Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เดินจิตถ่ายทอดธรรจากจิตสู่จิตฉบับแก้ไขปรับปรุง

เดินจิตถ่ายทอดธรรจากจิตสู่จิตฉบับแก้ไขปรับปรุง

Published by maeaeuy.poonsanga, 2021-01-30 07:50:27

Description: เดินจิตถ่ายทอดธรรจากจิตสู่จิตฉบับแก้ไขปรับปรุง

Search

Read the Text Version

เวลาพระพุ ทธองค์ทรงแสดงธรรม ก็จะมีกระแสธรรมของพระผู ้มีพระภาคเจ้า พุ ทธบริษัท ทัง� มนุษย์ และเทวดาทงั� หลายท�ไี ด้ฟังธรรม ได้รบั กระแสธรรม ...กจ็ ะได้รับการตืน� โพลง่ เข้าสคู่ วามบรสิ ุทธ�ิแห่ง แม้กระทัง� พระอุ ครสาวก หรือ พระสงฆส์ าวกต่างๆ ทท�ี า่ นมีบารมีธรรม เวลาท่านสอนธรรม ท่านก็จะมกี ระแสธรรมของท่านเหมอื นกนั เป�นการถา่ ยทอด จากใจ สู่ใจ อนั นีเ� ป�นแบบฉบบั ของพระพุ ทธศาสนา 1

สารบญั ทมี� า 5 7 ความสาํ คัญของการเดนิ จิตแตล่ ะช่วง 8 1. ช่วงเตรียมความพร้อม 12 ทาํ ไมต้องมีช่วงเตรียมความพร้อม? 17 • ทางออก 26 27 2. อุ ปสรรคในการเขา้ ถึงสภาวธรรม 29 • กระแสไมด่ ีปนเปื�อนร่างกาย 30 • กระแสไมด่ ีปนเปื�อนใจ • กระแสไมด่ ีปนเปื�อนพลังงานชีวิต 32 3. เรือ� งของการถา่ ยทอดกระแสธรรม 33 • ปฏิบตั ิเองข้างนอก VS เข้าโดมคุมการฝึก โดมคมุ การฝึ ก 3 ช่วง  ช่วงเตรียมความพรอ้ ม แกป้ ัญหาผู้ปฏิบตั ิใหเ้ ขา้ ถึงสภาวธรรมได้ 2

 การนําเข้าสูส่ ภาวธรรมต่างๆตามหลักสตปิ ัฐาน 4 35 • ฐานกาย 37 • ฐานเวทนา 39 • ฐานจติ 41 • ฐานธรรม 42  เข้าถงึ ความบริสทุ ธ�ิของธรรมชาติ 46 สะสมบารมธี รรมสกู่ ารหลุดพ้น 47 • สลดั คนื 49 • เข้าถงึ ความบรสิ ทุ ธ�ิของธรรมชาติ 51 • เพิม� ความละเอยี ด 55 • ช� าระดว้ ยพลงั งานบริสทุ ธ�ิ 56 • บูทส์สภาวะ 58 • บารมธี รรมเตม็ รอบ 62 • การช� าระตน 4 ระดับ 63 • คนื สู่อมตธรรม 65 • เหน็ ทงั� สองฝั�ง • ปฏบิ ตั ิถูกทางตรงสู่พระนพิ พาน 3

4

ท�ีมาของของการถา่ ยถอดกระแสธรรม เจริญพรท่านสาธุชนผู้สนใจใฝ่ธรรมทกุ ท่าน... ในระหวา่ งวนั หลายท่านก็อาจจะได้ปฏิบัติต่อเน�ืองสืบต่อกันมา หมนั� ทาํ ความรู้สกึ ตัวขึน� มาอยูเ่ สมอแม้ในขณะนัง� ขณะยนื ขณะเดิน ขณะเคล�ือนไหว ก็ทําความรู้สึกตัวขึ�นมาอยู่เสมอ สติก็จะมีกําลัง ขึ�น รูปแบบท�ีจะใช้ในการถ่ายทอดธรรมก็จะเป�นแบบฉบับของ พระพุ ทธศาสนา คือการถ่ายทอดธรรมจากใจสู่ใจ ไม่ว่าท่าน ทงั� หลายจะอยูท่ ี�ใด ก็สามารถเข้าถึงใจสู่ใจกันได้ ในสมัยพุ ทธกาลมีพระพุ ทธเจ้าเป�นประธาน เวลาพระพุ ทธ องค์แสดงธรรม พระองค์ก็ใช้ใจสู่ใจถ่ายทอดกระแสธรรม ผู้ฟังทัง� มนุษย์และเทวดา ภาคทิพย์ต่างๆท�ีมีบารมีถึงพร้อม ก็จะเกิดภาวะ ตื�นโพล่งหลุดออกคลายออกสามารถหลุดพ้นเป�นสมุ จเฉทปหานได้ เลย แต่สําหรับผู้ที�บารมียังไม่เต็มก็จะเกิดสภาวะต�ืนโพล่งออกมา เข้าถึงการหลุดพ้นได้แค่ชวั� คราว ได้มีโอกาสสะสมบารมีธรรมให้แก่ ตนเองอยู่เนืองๆจน กวา่ บารมีธรรมจะเตม็ เปี�ยม พระอริยสงฆ์ในสมัยพุ ทธกาลก็เช่นกันเวลาจะถ่ายทอดธรรม ก็จะเป�นเรื�องของจิตสู่จิต ท่านที�เข้าถึงธรรมก็จะมีกระแสธรรมเป�น 5

ความบรสิ ทุ ธ�ขิ องธรรมชาติ สิง� นีส� ามารถถา่ ยทอดกนั ไดจ้ ากใจสใู่ จ ในยุคสมยั นีก� ็เช่นกนั ไม่ว่าทา่ นทัง� หลายจะอยู่ท�ีไหนก็ตามในโลกใบนี� ก็สามารถรบั การถ่ายทอดทางพระพุ ทธศาสนาได้ แต่เนื�องจากในยุ คสมัยนี�เป�นยุ คท�ีคนตัวหนัก วิบากกรรม มาก พันธนาการเยอะ สิ�งดึงรัง� มาก เรียกว่าสิ�งห่อหุ้มเยอะ ก็ไม่ สามารถท�ีจะรองรับกระแสธรรมได้เลย จึงเป�นท�ีมาของการแก้ไข ปัญหาท�ีเกิดขึ�นในยุคสมัยนี� เพื�อให้ผู้ปฏิบัติสามารถรับกระแสธรรม ได้ 6

7

เวลาพาปฏบิ ัตกิ จ็ ะประกอบดว้ ย 3 ส่วน สว่ นที� 1 ช่วงเตรียมความพรอ้ ม เนื�องจากในยุ คสมัยนี�ผู้คนสะสมความเครียดความกดดันไว้ มาก มีกระแสต่างๆที�แฝงฝังมาก การท�ีผู้ปฏิบัติจะรับกระแสธรรม เข้าถึงความบริสุทธ�ิได้ ก็จะต้องเคลียร์สิ�งท�ีหมักหมมเหล่านีอ� อกไป ก่อน ก็จะถอื โอกาสบรรยายให้เกิดความเข้าใจให้ความรู้ถึงประโยชน์ ในช่วงเตรยี มความพรอ้ ม • ทาํ ไมตอ้ งมชี ่วงเตรยี มความพรอ้ ม ? พระพุ ทธองค์ตรัสไวว้ ่า....จิตนปี� ระภสั สรผอ่ งใสมาแต่เดิม แต่เศร้าหมองเพราะอุ ปกิเลสจรมา เพราะความไม่รู้แจ้งแห่งพระ สัทธรรมจึงถูกอวิชชาเป�นเครื�องกัน� เนือ� แท้ของพวกเราทุกคนก็ 8

คือส่วนหน�ึงของธรรมชาติที�บริสุทธ�ิ มีความประภัสสร แต่เพราะ ความไมร่ ู้แจ้งแห่งพระสัทธรรม จงึ ถกู อวิชชาเป�นเคร�อื งกัน� เวลาความบริสุทธ�ิของธรรมชาติหยาดลงมาเข้าสู่เนื�อของ อวกาศของธรรมชาติ ก็จะถูกพลงั งานความมืดของธรรมชาตเิ ข้า ห่อหุ้ม อวิชชาเริ�มต้นตรงนี� จิตประภัสสรหรือความบริสุทธ�ิหยาด ลงมาจากความบริสุทธ�ิของธรรมชาติในชนั� พลังงานบริสุทธ�ิเข้ามา สู่เนือ� อวกาศและก็ถูกความมืดของธรรมชาติเข้าห่อหุ้ม จากนัน� ก็ จะเกิดการหลงยดึ ติดขึน� มา คําว่าสัตวเ์ ริม� ตน้ ตรงนี� คาํ วา่ สตั วก์ ค็ อื อาการหลงยดึ ตดิ ในขนั ธท์ งั� หา้ พอเกดิ การยึด ติดเป� นตัว เป� นตนขึ�นมา ก็จ ะเ กิดพัฒนา กา รข อ งกระแส ของปฏิจจสมุปบาท เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ก็จะหลงทํา กรรมต่างๆ ถ้าทําความดีก็มีพลังงานท�ีดีคอยดึงให้ลอยตัวขึ�นสูง ท่องเท�ียวไปในสุคติภูมิถ้าทําความชั�วก่อการเบียดเบียนก็จะ ก่อให้เกิดวิบากกรรมรายล้อมเป�นพลังงานดา้ นมดื ดึงใหต้ กตาํ� … ตกสูท่ ุคตภิ มู ิเสวยความเผ็ดรอ้ นทกุ ข์ทรมาน 9

อมตธรรม คือ ความบรสิ ทุ ธ�ิของธรรมชาติ และก็มพี ลังงาน ท�ีเอ่อล้นออกมาเป�นพลังงานความบริสุทธ�ิ ความบริสุทธ�ิตรงนีก� ็ จะหยาดลงมาเป�นจติ ประภสั สร เมื�อหยาดลงมาเขา้ มาในเนอื� อวกาศ ก็จะถกู พลงั งานความมืดเข้าหอ่ หุม้ มนั เป�นสจั ธรรม เม�ือถูกห่อหุ้ม อวชิ ชาเข้าบดบงั ก็จะเกิดการหลงยึดติด ความเป�นสัตว์เริม� ต้นตรง นี� จากนัน� ก็จะหลงทํากรรมต่างๆ ทําความดีก็ลอยขึ�นในสุคติภูมิ ทาํ ความชวั� ตัวหนกั ก็จมส่อู บายภมู ิ 10

โดยเฉพาะในยุคสมัยนีผ� ู้คนพบความเจ็บปวดทุกข์ทรมานกัน มาก ยิ�งสถานการณ์ปัจจุ บันภัยจากโรคระบาด ทางบ้านเมืองก็ให้ ทุกคนอยู่กับบ้านหลายคนก็ตกงานหนี�สินรุงรัง เงินเก็บร่อยหรอ ข้าวยากหมากแพง งานการก็หายาก ปัญหาอุ ปสรรคต่างๆก็มาก คนก็จะเกิดความเครียด เกิดความกดดันกันมาก หลายคนก็มี ปัญหาเร�ืองสุขภาพจิต เป�นโรคซึมเศร้าก็ติดอยู่ในความซึมเศร้า บางคนหนี�สินมากก็ไม่อยากที�จะเผชิ ญกับปั ญญาอยู ่ในโลกใบนี� หลายคนก็เลือกท�ีจะจบชีวิตก่อนวัยอันควร บ้านเราก็มีข้อมูล ขึ�นมาทุกวันการฆ่าตัวตาย ต่างประเทศก็มาก ซ�ึงความตายมัน ไม่ใช่ ทางออกของปั ญหา พระผูม้ ีพระภาคเจ้าตรัสวา่ เม�ือจติ เศรา้ หมองทุคติเป�นอันหวัง ได้ ถ้าตายในขณะท�ีจิตเศร้าหมอง ชีวิตหลังความตายก็จะจมสู่ อบายภมู ิเสวยความเผ็ดร้อนทุกข์ทรมาน ความตายไม่ใช่ทางออก ของปัญหา ทุกข์ใดๆท�ีท่านทัง� หลายรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ชีวิต หลงั ความตายจะหนกั หนาสาหสั กวา่ นอี� ีกมาก และกาลเวลาที�ต้อง เสวยก็ยาวนานกว่ามาก พอเห็นข่าวคราวการฆ่าตัวตายก็รู้สึก สังเวชใจเพราะว่าหลงั ความตายจะหนักกวา่ นัน� อกี มาก ความตาย ไม่ใช่ ทางออกของปั ญหาเลย 11

12

• ทางออกคอื อะไร ? ต้องตน�ื ขนึ� ช� าระตนเอง ในสงิ� ที�ผา่ นมาแล้วเราไปเปลี�ยนแปลงแก้ไข อะไรไม่ได้ หลายคนก็ตัวหนักวิบากกรรมมาก ทุกสิ�งทุกอย่างท�ี เกิดขึ�นในชีวิตของเรามันไม่มีอะไรบังเอิญหรอก ก็เป�นไปตามเหตุ ปัจจยั ทไ�ี ดส้ ะสมไว้ เราไม่สามารถไปเปล�ียนแปลงแก้ไขอดีตได้ แต่สิ�งที�เราทําได้ก็ คือปัจจุ บันธรรม งดเว้นจากความชวั� ทัง� ปวง ไม่ทําให้ตนเองและ ผู้อื�นเดือดร้อน ไม่เพิ�มความหนักให้แก่ตนเอง ทําแต่ความดี สะสม บุญกุศลอริยทรัพย์อันประเสริฐให้แก่ตัวเองเนืองๆ ด้วยการรู้จัก การให้ การเสียสละ การเอื�อเฟื�อเผ�ือแผ่ การรักษาศีล ความไม่ เบียดเบียน การเจริญภาวนา ช� าระตนให้หมดจดจากเครื�องเศร้า หมองต่างๆ ดว้ ยการปฏิบตั ธิ รรมเจรญิ สตปิ ัฏฐานสี� ตัวหนักได้มันก็เบาได้ ถ้าท่านทัง� หลายใช้โอกาสนี�ต�ืนขึ�นเพื�อ ช� าระตนเอง พระพุ ทธเจ้าตรัสว่าสติปัฏฐานสี�สามารถช� าระล้าง บาปและอกุศลจนหมดสนิ� ไปได้ มันเป�นโอกาสของทา่ นทัง� หลาย...ที� จะต�นื ขนึ� และช� าระตนเองดว้ ยการปฏบิ ัตธิ รรม 13

ตัวมันหนักก็ทําให้มันตัวเบา ตัวเบาแล้วก็ทําให้มันเบา ยิง� ๆขนึ� ไป จนบารมีธรรมเต็มเปี�ยม ท่านทัง� หลายก็มีโอกาสท�ีจะหลุด พ้นจากเภทภยั ในวฏั ฏะสงสารทงั� ปวงได้ อดีตเราไปเปลี�ยนแปลงไม่ได้ แต่เราทําปัจจุ บันให้ดีได้ ใครก็มา ทําแทนเราไม่ได้ ตวั เราเองนัน� แหละ่ ทีจ� ะเป�นท�ีพ�งึ ใหแ้ ก่ตนเอง 14

ความบริสุทธ�ิของธรรมชาติหยาดลงมาเป�นจิตประภัสสร ถูก อวิชชาเข้าห่อหุ้ม ก็จะเกิดการหลงยึดติด ความเป�นสัตว์เริ�มต้น จากนัน� กจ็ ะเขา้ สู่วงจรของวัฏฏะสงสาร ก็จะหลงทํากรรมตา่ งๆ แต่ละคนจะมีวิบากกรรมห่อหุ้มยาวเป�นหางว่าวเลย เป�นยุคท�ี คนตัวหนักมากนะ ยุคที�คนตัวเบาจริงๆพระพุ ทธเจ้าก็โปรดไปแล้ว ตั�งแต่สมัยพุ ทธกาล คนยุ คนั�นที�รอพระพุ ทธเจ้าก็ตัวเบาสะสม บารมีมาอย่างยาวนาน บางคนกเ็ ต็มจนล้นเลยรอพบพระพุ ทธเจ้า 15

ฉะนัน� สมัยพุ ทธกาลคนจึงบรรลุธรรมกันมาก มาถึงเราๆรุ่นนี� ก็เป�นยุ คที�ตัวหนักแล้ว แต่ก็มีโอกาสที�จะต�ืนขึ�นเพ�ือช� าระตนเอง เช่นกัน เพราะว่าพระสัทธรรมยังดํารงอยู่ เป�นโอกาสของพวกเรา ทุกคน ต่อให้มันมีวิบากมาก สิ�งดึงรัง� มาก พันธนาการมากก็เป�น โอกาสที�เราจะได้ช� าระตนเองเช่นกันด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี� แต่ ในยุคสมัยนีม� ันจะมปี ัญหาอุ ปสรรคมากนะก็ต้องค่อยๆแกไ้ ขกันไป 16

• ส่วนท�ี 2 อุ ปสรรคในการเขา้ ถงึ สภาวธรรม ปกตคิ นเรากจ็ ะประกอบดว้ ย 3 สว่ นหลกั ๆ • ส่วนของกาย กายภาพคอื ร่างกาย • ส่วนของใจ เนือ� แทค้ อื จติ ประภสั สร • สว่ นของกระแส คือพลงั งานท�หี ลอ่ เลีย� งอยู่ 17

มนุษย์ก็มีกระแสระดับของมนุษย์ภาคทิพย์ก็จะมีกระแสระดับ ของภาคทิพย์ สัตว์ในนรกในอบายภูมิก็มีกระแสที�ลดหลัน� กันไปไม่ เท่ากัน เหมือนคลื�นความถ�ี เป�นกระแสในชนั� ใครชนั� มัน จะต้องมี กระแสระดับชนั� มนุษย์เป�นต้นไปจึงจะปฏิบัติธรรมได้ ถ้าโดยปกติคน ธรรมดาตัวเบาเหมือนในสมัยพุ ทธกาลไม่มีสิ�งดึงรั�งมาก ไม่มี พัฒนาการมาก พอได้รับฟังพระสัทธรรมการเจริญสติปัฏฐานส�ีก็ สามารถฝึ กหัดปฏิบัตพิ ฒั นาเข้าสู่สภาวธรรมตา่ งๆได้ตามปกติจนมี โอกาสสลัดคนื หลดุ พ้นจากวัฏฏะสงสารได้ 18

ยุคสมัยพุ ทธกาลก็ฝึ กปฏิบัติกันได้ปกติเพราะว่าไม่มีสิ�งห่อหุ้ม ดึงรัง� อะไรกันมาก ผิดกับในยุ คสมัยนี�เป�นยุ คที�คนตัวหนัก วิบาก กรรมมากสิง� ดึงรัง� มากกระแสไม่ดีก็มาก ในแต่ละคนเราจะพบว่ายุค นี�คนมีปั ญหาเป�นโรคเครียดกันมาก มีปั ญหาเรื�องสุขภาพจิต ซึมเศร้า หดหู่ ท้อแท้ ขุ่นเคืองใจคับแค้นใจ ในแต่ละวัน อารมณ์ ต่างๆเกิดขึน� มาก ส่วนใหญ่แล้วไม่รู้จักท�ีจะระบายออก ร่างกายเรา ยังต้องช� าระล้างทุกวัน แต่จิตใจน้อยที�จะรู้จักในการช� าระล้าง ออกไป ก็จะสะสมเป�นพลงั งานทอ�ี ดั แนน่ อยู่ขา้ งใน 19

บางคนเป�นพลังงานที�อัดมากจะรู้สึกอึดอัดอัดแน่นอยู่ ทัง� อารมณ์ของตนเอง บางคนจิตเปิ ดก็ไปรับอารมณ์คนอ�ืนได้ด้วย เคยไหมเวลาไปอยู่ใกล้ใครแล้วมันหงุดหงิดขึน� มาบ้าง รู้สึกฟุ้ งขึ�นมา บ้าง รู้สึกมันรวนขึ�นมาบ้าง บางทีไม่ใช่ อารมณ์ตนเองก็ไปรับ อารมณข์ องชาวบ้านกม็ ี และบางทีไปในทีต� ่างๆไปรบั กระแสที�ไม่ดมี า สรรพสิ�งในโลกนีก� ็เป�นเร�ืองของสสารและพลังงาน พลังงานก็ มีพลังงานที�ดีและไม่ดี ในยุ คนี�มีพลังงานท�ีไม่ดีมาก หลายคนไป แล้วก็ไปรับกระแสพลังงานท�ีไม่ดีมา จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเป�นตัวของ ตัวเอง บางทีเครื�องรวน เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ในยุ คนีไ� วรัส เยอะ มลั แวรส์ ิง� ทแี� ฝงฝังมาก ถ้าเราปล่อยให้คอมพิวเตอร์ของเราถูกไวรัสถูกมัลแวร์ ถูกสิง� ต่างๆมาแฝงฝังมากเป�นอย่างไร? เคร�ืองก็รวน ตัวเราก็เช่นกันถ้า เราไปรับกระแสรับอารมณ์ภายนอกมามากเครือ� งก็รวน อย่างบางคนก็ไปรับขันธ์บ้าง ไปพ�ึงเคร�ืองรางของขลัง วัตถุ มงคลภายนอกบ้าง บางทีก็มีกระแสท�ีทีไม่ดีแฝงเข้ามา บางคนก็ หวังในเรื�องลาภสักการะขอให้รวยบ้างอะไรบ้าง แต่หารู้ไม่เลยว่าไป รับพลังงานหรือรบั กระแสท�ีไมด่ เี ขา้ ตวั 20

บางคนก็โดนเรื�องของพวกคุณไสยมนต์ดําศาสตร์มืด ยุคนีก� ็ มีกันมากทัง� ๆท�ีเป�นยุ คเทคโนโลยี แต่เรื�องของคุณไสยมนต์ดําหรือ ศาสตร์มืดก็มีกําลังมาก คนทําของใส่กันมาก บางทีทําจน ครอบครัวแตกแยก เรื�องชู้สาวหวังจะครอบครองบ้าง บางทีเรื�อง ขัดผลประโยชน์ทางธุ รกิจบ้าง เรื�องไม่ชอบกันบ้าง ทําของใส่กัน บางคนน�เี สยี ผู้เสียคนกันมาก บางคนก็เอากันถึงตาย บางคนมีเงิน ก็ให้เขาไปโดยไมร่ ู้ตวั ยุคนีก� จ็ ะมกี นั มาก เร�ืองคุณไสยมนต์ดําอย่าคิดว่ามันเป�นเร�ืองไกลตัว มันเป�น เร�ืองใกล้ตัวกับพวกเราทุกคนมากใครก็มีโอกาสโดนได้ บางทีก็ลม เพลมพัด บางคนผู้หญิงหน้าตาดีสวย โดนทําของใส่เสียผู้เสียคน บางคนกร็ วยนกั ธุรกจิ โดนทาํ ของใส่ จู่ๆก็ใหเ้ งินเขาไปอย่างนัน� ไม่เป�น ตัวของตัวเองโดนบงการเสียเงินเสียทอง บางคนก็ครอบครัว แตกแยกทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะฉะนัน� ที�ยุ คนีท� ี�ปัญหาสังคมมาก ปัญหาครอบครัวมาก บางทีเป�นเรื�องของการท�ีไม่เป�นตัวของตัวเอง โดนกระแสท�ีไม่ดีบ้าง โดนคุณไสยมนต์ดําบ้าง ไปรับกระแสจากภายนอกบ้าง บางทีก็จะมี เรื�องกระแสจากพวกใต้ดินพวกของตํ�า พวกสัตว์ในอบายภูมิ พวกเปรต อสูรกาย บางท�ีเป�นท�ีท�ีเปรตอาศยั อยู่มากก็จะทําให้ตรง 21

นัน� อบอวลนะ เวลาอยู่อาศัยปัญหาต่างๆก็มาก มิติในสัมภเวสี พวกวิญญาณที�ติดค้างต่างๆก็มาก เวลาดวงจิตดวงสุดท้าย จิต ยึดอยู่กับสิ�งใดมันก็ติดอยู่กับสิ�งนัน� เพราะฉะนัน� บางท�ีก็จะเหี�ยน บางท�ที ี�รถควาํ� ตายประสบอุ บัติเหตุตาย ถูกไฟคลอกตายต่างๆ จิต วิญญาณกจ็ ะติดอยู่อยา่ งนัน� แล้วก็โหยหวนอยู่ เพราะฉะนัน� ปัญหา ตา่ งๆเรอื� งพวกนกี� จ็ ะมาก แม้เราสัมผัสมองไม่เห็นได้ด้วยตา แต่ถ้าคนที�จิตละเอียดก็จะ สัมผัสเรื�องของกระแสพวกนีไ� ด้ ทัง� จากใต้ดินและจากในอวกาศก็มี ยุ คนี�เป�นกันมากนะ เปิ ดประตูมิติออกมาจากอวกาศ ก็จะมีเร�ือง ของพวกเช�ือมเปิ ดจักระ เช�ือมพลังของจักรวาลต่างๆใช้ในการ รกั ษาโรค ในเรื�องโชคลาภต่างๆ จริงๆแล้วการเปิ ดมิติจากอวกาศนี� อันตรายมาก เพราะในอวกาศเต็มไปด้วยพลังงานมืด ไม่ควรเปิ ด ในมนุษย์โลกอย่างยิ�ง หลายคนไปเช�ือมต่อองค์คุณไปเช�ือมต่อ จักรวาล บางคนถ้าจักระเปิ ดมันเหมือนต่อฮู้ดขึน� ไปเลย มันคือการ เชื�อมต่อจากมิติของอวกาศ และจะทําให้คนคนนัน� เป�นพาหะเปิ ด ประตูมิติอวกาศออกมา พลังงานมืดจากอวกาศจะไหลออกมาสู่ มนุษย์โลกเป�นอันตรายอย่างยิ�ง ที�เขาว่าเป�นยุ คนรกบนเดิน เกิด จากสงิ� นลี� ะ่ มติจากอวกาศมนั เปิ ด 22

บางคนไปหมกมุน่ พวกเรื�องมนุษยต์ ่างดาวเร�ืององค์คุณต่างๆ มันเป�นการเชื�อมต่อจากอวกาศซ�ึงอนั ตรายมากๆ มนษุ ยโ์ ลกไม่ควร ที�จะเปิ ดเรื�องของมิติอวกาศออกมาใดๆทัง� สิน� โลกมนุษย์ก็ดียู่แล้ว หลายคนไปพยายามศึกษาเร�ืองของการเปิ ดมิติรูหนอนต่างๆ อันตรายมากๆ บางทีถูกรบกวนจากจิตวิญญาณในชนั� อวกาศ เพราะว่ามันเป�นพลังงานมดื ก็จะเชื�อมตอ่ แฝงฝังตา่ งๆเข้ามามาก ก็ แกป้ ัญหาอยู่เป�นประจาํ จะเป�นกันมากโดยเฉพาะคนที�มีความบริสุทธ�ิมีบารมีธรรมจะ ถูกการลิงค์เช�ือมต่อได้ง่าย ปฏิบัติไปทําไมเหมือนถูกเข็มทิ�ม ถูก เช�ือมต่อ บางคนถูกดูดพลังก็มี จากมิติอวกาศเขาดูดพลังออกไป เขากินความบริสุทธ�ิ เพราะฉะนัน� ปัญหาในยุ คนี�จะมาก โดยเฉพาะในยุ คนี�เรื�องใน อวกาศมันเปิ ดออกมามาก ผู้คนสนใจมาก พอจิตเราคิดถึงสิ�งใด มันจะไปลิงค์อยู่กับสิ�งนัน� และจะถูกพวกจิตในมิติอวกาศเปิ ดทําการ เช�ือมต่อออกมา แล้วจะเปิ ดมิติพวกนีอ� อกมาในโลกมนุษย์ มันก็จะ เตม็ ไปด้วยพลงั งานมืด ตอ้ งแกป้ ัญหาเรอ�ื งพวกนีท� ุกวันหนกั มาก แล้วก็เร�ืองของผู้ปฏิบัติ เร�ืองของปมในใจ แผลในใจ บางทีเรา ผ่านอะไรมามากชีวิตมีบาดแผล บางคนมีบาดแผลตัง� แต่วัยเด็กก็ 23

เป�นปม ตรงนี�มันเป�นสิ�งดึงรั�งอยู่บางคนจุ กอยู่ข้างใน ก็จะต้อง ค่อยๆถอนตรงนีอ� อกไป เร�ืองของปมในใจ แผลในใจไม่ได้มีเฉพาะ ช่ วงชีวิตนี�เท่านัน� ตลอดระยะเวลาท�ีเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สงสารหมูส่ ัตว์กผ็ า่ นอะไรมามาก ส่วนใหญ่แล้วก็ผ่านความทุกข์ใน อบายภูมมิ ามาก...จะมปี มมีแผลอยู่ บางคนลกึ ๆข้างในเป�นดวงจิตทมี� คี วามเศร้า ผลทีต� ามมาก็คือ เป�นคนท�ีเศร้าง่าย ยุคนีม� ีปัญหาคือคนเป�นโรคซึมเศร้ากันมาก บาง ทีก็เศร้าโดยไม่รู้สาเหตุไม่ได้มีเรื�องให้เศร้าหรอก แต่เนือ� แท้แล้วลึกๆ เป�นความเศร้าจากระดับจติ วิญญาณขา้ งในทาํ ให้เป�นคนเศรา้ ง่าย ยุ คนีม� ีคนฆ่าตัวตายกันมากส่วนใหญ่ก็มาจากจิตวิญญาณ ข้างในนั�นแหล่ะซึมเศร้า ถ้าคนที�ติดอยู่กับความซึมเศร้าจะรู้มัน เหมือนกับเราดิ�งไปในความมืด ลึกลงไปเรื�อยๆเลย พยายาม ตะเกียกตะกายขึ�นมา ก็ยิ�งถลําลึกลงไปเรื�อยๆ...จมสู่ความมืดมิด มันคือภพภูมิในอบายภูมิ ดวงจติ ที�เสวยความซึมเศรา้ อยู่ เพราะฉะนัน� ในยุ คสมัยนีจ� ึงพบว่าแม้กระทั�งพวกดาราเกาหลี สวยหล่อ รวย นักธุ รกิจต่างๆ คนไทยในต่างประเทศ ทัง� ๆที�เป�นคน ชนั� นําแต่ทําไมมีปัญหาฆ่าตัวตายกันมาก บางทีเป�นเรื�องความ ซึมเศร้าจากส่วนลึกของจิตวิญญาณ บางจิตวิญญาณก็เต็มไป 24

ด้วยความเกลียดชงั ผลที�ตามมาก็จะเป�นคนที�โกรธง่าย ฉุนเฉียว ง่าย อาฆาตมาดร้ายต่างๆ สิ�งนี�ฝังมาจากภพชาติในอดีต เป�น ตวั ตนมนั เป�นจิตวิญญาณข้างใน บางจิตวิญญาณก็หิวกระหายเพราะว่าอดยากมานาน ผลท�ี ตามมากเ็ ป�นคนโลภโมโทสัน พยายามไขวค่ วา้ ทุกสิ�งทุกอย่างแต่ก็ไม่ สามารถเติมเต็มข้างในได้เลย เพราะว่าเป�นความหิวกระหายระดับ จิตวิญญาณข้างใน มีแต่ธรรมะเท่านั�นท�ีจะเยียวยาทุกสิ�ง ดับ ความเร่าร้อน ความหิวกระหาย ความทุกข์ทรมานทัง� ปวงได้ และ ก็มเี รอ�ื งของวบิ ากกรรมทร�ี ายล้อมต่างๆ เพราะในยุคนีป� ฏิบัติเข้าถึง ความบรสิ ทุ ธ�ไิ ด้ยาก เพราะมสี ิง� ดงึ รงั� พนั ธนาการเยอะ 25

ในส่วนของกาย ทั�งปัญหาเร�ืองสุขภาพบางที�ร่างกายไม่พร้อม ระบบพลังงานของร่างกายไม่สมดุล มีความเครียดความกดดัน สะสมมาก มอี ารมณต์ ่างๆที�คงั� ค้างมาก มันก็จะทําให้ตวั หนกั 26

ปัญหาเรอ�ื งของจติ ใจ • ยุคนีเ� ป�นคนท�ตี ัวหนักวบิ ากกรรมมาก พระฉะนนั� วิบากและ พนั ธนาการสิง� ดึงรงั� กม็ าก บางที�วิบากทไี� ม่ดีใหผ้ ลมันทําให้เรา หนา้ มืดเลยหลงวกวนออกกนอกทาง เวลาวบิ ากหนักๆให้ผลน�ี หลดุ เลยบางทีหลายคนก็หลดุ ออกไปนอกทาง ไม่มีใครท�ี อยากจะเจ็บปวด อยากจะเป�นคนท�ีไมด่ ี อยากจะอยู่กับความ ทุกข์ทรมานหรอก แตเ่ พราะแรงกรรมนีล� ะ่ ทช�ี กั นาํ สรรพสตั ว์ไป 27

ที�พระพุ ทธองค์ตรสั วา่ สัตว์โลกย่อมเป�นไปตามกรรม แรงกรรมมันชกั นาํ ไป ถ้าวบิ ากกรรมไมด่ มี ันถึงวาระให้ผลเม�ือไร่ มัน จะชกั นําไปแบบนา่ กลัวมาก บางทีทําให้หลงผิดและก็เพิ�มความหนัก ให้แก่ตัวเองยงิ� ขึน� ไปเร�อื ยๆ น�ีคือสิง� ทเ�ี กิดขนึ� ในปัจจุ บัน • พนั ธะยดึ โยงตา่ งๆกม็ าก.... • ปมในใจ แผลในใจ • บางคนถ้าจติ เปิ ดกไ็ ปรบั อารมณภ์ ายนอกไดง้ ่าย • บางคนกต็ ิดเพง่ ฝึกมจิ ฉาสมาธมิ ามาก สงิ� เหลา่ นจี� ะทําใหแ้ นน่ ตวั หนัก สิง� ดึงรงั� มาก • บางคนกต็ ิดในเรื�องของมิติส่วนตัว ปฏบิ ัตลิ ะเอยี ดไปแลว้ เกิด ความวา่ ง ความสว่าง ผลจริงๆที�สุดแล้ว หลงติดในผลผลิต ของจิตตนเองท�สี ร้างขึน� มา ไม่ได้เข้าถงึ ความบรสิ ุทธ�ิท�แี ทจ้ ริงก็ จะเสยี เวลาเนนิ� นานไป ปัญหาอุ ปสรรคต่างๆเหลา่ นีก� จ็ ะเป�นกนั มาก 28

• เร�ืองของกระแส ก็มีทงั� กระแสภายนอกที�แฝงฝังเขา้ มา คณุ ไสย มนต์ดํา เครื�องรางของขลังต่างๆ ส่วนใหญเ่ ป�นกระแสทีไ� ม่ดี • การเชื�อมต่อจากจิตวิญญาณในอวกาศ จากวิญญาณ ภายนอก พวกสัมภเวสบี ้าง พวกใตด้ ินบ้าง • บางคนกระแสกห็ ลดุ ออกไปในอวกาศบ้าง เพราะฉะนนั� ยุคสมัยนีส� ิง� ห่อหมุ้ สิง� ดึงรัง� ต่างๆเพียบ จะตา่ งจาก ยุคสมยั พุ ทธกาลท�คี นตวั เบาพรอ้ มท�จี ะรองรบั พระสัทธรรม ทงั� ปัญหาของกาย ปัญหาของใจ และเรือ� งของกระแส หลายคนจะไม่ คอ่ ยเป�นตวั ของตัวเองสิง� ห่อหมุ้ เพยี บเลย จึงเป�นทม�ี าของการ 29

เตรยี มความพร้อมขึน� มาเพอื� แกป้ ัญหาของผูป้ ฏิบัติ ไม่เช่นนนั� นอ้ ย มากทจี� ะรบั กระแสธรรมได้ • เรอื� งของการถา่ ยทอดกระแสธรรม ในยุ คนีถ� ้าปฏิบัติเองด้วยความที�ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีสิ�งแฝง ฝังมาก ปฏิบัติเข้าสมาธิได้ จิตละเอียดได้ ก็ไม่สามารถที�จะเข้าถึง ความบริสุทธ�ิของธรรมชาติได้เลย จะเข้าถึงความบริสุทธ�ิของ ธรรมชาติได้ต้องไม่มีสิ�งดึงรัง� หรือสิง� แฝงฝัง เพราะฉะนัน� ปฏิบัติเอง 30

ถ้าละเอียดมากก็จะไปค้างอยู่ในอวกาศอันเวิ�งว้าง ก็อดที�จะได้ เขา้ ถึงความบรสิ ทุ ธ�เิ พ�อื สะสมบารมธี รรมทีแ� ท้จริงให้แก่ตนเอง จึงเป�นท�ีมาของการถ่ายทอดกระแสธรรม ในเร�ืองของการพาฝึ ก ปฏิบัติ จะเคลียร์ล้างถอนสิ�งท�ีแฝงฝังออกไปก่อน เพื�อให้ท่าน ทัง� หลายตัวเบาในขณะท�พี าปฏิบัติ จากนัน� กจ็ ะนําเข้าสู่สภาวธรรม  โดมคมุ การฝึ ก 3 ช่วง..... เพ�ือแกป้ ัญหาให้แกผ่ ูป้ ฏิบตั ิ การฝึกจึงประกอบดว้ ยสามสว่ น 1. ช่วงเตรยี มความพรอ้ ม แก้ปัญญาผูป้ ฏิบตั ใิ ห้สามารถเขา้ สภาวธรรมได้ 2. ช่วงเดนิ สภาวะตามหลักสตปิ ัฏฐานส�ี ฐานกาย ฐานเวทนา ฐานจติ ฐานธรรม 3. ช่วงสุดทา้ ยเป�นช่วงท�ีสาํ คญั ทส�ี ุด กค็ อื เมือ� ท่านทงั� หลาย เตรยี มความพรอ้ มได้ดี ปลดสิง� แฝงฝังได้หมด มีฐานกาย ท�ดี ี มีจติ ตงั� มัน� เบิกบาน เดินตามสภาวธรรมได้ ท่าน ทัง� หลายกจ็ ะสลัดคืนเขา้ สู้ความบรสิ ุทธ�ขิ องธรรมชาติได้ ทา่ นทงั� หลายก็มโี อกาสทจ�ี ะสะสมบารมธี รรม อรยิ ทรพั ย์ อนั ประเสรฐิ ใหแ้ กต่ นเอง เพอิ� ช� าระลา้ งบาปและอกุศลธรรม 31

จนหมดสิน� ไปได้ ในช่วงเตรียมความพรอ้ มกจ็ ะใช้กระแส ธรรมเพื�อปลดล็อคสงิ� เหลา่ นีอ� อก ส่วนท�ี 1 ช่วงเตรยี มความพรอ้ ม แก้ปัญหาผูป้ ฏบิ ตั ใิ หเ้ ขา้ สภาวะได้ สมัยพุ ทธกาลไม่ต้องทําเพราะไม่หนักแบบนี�แต่สมัยนี�ต้องมี ไม่เช่นนัน� รับกระแสธรรมไม่ได้ มันมีสิ�งห่อหุ้มเต็มไปหมด ต้องปลด สงิ� เล่านีอ� อกก่อนใหต้ ัวเบากอ่ น 32

ระหวา่ งช่วงเตรียมความพร้อมผู้ปฏิบัติก็เพียงแค่ผ่อนคลาย สบายๆ รับรู้ความรู้สึกตัวไปเรื�อยๆสบายๆ จะพาปรับทัง� เรื�องกาย คือทัง� เรื�องการรักษาฟื� นฟู ปรับสมดุลร่างกายให้พร้อมแก่การ รองรบั กระแสธรรม ในเร�ืองของกระแสก็จะปรับกระแสต่างๆ เคลียร์กระแสท�ีแฝงที� ฝังตา่ งๆ  บางคนกระแสหลุดออกไป ก็จะดึงกลับเพ�ือให้กลับมาท�ีตัวเอง บางคนกระแสเหลือทีต� วั นอ้ ยมาก จะไมค่ อ่ ยเป�นตัวของตัวเอง เท่าไร่  เร�ืองของจิตใจก็จะพาคลาย เรื�องของพันธนาการ ล้าง เคลยี ร์ ถอนต่างๆ  ตัดลิงค์การเชื�อมต่อ พวกมิติอวกาศจะชอบเช�ือมต่อเข้ามา ต่อท่อเข้ามาแล้วก็ลิงค์ ก็จะตัดออกเคลียร์ออก ปิ ดมิติท�ีเปิ ด ไว้ทัง� หมด เพราะฉะนัน� ถ้าใครต้องการให้บริเวณในบ้านสงบด้วย เวลาพา ปรับก็อาจจะเปิ ดเสียงธรรมไปด้วย เสียงไปถึงไหนก็จะมีผลถึงตรง นัน� ก็จะพาสลายพลังงานที�ไม่ดีท�ีคั�งค้างในท�ีต่างๆในบริเวณที� เสียงธรรมไปถงึ เพ�ือปรับคนื สคู่ วามเป�นธรรมชาติปกติ ถอนลิงคท์ �ี 33

เชื�อมโยงออก เหมือคอมพิวเตอร์เวลาท�ีถูกมัลแวร์แฝงฝังเข้า มาแล้ว ถึงล้างออกก็มีเชื�ออยู่ มีลิงค์อยู่ ก็ต้องถอนลิงค์เหล่านี� ออกไปเพื�อเคลียร์ พอล้างหมดแล้วมันมีเชื�ออยู่มีร่องอยู่ก็มี โอกาสที�จะโดนอกี กใ็ หฝ้ ึ กตามทกุ วนั เนืองๆ กค็ อ่ ยๆช� าระลา้ ง ตอ้ ง คอยช� าระล้างไปเรื�อยๆจนกว่าวิบากกรรมในเรื�องพวกนีจ� ะเบาบาง ลงไป พอเตรียมความพร้อมได้ดีตัวเบาก็พร้อมที�จะเดินสภาวธรรม ตามหลักสติปัฏฐานสี� ช่ วงต่อไปก็คือการนําเข้าสู่สภาวธรรม ต่างๆ ตามหลักสตปิ ัฏฐานส�ี… 34

ส่วนที� 2 การนาํ เขา้ สสู่ ภาวธรรมตา่ งๆ ตามหลกั สตปิ ัฏฐาน 4 สตปิ ัฏฐาน 4 • ระดบั เบอื� งตน้ • ระดบั ทา่ มกลาง • ระดบั ทส�ี ดุ การระลึกรู้ท�ีถูกต้อง คือรู้สึกกายรู้สึกใจไปเรื�อยๆ เม�ือมี สัมมาสติอยู่เนือง รู้สึกกายรู้สึกใจอยู่เนืองๆ จนเกิดเบือ� งต้นก็คือ สงิ� ทเี� รียกวา่ สมั มาสติ 35

การระลึกรู้ที�ถูกต้อง คือรู้สึกกายรู้สึกใจไปเร�ือยๆ เม�ือมี สัมมาสติอยู่เนือง รู้สึกกายรู้สึกใจอยู่เนืองๆ จนเกิด สัมมาสมาธิ มคี วามตงั� มนั� ทีถ� กู ต้อง ก็จะเกดิ สภาวะรูส้ ึกตัวทัว� พร้อมขึน� มา เกิด ภาวะจิตตัง� มั�นขึ�นมาเรียกว่าสัมมาสมาธิ เมื�อฝึ กฝนกําลังสติจน เกิดสัมมาสมาธิอยู่เนืองๆ เกิดความต�ืนรู้ขึ�นมา ก็จะสมารถยกจิต ขนึ� สวู่ ปิ ัสสนาญาณได้ เกิดสัมมาญาณการรู้เห็นตามความเป�นจริง เกดิ วิปัสสนาญาณ เม�ือเกิดวิปัสสนาญาณ ก็จะสามารถถอดทอน อุ ปาทานหลุดจากการยึดมัน� ถือมัน� เกิดสัมมาวิมุตติ การหลุดพ้น ที�ถูกตอ้ ง สลดั คนื เขา้ สูค่ วามบรสิ ุทธ�ิของธรรมชาติ น�ีคือว่ากันโดย ปกติที�ไม่มีสิ�งแฝงฝังต่างๆ ก็จะสามารถเดินจิตตามสติปัฏฐานสี�จน สามารถเข้าสู้ความบริสทุ ธ�ขิ องธรรมชาติได้ 36

• ฐานกาย ซ�ึงเราต้องเริ�มต้นบ่าฐานท�ีดี ก็คือฐานของกายกาย ฐานของ กายกจ็ ะรับรู้ระบบการทํางานต่างๆของร่างกาย ขณะนัง� อยู่ก็รู้กาย ที�นั�งอยู่ รู้สึกถึงการหายใจ รู้สึกถึงกระเพิ�มของหน้าอกหน้าท้อง รับรู้ความรู้สึกของกายท�ีนั�งอยู่ ยืนอยู่ก็รู้กายท�ียืนอยู่ เดินอยู่ก็รู้ กายที�เดินอยู่ นอนอยู่ก็รู้กายท�ีนอนอยู่ ตัง� กายไว้อย่างไรก็รู้กาย นัน� ๆ ใหม่ๆสติมีกําลังน้อยก็อาจจะรู้สึกตัวได้เป�นส่วนๆ ที�ลมหายใจ บ้าง ท�ีมือบ้าง ท�ีเท้าบ้าง แต่พอฝึ กไปเร�ือยๆสติมีกําลังก็สามารถ 37

จะรู้สึกได้ทัง� ตัวเลย รู้กายได้ทัง� กาย รู้สึกได้ทัง� ตัว เรียกว่าสติเต็ม ฐาน บางคนก็ใช้เวลาพอสมควรเลยกว่าจะพัฒนาสติได้เต็มฐาน เต็มฐานกายก็รู้กาย...จะเริ�มรู้สึกได้ละเอียดขึ�น ทัง� การหายใจการ กระเพื�อมหน้าอกหน้าท้อง ละเอียดขึ�นไปอีกจะรู้สึกถึงการเต้นของ หัวใจ ของชีพจร เลือดลมท�ีสูบฉีดทัว� กาย ถ้าใครเริ�มรู้สึกเสียงหัว ใจเต้นได้ การเต้นของหัวใจชีพจรได้ สติเริ�มละเอียดขึ�น เวลาอยู่ใน ฐานของกายกจ็ ะรบั รูก้ ารทาํ งานของร่างกาย ถ้าละเอียดมากบางทีจะรับรู้ถึงระบบสมองระบบประสาทต่างๆ ฐานกายเป�นบาทฐานที�สําคญั ทาํ ใหม้ ากเจริญให้มาก พระพุ ทธเจา้ ตรัสว่า กายคตาสติที�บุ คคลส่องเสพแล้วช�ือว่าส่องเสพในอมต ธรรม ถ้าท่านทัง� หลายฝึ กฐานกายได้ดีนี� ในชีวิตประจําวันฝึ กซ้อม รู้เนือ� รู้ตัวขึน� มาอยู่เสมอ เวลาพาปฏิบัติ นําเข้าสู่ฐานกายก็จะทําให้ ฐานกายมีกําลัง จนสติเต็มฐานรับรู้ความรู้สึกของกายได้ทัง� ตัว ฐานกายเหมือนบาทฐาน เหมือนเราจะสร้างตึกท�ีสูงขึ�นไปเรื�อยๆน�ี รากฐานสาํ คัญไหม ถ้าฐานไมด่ ีกพ็ งั ฐานกายเป�นพืน� ฐานท�ีสําคัญ ทาํ ใหม้ ากเจรญิ ให้มาก ท�เี หลอื มนั ก็ต่อยอดจากฐานของกายทัง� สิน� 38

• ฐานเวทนา เม�ือท่านทัง� หลายพัฒนาสติอยู่ฐานกายได้ดีมีความมัน� คง เวลา นําเข้าสู่ฐานของเวทนาจะเกิดสภาวธรรมในชนั� ของฐานของเวทนา ขึ�นมา เช่นเกิดความรู้สึกชาๆซ่านๆ หนึบๆหยุ่นๆคล้ายสนามพลัง อาการวูบๆวาบๆ แผ่ออกซ่ านออกตามตัว มันเป�นความรู้สึกตัว ในชัน� ของฐานเวทนา ความรู้สึกตัวในชัน� เวทนามันจะเป�นฐาน พลังงานของร่างกาย มันจะลึกเข้าไปอีกชัน� หน�ึง กายหยาบเป�น เปลือกหุ้มนอก ฐานเวทนาจะเป�นพลังงานอยู่ข้างในอีกชนั� หน�ึง ซ�ึงถ้าเราปฏิบัติจนฐานเวทนาเต็มฐานเกิดความรู้สึกตัวทั�วพร้อม ขึ�นมาจะรู้สึกถึงพลังงานที�เต็มทั�วทัง� ตัวเลย เพราะเป�นฐานของ 39

พลังงาน ถ้าเรามีบาทฐานกายได้ดี พอเข้าสู่ฐานของเวทนาจะ เกิดสภาวะของความรู้สึกตัว สังเกตพอความรู้สึกตัวมีกําลังขึ�น เรื�อยๆ จิตก็จะมีกําลังขึน� นิ�งขึ�น เกิดความตัง� มัน� ท�ีถูกต้องจนเกิด ความรู้สึกตัวทัว� พร้อมขึ�นมา ฐานนีม� ันเป�นฐานเก�ียวกับพลังงาน ถ้าเราอยู่กับฐานนี�ได้ดีเราจะรู้สึกถึงความสดช�ืนกระปรี�กระเปร่า เต็มเปี� ยมไปด้วยพลังของชีวิต ถ้าอยู่กับฐานนีเ� ป�นประจําสุขภาพ กายกแ็ ข็งแรง สุขภาพจติ กแ็ ขง็ แรง ใจก็จะมคี วามตัง� มัน� ถ้าหลับไป กับความรูส้ กึ ตัวทัว� พร้อมจะรู้สกึ การพกั ผอ่ นมีประสทิ ธภิ าพ พออยู่กับความรู้สึกตัวทัว� พร้อมไปเร�ือยๆ จนเกิดความรู้สึก ซาบซ่ านเอิบอาบทั�วทั�งตัวเลย ภาษาพระท่านเรียกว่าเกิด พรรณนาปิ ตินะความซาบซ่ านเอิบอาบทั�วทัง� ตัว อันนี�สมาธิเริ�ม เกิดขึ�น ก็ให้อยู่กับความรู้สึกทัง� ตัวไปเร�ือยๆสบายๆ ก็จะนําเข้าสู่ ความสขุ เบาสบาย รู้สึกเบาสบายอยู่ จากความรู้สึกตัวทัว� พร้อมเกิดความซาบซ่านทัว� กายจนเกิด ความสุขเบาสบาย ความรู้สึกตัวทั�วพร้อมนี�มันเป�นชนั� ของความ รู้สึกตัว แต่ความสุขมันเกิดท�ีใจและมันแผ่ออกมาจนเกิดความเบา กายเบาใจ เกิดความโปร่งโล่งเบาสบายขึ�นมา สัมผัสความสุขท�ี ประณีตลกึ ซึ�งขึน� ไปเรอื� ยๆ 40

• ฐานจิต พอฝึ กปฏิบัติไปกายเบาจิตเบา เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย ขึ�นมา จิตเริ�มละเอียด สังเกตอารมณ์หยาบๆเริ�มระงับไป มีความ ผ่องใส มีความโล่งสบาย ถ้าละเอียดมากๆความรู้สึกของกายจะ น้อยลงไปมาก แตค่ วามรูส้ ึกของจิตใจจะเด่นขึน� มาแทน มีความเบา มีความต�ืนรู้ขึน� มา เกิดความโปร่งโล่งเบาสบาย เวลาพาปฏิบัติก็จะ นําเข้าสู่ความรู้สึกตัวทัว� พร้อมได้เต็มกําลัง จากนัน� ก็จะเกิดความ เบาสบายจนเกิดความสงตัง� มัน� เกิดความต�ืนรู้ขึ�นมา เกิดสภาวะ จิตตัง� มัน� ขึน� มา ซ�ึงถ้าสะสมกําลังสติตรงนีไ� ด้ดี บาทฐานมัน� คงจิต ตัง� มัน� ได้ดีก็จะสามารถพายกจิตขึน� สู่วิปัสสนาญาณได้ เวลาพา เขา้ สภาวะ รูต้ ืน� แล้วก็เบกิ บาน 41

• ฐานธรรม ถา้ ท่านทา่ นหลายมบี า่ ฐานตรงนีไ� ดด้ ีกจ็ ะเกิดสภาวะรูต้ น�ื และก็ เบกิ บาน ธรรมทงั� หลายกจ็ ะปรากฏตามความเป�นจรงิ เกิดการรู้ เห็นตามความเป�นจริงขึ�นมา ซ�ึงกําลังของวิปัสสนาญาณแต่ละ คนก็จะมีกําลังไม่เท่ากัน เกิดสภาวะแยกธาตุแยกขันธ์แตกดับ ของใครของมนั จะรู้สึกถึงการแตกดับของรูปกายที�มันยุบยับทัว� ทัง� ตัว รู้สึกถึงการแตกดับของนามกายท�ีมันยุ บยับอยู่ภายใน เวลาเกิดสภาวะเบิกบานจะรับรู้ได้ทุกฐานเลย ฐานกายก็ถูกรู้ ฐานเวทนาก็ถูกรู้ ฐานจิตก็ถูกรู้ เกิดการรู้เห็นตามความเป�น จริง 42

ถ้าละเอียดก็จะสามารถเห็นการเกิดดับของจิตได้ ในสภาวะ ของวิปัสสนาน�ีมันจะไม่เกาะเก�ียวกับสภาวะใด เกิดการรู้เห็นตาม ความเป�นจรงิ ซ�ึงกาํ ลังของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน การเหน็ ตรงนพี� ระพุ ทธองคท์ รงยกยอ่ งวา่ เป�นการเหน็ ท�ยี อด เยยี� ม แมก้ ระทงั� พระตถาคตเองนี�กเ็ ป�นสิง� ทเ�ี ห็นไดย้ อดเยยี� มกค็ อื ... • รูป เกิดขนึ� ตัง� อยู่ ดบั ไป แจ่มแจ้งแกต่ ถาคต • เวทนา เกดิ ขนึ� ตัง� อยู่ ดับไป แจม่ แจ้งแก่ตถาคต • สญั ญา เกดิ ขนึ� ตงั� อยู่ ดบั ไป แจ่มแจ้งแกต่ ถาคต • สงั ขาร เกิดขนึ� ตัง� อยู่ ดับไป แจ่มแจง้ แก่ตถาคต • วญิ ญาณ เกิดขนึ� ตัง� อยู่ ดับไป แจม่ แจง้ แก่ตถาคต เกิดการรู้เห็นตามความเป�นจริง พระพุ ทธองค์ทรงยกย่องว่า เป�นการเห็นที�ยอดเยี�ยม เพราะว่าสามารถถอดถอนอุ ปาทานหลุด ออกจากการยึดมัน� ถอื มนั� ได้ 43

เพราะฉะนั�นถ้าท่านทัง� หลายปรารถนาท�ีจะเจริญวิปัสสนา ญาณ ก็ต้องมีบาทฐานที�ดี ไม่ใช่ ฝึ กเฉพาะเวลาปฏิบัติเท่านัน� ใน ระหว่างวันหมั�นซ้อมสะสมกําลังสติ ทําความรู้เนื�อรู้ตัวขึ�นมาอยู่ เสมอ สะสมกําลังสติท�ีฐานกายให้ดีก่อน พอฐานกายมีความ มัน� คง รับรู้กายได้ทัง� กายอยู่เนือง แม้ในชีวิตประจําวัน พอมีบาท ฐานกายท�ีดี...เวลานําเข้าสู่ฐานเวทนาก็จะมีกําลังมีความรู้สึกตัว ทั�วพร้อม และเวลานําเข้าสู่ฐานจิตจะเกิดความตื�นรู้ขึ�นมา สติมี ความตัง� มั�นมีกําลังพอ และเม�ือจิตเกิดความตัง� มัน� ต�ืนรู้ได้มีกําลัง พอ เวลาพายกจิตขึ�นสู่วิปัสสนาญาณจะเกิดสภาวะ รู้ ต�ืน เบิก 44

บานออกมา ธรรมทัง� หลายก็จะปรากฏตามความเป�นจริง เกิดการ รู้เห็นตามความเป�นจรงิ พระพุ ทธองค์ตรัสว่าการท�ีเกิดการรู้เห็นตามความเป�นจริง โดยท�ีจิตตัง� มัน� เป�นฐานะท�ีจะมีได้ แต่การท�ีเกิดการรู้เห็นตามความ เป�นจริงโดยท�ีจติ ไม่ตัง� มัน� ไมใ่ ช่ฐานะที�จะมไี ด้ ต้องฝึ กสตปิ ัฏฐานจนมีสติที�ตัง� มัน� ก่อน ฐานกายมัน� คง ฐาน จิตตัง� มั�นตื�นรู้ ก็จะเกิดสภาวะ รู้ ต�ืน เบิกบาน ออกมา เห็นทุก อย่างตามความเป�นจรงิ กจ็ ะเกดิ การรู้แจง้ อริยสัจสข�ี ึน� มา 45

ช่วงสลัดคืนสคู่ วามบริสุทธ�ิของธรรมชาติ สะสมบารมธี รรมเพ�อื การหลดุ พน้ จากนัน� ช่วงสุดท้าย.......ก็จะพาสลัดคืนสู่ความบริสุทธ�ิของ ธรรมชาติ ส่วนประกอบ 3 ส่วน ช่วงแรกเตรียมความพร้อม เพ�ือปรับ กระแสทุกอย่างให้เรียบร้อย จากนัน� ก็จะพาเดินสภาวธรรมตาม หลักสติปัฏฐาน จากฐานการเข้าสู่ฐานเวทนา... เข้าสู่ฐานจิต... จากนัน� ก็เข้าสู่ขัน� ตอนท�ี 3 ก็คือ การสลัดคืนสู่ความบริสุทธ�ิของ ธรรมชาติ เป�นสภาวะทีห� ลุดจากการยึดมัน� ในขันธ์ทงั� 5 46

• เขา้ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ�ิ...เพ�ือสะสมบารมธี รรม สภาวะนีใ� หม่ๆถ้าคนเข้าถึงแล้ว...ด้วยความท�ีไม่คุ้นเคยเพราะ มันเป�นสภาวะที�หลุดจากความยึดมัน� ทัง� หมด เหมือนคนลงไปในนํา� ปกติเราตอ้ งมีทีย� ึดที�เกาะ แต่พอสลัดคืนเหมือนเราลอยอยู่ในความ บริสุทธ�ิของธรรมชาติ คนไม่คุ้นปกติก็จะกลับมาเข้ามาหาสภาวะ จริงๆเราต้องปล่อยสบายๆ ก็จะหยั�งเข้าสู่ความบริสุทธ�ิของ ธรรมชาติ...เป�นพลังงานความว่างที�บริสุทธ�ิ ว่างอยู่รู้อยู่ สภาวะตรงนีค� วามเป�นตัวเราจะหายไป เพราะว่าปราศจากการยึด มัน� ถือมนั� จะเป�นความบริสุทธ�ิของธรรมชาติ 47

ให้อยู่กบั สภาวะว่างอยู่รูอ้ ยู่ไปเรื�อยๆสบายๆ ช่วงนีจ� ะเป�นช่วง ของการสะสมบารมธี รรมใหแ้ กต่ นเอง เป�นช่วงหวั ใจของการพาฝึ ก ทั�งหมด ที�ทําทุกอย่างก็เพื�อให้ท่านทั�งหลายได้มีโอกาสเข้าถึง ธรรมชาติตรงนี� คอื เข้าถงึ ความบริสทุ ธ�ิของธรรมชาติ ซ�ึงจะเข้าถึงได้ ทุกขัน� ตอนมีความสําคัญทัง� หมด ต้องเตรียม ความพร้อม ตรวจสิ�งแฝงฝังทั�งหมดก่อน และช่ วงการเดิน สภาวธรรมเพ�ือสะสมกาํ ลังสติจนสามารถสลดั คืนได้ กจ็ ะเข้าส่ชู ่วง สุดทา้ ยทส�ี ําคญั ท�ีสุดคือ การเขา้ ถงึ ความบรสิ ทุ ธ�ิของธรรมชาติ 48

• เพิม� ความละเอียด อยู่กับความสบาย... ความว่างอยู่รู้อยู่ไปเร�ือยๆสบายๆ สภาวะตรงนีจ� ะไม่มีที�ยึดท�ีเกาะแล้ว เป�นสภาวะรู้ท�ีบริสุทธ�ิ ว่างอยู่ รูอ้ ยู่ จากนัน� กจ็ ะนําท่านทงั� หลายเพิม� ความละเอียดให้สูงขึน� ความ ละเอียดตรงนี� แต่ละคนจะสัมผัสได้ไม่เท่ากัน ขึ�นอยู่กับบารมีธรรม ของแต่ละคน ถ้าเรามีความบริสุทธ�ิเป�นต้นทุนของเรามากบารมีมากเราจะ รู้สึกว่าละเอียดขึ�นมาก แต่ถ้าเราต้นทุนน้อยเราอาจจะรู้สึกน้อยก็ 49

ต้องค่อยๆสะสมไป เข้าถึงความบริสุทธ�ิเหมือนกัน แต่เข้าถึงความ ละเอียดได้ไม่เท่ากัน ความเนียนละเอียดของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ขึน� อยู่กับพลงั งานความบรสิ ทุ ธ�ิของตนเองท�สี ะสมมา ช่วงนีจ� ะพาเพิ�มความละเอียดขึน� ไปเรื�อยๆ ท่านทัง� หลายก็จะ แช่อยู่กับพลังงานความว่างท�ีบริสุทธ�ิ ช่วงนีจ� ะเป�นโอกาสท�ีจะเติม เต็มความบริสุทธ�ิให้แก่ตนเองอยู่เนืองๆ ก็อยู่กับความเบิกบานไป เร�ือยๆสบายๆ สะสมอริยทรัพย์อันประเสริฐให้แก่ตนเองอยู่เนืองๆ สงิ� นีแ� หละทีจ� ะไปช� าระลา้ งบาป และอกุศลธรรมใหห้ มดสิน� ไปได้ 50


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook