) ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 23  ลกั ษณะโรค Haemophilia เป็นลษั ณะท่ีถกู ควบคมุ ดว้ ยยีนเด่นบนโครโมโซม x ถา้ ชายเป็นโรคนีแ้ ต่งงานกบั หญิงท่ี เป็นพาหะ อตั ราสว่ นของลกู ในวยั เจรญิ ชายต่อหญิงเตม็ ท่ี จะแสดงลกั ษณะอยา่ งไร ( กาหนดให้ C แทนยนี ท่ีควบคมุ ลกั ษณะปกติเป็นยนี เด่นบน x โครโมโซม และ c แทนยีนท่คี วบคมุ ลกั ษณะโรคฮโี มฟี เลียเป็นยีนดอ้ ยบน x โครโมโซม )  ตาสีนา้ ตาลถกู ควบคมุ ดว้ ยยนี เด่น บนโครโมโซม x ตาสฟี า้ ถกู ควบคมุ ดว้ ยยีนเดน่ บนโครโมโซม x ถา้ มีสามีภรรยา บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม แต่งงานกนั โดยพ่อตาสนี า้ ตาลและแม่มตี าสีฟ้าโดยทงั้ ค่เู ป็นโฮโมไซกสั โดมแิ นนยีนทงั้ คู่ ลกู ท่เี กิดมาจะมีจโี นไทป์ อย่างไร และคิดเป็นอตั ราสว่ นสีฟา้ และสนี า้ ตาลเท่าใด ( กาหนดให้ B แทน ตาสนี า้ ตาล และ b แทนตาสีฟ้า ) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรียนที 2 24  พอ่ แมเ่ ป็นพาหะของผวิ เผือกลกู มีลกั ษณะจีโนไทป์ และฟีโนไทป์ อย่างไรและคดิ อตั ราสว่ นเท่าใด  หมู่เลอื ด บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม การจาแนกหม่โู ลหติ ในระบบ ABO จะมีสารชวี เคมี (Antigen) เป็นตวั จาแนกหม่โู ลหิต คือ แอนตเิ จน A(Antigen-A) และแอนติเจน-บี (Antigen-B) เป็น ตวั กาหนดกลา่ วคือ ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 25 หมู่โลหติ A คือหม่โู ลหิตท่ีมีแอนติเจน-เอ (Antigen-A) อย่ทู ่ผี ิวของเม็ดเลอื ดแดงและมีแอนตบิ อดี-บี (Antibody-B) อยใู่ นนา้ เหลือง หมู่โลหติ B คอื หม่โู ลหิตท่ีมีแอนติเจน-บี (Antigen-B) อยทู่ ่ผี ิวของเม็ดเลือดแดงและมีแอนติบอดี-เอ (Antibody-A) อยใู่ นนา้ เหลือง หมโู่ ลหติ O คือหมโู่ ลหิตท่ี ไม่มแี อนติเจน-เอ (Antigen-A) และแอนตเิ จน-บี (Antigen-B) อย่ทู ่ผี วิ ของเมด็ เลอื ดแดง แตม่ แี อนติบอดี-เอ(Antibody-A) และมีแอนตบิ อดี-บี (Antibody-B) อย่ใู นนา้ เหลอื ง หมโู่ ลหติ AB คอื หมโู่ ลหิตท่มี ีแอนติเจน-เอ (Antigen-A) และแอนตเิ จน-บี (Antigen-B) อยทู่ ่ผี วิ ของเม็ด เลอื ดแดง แต่ในนา้ เหลือง ไม่มแี อนติบอดี-เอ(Antibody-A) และแอนตบิ อดี-บี (Antibody-B) การถ่ายทอดหมโู่ ลหติ ระบบ ABO ของพอ่ แม่ ลูก ทเ่ี ป็ นไปได้ หมโู่ ลหติ ของพ่อ หมู่โลหติ ของแม่ หมู่โลหติ ของลกู ทเ่ี ป็ นไปได้ O OO O A O หรอื A O B O หรือ B O AB A หรอื B A A A หรือ O A B O หรอื A หรือ B หรือ AB A AB A หรอื B หรอื AB B B B หรอื O B AB A หรอื B หรือ AB AB AB A หรอื B หรือ AB บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม จะเห็นไดว้ ่าหม่โู ลหติ ของลกู ไม่จาเป็นตอ้ งเหมอื นหมโู่ ลหิตของพ่อ และแม่เสมอไปแตเ่ น่อื งจากหม่โู ลหติ มกี าร ถ่ายทอดทางพนั ธุกรรม การตรวจสอบหมโู่ ลหติ จงึ มปี ระโยชนใ์ นการตรวจสอบความเป็นพอ่ แม่ลกู  การแบง่ กรุ๊ปเลือด และการรับเลือดใช้หลักเกณฑอ์ ะไร ? ในเลือดคนเรามีส่วนประกอบท่สี าคญั อยู่ 2 ส่วนคอื แอนตเิ จน และ แอนติบอดี โดยแอนตเิ จนจะอยบู่ นผิวของ เซลลเ์ ม็ดเลือด สว่ นแอนตบิ อดีอยบู่ นนา้ เลือด ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 26 แอนตเิ จนแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ A และ B ซง่ึ แต่ละคนจะมไี มเ่ หมอื นกนั และนกั วิทยาศาสตรก์ ็ไดใ้ ชห้ ลกั เกณฑน์ ใี้ นการ แบ่งกรุ๊ปเลือดดงั นี้ คนท่มี ีแตแ่ อนติเจน A อย่างเดยี วคือกรุป๊ เลือด A คนท่มี แี ต่แอนตเิ จน B อย่างเดียวคือกรุป๊ เลือด B คนท่มี ที งั้ แอนติเจน A และ B คือกรุ๊ปเลือด AB สว่ นคนท่ไี มม่ ีทงั้ แอนติเจน A และ B คือกรุ๊ปเลือด O นอกจากแอนตเิ จนจะมี A และ B แลว้ แอนดบิ อดีกม็ ี A และ B ดว้ ย ซง่ึ ปกติ แอนดิบอดี A จะโจมตี แอนติเจน B และ แอนดิบอดี B จะโจมตี แอนตเิ จน A และดว้ ยสาเหตดุ งั กลา่ วการรบั เลอื ดบางกรุ๊ปเลือดอาจเกิดการโจมตรี ะหว่าง แอนดิบอดีและแอนติเจน จงึ ตอ้ งมีการกาหนดไวว้ ่ารบั เลือดกรุ๊ปใดรบั กรุป๊ ใดไดบ้ า้ งดงั นี้ กรุ๊ปเลอื ด A จะรบั B และ AB ไมไ่ ด้ รบั ไดแ้ ต่ A และ O กรุ๊ปเลือด B จะรบั A และ AB ไมไ่ ด้ รบั ไดแ้ ต่ B และ O กรุป๊ เลอื ด AB จะรบั ไดท้ กุ กรุ๊ป กรุ๊ปเลอื ด O จะรบั ไดเ้ ฉพาะกรุป๊ Oระบบหมู่ Rh แบง่ เป็นหมู่ Rh+ เม่ือมแี อนติเจน Rh หรือ Rh– เม่อื ไม่มแี อนตเิ จน Rh บนผวิ เม็ดเลือดแดง ตวั อย่าง คนท่มี ีหม่เู ลือด O– หมายถงึ หมู่ O และเป็น Rh– การปะปนของเลอื ดในระหว่างการคลอดระหว่างแม่กบั ทารก อาจนาพาไปสอู่ นั ตรายถงึ ชวี ิตได้ ตวั อยา่ งเชน่ แม่เป็น Rh– และลกู เป็น Rh+ Rh– ไม่สามารถรบั เลือดจาก Rh+ได้ เพราะจะทาใหต้ กตะกอนจากปฏิกริ ยิ าระหวา่ งแอนตเิ จนกบั แอนตบิ อดี Rh– สามารถใหเ้ ลือดไดท้ งั้ Rh– และ Rh+  ลกั ษณะจีโนไทป์ และฟี โนไทป์ ของหมู่เลือด บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม จโี นไทป์ ฟี โนไทป์ ( หมเู่ ลอื ด ) IAIA A IAi A IBIB B IBi B IAIB AB ii O ตวั อยา่ งโจทยค์ านวณหมูเ่ ลอื ด  ถา้ พ่อมีหม่เู ลือด AB แม่มหี มเู่ ลือด O ลกู ท่เี กิดมาจะมีหม่เู ลือดอยา่ งไรบา้ ง ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 27  ถา้ พ่อมีหม่เู ลอื ด A มจี โี นไทป์ IAi แม่มีหม่เู ลือด B มีจีโนไทป์ IBi ลกู มีหมเู่ ลือดใดไดบ้ า้ ง  ถา้ พอ่ แมม่ เี ลือดหมู่ A และเป็นเฮเทอโรไซโกตทงั้ คู่ ลกู ท่เี กดิ ขนึ้ จะเป็นหมู่ A หรือหมู่ O กไ็ ด้ แต่จะไมม่ ีโอกาสเป็นมู่ B หรอื AB เลย และคิดอตั ราสว่ นหมเู่ ลอื ด A ต่อ หมเู่ ลอื ด O เป็นเทา่ ใด  ถา้ พ่อมีหม่เู ลอื ด AB แต่งงานกบั แม่ท่มี หี ม่เู ลอื ด AB ลกู ท่เี กดิ มาจะมีโอกาสเป็นเลือดหมู่ A ต่อ AB และ B คิดเป็น บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม อตั ราสว่ นเทา่ ใด ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรียนรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 28  ถา้ พ่อและแมม่ หี ม่เู ลือด O ทงั้ คู่ ลกู ท่เี กิดมาจะมหี มเู่ ลือดใดบา้ ง  ครอบครวั หนง่ึ มลี กู ท่เี กิดมามีหม่เู ลือด A และหม่เู ลือด B เป็น 1 : 1 จากขอ้ มลู ดงั กลา่ วพอ่ และแม่จะมหี มเู่ ลอื ดใดได้ บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม บา้ ง ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วิทยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102

โรงเรยี นรตั นโกสนิ ทรส์ มโภชบางขนุ เทียน ครรู ะพีพฒั น์ ลอ้ มกลาง ภาคเรยี นที 2 29 บ ท ่ที 3 ก า ร ่ถ า ย ท อ ด ลั ก ษ ณ ะ ท า ง พั น ธุ ก ร ร ม ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 วทิ ยาศาสตรพ์ นื้ ฐาน 6 ว23102


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook