Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความใส่ใจ Attention

ความใส่ใจ Attention

Published by khanlanit.cc.hh, 2022-01-27 18:40:30

Description: เป็นหนังสือจัดเพื่อเรียน เกี่ยวกับความใส่ใจ

Keywords: คอกเทลปาร์ตี้

Search

Read the Text Version

1

2

ก คำนำ หนังสอื อิเล็กทรอนกิ ส์ ( E-Book ) นี้ ทางผู้จดั ได้รวบรว่ ม เรยี บเรยี งเนือ้ หาจากแหล่งตา่ ง ๆ และหนังสือเรียนจิตวิทยาการรู้คิด บทที่ 3 “ความใส่ใจ” ( Attention ) เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา จิตวทิ ยาการรคู้ ดิ (PG 2114-63) โดยมีจดุ ประสงค์ใหไ้ ด้ศกึ ษาความรู้ใน เรื่องความใสใ่ จ มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจและทำการค้นคว้าเรื่องนี้ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความหมาย ของความใส่ใจ ความสำคัญของความใส่ใจ คุณลักษณะและหน้าท่ีของความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลอง การเลือกความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งความใส่ใจ ความใส่ใจทางการมองเห็น ข้อจำกัดของความใส่ใจทางการมองเห็น งานวิจัยทางจิตวิทยาการรู้คิดที่เกี่ยวข้องกับความใส่ใจและ การประยกุ ต์ใช้ คณะผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลังทำการค้นคว้าข้อมูลเรื่องนี้และสามารถนำไปพัฒนาในด้าน การศกึ ษา ฯลฯ ได้ หากในเนอื้ หานีม้ ีขอ้ ผดิ พลาดประการใด ทางผู้จดั ยนิ ดนี ้อมรบั คำแนะนำไวแ้ ละ ขออภยั ในความผิดพลาดมา ณ ที่น้ี คณะผจู้ ดั ทำ วนั ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2565

สารบญั ข หัวเรอื่ ง หนา้ คำนำ ก สารบัญ ข ค สารบญั ภาพ ง สารบญั ตาราง 1 2 ความหมายของความใสใ่ จ (ATTENTION) 3 ความสำคัญของความใสใ่ จ (ATTENTION) 3 ทฤษฎีทม่ี คี วามเก่ยี วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ 7 7 • ทฤษฎกี ารร้คู ดิ ทางสังคม 9 คณุ ลกั ษณะและหนา้ ทข่ี องความใสใ่ จ 10 10 • ความใสใ่ จเชงิ ปจั จัยนำเข้า (INPUT ATTENTION) 10 • ความใส่ใจเชิงควบคุม (CONTROLLED ATTENTION) 10 ปจั จยั ทเ่ี กีย่ วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ 14 ลกั ษณะของความใสใ่ จของบคุ คล 18 คณุ สมบตั ขิ องความใสใ่ จ 22 หนา้ ทห่ี ลกั ของความใสใ่ จ 23 ทฤษฎีและแบบจำลองการเลอื กความใส่ใจ (SELECTIVE ATTENTION) 25 ทฤษฎแี ละแบบจำลองการแบง่ ความใสใ่ จ (DIVIDED ATTENTION) ความใส่ใจทางการมองเหน็ (VISUAL ATTENTION) ขอ้ จำกดั ของความใสใ่ จทางการมองเหน็ งานวจิ ยั ทางจติ วทิ ยาการรคู้ ดิ ทีเ่ กีย่ วกบั ความใสใ่ จและการประยกุ ตใ์ ช้ สรปุ เนอื้ หา แหลง่ อ้างองิ

1 ความใสใ่ จ (Attention) การศึกษากระบวนการต่างๆ ทางการคิดของบุคคลนั้น อาจเริ่มจากกระบวนการที่ไม่ซับซ้อน และเป็นพื้นฐานของกระบวนการทางการคิดขั้นต่อๆ ไป ซึ่งกระบวนการคิดพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ การใส่ใจ การรับรู้ และการจดจำ เพื่อนำไปสู่การคิดขัน้ สูงต่อไป ความใส่ใจ (Attention) ถือเป็นกระบวนการแรก ๆ ทางการคิดของบุคคล ในบทน้ีจะมีเนื้อหาครอบคลุมเก่ียวกับ ความหมายของความใส่ใจ ความสำคัญ ของความใส่ใจ คุณลกั ษณะและหน้าทขี่ องความใสใ่ จ หน้าทขี่ องความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการเลือก ความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งความใส่ใจ ความใส่ทางการมองเห็นและข้อจำกัดของความใส่ใจ ทางการมองเห็น และงานวจิ ัยทางจิตวทิ ยาการรู้คดิ ท่ีเกีย่ วกบั ความใส่ใจและการประยกุ ตใ์ ช้ ความหมายของความใสใ่ จ (Attention) กระบวนการรู้คิดเริ่มจากการจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Attention) และตัดสินว่ามันคืออะไร (categorization) (Kalat, 2008) ดังนั้นความใส่ใจจึงถือเป็นกระบวนการแรกของกระบวนการทางการคิด เม่ือมกี ารรบั ขอ้ มลู (input) เขา้ มา โดยมผี ใู้ ช้ความหมายของความใส่ใจไว้ต่างๆ ดงั นี้ Wilingham (2007) ไดใ้ หค้ วามหมายความใสใ่ จวา่ กลไกในกระบวนการทางปัญญา หรอื การคิดท่ตี ่อเนื่องกนั Kalat (2008) ไดใ้ หค้ วามหมาย ความใส่ใจไวว้ า่ แนวโนม้ ในการตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ ใด้ สิ่งเร้าหน่งึ มากกวา่ สิง่ เร้าอืน่ ๆ ณ ชว่ งเวลาหนงึ่ หหรือการจำสง่ิ เร้าใดสงิ่ เร้าหนง่ึ มากกวา่ สง่ิ เรา้ อนื่ Ashcroft & Radvansky (2010) ไดใ้ หค้ วามหมายของความใส่ใจไว้ว่า กระบวนการทางจติ ของความพยายาม ที่จะจดจอ่ อยูก่ ับส่ิงเรา้ หรือเหตุการณ์ จากความหมายทกี่ ล่าวมาข้างตน้ สรุปไดว้ า่ ความใสใ่ จ คือ กระบวนการทางจิตในการจดจ่อสิง่ เร้าท่เี ข้ามาเพอื่ นำไปสู่การคดิ อย่างต่อเน่ือง

2 ความสำคญั ของความใสใ่ จ (attention) William James (1890, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ซึง่ เป็นนกั จติ วทิ ยาทม่ี บี ทบาทสำคญั ของการ เกดิ ข้นึ ของกลุ่มหนา้ ท่จี ิต (Functionalsim) ไดก้ ลา่ วถึงความใส่ใจ (attention) ไวใ้ นหนงั สือ The Principles of Psychology ดงั นี้ “Millions of items … are present to my senses which never properly enter my experience. Why? Because they have no interest for me. My experience is what I agree to attend to … Everyone knows what attention is. It is the taking possession by the mind, in clear and vivid from, of one out of what seem several simultaneously possible objects or trains of thought … It implies withdrawal from some things in order to deal effectively with others” จากข้อความดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ความใส่ใจมีความสำคัญเน่ืองจากข้อมูลที่อยู่รอบตัวเรานั้น มีมากมาย หากแต่เราต้องเลือกที่จะสนใจและใส่ใจบางสิ่งเพื่อให้สามารถจัดการกับข้อมูลดังกล่าวได้ อย่างมีประสิทธิภาพดัง นั้นการจัดการข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาและสามารถนำไปสู่กระบวนการคิดได้ อย่างมีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยความใส่ใจ ความใส่ใจมีผลต่อการรับรู้ ความจํา ภาษา และการแก้ไขปัญหา (Goldstein, 2008) ซ่ึงความต้ังใจ สนใจ เป็นระบบที่เป็นบทบาทสำคัญ ในกระบวนการรับรู้เพราะเป็นการเลือกข้อมูลจากสิ่งเร้ามารับรู้ร่วมกับข้อมูลที่ดึงออกมาจาก ความรู้สึก ความจำและกระบวนการคิดอื่น ๆ ซึ่งรวมถึงการทำงานร่วมกันของกระบวนการที่มีสติ สำนึก (consciousness) และสติก่อนสำนึก (preconscious) (อุบลวรรณาภวกานันท์, 2556) หากเรามี ความใส่ใจแลว้ จะทำให้กระบวนการคิดทต่ี ่อจากน้ันเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใส่ใจท่ีนำไปสู่การรับรู้ ที่ถูกต้อง และการที่ดี อันนำไปสู่การคิดในลักษณะต่าง ๆ และการเรียนรู้เป็นต้นดังนั้นความใส่ใจจึง มีความสำคญั ในด้านต่าง ๆ ดังน้ี 1. ด้านการเรียนรู้ การเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน นอกห้องเรียน หรือการเรียนรู้ จากประสบการณ์ ตอ้ งอาศยั ความใส่ใจเปน็ พ้ืนฐานในการเรียนรู้ 2. ด้านการประกอบอาชีพ อาชีพต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความใส่ใจสูง เช่น ผู้ควบคุมทางอากาศ (air traffic controllers) นักบิน ผู้ควบคุมแผงปฏิบัติการในห้องต่าง ๆ บุคลากรทางด้านการแพทย์ (medical personnel) และคนขบั รถสาธารณะ เป็นต้น

3 ทฤษฎที มี่ คี วามเกยี่ วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ ทฤษฎีการรู้คิดทางสังคม หรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา (Social Cognitive Learning Theory) “การเรียนรู้โดยการสังเกต” ของแบนดูรา Albert Bandura เป็นผู้ริเริ่มทฤษฎีนี้โดยเสนอโมเดล ตัวกำหนดซึ่งกันและกัน (Reciprocal Determinism Model) โมเดลน้ีกล่าวว่าบุคคล พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อม ส่งผลซง่ึ กนั และกัน บคุ คลกค็ อื สง่ิ มชี ีวิตทม่ี ีทั้งความเชอ่ื ความคิด หรือแม้แต่ลักษณะทางกายภาพของบุคคล ท่ีมีผลต่อ ส่ิงแวดล้อมท่ีเข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น บุคคลอ่ืนมีปฏิสัมพันธ์ท่ีแตกต่างกันถ้าลักษณะ ทางกายภาพแตกต่างกัน และมีผลต่อพฤติกรรมที่แสดงออกดว้ ย เช่น ความเช่ือที่แตกต่างกัน ส่งผลให้พฤติกรรม ที่แสดงออกแตกต่างกัน พฤติกรรมที่แสดงออกก็มีผลย้อนกลับมาหาบุคคล เช่น ถ้าต้ังใจเรียน ก็มีความ คาดหวังว่าจะได้ผลการเรียนดี สิ่งแวดล้อมก็มีย้อนกลับมาหาบุคคล เช่น โรงเรียนสอนให้นิสิตเคารพต่อผู้ใหญ่ สิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อพฤติกรรม เช่น ครูฝึกให้นักเรียนพูดจาไพเราะ และพฤติกรรมก็มีผลต่อสิ่งแวดล้อม เช่นกัน เช่น นกั เรยี นทพ่ี ูดจาไพเราะส่งผลให้ครมู ปี ฏสิ ัมพันธ์ทแ่ี ตกตา่ งจากนกั เรียนพูดจาไม่ไพเราะจากจุด นจ้ี ะเหน็ วา่ บคุ คล พฤติกรรม และสงิ่ แวดล้อมมอี ิทธิพลซ่ึงกันและกนั แตกตา่ งจากทฤษฎี การเรยี นรู้เนน้ พฤตกิ รรมทเี่ นน้ เฉพาะพฤตกิ รรมและสง่ิ แวดลอ้ มเทา่ นั้น กระบวนการหนึ่งที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสามปัจจัยนี้ ก็คือการเรียนรู้ผ่านการสังเกต การเรียนรู้รูปแบบน้ีเป็นกระบวนการที่บุคคลนำทักษะ วิธีการ หรือความเชื่อมาจากผู้อื่น โดยไม่จำเป็นที่ผู้อ่ืน จะตอ้ งไดร้ ับการเสริมแรง กระบวนการเรียนรผู้ ่านการสังเกตน้ีจะผา่ นกระบวนการสขี่ ั้นตอน คอื ความใส่ใจ (Attention) ต่อตัวแบบ การเก็บจ า (Retention) พฤติกรรมที่ตัวแบบแสดงออกมา การแสดงออก (Production) สิ่งมีชีวิตจะแสดงออกพฤติกรรมหากมีโอกาส หรือมีความสามารถในการแสดงออก พฤติกรรมนั้น และแรงจูงใจ (Motivation) ที่ส่งผลให้พฤติกรรมน้ันเกิดหรือไม่เกิด หรือส่งผลให้พฤติกรรมน้ัน คงอยู่ต่อไปหรือไม่ Bandura พิสูจน์ทฤษฎีนี้โดยการทดลองแบ่งเด็กเป็นสามกลุ่ม ให้เด็กดูตัวแบบ ที่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว โดยมผี ลของการกระทำท่ีแตกตา่ งกันสามแบบ แบบท่ี 1 ตวั แบบไดร้ บั รางวัล แบบ ที่ 2 ตัวแบบได้รับการติเตียน และแบบที่ 3 ตัวแบบไม่ได้รับรางวัลหรือการติเตียน จากน้ันให้เด็กเข้าไป ในห้องที่มีสิ่งแวดล้อมคล้ายกับที่ตัวแบบได้อยู่ แล้วผู้วิจัยจะสังเกตผ่านกระจกทางเดียว ดูว่าเด็กแสดง พฤติกรรมก้าวร้าวมากน้อยเพียงใด ผลปรากฎว่าเด็กในกลุ่มที่ตัวแบบได้รับรางวัล และตัวแบบ ไม่ได้รับรางวัลหรือการติเตียนมีพฤตกิ รรมก้าวร้าวในห้องทดลองสูงกว่าเดก็ ในกลุ่มที่ตัวแบบไดร้ บั การติเตยี น จะเห็นวา่ ตวั แบบถือเป็นสงิ่ ที่สำคัญทำให้เกดิ การเรียนรู้ของสิ่งมีชวี ติ

4 ขั้นของการเรยี นร้โู ดยการสังเกตหรือเลียนแบบ แบนดูรากลา่ วว่า การเรียนรทู้ างสังคมดว้ ยการรู้คิดจากการเลียนแบบมี 2 ขนั้ คือ ขน้ั แรก เป็นขน้ั การไดร้ บั มาซง่ึ การเรียนรู้ (Acquisition) ทำให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ ขัน้ ท่ี 2 เรียกวา่ ข้นั การกระทำ (Performance) ซึ่งอาจจะกระทำหรอื ไม่กระทำก็ได้ การแบง่ ขนั้ ของการเรียนรู้แบบ นท้ี ำใหท้ ฤษฎกี ารเรียนร้ขู องบันดูราแตกต่างจากทฤษฎีพฤติกรรมนิยมชนิดอื่น ๆ การเรยี นรู้ ทแี่ บ่งออกเปน็ 2 ขัน้ อาจจะแสดงด้วยแผนผังดงั ตอ่ ไปน้ี แผนผังที่ 1 ข้ันของการเรยี นรู้โดยการเลียนแบบ ขั้นการรบั มาซงึ่ การเรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนประกอบทีส่ ำคญั เป็นลำดับ 3 ลำดบั ดงั แสดงในแผนผังท่ี 2 แผนผงั ที่ 2 ส่วนประกอบของการเรียนรูข้ น้ึ กบั การรับมาซงึ่ การเรียนรู้ จากแผนผังจะเห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง 3 อย่าง ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Processes) ความใส่ใจที่เลือกสิ่งเร้ามีบทบาทสำคัญในการเลือกตัวแบบสำหรับขั้นการกระทำ (Performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เช่น ความสามารถทางด้านร่างกาย ทักษะต่าง ๆ รวมทั้งความคาดหวัง ที่จะได้รับแรงเสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตบันดูรา (Bandura, 1977) ได้อธิบายกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรอื การเรียนรู้โดยตัวแบบว่ามีทั้งหมด 4 อย่าง คือ 1. กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention) 2. กระบวนการจดจำ (Retention) 3. กระบวนการแสดงพฤตกิ รรมเหมอื นตวั อย่าง (Reproduction) 4. กระบวนการการจูงใจ (Motivation) แผนผังท่ี 3 กระบวนการในการเรยี นรโู้ ดยการสังเกต กระบวนการความใส่ใจ (Attention) ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าผู้เรียนไม่มีความใส่ใจ ในการเรียนรู้ โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นส่ิง แรกที่ผู้เรียนจะต้องมี บันดูรากล่าวว่าผู้เรยี นจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สำคัญของพฤตกิ รรมของผู้ที่เป็นตวั แบบ องค์ประกอบที่สำคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ที่มี เกยี รติสูง (High Status) มคี วามสามารถสงู (High Competence) หนา้ ตาดี รวมท้ังการแตง่ ตัว การมอี ำนาจ ที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ คุณลักษณะของผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า (Self-Esteem) ความต้องการ และทศั นคติของ ผู้เรยี น ตวั แปรเหล่านม้ี ักจะเปน็ สิ่งจำกัดขอบเขตของการเรยี นรโู้ ดยการสงั เกต

5 กระบวนการจดจำ (Retention Process) แบนดูรา อธิบายว่า การที่ผู้เรียนหรือผู้สังเกต สามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ก็เป็นเพราะผู้เรียนบันทึกสิ่งท่ีตนสังเกต จากตัวแบบไว้ในความจำระยะยาว บันดูรา พบว่าผู้สังเกตท่ีสามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทำ ของตัวแบบด้วยคำพูด หรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งท่ีตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ท่ีสามารถจดจำสิ่งท่ีเรียนรู้ โดยการสังเกตได้ดีกว่าผู้ที่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแล้วผู้สังเกตที่สามารถ ระลึกถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และสามารถเข้ารหัสด้วยคำพูดหรือถ้อยคำ (Verbal Coding) จะเป็นผู้ท่สี ามารถแสดงพฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน ๆ และนอกจากนี้ถ้าผู้สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ซ้ำก็จะเป็น การช่วยความจำให้ดียิ่งขึ้นกระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ (Reproduction Process) กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็นกระบวนการที่ผู้เรียน แปรสภาพ (Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งที่จำไว้เป็นการเข้ารหัสเป็นถ้อยคำ (Verbal Coding) ในที่สุดแสดงออกมาเป็นการ กระทำหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ ปัจจัยที่สำคัญของกระบวนการเหล่านี้ คือ ความพร้อม ทางด้านร่างกายและทักษะที่จำเป็นซึ่งจะต้องใช้ในการเลียนแบบของผู้เรียน ถ้าหากผู้เรียนไม่มีความ พรอ้ มกจ็ ะไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบได้แบนดรู า กลา่ วว่าการเรยี นรู้โดยการสังเกตหรือการ เลียนแบบไม่ใช่เป็นพฤติกรรมที่ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วย กระบวนการทางพุทธิปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้เรียน ฉะนั้นใน ขั้นการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ (Reproduction) ของแต่ละบุคคลจึงแตกตา่ งกนั ไปผู้เรียนบางคนก็ อาจจะทำได้ดีกว่าตัวแบบที่ตนสังเกตหรือบางคนก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก บางคนก็อาจจะทำได้ไม่ เหมือนกบั ตัวแบบเพียงแต่คล้ายคลึงกับตวั แบบมบี างส่วนเหมือนบางส่วนไม่เหมือนกับตวั แบบ และผู้เรียนบาง คนจะไมส่ ามารถแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบ ฉะนน้ั แบนดูราจึงให้คำแนะนำแก่ผู้ที่มีหน้าที่เป็นตัวแบบ เช่น ผู้ปกครองหรือครูควรใช้ผลย้อนกลับที่ต้อง ตรวจสอบแก้ไข (Correcting Feedback) เพราะจะเป็นการช่วยเหลือใหผ้ ้เู รียนหรือผสู้ งั เกตมีโอกาสทบทวน ในใจวา่ การแสดงพฤตกิ รรมของตัวแบบมอี ะไรบา้ ง และพยายามแกไ้ ขให้ถูกตอ้ ง กระบวนการจูงใจ (Motivation Process) แบนดูรา (1965, 1982) อธิบายว่า แรงจูงใจ ของผู้เรียนท่ีจะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต เนื่องมาจากความคาดหวังว่า การเลียนแบบจะ นำประโยชน์มาใช้ เช่น การได้รับแรงเสริมหรือรางวัล หรืออาจจะนำประโยชน์บางสิ่งบางอย่างมาให้ รวมทั้งคิดวา่ การแสดงพฤตกิ รรมเหมือนตวั แบบจะทำให้ตนหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ในหอ้ งเรียนเวลาครูให้รางวัลหรือลงโทษ พฤติกรรมของนักเรียน คนใดคนหนง่ึ นักเรียนทงั้ ห้องกจ็ ะเรียนรูโ้ ดยการสังเกตและเปน็ แรงจูงใจให้ผู้เรียน

6 แสดงพฤติกรรมหรือไม่แสดงพฤติกรรม เวลานักเรียนแสดงความประพฤติดี เช่น นักเรียนคน หนึ่งทำการบ้านเรียบร้อยถูกต้องแล้วได้รับรางวัลชมเชยจากครู หรือให้สิทธิพิเศษก็จะเป็นตัวแบบให้แก่ นักเรียนคนอื่น ๆ พยายามทำการบ้านมาส่งครูให้เรียบร้อย เพราะมีความคาดหวังว่าคงจะได้รับแรงเสริม หรือรางวัล ในทางตรงข้ามถ้านักเรียนคนหนึ่งถูกทำโทษเนื่องจากเอาของมารับประทานในห้องเรียน ก็จะ เป็นตัวแบบของพฤติกรรม ที่นักเรียนทั้งชั้นจะไม่ปฏิบัติตามแม้ว่าบันดูราจะกล่าวถึงความสำคัญของ แรงเสริมบวกว่ามีผลตอ่ พฤติกรรมที่ผ้เู รยี นเลียนแบบตวั แบบแตค่ วามหมายของความสำคัญของแรงเสริม นั้นแตกต่างกันกับของสกินเนอร์ (Skinner) ในทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant Conditioning) แรงเสริมในทฤษฎี การเรียนรู้ในการสังเกตเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้ผู้สังเกตแสดงพฤติกรรม เหมือนตัวแบบ แต่แรงเสริมในทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์นั้น แรงเสริมเป็นตัวที่จะทำให้ ความถี่ของพฤติกรรมที่อินทรีย์ได้แสดงออกอยู่แล้วให้มีเพิ่มขึ้น อีกประการหนึ่งในทฤษฎีการเรียนรู้ด้วย การสังเกตถือว่าความคาดหวังของผู้เรียนที่จะได้รับรางวัลหรือผลประโยชน์จากพฤติกรรมที่แสดง เหมือนเป็นตัวแบบ เป็นแรงจูงใจที่ทำให้ผู้สังเกตแสดงออก แต่สำหรับการวางเงื่อนไขแบบโอเปอ แรนท์ แรงเสริมเป็นส่ิงท่ีมาจากภายนอกจะเป็นอะไรก็ได้ไมเ่ กี่ยวกบั ตัวของผ้เู รยี น ปจั จยั ท่ีสำคัญในการเรยี นรู้โดยการสังเกต 1. ผู้เรียนจะต้องมีความใส่ใจ (Attention) ที่จะสังเกตตัวแบบ ไม่ว่าเป็นการแสดงโดยตัวแบบ จริงหรือตัวแบบสัญลักษณ์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วยคำพูดผู้เรียนก็ต้องตั้งใจฟังและถ้าจะต้องอ่าน คำอธบิ ายก็จะตอ้ งมคี วามตง้ั ใจที่จะอ่าน 2. ผเู้ รียนจะต้องเข้ารหัสหรือบนั ทึกส่ิงท่สี งั เกตหรอื ส่งิ ทีร่ บั รูไ้ ว้ในความจำระยะยาว 3. ผู้เรียนจะตอ้ งมีโอกาสแสดงพฤตกิ รรมเหมือนตัวแบบ และควรจะทำซำ้ เพอ่ื จะใหจ้ ำได้ 4. ผูเ้ รยี นจะต้องรจู้ ักประเมินพฤติกรรมของตนเองโดยใช้เกณฑ์ (Criteria) ทต่ี ั้งขึน้ ด้วยตนเอง หรอื โดยบุคคลอ่นื

7 คณุ ลกั ษณะและหนา้ ทขี่ องความใสใ่ จ จากความหมายและความสำคัญของความใส่ใจข้างต้น การเข้าใจถึงคุณลักษณะและคุณสมบัติ ของความใส่ใจจะทำให้เราเข้าใจกระบวนการใส่ใจได้ดียิ่งขึ้น โดย Ashcraft and Radvansky (2010) ได้กลา่ วถงึ การแสดงคณุ ลักษณะของความใส่ใจ 2 ประการ คอื ความใส่ใจเชงิ ปจั จยั นำเขา้ (input attention) และความใส่ใจเชิงควบคุม (Controlled attention) ซึ่ง Johnson McCann and Remington (1995, อ้างถึงใน Ashcraft & Radvansky, 2010) ได้เสนอถึงความแตกต่างระหว่าง ความใส่ใจเชิงปัจจยั นำเขา้ และความใสใ่ จเชิงควบคุม ว่าความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้าเป็นกระบวนการอัตโนมัติและรวดเร็วของความ ใส่ใจ ส่วนความใส่ใจเชิงควบคุม เป็นกระบวนการที่ใช้เวลามากของความใส่ใจโดย ( Ashcraft & Radvansky, 2010) ได้อธิบายถึงคณุ ลักษณะสำคัญ ๆ ของความใส่ใจที่ตา่ งกัน 2 ลักษณะ ไวด้ ังน้ี 1. ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้า (input attention) ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้า (input attention) เป็นความใส่ใจประเภทพื้นฐานเกิดขึ้นในช่วงแรกของกระบวนการใส่ใจ กระบวนการเหล่านี้อาจจะเป็นการตอบสนอง แบบปฏกิ ริ ยิ าสะทอ้ นหรือแบบอตั โนมัติซง่ึ เป็นกระบวนการทอี่ ย่ใู นข้นั พ้ืนฐานในแง่ของเน้ือหาของข้อมูลและ การเกิดขึ้นทันที กระบวนการดังกล่าวจึงเป็นกระบวนการพื้นฐานในการนำข้อมูลที่ผ่านประสาทสัมผัสเข้าสู่ ระบบการรคู้ ดิ ท้ังนค้ี วามใส่ใจเชิงปจั จัยนำเขา้ มีคณุ ลกั ษณะ ดังน้ี 1.1 การตนื่ ตวั และการกระตนุ้ (Alertness and Arousal) ความใส่ใจเก่ียวข้องกบั ความสามารถ พื้นฐานในการตอบสนองตอ่ สภาพแวดลอ้ ม ประสาทสัมผัสพื้นฐานดังกล่าวนี้คอื การตื่นตัวและการกระต้นุ ทีเ่ ปน็ สภาวะจำเป็นของระบบประสาทในการตื่นตัว ตอบสนอง และสามารถทจ่ี ะมปี ฏิสัมพันธ์กับจำเป็นของ ระบบประสาทในการตื่นตัวตอบสนองสภาพแวดล้อม โดยระบบประสาทต้องถูกกระตุ้นเพื่อที่จะให้ ความใส่ใจต่อสิ่งเร้านั้น ในการใส่ใจดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับกระบวนการประมวลผล ซึ่งการ ประมวลผลโดยชัดแจ้ง (Explicit processing) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผลที่เป็น จิตสำนึก (consciousness processing) อันเป็นการตระหนักรู้ตัวว่ากำลังดำเนินการในภาระงานหรือกิจกรรมทาง สมองหนึ่ง ๆ (task) รวมถึงผลการการดำเนินการนั้น ๆ ในทางตรงกันข้ามการประมวลผลโดยนัย (Implicit processing) เปน็ กระบวนการทีก่ ารตระหนักรู้ตัวไมม่ สี ว่ นเก่ียวขอ้ งความแตกต่างระหว่างการประมวลผลโดยชัดแจ้ง และการประมวลผลโดยนัยนั้นสามารถอธิบายไดจ้ ากความแตกตา่ งระหวา่ งความจำสองประเภทคือ ความจำ แบบชัดแจ้ง (Explicit memory) และความจำแบบโดยนัย (Implicit memory) ในขณะที่ความจำแบบชัด แจ้ง (Explicit memory) เป็นขอ้ มลู ทถ่ี ูกเก็บไว้ในจิตสำนกึ หรอื เปน็ การระลกึ จำคำศพั ท์ ขอ้ เทจ็ จริง รูปภาพ รวมทั้งรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ นั้นความจำแบบโดยนัย (Implicit memory) เป็นข้อมูลท่ีถูกเก็บไว้ในจิต ใต้สำนึก หรือเป็นความจำทีไ่ มไ่ ด้อยใู่ นอทิ ธิพลของจิตสำนกึ ของประสบการณใ์ นอดตี

8 1.2 การตอบสนองอย่างมีทิศทางและการดึงความใส่ใจ (Orienting reflex and attention capture) ความใสใ่ จเชิงปัจจัยนำเขา้ มีคณุ ลักษณะในดา้ นการตอบสนองอยา่ งมีทิศทางและการดึงความใส่ใจ โดยการตอบสนองอย่างมีทิศทาง (Orientating reflex) หมายถงึ การเปลย่ี นทิศทางเชิงโต้ตอบของความใส่ ใจที่มุ่งไปยังสิ่งเร้าที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ในขณะที่การดึงความใส่ใจ (Attention capture) หมายถึง การ เปล่ยี นทิศทางโดยธรรมชาติของความใส่ใจที่มีต่อส่ิงเร้าตามลักษณะทางกายภาพ โดยแนวคิดในปัจจุบัน เช่ือว่า การตอบสนองอยา่ งมที ิศทางเปน็ การตอบสนองเชิงการหาตำแหน่งส่ิงเรา้ ของระบบประสาท น่ันก็คือ สิง่ เรา้ ที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อน เช่น เสียงหรือแสงไฟ จะกระตุ้นการตอบสนองเชิงการหาตำแหน่งของ สิ่งเร้าการตอบสนองดังกล่าวทำให้เราสามารถป้องกันตนเอง จากอันตรายในลักษณะของปฏิกิริยา สะท้อน หรือไหวพริบในการอยู่รอด การตอบสนองดังกล่าวยังทำให้เราสังเกตสิ่งเร้าที่เป็นประโยชน์ได้ ความใส่ใจนั้นนอกจากจะถูกนำหรือนำทางโดยวัตถุหรือสิ่งของต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมแล้ว อาจจะถูกนำโดย การชี้แนะทางสังคม (Social cue) เช่น เมื่อเราเห็นผู้คนต่างมองไปที่ใด ความใส่ใจของเราก็จะถูกชี้นำ ให้มีทิศทางไปทางนน้ั ด้วย เปน็ ต้น 1.3 จุดสนใจทางสายตา ( Spotlight attention) จุดสนใจทางสายตายตา (Spotlight attention) เป็นคุณลักษณะหนึ่งของความใส่ใจเชิงปัจจัยนำ เข้าซึ่งหมายถึง กลไกการมุ่งให้ความ ใส่ใจทางจิตที่เตรียมพร้อมในการลงรหัสข้อมูลสิ่งเร้า การศึกษาทางด้านจิตวทิ ยาการรู้คิดนั้นส่วนมากจะ เปน็ การศึกษาเก่ียวกับความใส่ใจทางสายตา (Visual attention) ซึ่งเป็นความใส่ใจที่เก่ียวข้องกับตำแหน่ง หรือระยะห่างของสิ่งเร้าที่อยู่ในลานสายตาและวิธีการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้น ดังตัวอย่าง การทดลองของ Posner (1980, อา้ งถงึ ใน (Ashcraft & Radvansky, 2010) ในการทดลองภาระงานการให้ สัญญาณตำแหน่ง (spatial cuing task) ของ Posner ผู้เข้ารับการทดลองจะถูกบอกให้จับจ้องไปที่ เครื่องหมาย + ที่ปรากฏอยู่บนกลางหน้าจอคอมพิวเตอร์และให้จ้องเครื่องหมายดังกล่าวไว้ตลอดการ ทดลอง หลังจากนั้นสัญญาณเชิงทิศทาง (directional cue) จะปรากฏบนหน้าจอสัญญาณเชิง ทิศทางอาจจะเป็นลูกศรที่ชี้ไปทางซ้ายหรือขวา หรือลูกศรที่ชี้ไปทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นสัญญาณที่เป็นกลาง หรอื ไมไ่ ดบ้ อกทิศทาง (neutral Cue) และสดุ ทา้ ยเป้าหมาย (target) จะปรากฏอยบู่ นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในภาระงาน (task) ดังกล่าวผู้เข้ารับการทดลองต้องกดปุ่มเมื่อค้นพบเป้าหมายซ่ึง 80% ของการทดลองนน้ั การให้สัญญาณ (cued trials) ลูกศรจะไปในทิศทางที่เป้าหมายจะปรากฏหลังจากนั้น 1 วินาทีในขณะที่ 20% ของการทดลองการให้สัญญาณนั้นสัญญาณไม่ถูกต้องลูกศรจะไปในทิศทางที่ผิด ในการทดลองผู้เข้ารับการ ทดลองจะต้องจ้องอยู่ที่เครื่องหมาย + ที่อยู่บนกลางหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ทำให้เมื่อมีเป้า หมาย ปรากฏขน้ึ เขา้ รบั การทดลองจะเบยี่ งเบนได้เพียงแค่ความใสใ่ จทางจิตใจ (mental attention) เท่านั้นผลการ ทดลองพบว่า เมื่อผู้เข้ารับการทดลองเบี่ยงเบนความใส่ใจไปที่การให้สัญญาณตำแหน่งท่ีถูกต้อง (ลูกศร ชี้ไปในทิศทางที่เป้าหมายจะปรากฏ) ระยะเวลาการตอบสนอง (Response Time: RT) ในการค้นพบ เป้าหมายเร็วกว่าสญั ญาณท่ีเป็นกลาง (ลูกศรชที้ ัง้ สองทศิ ทาง)

9 2. ความใสใ่ จเชงิ ควบคุม (Controlled attention) ความใส่ใจเชิงควบคุมเป็นการแบ่งปันอย่างตั้งใจ เลือกในการแบ่งความพยายามทางสมองหรือความจดจ่อ โดยคุณลักษณะสำคัญของความใส่ใจเชิงควบคุม คือ การเลือกความใส่ใจ (selective attention) ซึ่งเป็นการเลือกในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น ปรากฏการณ์งานเลี้ยงค็อกเทล (Cocktail party effect) ได้คิดค้นโดย Collin Cherry (1953, อ้าง ถึงใน Sternberg, 2006) ซ่ึงปรากฏการณ์งานเลี้ยงค็อกเทล (Cocktail party effect) คือ การที่บุคคลมี ความสามารถทจี่ ะใส่ใจในข้อความหนึ่งและไม่ใส่ใจขอ้ ความอ่นื รอบ ๆ ตวั Cherry ได้สงั เกตงานเล้ียงค็อกเทลต่าง ๆ และได้เสนอปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Cocktail party problem คือกระบวนการของการติดตามการสนทนา หน่ึงในขณะทมี่ กี ารรบกวนจากการสนทนาอ่ืน ๆ Cherry ได้ศึกษาการแบ่งการใส่ใจโดยทำการทำลอง Cherry ได้ทำการทดลองการฟังซ้ายขวา (Dichotic listening experiment) (Colin Cherry, 1953 อ้างถึงใน Willingham, 2007) โดยให้ผู้เข้ารับการ ทดลองฟังข้อความต่าง ๆ โดยข้อความที่เปิดให้ฟังข้างซ้ายและข้างขวาไม่เหมือนกัน และผู้เข้ารับการทดลอง จะตอ้ งพดู ทวนข้อความที่ไดย้ ินจากขา้ งใดขา้ งหนึ่งเรียกวา่ Shadowing คอื วิธกี ารพูดทวนขอ้ ความออกมา ดัง การจำลองในภาพที่ 1 การทดลองคร้ังน้ีพบว่า เมื่อถามผู้เข้ารับการทดลองให้รายงานเนอ้ื หาข้อมูลข้างท่ีไม่ได้ ใสใ่ จพวกเขาไมส่ ามารถบอกได้ ภาพท่ี 1 ตวั อย่างการทดลอง Dichtic lisening task ท่ีมา : https://www.simplypsychology.org/dichotic-listening.gif

10 จากคุณลักษณะของความใส่ใจเชิงควบคุมในด้านของการเลือกการใส่ใจดังกล่าวนั้น ทำให้ นกั จติ วทิ ยาการรู้คิดไดค้ ดิ คน้ และสรา้ งทฤษฎที ี่เกี่ยวกบั การเลอื กความใส่ใจ ดังจะขอกล่าวถงึ ในรายละเอียด ในหวั ขอ้ ทฤษฎีและแบบจำลองความใสใ่ จในลำดับถดั ไป ปจั จยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ ความใส่ใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้นข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ซึ่ง อุบลวรรณา ภวกานนท์ (2556) ได้เสนอว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความใส่ใจ ประกอบด้วยปัจจัยทางด้านตัวกระตุ้น เช่น ขนาด ความแรง หรือความเข้ม สี การเคลื่อนที่ การเคลื่อนไหว เป็นต้น และปัจจัยทางด้านตัวผู้รับรู้ เช่น ความคุ้นเคย อารมณ์ แรงจงู ใจ ความสนใจ เปน็ ต้น ปัจจัยทางด้านตัวกระตุ้นเป็นลักษณะของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัสซึ่งมีผลต่อการเลือก การใส่ใจ (selective attention) ของเรา รวมถึงปัจจัยทางด้านตัวผู้รับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์และ ความคุน้ เคยซ่ึงมอี ิทธพิ ลต่อการเลือกการใส่ใจเช่นกัน ดงั ผลการวิจยั ของสหรัฐ วงค์ชมภู และคนอื่น ๆ (2560) ซงึ่ ไดศ้ ึกษาอิทธิพลของการเตรียมการรับรู้ (Priming effect) โดยภาพยนตร์เนื้อหารุนแรงที่มีผลต่อการเลือกใส่ ใจต่อสิ่งเร้า (Selective attention) ซึ่งใช้การวัดความไวในการตอบสนอง (Reaction time task) เป็น การวัดการใส่ใจ ในการทดลองนี้กลุ่มตัวอย่างจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มโดยกลุ่มที่ 1 ได้รับชมคลิปวิดีโอจาก ภาพยนตร์ทม่ี เี นอ้ื หารนุ แรง และกลุม่ ที่ 2 ชมคลปิ วิดีโอท่ไี ม่มีเน้อื หารนุ แรง จากนั้นกลมุ่ ตัวอยา่ งจะได้ดภู าพ ที่มีเนื้อหารุนแรง และไม่รุนแรงอย่างละ 1 ภาพพร้อมกันซึ่งปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ฝั่งซ้ายและขวา โดยใช้วิธีการสุ่มและทันทีที่มีจุดปรากฏบนหน้าจอ กลุ่มตัวอย่างต้องกดแป้นพิมพ์ทันทีเพื่อระบุว่าเห็นจุด ปรากฏอยู่ฝัง่ ซา้ ยหรือขวา ความเรว็ ในการกดตอบสนองถูกบันทึกด้วยโปรแกรม E-Prime 2.0 และใช้สถิติ Mixed ANOVA ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ชมคลิปวิดีโอจากภาพยนตร์ที่มีเนื้อหา รุนแรงมีความเร็วในการตอบสนองต่อจุดที่ปรากฏบนฝั่งภาพรุนแรงไวกว่าจุดที่ปรากฏฝั่งภาพไม่รุนแรง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการเตรียมการรับรู้ในภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรงที่ทำให้กลุ่มตัวอย่างเลือกใส่ ใจต่อภาพท่ีมีเนอื้ หารนุ แรง

11 ลกั ษณะของความใสใ่ จของบคุ คล Ashcraft and Radvansky (2010) ไดก้ ลา่ วถงึ ความใสใ่ จของบคุ คลทม่ี ีลกั ษณะสำคัญ ดังน้ี 1. 1.ขอ้ มลู มากมายอย่รู อบตัวเรานน้ั เกนิ กว่าความสามารถของเราทจ่ี ะใสใ่ จได้ท้งั หมด 2. ความสามารถในการใสใ่ จของเราตอ่ ข้อมูลในครง้ั หนึง่ มขี ดี จำกัด 3. เราสามารถตอบสนองต่อข้อมลู บางอยา่ งและทำภาระงาน (task) บางอย่างโดยใชค้ วามใสใ่ จไมม่ าก 4. หากเรามีการฝึกฝนและความรู้ที่เพียงพอ ภาระงานบางอย่างสามารถกระทำได้อาศัยความใส่ใจ นอ้ ยลง 5. จากคุณลกั ษณะของความใสใ่ จดงั กล่าวสอดคล้องกับคณุ สมบัติของความใสใ่ จ ดงั นี้ คณุ สมบตั ขิ องความใสใ่ จ Willingham (2007) ไดส้ รุปคณุ สมบัตขิ องความใส่ใจไว้ 2 ประการ คอื 1. 1.ความใสใ่ จมขี ดี จำกดั (Attention is limited) ความใส่ใจท่ีเป็นกระบวนทางสมองทตี่ ่อเนอ่ื งไม่สามารถ เกิดขน้ึ กบั สง่ิ เรา้ หรอื ข้อมูลท้ังหมดในเวลาเดียวกันได้ 2. ความใสใ่ จเปน็ การเลือก (Attention is selective) บุคคลสามารถใช้พลังทางสมอง (mental fuel) เลอื กจดจอ่ กับกระบวนการทางการคิดสงิ่ หนึ่งหรืออีกส่งิ หนง่ึ ก็ได้ หากเขาเห็นว่าเหมาะสม หนา้ ทห่ี ลกั ของความใสใ่ จ หน้าที่ของความใส่ใจกระบวนการทางจิตมีหลายหน้าที่ด้วยกัน โดย Stenbetg (2006) ได้เสนอ หนา้ ทห่ี ลกั การของความใส่ใจซึง่ มี 4 หนา้ ท่ี ดงั แสดงในตารางที่ 1

12 ตารางที่ 1 หน้าทหี่ ลักของความใส่ใจ หนา้ ท่ี รายละเอยี ด ตวั อยา่ ง การแบง่ ความใสใ่ จ (Divided attention) เราสามารถจัดการเกี่ยวกับการ คนขับรถที่มีประสบ การ ณ์ การเฝา้ ระวงั และตรวจจบั ทำกิจกรรมมากกกวา่ หนึ่งอย่างใน สามารถที่จะพูดขณะขับรถใน สัญญาณ (Vigilance and signal detection) คราวเดียวกัน และกันแบ่งความ สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่าง การค้นหา (Search) ใส่ใจเม่อื ต้องการ ง่ายดาย แต่ถ้ามีรถคนอื่นขับ เบี่ยงเข้ามาหา เขาจะสลับความ ใส่ใจทั้งหมดของเขาจากการ พูดคุยไปสู่การขับรถได้อย่าง รวดเรว็ ใ น ห ล า ย ๆ ส ถ า น ก า ร ณ์เรา หากเราอยู่ในเรอื ดำน้ำ เราอาจจะ พยายามระวังที่จะตรวจจับว่าจะ มองหาแสงสัญญาณที่ไม่ปกติ สาม ารถสัม ผ ัสสัญญาณได้ หากเราอยบู่ นถนนที่มืดมดิ หรือไม่ซึ่งเป็นสิ่งเร้าเป้าหมาย เราอาจจะพยายามตรวจจับแสง เฉพาะที่เราสนใจ โดยในการใส่ หรือเสียงที่ไม่ปกติ หรือหลังจาก ใจเฝา้ ระวงั ทจี่ ะตรวจจับสัญญาณ แผ่นดินไหวเราอาจจะระมัดระวัง เราเตรียมพรอ้ มท่ีจะมีปฏิกิริยาท่ี เกี่ยวกับกลิ่นของแก๊สหรือควันท่ี รวดเร็วเมื่อตรวจจับสัญญาณสิ่ง ร่วั ออกมา เร้าได้ เราเกี่ยวข้องในการปฏิบัติการ ถ้าเรารู้สึกได้ถึงควัน (อันเป็นผล ค้นหาส่งิ เรา้ เฉพาะ มาจากการเฝ้าระวัง) เราอาจจะ ปฏิบัติการค้นหาแหล่งที่มาของ ควันและเราค้นหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อหากุญแจ แว่นตา และ ส่งิ ของอ่นื ๆ

13 หนา้ ท่ี รายละเอยี ด ตวั อยา่ ง การเลอื กความใสใ่ จ (Selective เราตัดสินใจเลือกส่งิ เร้าที่จะให้ เราอาจให้ความสนใจในการอ่าน attention) ความสนใจและสิง่ เร้าทจ่ี ะ ตำรา หรือฟังสิ่งที่อาจารย์บรรยาย เพกิ เฉย การที่เพกิ เฉยหรือ ในขณะทเี่ พกิ เฉยสิ่งเร้าต่างๆ ไม่ให้ความสำคัญส่งิ เร้า เชน่ เสียงโทรศัพท์ หรอื การเขา้ บางอยา่ งนนั้ ทำให้เราเน้นสง่ิ เร้า ห้องสายของนักศึกษาคนอื่น ทส่ี ำคัญเฉพาะ การจดจ่อความ ใสใ่ จกบั สงิ่ เร้าเฉพาะน้ัน เพิ่ม ความสามารถของเราในการ จดั การส่งิ เร้าเหล่านั้น สำหรับ กระบวนการทางการคดิ ต่างๆ เชน่ การเข้าใจ ภาษา หรอื การ แกไ้ ขปญั หา จากคุณลักษณะและหน้าทีห่ ลักของความใส่ใจท่ีมจี ำกดั ซง่ึ อาจเป็นการเลือกหรือการแบ่งความใส่ใจ น้นั ได้มีนักจิตวิทยาหลายทา่ นเสนอทฤษฎีและแบบจำลองต่าง ๆ ของความใสใ่ จในท่ีน้จี ะขอกลา่ วถงึ 2 กลมุ่ ทสี่ ำคญั ดังน้ี 1. ทฤษฎแี ละแบบจำลองการเลอื กความใส่ใจ (Selective attention) 2.ทฤษฎแี ละแบบจำลองการแบง่ ความใส่ใจ (Divided attention)

14 ทฤษฎแี ละแบบจำลองการเลอื กความใสใ่ จ (Selective attention) กลมุ่ ทฤษฎแี ละแบบจำลองการเลือกความใสใ่ จนั้น มีแนวคิดวา่ กระบวนการของการเลอื กการใส่ใจ คือ ความสามารถที่จะใส่ใจในสิ่งหนึ่งและไม่สนใจสิ่งอื่นๆ การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกการใส่ใจ (Selective attention) ทำให้ไดข้ อ้ ค้นพบต่างๆในม่นี จ้ี ะขอยกตัวอยา่ งดงั นี้ ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกความใส่ใจ(Selective attention) ที่สำคัญทฤษฎีหนึ่งคือทฤษฎีการ กรอง ซ่ึงทฤษฎนี ีถ้ กู นำเสนอโดย Donald Broadbent(1958,อ้างอิงใน Goldstein,2008) ดังภาพที่ 2 โดย มีแนวคิดว่า บุคคลเปรียบเสมือนผู้ประมวลผลข้อมูล (Information Processor) ในทฤษฎีนี้มีสมมติฐาน ที่ว่า การใส่ใจทำหน้าที่เหมือนตัวกรอง (Filter) หนึ่งๆที่ยับยั้งข้อมูลส่วนมากก่อนที่ข้อมูลนั้นจะเข้าไปสู่การ ตระหนักรู้ของบุคคล ข้อมูลต่างๆที่จะเข้ามาจะผ่านการกรอง (Filter) และหากกระบวนการกรองดังกล่าง เกิดขึ้นที่ไหนกจ็ ะเกินภาวะคอขวดขึน้ (Bottle neck) ภาพที่ 2 การกรองข้อมลู ในกระบวนการใส่ใจ

15 ทฤษฎีการกรอง (Fitter theory) ที่เสนอวา่ การใส่ใจทำงานเหมือนตัวกรองนั้นสามารถแบ่งออกได้ เป็น 2 แบบคอื 1. แบบจำลองการเลือกแตแ่ รก (Early-Selection Model) Donald Broadbent (1958, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) เป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสนอทฤษฎีการเลือก แต่แรก (Early filter theory) ดังภาพที่ 3 โมเดลในทฤษฎีนี้ขั้นตอนการกรองเกิดก่อนที่ข้อมูลจะถูก วเิ คราะห์ตคี วามหมาย ตงั น้ันจึงเปน็ การกรองหรือเลอื กจากคุณลักษณะภายนอก (Physical characteristics) ภาพที่ 3 แบบจำลองการใส่ใจของ Broadbent ทมี่ า : https://thescienceexperience.weebly.com/uploads/1/5/1/0/15100098/4439569_orig.jpg Broadbent ออกแบบการทดลองด้วย \"ฟัง dichotic\" เพื่อตรวจสอบกระบวนการที่เกี่ยวข้องเมื่อเปลี่ยน โฟกัสของความสนใจ Broadbent คิดอย่างนั้น ข้อมูลของสิ่งเร้าทั้งหมดที่ปรากฏในช่วงเวลาที่กำหนดให้ป้อน \"บัฟเฟอร์ ทางประสาทสัมผัส\" (ศูนย์บัฟเฟอร์), เรียกอีกอย่างว่า คลังสินค้าระยะสั้น หนึ่งในอินพุตถูกเลือก โดยคุณสมบัติทางกายภาพเพื่อผ่านตัวกรอง เนื่องจากเรามีความสามารถที่ จำกัด ในการประมวลผล ข้อมูลตัวกรองจึงได้รบั การออกแบบมาเพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หร้ ะบบประมวลผลข้อมลู อมิ่ ตวั อินพตุ ทางประสาทสมั ผัสทไี่ ม่ไดเ้ ลอื กจะยังคงอยู่ในบัฟเฟอร์ทางประสาทสัมผสั ส้ัน ๆ และหากไม่ได้หายไป อย่างรวดเร็ว Broadbent สันนิษฐานว่าตัวกรองปฏิเสธข้อความที่ไม่ต้องใส่ข้อมูลในขั้นตอนแรกของ การประมวลผล

16 ภาพท่ี 4 แบบจำลองการใส่ใจของ Broadbent 2. แบบจำลองการเลอื กทหี่ ลงั (Late-Selection Model) Anne Treisman ( 1964, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ได้พัฒนาทฤษฎีจากของ Broadbent โดยได้เสนอทฤษฎี Attenuation theory ดังภาพที่ 5 ซึ่งมีแนวคิดว่า ในการเลือกแต่แรกนั้นตัวกรอง (filter) ไม่ได้กรองข้อมูลออกไปทั้งหมด หากแต่ตัวกรองทำหน้าที่กรองข้อมูลให้น้อยลง (attenuate) โดย Treisman ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ เทรชโฮลด์ (Threshold) ของความรู้สึกว่า หากมีเสียงข้อมูลเข้ามา ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ถึงแม้ว่าข้อมูลจะเข้ามาในช่องทางที่ไม่ได้ใส่ใจหรือข้างที่ไม่ได้ใส่ใจฟัง หาก ข้อมูลดังกล่าวมีความถ่มี ากกวา่ ข้อมลู อ่นื ข้อมลู นั้นก็จะถกู นำไปสู่การรบั รู้ได้ ภาพท่ี 5 แบบจำลองการใส่ใจของ Treisman ทม่ี า : https://thescienceexperience.weebly.com/uploads/1/5/1/0/15100098/9410203_orig.jpg

17 ระดบั การลดทอน ระดับของการลดทอนสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยสัมพันธ์กับเนื้อหาของข้อความที่อยู่ข้าง ล่าง ด้วยการลดทอนจำนวนมากขน้ึ สำหรบั ขอ้ ความที่ไม่ตอ่ เนอ่ื งกันซงึ่ มปี ระโยชน์เพยี งเลก็ น้อยตอ่ ผู้ท่ีไดย้ ิน ภาพท่ี 6 แบบจำลองการใส่ใจของ Treisman Anthony Deutsch and Diana Deutsch (1963, อ้างถึงใน Goldstein, 2008)ได้เสนอทฤษฎีการ กรองทีหลัง (Late filter theory) ดังภาพที่ 7 โมเดลในทฤษฎีนี้สิ่งเร้าหรือข้อมูลทั้งหมดจะถูกวิเคราะห์ไม่ เพยี งแต่จากคุณลักษณะภายนอก แต่รวมถึงความหมายด้วยในโมเดลนี้ข้ันตอนการกรองเกิดหลังจาก ท่ีข้อมูลถูกวิเคราะหต์ ีความหมาย ดงั นน้ั จึงเป็นการกรองหรือเลอื กจากความหมาย (Meanings) ของข้อมูล ภาพที่ 7 แบบจำลองการใสใ่ จของ Deutsch & Deutsch ที่มา: https://ecampusontario.pressbooks.pub/app/uploads/sites/414/2019/06/123.png

18 ภาพที่ 8 แบบจำลองการใส่ใจของ Deutsch & Deutsch ทฤษฎแี ละแบบจำลองการแบง่ ความใสใ่ จ (Divided Attention) ทฤษฎีการแบ่งความใส่ใจ (Divided Attention) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับการแบ่งปันการใส่ใจ ไปในสองส่ิงหรือมากกว่า ในขณะที่ทฤษฎีการเลือกความใส่ใจ (Selective Attention) จะเน้นถึงลักษณะ ของข้อมลู ทเี่ ข้ามารอกรกรองหรอื เลือกโดยมีลักษณะเหมอื นเปน็ คอขวด (Bottleneck และเน้นถงึ ตำแหน่ง ของการกรองหรือการเกิดขึน้ ของคอขวดนี้วา่ อยกู่ อ่ นหรอื หลังการใส่ใจ (Early-Selection Model or Late- Selection Model) โดยมีสมมตุ ิฐานวา่ การเลือกความใส่ใจในภายหลงั จะใช้พลงั ความสามารถทางสมอง (Mental Effort) มากกว่าการเลอื กความใสใ่ จแต่แรก ตามทฤษฎีการแบ่งความใส่ใจ (Divided Attention) ความใส่ใจจะถูกแบ่ง (divide) หรือปันส่วน (allocation) เมื่อบุคคลใส่ใจสิ่งต่าง ๆ มากกว่าสิ่งเดียว ทฤษฎีนี้ช่วยอธิบายว่าเราสามารถทำอะไรหลาย อย่างที่ต้องการใส่ใจในเวลาเดียวกันได้อย่างไร โดยเสนอว่าบุคคลมีการใส่ใจที่จำกัด ดังนั้นเขาเลือกที่จะ ปันส่วนการใส่ใจ (allocate) ตามความต้องการความใส่ใจที่ต้องมีต่อสิ่งที่จะทำนั้น ๆ อย่างไรก็ตามใน ปัจจุบนั นี้เปน็ ที่ยอมรบั ว่าบคุ คลสามารถแบ่งการใส่ใจได้ดีเมือ่ ส่ิงที่กำลังทำหลาย ๆ อย่างนั้นใชร้ ปู แบบการ รับรู้ของระบบสมั ผัส (modality) ทแ่ี ตกตา่ งกนั เชน่ คนส่วนมากสามารถฟังดนตรแี ละตั้งใจเขยี นหนังสือได้ ในเวลาเดียวกันโดยไม่ยาก แต่หากเป็นการดูข่าวได้เขียนหนังสือในเวลาเดียวกันจะเป็นสิ่งที่ยากมาก (Sternberg, 2006) ดังนนั้ ความสามารถในการแบง่ ปันความใส่ใจจงึ มีปจั จยั ท่เี ก่ียวข้อง ดังกล่าวต่อไปน้ี

19 ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ ความสามารถในการแบง่ ปนั ความใสใ่ จ ความสามารถในการแบง่ ความใส่ใจของบคุ คลข้นึ อยู่กบั ปัจจัยสำคัญ 2 ขอ้ ดงั นี้ 1. การฝึกฝน (Practice) การฝึกฝนในกิจกรรมต่าง ๆ นำไปสู่กระบวนการรับรู้อัตโนมัติ (automatic processing) ความต้องการการใส่ใจในการทำกิจกรรมนั้น ๆ ก็จะน้อยลง ซึ่ง automatic processing นี้เกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีความตั้งใจและใช้พลังงานทางสมองไม่มาก ดังตัวอย่างการทดลอง stroop effect ของ Stroop (1935, อ้างถึงใน Ashcraft &Radvansky, 2010) ดังภาพที่ 9 ในการทดลองนี้ คำต่าง ๆ จะปรากฎขึ้น โดยการใช้สีของคำและการสะกดคำจะไม่ตรงกันเช่น การใช้สีแดงกับตัวอักษรท่ี สะกดเป็นคำว่า สีม่วง (purple) เมื่อมีคำเหล่านี้ปรากฎขึ้น กลุ่มตัวอย่างจะต้องบอกสีของคำนั้น ๆ ผลการ ทดลองพบว่า เมื่อสีของคำและการสะกดคำไม่สอดคล้องกันทำให้เกิดการรบกวน (interference) นั่นก็คือ ความช้าในการบอกสีของกลุ่มตัวอย่าง ในกรณีนี้การประมวลผลอัตโนมัติ (automatic processing) เกิดขึ้น เนื่องจากเราฝึกอ่านคำเหล่าน้ีจนสามารถอ่านได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เราบอกสีของคำได้ช้าลงหากคำเหล่านั้น อ่านได้ไม่ตรงกับสีของมัน ในขณะที่ผลของ stroop effect นี้จะไม่เกิดขึ้นหากทดลองกับกลุ่มตัวอย่างท่ีไม่ สามารถอ่านหนังสือได้ โดยเขาเพียงแต่บอกสีของคำเทา่ นนั้ จงึ ไมม่ กี ารรบกวนเกิดข้ึน ภาพท่ี 9 ตวั อยา่ งส่ิงเร้าทีใ่ ช้ในการทดลอง stroof effect ทีม่ า : https://scontent.fcnx3-1.fna.fbcdn.net/v/uTyKsH5nEPpJ5ZshlXDSYi0Vrw&oe=62000CFE 2. ความยากงา่ ยของงาน (Difficulty of task) งานหรือกิจกรรมที่มีความยากต้องอาศัยการใส่ใจในการจดจ่อทำงานนั้น ๆในขณะที่งาน เช่น การอ่าน หนังสือเตรียมสอบ หรือกิจกรรมท่ีมีความง่าย เช่น การทำความสะอาดบา้ น ไม่ต้องการการใสใ่ จในการทำกิจกรรม ดงั กลา่ วมากนกั

20 ทฤษฎเี กย่ี วกบั การแบง่ ความใสใ่ จ (Divided attention) ทฤษฎีและแบบจำลองทเี่ กย่ี วกบั การแบ่งปันความใส่ใจ (Divided Attention) ไดเ้ สนอถงึ การให้ความ ใสใ่ จในส่งิ ตา่ ง ๆ ในเวลาเดยี วกนั ทฤษฎีและแบบจำลองต่าง ๆ ทส่ี ำคัญทจ่ี ะกลา่ วถึงในกลมุ่ ทฤษฎีนีม้ ี 3 ทฤษฎี ได้แก่ 1. แบบจำลองสมรรถนะของความใส่ใจ (Capacity Model of Attention) Kahneman (1973, อา้ งถงึ ใน อบุ ลวรรณา ภวกานนั ท์, 2556) ได้สรา้ งแบบจำลองสมรรถะ ของความใส่ใจขึ้น โดยเสนอว่า มนุษย์สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน โดยมีตัวจัดการ จากศูนย์ประสาทส่วนกลางเป็นตัวแบ่งสรรความใส่ใจที่พิจารณาจากความตอ้ งการ ความยากของงาน และ การฝึกฝน ถ้างานง่ายจะใช้ความใส่ใจน้อยซึ่งเราสามารถทำงานง่าย ๆ พร้อมกันได้ ถ้างานยากจะต้องทุ่ม ความใส่ใจทั้งหมดไปที่งานนั้นความใส่ใจจะเกี่ยวข้องกับจำนวนของความสามารถทางสมองที่ต้องใช้ในการ ทำงานเพื่อใสใ่ จแต่ความสามารถหรือแรงพยายามน้ันมีขดี จำกัดและจำนวนความสามารถที่ใช้ไปต่าง ๆ น้ัน ขึน้ อยูก่ ับระดบั ของการกระตุ้น ดังภาพท่ี 10 ภาพที่ 10 Capacity Model of Attention ท่มี า : https://www.researchgate.net/profile/Interpretation-of-Kahnemans-1973-Capacity-Model- for-Attention-in-relation-to-listening.png

21 2. ทฤษฎรี ูปแบบพหุ (Multimode theory) Johnson and Heinz (1978, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ได้สร้างทฤษฎีรูปแบบ พหุ (Multimode theory) ข้ึนโดยไดเ้ สนอ ความยดื หยนุ่ ของความใสใ่ จ (flexibility of attention) ท่ีบคุ คล สามารถปรับรูปแบบความใส่ใจที่ต้องการหรือเลือกตามความเหมาะสม ความตั้งใจของคนและความ ต้องการที่จำเป็นสำหรับงานจะเป็นตัวกำหนดขั้นการจัดการกับข้อมูลที่ถูกเลือกการใช้รูปแบบนี้ทำให้ ประหยัดเวลาในการเลือกรับข้อมูล ตัวอย่างของภาระงาน (task) ที่ใช้วัดการใส่ใจ เช่น Selective- listening task โดยให้ผู้เข้ารับการทดลองทำภาระงานท่ี 1 โดยฟังคำจากกลุ่มต่าง ๆ และให้บอกคำจาก กลุ่มหน่ึงเท่านั้น ในขณะเดียวกันผู้เข้ารับการทดลองต้องทำภาระงานที่ 2 (secondary task) คือ กดปุ่มให้ เรว็ ท่สี ดุ เทา่ ที่จะทำไดเ้ ม่อื เหน็ แสงไฟ เพอื่ วดั วา่ บุคคลสามารถมีปฏิกริ ิยาตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ทเ่ี ปน็ เป้าหมาย ไดเ้ รว็ แค่ไหน 3. แนวคิดชว่ งเวลาในการหกั เหทางจิตวทิ ยา (Psychological Refractory Period :PRD) Harold Pashler (1993, อ้างถึงใน อุบลวรรณา ภวกานันท์, 2556) ได้เสนอ แนวคิดช่วงเวลาในการหักเหทางจิตวิทยา (Psychological Refractory Period) ซึ่งช่วงเวลาเมื่อบุคคล พยายามที่จะทำกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน การตอบสนองต่อ 1 กิจกรรมหรือ ทั้ง 2 กิจกรรมมักจะช้าลงและกิจกรรมที่ 2 จะเริ่มช้ากว่ากิจกรรมที่ 1 ความช้าที่เกิดจากการทำ กิจกรรมที่ต้องการความเร็วทั้ง 2 กิจกรรมนี้เรียกว่าPsychological Refractory Period (PRP) หรือ ผลกระทบจากช่วงเวลาในการหักเหทางจิตวิทยาดังภาพที่ 11 บุคคลสามารถใช้กระบวนการรับรู้ตัวกระตุ้น ทางภายภาพไดง้ ่าย ในขณะทท่ี ำกิจกรรมที่ 2 ท่ีต้องใช้แต่ความเร็ว เช่น การส่ันกระดิ่งเมื่อเห็นแสงไฟ เป็นต้น แต่บุคคลไม่สามารถทำกิจกรรมทใี่ ช้กระบวนการคิดได้มากกวา่ 1 กจิ กรรม เช่น การท่องคำศัพท์ และฟังขา่ ววทิ ยุ เป็นต้น ภาพท่ี 11 Psychological Refractory Period (PRP) ที่มา : https://www.researchgate.net/profilebottleneck-model-and-how-it-produces-a-PRP-effect.png

22 ความใสใ่ จทางการมองเหน็ (visual attention) นักจิตวิทยาศึกษาความใส่ใจทางการมองเห็นไโดยใช้วิธีการวัดการเคลื่อนไหวของตา (measuring eye movement) โดยใช้อุปกรณ์ตรวจจับพฤติกรรมทางสายตา ที่เรียกว่า Eye Tracker ดังภาพ ที่ 12 (a) โดยทั่วไปในการทดลองการใส่ใจทางการมองเห็นน้ันผู้วิจัยจะเตรียมสิ่งเร้าหรือสื่อเพื่อนำมา ปรากฎหน้าจอคอมพิวเตอร์ และใช้ Eye Tracker ตรวจจับการเคลื่อนไหวตาของผู้เข้าร่วมการ ทดลองว่า จ้อง (fixation) ไปท่ีใดก่อน หลัง และจ้องตำแหน่งไหนนาน ตำแหน่งไหนเร็ว เป็นต้น ดัง ภาพที่ 13 (b) ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับระบบ Eye tracking ดังกล่าวจะทำการประมวลผลข้อมูล เพ่ือนำมาวเิ คราะหค์ วามใส่ใจทางการมองเหน็ (visual attention) ต่อไป ภาพท่ี 12 การใชเ้ ครื่อง eye tracker ในการวัดความใส่ใจทางการมองเห็น ที่มา : https://www.researchgate.net/profile/-5eye-tracker-left-and-the-display-and-host-PCs.png การตดิ ตามทตี่ ดิ ตา Eye-attached tracking ประเภทแรกใช้สิ่งที่แนบมากับดวงตา เช่น คอนแทคเลนส์พิเศษที่มีกระจกหรือเซ็นเซอร์ สนามแม่เหล็กในตัว และการเคลื่อนไหวท่ีแนบใส่ในตานั้น วัดโดยสมมุติฐานแล้วว่าไม่หลุดเมื่อตาหมุน การวัดด้วยคอนแทคเลนส์ที่กระชับทำให้สามารถบันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตาได้ไวมาก และขดลวด ค้นหาด้วยแม่เหล็กเป็นทางเลือกสำหรับนักวิจัยท่ีศึกษาพลวัตและสรีรวิทยาพ้ืนฐานของการเคล่ือนไหว ของดวงตา วิธีนีช้ ่วยให้วดั การเคล่อื นไหวของดวงตาในทิศทางแนวนอน แนวตง้ั และบดิ เบี้ยวได้

23 ภาพที่ 13 การใชเ้ ครอื่ ง eye tracker ในการวัดความใสใ่ จทางการมองเห็น ทม่ี า : https://www2.fgw.vu.nl/werkbanken/dighum_nl/apparatuur/eyelink_opstelling.jpg ขอ้ จำกดั ของความใสใ่ จทางการมองเหน็ การใส่ใจทางการมองเห็นในบางสถานการณ์นั้นมีข้อจำกัด ซึ่งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ ข้อจำกดั ของความใส่ใจทางการมองเห็นมดี ังน้ี 1. Attentional blink ความใส่ใจในบางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดหรือล้มเหลวในการเลือกได้ หรือเรียกว่า ความล้มเหลวในการเลือกความใส่ใจ (Selection Failure) ซึ่ง Raymond, Shapiro, and Amell (1992, อ้างถึงใน Willingham, 2007) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ attentional blink ไว้ว่า attentional blink เกิดจากความสับสนเชิงรับรู้ในกรณีที่มีข้อมูลเป้าหมาย 1 เกิดขึ้นและเป้าหมาย 2 เกิดข้ึน ติดต่อกันอย่างใกล้ชิต ในกรณีนี้บุคคลจะไม่สามารถบอกเป้าหมายที่ 2 ได้ เนื่องจากหลังจากข้อมูล เป้าหมายที่ 1 เกิดขึ้นบุคคลจะอยู่ในขั้นตอนของการประมวลผลที่แปลงข้อมูลดังกล่าวไปสู่ตัวแทน (representation) ในกระบวนการคิดทีค่ งทนมากข้นึ เพอ่ื ทจ่ี ะบอกได้ ในการวัด Attentional blink นั้นสามารถทำได้โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Rapid Serial Visual Presentation (RSVP) ดังภาพที่ 14 ยกตัวอย่างเช่น ในการทดลองนั้นกลุ่มตัวอย่างจะถูกบอกว่าสิ่งที่เขาจะ เห็นต่อไปนี้มีทั้งตัวเลขและตัวอักษร แต่ให้เขาบอกเฉพาะชื่อตัวอักษรทีเ่ ขาเห็น Attentional blink เกิดข้ึน ในกรณีที่ตัวอักษรที่ 2 (Target 2) ปรากฎขึ้นต่อจากตัวอักษรที่ 1 (Target 1) ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ซ่ึง การเกิด attentional blink จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เข้ารับการทดลองรายงานว่าเขาเห็นตัวอักษร V แต่ไม่เห็น ตัวอกั ษร K

24 ภาพท่ี 14 วธิ ีการ Rapid Serial Visual Presentation (RSVP) ทม่ี า : Willingham, 2007 อ้างถึงใน ปวณี า โฆสโิ ต, 2562 2. Inattentional blindness คือ การมองไปที่สิ่งหนึ่งโดยปราศจากการใส่ใจ ดังนั้นสิ่งเร้าใดที่ไม่ถูกใส่ ใจจะไม่ถูกรับรู้ ถึงแม้ว่าบุคคลจะมองตรงไปที่สิ่งเร้านั้น ซึ่ง Simons and Chabris (1999) ได้ทำการ ทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่างดูคลิปวิดีโอของกลุ่มคนที่กำลังส่งบอลไปมา โดยที่กลุ่มตัวอย่างจะต้องบอก จำนวนครัง้ ของการสง่ บอลของทมี ที่ใส่เส้อื สีขาววา่ มที ้ังหมดกี่ครงั้ ผลการทดลองพบวา่ กลมุ่ ตัวอย่างส่วนมาก จะใส่ใจ จดจ่อแต่การนับจำนวนครง้ั ของการส่งบอลของคนท่ีใส่เส้ือสีขาว โดยไมใ่ ส่ใจมองส่ิงเร้าอื่น (เสื้อสี อ่ืน เชน่ สีดำ) ทำใหเ้ ขาไม่รับรู้ว่ามีลิงกอรลิ ล่าสดี ำทีอ่ ยใู่ นวิดีโอนั้นแมว้ า่ ลงิ จะอยู่ในชว่ งระดับสายตาของเขาก็ ตาม 3. Change blindness คือ การไร้ความสามารถในการตรวจพบการเปลี่ยนแปลงของวัตถุหรือ สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในสายตา ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึง change blindness คือ การทดลองของ Simons and Levin ที่มีการเปลี่ยนแปลงบุคคลต่าง ๆ ในสภาวะแวดล้อมของกลุ่มตัวอย่าง เช่น การสร้างสถานการณ์การถาม เส้นทางกับกลุ่มตัวอย่าง โดยบุคคลที่ถามเส้นทางนั้น (บุคคลที่ผู้วิจัยเตรียมการไว้) จะถูกเปลี่ยนไประหว่างการ ถามเส้นทาง โดยขณะที่กลุ่มตัวอย่างกำลังบอกเส้นทางกับบุคคลหนึ่ง จะมีคนแบกแผ่นป้ายใหญ่ ๆ เดิน แทรกกลางระหว่างกลุ่มตัวอย่างกับบุคคลที่ถามทางนั้นเพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวบุคคลที่ถามเส้นทางเป็น คนใหม่ ผลการทดลองพบว่า หลังจากคนแบกแผ่นป้ายเดินผ่านไปและมีการสลับคนถามเส้นทางแล้วกลุ่ม ตัวอย่างยังคงให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางต่อไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าบุคคลที่ตนสนทนาด้วยนั้น เปลี่ยนไป การที่กลุ่มตัวอย่างไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง Change blindness คือ ขอ้ จำกัดของการตระหนกั รู้และเห็นชัดถงึ ความแตกต่างระหวา่ งส่งิ ทเ่ี หน็ กับสิง่ ท่ีเราคิดวา่ เราเห็น

25 งานวจิ ยั ทางจติ วทิ ยาการรคู้ ดิ ทเ่ี กยี่ วกบั ความใสใ่ จและการประยุกตใ์ ช้ Strayer and Johnson (2001) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความล้มเหลวในการใส่ใจทางการมองเห็นที่ถูก เหนี่ยวนำโดยการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถในสถานการณ์เสมือนจริง (simulation) โดยในการทดลองเขา เปรียบเทียบสถานการณ์ขับรถที่ทำกิจกรรมอย่างเดียว (Single task situation) คือ ขับรถกับสถานการณ์ที่ทำ กิจกรรมสองอย่างในเวลาเดียวกัน (Dual task situation) คือ ขับรถและใช้โทรศัพท์มือถือ ซึ่งกลุ่มตัวอย่าง แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม ในกลุ่มควบคุมนั้นสถานการณ์ที่ทำกิจกรรมสองอย่าง คือ ขับรถและ ฟังวิทยุ ดังภาพที่ 15 ผลการศึกษาพบว่าหากเราใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถจะทำให้มีโอกาสผิดพลาด (miss) ในการขบั รถได้มากข้ึนและใช้ระยะเวลาในการตอบสนอง (Reaction Time) ตอ่ สถานการณ์ขับรถมาก ขน้ึ หรือเรยี กได้ว่า การตอบสนองตอ่ สถานการณ์ท่เี กิดขนึ้ ในการขับรถชา้ ลง ภาพท่ี 15 ผลการทดลองสถานการณข์ ับรถโดยทำกจิ กรรมอยา่ งเดียวหรือสองอย่าง ที่มา: Strayer and Johnson, 2001 อา้ งถงึ ใน ปวณี า โฆสิโต, 2562

26 Norman ไดเ้ สนอว่า Cognitive engineering เปน็ สาขาท่ศี ึกษาบทบาทของปัจจยั ทางการรคู้ ิดท่ีมีต่อ การปฏิบัติงาน โดยสาขานี้เกิดจากการบูรณาการศาสตร์ต่างๆ เช่น การสื่อสาร วิศวกรรม วิศวกรรม ซอฟแวร์ และการศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ซึ้งในอดีตนั้น Cognitive engineering รู้จักกันในชื่อ Human factors psychology เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับศักยภาพและขีดจำกัดของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น การใส่ใจ การรับรู้ มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบที่เป็นการควบคุมในสภาวะกดดัน ตึงเครียด หรือ สภาวะปกติ โดยมีวัตถุประสงค์สองข้อ คือ เพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานในงานที่ต้องอาศัยการ ประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก และเพื่อออกแบบคุณลักษณะความต้องการของงานให้เหมาะสมกับศักยภาพ ของผู้ปฏิบัติงาน ในปัจจุบันนี้มีผลการศึกษาของ cognitive engineering นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบ ระบบการทำงานและการจัดการลักษณะต่างๆ เช่น การทำงานของนักบิน การควบคุมการบิน การออกแบบระบบ และผงั การควบคมุ ในห้องปฏิบตั ิการตา่ งๆ เชน่ ภายในหอ้ งนกั บิน การออกแบบเครอ่ื งมือแพทย์ เป็นตน้ สรปุ เนอ้ื หา ความใส่ใจ ( attention) เป็นกระบวนการทางจิตในการจดจ่อสิ่งเร้าที่เข้ามาเพื่อนำไปสู่ความคิด อย่างต่อเนื่อง โดยความใส่ใจมีความสำคัญในด้านการเรียนรู้และด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งมี คุณลักษณะของความใส่ใจอาจจะเป็นลักษณะของปัจจัยนำเข้าหรือเป็นตัวควบคุมโดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกบั ความใส่ใจ ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านตัวกระตุ้นและปัจจัยด้านตัวผู้รับรู้ ทั้งนี้คุณสมบัติของความใส่ใจ ของมนุษย์นั้นมีจำกัดและความใส่ใจเป็นการเลือก ซึ่งความใส่ใจมีหน้าที่หลักในการแบ่งความใส่ใจ ซ่ึง ทฤษฎีที่อธิบายถึงคุณลักษณะและหน้าที่ดังกล่าวมีสองกลุ่มคือ ทฤษฎีและแบบจำลองการเลือกการใส่ใจ (Selective attention) ที่เป็นทฤษฎีการกรองซึ่งแบ่งเป็นแบบจำลองการเลือกแค่แรกและแบบจำลองการ เลือกทีหลัง และทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งการใส่ใจ (Divided attention) ซึ่งแบ่งเป็นแบบจำลอง สมรรถนะของความใส่ใจ ทฤษฎีรูปแบบพหุ และแนวคิดช่วงเวลาในการหักเหทางจิตวิทยา โดยการศึกษา การใส่ใจนั้นอาจจะใช้ Eye tracker ในการวัดการใส่ใจทางการมองเห็น ( visual attention) อย่างไรก็ ตามการใส่ใจทางการมองเห็นของมนุษย์ก็มีข้อจำกัดเช่น Attentional blink , Inattentional blindness และ Change blindness เป็นตน้

แหลง่ อา้ งองิ ปวีณา โฆสโิ ต. (2562). จติ วิทยาการร้คู ดิ . (พมิ พ์ครงั้ ท่ี 2). เชยี งใหม่ : ส. อินฟอร์เมชัน่ เทคโนโลยี จำกดั . ทฤษฎีการเรียนรู้ของแบนดรู า. (ม.ป.ป.). จติ วิทยาสำหรับครู. สืบคน้ 6 มกราคม 2564, จาก http://gamlovenew.blogspot.com/2015/11/blog-post_1.html สนั ทดั พรประเสริฐมานติ . (2007, พฤศจิกายน). Learning Theory 07.pdf. Sunthud. https://sunthud.com/media/Publication/Learning%20Theory%2007.pdf Dr. Saul McLeod. (2018). Theories of Selective Attention. from https://www.simplypsychology.org/attention-models.html ความหมายและทฤษฎีการเลือกสรรความสนใจ. (ม.ป.ป.). Sainte Anastasie. สบื คน้ 27 มกรามคม 2565, จาก https://th.sainte-anastasie.org/articles/psicologa/atencin-selectiva- definicin-y-teoras.html ทฤษฎีการลดทอน - Attorney General of Trinidad and Tobago. (ม.ป.ป.). Wikipedia site:isecosmetic.com. สืบคน้ 27 มกรามคม 2565, จาก https://isecosmetic.com/wiki/Attenuation_theory Attention. (n.d.) OPEN LIBRARY PRESSBOOKS. Retrieved January 11, 2022, from https://ecampusontario.pressbooks.pub/testbookje/chapter/attention/ Stroop Effect Lab Report — Effect lab report stroop. (n.d.). speedypaper. Retrieved January 11, 2022, from https://speedypaper.com/?rt=DPMGbZgw

Benjamin Hornsby. (2016, July). The Framework for Understanding Effortful Listening (FUEL). ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Interpretation-of- Kahnemans-1973-Capacity-Model-for-Attention-in-relation-to- listening_fig1_304630235 Nicholas Gaspelin. (2012, May). Implications for the “automaticity” of psychological adaptations. ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Illustration- of-the-central-bottleneck-model-and-how-it-produces-a-PRP- effect_fig1_251644409 Jennifer D Ryan. (2010, Aug). Eye Movement Monitoring of Memory. ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Example-of-a-head-mounted-video-based-eye- tracker-left-and-the-display-and-host-PCs_fig1_45828140 Eye tracking. (n.d.). WIKIPEDIA The Free Encylopedia. Retrieved January 11, 2022, from https://en.wikipedia.org/wiki/Eye_tracking Eye tracker. (n.d.). Digital Humanities Workbench. Retrieved January 11, 2022, from https://www2.fgw.vu.nl/werkbanken/dighum/devices/eye_tracker.php


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook