Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 25112557_1356323627

25112557_1356323627

Published by น.ส.จิราภรณ์ บุญสงค์, 2019-03-18 04:11:55

Description: 25112557_1356323627

Search

Read the Text Version

สรปุ เนอ้ื หารายการท่ี 5 พันธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชวี ภาพ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธกุ รรม ความหลากหลายทางชีวภาพ ลกั ษณะทางพันธกุ รรม การจดั หมวดหมสู่ ่ิงมีชวี ิต ความแปรผนั ของลกั ษณะทางพันธกุ รรม การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธศุ าสตร์ ช่อื ของสิ่งมชี วี ิต หน่วยพนั ธุกรรม ความผิดปกติของโครโมโซมและยนี อาณาจกั รของส่งิ มชี ีวติ การกลายพันธุ์ คุณคา่ และการอนรุ กั ษค์ วาม หลากหลายทางชีวภาพ เรอ่ื งที่ 1 การถา่ ยทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ลกั ษณะทางพนั ธุกรรม (genetic character) คือ ลักษณะต่าง ๆ ในสิ่งมีชวี ิตท่ถี ูกถ่ายทอดจากรนุ่ หนงึ่ ไปยงั รุ่นตอ่ ๆ ไปโดยผา่ นทางเซลลส์ บื พันธ์ุ ทาใหส้ ่งิ มีชวี ติ ชนิดหน่ึง มีลกั ษณะเฉพาะตัวท่ีแตกต่างจากลกั ษณะ ของสง่ิ มีชวี ิตชนิดอืน่ ๆ เช่น สผี วิ สตี า ลกั ษณะเสน้ ผม สีและกลนิ่ ของดอกไม้ เป็นต้น ความแปรผนั ของลักษณะทางพนั ธุกรรม (genetic variation) คือ ลักษณะที่แตกตา่ งกนั เนอื่ งจาก พันธุกรรมทีไ่ มเ่ หมอื นกัน และสามารถถ่ายทอดไปสรู่ นุ่ ลกู ได้ แบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื 1. ลกั ษณะทม่ี ีความแปรผนั แบบต่อเนือ่ ง ( continuous variation) เป็นลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่ไี ดร้ บั อิทธิพลจากพันธุกรรมร่วมกบั สิง่ แวดล้อม มกั ถกู ควบคมุ โดยยนี หลายคู่ มักเกีย่ วข้องกบั ทางด้าน ปรมิ าณ ทาใหไ้ ม่สามารถแยกความแตกต่างไดช้ ดั เจน เช่น ความสงู น้าหนัก โครงร่าง สผี ิว สตปิ ญั ญา 2. ลักษณะที่มีความแปรผันแบบไมต่ อ่ เน่อื ง (discontinuous variation) เปน็ ลักษณะทางพันธกุ รรมที่ เกดิ จากอทิ ธพิ ลทางพันธกุ รรมเพียงอยา่ งเดียว ไมแ่ ปรผันตามสิง่ แวดลอ้ ม จึงสามารถแยกความ

แตกต่างได้อย่างชดั เจน มักเกี่ยวข้องกันทางด้านคณุ ภาพ เชน่ หมูเ่ ลือด ลกั ษณะเสน้ ผม ความถนัด ของมือ ลกั ยม้ิ จานวนช้ันของหนงั ตา การเวียนของขวัญ การถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธศุ าสตร์ เกรเกอร์ เมนเดล ( Gregor Mendel ) บดิ าแห่งวิชาพันธุศาสตร์ ไดผ้ สมพันธุ์ระหว่างถ่ัวลันเตาตน้ สงู กบั ต้นเตีย้ โดยใหย้ ีน T ควบคมุ ลักษณะตน้ สูงซึ่งเป็นลักษณะเด่น สว่ นยีน t ควบคมุ ลักษณะต้นเตย้ี ซึง่ เปน็ ลกั ษณะดอ้ ย พบวา่ ในลกู รนุ่ ท่ี 1 เมื่อยนี T เข้าคูก่ ับยีน t ลกั ษณะที่ปรากฏจะเปน็ ลักษณะทค่ี วบคุมดว้ ยยนี เดน่ นั่นคอื ลูกในรุ่นที่ 1 มีลักษณะต้นสูงหมดทกุ ต้น ลูกในรนุ่ ท่ี 1 มีฟีโนไทปเ์ หมือนกันเชน่ TT = Tt ต้นสงู จากนน้ั นาลูกรนุ่ ที่ 1 มาผสมกันเอง พบวา่ ในลูกรนุ่ ที่ 2 จะไดต้ น้ สูงและต้นเตยี้ ในอตั ราสว่ น 3 : 1 จงึ สรุปได้วา่ ลกั ษณะเด่น ( dominance ) คือลกั ษณะตา่ ง ๆ ทปี่ รากฏในลกู รุ่นท่ี 1 ลักษณะดอ้ ย ( recessive ) คือลักษณะทไี่ มป่ รากฏในรนุ่ ลูกท่ี 1 แตก่ ลับปรากฏในลูกรุ่นท่ี 2 หนว่ ยพนั ธุกรรม DNA (Deoxyribonucleic acid) เป็นสารพนั ธุกรรม เกิดจากการต่อกันเป็นเส้นโมเลกุลยอ่ ย มี ลกั ษณะเปน็ เกลียวคู่คล้ายบนั ไดเวียน พบในส่งิ มชี ีวติ ทุกชนดิ แตล่ ะโมเลกุลของดีเอ็นเอประกอบด้วยหน่วย ย่อยๆ เรยี กว่า นวิ คลีโอไทด์ (nucleotide ) ซึง่ ใน 1 นิวคลโี อไทด์ ประกอบด้วย 1. หมฟู่ อสเฟต (Phosphate group) PO43- 2. นา้ ตาลเพนโตส ซ่งึ มคี าร์บอน 5 อะตอม คอื นา้ ตาลดอี อกซไี รโบส ( Deoxyribose Suger ) 3. ไนโตรจีนสั เบส (Nitrogenous Base) เป็นโครงสร้างประกอบดว้ ยวงแหวน แบง่ เปน็ 2 กล่มุ คือ 3.1 เบสไพริมิดนี ( Pyrimidine base) มวี งแหวน 1 วง มี 2 ชนดิ ได้แก่ ไซโทซนี (C) , ไทมนี (T) 3.2 เบสพวิ รนี ( Purine base ) มวี งแหวน 2 วง แบ่งเป็น 2 ชนิดไดแ้ ก่ กวั นีน (G) , อะดีนีน (A) นิวคลีโอไทด์ทม่ี ีเบสไพรมิ ิดีนเปน็ องค์ประกอบ สายดเี อน็ เอแต่ละสาย เปน็ สายของพอลินิวคลีโอไทดท์ ี่เกิดจากการเชอ่ื มต่อกันของนวิ คลีโอไทด์ โดย หมฟู่ อตเฟตทีเ่ ชือ่ มต่อกบั นา้ ตาลดอี อกซไี รโบสท่คี ารบ์ อนตาแหน่งท่ี 5′ ของนวิ คลีโอไทด์หน่ึงเชอื่ มต่ออกี นิวคลี โอไทดห์ น่งึ ตรงตาแหน่งน้าตาลดีออกซีไรโบสที่คารบ์ อนตาแหนง่ ที่ 3′ สายพอลินิวคลีโอไทดท์ ่ีเกิดข้นึ มที ศิ ทาง ปลายข้างหน่ึงเปน็ 5′ ปลายอีกขา้ งหนึ่งเปน็ ปลาย 3′

ภาพตัวอยา่ งการเช่ือมตอ่ ของแตล่ ะนิวคลโี อไทด์ ในธรรมชาติโมเลกลุ ดีเอ็นเอจะอยู่ในสภาพที่มพี อลนิ ิวคลีโอไทด์ 2 สายจบั คกู่ นั เรียงขนานในทิศ ทางตรงขา้ มกัน ดงั นั้น ถ้าสายหนึ่งมีทศิ ทางการตอ่ ลาดับนวิ คลีโอไทดจ์ าก 5 ´ 3´ อีกสายหนึ่งจะมที ศิ ทาง จาก 3´ 5´ โดย เบสไทมีน (T) ยดึ กับ เบสอะดีนนี (A) ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพนั ธะคู่ หรือ double bonds เบสไซโตซนี ( C) ยดึ กบั เบสกวั นีน (G) ด้วยพันธะไฮโดรเจนแบบพันธะสามหรือ triple bonds โครงสร้างของ DNA ยีน (gene) คือ หน่วยพันธุกรรมทค่ี วบคมุ ลักษณะต่าง ๆ จากพ่อแม่โดยผ่านทางเซลลส์ บื พันธไุ์ ปยงั ลกู หลาน ยนี จะอยเู่ ป็นค่บู นโครโมโซม ซงึ่ เป็นสารเคมีจาพวก กรดนวิ คลีอกิ โดยเฉพาะชนดิ DNA โครโมโซม คอื โครงสร้างภายในนวิ เคลยี สท่ีสามารถติดสไี ด้ สง่ิ มีชวี ิตแต่ละชนิดหรือสปชี สี ์ (species) จะมจี านวนโครโมโซมคงที่ ในเซลล์ร่างกายของคนจะมโี ครโมโซม 46 แทง่ หรอื 23 คู่ ซง่ึ แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภท คือ

1. ออโตโซม (Autosome) หรือโครโมโซมร่างกาย คอื โครโมโซม 22 คู่ (คู่ที่ 1 – 22) เป็นโครโมโซมทค่ี วบคุม ลกั ษณะตา่ งๆ ของร่างกายและจะมีเหมอื นกนั ทง้ั เพศหญิงและเพศชาย 2. โครโมโซมเพศ (Sex Chromosome หรอื allosome) คอื โครโมโซมอกี 1 คู่ (คทู่ ่ี 23) ในเพศหญงิ และเพศ ชายจะตา่ งกัน เพศหญงิ มโี ครโมโซมเพศแบบ XX ส่วนเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ XY โดยโครโมโซม Y จะมี ขนาดเล็กกว่าโครโมโซม X ความผิดปกติทางพันธุกรรม ในระดับโครโมโซม >> ผู้ปว่ ยกลมุ่ อาการดาวน์ มีจานวนโครโมโซมคูท่ ี่ 21 เกินกว่าปกติ (มี 3 แทง่ ) ในระดบั ยนี >> โรคธาลัสซเี มยี โรคตาบอดสี การกลายพันธุ์ (Mutation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพของสง่ิ มชี วี ติ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ทางพนั ธกุ รรมในระดับยีนหรือ โครโมโซม ส่งผลตอ่ การสงั เคราะหโ์ ปรตีนในเซลลข์ องสิง่ มชี วี ติ ทาใหส้ ิ่งมีชวี ิตเกดิ ข้นึ มาใหมม่ ลี ักษณะแตกต่าง จากกล่มุ ปกติ ชนิดของการกลายพันธุ์ แบง่ เป็น 2 แบบ คอื 1. การกลายพันธุ์ของเซลล์รา่ งกาย (Somatic Mutation) เซลล์ชนิดนี้เมือ่ เกดิ มิวเทชันแลว้ จะไม่สามารถ ถา่ ยทอดไปยังลูกหลานรนุ่ ต่อไปได้ 2. การกลายพันธุ์ของเซลลส์ ืบพันธ์ุ (Gemetic Mutation) เซลล์เหล่านเ้ี ม่อื เกดิ มวิ เทชันแลว้ จะสามารถ ถ่ายทอดไปยังลกู หลานร่นุ ตอ่ ไปได้ ซง่ึ มผี ลต่อการเปลี่ยนแปลงสปชี สี ์ของสงิ่ มชี วี ติ มากทสี่ ุด และส่งผลต่อ ววิ ฒั นาการของสง่ิ มชี ีวิตด้วย

สาเหตทุ ีท่ าให้เกิดการกลายพนั ธ์ุ อาจเกดิ ขึน้ ไดจ้ าก 2 สาเหตใุ หญๆ่ คอื 1. การกลายที่เกิดขึน้ ไดเ้ องตามธรรมชาติ การกลายแบบนี้พบไดท้ ง้ั คน สตั ว์ พืช ทาใหเ้ กิดสง่ิ มีชวี ติ ใหม่ๆขึ้นมา ตามวนั เวลา จึงเกิดวิวฒั นาการของสิ่งมชี วี ิต 2. การกลายพันธ์ุท่ีเกดิ จากการกระตนุ้ จากรังสี แสงแดดและสารเคมี เร่อื งที่2 ความหลากหลายทางชวี ภาพ คอื การทม่ี สี ่ิงมีชีวิตมากมายหลากหลายสายพันธ์แุ ละชนดิ ในบริเวณใดบริเวณหนงึ่ อาจเป็นไดท้ ้ัง ความหลากหลายของชนิด ความหลากหลายทางพันธกุ รรม และความหลากหลายของระบบนิเวศ การจดั หมวดหมสู่ ่ิงมชี ีวติ อนุกรมวธิ าน (Taxonomy) เปน็ การศกึ ษาวจิ ยั เกีย่ วกับการจาแนกพนั ธุ์ หรือ การจัดหมวดหมู่ สง่ิ มชี ีวติ เพ่ือความสะดวกท่ีจะนามาศกึ ษาและใช้ประโยชน์ โดยรวบรวมสิ่งมชี วี ิตท่ีมีลกั ษณะเหมอื นๆ กันหรือ คล้ายกันเขา้ ไวใ้ นหมวดหมู่เดียวกัน และจาแนกสงิ่ มชี วี ิตที่มลี กั ษณะแตกตา่ งกันออกไว้ต่างหมวดหมกู่ นั ซง่ึ จะ ศกึ ษาในดา้ นตา่ งๆ 3 ลกั ษณะไดแ้ ก่ 1. การจดั จาแนกส่งิ มีชีวิตเปน็ หมวดหมูต่ า่ งๆ (Classification) 2. การตรวจสอบหาชื่อวิทยาศาสตร์ทถี่ กู ต้องของสงิ่ มีชีวติ (Identification) 3. การกาหนดช่อื ทเ่ี ป็นสากลของหมวดหมู่ (Nomenclature) ดงั นน้ั Taxonomy = Classification+ Identification+ Nomenclature ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้จดั จาแนกสงิ่ มีชวี ติ เป็นหมวดหมูโ่ ดยเรียงลาดบั จากหมวดหมใู่ หญ่ไปหาหมวดหมู่ ยอ่ ยไดด้ งั น้ี อาณาจกั ร (Kingdom) ไฟลมั หรอื ดวิ ิชนั (Phylum or Division) ดิวชิ ันใช้กบั พืช คลาส (Class) = ชน้ั ออร์เดอร์ (Order) = อันดับ แฟมิล่ี (Family) = วงศ์ จีนัส (Genus) = สกลุ สปชี ีส์ (Species) = ชนิด หมวดหมู่ใหญ่จานวนชนิดมากกว่าแตม่ คี วามคลา้ ยคลึงนอ้ ยกว่าหมวดหม่ยู ่อย สปชี สี ์เดียวกนั สามารถผสมพนั ธุ์กนั ได้และไดล้ กู ทีไ่ มเ่ ป็นหมนั สปีชสี ์ (Species) คืออะไร สปชี สี ์ คือ ลาดับขนั้ ยอ่ ยสดุ ของการจัดหมวดหมขู่ องสงิ่ มีชวี ิตซงึ่ ประกอบด้วยกล่มุ ของส่ิงมชี ีวิตท่มี ี ลกั ษณะทางกรรมพันธุเ์ หมือนกนั และผสมพนั ธ์ุกันได้ให้ลูกหลานทีไ่ ม่เป็นหมัน หรอื สปชี ีส์ คอื ลาดับขัน้ ย่อย

สุดของการจดั หมวดหมสู่ งิ่ มชี วี ิตทป่ี ระกอบด้วยกลุ่มของสง่ิ มีชีวติ ที่มีกลมุ่ ยนี ของประชากรมาจากบรรพบรุ ุษ เดยี วกนั สรปุ หลกั สาคัญของสิ่งมชี ีวติ ท่จี ดั อยู่ในสปีชสี เ์ ดียวกัน 1. สามารถให้ลูกหลานท่ไี ม่เป็นหมนั (Fertility) 2. มกี ลุ่มยนี ของประชากรมาจากบรรพบรุ ษุ เดยี วกนั 3. โดยปกตจิ านวนโครโมโซมในเซลล์ของสงิ่ มีชีวิตเดียวกนั มักเทา่ กนั แตไ่ ม่แนน่ อนเสอไป เชน่ กรณขี อง ผงึ้ พบวา่ ผึ้งเพศเมียจะมีโครโมโซมมากกว่าเป็น 2 เทา่ ของผ้ึงเพศผู้ เพราะวา่ ผึ้งเพศเมียเกดิ จากการ ปฏิสนธริ ะหวา่ ไขก่ ับสเปริ ์ม แตผ่ ้ึงเพศผูเ้ กดิ จากการเจริญของไขไ่ ปเปน็ ตวั ออ่ น โดยไมต่ อ้ งปฏิสนธิ (Parthenogenesis) หรอื ในสิ่งมีชีวิตตา่ งสปชี ีสก์ ัน อาจมีโครโมโซมเท่ากันได้ ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ (Scientific name) ช่ือวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นชอ่ื เฉพาะเพ่ือใช่เรียกสง่ิ มชี วี ิตเป็นแบบสากล ซึ่งนกั วิทยาศาสตร์ทั่วโลกไม่วา่ ชาติ ใด ภาษาใดจะใชเ้ ปน็ ชือ่ เดียวกนั โดยใช้ภาษาลาตินสาหรบั การตงั้ ชื่อวิทยาศาสตร์ ดังน้ัน ช่อื วิทยาศาสตร์จงึ ช่วยขจัดปญั หาในการสอ่ื ตดิ ตอ่ ทวั่ โลก คาโลลัส ลินเนยี ส (Carolus Linnaeus) นักชีววิทยาชาวสวีเดนเปน็ ผู้ริเร่มิ ในการตั้งช่ือวิทยาศาสตรใ์ ห้กับส่ิงมีชวี ติ เมอ่ื พ.ศ. 2310 โดยเสนอ ใหใ้ ช้ 2 ชอ่ื เรียกวา่ Binomial nomenclature จึงได้รับการยกยอ่ งเป็น “บดิ าแหง่ การต้งั ช่ือวทิ ยาศาสตร์” การตง้ั ชื่อสิ่งมีชีวติ มี 2 แบบ คือ 1. ช่อื สามัญ (Common name) เป็นช่อื ของส่งิ มีชวี ติ ทต่ี ้ังขนึ้ เพอื่ ใชเ้ รียกในแต่ละทอ้ งท่ี อาจต้ังตาม ลักษณะรูปร่าง ต้ังตามถน่ิ กาเนิด ตัง้ ตามที่อยู่ หรอื ตัง้ ตามประโยชนท์ ่ีได้รบั 2. ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ (Scientific name) เป็นช่ือท่ีใช้เรียกสิง่ มีชีวติ ตามหลักสากล ทว่ั โลก เขา้ ใจตรงกนั ประกอบดว้ ยชอื่ 2 ชอ่ื เรียกว่า “การตง้ั ชอ่ื แบบทวินาม” (Binomial nomenclature) โดยให้ชอ่ื แรกเปน็ ช่อื “จีนัส” สว่ นช่ือหลังคือช่อื “สปีชสี ์” หลักการต้ังชื่อวิทยาศาสตร์ 1. ต้องเป็นภาษาละตนิ เสมอ หรอื ภาษาอื่นท่ีแปลงมาจากภาษาละตนิ (เน่อื งจากภาษาละตินเปน็ ภาษาทต่ี ายแล้ว ไมใ่ ชเ้ ปน็ ภาษาพูด จงึ มีความหมายไม่คอ่ ยเลยี่ นแปลง) 2. มชี อ่ื ทถี่ กู ต้องเพียงชอ่ื เดยี ว 3. ชื่อวิทยาศาสตร์ประกอบด้วย 2 คา คาแรก เป็นชื่อจนี ัส ขึ้นตน้ ด้วยอักษรตัวใหญ่ คาหลงั เป็นชอ่ื เฉพาะ ( Specific epithet) ข้ึนตน้ ด้วยอักษรตวั เลก็ ซ่ึงมกั จะเปน็ คาคณุ ศพั ท์แสดง ลกั ษณะเด่น เชน่ สี ขนาด รสชาติ ถ่นิ กาเนิด รปู พรรณสณั ฐาน บุคคลผคู้ น้ พบ หรอื เปน็ เกียรติแกผคู้ ้นพบ สามารถเขียนได้ 2 แบบ ดังนี้ - ถา้ เขยี น หรอื พมิ พใ์ หพ้ มิ พ์ดว้ ยตวั เอนไม่ตอ้ งขีดเสน้ ใต้ เช่น ชือ่ วทิ ยาศาสตร์ของคน Homo sapiens - ถา้ ไมใ่ ช้ตวั เอนตอ้ งขีดเส้นใต้ชื่อ 2 ชือ่ โดยเส้นท่ขี ีดเส้นใตท้ ั้งสองไม่ตดิ ตอ่ กนั เชน่ Homo sapiens 3. อาจมีชือ่ ยอ่ ของผู้ตั้งช่อื หรือ ผู้คน้ พบตามหลงั ด้วยกไ็ ด้ เช่น Passer montanus Linn.

4. ช่ือวทิ ยาศาสตร์อาจเปล่ยี นแปลงได้ ถ้ามกี ารคน้ พบรายละเอียดเก่ียวกบั สงิ่ มีชวี ติ นน้ั เพ่มิ เตมิ ภายหลัง สงิ โต มีชอ่ื วิทยาศาสตร์ Felis leo เสอื มีช่ือวทิ ยาศาสตร์ Felis tigris แสดงว่า สิงโต และเสือ อยใู่ นจนี ัสเดยี วกนั แต่ต่างสปชี ีส์ อาณาจักรของสิง่ มชี ีวิต ในปจั จุบนั นยิ มจัดจาแนกสงิ่ มชี ีวติ ตามแนวความคิดของ อาร์ เอช วทิ เทเคอร์ (R.H. whittaker) ซึ่งจะ จาแนกสง่ิ มีชีวติ ออกเป็น 5 อาณาจกั ร คอื 1. อาณาจักรมอเนอรา ( Kingdom Monera ) สง่ิ มชี วี ติ ในอาณาจกั รมอเนอราเป็นส่งิ มชี วี ติ ชน้ั ต่า ในกลุ่มโพรคารโิ อต เซลล์ไม่มเี ย่ือหุ้มนวิ เคลียส มโี ครงสรา้ ง ไม่ซบั ซอ้ น เปน็ สิ่งมีชวี ิตเซลล์เดียว ส่ิงมีชวี ิตในอาณาจกั รนไี้ ด้แก่ สาหรา่ ยสเี ขียวแกมน้าเงิน และแบคทเี รยี 2. อาณาจักรโพรทิสตา ( Kingdom Protista ) ส่งิ มีชวี ติ ในอาณาจักรโพรทิสตา เปน็ สงิ่ มีชีวิตกลมุ่ ยคู าริโอต เซลล์มีเย่อื หมุ้ นวิ เคลยี ส ส่วนใหญเ่ ปน็ สงิ่ มีชวี ิต เซลลเ์ ดยี วหรือหลายเซลลแ์ ต่ไมม่ เี นอ้ื เยื่อ ไมม่ ีตัวออ่ น มีทัง้ ประเภทชั้นตา่ เคลือ่ นทีไ่ ด้ และไมไ่ ดม้ ที ัง้ พวกที่เป็น ผผู้ ลติ (Autotroph) และผบู้ รโิ ภค (Consumer)ได้แก่ อะมบี า พารามเี ซยี ม ยูกลนี า ราเมือกสาหร่ายสีแดง สาหร่ายสีนา้ ตาล สาหรา่ ยสีน้าตาลแกมเหลอื ง เช่น ไดอะตอม 3. อาณาจักรฟงั ไจ ( Kingdom Fungi ) สิ่งมชี วี ติ ในอาณาจักรฟังไจส่วนใหญ่เป็นสิ่งมีชีวติ ท่ีประกอบดว้ ยเซลล์หลายเซลล์ เปน็ สิง่ มีชวี ติ กล่มุ ยคู ารโิ อต เซลลม์ เี ย่ือหุ้มนิวเคลยี ส ไม่มี คลอโรฟิลล์ ส่วนใหญ่ดารงชวี ติ เป็นผยู้ ่อยสลาย มผี นังเซลล์เปน็ พวกไคตินเป็น องค์ประกอบ ฟงั ไจมกี ารสืบพนั ธ์ุแบบอาศัยเพศ และไมอ่ าศยั เพศ โดยการสรา้ งสปอร์จากอบั สปอร์ เช่น ยสี ต์ท่ี ทาขนมปงั หรอื ใช้ในการหมกั สุรา ไวน์ เบียร์ เปน็ ต้น บางชนดิ มหี ลายเซลล์ เช่น รา เห็ด ตา่ งๆ 4. อาณาจักรพืช ( Kingdom Plantae ) สิ่งมชี ีวิตในอาณาจักรพชื เป็นส่งิ มีชีวิตหลายเซลล์ทีป่ ระกอบกันเป็นเน้ือเยือ่ เป็นสง่ิ มีชีวิตกลุม่ ยคู าริโอต คอื เซลลม์ ีเย่อื หุ้มนวิ เคลียส มีคลอโรพลาสตซ์ ึ่งเปน็ รงควตั ถทุ ีใ่ ช้ในการสงั เคราะห์ด้วยแสง มีผนังเซลล์ (Cell wall) เป็นสารเซลลูโลสและสารเพคตนิ ไดแ้ ก่ มอส หวายทะนอย หญ้าถอดปลอ้ ง ตนี ตุ๊กแก ชอ้ งนางคลี่ เฟริ ์น สน ปรง พืชใบเล้ยี งคู่ และพชื ใบเลีย้ งเดีย่ ว 5. อาณาจกั รสตั ว์ ( Kingdom Animalia ) สิ่งมชี วี ิตในอาณาจกั รสัตว์ เปน็ ส่งิ มชี วี ติ ทมี่ ีเน้ือเยื่อซงึ่ ประกอบด้วยเซลล์หลายเซลล์ เซลลเ์ หล่านร้ี ่วมกนั ทา หน้าทเี่ ฉพาะอย่างเปน็ เนอ้ื เย่ือ ไม่มีผนังเซลล์ ไม่สามารถสรา้ งอาหารไดเ้ องเน่อื งจากภายในเซลล์ไมม่ คี ลอโรพ ลาสต์ สามารถตอบสนองต่อสง่ิ เรา้ หรือสิ่งแวดล้อมได้อย่างรวดเร็ว สิ่งมีชวี ิตในอาจักรน้ี แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คอื สตั วไ์ มม่ กี ระดกู สนั หลัง ไดแ้ ก่ ฟองนา้ กลั ปงั หา แมงกะพรนุ พยาธิตา่ ง ๆ ไส้เดอื น หอย ปู แมลง หมึก สัตวม์ ีกระดูกสนั หลัง ไดแ้ ก่ ปลา สัตว์คร่งึ บกคร่งึ นา้ สตั ว์เล้อื ยคลาน สตั วป์ ีก สัตวเ์ ลย้ี งลกู ดว้ ยนม

คุณคา่ ของความหลากหลายทางชวี ภาพ 1. เป็นแหล่งปัจจยั สี่ 2. เป็นแหล่งความรู้ 3. เปน็ แหล่งพกั ผ่อนหย่อนใจ การอนรุ ักษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพของทอ้ งถิน่ 1. จดั ระบบนิเวศใหใ้ กล้เคยี งตามธรรมชาติ 2. จดั ให้มศี นู ย์อนุรกั ษ์หรอื พิทกั ษส์ ง่ิ มีชีวิตนอกถ่ินกาเนดิ เพ่อื เปน็ ทีพ่ กั พิงช่วั คราวทปี่ ลอดภยั เช่น สวน พฤกษศาสตร์ ศนู ยเ์ พาะเล้ียงสัตวน์ ้าเค็ม 3. สง่ เสรมิ การเกษตรแบบไร่นาสวนผสม และใชต้ ้นไม้ล้อมรว้ั บ้านหรอื แปลงเกษตรเพอ่ื ให้มีพืชและสตั ว์ หลากหลายชนิดมาอาศัยอยรู่ ว่ มกัน ซ่งึ เปน็ การอนรุ ักษ์ความหลากหลายทางชวี ภาพได้

แบบฝึกหัด เรือ่ ง พันธุกรรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 1. ขอ้ ใดเป็นลักษณะทางพันธกุ รรมท่มี คี วามแปรผนั แบบไมต่ อ่ เนือ่ ง ก. น้าหนัก ข. ลักย้ิม ค. ส่วนสงู ง. สผี ิว 2. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้องเกี่ยวกับลกั ษณะทางพนั ธกุ รรมทมี่ คี วามแปรผนั แบบตอ่ เนื่อง ก. หมู่เลือดและลักษณะเสน้ ผม มีความแปรผันแบบตอ่ เน่อื ง ข. เปน็ ลักษณะทไ่ี มแ่ ปรผันตามสิ่งแวดลอ้ ม ค. เปน็ ลกั ษณะทีส่ ามารถแยกความแตกตา่ งได้อยา่ งชัดเจน ง. เป็นลกั ษณะท่ีได้รับอทิ ธิพลจากพันธกุ รรมรว่ มกบั ส่ิงแวดลอ้ ม 3. ขอ้ ใดเปน็ สาเหตสุ าคัญทท่ี าให้สงิ่ มชี วี ติ แตกตา่ งกันมากทส่ี ุด ก. สง่ิ แวดล้อม ข. การกินอาหาร ค. พนั ธกุ รรมและส่ิงแวดล้อม ง. ลักษณะเดน่ ของพอ่ และแม่ 4. จากการศกึ ษาผสมพันธุ์ระหว่างตน้ ถว่ั ลนั เตาของเมนเดล สามารถสรปุ ผลได้ดังขอ้ ใด ก. ในลกู รุ่นท่ี 1 จะไดต้ ้นสูงและต้นเต้ยี ในอตั ราส่วน 3:1 เสมอ ข. ในลูกร่นุ ที่ 2 จะได้ต้นเต้ียทัง้ หมด ค. ลักษณะเดน่ ( dominance ) คือลกั ษณะต่าง ๆ ที่ปรากฏในลูกรนุ่ ท่ี1 ง. ลักษณะด้อย ( recessive ) จะปรากฏในรุ่นพอ่ แมเ่ ทา่ นน้ั แต่ไม่ปรากฏในรนุ่ ลูกหลาน 5. บุคคลในข้อใดได้รับยกยอ่ งให้เป็นบิดาแหง่ วชิ าพันธุศาสตร์ ก. คาโรลสั ลนิ เนยี ส ข. เกรเกอร์ เมนเดล ค. อรสิ โตเตลิ ง. หลยุ ส์ ปาสเตอร์ 6.หนว่ ยควบคุมลกั ษณะทางพนั ธุกรรม คือขอ้ ใด ก. ยนี ข. เซลล์ ค. นวิ เคลยี ส ง. โครโมโซม 7. ข้อใดกลา่ วไม่ถูกตอ้ งเกี่ยวกบั โครโมโซมในเซลล์ร่างกายของคน ก. มีจานวน 46 แท่ง หรอื 23 คู่ ข. แบ่งเปน็ 2 ชนิด คอื ออโตโซมและโครโมโซมเพศ ค. ออโตโซม คอื โครโมโซมค่ทู ่ี 1 ถงึ 22 ง. ประกอบดว้ ยออโตโซม 21 คู่ และโครโมโซมเพศ 2 คู่ 8. ข้อใดคอื ความแตกต่างกันระหว่างโครโมโซมของเพศหญงิ และเพศชาย ก. ในเพศหญิงจะมีโครโมโซม 23 คู่ สว่ นเพศชายจะมโี ครโมโซม 22 คู่ ข. จานวนออโตโซมแตกต่างกันในหญงิ และชาย ค. เพศหญิงมีโครโมโซมเพศแบบ XX ส่วนเพศชายมีโครโมโซมเพศแบบ XY ง. ถกู ต้องทุกขอ้

9. ขอ้ ใดกล่าวถกู ตอ้ งเก่ียวกบั DNA ก. เกิดจากการต่อกนั เปน็ เส้นโมเลกุลยอ่ ย ข. เปน็ สารพันธุกรรมที่อยู่ภายในยนี ค. มลี ักษณะเป็นเกลยี วคู่คล้ายบันไดเวียน ง. ถกู ต้องทุกขอ้ 10. ขอ้ ใดไม่เก่ียวกับการถ่ายทอดลกั ษณะทางพันธุกรรม ง. ผวิ คลา้ เพราะอาบแดด ก. ผมตรง ข. ผิวเผือก ค. ดวงตาสนี ้าตาล 11. ผปู้ ่วยกลุ่มอาการดาวน์ เกดิ จากความผิดปกตทิ างพันธกุ รรมอย่างไร ก. เกิดจากความผดิ ปกติในระดบั ยนี ข. มจี านวนโครโมโซมคทู่ ี่ 21 เกินกว่าปกติ ค. มีจานวนโครโมโซมคทู่ ่ี 12 น้อยกวา่ ปกติ ง. รา่ งกายมีจานวนโครโมโซม 52 แทง่ หรอื 26 คู่ 12. ขอ้ ใดเป็นความผดิ ปกติทางพนั ธุกรรมในระดับยนี ก. โรคดาวนซ์ ินโดรม ข. โรคธาลสั ซีเมีย ค. โรคเบาหวาน ง. โรคหวั ใจ 13. ขอ้ ใดกล่าวถกู ต้อง ก. การกลายพนั ธ์ุเกิดไดเ้ ฉพาะมนุษย์ ข. การกลายพันธุม์ สี าเหตมุ าจากการไดร้ บั การกระตุ้นจากรังสี เทา่ น้ัน ค. การกลายพนั ธุ์ของเซลลส์ ืบพันธไุ์ มส่ ามารถถา่ ยทอดไปยังลกู หลานได้ ง. การกลายพันธ์ุคอื การเปลยี่ นแปลงของยนี ซึง่ สง่ ผลตอ่ การสังเคราะหโ์ ปรตนี ในเซลล์ 14. วิชาทว่ี ่าดว้ ยการจัดหมวดหมขู่ องส่ิงมชี ีวิตเรียกว่าวชิ าอะไร ก. อนุกรมวิธาน ข. สรีรวทิ ยา ค. มานษุ ยวทิ ยา ง. สมุทรวทิ ยา 15. ขอ้ ใดเปน็ หลกั การเขียนชื่อทางวทิ ยาศาสตร์ของมนษุ ย์ได้ถกู ตอ้ งท่ีสุด ก. Homo sapiens ข. Homo sapiens ค. Homo sapiens ง. Homo sapiens 16. นกยงู จัดเป็นชื่อของส่งิ มชี ีวิตแบบใด ก. ช่ือสามญั ข. ช่ือวิทยาศาสตร์ ค. ช่ือวงศ์ ง. ชื่อเฉพาะ 17. การตง้ั ชอื่ แบบทวนิ ามประกอบดว้ ยชอ่ื ในระดบั ใดบา้ ง ก. ระดบั จีนสั และระดับสปีชสี ์ ข. ระดับจีนสั และระดับออเดอร์ ค. ระดบั ออเดอร์ และระดบั สปชี สี ์ ง. ระดับแฟมิล่ี และระดบั ออเดอร์

18. มนุษย์มชี ื่อทางวทิ ยาศาสตร์ (Scientifi name) ว่า Homo sapiens คาว่า Homo เป็นช่ือของอะไร ก. จนี ัส ข. ไฟลัม ค. คลาส ง. คิงดอม 19. ขอ้ ใดถูกต้องเกี่ยวกบั การจัดลาดบั หมวดหมขู่ องสง่ิ มีชีวติ จากหมวดหมู่ใหญ่ไปหาหมวดหมูย่ อ่ ย ก. ไฟลัม,ออรเ์ ดอร์,คลาส,แฟมิลี่,จีนัส,สปีชีส์ ข. ไฟลมั ,คลาส,จีนสั ,ออรเ์ ดอร์,แฟมิลี่,สปีชสี ์ ค. ดิวิชนั ,คลาส,ออร์เดอร์,จนี สั ,แฟมิล่ี,สปีชีส์ ง. ดวิ ิชัน,คลาส,ออร์เดอร์,แฟมิล่ี,จนี สั ,สปชี สี ์ 20. แนวคิดการจัดจาแนกสิง่ มชี วี ติ ทีน่ ิยมในปัจจุบัน คอื แนวคดิ ของใคร ก. อาร์ เอช วิทเทเคอร์ ข. โคปแลนด์ ค. อริสโตเติล ง. แอนสต์ เฮคเคล 21. อาณาจกั รของส่งิ มชี ีวติ แบง่ ได้เป็นก่ีอาณาจกั ร ก. 2 อาณาจักร ข. 3 อาณาจักร ค. 4 อาณาจักร ง. 5 อาณาจกั ร 22. ข้อใดเปน็ ลาดับในการจาแนกส่ิงมีชวี ิตท่ีเล็กทีส่ ดุ ก. Division ข. Kingdom ค. Species ง. Genus 23. ข้อใดคือลกั ษณะของสงิ่ มชี ีวติ ทจ่ี ดั อยใู่ นอาณาจกัรโพรทิสตา ( Kingdom Protista ) ก. ไมม่ เี ยอื่ หุม้ นิวเคลยี ส ข. เป็นสง่ิ มชี ีวติ ชน้ั ต่า ในกลุม่ โพรคารโิ อต ค. มเี ซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ก็ได้ แตเ่ ซลล์ไมร่ วมกันเป็นเนอ้ื เยอ่ื ง. ยสี ตท์ ที่ าขนมปัง หรอื ใช้ในการหมักสุรา จัดอยใู่ นอาณาจักรน้ี 24. เหด็ เป็นสิง่ มชี ีวติ ที่จดั อย่ใู นอาณาจักรใด ก. อาณาจกั รโมเนอรา (kingdom Monera) ข. อาณาจักรโพรทิสตา (kingdom Protista) ค. อาณาจักรฟงั ไจ (kingdom Fungi) ง. อาณาจกั รพชื (kingdom Plantae) 25. ข้อใดกล่าว ไมถ่ ูกตอ้ ง เกีย่ วกับอาณาจกั รพชื ก. เปน็ สง่ิ มีชวี ิตหลายเซลล์ท่ีประกอบกนั เป็นเนื้อเย่อื ข. ไม่มีคลอโรพลาสต์ ค. สามารถสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเองได้ ง. มอส เฟริ ์น หวายทะนอย จดั อยู่ในอาณาจักรพืช

26. รา่ งกายประกอบดว้ ยเซลล์หลายเซลล์ ไมม่ ผี นงั เซลล์ ภายในเซลล์ไม่มีคลอโรพลาสตค์ อื ส่งิ มชี วี ิตใน อาณาจกั รใด ก. อาณาจักรโมเนอรา (kingdom Monera) ข. อาณาจกั รโพรทสิ ตา (kingdom Protista) ค. อาณาจกั รฟังไจ (kingdom Fungi) ง. อาณาจักรสตั ว์ ( Kingdom Animalia ) 27. สาหร่ายสีเขียวแกมนา้ เงนิ จัดอยู่ในอาณาจักรใด ก. อาณาจกั รมอเนอรา ข. อาณาจกั รโพรทสิ ตา ค. อาณาจกั รฟงั ไจ ง. อาณาจักรพชื 28. สตั วส์ ามารถจาแนกออกเป็นประเภทใหญๆ่ ก่ีประเภท อะไรบา้ ง ก. 3 ประเภท ไดแ้ ก่ สตั วม์ กี ระดูกสันหลัง สตั วไ์ มม่ ีกระดกู สันหลงั สัตวเ์ ล้ียงลูกด้วยนม ข. 3 ประเภท ไดแ้ ก่ สตั วม์ ีกระดูกสันหลัง สัตวไ์ มม่ กี ระดกู สันหลงั สัตวเ์ ลอื ดอุน่ ค. 2 ประเภท ได้แก่ สตั ว์มกี ระดูกสันหลงั สตั ว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ง. 2 ประเภท ได้แก่ สตั วม์ กี ระดกู สันหลัง สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 29. ข้อใดเปน็ สตั ว์มกี ระดกู สันหลัง ค. ปู ง. ไสเ้ ดอื น ก. ปลา ข. แมงกะพรุน 30. การอนรุ กั ษค์ วามหลากหลายทางชวี ภาพขอ้ ใดไมถ่ กู ต้อง ก. จดั ระบบนเิ วศใหใ้ กลเ้ คียงตามธรรมชาติ ข. จัดใหม้ ีสวนพฤกษศาสตร์ ศนู ย์เพาะเล้ยี งสตั ว์นา้ ค. ปลูกตน้ ไมล้ อ้ มรวั้ บ้านหรือแปลงเกษตร ง. ยกเลกิ การทาไรน่ าสวนผสม

เฉลยแบบทดสอบบทท่ี 5 เรื่อง พนั ธกุ รรมและความหลากหลายทางชีวภาพ 1.ข 2. ง 3. ค 4.ค 5.ข 6. ก 7. ง 8. ค 9. ง 10.ง 11. ข ก 18. ก 19. ง 20.ข 21.ก 22.ค 12.ข 13.ง 14. ก 15.ข 16.ก 17. 23.ง 24.ข 25.ก 26.ง 27.ค 28.ก 29.ข 30.ค 1. คาตอบ ข. ลกั ยิม้ 2. คาตอบ ง. เปน็ ลกั ษณะท่ไี ดร้ บั อทิ ธิพลจากพนั ธุกรรมร่วมกับสงิ่ แวดล้อม 3. คาตอบ ค. พันธุกรรมและส่งิ แวดลอ้ ม 4. คาตอบ ค. ลกั ษณะเด่น ( dominance ) คือลกั ษณะตา่ ง ๆ ท่ปี รากฏในลูกรุ่นท่ี1 5. คาตอบ ข. เกรเกอร์ เมนเดล 6. คาตอบ ก. ยนี 7. คาตอบ ง. ประกอบด้วยออโตโซม 21 คู่ และโครโมโซมเพศ 2 คู่ 8. คาตอบ ค. เพศหญงิ มีโครโมโซมเพศแบบ XX ส่วนเพศชายมโี ครโมโซมเพศแบบ XY 9. คาตอบ ง. ถกู ตอ้ งทกุ ข้อ 10. คาตอบ ง. ผิวคล้าเพราะอาบแดด 11. คาตอบ ข. มจี านวนโครโมโซมคทู่ ี่ 21 เกนิ กว่าปกติ 12. คาตอบ ข. โรคธาลัสซเี มีย 13. คาตอบ ง. การกลายพนั ธ์คุ อื การเปล่ยี นแปลงของยนี ซ่งึ สง่ ผลต่อการสังเคราะห์โปรตนี ในเซลล์ 14. คาตอบ ก. อนกุ รมวิธาน 15. คาตอบ ข. Homo sapiens 16. คาตอบ ก. ช่อื สามญั 17. คาตอบ ก. ระดับจีนัส และระดับสปีชีส์ 18. คาตอบ ก. จนี ัส 19. คาตอบ ง. ดิวชิ ัน,คลาส,ออรเ์ ดอร์,แฟมิลี่,จีนัส,สปชี ีส์ 20. คาตอบ ก. อาร์ เอช วทิ เทเคอร์ 21. คาตอบ ง. 5 อาณาจกั ร 22. คาตอบ ค. Species 23. คาตอบ ค. มีเซลล์เดียวหรอื หลายเซลล์ก็ได้ แต่เซลลไ์ ม่รวมกันเป็นเนื้อเย่ือ 24. คาตอบ ค. อาณาจักรฟังไจ (kingdom Fungi) 25. คาตอบ ข. ไม่มคี ลอโรพลาสต์ 26. คาตอบ ง. อาณาจกั รสตั ว์ ( Kingdom Animalia ) 27. คาตอบ ก. อาณาจักรมอเนอรา 28. คาตอบ ค. 2 ประเภท ไดแ้ ก่ สัตวม์ ีกระดูกสันหลัง สัตวไ์ ม่มีกระดูกสนั หลัง 29. คาตอบ ก. ปลา 30. คาตอบ ง. ยกเลิกการทาไร่นาสวนผสม


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook