Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 1

บทที่ 1

Published by noomai935, 2020-09-21 11:54:56

Description: บทที่ 1

Search

Read the Text Version

การพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ ในหอ้ งปฏบิ ัติการวทิ ยาศาสตร์ของนกั เรยี น ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1/1 นางสาวพชั ราพร จลุ มณี ตำแหนง่ ครผู ูช้ ่วยกล่มุ สำระกำรเรยี นรวู้ ิทยำศำสตร์ โรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๓๓ จงั หวดั ลพบุรี สานกั บรหิ ารงานการศกึ ษาพเิ ศษ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บทท่ี 1 บทนำ ความเปน็ มาและความสำคัญของปัญหา วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับชีวิตของ ทุกคนทั้งในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนผลผลิตต่าง ๆ เพื่อใช้ อำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิดสร้างสรรค์ และศาสตร์อื่น ๆ ความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างมาก พร้อมกันนั้นเทคโนโลยีก็มีส่วน สำคญั มากทจ่ี ะให้การศกึ ษาค้นควา้ ความร้ทู างวิทยาศาสตรเ์ พ่มิ ขึ้นอย่างไม่หยุดย้ังวิทยาศาสตรท์ ำใหค้ นไดพ้ ฒั นาวิธี คิด ทัง้ ความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คดิ วิเคราะห์ มที ักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มีความสามารถ ในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานที่ตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตรเ์ ปน็ วฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึง่ เป็นสังคมแห่งการเรยี นร้(ู Knowledge based society) ดังน้ันทุก คนจึงจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์(Scientific literacy for all) เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลก ธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นและนาความรู้ไปใช้อย่างมีเหตุผลสร้างสรรค์มีคุณธรรม ความรู้ วทิ ยาศาสตร์ไม่เพยี งแต่นามาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีดีแตย่ ังชว่ ยใหค้ นมีความรู้ความเขา้ ใจท่ีถูกต้องเก่ียวกับ การใชป้ ระโยชน์การดูแลรักษาตลอดจนการพฒั นาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอยา่ งสมดุลและย่ังยืนและที่ สำคัญยิ่งคือความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถแข่งขันกับนานาประเทศ และดำเนินชวี ิตร่วมกนั ในสงั คมโลกไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข (กรมวิชาการ, 2554) การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการพัฒนาผู้เรียนให้ได้รับทั้งความรู้ กระบวนการและเจตคติ ผู้เรียนทุกคน ควรได้รับการกระตุ้นส่งเสริมใหส้ นใจและกระตือรือร้นที่จะเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์มีความสงสัยเกิดคำถามในส่ิงต่าง ๆ ทเี่ กีย่ วกับโลกธรรมชาติรอบตัว มีความม่งุ ม่นั และมีความสุขที่จะศึกษาค้นคว้าสืบเสาะหาความร้เู พื่อรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ผล นำไปสู่คำตอบของคำถาม สามารถตัดสินใจด้วยการใช้ข้อมูลอย่างมีเหตุผล สามารถสื่อสารคำถาม คำตอบ ข้อมูลและสิ่งที่ค้นพบจากการเรียนรู้ให้ผู้อื่นเข้าใจได้ การเรียนรู้วิทยาศาสตร์เป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต เนื่องจากความรู้วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโลกธรรมชาติ ( natural world ) ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา ทุกคนจึงต้องเรียนรู้เพื่อนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตและการประกอบอาชีพ เมื่อผู้เรียนได้เรียน วิทยาศาสตร์โดยไดร้ ับการกระตุ้นให้เกิดความตน่ื เตน้ ทา้ ทายกบั การเผชิญสถานการณ์หรือปัญหา มีการร่วมกันคิด ลงมือปฏิบัติจริง ก็จะเข้าใจและเห็นความเชื่อมโยงของวิทยาศาสตร์กับวิชาอื่นและชีวิต ทำให้สามารถอธิบาย ทำนาย คาดการณส์ ิ่งตา่ ง ๆ ไดอ้ ย่างมีเหตผุ ล การประสบความสำเร็จในการเรยี นวิทยาศาสตร์จะเป็นแรงกระตุ้นให้ ผู้เรียนมีความสนใจมุ่งมั่นที่จะสังเกต สำรวจตรวจอบ สืบค้นความรู้ที่มีคุณค่าเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง การจัด กิจกรรมการเรียนรู้จึงต้องสอดคล้องกับสภาพจริงในชีวิตโดยใช้แหล่งเรียนรู้หลากหลายในท้อง ถิ่นและคำนึงถึง ผู้เรียนที่มีวิธีการเรียนรู้ ความสนใจและความถนัดแตกต่างกัน การเรียนรู้วิทยาศาสตร์พื้นฐานเป็นการเรียนรู้เพ่ือ ความเข้าใจ ซาบซึ้งและเห็นความสำคัญของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงองค์ ความรู้หลาย ๆ ด้าน เป็นความรู้แบบองค์รวมอันจะนำไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ และพัฒนาคุณภาพชีวิต มี

ความสามารถในการจัดการและร่วมกันดูแลรักษาโลกธรรมชาติอย่างยั่งยืน (พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ,2542) โดยหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) กลุ่มสาระการ เรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ได้มกี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ นไี้ ดก้ าํ หนดสาระการเรียนร้อู อกเปน็ 4 สาระ ไดแ้ ก่ สาระท่ี 1 วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยีมีสาระเพิ่มเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์และสาระโลกดาราศาสตร์และอวกาศ ซึ่งองค์ประกอบของหลักสูตรทั้งในด้านของเนื้อหา การจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผลการเรียนรู้นั้นมีความสําคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการ เรียนรู้วิทยาศาสตร์ของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ให้มีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สําหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ได้กําหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง ที่ผู้เรียนจําเป็นต้องเรียนเป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถนําความรู้นี้ไปใช้ในการดํารงชีวิตหรือศึกษาต่อใน วิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้โดยจัดเรียงลําดับความยากง่ายของเนื้อหาแต่ละสาระในแต่ละระดับชั้นให้มีการ เช่ือมโยงความร้กู บั กระบวนการเรยี นร้แู ละการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ทส่ี ่งเสริมใหผ้ ู้เรียนพฒั นาความคิดท้ังความคิด เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สําคัญทั้งทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ ทักษะในศตวรรษที่ ๒๑ ในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้สามารถแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ สามารถตดั สินใจ โดยใช้ขอ้ มลู หลากหลายและประจักษพ์ ยานทตี่ รวจสอบได้ (กระทรวงศึกษาธกิ าร ,2560) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา มาตรา 22 กล่าวว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เ รียนมี ความสำคัญที่สุด” มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ข้อ 3 “จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์ จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น” และหมวด 9 เทคโนโลยี เพื่อการศึกษา มาตรา 65 “ให้มีการพัฒนา บุคคลากรทั้งด้านผู้ผลิตและผู้ใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถและทักษะในการผลิต รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมมีคุณภาพและประสิทธิภาพ มาตรา 66 “ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีด ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ทำได้เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้ เทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษาในการแสวงหาความรดู้ ้วยตนเองได้อย่างตอ่ เน่ืองตลอดชวี ติ ” นอกจากนี้ ภพ เลาหไพบูลย์ (2542) ได้กล่าวว่า“ทักษะการปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการ สอนวิทยาศาสตร์ ซึง่ ครแู ละนกั เรยี นควรมีความรู้ความเขา้ ใจเกีย่ วกบั การใช้วัสดุอปุ กรณ์และความปลอดภัยในการ ปฏิบัติการ”เมื่อพิจารณาจะเห็นว่าการปฏิบัติการทดลองเป็นกิจกรรมสำคัญในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ใน หลกั สูตรปจั จบุ นั ซ่ึงจะนำนักเรียนไปสู่การเรยี นรู้ทักษะด้านต่างๆเป็นคนช่างคิด รจู้ ักค้นคว้าหาเหตุผลและสามารถ แก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง ดังนั้นการสอนวิทยาศาสตร์ครูจึงต้องคำนึงถึงความสำคัญของการทดลองดังที่สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2546)ระบุไว้ว่า“การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์จะประกอบด้วยส่วน เนื้อหาและการปฏิบัติควบคู่กันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ในเนื้อหาสาระและกระบวนการต่าง ๆ มากยิ่งขึ้น ครูควร เน้นการปฏิบัติการทดลองทางปฏิบัติการทดลองทางวิทยาสตร์ให้กับนักเรียน เพราะการปฏิบัติติการทดลองทาง วิทยาสตร์ มีส่วนช่วยสนับสนุนการเรียนและฝึกนิสัยการทำงานให้นักเรียนเป็นคนรอบคอบ รู้จักคิดตัดสินปัญหา ดว้ ยตนเอง รูจ้ กั คุณค่าของส่ิงที่ต้องการเรียนร้จู กั ทำงานดว้ ยความปลอดภัย”

จากที่กล่าวมากิจกรรมวทิ ยาศาสตร์จึงเปน็ กิจกรรมหนึง่ ทีจ่ ัดขึ้นเพ่ือส่งเสรมิ ความรแู้ ละความสนใจเกี่ยวกับ วิทยาศาสตร์แก่ผู้เรียน ดังนั้นครูวิทยาศาสตร์จึงควรมีความรู้เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์และจัดให้ สอดคล้องกบั เปา้ หมายของหลักสตู ร ส่งเสริมความรู้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์ให้กับ ผู้เรียน ซึ่งการจัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันพบว่า ยังไม่บรรลุจุดมุ่งหมายหรือมีปัญหา เนื่องจากในการสอนวิทยาศาสตร์ครูจะเน้นเนื้อหามากเกินไป นักเรียนไม่ค่อยได้ปฏิบัติการทดลองจริง สอนด้วย วิธีการบรรยาย ไม่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ทำให้นักเรียนขาดการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และ กระบวนการคดิ (สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546) จากการท่ผี วู้ ิจัยไดส้ อนวิทยาศาสตร์ชน้ั มัธยมศึกษาตอนต้น พบวา่ จากท่ใี หน้ ักเรยี นได้ลงมือปฏิบัติโดยการ ทดลอง นกั เรียนสว่ นมากมปี ัญหาในการใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ขาดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ ขาดทักษะการใช้อุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์หลายรายการ ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาในการปฏิบัติงาน เนื่องจากต้องมี พื้นฐานความรู้ในการใช้อุปกรณ์เครื่องมือดังกล่าว ซึ่งนักเรียนบางคนไม่รู้แม้กระทั่งชื่อของอุปกรณ์ และวิธีการใช้ งานของอุปกรณ์การทดลอง การที่นักเรียนมีทักษะไม่ถูกต้องในการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ อาจจะทำให้เกิด อันตรายหรือทำให้ผลการทดลองคลาดเคลื่อน ซึ่งครูสามารถสังเกตได้จากการปฏิบัติการทดลองของนักเรียน ครู ต้องรีบแก้ไขและแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้กับนักเรียน ดังนั้นหากนักเรียนได้รับการฝึกฝนทักษะภาคปฏิบัติเกี่ยวกับ การใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ถูกต้องแล้วจะทำให้มีข้อสนับสนุนที่ดีในการทดสอบสมมติฐานของตนเองกับ ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่งผลทำให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ มีความสามารถด้านทักษะการปฏิบัติสามรถนำ หลกั การทางวิทยาศาสตรท์ ไี่ ดจ้ ากการปฏิบตั ิไปประยุกต์ใชใ้ นชวี ิตประจำวันได้ จากสภาพปัญหาและความสำคัญในการเรียนวิทยาศาสตร์ ทำให้ผู้วิจัยมีความสนใจและตระหนกั ถึงความ จำเป็นที่จะต้องฝึกให้นักเรียนมีทักษะในการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยจึง สนใจที่จะสร้างแบบวัดทักษะด้านปฏิบัติในวชิ าวิทยาศาสตร์สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 เพื่อให้พัฒนา ทักษะในการใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ในหอ้ งปฏบิ ัติการวิทยาศาสตร์ และเปน็ แนวทางให้ครูผ้สู อนวิทยาศาสตร์ ไดน้ ำไปใชใ้ นการพจิ ารณาประกอบการตัดสนิ ผลการเรยี นของนกั เรียนต่อไป วตั ถปุ ระสงค์การวิจยั เพื่อพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี 1/1 สมมตุ ิฐานของงานวจิ ัย 1.การฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์จะทำให้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 สามารถใชอ้ ุปกรณว์ ทิ ยาศาสตรไ์ ด้ถกู ต้อง 2.แบบประเมินทกั ษะการปฏิบตั ิการใช้อปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ของนักเรียนช้ัน มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 พบว่านักเรียนมีการพัฒนาการทางด้านทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง มี

ความคล่องแคล่วต่อการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์อย่างมีความชำนาญ กลา้ ท่จี ะใชอ้ ปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ซึ่งทำ ให้ผลของการทดลองมีความคลาดเคลื่อนนอ้ ยลง ขอบเขตของงานวจิ ยั 1.ขอบเขตด้านประชากร 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเปน็ นักเรยี นชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1/1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จงั หวัดลพบุรี ปกี ารศกึ ษา 2563 ภาคเรยี นท่ี 1 จำนวน 1 หอ้ งเรยี น จำนวนนกั เรยี นท้ังหมด 30 คน 1.2 กลมุ่ ตวั อยา่ งทใี่ ช้ในการวิจัย กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวจิ ัยเป็นนักเรียนชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ของโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวดั ลพบุรี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 ทัง้ หมด 1 หอ้ งเรียน ไดข้ นาดกลมุ่ ตวั อยา่ ง 30 คน จากการเข้า เรยี นในชั่วโมงน้ัน 2. ขอบเขตดา้ นตัวแปร ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม การฝึกปฏิบตั ิเพ่ือพฒั นาทักษะการใช้ นกั เรียนมที ักษะในการใช้อปุ กรณ์ อปุ กรณ์วิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบ วิทยาศาสตร์ ดีขึ้นและสามารถใช้ได้ถูกต้อง ประเมนิ ทักษะการใชอ้ ปุ กรณ์ วิทยาศาสตร์ รูปท่ี 1 กรอบแนวคิดในการวจิ ัย 3. ขอบเขตด้านเวลา ระยะเวลาที่ใชใ้ นการวิจัยในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ใช้เวลาในการดำเนินการทดลองท้งั หมด ต้งั แตว่ นั ที่ 23 พฤษภาคม –25 กนั ยายน 2563 โดยใชเ้ วลาในการการทดลอง จำนวน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี ปกี ารศึกษา 2563 จำนวน 30 คน อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ หมายถึง วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอนวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ได้แก่ ตะเกยี งแอลกอฮอล์ บกี เกอร์ กระบอกตวง แทง่ แกว้ คนสาร แว่นขยาย กระดาษลติ มัส แบบวัดทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ หมายถึง เป็นแบบวัดที่ผูว้ ิจัยสร้างขึ้นเพื่อใช้วัดความสามารถ ในการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองอยา่ งถูกวธิ ี การระมดั ระวงั การเกบ็ รักษาเคร่ืองมือและอุปกรณ์ได้อย่าง ถูกต้องและปลอดภัย อ้างอิงตามสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักการศึกษาท่านอื่น ๆ จำนวน 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ ทักษะการใช้บีกเกอร์ ทักษะการใช้กระบอกตวง ทักษะ การใช้แท่งแก้วคนสาร ช้อนตกั สาร

ทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง คล่องแคล่ว มีความละเอียดรอบคอบ มีเทคนิควิธีการในการปฏิบัติการทดลองวิทยาศาสตร์ตลอดจนการเก็บและ การรักษาเครื่องมอื และอุปกรณ์ได้อย่างถูกต้อง โดยคำนึงถงึ ความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นอ้างอิงตามสถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักการศึกษาท่านอื่น ๆ ซึ่งวัดได้จากคะแนนการประเมินทักษะ ภาคปฏิบัติของนักเรียน โดยใช้แบบแบบวัดทักษะการการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 5 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ ทักษะการใช้บีกเกอร์ ทักษะการใช้กระบอกตวง ทักษะการใช้แท่ง แก้วคนสาร ช้อนตักสาร ประโยชนท์ ี่จะได้รบั จากการวจิ ัย 1. นักเรียนมีความร้คู วามเขา้ ใจและมีทักษะการใช้อุปกรณ์วทิ ยาศาสตร์ที่ถกู ต้อง 2. นกั เรยี นมกี ารพฒั นาตนเองในการทำการทดลองในห้องปฏิบัติการวทิ ยาศาสตร์ไดอ้ ย่างถูกต้อง

บทท่ี 2 เอกสารและงานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง เอกสารและงานวจิ ยั ทีเ่ ก่ียวข้องได้ค้นควา้ เอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ดังนี้ 2.1 การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ 2.1.1 ความหมายของวิทยาศาสตร์และธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ 2.2.2 ความสำคัญของวทิ ยาศาสตร์ 2.1.3 สาระการเรียนรูวทิ ยาศาสตร์ 2.1.4 เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์ 2.1.5 ทักษะท่ีสำคัญในการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์ 2.1.6 แนวทางการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรเ์ พื่อพัฒนาผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 2.2 ทกั ษะปฏิบัติและการวดั ประเมนิ ผลทกั ษะปฏิบัติ 2.2.1 ความหมายของทักษะปฏบิ ตั ิ 2.2.2 ทกั ษะปฏิบตั ใิ นวชิ าวิทยาศาสตร์ 2.2.3 การวดั ผลและการประเมินผลทกั ษะปฏิบัติ 2.2.4 วธิ ีการประเมินผลทักษะภาคปฏิบตั ใิ นวชิ าวิทยาศาสตร์ 2.2.5 เครื่องมือในการวัดผลทักษะภาคปฏบิ ตั ใิ นวิชาวิทยาศาสตร์ 2.3 อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ 2.4 งานวจิ ัยทีเ่ กย่ี วขอ้ ง 2.4.1 งานวจิ ยั ในประเทศ

2.1 การจัดการเรียนรกู้ ล่มุ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 ระบวุ ่า การจดั การศึกษาต้องยดึ หลักว่า ผู้เรียน ทกุ คนมคี วามสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรยี นมคี วามสำคัญท่ีสดุ กระบวนการจัดการศึกษาต้อง สง่ เสริมให้ผเู้ รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพในมาตรา 23(2)เนน้ การจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ให้ความสำคัญของการบูรณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ตามความ เหมาะสมของระดับการศึกษาในส่วนของการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์นั้น ต้องให้เกิดทั้งความรู้ทักษะและเจตคติ ดา้ นวิทยาศาสตร์ รวมท้ังความร้คู วามเขา้ ใจและประสบการณ์เรอื่ งการจดั การการบำรุงรกั ษาและการใช้ประโยชน์ จากทพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดลอ้ มอยา่ งสมดุลย่ังยืน ในส่วนของการจัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา 24 ของ พ.ร.บ. การศึกษาแห่งชาติได้ระบุให้สถานศึกษา และหนว่ ยงานทเี่ กยี่ วขอ้ งดำเนินการ ดงั น้ี จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความ แตกต่างระหว่างบุคคลฝึกทักษะกระบวนการคิดการจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการประยุกต์ความรู้มาใช้ เพือ่ ป้องกนั และแก้ปัญหา 1. การจดั กจิ กรรมให้ผูเ้ รียนได้เรียนร้จู ากประสบการณจ์ รงิ ฝึกการปฏิบัตใิ ห้ทำได้ คดิ เป็นทำเป็นรักการ อา่ นและเกดิ การใฝ่รอู้ ยา่ งต่อเนอื่ ง 2. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระการเรียนรูด้ ้านตา่ ง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกนั รวมทั้งปลกู ฝนั คุณธรรมคา่ นยิ มทด่ี งี านและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ไวใ้ นทุกกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ 3. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดการบรรยาย สภาพแวดล้อม สื่อการเรียนและอำนวยความ สะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวน การเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนเกิดการเรียนรูไ้ ปพร้อมกันจากส่ือการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภท ต่าง ๆ 4.จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบคุ คลในชมุ ชนทกุ ฝา่ ย เพื่อร่วมกันพฒั นาผเู้ รยี นตามศกั ยภาพ การจัดการเรียนรู้ตามแนวดังกล่าวจำเป็นต้องเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมการเรยี นการสอนของผสู้ อนและการ เรียนของผู้เรียน กล่าวคือลดบทบาทของผู้สอนจากการเป็นผู้บอกเล่าและบรรยายมาเป็นการวางแผนกิจกรรมให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้โดยผ่านกระบวนการที่สำคัญ คือ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการที่จะ นำไปสู่การสร้างองค์ความรู้โดนผ่านกิจกรรมการสังเกต การตั้งคำถาม การวางแผน เพื่อทดลอง เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ ซึ่งเป็นวิธีการหาข้อมูลโดยตรงด้วยวิธีที่หลากหลายทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ กระบวนการการ แก้ปัญหา การสืบค้นข้อมูล การอภิปรายและการสื่อสารความรู้ในรู้แบบต่าง ๆ ให้ผู้อื่นเข้าใจในกิจกรรมต่าง ๆ จะตอ้ งเน้นท่ีบทบาทของผเู้ รียนตั้งแต่เริ่มคือ ร่วมวางแผนการเรียน การวดั ผล การประเมนิ ผล และต้องคำนึงถึงว่า กิจกรรมการเรียนนนั้ เน้นการพัฒนากระบวนการคิด วงแผน ลงมอื ปฏบิ ตั ิ สืบค้นขอ้ มูล รวบรวมขอ้ มูลด้วยวิธีต่างๆ จากแหล่งเรียนรู้หลากหลายตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อมูลการแก้ปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันการสร้าง คำอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบค้นได้ เพื่อนำไปสู่คำตอบของปัญหาคำถามต่างๆ ในที่สุดเป็นการสร้างองค์ความรู้ ทั้งนี้กิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าวต้องพัฒนาผู้เรียนให้เจริญ พัฒนาทางร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาในการ จัดการเรียนการสอนผู้สอนต้องศึกษาเป้าหมายและปรัชญาของการจัดการเรียนรู้ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ทำความ

เข้าใจเกย่ี วกบั หลกั การ ทฤษฎีการเรียนรตู้ า่ งๆ ตลอดจนกระบวนการเรียนการสอนทีเ่ น้นกระบวนการและผู้เรียนมี ความสำคัญที่สุด แล้วพิจารณาเลือกนำไปใช้ออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายให้เหมาะกับเนื้อหาสาระเหมาะกับ สภาพแวดลอ้ มของโรงเรียนแหลง่ ความรู้ของท้องถ่ินและทส่ี ำคัญคือศักยภาพของผู้เรยี นด้วยดังนั้นมนเนื้อหาสาระ เดียวกันผสู้ อนแตล่ ะโรงเรียนยอ่ มจดั การเรียนการสอนและใช้ส่ือการเรียนการสอนแตกตา่ งกนั ได้ 2.1.1 ความหมายของวิทยาศาสตรแ์ ละธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ (Science) เป็นความรู้ที่เกดิ จากสติปัญญาและความพยายามของมนษุ ยใ์ นการศึกษาเพ่ือทำ ความเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกและในเอกภพ นักวิทยาศาสตร์ศึกษาหลายคนได้อธิบายถึงธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัวของวิทยาศาสตร์ที่ทำให้แตกต่างจากศาสตร์ความรู้แขนงอื่น ๆ รวมถึงเป็น ค่านิยม ข้อสรุป แนวคิด หรือคำอธิบายที่บ่งชี้เกี่ยวกับอาชีพนักวิทยาศาสตร์ ลักษณะและวิธีการทำงานของ นักวิทยาศาสตร์ ความรู้และแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงผลของวิทยาศาสตร์ที่มีต่อสังคม (กุศลิน , 2553;McComas & Almazroa, 1998)American Association for the Advancement of Science เป็นสมาคม ทเ่ี กี่ยวข้องกบั การพัฒนาความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้อธบิ ายเก่ียวกับธรรมชาติของ วิทยาศาสตร์ โดยจำแนกแยกแยะออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ โลกในมุมมองแบบวทิ ยาศาสตร์ (Scientific Worldview) การสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) และกจิ การทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Enterprise) (AAAS, 1993) ซงึ่ มรี ายละเอยี ดดงั นี้ ด้านที่ 1 โลกในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Worldview)ด้วยวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ทีเ่ กิดจาก สติปญั ญาและความพยายามของมนุษย์ในการคน้ หาคำตอบเก่ยี วกบั ส่งิ ท่ีเกดิ ในธรรมชาติทั้งบนโลกและนอกโลก นักวิทยาศาสตร์จึงมีมุมมองเฉพาะตัวเกี่ยวกับการได้มาซึ่งความรู้ของปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติ ซึ่งอาจ แตกตา่ งจากมุมมองของศาสตร์อนื่ ๆ ดงั นี้ เราสามารถทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ บนโลกได้ปรากฏการณ์ต่าง ๆ บนโลกหรือในเอกภพ ที่ เกิดขึ้นอย่างเป็นแบบรูป (Pattern)สามารถเข้าใจได้ด้วยสติปัญญา วิธีการศึกษาที่เป็นระบบ ผนวกกับการใช้ ประสาทสัมผัสและเคร่ืองมือต่างๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าสิ่งต่าง ๆสามารถทำความ เข้าใจได้และคำถามใหม่ ๆ เกิดขึ้นได้เสมอ ยิ่งข้อมูลมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้นก็ยิ่งทำให้มนุษย์เข้าใจและเข้า ใกล้ความจริงของปรากฏการณน์ ้ัน ๆ ยง่ิ ข้นึ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์มีความไม่แน่นอน สามารถเปลี่ยนแปลงได้แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะเป็น กระบวนการสร้างองค์ความรู้ จากการสังเกต การทดลองการสร้างแบบจำลองอย่างละเอียดรอบคอบและเป็น ระบบ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์หรือสิ่งที่สนใจ แต่ระหว่างการทำงานก็มักเกิดคำถามใหม่ขึ้น ตลอดเวลาไม่มีสิ้นสุด ส่งผลให้มีการปรับปรุงหรือคิดค้นวิธีการใหม่ในการค้นหาคำตอบ และอาจได้หลักฐาน (Evidence) ใหม่ท่ีนำไปสูก่ ารสรา้ งคำอธบิ ายหรือองคค์ วามรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีความคงทน และเชื่อถือได้แม้ว่าวิทยาศาสตร์จะยอมรับเรื่องความไม่ แน่นอน และความไม่มีที่สิ้นสุดของความรู้หรือ คำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ แต่ด้วยความรู้ทาง วิทยาศาสตร์พัฒนาขึ้นมาผ่านวิธีการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นระยะเวลาหนึ่งจนมั่นใจในคำอธิบาย นน้ั รวมถึงมีการตรวจสอบอย่างเขม้ ขน้ จากสงั คมนกั วิทยาศาสตร์ จนความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชือ่ ถือได้ และจนกว่า การคน้ พบความรูใ้ หมจ่ ะลบล้างความร้เู ดิมได้อาจใชร้ ะยะเวลายาวนาน

ทฤษฎีและกฎมีความสัมพันธ์กันแต่แตกต่างกันมักมีแนวความเข้าใจคลาดเคลื่อนว่า กฎเป็น ทฤษฎที ่พี ฒั นาแลว้ จงึ มคี วามน่าเชื่อถอื และมคี ุณคา่ มากกวา่ ทฤษฎี ซง่ึ ในความเปน็ จรงิ แลว้ ท้ังกฎและทฤษฎีต่างก็ เป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์ที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดย กฎ (Law) คือแบบรูปที่ปรากฏในธรรมชาติ ส่วน ทฤษฎี (Theory) คือ คำอธิบายแบบรูปที่ปรากฏในธรรมชาติน้ัน ๆ เช่น การใช้ทฤษฎีพลังงานจลน์ของอนุภาคมา อธบิ ายแบบรปู ความสมั พันธ์ระหว่างปรมิ าตรและอณุ หภมู ิตามกฎของชาร์ล วิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ทุกคำถาม วิทยาศาสตร์เชื่อถือข้อมูลหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ได้ จากการสังเกต ทดลอง หรือวิธีการต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ในขณะที่สิ่งต่าง ๆ ในโลกหลายสิ่ง ไม่สามารถหา คำตอบได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องจิตวิญญาณสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ ความเชื่อ เรือ่ งปาฏิหารยิ ์ โชคชะตา หรือโหราศาสตร์ดงั นนั้ นกั วทิ ยาศาสตร์จงึ ไมม่ หี น้าที่ให้คำตอบหรอื อธบิ ายในเร่ืองเหล่าน้ี แม้วา่ บางครงั้ อาจมแี นวคำตอบหรือทางเลือกท่เี ปน็ ไปได้กต็ าม ดา้ นท่ี 2 การสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ (Scientific Inquiry) การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยการให้เหตุผลเชิงตรรกะ (Logic) ข้อมูล หลักฐานเชิงประจักษ์ (Empirical Evidence) จินตนาการและการคิดสร้างสรรค์ เป็นการทำงานเพื่อสืบเสาะหา คำอธิบายสิ่งที่สนใจทั้งโดยส่วนตัวและร่วมกันของกลุ่มคนที่มีความสนใจเดียวกัน การสืบเสาะหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์เป็นมากกว่า “วิธีการทางวิทยาศาสตร์” หรือ “การทดลองทางวิทยาศาสตร์” แต่เป็นการค้นหา คำตอบที่สนใจผ่านการทำงานอย่างเป็นระบบรอบคอบ แต่มีอิสระ และไม่เป็นลำดับขั้นที่ตายตัว ลักษณะสำคัญ ของการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ประกอบด้วย 1. คำถามทีส่ ามารถหาคำตอบหรอื ตรวจสอบได้ 2. ขอ้ มูลหลกั ฐานทั้งเชงิ ประจักษ์และจากทผี่ ู้อื่นค้นพบ 3. การทำความเข้าใจ วิเคราะหข์ ้อมูลต่าง ๆ แล้วหาความสมั พนั ธ์ของข้อมูลและสร้างคำอธิบาย เพอื่ ตอบคำถามที่สงสัย 4. การเชื่อมโยง เปรยี บเทียบคำอธิบายของตนเองกับผอู้ ่ืน 5. การส่อื สารคำอธิบายหรอื สง่ิ ทคี่ น้ พบให้ผอู้ ืน่ ทราบ การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มีลักษณะสำคัญตามที่กล่าวมาข้างต้น ไม่มีลำดับ ขน้ั ตอนท่แี น่นอน ในขณะเดียวกนั อาจต้องสืบเสาะซ้ำแล้วซ้ำเลา่ เพื่อตอบคำถาม และอาจเกิดคำถามใหม่ท่ีต้องสืบ เสาะหาคำตอบต่อไปหมุนวนเชน่ น้เี ปน็ วัฏจกั ร ดังแสดงไว้ ดงั ภาพท่ี 3

ภาพที่ 2.1 วัฏจักรการสืบเสาะหาความรูท้ างวิทยาศาสตร์แบบช้ีนำ ด้านท่ี 3 กิจการทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คือ กิจกรรมของมนุษยชาติ ซึ่งมีหลายมิติทั้งในระดับของบุคคล สังคม หรือองค์กร โดยกิจกรรมทางวทิ ยาศาสตรท์ ีก่ ระทำอาจเป็นสิง่ ทแี่ บ่งแยกยุคสมยั ตา่ ง ๆ ออกจากกนั อย่างชดั เจน วิทยาศาสตร์คือกิจกรรมทางสังคมที่ซับซ้อนวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมหนึ่งในระบบสังคมของ มนุษย์ ดังนั้นปัจจัยต่าง ๆ ในสังคมมีผลต่อการสนับสนุนหรือขัดขวางกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น เรื่องราวใน ประวตั ศิ าสตร์ ความเชื่อตามหลักศาสนา วัฒนธรรมและค่านยิ มของสงั คม หรือสถานะทางสงั คม ตัวอย่างท่ีเห็นได้ ชดั ก็คือ การโคลนน่ิง (Cloning) เป็นกจิ กรรมทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีนักวิทยาศาสตรส์ นใจและเห็นว่ามปี ระโยชน์ แต่ใน เชิงสังคมแล้ว เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่มีข้อโต้แย้งอยา่ งกว้างขวาง และมีการยอมรับจากสังคมหลากหลายแตกต่างกนั ไป วิทยาศาสตร์แตกแขนงเป็นสาขาต่าง ๆ และมีการดำเนินการในหลายองค์กรวิทยาศาสตร์ คือ การรวบรวมความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ จึงมีความหลากหลายและแตกเป็นแขนงต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ ตาม ปรากฏการณท์ ี่ศึกษา เป้าหมาย และเทคนิควธิ ีการทีใ่ ช้ ซึง่ มปี ระโยชน์ในการจดั โครงสร้างการทำงานและข้อค้นพบ ทางวิทยาศาสตร์ แต่แท้ที่จริงแล้ว ความรู้หรือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่มีเส้นแบ่งหรือขอบเขตระหว่างแขนง ต่าง ๆ โดยสิ้นเชิง ในทางกลับกันอาจต้องเชื่อมโยงระหวา่ งแขนงความรู้ เช่น การอธิบายเกี่ยวกับการสร้างอาหาร ของพืช จะต้องใช้แขนงความรู้ในเรื่องพืช พลังงานและการเปลี่ยนรูปพลังงาน โมเลกุลและสารประกอบการ เปลี่ยนแปลงทางเคมี นอกจากนี้ กิจการทางวิทยาศาสตร์ยังมีการดำเนินการในหลากหลายองค์กร เช่น มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ภาคธุรกิจอุตสาหกรรมหน่วยงานรัฐบาล หรือองค์กรอิสระ แต่อาจมีจุดเน้นที่แตกต่าง กนั

วทิ ยาศาสตรม์ หี ลักการทางจริยธรรมในการดำเนินการ นักวิทยาศาสตร์ต้องทำงานโดยมีจริยธรรมทางวิทยาศาสตร์ เช่น ความซื่อสัตย์ในการบันทึกข้อมูล ความมีใจกว้าง เพราะในบางครั้งความต้องการได้รับการยกย่องว่าเป็นคนแรกที่ค้นพบความรู้ใหม่อาจทำให้ นักวิทยาศาสตร์กา้ วไปในทางที่ผดิ ได้ เชน่ การบดิ เบือนข้อมูลหรือข้อค้นพบ จรยิ ธรรมทางวทิ ยาศาสตร์ท่ีสำคัญอีก ประการหนึ่งกค็ ือ การระวงั อันตรายท่ีอาจเกดิ จากการศึกษาทางวิทยาศาสตรห์ รอื การนำผลการศึกษาไปใช้ นักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะผู้เชี่ยวชาญและประชาชนคนหนึ่งในบางครั้ง นักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะผู้เช่ียวชาญที่มีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์เฉพาะทาง แต่ ในบางครั้งก็เข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่มีมุมมอง ความสนใจ ค่านิยม และความเช่ือ สว่ นตวั วิทยาศาสตร์เน้นการแสวงหาความรู้ ส่วนเทคโนโลยีจะเน้นการใช้ความรู้ความสัมพันธ์ ระหว่าง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลายคนเข้าใจว่า วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่แท้ที่จริงแล้ว ทั้งสองมีจุดเน้นที่แตกต่างกัน โดยวิทยาศาสตร์จะเน้นการแสวงหาความรู้เพื่อการต่อยอดความรู้ ส่วนเทคโนโลยีจะเน้นการใช้ความรู้เพื่อตอบสนองต่อการดำรงชีวิตที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กันความรู้ทางวิทยาศาสตรส์ ่งผลต่อความก้าวหนา้ ของเทคโนโลยี ซึ่งใน ท่ีสดุ ก็สง่ ผลตอ่ การพฒั นาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 2.1.2 ความสำคัญของวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งในสังคมโลกปัจจุบันและอนาคตเพราะวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับ ชีวติ ของทุกคนท้งั ในการดำรงชีวิตประจำวันและในงานอาชีพตา่ ง ๆ เครื่องมือเคร่ืองใช้ ตลอดจนผลผลิตตา่ งๆ เพ่ือ ใช้อำนวยความสะดวกในชีวิตและการทำงาน ล้วนเป็นผลของความรู้วิทยาศาสตร์ ผสมผสานกับความคิด สรา้ งสรรคแ์ ละศาสตร์อน่ื ๆ ความรวู้ ิทยาศาสตร์ช่วยให้เกดิ การพฒั นาเทคโนโลยีอยา่ งมาก พร้อมกนั นั้นเทคโนโลยีก็ มีส่วนสำคัญมากที่จะให้การศึกษาค้นคว้าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งวิทยาศาสตร์ทำให้คนได้ พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ มี ความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจักษ์พยานท่ี ตรวจสอบได้ วทิ ยาศาสตรเ์ ป็นวฒั นธรรมของโลกสมัยใหม่ ซึ่งเปน็ สังคมแห่งความรู้ ทกุ คนจงึ จำเป็นต้องได้รับการ พัฒนาให้รู้วิทยาศาสตร์ เพื่อที่จะมีความรู้ความเข้าใจโลกธรรมชาติและเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นและนำ ความรไู้ ปใช้อย่างมีเหตผุ ลสร้างสรรค์มีคุณธรรม ความรู้วิทยาศาสตร์ไม่เพียงแตน่ ำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ที่ดีแต่ยังช่วยให้คนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์การดูแลรักษาตลอดจนการพัฒนา สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุลและยั่งยืนและที่สำคัญยิ่งคือความรู้วิทยาศาสตร์ช่วยเพิ่มขีด ความสามารถในการพัฒนาเศรษฐกจิ สามารถแข่งขนั กบั นานาประเทศและดำเนินชวี ิตรว่ มกันในสงั คมโลกได้อย่างมี ความสขุ (กรมวชิ าการ, 2554) 2.1.3 สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์ (กระทรวงศึกษาธิการ,2560) มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการ มีทักษะสำคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้

กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มกี ารทำกจิ กรรมด้วยการลงมอื ปฏบิ ัติจริงอยา่ งหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้นโดยกำหนดสาระสำคญั ดังนี้ 1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์การดำรงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการ ของสง่ิ มชี ีวติ 2. วทิ ยาศาสตร์กายภาพ เรียนร้เู ก่ียวกับ ธรรมชาติของสาร การเปล่ียนแปลงของสารการ เคลือ่ นท่ี พลังงาน และคล่นื 3. วิทยาศาสตร์โลก และอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบสุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟา้ อากาศ และผลต่อสง่ิ มชี วี ิตและส่ิงแวดล้อม 4. เทคโนโลยี 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยเี รียนร้เู กีย่ วกบั เทคโนโลยเี พอ่ื การดำรงชีวิตในสังคมท่ี มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพ่ือ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยคำนึงถงึ ผลกระทบต่อชีวิต สงั คม และส่ิงแวดล้อม 4.2 วิทยาการคำนวณ เรียนรู้เกี่ยวกับ การคิดเชิงคำนวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหาเป็น ขั้นตอนและเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในการแก้ปญั หาท่พี บในชีวิตจรงิ ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพ 2.1.4 เป้าหมายของวทิ ยาศาสตร์ ในการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองมากที่สุด เพอ่ื ใหไ้ ดท้ ้ังกระบวนการและความรูจ้ ากวธิ ีการสังเกต การสำรวจตรวจสอบ การทดลอง แล้วนำผลที่ไดม้ าจดั ระบบ เปน็ หลักการ แนวคดิ และองคค์ วามรู้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ,2560) การจดั การเรียนการสอนวิทยาศาสตรจ์ งึ มีเป้าหมายท่ีสำคญั ดังนี้ 1. เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจหลกั การ ทฤษฎีและกฎที่เปน็ พน้ื ฐานในวิชาวทิ ยาศาสตร์ 2. เพือ่ ใหเ้ ขา้ ใจขอบเขตของธรรมชาติของวิชาวิทยาศาสตรแ์ ละขอ้ จำกดั ในการศึกษา วิชาวทิ ยาศาสตร์ 3. เพอื่ ใหม้ ที กั ษะทส่ี ำคัญในการศึกษาค้นควา้ และคดิ ค้นทางเทคโนโลยี 4. เพื่อให้ตระหนักถึงความสัมพันธ์ระหวา่ งวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีมวลมนุษย์และ สภาพแวดลอ้ มในเชงิ ที่มอี ิทธพิ ลและผลกระทบซึ่งกันและกนั 5. เพื่อนำความรู้ความเข้าใจ ในวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ตอ่ สังคมและการดำรงชีวติ 6. เพื่อพัฒนากระบวนการคิดและจินตนาการ ความสามารถในการแก้ปัญหา และการ จัดการ ทักษะในการส่อื สาร และความสามารถในการตัดสนิ ใจ

7. เพื่อให้เป็นผู้ที่มีจิตวิทยาศาสตร์ มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมในการใช้ วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยอี ย่างสรา้ งสรรค์ 2.1.5 ทักษะทีส่ ำคัญในการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ การดำรงชีวิตและประกอบอาชีพในศตวรรษที่ 21 นั้น มีความคาดหวังให้พลเมืองใน ศตวรรษน้เี ป็นผู้มคี วามรอบรู้ เปน็ นักคดิ และนักแก้ปัญหา สามารถนำความรมู้ าใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม และ ทันท่วงที ดังนั้นในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ผู้สอนจึงจำเป็นต้องออกแบบและวางแผนการจัดการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ที่เน้นการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านองค์ความรู้หรือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ดา้ นทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ ดา้ นทกั ษะการคดิ ระดับสูง ดา้ นทกั ษะที่จำเป็นสำหรบั ศตวรรษที่ 21 และ ด้านทักษะอื่น ๆ ตลอดจนดา้ นเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์ เพอื่ ใหผ้ ู้เรยี นเปน็ นกั เรียนรู้ นกั คิด เช่อื มน่ั ยึดถอื และศรัทธา ในการใช้ความรู้วิทยาศาสตรใ์ นทางทีส่ รา้ งสรรค์ สามารถนำความรู้ไปใชใ้ ห้เกิดประโยชนต์ อ่ ตนเอง และผูอ้ ื่นอย่างมี คุณธรรม เปน็ กำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ ตลอดจนเปน็ พลเมืองของโลกทดี่ ำรงชีวติ ในสังคมแหง่ ศตวรรษ ที่ 21 อยา่ งมีคณุ ค่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills) การเรียนรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ จำเป็นต้องใชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรเ์ พอื่ นำไปสู่การสบื เสาะคน้ หา ผ่านการสงั เกต ทดลอง สร้างแบบจำลอง และวธิ กี ารอ่นื ๆ เพื่อนำข้อมูล สารสนเทศและ หลักฐานเชิงประจักษ์มาสรา้ งคำอธิบายเก่ียวกับแนวคดิ หรือองค์ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ (Padilla,๑๙๙๐; วรรณ ทพิ า, ๒๕๔๐) ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ประกอบดว้ ย 1. ทักษะการสังเกต (Observing) เปน็ ความสามารถในการใชป้ ระสาทสมั ผสั อย่าง ใดอย่างหนึง่ หรือหลาย ๆ อย่างเข้าไปสำรวจวตั ถุหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาตหิ รอื จากการทดลองโดยไม่ ลงความคิดเห็นของผู้สงั เกตลงไปดว้ ย ประสาทสมั ผสั ทั้ง 5 อย่าง ได้แก่ การดู การฟังเสียง การดมกล่นิ การชิมรส และการสัมผัส 2. ทักษะการวัด (Measuring) เป็นความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือในการวัด ปริมาณต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จากเครื่องมือที่เลือกใช้ ออกมาเป็นตัวเลขได้ถูกต้องและรวดเร็ว พร้อมระบุหน่วยของการวัดได้อย่างถูกต้องทักษะการลงความเห็นจาก ข้อมูล (Inferring) เป็นความสามารถในการคาดเดาอย่างมีหลักการเก่ียวกับเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ โดยใช้ ขอ้ มูล (Data) หรอื สารสนเทศ (Information) ท่เี คยเกบ็ รวบรวมไว้ในอดตี 3. ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying) เปน็ ความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรอื จดั กลุ่มส่งิ ตา่ งๆ ทีส่ นใจ เช่น วตั ถุ ส่ิงมีชีวติ ดาวและเทหวตั ถตุ ่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ทตี่ ้องการศึกษา ออกเปน็ หมวดหมู่ นอกจากนี้ยงั หมายถงึ ความสามารถในการเลอื กและระบเุ กณฑ์หรอื ลักษณะร่วมลักษณะใด ลกั ษณะหนึ่งของสิ่งตา่ ง ๆ ทตี่ ้องการจำแนก 4. ทกั ษะการหาความสัมพันธ์ของสเปซกับเวลา(Relationship of Space and Time)สเปซคือพ้นื ท่ีทว่ี ตั ถคุ รอบครอง ในท่ีน้ีอาจเป็นตำแหนง่ รปู รา่ ง รูปทรงของวตั ถุ สิ่งเหล่านอ้ี าจมี ความสัมพนั ธก์ นั ดังน้ี การหาความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสเปซกับสเปซ เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ (Relationship between Space and Space) กันระหวา่ งพนื้ ทีท่ วี่ ตั ถตุ า่ ง ๆ ครอบครอง

การหาความสัมพนั ธร์ ะหว่างสเปซกบั เวลา เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ (Relationship between Space and Time) กันระหวา่ งพื้นทท่ี ่ีวัตถุครอบครองเมื่อเวลาผา่ นไป 5. ทักษะการใช้จำนวน (Using Number) เปน็ ความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิง จำนวน และการคำนวณเพ่ือบรรยายหรอื ระบรุ ายละเอียดเชงิ ปริมาณของส่งิ ท่ีสังเกตหรอื ทดลอง 6. ท ั ก ษ ะ ก า ร จ ั ด ก ร ะ ท ำ แ ล ะ ส ื ่ อ ค ว า ม ห ม า ย ข ้ อ ม ู ล (Organizing and Communicating Data) เป็นความสามารถในการนำผลการสังเกต การวัด การทดลอง จากแหล่งต่าง ๆ มาจัด กระทำให้อยู่ในรูปแบบที่มีความหมายหรือมีความสัมพันธ์กนั มากขึ้นจนง่ายตอ่ การทำความเข้าใจหรือเห็นแบบรปู ของข้อมูล นอกจากนี้ยังรวมถึงความสามารถในการนำข้อมูลมาจัดทำในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ สมการ การเขียนบรรยาย เพือ่ สอ่ื สารใหผ้ ู้อ่นื เข้าใจความหมายของข้อมูลมากขึ้น 7. ทักษะการพยากรณ์ (Predicting) เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของ ปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสังเกต การทดลองที่จากการสังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ที่แม่นยำจึงเป็นผลมาจากการสังเกตที่รอบคอบ การวัดที่ถูกต้อง การบันทึกและการจัดกระทำกับ ขอ้ มลู อยา่ งเหมาะสม 8. ทักษะการตั้งสมมติฐาน (Formulating Hypotheses) เป็นความสามารถในการ คิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนจะทำการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้ ประสบการณ์เดิม เป็นพื้นฐานคำตอบที่ คิดล่วงหน้าที่ยังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีมาก่อน การตั้งสมมติฐานหรือคำตอบที่คิดไว้ ล่วงหน้ามักกล่าวไว้เป็นข้อความ ที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม ซึ่งอาจเป็นไปตามที่ คาดการณไ์ ว้หรือไม่ก็ได้ 9. ท ั ก ษ ะ ก า ร ก ำ ห น ด น ิ ย า ม เ ช ิ ง ป ฏ ิ บ ั ต ิ ก า ร ( Defining operationally) เป็นความสามารถในการกำหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมติฐานของการทดลอง หรือท่ี เกยี่ วข้องกับการทดลอง ใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั และสามารถสังเกตหรือวดั ได้ 10. ท ั ก ษ ะ ก า ร ก ำ ห น ด แ ล ะ ค ว บ ค ุ ม ต ั ว แ ป ร ( Controlling Variables) เป็นความสามารถในการกำหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ตอ้ งการควบคมุ ให้คงที่ ให้ สอดคล้องกับสมมติฐานของการทดลองรวมถึงความสามารถในการระบุและควบคมุ ตัวแปรอ่ืนๆ นอกเหนือจากตัว แปรต้น แต่อาจส่งผลต่อผลการทดลอง หากไม่ควบคุมให้เหมือนกันหรือเท่ากัน ตัวแปรที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง ไดแ้ ก่ ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรทีต่ ้องควบคมุ ให้คงท่ี ซ่ึงล้วนเปน็ ปจั จัยทเ่ี ก่ียวข้องกับการทดลอง ดังนี้ ตวั แปรต้น สง่ิ ท่เี ป็นต้นเหตทุ ำให้เกดิ การเปล่ียนแปลงจึงต้องจัด (Independent Variable) สถานการณ์ใหม้ ีสง่ิ นแ้ี ตกตา่ งกัน

ตวั แปรตาม สิ่งที่เป็นผลจากการจัดสถานการณ์บางอย่างให้ (Dependent Variable) แตกตา่ งกันและเราต้องสังเกต วดั หรอื ติดตามดู ตัวแปรทตี่ อ้ งควบคุมใหค้ งท่ี สิ่งต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัดสถานการณ์ จึงต้อง (Controlled Variable) จัดสิ่งเหล่านี้ให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพื่อให้มั่นใจว่า ผลจากการจดั สถานการณ์เกิดจากตัวแปรตน้ เท่านัน้ 11. ทักษะการทดลอง (Experimenting) การทดลองประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผลการทดลอง ทักษะการทดลองจึงเป็น ความสามารถในการออกแบบและวางแผนการทดลองได้อย่างรอบคอบและสอดคล้องกับคำถามการทดลองและ สมมติฐาน รวมถึงความสามารถในการดำเนินการทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการบันทึกผลการ ทดลองไดล้ ะเอยี ด ครบถว้ น และเท่ยี งตรง 12. การตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป (Interpreting and Making Conclusion) ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูลท่ีมีอยู่ ตลอดจน ความสามารถในการสรุปความสัมพนั ธข์ องขอ้ มูลทั้งหมด 13. การสร้างแบบจำลอง (Formulating Models) ความสามารถสร้างและใช้ส่ิงท่ี ทำขึ้นมาเพื่อเลียนแบบหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่ศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ สมการ แผนภูมิ รูปภาพ ภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนำเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิดรวบยอดเพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจในรูปของ แบบจำลองแบบตา่ ง ๆ 2.1.6 แนวทางการจดั การเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์เพ่อื พัฒนาผเู้ รยี นในศตวรรษท่ี 21 แนวการจดั การเรียนรตู้ ามพระราชบญั ญตั กิ ารศึกษา พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 ระบุว่าการจัดการศึกษาต้อง ยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ในมาตรา 23 (2) เนน้ การจัดการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ใหค้ วามสำคัญของการบรู ณาการความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา โดยเฉพาะความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีรวมทั้งความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จาก ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืนในส่วนของการจัดกระบวนการเรียนรู้ มาตรา 24 ได้ระบุให้ สถานศกึ ษาและหนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนนิ การ ดงั นี้ 1. จัดเนื้อหาสาระและกจิ กรรมใหส้ อดคล้องกบั ความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคำนงึ ถึงความแตกต่างระหวา่ งบุคคล 2. ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ ความรู้มาใชเ้ พ่อื ป้องกันและแก้ไขปญั หา 3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คดิ เปน็ ทำเป็น รกั การอ่านและเกดิ การใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง

4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆอย่างได้สัดส่วนสมดุล กนั รวมทั้งปลกู ฝังคุณธรรม ค่านิยมทดี่ ีงามและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ไว้ในทกุ วชิ า 5. สง่ เสริมสนับสนุนให้ผสู้ อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดลอ้ มส่ือการเรียน และ อำนวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการ ประเภทต่าง ๆ 6. จัดการเรยี นรู้ใหเ้ กิดขึ้นได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับบิดา มารดา ผู้ปกครอง และบุคคลในชุมชนทกุ ฝา่ ยเพอื่ ร่วมกันพัฒนาผูเ้ รยี นตามศักยภาพ การจัดการเรียนรู้ตามแนวดังกล่าว จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนการ สอนทั้งของผู้เรียนและผู้สอน กล่าวคือลดบทบาทของครูผู้สอนจากการเป็นผู้บอกเล่า บรรยาย สาธิต เป็นการ วางแผนจัดกจิ กรรมให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ กจิ กรรมตา่ งๆ จะต้องเน้นที่บทบาทของผู้เรียนต้ังแต่เริ่ม คือร่วมวาง แผนการเรียน การวัดผล ประเมินผล และต้องคำนึงว่ากิจกรรมการเรียนนั้นเน้นการพัฒนากระบวนการคิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ ศึกษา ค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่างๆ จากแหล่งเรียนรู้หลากหลาย ตรวจสอบ วิเคราะห์ การแก้ปัญหาการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบค้นได้เพื่อนำไปสู่ คำตอบของปัญหาหรือคำถามต่าง ๆ ในที่สดุ สรา้ งองค์ความรู้ท้ังนี้ กิจกรรมการเรยี นรู้เหล่าน้ีต้องพัฒนาผู้เรียนให้มี พัฒนาการเหมาะสมตามวยั ทง้ั ทางรา่ งกาย อารมณ์ สังคม และสตปิ ญั ญา แนวการจัดการเรียนรู้วทิ ยาศาสตรใ์ ห้สอดคล้องกบั การพัฒนาผู้เรยี นในศตวรรษท่ี 21 การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนให้ พร้อมที่จะดำรงชีวิตและประกอบอาชีพได้อย่างประสบความสำเร็จได้ในอนาคตนั้น จำเป็นต้องเน้นกระบวนการ จัดการเรียนรู้ทีเ่ นน้ การพัฒนานักคิดนกั แก้ปัญหา และนักเรียนรูต้ ลอดชีวิต โดยจัดการเรียนรูใ้ หผ้ ูเ้ รียน มีส่วนรว่ ม ในการเรียนร้ขู องตนเองตงั้ แต่เรมิ่ ตน้ จนสน้ิ สุดกระบวนการเรยี นรู้ โดยอาจทำได้ดังนี้ 1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ ผู้เรียน โดยคำนึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบุคคล 2. ผู้สอนกระตุ้นหรือจัดสถานการณ์ให้ผู้เรียนได้เกิดคำถามหรือข้อสงสัยที่ อยากคน้ หาคำตอบ 3. ผ้เู รยี นใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้อย่างเป็นระบบเพื่อค้นหาคำตอบที่ สงสัย โดยเริ่มจากการลงมอื สืบเสาะหาความรู้ตามคำแนะนำจนกระทั่งสามารถออกแบบและวางแผนการสืบเสาะ เพื่อเก็บรวบรวมข้อมลู และหลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ แลว้ นำมาสรา้ งคำอธิบายดว้ ยตนเอง 4. ผู้เรียนควรมีโอกาสได้ฝึกฝนและพัฒนาแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ อยา่ งลมุ่ ลกึ และเชอื่ มโยงกนั ผา่ นการทำกจิ กรรมทีห่ ลากหลายทง้ั ในห้องเรยี นและนอกหอ้ งเรียน 5. ผูเ้ รยี นได้ฝึกฝนทกั ษะต่าง ๆ อย่างตอ่ เนื่อง สมำ่ เสมอและเหมาะสมกบั วัย 6. ผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องตามยุคสมัยในการเรี ยนรู้ วิทยาศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ใช้ในการสืบเสาะหาความรู้ ใช้สืบค้นข้อมูลทั้งจากแหล่งข้อมูลปฐมภมู ิและ ทตุ ยิ ภมู ิ ใช้จัดกระทำและส่อื ความหมายข้อมลู ใชส้ รา้ งแบบจำลอง

7. ผู้เรียนสามารถออกแบบและทำโครงงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อฝึกฝนและสามารถใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการสำหรับการออกแบบและ เทคโนโลยี และทักษะท่สี ำคัญสำหรับศตวรรษที่ 21 มาแกป้ ญั หาทางวิทยาศาสตร์ได้ 8. ผู้เรียนได้เพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์จากแหล่งเรียนรู้ในท้องถ่ิน เพื่อขยายขอบเขตการเรียนรู้และสามารถเชื่อมโยงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในห้ องเรียนกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตประจำวัน ตลอดจนเหน็ ความสำคัญของการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 9. ผู้เรียนควรมีโอกาสได้รู้จักและคุ้นเคยกับการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีเกิดขึ้นจริง ซ่งึ อาจเพมิ่ ระดับความซับซ้อนของข้อมลู ให้เหมาะสมกบั วัยของผู้เรียน เช่น ผู้เรยี นระดับประถมศกึ ษาได้ฝึกฝนการ วเิ คราะห์และสรา้ งคำอธิบายจากข้อมูลที่เกบ็ ได้จรงิ แต่ไม่มีความซับซ้อน ส่วนในระดบั มธั ยมศึกษาอาจให้ผู้เรียนได้ ฝึกการวิเคราะห์และอธิบายข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งเป็นข้อมูลที่หลากหลาย ซับซ้อน มีปริมาณมาก และ เปลี่ยนแปลงอยา่ งรวดเร็ว จงึ ไม่สามารถนำมาจัดกระทำหรือจัดการได้ดว้ ยวิธีการหรอื เครอ่ื งมอื แบบเดมิ 10. ผู้เรียนมีโอกาสนำความรู้ทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีไปบูรณาการกบั ความรู้จากแขนงวิชาอื่นๆ เช่น คณิตศาสตร์ มาแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง หรือเกิดขึ้นจริง โดยใช้ กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม 2.2 ทกั ษะปฏิบัตแิ ละการวัดประเมนิ ผลทักษะปฏิบตั ิ ทักษะปฏิบตั ิเป็นความสามารถท่ีต้องอาศัยเทคนิควธิ ีการในการปฏิบตั กิ ารทดลองเปน็ การ อธิบายลักษณะ การใช้เคร่อื งมือและอปุ กรณ์การทดลองท่ีถกู ต้องและปลอดภยั ในขณะทำการทดลอง ซ่ึงไดม้ นี กั การศึกษาและ หนว่ ยงานวิทยาศาสตรไ์ ดน้ ำเสนอความหมายและเทคนิคลักษณะการใช้เครื่องมือการทดลองทถี่ ูกต้องและ ปลอดภยั ดงั น้ี 2.2.1 ความหมายของวทิ ยาศาสตร์ ทักษะปฏิบตั กิ ารเปน็ ความสามารถในการใชเ้ คร่ืองมือการทดลองท่ีถกู ต้องและ ปลอดภยั ซงึ่ มีนักการศึกษาและหน่วยงานวทิ ยาศาสตร์ได้ให้ความหมายของทักษะปฏิบัติ สรปุ ได้ดังนี้ ประวติ ร ชศู ิลป์ (2541) ไดใ้ หค้ วามหมายของทกั ษะปฏิบัติว่า หมายถึง การลงมอื กระทำหรือปฏิบัติอย่างชำนาญจนเกิดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เช่น การหยิบ การจับ ใชเ้ ครือ่ งมอื การ สังเกต การจดั กระทำขอ้ มูล การออกแบบการทดลอง การแปลความหมายขอ้ มลู อภชิ าติ อนกุ ลู เวช (2551) ได้ใหค้ วามหมายของทักษะปฏิบตั วิ ่า หมายถงึ ความสามารถ ความชำนาญของกล้ามเนื้อ ที่กระทำออกมาอย่างถูกต้อง คล่องแคล้วและรวดเร็ว ที่ต้องอาศัยการฝึกหัดอย่าง เหมาะสม จึงจะทำใหเ้ กิดความชำนาญในการปฏบิ ตั ิงาน ศรีรตั น์ บำรุงชาติ (2553) ไดใ้ หค้ วามหมายของทกั ษะปฏิบัตวิ า่ หมายถงึ การมคี วามร้แู ละมี ความชำนาญปฏบิ ัติได้เป็นอย่างดี ทั้งทเ่ี ปน็ ทกั ษะฝมี อื และทักษะทางปัญญา จากการที่นักการศึกษาได้กล่าวไว้ข้างต้นทำให้สามารถสรุปได้ว่า ทักษะปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถในการใช้เคร่อื งมอื และอุปกรณ์การทดลองดว้ ยความชำนาญ มีเทคนิควธิ กี ารในการปฏิบตั ิการทดลอง ทางวทิ ยาศาสตร์ตลอดจนการเกบ็ และรักษาเคร่ืองมือและอปุ กรณไ์ ด้อย่างถกู ต้องปลอดภยั

2.2.2 ทักษะปฏบิ ัตใิ นวิชาวทิ ยาศาสตร์ มนี ักการศกึ ษาหลายทา่ นและหน่วยงานวิทยาศาสตรไ์ ด้กล่าวเกยี่ วกับทกั ษะปฏิบัตวิ ่าเปน็ ความสามารถในการใช้ เครื่องมอื อปุ กรณ์การทดลองทีไ่ ด้รับการฝึกฝนจนเกดิ ความชำนาญอาศยั เทคนิควธิ กี ารตา่ งๆไว้ดังน้ี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(2533) ได้เน้นถึงความสำคัญของการ ทดลองสรุปได้ว่าเป็นกิจกรรมที่ทำให้นักเรียนได้ฝึกฝนพัฒนาทักษะและได้กำหนดทักษะปฏิบัติการทดลองไว้ใน คู่มือครูวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2533) จำนวน 29 ทักษะ ประวิตร ชูศิลป์ (2541) ได้กล่าวถึง ทักษะปฏิบัติซึ่งเป็นทักษะในการกระทำหรือการปฏิบัติ จำแนกได้ 2 พวก สรุปได้ดังนี้ 1.ทักษะปฏิบัติ เป็นทักษะที่สามารถสังเกตได้โดยตรงในขณะที่นักเรียนกำลังปฏิบัติการ ทดลอง ได้แก่ 1.1 ทกั ษะในการปฏิบตั กิ าร ไดแ้ ก่ หยิบจับอุปกรณ์ 1.2 ทักษะในการสังเกต ได้แก่ การสังเกตเพื่อค้นหารายละเอียดหรือเปรียบเทียบการ สังเกตผลการทดลอง 1.3 ทักษะในการดำเนินการทดลอง ได้แก่ การปฏิบัติตามวิธีที่กำหนดไว้ในหนังสือเรียน หรอื คมู่ ือการทดลอง หรอื การเตรียมหรือการคดิ ค้นวิธีใหมๆ่ 2. ทักษะในการสื่อความหมายในการปฏิบัติ เป็นทักษะในการบันทึกผลการทดลองและการ ใชผ้ ลการทดลองทไ่ี ดร้ วบรวมไวใ้ นสมดุ หรือรายงานผลการทดลอง ได้แก่ 2.1ทักษะในการบันทึกการทดลอง ได้แก่ การบันทึกผลการทดลองเป็นตารางหรือกราฟ หรอื เขยี นแผนภาพ จดบนั ทกึ รายละเอียดตา่ ง ๆ ท่ีไดจ้ ากการทดลอง 2.2 ทกั ษะในการใช้ผลการทดลอง ไดแ้ ก่ การคำนวณโดยใช้ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง การ แปลความหมายข้อมูลเพ่ือการสรุป การประเมินผลสมมติฐาน โดยอาศัยข้อมูลที่ได้และการหาข้อมูลที่ นอกเหนือจากสงิ่ ทสี่ ังเกต จากทนี่ ักการศกึ ษาหลายทา่ นและหนว่ ยงานวทิ ยาศาสตรไ์ ดก้ ล่าวมาขา้ งต้น สามารถสรุปได้ว่าทักษะปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์ หมายถึง กิจกรรมการทดลองที่เน้นการฝึกและพัฒนาทักษะ ปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ที่อาศัยเทคนิค การฝึกฝนวิธีการใช้เครื่องมือการทดลองจนเกิดความชำนาญและเป็นการ ช่วยลดอันตราย ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดของผู้ทดลองเองหรือจากสารเคมีขณะทำการทดลองทาง วิทยาศาสตร์ จากทนี่ ักการศึกษาหลายทา่ นและหนว่ ยงานวิทยาศาสตร์ไดก้ ลา่ วถึงทักษะปฏิบตั ิในวิชา วิทยาศาสตร์ ผู้วิจัยจึงนำทักษะปฏิบัติ จำนวน 4 ทักษะ ได้แก่ ทักษะการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ ทักษะการใช้บีก เกอร์ ทักษะการใช้กระบอกตวง ทักษะการใช้แท่งแก้วคนสาร ซึ่งเป็นทักษะปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐาน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นตามท่ีสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546) และนักการศึกษาอื่น ๆ ที่กล่าวมาข้างต้น โดยผู้วิจัยได้ทำการคัดเลือกทักษะปฏิบัติ จำนวน 4 ทักษะ ที่มีความ เหมาะสมสอดคลอ้ งกับการจดั การเรยี นการสอนในรายวชิ าวิทยาศาสตร์

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546)ได้กล่าวถึงทักษะภาคปฏิบัติในการทดลอง ที่นักเรียนจำเป็นต้องเรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อให้สามารถใช้ทักษะเหล่านี้ได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับโอกาสทใ่ี ช้ทกั ษะพ้ืนฐานในการทดลอง ประกอบด้วยทกั ษะดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ทกั ษะการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ ก่อนใช้ ต้องตรวจสอบสภาพก่อนทุกครั้ง ไม่จุดตะเกียงก่อนที่จะเตรียมสารให้พร้อม ปรับไส้ให้สูง พอเหมาะเมื่อจุดไฟแล้วจะได้เปลวไฟที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป การเติมแอลกอฮอล์ ควรเติมประมาณครึ่งหนึ่งของ ตะเกียง โดยใช้กรวยและเติมด้วยความระมัดระวังอย่าให้หก การจุดตะเกียงตอ้ งใช้ก้านไม้ขีดห้ามนำตะเกียงไปต่อ กันโดยตรง หรือถือตะเกียงเดินไปเดินมา เพราะอาจทำให้แอลกอฮอล์หกและติดไฟ เตรียมกระป๋องทรายสำหรับ ท้งิ ก้านไมข้ ดี ทีจ่ ดุ ไฟแลว้ เม่อื เลกิ ใช้ต้องดับตะเกยี งทันทีโดยใชฝ้ าครอบไมใ่ ช้ปากเป่า 2. ทกั ษะการใช้บกี เกอร์ เป็นอปุ กรณ์ที่ใชว้ ัดปริมาตรของของเหลวโดยประมาณ อาจใชบ้ กี เกอรท์ ี่มีขีดบอกปริมาตร บีกเกอร์มี หลายขนาด ที่ใช้อยู่ทั่ว ๆ ไปมีขนานตั้งแต่ 50 ลูกบาศก์เซนติเมตร จนถึง 2 ลิตร ส่วนใหญ่มักใช้บีกเกอร์สำหรับ ตวงของเหลวโดยประมาณ เช่น น้ำหรือสารละลาย เพื่อใช้ในการเตรียมสารละลาย หรือใช้ในการทำการทดลอง ตอ่ ไป เมือ่ ใช้แล้วควรลา้ งใหส้ ะอาด วางใหแ้ ห้งและเกบ็ ไวใ้ นต้ตู ามขนาด 3. ทักษะการใช้กระบอกตวง เป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดปริมาตรของของเหลวที่ไม่ต้องการความละเอียดมากนัก มีขนานตั้งแต่ 5 ลูกบาศก์เซนติเมตร จนถึง 2 ลิตร กระบอกตวงขนาดเล็กจะวัดปริมาตรได้ละเอียดมากกว่าขนาดใหญ่ การใช้ต้อง คำนึงถึงขนานของกรบอกตวง และของเหลวที่จะวัด การอ่านปริมาตรต้องให้ขีดปริมาตรและส่วนโค้งต่ำสุดของ ของเหลวอยูใ่ นระดบั สายตา เมื่อใช้เสร็จควรล้างให้สะอาดและเกบ็ ไว้ในตู้เฉพาะ แต่ถ้ากระบอกตวงมีขนาดสงู มาก ควรวางนอนกับพน้ื ตู้ เพื่อกนั ลม้ 4. ทกั ษะการใช้แท่งแก้วคนสาร เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการคนสาร การคนสารโดยการใช้แท่งแก้วคนสารทำได้โดยต้องระมัดระวังไม่ให้ แท่งแก้วคนสารกระทบด้านข้างและก้นของภาชนะ เมื่อใช้แท่งแก้วคนสารเสร็จต้องล้างให้สะอาด เช็ดให้แห้งและ เก็บเขา้ ทแี่ ละไมใ่ ช้แท่งแกว้ คนสารตา่ งชนดิ กันโดยไมท่ ำความสะอาดก่อน จากการศึกษาความหมายของทกั ษะปฏิบตั ิและทักษะปฏิบัติที่กล่าวมาทั้งหมด สำหรับการวิจัยในคร้ังน้ี ผู้วิจัยให้ความหมายของทักษะปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์ว่า หมายถึง ทักษะในด้านการปฏิบัติการทดลอง รวมไป ถึงการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์การทดลองอย่างถูกวิธี การระมัดระวังและการรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์การ ทดลอง ตลอดจนการรกั ษาความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อน่ื จำนวน 5 ทักษะ อ้างอิงตามสถาบันสง่ เสริมการสอน วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยแี ละนกั การศกึ ษาอื่นๆ ไดแ้ ก่ 1. ทักษะการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ หมายถึง ความสามารถในการใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์ได้อย่างถูกวิธี คือ ก่อนใช้ ตอ้ งตรวจสอบสภาพกอ่ นทกุ ครงั้ ไมจ่ ุดตะเกียงก่อนทีจ่ ะเตรียมสารให้พรอ้ ม ปรบั ไส้ตะเกยี งแอลกอฮอล์ ให้สูงพอเหมาะ เตรียมกระป๋องทรายสำหรับทิ้งก้านไม้ขีดที่จุดไฟแล้ว เมื่อเลิกใช้ต้องดับตะเกี ยงทันทีโดยใช้ฝา ครอบ

2. ทักษะการใช้บีกเกอร์ หมายถึง ความสามารถในการใช้บีกเกอร์วัดปริมาตรของของเหลวโดยประมาณ โดยคำนึงถึงขนาดของบีกเกอร์และปริมาตรของของเหลวที่ต้องการวัด การอ่านปริมาตรสายตาต้องและให้อยู่ใน ระดบั เดยี วกับขดี ปรมิ าตรและสว่ นโคง้ ตำ่ สุดของของเหลว เม่ือใชเ้ สรจ็ ควรล้างใหส้ ะอาดเกบ็ ใหเ้ ข้าท่ี 3. ทักษะการใช้กระบอกตวง หมายถึง ความสามารถในการใช้กระบอกตวงอยา่ งถูกวิธี โดยคำนึงถงึ ขนาด ของกระบอกตวง และปริมาตรของของเหลวทีต่ ้องการวัด การอ่านปริมาตรสายตาต้องและให้อยู่ในระดับเดียวกบั ขีดปริมาตรและสว่ นโคง้ ต่ำสดุ ของของเหลว เม่อื ใชเ้ สรจ็ ควรล้างให้สะอาดเกบ็ ใหเ้ ข้าที่ 4. ทักษะการใช้แท่งแก้วคนสาร หมายถึง ความสามารถในการใช้แท่งแก้วคนสารอย่างถูกวิธี โดยใช้แท่ง แก้วในการคนสารในบีกเกอร์ ต้องระมัดระวังไมใ่ หแ้ ท่งแก้วคนสารกระทบดา้ นข้างบีกเกอร์ หากใช้แท่งแก้วคนสาร ต่างชนิดกันจะต้องล้างทำความสะอาดก่อนเสียก่อน เวลาคนสารคนในทิศทางเดียวกันตลอด เมื่อใช้แท่งแก้วคน สารเสร็จตอ้ งล้างให้สะอาด เชด็ ให้แหง้ และเก็บเขา้ ที่ 5. ทักษะการใช้ช้อนตักสาร เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ตวงสารที่เป็นของแข็ง โดยประมาณเมื่อตักสาร แต่ละครั้ง ต้องปาดปากชอ้ นเพียงครัง้ เดียว โดยไม่กดสารในช้อนกอ่ นปาด เมื่อใช้ช้อนตักสารแล้วต้องทำความสะอาดช้อนให้ แห้งกอ่ นทจี่ ะใชช้ อ้ นตักสารชนิดอน่ื และหา้ มใชช้ อ้ นตกั สารในขณะท่ีสารยังร้อน 2.2.3 การวัดผลและการประเมินผลทักษะปฏบิ ัติ ทักษะปฏิบัติเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในการวัดและการ ประเมินผลวิทยาศาสตร์นั้น จึงไม่ควรประเมินพฤติกรรมด้านความรู้ความคิดเท่านั้น แต่ควรมีกรวัดและการ ประเมินผลพฤตกิ รรมด้านทกั ษะปฏิบตั ิด้วย จึงมนี ักการศึกษาให้ความหมายและหลกั เกณฑ์เกย่ี วกบั การวัดและการ ประเมนิ ผลทกั ษะปฏบิ ตั ไิ ว้ สรุปไดด้ ังน้ี ภพ เลหไพบลู ย์ (2542) กล่าวเก่ยี วกบั การวดั ผลพฤติกรรมดา้ นปฏิบัติสรปุ ได้ ดังนี้ การวัดผลพฤติกรรมด้านปฏิบัติ คือ การสังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบัติ การตรวจจาก รายงานผลปฏบิ ตั ิและการสอบปฏิบตั ิ 1.การสังเกตพฤติกรรมขณะปฏิบตั ิ 1.1 ทกั ษะปฏิบัติการเป็นการประเมนิ ความสามารถของนักเรยี นในดา้ นเทคนคิ การทดลอง การดำเนนิ การทดลอง ความคล่องแคล่วในการทดลอง ความมรี ะเบยี บในการทดลอง 1.1.1 ด้านเทคนิคการทดลอง หมายถึง นักเรียนสามารถใช้วัสดุอุปกรณ์ เครื่องมือต่าง ๆ ไดถ้ ูกต้อง มีความถกู ตอ้ ง 1.1.2 ดา้ นการดำเนินการทดลอง หมายถงึ นกั เรยี นสามารถปฏบิ ัติการทดลองในแต่ละ ข้ันถกู ตอ้ งตามวธิ กี าร 1.1.3 ความคล่องแคล่วในการทดลอง หมายถึง นักเรียนสามารถปฏิบัติกิจกรรมการ ทดลองด้วยความว่องไว มคี วามม่ันใจในการปฏิบตั งิ าน

1.1.4 ความมีระเบียบ หมายถึง นักเรียนทำงานเป็นระเบียบเรียบร้อย การติดตั้ง เครอ่ื งมือเรยี บร้อย เกบ็ อปุ กรณ์เครือ่ งมือเข้าท่ีเรียบร้อย โต๊ะปฏิบัตกิ ารสะอาดเรียบรอ้ ย 1.2 การสังเกตผลการทดลอง เป็นการสังเกตรวมทั้งการใช้วัสดุอุปกรณ์การทดลอง เคร่อื งมอื ต่าง ๆ และผลการทดลอง ขณะทนี่ กั เรียนเก็บข้อมูลและบันทึกผลการทดลอง 1.3 การแก้ปัญหา เปน็ การประเมินความสารถในการแกป้ ัญหาในภาคปฏิบัตกิ ารแก้ไขหรือ การปรบั ปรุงวธิ ีการหรือปญั หาตา่ ง ๆ ท่ีพบไดเ้ หมาะสม 2.การตรวจจากรายงานผลปฏบิ ตั ิ เป็นการวดั พฤตกิ รรมดา้ นการปฏบิ ัติอีกทางหนงึ่ อาจทำได้ โดยการตรวจรายงานผลการทดลอง ซึ่งรายงานผลการปฏิบัติการนั้นสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของผู้ ปฏิบัติการหลายด้าน เช่น การสังเกตและการจดบันทึกผลการทดลอง การใช้ภาษาเพื่อสื่อความหมาย การจัด กระทำขอ้ มลู การแปลความหมายขอ้ มูลและการสรุปความถกู ต้องของผลการทดลอง เป็นต้น 3. การสอบปฏิบัติ การวัดทักษะปฏิบัติอีกแบบหนึ่งอาจใช้วิธีการจัดให้มีการสอบปฏิบัติ ใน การสอบปฏิบัติครูอาจเลือกกิจกรรมและการทดลองที่นักเรียนไม่เคยทำมาก่อน เพื่อเน้นการแก้ปัญหาทดสอบว่า นักเรียนจะสามารถออกแบบการทดลอง ดำเนนิ การทดลอง และไดผ้ ลการทดลองถูกตอ้ งเพยี งไร ไพศาล หวังพานิช (2546) อธิบายเกี่ยวกับการวัดผลทักษะปฏิบัติหรือความสามารถในการ ปฏิบัติของนักเรียนสรุปได้ว่า เป็นการวัดที่ให้ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมตรงออกมาด้วยการกระทำโดยถือว่าการ ปฏิบัติเป็นความสามารถในการผสมผสานหลกั การวิธกี ารต่าง ๆ ที่ไดร้ บั การฝึกฝนมาให้ปรากฏออกมาเปน็ ทกั ษะ จากท่ีกล่าวมาขา้ งต้นสรุปได้วา่ การวัดและการประเมินผลทกั ษะปฏิบัติในวิชาวทิ ยาศาสตร์ คือ การ วัดผลพฤติกรรมด้านการปฏิบัติการทดลอง ซึ่งครูผู้ทำการวัดผลนั้นสามารถออกแบบการประเมินได้ตามความ เหมาะสมของงาน แตค่ วรให้อย่ใู นขอบเขตของงาน 2.2.4 วิธกี ารประเมนิ ผลทกั ษะภาคปฏิบตั ใิ นวิชาวิทยาศาสตร์ มีนักการศึกษาหลายท่านและหน่วยงานวิทยาศาสตร์กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการวัด ประเมินผลเกี่ยวกับทักษะปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประเมินผลความรู้ของนักเรียนท่ี เกดิ จากการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนวชิ าวิทยาศาสตร์ ดังนี้ สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2555) ได้ระบุถึงความสำคัญของการ ประเมินผลทักษะภาคปฏิบัติสรุปได้ว่า การเรียนการสอนวิทยาสาสตร์จะมีทักษะภาคปฏิบัติสอดแทรกอยู่ทุก อิริยาบถ ดังนั้นการประเมินผลจะสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่เรียนและผลการเรียนรู้อันได้แก่ ความ รู้ วิธีการ ทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะภาคปฏิบัติ บรรลุตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ในหลักสูตรหรือไม่ หรือมี ทักษะภาคปฏิบัติใดบ้างท่นี กั เรยี นยังขาดไป ประวิตร ชูศิลป์ (2541) ได้กล่าวถึง วิธีการประเมินผลด้านทักษะภาคปฏิบัติ สรุปได้ว่า การ ประเมนิ ทกั ษะภาคปฏิบัติระทำไดโ้ ดยการใชแ้ บบทดสอบ หรือกาสอบข้อเขียนเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะมีทักษะ

หลายอย่างที่ไม่สามารถวัดได้โดยวิธีเขียนตอบ เช่น ทักษะในการหยิบจับและใช้เครื่องมือ จึงต้องประเมินผลจาก การสังเกตจากการการทำจริงดว้ ย จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า การประเมินผลทักษะภาคปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์ คือ การประเมินผลความรู้จากทักษะภาคปฏิบัติทางวิชาวิทยาศาสตร์ โดยการใช้แบบทดสอบการสอบข้อเขียน การ สอบภาคปฏบิ ัติ โดยการปฏิบัตจิ ริง เพื่อใช้เป็นผลสะทอ้ นให้ทราบวา่ ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถจากเร่ืองท่ีเรยี น ไปแลว้ มากนอ้ ยเพยี งใด 2.2.5 เครือ่ งมือในการวัดผลทกั ษะภาคปฏบิ ัตใิ นวชิ าวิทยาศาสตร์ นักการศกึ ษาหลายท่านและหนว่ ยงานวิทยาศาสตรไ์ ดเ้ สนอถงึ เครื่องมือทีใ่ ชใ้ นการวัดผลทกั ษะ ภาคปฏิบัตใิ นวชิ าวิทยาศาสตรว์ า่ สามรถแบ่งออกได้หลายแบบ ซึ่งเคร่ืองมอื ทใี่ ชว้ ัดผลทักษะภาคปฏบิ ตั ใิ นวิชา วิทยาศาสตร์แตล่ ะแบบจะมีลกั ษณะท่ีแตกตา่ งกนั ไปตามความเหมาะสมของกระบวนการวัดผลทกั ประเมินผล ผวู้ จิ ัยสามารถสรปุ ได้ดงั น้ี สถาบันสง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2546) นำเสนอเครื่องมอื และวิธกี ารสร้าง เครือ่ งมือในการวดั ผลทกั ษะภาคปฏิบัติ สรุปไดว้ า่ เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวดั ผลทักษะภาคปฏิบัติ แบ่งได้ 2 ประเภท 1. แบบทดสอบ ได้แก่ แบบทดสอบประเภทต่าง ๆ ทถี่ ามในเรื่องการเลอื กใช้เคร่ืองมือ การใช้ เคร่อื งมอื ท่ีถกู ต้องหรือเปน็ การกำหนดสถานการณ์ทดลอง กำหนดเคร่ืองมือต่าง ๆแลว้ ใหน้ กั เรยี นเลอื กใชเ้ ครื่องมือ เหลา่ นน้ั ถ้าเลอื กถกู นักเรยี นมที กั ษะในการเลือกใช้เคร่ืองมือหรือแบบทดสอบท่ีถามถงึ ความรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกับ ทกั ษะการใชเ้ ครือ่ งมือ 2. แบบสงั เกตพฤติกรรม โดยใช้มาตรฐานส่วนประเมินค่าและแบบสำรวจรายการ ซง่ึ ใช้ในการ สงั เกตพฤตกิ รรม ขณะนักเรยี นปฏิบัติการทดลอง แนวทางในสร้างแบบสังเกตพฤติกรรมมีดงั น้ี 2.1 พิจารณาเนื้อหาว่าแตล่ ะการทดลองมีทกั ษะอะไรบา้ ง 2.2 จัดทำตารางซ่งึ ประกอบดว้ ยทักษะต่าง ๆ ในแต่ละการทดลอง รวมท้งั รายชื่อนักเรียนท่ี ตอ้ งประเมนิ ผล ตารางสงั เกตพฤติกรรมประกอบด้วย ช่อื การทดลองและลักษณะตา่ ง ๆ ท่ตี อ้ งการวดั 2.3 ประเมนิ โดยการสงั เกตความสามารถในการปฏบิ ัตขิ องนักเรยี น สวุ ฒั ก์ นยิ มค้า (2531) ได้กลา่ วถงึ เคร่ืองมือในการวดั ผลทกั ษะภาคปฏบิ ตั ิ สรุปไดว้ า่ เคร่ืองมือ ในการวัดผลทกั ษะภาคปฏิบัติสำหรบั วทิ ยาศาสตร์ มี 2 อย่างได้แก่ ขอ้ สอบใหป้ ฏบิ ัติการ คอื ให้นักเรียนปฏิบัตกิ าร อยา่ งใดอย่างหนงึ่ หรือหลายๆอย่าง เช่น - ให้ทำการทดลองเรื่องใดเรื่องหนึง่ - ให้สาธิตติดตั้งเครือ่ งมือให้ดู - ให้สาธิตการประกอบเคร่ืองมือหรือวงจรใหด้ ู - ให้สาธติ การตอนกงิ่ ไม้หรืออย่างอ่ืนใหด้ ู - ใหท้ ดสอบสารเคมี - ใหห้ าจดุ บกพร่องของระบบอนั หนึ่ง เช่น ระบบไฟฟา้ เปน็ ตน้

แบบสงั เกตระหวา่ งปฏบิ ัติการ แบบสงั เกตนีจ้ ะชว่ ยให้ครทู ราบว่าขณะที่นักเรียนทำการปฏิบัติการทดลอง เชน่ การใชเ้ ครือ่ งอปุ กรณ์การทดลอง การวัด นักเรยี นมที ักษะภาคปฏิบัตมิ ากน้อยเพยี งใด ซึง่ จะรูไ้ ดจ้ ากการสังเกต พฤติกรรมของนักเรียนแตล่ ะคน จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลทักษะภาคปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์มีหลาย ชนิด ผู้ทำการวัดและการประเมินผลอาจเลือกใช้เครื่องมือที่เป็นแบบทดสอบวัดความรู้ความคิด แบบทดสอบวัด ความรู้ความเข้าใจในการปฏิบัติ แบบทดสอบวัดการแก้ปัญหาหรือแบบสังเกตพฤติกรรมได้ตามความเหมาะสม ของแตล่ ะทักษะปฏบิ ัติการ ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้เลือกเครื่องมือวัดวัดผลทักษะปฏิบัติในวิชาวิทยาศาสตร์จากแบบสังเกต พฤติกรรมของนักเรียนและสร้างแบบวัดผลทักษะภาคปฏบิ ตั ิในวิชาวิทยาศาสตร์ โดยแบบวดั จะมลี ักษณะเป็นแบบ ปรนัย 4 ตัวเลือก ที่เน้นวธิ ีการใช้อปุ กรณ์การทดลองทางวิทยาศาสตร์อยา่ งถูกตอ้ ง การระมัดระวัง การเก็บรักษา เครื่องมือและอุปกรณ์การอย่างถูกต้องและปลอดภัย ตามสถาบันส่งเสริมการสนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและ นกั การศึกษาอืน่ ๆ จำนวน 6 ทักษะ 2.4 อปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ ประเสริฐ ศรีไพโรจน์ (2538) กล่าวว่า อุปกรณว์ ิทยาศาสตร์ในแตล่ ะอยา่ งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จึงทำ ให้มีวิธีการใช้ไม่เหมือนกันเพื่อเพิ่มความรู้เสริมปัญญาด้วยการทดลอง สังเกต และรู้จักเลือกใช้สื่ออุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมกับการทำกิจกรรมในแต่ละครั้ง จึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจเบื้องต้น เกี่ยวกับอปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตรท์ ใ่ี ชใ้ นห้องทดลอง ดงั ต่อไปน้ี 1. บีกเกอร์ (Beaker) มีหลายขนาดและมีความจุต่างกัน โดยที่ข้างบีกเกอร์จะมีตัวเลขระบุความจุของ บีกเกอร์ ทำให้ผู้ใช้สามารถทราบปริมาตรของของเหลวที่บรรจุอยู่ได้อย่างคร่าว ๆ และบีกเกอร์มีความจุตั้งแต่ 5 มิลลิเมตร จนถึงหลายๆ ลิตร อีกทั้งเป็นแบบสูง แบบเตี้ย และแบบรูปทรงกรวย (conical beaker) บีกเกอร์จะมี ปากงอเหมือนปากนกซึ่งเรียกว่า spout ทำให้การเทของเหลวออกได้โดยสะดวก spout ทำให้สะดวกในการวาง แท่งแก้วซึ่งยื่นออกมาจากฝาที่ปิดบีกเกอร์ และ spout ยังเป็นทางออกของไอน้ำหรือแก๊สเมื่อทำการระเหย ของเหลวในบกี เกอร์ท่ีปิดดว้ ยกระจกนาฬกิ า (watch grass) การเลอื กขนาดของบีกเกอรเ์ พ่ือใส่ของเหลวน้ันข้ึนอยู่ กับปริมาณของเหลวท่จี ะใส่ โดยปกติใหร้ ะดับของเหลวอยตู่ ำ่ กวา่ ปากบกี เกอร์ประมาณ 1 – 1.5 น้ิว

ภาพที่ 2.2 รูปแบบบีกเกอร์ขานดต่าง ๆ ทม่ี า : http://p4.s1sf.com/gu/0/ui/1/8399/264952__04072012120421.jpg เขา้ ถงึ 10 กรกฎาคม 2562 ประโยชน์ของบีกเกอร์ 1. ใชส้ ำหรบั ตม้ สารละลายทีม่ ีปริมาณมาก ๆ 2. ใชส้ ำหรบั เตรียมสารละลายต่าง ๆ 3. ใช้สำหรบั ตกตะกอนและใช้ระเหยของเหลวที่มฤี ทธ์กิ รดน้อย 2. กระบอกตวง (Graduated cylinder)มีขนาดต่าง ๆ กัน ต้ังแต่ 5 มลิ ลลิ ติ รจนถึงหลายๆ ลิตร ใช้เป็น อปุ กรณ์สำหรบั วัดปริมาตรของของเหลวที่มีอุณหภูมิไม่สูงกวา่ อุณหภมู ิของห้องปฏบิ ัติการ กระบอกตวงไม่สามารถ ใช้วัดของเหลวที่มีอุณหภูมิสูงได้เนื่องจากอาจจะทำให้กระบอกตวงแตกได้ กระบอกตวงจะบอกปริมาตรของ ของเหลวอย่างคร่าวๆ ถ้าต้องการวัดปริมาตรที่แน่นอนต้องใช้อุปกรณ์วัดปริมาตรอื่น ๆ เช่น ปิเปตต์หรือบิวเรตต์ โดยปกตคิ วามผิดพลาดของกระบอกตวงเมื่อมปี ริมาตรสูงสุดจะมปี ระมาณ 1 เปอร์เซน็ ต์ กระบอกตวงขนาดเล็กใช้ วัดปรมิ าตรไดใ้ กลเ้ คียงความจริงมากกวา่ กระบอกตวงขนาดเลก็ วธิ ีอา่ นปรมิ าตรของของเหลวในกระบอกตวงน้ันสามารถทำไดโ้ ดยการยกกระบอกตวงให้ตง้ั ตรงและให้ ท้องนำ้ อยู่ในระดับสายตา แล้วอ่านคา่ ปรมิ าตร ณ จุดต่ำสดุ ของทอ้ งน้ำ

ภาพที่ 2.3 กระบอกตวง ทีม่ า : https://garnjanaporn.files.wordpress.com/2013/02/204521_0_ Cylinder_glass-1.jpg เข้าถงึ 10 กรกฎาคม 2562 3. แท่งแก้ว (Grass rod) ใชส้ ำหรับคนสารละลายใหผ้ สมกันเปน็ เนื้อเดยี วกนั อยา่ งสม่ำเสมอ หรอื ใช้เมื่อ จะเทสารละลายจากภาชนะหนึ่งลงในภาชนะอีกชนิดหน่ึง โดยจะเทสารละลายให้ไหลไปตามแทง่ แก้ว แท่งแก้วที่มี ยางสวมอยู่ปลายข้างหนึ่ง เรียกว่า Policeman จะใช้สำหรับปัดตะกอนที่เกาะอยู่ข้างๆ ภาชนะและถูภาชนะให้ ปราศจากสารต่าง ๆ ทเี่ กาะอยขู่ ้างๆ โดยยางสวมนั้นตอ้ งแนน่ ภาพท่ี 2.4 แท่งแกว้ ที่มา : http://www.thaishop.in.th/image.php?id=58973569 เขา้ ถึง 10 กรกฎาคม 2562 4. ช้อนตักสาร (Spatula) ใช้ในการทดลอง เปน็ อปุ กรณท์ ่ใี ชต้ วงสารท่ีเปน็ ของแขง็ โดยประมาณเมอ่ื ตัก สาร แตล่ ะคร้งั ต้องปาดปากช้อนเพยี งคร้ังเดยี ว โดยไม่กดสารในชอ้ นกอ่ นปาด

วธิ กี ารใช้ ค่อยๆ เปดิ ขวดสารแล้ว หงายจกุ วางไว้ ใช้ชอ้ นตักสาร แลว้ ใชน้ ิว้ หรือกา้ นดนิ สอเคาะก้าน ชอ้ นเบาๆ เพอ่ื เทสารในช้อนออกตามปริมาณทตี่ ้องการ ถ้าเป็นชอ้ นที่มเี บอร์สำหรับตวงสารปรมิ าณตา่ งกัน ให้ตัก สารก่อนแล้วจึงใช้ด้ามชอ้ นอีกด้ามหนึ่งปาดผิวใหเ้ รียบ โดยไม่ต้องกดให้แนน่ จะได้สาร 1 ช้อนในปรมิ าณตามเบอร์ นั้น ๆ การเกบ็ รักษา เมื่อใช้ช้อนตักสารแล้วต้องทำความสะอาดช้อนให้แหง้ กอ่ นที่จะใช้ชอ้ นตกั สารชนิดอื่น ห้ามใช้ชอ้ นตักสารในขณะท่สี ารยงั ร้อน ภาพท่ี 2.5 ชอ้ นตกั สาร ท่มี า :http://glasswarechemical.com/products/product.php?id_product=70 เข้าถึง 10 กรกฎาคม 2562 5. ตะเกียงแอลกอฮอล์ (Alcohol burner) บรรจดุ ว้ ยแอลกอฮอล์บริสุทธ์ิ จะมีควันหรอื เขม่าในขณะที่ จุดไฟน้อยมาก หากแอลกอฮอล์ไมบ่ รสิ ทุ ธจ์ิ ะใหเ้ ขมา่ มาก ทำใหต้ ะแกรงลวด และวัสดุที่ใหค้ วามรอ้ นสกปรก วธิ กี ารใช้ 1.ก่อนใช้ต้องตรวจดูสภาพไส้ตะเกียงและที่ยึดว่ามีสภาพพร้อมใช้งาน ไม่แตกร้าว ความยาว ไส้ ตะเกียงเพียงพอได้ เช่น ส่วนยึดไส้ตะเกียง ไม่ร้าว หรือไม่แตก และปริมาณแอลกอฮอล์ในตะเกียงมีมากน้อย เพียงใด 2.เติมแอลกอฮอล์ประมาณครึ่งหน่ึงของตะเกียงและอย่าให้หกเลอะขอบตะเกียง เช็ดให้แห้ง โดย ใช้กรวยและเตมิ ด้วยความระมัดระวงั อยา่ ให้หก เพราะเมอ่ื จุดตะเกียงแลว้ อาจทำใหไ้ ฟไหม้ลกุ ลามได้ 3.ปรบั ไส้ตะเกียงเพื่อให้ได้ขนาดเปลวไฟตามทต่ี ้องการ 4.จุดตะเกียงโดยใช้ไม้ขีดไฟ อย่าใช้ตะเกียงไปต่อกับตะเกียงดวงอื่น เพราะอาจทำให้แอลกอฮอล์ ในตะเกียงติดไฟ 5.เมื่อใช้ตะเกียงแอลกอฮอล์เสร็จแล้วต้องดับตะเกียงทันที โดยใช้ฝาครอบปิด ห้ามใช้ปากเป่าให้ ดบั การครอบต้องครอบใหส้ นิททุกคร้งั เพื่อป้องกันมใิ หแ้ อลกอฮอล์ระเหย

6.ควรมีกระป๋องทรายไว้ท้ิงก้านไม้ขดี ทีจ่ ุดไฟแลว้ การเกบ็ รักษา ทำความสะอาดหลงั ใช้งาน ครอบฝาตะเกียงแล้วเก็บเข้าตู้ ภาพที่ 2.24 ตะเกยี งแอลกอฮอล์ ท่มี า :http://www.thaishop.in.th/image.php?id=81242477 เข้าถึง 10 กรกฎาคม 2562 2.4 งานวจิ ยั ทเ่ี กี่ยวขอ้ ง 2.4.1 งานวิจัยในประเทศ จรินทร์ บัวขม (2549)ได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การใช้อุปกรณ์เครื่องมือ ทางวทิ ยาศาสตร์ของนกั ศึกษาระดบั ชั้น ปวส.1 ในรายวชิ าวิทยาศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่านักศึกษาระดบั ชัน้ ปวส.1 ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ 1 มีการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การใช้อุปกรณ์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ โดยใช้กระบวนการวิจัย ดังนี้ 1) ผลการปฏิบัติงาน การใช้เครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ของนักศึกษาระดับชั้น ปวส.1สูงขึ้นมากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 ที่ตั้งไว้ โดยมีผลเฉลี่ยของการปฏิบัติงานการใช้หม้อนึ่งความดันไอ ,ตู้อบ ความร้อนแห้ง, Hot Plate Stirrer และเครื่องใช้ไฟฟ้าทศนิยม 2 ตำแหน่ง คิดเป็นร้อยละ 80.50,80.25 , 82.25 และ 85.50 2) ผลการประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักศึกษา ปวส.1 พบว่านักศึกษามีทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตรโ์ ดยรวมอยใู่ นระดับดี โดยมคี า่ เฉลยี่ 2.62 จิรฐา เทือกเถา (2554) ได้ทำการพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการเคมีโดยใช้ แบบฝึกปฏิบัติ เพื่อเป็นทักษะขั้นพื้นฐานการเรียน เรื่อง ปริมาณสัมพันธ์ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความรู้ ความ เข้าใจ พัฒนาทักษะภาคปฏิบัติการใช้อุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการเคมี และเปรียบเทียบความสามารถในการใช้ อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการเคมีก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะภาคปฏิบัติ ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 4/2 โรงเรียนท่ามะกาวทิ ยาคม ในภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ ในการวิจัยประกอบด้วย แบบเสริมทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ชุดแบบฝึกหัดทดสอบความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ข้อมูลที่ได้จากการวิจัย วิเคราะห์โดยหาค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่าจากการใช้ นวัตกรรม นักเรียนสามารถพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องเพิ่มมากขึ้น ซึ่งก่อนการใช้

นวัตกรรมมีนักเรียนที่สามารถใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้องคิดเป็นร้อยละ 35 หลังการใช้นวัตกรรมมี นักเรียนที่สามารถใช้อุปกรณว์ ิทยาศาสตร์ได้อยา่ งถูกต้องคดิ เปน็ ร้อยละ 95 ทำให้สามารถจดั เตรียมสารและเรียนรู้ ในหน่วยการเรียนรู้เรื่องปริมาณสัมพันธ์ได้ถูกต้องและรวดเร็ว ผลการวิจัยพบว่า 1)การสร้างความรู้ความเข้าใจ เกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ในก้องปฏิบัติการเคมี 2)การพัฒนาทักษะภาคปฏิบัติจนสามารถเตรียมสารและทำการ ทดลองได้อย่างถูกต้อง 3)การเปรียบเทียบความสามารถในการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ในห้องปฏิบัติการเคมีของ นกั เรยี นก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทกั ษะภาคปฏิบัติ ปนัสยา สาเหาะ (2555) ได้ทำการฝึกปฏิบัติเพื่อพัฒนาทักษะการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนวัดดงมูลเหล็ก สำนักงานเขตบางกอก น้อย กรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ไขปัญหาการใช้อุปกรณ์พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ นกั เรยี นไมถ่ กู ต้อง ในการพัฒนาทกั ษะการใช้อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์ พบวา่ พบว่า ในการสอบครง้ั ท่ี 1 ซง่ึ นักเรียนยัง ไม่มีการอบรมการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตรน์ ักเรียนจำนวน 9 คน ยังใช้อุปกรณว์ ิทยาศาสตร์ได้ไมถ่ ูกต้อง ต่อมาเม่ือ ผ่านการอบรมการใช้อุปกรณ์วิทยาศาสตร์แล้วในการสอบครั้งที่ 2 พบว่านักเรียนจำนวน 10 คน สามารถใช้ อปุ กรณว์ ิทยาศาสตร์อยู่ในระดบั พอใช้ และในการสอบคร้ังท่ี 3 พบว่า นกั เรียนจำนวน 10 คน สามารถใช้อุปกรณ์ วิทยาศาสตร์ได้ถูกต้อง ดังนั้นจากการวิจัย จึงสรุปได้ว่านักเรียนมีทักษะการใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการ วทิ ยาศาสตร์ในระดับทถ่ี กู ตอ้ งสูงขน้ึ เมอ่ื ผา่ นการฝึกอบรมการใช้อปุ กรณ์วทิ ยาศาสตร์

บทที่ 3 วิธดี ำเนินการวิจัย ในการวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเรื่องการวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ผู้วิจัยได้ดำเนินการ ตามขั้นตอนดังนี้ 1. การกำหนดประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง 3. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั 4. การสร้างเคร่อื งมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย 5. การเก็บรวบรวมข้อมลู 6. การจัดกระทำและวเิ คราะห์ขอ้ มูล 1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอยา่ งทศี่ กึ ษา ประชากรที่ใชใ้ นการวจิ ยั ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ของโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 33 จังหวดั ลพบรุ ี ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศกึ ษา 2561 จำนวน 1 หอ้ งเรยี น จำนวนนกั เรยี นท้งั หมด 30 คน กลมุ่ ตัวอยา่ ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ของโรงเรียนราชประชานุ เคราะห์ 33 จงั หวดั ลพบุรี ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2561 ซึ่งได้หอ้ งเรียน จากทัง้ หมด 1 ห้องเรียน ไดข้ นาดกลุ่ม ตัวอย่าง 30 คน 2. เคร่อื งมือทใ่ี ชใ้ นการวิจยั เครือ่ งมือทใี่ ชใ้ นการวิจยั ประกอบดว้ ย 1. แบบประเมินความรพู้ ืน้ ฐานการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ แบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ 2. แบบประเมินทกั ษะการใช้อุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ ในห้องปฏบิ ตั ิการวทิ ยาศาสตร์ ข้ันตอนในการสรา้ งเครื่องมือ 1. ข้ันตอนการสรา้ งแบบวัดความรพู้ ้ืนฐานการใชอ้ ุปกรณท์ างวิทยาศาสตร์ การสร้างแบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ดำเนินการสร้างตาม ขั้นตอน ดงั นี้ 1.1 ศึกษานยิ าม ทฤษฎี เอกสารและงานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้องกบั การสร้างแบบทดสอบวดั ทักษะการ ใชอ้ ุปกรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ 1.2 กำหนดจุดมุง่ หมายในการสรา้ งแบบทดสอบวดั ทักษะการใชอ้ ปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์ 1.3 สร้างแบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ แบบปรนัยชนิด เลอื กตอบ 4 ตวั เลอื ก ให้ครอบคลมุ ทงั้ 6 หัวข้อ จำนวน 20 ขอ้

1.4 นำแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นใหผ้ ทู้ รงคุณวุฒิพิจารณาความเทย่ี งตรงเชงิ เนื้อหาโดยใช้ดชั นีความสอดคล้อง ( Index of consistency : IOC ) ระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์ โดยการ พิจารณาของผทู้ รงคณุ วุฒิจำนวน 3 ท่านโดยใชส้ ูตร ( ลว้ น สายยศ และองั คณา สายยศ, 2539) IOC =  R N เมอ่ื IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์  R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เหน็ ของผู้ทรงคุณวฒุ ิหรอื ผ้เู ช่ียวชาญ N แทน จำนวนผทู้ รงคุณวุฒิหรอื ผูเ้ ชี่ยวชาญ การให้คะแนนผูเ้ ชีย่ วชาญหรอื ผทู้ รงคุณวุฒิแตล่ ะคนใหค้ ะแนนตามเกณฑ์ ดังนี้ ใหค้ ะแนน +1 เม่ือผู้เชีย่ วชาญหรอื ผู้ทรงคณุ วฒุ แิ นใ่ จว่า ข้อสอบนน้ั สอดคล้องกบั จดุ ประสงค์ ให้คะแนน 0 เมื่อผ้เู ช่ียวชาญหรือผ้ทู รงคณุ วฒุ ิไม่แน่ใจว่า ข้อสอบนั้นสอดคล้องกับจุดประสงค์ ให้คะแนน -1 เม่อื ผ้เู ชีย่ วชาญหรอื ผู้ทรงคุณวฒุ ิแน่ใจว่า ข้อสอบนน้ั ไม่สอดคล้องกับ 1.5 เลือกแบบทดสอบท่มี ดี ชั นีความสอดคล้องระหว่างขอ้ สอบกับจดุ ประสงค์ 0.5 ขึ้นไปไว้ ถ้าไม่พอให้นาข้อสอบที่มีดัชนีความสอดคล้องต่ำกว่า 0.5 มาปรับปรุงแก้ไข และให้ผู้เชี่ยวชาญหรือ ผู้ทรงคุณวฒุ ิตรวจสอบใหม่ เพอ่ื ใหไ้ ดข้ ้อสอบตามทก่ี ำหนด จำนวน 10 ขอ้ 1.6 นำแบบทดสอบทม่ี ดี ัชนคี วามสอดคลอ้ งตง้ั แต่ 0.50 ขนึ้ ไป ไปทดสอบหาคา่ ความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนกกบั นกั เรยี นท่ีไม่ใช่กล่มุ ตัวอย่าง จำนวน 10 คน 1.7 นำแบบทดสอบท่ีทดลองใช้มาตรวจให้คะแนน 1.8 นำผลการทดลองมาวเิ คราะหเ์ พอื่ หาความยากงา่ ยของข้อสอบและหาค่าอำนาจ จำแนกโดยใช้สตู รดงั นี้ (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ, 2538) 1) วเิ คราะห์ความยากง่าย P= R N เมื่อ P แทน คา่ ความยากง่ายของข้อสอบแตล่ ะข้อ R แทน จำนวนผตู้ อบถกู ในแตล่ ะขอ้ N แทน จำนวนคนท่ีทำขอ้ สอบข้อนั้นทง้ั หมด 2) วิเคราะห์หาค่าอำนาจจำแนก r = Ru − Re N 2 เมื่อ r แทน อำนาจจำแนกของข้อสอบรายข้อ Ru แทน จำนวนผูท้ ี่ตอบถกู ในข้อน้ันในกลมุ่ สงู Re แทน จำนวนผทู้ ี่ตอบถูกในข้อนัน้ ในกลมุ่ ต่ำ N แทน จำนวนนกั เรียนทัง้ หมด เลือกข้อสอบที่มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20 – 0.80 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20 – 1.00 ไว้ จำนวน 10 ข้อ ให้ครอบคลุมจดุ ประสงค์

1.8 นำแบบทดสอบทเ่ี ลือกไว้ 10 ขอ้ ใชก้ ับกล่มุ ตัวอย่าง ซึ่งเปน็ นกั เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 33 จังหวัดลพบุรี ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2563 ท่ีเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ก่อน และหลงั ทไ่ี ดร้ ับการฝกึ ทักษะการใช้อุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ 2.แบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ ในหอ้ งปฏบิ ัติการวทิ ยาศาสตร์ ในการสรา้ งแบบประเมนิ ทักษะการใช้อุปกรณท์ างวทิ ยาศาสตร์ไดด้ ำเนินการสร้างขั้นตอน ดังน้ี 2.1 ศกึ ษารายละเอยี ดเก่ยี วกับความหมาย องคป์ ระกอบของทกั ษะภาคปฏิบตั ิ จากหนังสือ เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความเข้าใจเบื้องต้นและนำมากรอบในการสร้างแบบวัด แบบประเมนิ ทักษะการใช้อปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ 2.2 ศึกษาขอบเขตและระดบั ของทักษะปฏิบัติทปี่ ฏิบัติท่ีเหมาะสมกบั วยั และความสามารถ ทางสตปิ ญั ญาของนักเรียน 2.3 กำหนดประเดน็ ในการสรา้ งแบบประเมนิ ทกั ษะการใช้อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ของ นักเรียนโดยยึดตามแนวสถาบันการส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับนิยามและศัพท์ เฉพาะท่ีกำหนด 2.4 กำหนดเกณฑก์ ารใหค้ ะแนน คอื แบบประเมินค่า แบง่ เปน็ 4 ระดบั ใหม้ ี ความครอบคลมุ ตามโครงสร้างของนยิ ามปฏิบตั ิการ โดยแบ่งไดด้ ังน้ี เกณฑ์การให้คะแนนจากการปฏบิ ตั ิ คอื • เกณฑ์การให้คะแนน 4 คะแนน เมอ่ื นกั เรียนปฏิบตั ิได้ถูกต้อง • เกณฑ์การให้คะแนน 3 คะแนน เมื่อนักเรียนปฏบิ ัติได้ค่อนข้างถูกต้อง • เกณฑ์การให้คะแนน 2 คะแนน เมื่อนักเรียนปฏบิ ตั ิได้ค่อนข้างถูกต้อง โดยมคี รูคอ่ ยช้แี นะเปน็ บางครัง้ • เกณฑ์การให้คะแนน 1 คะแนน เม่อื นกั เรยี นปฏบิ ตั ิได้ตามทักษะ โดยมีครูค่อยชี้แนะทุก ขนั้ ตอน เกณฑ์การประเมนิ ในการประเมนิ ทกั ษะภาคปฏบิ ตั ิทางวิทยาศาสตร์ • คะแนน 18-20 หมายถึง ดีมาก • คะแนน 14-17 หมายถึง ดี • คะแนน 10-13 หมายถึง พอใช้ • คะแนน 0-9 หมายถงึ ปรับปรุง วิธีการหาคุณภาพของแบบประเมินทกั ษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ 1.นำแบบทดสอบแบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ให้ผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณา ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา ความเหมาะสมของเวลาที่ใช้ ระยะเวลาโดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (Index of consistency: IOC) ระหว่างแบบทดสอบกบั จดุ ประสงค์ โดยการพิจารณาของผ้ทู รงคุณวุฒจิ ำนวน 3 ท่าน โดยใชส้ ูตร (ล้วน สายยศ และองั คณา สายยศ, 2539) IOC =  R N เมื่อ IOC แทน ดัชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์

 R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวฒุ ิหรือผู้เชย่ี วชาญ N แทน จำนวนผ้ทู รงคุณวุฒิหรือผู้เชีย่ วชาญ การใหค้ ะแนนผ้เู ชี่ยวชาญหรอื ผ้ทู รงคุณวฒุ แิ ตล่ ะคนใหค้ ะแนนตามเกณฑ์ ดงั นี้ ให้คะแนน +1 เมื่อผ้เู ชี่ยวชาญหรือผูท้ รงคณุ วฒุ ิแน่ใจว่า ข้อสอบนน้ั สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์ ใหค้ ะแนน 0 เม่ือผู้เชี่ยวชาญหรอื ผู้ทรงคณุ วฒุ ิไม่แน่ใจวา่ ขอ้ สอบนั้นสอดคลอ้ งกบั จุดประสงค์ ใหค้ ะแนน -1 เมอื่ ผเู้ ชีย่ วชาญหรือผู้ทรงคณุ วฒุ แิ น่ใจว่า ข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับ 2. เลือกแบบทดสอบทมี่ ีดัชนคี วามสอดคลอ้ งระหว่างข้อสอบกับจดุ ประสงค์ 0.5 ขึ้นไปไว้ ถ้าไม่พอให้นำแบบประเมินที่มีดัชนีความสอดคล้องต่ำกวา่ 0.5 มาปรับปรุงแก้ไข และให้ผู้เชี่ยวชาญหรอื ผทู้ รงคุณวุฒติ รวจสอบใหม่ 3.นำแบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ที่ปรับปรุงแล้ว ไปทดลองใช้กับ นกั เรยี นทไ่ี ม่ใช้กลมุ่ ตวั อยา่ งจำนวน 10 คน 4.ปรับปรุงแก้ไขแบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และนำไปทดลองใช้กับ กลมุ่ ตวั อย่างต่อไป 3. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล ในการวจิ ัยครัง้ นี้ ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมลู ตามลำดบั ดังน้ี 1. นักเรียนช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 1/1 จำนวน 1 ห้องเรยี น ได้ขนาดกลุ่มตวั อยา่ ง 30 คน 2. อธิบายถึงจุดประสงค์ และ จุดมุ่งหมายในการทดลองให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่าง เข้าใจถึงวัตถุประสงค์ เพือ่ ให้การเรียนการสอนไดด้ ำเนนิ ไปตามปกติเหมือนท่เี คยปฏิบัติมา 3. ประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และแบบวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ทาง วิทยาศาสตร์ โดยใช้แบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และแบบวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ ทางวิทยาศาสตร์ ท่ผี วู้ ิจัยสรา้ งขึน้ บันทกึ ผลการทดลองไวใ้ ช้เปน็ คะแนนสอบก่อนเรยี นสำหรบั การวเิ คราะห์ข้อมลู 4. ดำเนนิ การสอนตามแผนการสอนทส่ี ร้างข้นึ โดยผู้วจิ ัยสอนเองท่ี 1 ห้อง 5. เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน ทำการทดสอบหลังเรียนทั้ง 1 ห้อง โดยใช้แบบประเมินทักษะการใช้ อปุ กรณ์ทางวิทยาศาสตร์และแบบทดสอบวัดความรู้พ้ืนฐานการใช้อปุ กรณ์ทางวทิ ยาศาสตร์ฉบบั เดิม 6. ตรวจหรือรวมคะแนนการวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ และรวมคะแนนประเมิน ทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ที่เป็นกลุ่มทดลอง นำคะแนนที่ได้มา วิเคราะห์โดยใช้สถติ ิ เพ่ือตรวจสอบสมมุติฐานทต่ี งั้ ไว้ 4. การวิเคราะหข์ ้อมูล ผู้วจิ ัยดำเนนิ การจัดกระทำและการวเิ คราะห์ข้อมูล ดงั น้ี 1.วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนจากแบบทดสอบวัดความรู้พื้นฐานการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ ก่อน และหลังเรยี น ของนักเรยี นช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 โดยใช้ t – test Dependent Sample or Correlated Sample (พวงรัตน์ ทวีรตั น์. 2543)

2.วิเคราะห์เปรียบเทียบคะแนนจากแบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลัง เรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้ t – test Dependent Sample or Correlated Sample (พวง รัตน์ ทวีรัตน์. 2543) 5. สถติ ทิ ีใ่ ชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล การเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการใช้แบบประเมินทักษะการใช้อุปกรณ์ทาง วิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประมวลผลทางด้านสถิติโดยใช้โปรแกรม คอมพวิ เตอรค์ ำนวณทางสถติ 1. สถิตพิ ื้นฐาน 1.1 คา่ เฉลี่ยเลขคณิต (Mean) โดยคำนวณจากสตู ร (ล้วน สายยศ ; และองั คณา สายยศ.2538) X = X ค่าเฉลีย่ ของคะแนน n ผลรวมของคะแนนทั้งหมด เมือ่ X แทน  X แทน n แทน จำนวนนักเรยี นทง้ั หมด 1.2 การหาค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน โดยคำนวณจากสตู ร (ล้วน สายยศ; และองั คณา สายยศ. 2538) S.D. = n X 2 − ( X )2 n(n −1) เมื่อ S.D. แทน คา่ เบย่ี งเบนมาตรฐาน  X แทน ผลรวมของคะแนนท้ังหมด  X 2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละตวั ยกกำลงั สอง n แทน จำนวนนกั เรียนกลมุ่ ตวั อย่าง 1.3 การหาคา่ รอ้ ยละ โดยคำนวณจากสตู ร (ลว้ น สายยศ; และอังคณา สายยศ. 2538) p = f  100 N เม่ือ P แทน ค่าร้อยละ f แทน ความถท่ี ต่ี ้องการแปลงให้เป็นคา่ รอ้ ยละ N แทน จำนวนความถ่ีท้ังหมด 2. สถติ ิทใ่ี ช้ในการหาคณุ ภาพของเคร่ืองมือ 2.1 หาคา่ ดัชนคี วามสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกบั พฤติกรรมที่ต้องการวัดของแบบทดสอบวัดผล สมั ฤทธ์ทิ างการเรยี นวิทยาศาสตร์ โดยใช้ดัชนีความสอดคล้อง (พวงรัตน์ ทวรี ัตน์. 2540) IOC =  R N

เม่ือ IOC แทน ดัชนีความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ สอบกับจุดประสงค์  R แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเหน็ ของผู้ทรงคณุ วุฒิหรือผเู้ ชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผทู้ รงคุณวุฒหิ รือผูเ้ ช่ยี วชาญ 2.2 หาค่าความยากง่าย (p) และค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน วทิ ยาศาสตร์ วิเคราะหข์ อ้ สอบเปน็ รายข้อ (Item Analysis) (ล้วน สายยศ; และ องั คณา สายยศ. 2538) 1) วิเคราะห์ความยากง่าย P= R N เมอื่ P แทน คา่ ความยากง่ายของข้อสอบแต่ละขอ้ R แทน จำนวนผตู้ อบถูกในแตล่ ะข้อ N แทน จำนวนคนทที่ ำขอ้ สอบขอ้ นั้นท้งั หมด 2) วเิ คราะหห์ าค่าอำนาจจำแนก r = Ru − Re N เมื่อ r 2 แทน อำนาจจำแนกของขอ้ สอบรายข้อ Ru แทน จำนวนผูท้ ่ีตอบถูกในข้อนั้นในกลุ่มสงู Re แทน จำนวนผทู้ ี่ตอบถกู ในข้อนั้นในกลมุ่ ต่ำ N แทน จำนวนนักเรียนท้ังหมด 3. สถติ ทิ ใ่ี ชท้ ดสอบสมมติฐาน การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวทิ ยาศาสตร์ และความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ก่อน และหลังใชช้ ดุ กจิ กรรม โดยใช้ t-test for Dependent Samples (พวงรัตน์ ทวรี ตั น์.2540) t =  D ;df = n −1 n D2 − ( D)2 n −1 เม่อื t แทน คา่ วกิ ฤตทใี่ ช้ในการพจิ ารณาการแจกแจงค่า t D แทน ความแตกต่างของคะแนนแตล่ ะคู่  D แทน ผลรวมของความแตกต่างระหวา่ งคะแนนการทดสอบ ก่อนและหลังใชบ้ ทบาทสมมติ  D2 แทน ผลรวมของความแตกตา่ งระหว่างคะแนนการ ทดสอบกอ่ นและหลงั ใช้บทบาทสมมติ n แทน จำนวนคู่ของคะแนนจากการทดสอบคร้งั แรกและครัง้ หลัง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook