Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Attention ความใส่ใจ

Attention ความใส่ใจ

Published by khanlanit.cc.hh, 2022-01-28 13:11:29

Description: เนื้อหาเกี่ยวกับความหมายของความใส่ใจ ความสำคัญของความใส่ใจ คุณลักษณะและหน้าที่ของความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการเลือกความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งความใส่ใจ ความใส่ใจทางการมองเห็นข้อจำกัดของความใส่ใจทางการมองเห็น งานวิจัยทางจิตวิทยาการรู้คิดที่เกี่ยวข้องกับความใส่ใจและการประยุกต์ใช้

Keywords: Cocktail,Cherry

Search

Read the Text Version

1

2

กก คำนำ หนงั สอื อิเลก็ ทรอนกิ ส์ ( E-Book ) น้ี ทางผู้จดั ได้รวบรว่ ม เรียบเรยี งเนื้อหาจากแหลง่ ต่าง ๆ และหนังสือเรียนจิตวิทยาการรู้คิด บทที่ 3 “ความใส่ใจ” ( Attention ) เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา จติ วทิ ยาการรคู้ ิด (PG 2114-63) โดยมจี ดุ ประสงค์ให้ไดศ้ กึ ษาความร้ใู นเรือ่ ง ความใส่ใจ มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจและทำการค้นคว้าเรื่องนี้ ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับความหมาย ของความใส่ใจ ความสำคัญของความใส่ใจ คุณลักษณะและหน้าท่ีของความใส่ใจ ทฤษฎีและ แบบจำลองการเลือกความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งความใส่ใจ ความใส่ใจ ทางการมองเห็นข้อจำกัดของความใส่ใจทางการมองเห็น งานวิจัยทางจิตวิทยาการรู้คิดที่เกี่ยวข้องกับ ความใส่ใจและการประยุกต์ใช้ คณะผู้จัดทำหวังว่า หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) เล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรอื นักเรียน นักศกึ ษา ผทู้ ่ีคน้ คว้าและสามารถนำไปพฒั นาในดา้ นการศึกษา ฯลฯ ได้ หากในเนื้อหา มขี อ้ ผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำยินดีน้อมรับคำแนะนำไว้และขออภัยในความผิดพลาดมา ณ ทน่ี ้ี คณะผจู้ ดั ทำ วันท่ี 28 มกราคม พ.ศ. 2565

ข ข สารบญั หนา้ หวั เรอื่ ง ก ข คำนำ ค สารบัญ ง สารบัญภาพ 1 สารบญั ตาราง 2 ความหมายของความใสใ่ จ (Attention) 3 ความสำคญั ของความใสใ่ จ (attention) 3 ทฤษฎที ม่ี คี วามเกย่ี วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ 9 10 • ทฤษฎีการรู้คดิ ทางสังคม 13 คณุ ลกั ษณะและหนา้ ทข่ี องความใสใ่ จ 14 15 • ความใสใ่ จเชงิ ปจั จยั นำเข้า (INPUT ATTENTION) 15 • ความใสใ่ จเชงิ ควบคมุ (CONTROLLED ATTENTION) 16 ปจั จยั ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ 18 ลกั ษณะของความใสใ่ จของบคุ คล 23 คณุ สมบตั ขิ องความใสใ่ จ 28 หน้าทห่ี ลกั ของความใสใ่ จ 30 ทฤษฎแี ละแบบจำลองการเลอื กความใสใ่ จ (Selective attention) 32 ทฤษฎแี ละแบบจำลองการแบง่ ความใสใ่ จ (Divided Attention) 34 ความใสใ่ จทางการมองเหน็ (visual attention) ขอ้ จำกดั ของความใสใ่ จทางการมองเหน็ งานวจิ ยั ทางจติ วทิ ยาการรคู้ ดิ ทเ่ี กยี่ วกบั ความใสใ่ จและการประยกุ ตใ์ ช้ สรปุ เนอ้ื หา แหล่งอา้ งอิง

คค สารบญั ภาพ ภาพท่ี หนา้ ภาพท่ี 1 ตัวอย่างการทดลอง DICHTIC LISENING TASK 13 ภาพที่ 2 การกรองขอ้ มูลในกระบวนการใส่ใจ 18 ภาพท่ี 3 แบบจำลองการใส่ใจของ BROADBENT 19 ภาพท่ี 4 แบบจำลองการใสใ่ จของ BROADBENT 20 ภาพที่ 5 แบบจำลองการใสใ่ จของ TREISMAN 21 ภาพท่ี 6 แบบจำลองการใส่ใจของ TREISMAN 21 ภาพที่ 7 แบบจำลองการใส่ใจของ DEUTSCH & DEUTSCH 22 ภาพท่ี 8 แบบจำลองการใส่ใจของ DEUTSCH & DEUTSCH 22 ภาพท่ี 9 ตวั อยา่ งสิ่งเรา้ ทีใ่ ช้ในการทดลอง STROOF EFFECT 24 ภาพท่ี 10 CAPACITY MODEL OF ATTENTION 26 ภาพท่ี 11 PSYCHOLOGICAL REFRACTORY PERIOD (PRP) 28 ภาพที่ 12 การใช้เคร่ือง EYE TRACKER ในการวดั ความใสใ่ จทางการมองเหน็ 28 ภาพที่ 13 การใช้เคร่ือง EYE TRACKER ในการวดั ความใสใ่ จทางการมองเห็น 29 ภาพที่ 14 วิธีการ RAPID SERIAL VISUAL PRESENTATION (RSVP) 31 ภาพท่ี 15ผลการทดลองสถานการณ์ขบั รถโดยทำกิจกรรมอย่างเดียวหรอื สองอยา่ ง 33

ง ง สารบญั ตาราง หนา้ ตารางท่ี 16 ตารางท่ี 1 หนา้ ที่หลกั ของความใสใ่ จ

1 1 ความใส่ใจ (Attention) การศึกษากระบวนการต่างๆ ทางการคิดของบุคคลนั้น อาจเริ่มจากกระบวนการที่ ไม่ซับซ้อนและเป็นพื้นฐานของกระบวนการทางการคิดขั้นต่อๆ ไป ซึ่งกระบวนการ คิดพื้นฐานของมนุษย์ ได้แก่ การใส่ใจ การรบั รู้ และการจดจำ เพ่ือนำไปส่กู ารคิดข้ันสูง ต่อไป ความใสใ่ จ (Attention) ถอื เป็นกระบวนการแรก ๆ ทางการคิดของบุคคล ในบท นี้จะมีเนื้อหาครอบคลุมเกี่ยวกับ ความหมายของความใส่ใจ ความสำคัญของ ความ ใส่ใจ คุณลักษณะและหน้าที่ของความใส่ใจ หน้าที่ของความใส่ใจ ทฤษฎีและ แบบจำลองการเลือกความใส่ใจ ทฤษฎีและแบบจำลองการแบ่งความใส่ใจ ความใส่ ทางการมองเหน็ และข้อจำกดั ของความใสใ่ จทางการมองเห็น และงานวิจยั ทางจิตวิทยา การรู้คิดทีเ่ กีย่ วกับความใสใ่ จและการประยกุ ตใ์ ช้ ความหมายของความใสใ่ จ (Attention) กระบวนการรู้คิดเริ่มจากการจดจ่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (Attention) และตัดสินว่า มันคืออะไร (categorization) (Kalat, 2008) ดังนั้นความใส่ใจจึงถือเป็น กระบวนการแรกของกระบวนการทางการคิดเมื่อมีการรับข้อมูล (input) เข้ามา โดยมี ผู้ใช้ความหมายของความใส่ใจไวต้ า่ งๆ ดังน้ี Wilingham (2007) ได้ให้ความหมายความใส่ใจว่า กลไกในกระบวนการทางปัญญา หรอื การคดิ ทต่ี อ่ เนอื่ งกัน Kalat (2008) ไดใ้ หค้ วามหมาย ความใสใ่ จไวว้ า่ แนวโน้มในการตอบสนองต่อสิ่งเร้า ใด้ สิ่งเร้าหนึ่งมากกว่าสิ่งเร้าอื่นๆ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง หหรือการจำสิ่งเร้าใดสิ่งเร้าหน่ึง มากกว่าสงิ่ เรา้ อนื่ Ashcroft & Radvansky (2010) ไดใ้ ห้ความหมายของความใสใ่ จไว้ว่า กระบวนการทาง จิต ของความพยายามที่จะจดจ่ออยู่กบั สิ่งเร้าหรือเหตุการณ์ จากความหมายที่กล่าวมา ขา้ งต้นสรปุ ไดว้ า่ ความใสใ่ จ คือ กระบวนการทางจติ ในการจดจอ่ ส่งิ เร้าท่เี ข้ามาเพื่อนำไปสูก่ ารคดิ อยา่ งต่อเนอ่ื ง

2 2 ความสำคัญของความใสใ่ จ (attention) William James (1890, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ซึ่งเป็นนักจิตวิทยาที่มี บทบาทสำคัญของการเกิดขึ้นของกลุ่มหน้าที่จิต (Functionalsim) ได้กล่าวถึงความใส่ ใจ (attention) ไว้ในหนังสือ The Principles of Psychology ดังน้ี “Millions of items … are present to my senses which never properly enter my experience. Why? Because they have no interest for me. My experience is what I agree to attend to … Everyone knows what attention is. It is the taking possession by the mind, in clear and vivid from, of one out of what seem several simultaneously possible objects or trains of thought … It implies withdrawal from some things in order to deal effectively with others” จากข้อความดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ความใส่ใจมีความสำคัญเน่ืองจากข้อมูล ที่อยู่รอบตัวเรานั้นมีมากมาย หากแต่เราต้องเลือกที่จะสนใจและใส่ใจบางสิ่ง เพื่อให้สามารถจัดการกับข้อมูลดังกล่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพดัง นั้นการจัดการ ข้อมูลต่าง ๆ ที่เข้ามาและสามารถนำไปสู่กระบวนการคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ น้ันจำเป็นต้องอาศัยความใส่ใจ ความใส่ใจมีผลต่อการรับรู้ ความจํา ภาษา และ การแก้ไขปัญหา (Goldstein, 2008) ซึ่งความตั้งใจ สนใจ เป็นระบบที่เป็น บทบาทสำคัญในกระบวนการรับรู้เพราะเป็นการเลือกข้อมูลจากสิ่งเร้ามารับรู้ ร่วมกับข้อมูลที่ดึงออกมาจากความรู้สึก ความจำและกระบวนการคิดอื่น ๆ ซึ่ง รวมถึงการทำงานร่วมกันของกระบวนการที่มีสติสำนึก (consciousness) และสติ ก่อนสำนึก (preconscious) (อุบลวรรณาภวกานันท์, 2556) หากเรามีความใส่ใจแลว้ จะทำให้กระบวนการคิดที่ต่อจากนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใส่ใจที่นำไปสู่ การรับรู้ที่ถูกต้อง และการที่ดี อันนำไปสู่การคิดในลักษณะต่าง ๆ และการเรียนรู้ เป็นต้นดังน้ันความใส่ใจจึงมีความสำคญั ในดา้ นต่าง ๆ ดงั น้ี

3 3 1. ด้านการเรียนรู้ การเรียนรู้ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ในห้องเรียน นอก ห้องเรียน หรือการเรียนรู้จากประสบการณ์ ต้องอาศัยความใส่ใจเป็นพื้นฐานในการ เรียนรู้ 2. ด้านการประกอบอาชีพ อาชีพต่าง ๆ ที่ต้องอาศัยความใส่ใจสูง เช่น ผู้ ควบคุมทางอากาศ (air traffic controllers) นักบิน ผู้ควบคุมแผงปฏิบัติการใน ห้องต่าง ๆ บุคลากรทางด้านการแพทย์ (medical personnel) และคนขับรถสาธารณะ เปน็ ต้น ทฤษฎีทมี่ คี วามเกยี่ วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ ทฤษฎีการรู้คิดทางสังคม หรือ ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธิปัญญา (Social Cognitive Learning Theory) “การเรยี นร้โู ดยการสังเกต” ของแบนดูรา Albert Bandura เปน็ ผูร้ ิเร่มิ ทฤษฎีน้ี โดยเสนอโมเดลตัวกำหนดซึ่งกันและกัน (Reciprocal Determinism Model) โมเดลนี้ กล่าวว่าบุคคล พฤติกรรม และสิ่งแวดล้อมส่งผลซึ่งกันและกัน บุคคลก็คือสิ่งมีชีวิตที่มี ทั้งความเชื่อ ความคิด หรือแม้แต่ลักษณะทางกายภาพของบุคคล ที่มีผลต่อ ส่ิงแวดล้อมที่เข้ามาปฏิสัมพันธ์ด้วย เช่น บุคคลอื่นมีปฏิสัมพันธ์ที่แตกต่างกันถ้า ลักษณะทางกายภาพแตกต่างกนั และมีผลต่อพฤตกิ รรมทีแ่ สดงออกด้วย เช่น ความเช่ือท่ี แตกต่างกัน ส่งผลให้พฤติกรรมที่แสดงออกแตกต่างกัน พฤติกรรมที่แสดงออกก็มีผล ย้อนกลับมาหาบุคคล เช่น ถ้าตั้งใจเรียน ก็มีความคาดหวังว่าจะได้ผลการเรียนดี สิ่งแวดล้อมก็มีย้อนกลับมาหาบุคคล เช่น โรงเรียนสอนให้นิสิตเคารพต่อผู้ใหญ่ สงิ่ แวดลอ้ มก็มผี ลตอ่ พฤติกรรม เชน่ ครูฝกึ ให้นักเรยี นพูดจาไพเราะ และพฤติกรรมก็ มีผลต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เช่น นักเรียนที่พูดจาไพเราะส่งผลให้ครูมีปฏิสัมพั นธ์ท่ี แตกต่างจากนักเรียนพูดจาไม่ไพเราะจากจุดนี้จะเห็นว่าบุคคล พฤติกรรม และ สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลซึ่งกันและกัน แตกต่างจากทฤษฎีการเรียนรู้เน้นพฤติกรรมท่ี เน้นเฉพาะพฤตกิ รรมและส่ิงแวดลอ้ มเท่านัน้

44 กระบวนการหนึ่งที่เป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยสามปัจจัยนี้ก็คือการ เรียนรู้ผ่านการสังเกต การเรียนรู้รูปแบบนี้เป็นกระบวนการที่บุคคลนำทักษะ วิธีการ หรือความเชื่อมาจากผู้อื่น โดยไม่จำเป็นที่ผู้อื่นจะต้องได้รับการเสริมแรง กระบวนการ เรียนรู้ผ่านการสังเกตนี้จะผ่านกระบวนการสี่ขั้นตอน คือ ความใส่ใจ(Attention) ต่อ ตัวแบบ การเก็บจ า (Retention) พฤติกรรมที่ตัวแบบแสดงออกมา การแสดงออก (Production) สิ่งมีชีวิตจะแสดงออกพฤติกรรมหากมีโอกาส หรือมีความสามารถ ในการแสดงออกพฤติกรรมนั้น และแรงจูงใจ (Motivation) ที่ส่งผลให้พฤติกรรมนั้น เกิดหรือไม่เกิด หรือส่งผลให้พฤติกรรมนั้นคงอยู่ต่อไปหรือไม่ Bandura พิสูจน์ ทฤษฎีนี้โดยการทดลองแบ่งเด็กเป็นสามกลุ่ม ให้เด็กดูตัวแบบท่ีแสดงพฤติกรรม ก้าวร้าว โดยมีผลของการกระทำที่แตกต่างกันสามแบบ แบบที่ 1 ตัวแบบได้รับรางวัล แบบที่ 2 ตัวแบบได้รับการติเตียน และแบบที่ 3 ตัวแบบไม่ได้รับรางวัลหรือการติ เตียน จากนั้นให้เด็กเข้าไปในห้องที่มีสิ่งแวดล้อมคล้ายกับที่ตัวแบบได้อยู่ แล้ว ผู้วิจัยจะสังเกตผ่านกระจกทางเดียว ดูว่าเด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวมากน้อย เพียงใด ผลปรากฎว่าเด็กในกลุ่มที่ตัวแบบได้รับรางวัล และตัวแบบไม่ได้รับ ร า ง วั ล ห รื อ ก า ร ติ เ ตี ย น มีพฤติกรรมก้าวร้าวในห้องทดลองสูงกว่าเด็กในกลุ่มที่ตัวแบบ ได้รบั การตเิ ตยี น จะเห็นวา่ ตวั แบบถือเป็นสิง่ ท่สี ำคญั ทำให้เกดิ การเรยี นรู้ของส่ิงมีชวี ติ ข้ันของการเรยี นรู้โดยการสงั เกตหรอื เลียนแบบ แบนดรู ากลา่ วว่า การเรียนรูท้ างสงั คมด้วยการรู้คดิ จากการเลียนแบบมี 2 ขน้ั คือ ขั้นแรก เป็นขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (Acquisition) ทำให้สามารถแสดง พฤติกรรมได้

5 5 ขั้นที่ 2 เรียกว่าขั้นการกระทำ (Performance) ซึ่งอาจจะกระทำหรือไม่กระทำก็ได้ การ แบ่งขั้นของการเรียนรู้แบบนี้ทำให้ทฤษฎีการเรียนรู้ของบันดูราแตกต่างจากทฤษฎี พฤติกรรมนิยมชนิดอ่นื ๆ การเรียนรู้ ท่แี บง่ ออกเปน็ 2 ข้นั อาจจะแสดงด้วยแผนผงั ดงั ต่อไปน้ี แผนผงั ท่ี 1 ข้ันของการเรียนรโู้ ดยการเลยี นแบบ ขั้นการรับมาซึง่ การเรียนรู้ ประกอบด้วยส่วนประกอบที่สำคัญเป็นลำดบั 3 ลำดับ ดัง แสดงในแผนผังท่ี 2 แผนผงั ท่ี 2 ส่วนประกอบของการเรยี นรขู้ ึ้นกบั การรบั มาซง่ึ การเรยี นรู้ จากแผนผังจะเห็นว่า ส่วนประกอบทั้ง 3 อย่าง ของการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็น กระบวนการทางพทุ ธปิ ัญญา (Cognitive Processes) ความใส่ใจท่ีเลือกส่ิงเร้ามีบทบาท สำคัญในการเลือกตัวแบบสำหรับขั้นการกระทำ (Performance) นั้นขึ้นอยู่กับผู้เรียน เช่น ความสามารถทางด้านร่างกาย ทักษะต่าง ๆ รวมทั้งความคาดหวังที่จะได้รับแรง เสริมซึ่งเป็นแรงจูงใจกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตบันดูรา (Bandura, 1977) ได้อธิบายกระบวนการที่สำคัญในการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการ เรยี นรูโ้ ดยตัวแบบวา่ มที ้ังหมด 4 อยา่ งคอื 1. กระบวนการความเอาใจใส่ (Attention) 2. กระบวนการจดจำ (Retention) 3. กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมอื นตัวอย่าง (Reproduction) 4. กระบวนการการจงู ใจ (Motivation)

66 แผนผังท่ี 3 กระบวนการในการเรียนรโู้ ดยการสงั เกต กระบวนการความใส่ใจ (Attention) ความใส่ใจของผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้า ผู้เรียนไม่มีความใส่ใจในการเรียนรู้ โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบก็จะไม่เกิดข้ึน ดังนั้น การเรียนรู้แบบนี้ความใส่ใจจึงเป็นสิ่งแรกที่ผู้เรียนจะต้องมี บันดูรากล่าวว่า ผู้เรียนจะต้องรับรู้ส่วนประกอบที่สำคัญของพฤติกรรมของผู้ที่เป็นตัวแบบ องค์ประกอบที่สำคัญของตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อความใส่ใจของผู้เรียนมีหลายอย่าง เช่น เป็นผู้ที่มีเกียรติสูง (High Status) มีความสามารถสูง (High Competence) หน้าตาดี รวมทง้ั การแตง่ ตัว การมอี ำนาจที่จะให้รางวัลหรือลงโทษ คุณลักษณะของ ผู้เรียนก็มีความสัมพันธ์กับกระบวนการใส่ใจ ตัวอย่างเช่น วัยของผู้เรียน ความสามารถทางด้านพุทธิปัญญา ทักษะทางการใช้มือและส่วนต่าง ๆ ของ ร่างกาย รวมทั้งตัวแปรทางบุคลิกภาพของผู้เรียน เช่น ความรู้สึกว่าตนนั้นมีค่า (Self-Esteem) ความต้องการและทัศนคติของ ผู้เรียน ตัวแปรเหล่านี้มักจะเป็นสิ่ง จำกดั ขอบเขตของการเรียนรโู้ ดยการสงั เกต กระบวนการจดจำ (Retention Process) แบนดูรา อธิบายว่า การที่ ผู้เรียนหรือผู้สังเกตสามารถที่จะเลียนแบบหรือแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบได้ ก็เป็นเพราะผู้เรียนบันทึกส่ิงท่ีตนสังเกตจากตัวแบบไว้ในความจำระยะยาว บันดูรา พบว่าผู้สังเกตที่สามารถอธิบายพฤติกรรม หรือการกระทำของตัวแบบด้วยคำพูด หรือสามารถมีภาพพจน์สิ่งที่ตนสังเกตไว้ในใจจะเป็นผู้ที่สามารถจดจำสิ่งที่เรียนรู้ โดยการสังเกตได้ดีกว่าผู้ที่ดูเฉย ๆ หรือทำงานอื่นในขณะที่ดูตัวแบบไปด้วย สรุปแลว้ ผู้สังเกตที่สามารถระลึกถึงสิ่งที่สังเกตเป็นภาพพจน์ในใจ (Visual Imagery) และ สามารถเข้ารหัสด้วยคำพูดหรือถ้อยคำ (Verbal Coding) จะเป็นผู้ที่สามารถแสดง พฤติกรรมเลียนแบบจากตัวแบบได้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน ๆ และนอกจากนี้ถ้า ผู้สังเกตหรือ ผู้เรียนมีโอกาสที่จะได้เห็นตัวแบบแสดงสิ่งที่จะต้องเรียนรู้ซ้ำก็จะเป็น

77 ก า ร ช ่ ว ย ค ว า ม จ ำ ใ ห ้ ด ี ย ิ ่ ง ขึ้ น ก ร ะ บ ว น ก า ร แ ส ด ง พ ฤ ต ิ ก ร ร ม เ ห ม ื อ น ก ั บ ต ั ว แ บ บ (Reproduction Process) กระบวนการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบเป็น กระบวนการท่ผี เู้ รียน แปรสภาพ (Transform) ภาพพจน์ (Visual Image) หรือสิ่งท่ีจำ ไว้เป็นการเข้ารหัสเป็นถ้อยคำ (Verbal Coding) ในที่สุดแสดงออกมาเป็นการกระทำ หรือแสดงพฤติกรรมเหมือนกับตัวแบบ ปัจจัยที่สำคัญของกระบวนการเหล่านี้ คือ ความพร้อมทางด้านร่างกายและทักษะที่จำเป็นซึ่งจะต้องใช้ ในการเลียนแบบของ ผู้เรียน ถ้าหากผู้เรียนไม่มีความพร้อมก็จะไม่สามารถที่จะแสดงพฤติกรรมเลียนแบบ ได้แบนดูรา กล่าวว่าการเรยี นรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบไมใ่ ช่เป็นพฤตกิ รรม ที่ลอกแบบอย่างตรงไปตรงมา การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วยกระบวนการ ทางพุทธิปัญญา (Cognitive Process) และความพร้อมทางด้านร่างกายของผู้เรียน ฉะนั้นในขั้นการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ (Reproduction) ของแต่ละบุคคลจงึ แตกต่างกันไปผู้เรียนบางคนก็อาจจะทำได้ดีกว่าตัวแบบที่ตนสังเกตหรือบางคนก็ สามารถเลียนแบบได้เหมือนมาก บางคนก็อาจจะทำได้ไม่เหมือนกับตัวแบบเพียงแต่ คล้ายคลึงกับตัวแบบมีบางส่วนเหมือนบางส่วนไม่เหมอื นกับตัวแบบ และผู้เรียนบางคน จะไมส่ ามารถแสดงพฤติกรรมเหมอื นตัวแบบ ฉะนน้ั แบนดูราจึงให้คำแนะนำแก่ผทู้ ีม่ ี หน้าที่เป็นตัวแบบ เช่น ผู้ปกครองหรือครูควรใช้ผลย้อนกลับที่ต้องตรวจสอบแก้ไข (Correcting Feedback) เพราะจะเป็นการช่วยเหลือให้ผู้เรียนหรือผู้สังเกตมีโอกาส ทบทวนในใจว่าการแสดงพฤติกรรมของตัวแบบมีอะไรบ้าง และพยายามแก้ไขให้ ถกู ต้อง

88 กระบวนการจูงใจ (Motivation Process) แบนดูรา (1965, 1982) อธิบายว่า แรงจูงใจของผู้เรียนที่จะแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบที่ตนสังเกต เนื่องมาจาก ความคาดหวังว่า การเลียนแบบจะนำประโยชน์มาใช้ เช่น การได้รับแรงเสริมหรือรางวลั หรืออาจจะนำประโยชน์บางสิ่งบางอย่างมาให้ รวมทั้งคิดว่าการแสดงพฤติกรรมเหมือนตัว แบบจะทำให้ตนหลีกเลี่ยงปัญหาได้ ในห้องเรียนเวลาครูให้รางวัลหรือลงโทษ พฤติกรรมของนักเรียน คนใดคนหนึ่งนักเรียนทั้งห้องก็จะเรียนรู้โดยการสังเกตและ เป็นแรงจูงใจให้ผู้เรียนแสดงพฤติกรรมหรือไม่แสดงพฤติกรรม เวลานักเรียน แสดงความประพฤติดี เช่น นักเรียนคนหน่ึงทำการบา้ นเรียบรอ้ ยถูกต้องแล้วได้รับ รางวัลชมเชยจากครู หรือให้สิทธิพิเศษก็จะเป็นตัวแบบให้แก่นักเรียนคนอื่น ๆ พยายามทำการบ้านมาส่งครูให้เรียบร้อย เพราะมีความคาดหวังว่าคงจะได้รับแรง เสริมหรือรางวัล ในทางตรงข้ามถ้านักเรียนคนหนึ่งถูกทำโทษเนื่องจากเอาของมา รับประทานในห้องเรียน ก็จะเป็นตัวแบบของพฤติกรรม ที่นักเรียนทั้งชั้นจะไม่ ปฏิบัติตามแม้ว่าบันดูราจะกล่าวถึงความสำคัญของแรงเสริมบวกว่ามี ผลต่อ พฤติกรรมที่ผู้เรียนเลียนแบบตัวแบบแตค่ วามหมายของความสำคัญของแรงเสริมนน้ั แตกต่างกันกับของสกินเนอร์ (Skinner) ในทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ (Operant Conditioning) แรงเสริมในทฤษฎี การเรียนรู้ในการสังเกตเป็นแรงจูงใจที่ จะทำให้ผสู้ ังเกตแสดงพฤติกรรมเหมือนตวั แบบ แตแ่ รงเสรมิ ในทฤษฎีการวางเงื่อนไข แบบโอเปอแรนท์นั้น แรงเสริมเป็นตัวที่จะทำให้ความถี่ของพฤติกรรมที่อินทรีย์ได้ แสดงออกอยู่แล้วให้มีเพิ่มข้ึน อีกประการหนึ่งในทฤษฎีการเรียนรู้ด้วยการสังเกตถือ ว่าความคาดหวังของผู้เรียนที่จะได้รับรางวัลหรือผลประโยชน์จากพฤติ กรรมที่ แสดงเหมือนเป็นตัวแบบ เป็นแรงจูงใจที่ทำให้ผู้สังเกตแสดงออก แต่สำหรับการ วางเงื่อนไขแบบโอเปอแรนท์ แรงเสริมเป็นสิ่งที่มาจากภายนอกจะเป็นอะไรก็ได้ไม่ เก่ียวกบั ตัวของผูเ้ รียน

9 9 ปัจจยั ที่สำคัญในการเรียนรโู้ ดยการสงั เกต 1. ผู้เรียนจะต้องมีความใส่ใจ (Attention) ที่จะสังเกตตัวแบบ ไม่ว่าเป็นการ แสดงโดยตัวแบบจริงหรือตัวแบบสัญลักษณ์ ถ้าเป็นการอธิบายด้วยคำพูด ผู้เรยี นกต็ ้องตงั้ ใจฟังและถา้ จะต้องอ่านคำอธบิ ายกจ็ ะต้องมคี วามตัง้ ใจท่ีจะอา่ น 2. ผู้เรยี นจะต้องเข้ารหสั หรอื บันทึกสิ่งทีส่ งั เกตหรือสิง่ ท่รี บั รู้ไว้ในความจำระยะยาว 3. ผู้เรยี นจะตอ้ งมโี อกาสแสดงพฤติกรรมเหมือนตัวแบบ และควรจะทำซ้ำเพื่อจะให้จำ 4. ผูเ้ รยี นจะตอ้ งรูจ้ ักประเมินพฤติกรรมของตนเองโดยใช้เกณฑ์ (Criteria) ที่ต้งั ข้นึ ดว้ ยตนเองหรอื โดยบคุ คลอ่ืน คณุ ลกั ษณะและหนา้ ทขี่ องความใสใ่ จ จากความหมายและความสำคัญของความใส่ใจข้างต้น การเข้าใจถึง คุณลักษณะและคุณสมบัติของความใส่ใจจะทำให้เราเข้าใจกระบวนการใส่ใจได้ดี ยิ่งขึ้น โดย Ashcraft and Radvansky (2010) ได้กล่าวถึงการแสดงคุณลักษณะ ของความใส่ใจ 2 ประการ คือ ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้า (input attention) และ ค ว ามใ ส ่ ใ จ เชิ ง ค ว บ ค ุ ม ( Controlled attention) ซ ึ ่ ง Johnson McCann and Remington (1995, อ้างถึงใน Ashcraft & Radvansky, 2010) ได้เสนอถึงความ แตกต่างระหว่าง ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้าและความใส่ใจเชิงควบคุม ว่าความใส่ใจ เชิงปจั จัยนำเข้าเปน็ กระบวนการอัตโนมตั แิ ละรวดเรว็ ของความใสใ่ จ ส่วนความใส่ใจเชิง ควบคุม เป็นกระบวนการที่ใช้เวลามากของความใส่ใจโดย (Ashcraft & Radvansky, 2010) ได้อธบิ ายถึงคุณลักษณะสำคัญ ๆ ของความใส่ใจท่ีต่างกนั 2 ลกั ษณะ ไวด้ ังน้ี

10 10 1. ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้า (input attention) ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้า (input attention) เป็นความใส่ใจประเภทพื้นฐานเกิดขึ้นในช่วงแรกของกระบวนการใส่ใจ กระบวนการเหล่านี้อาจจะเป็นการตอบสนองแบบปฏิกิริยาสะท้อนหรือแบบอัตโนมัติซ่ึง เป็นกระบวนการที่อยู่ในขั้นพื้นฐานในแง่ของเนื้อหาของข้อมูลและการเกิดขึ้นทันที กระบวนการดังกล่าวจึงเป็นกระบวนการพื้นฐานในการนำข้อมูลที่ผ่านประสาทสัมผัส เขา้ สู่ระบบการรูค้ ดิ ทงั้ น้คี วามใส่ใจเชิงปจั จยั นำเข้า มีคุณลักษณะ ดงั นี้ 1.1 การตื่นตัวและการกระตุ้น (Alertness and Arousal) ความใส่ใจ เกี่ยวข้องกับความสามารถพื้นฐานในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม ประสาทสัมผัส พื้นฐานดังกล่าวนี้คือ การตื่นตัวและการกระตุ้นที่เป็นสภาวะจำเป็นของระบบประสาท ในการตื่นตัว ตอบสนอง และสามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับจำเป็นของระบบประสาท ในการตื่นตัวตอบสนองสภาพแวดล้อม โดยระบบประสาทต้องถูกกระตุ้น เพื่อที่จะให้ความใส่ใจต่อสิ่งเร้านั้น ในการใส่ใจดังกล่าวจะมีความสัมพันธ์กับ กระบวนการประมวลผล ซึ่งการประมวลผลโดยชัดแจ้ง (Explicit processing) เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการประมวลผล ที่เป็นจิตสำนึก (consciousness processing) อันเป็นการตระหนักรู้ตัวว่ากำลังดำเนินการในภาระงานหรือกิจกรรมทาง สมองหนึ่ง ๆ (task) รวมถึงผลการการดำเนินการนั้น ๆ ในทางตรงกันข้ามการ ประมวลผลโดยนัย (Implicit processing) เป็นกระบวนการที่การตระหนักรู้ตัวไม่มีส่วน เกี่ยวข้องความแตกต่างระหว่างการประมวลผลโดยชัดแจ้งและการประมวลผลโดยนัยน้นั สามารถอธิบายได้จากความแตกต่างระหว่างความจำสองประเภทคือ ความจำแบบชดั แจ้ง (Explicit memory) และความจำแบบโดยนัย (Implicit memory) ในขณะที่ ความจำแบบชัดแจ้ง (Explicit memory) เป็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในจิตสำนึกหรือเป็น การระลกึ จำคำศัพท์ ขอ้ เทจ็ จริง รูปภาพรวมท้ังรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ น้ันความจำ แบบโดยนัย (Implicit memory) เป็นข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึก หรือเป็น ความจำท่ีไมไ่ ด้อยูใ่ นอทิ ธพิ ลของจติ สำนกึ ของประสบการณ์ในอดีต

11 11 1.2 การตอบสนองอย่างมีทิศทางและการดึงความใส่ใจ (Orienting reflex and attention capture) ความใส่ใจเชิงปัจจัยนำเข้ามีคุณลักษณะในด้านการ ตอบสนองอย่างมีทิศทางและการดึงความใส่ใจ โดยการตอบสนองอย่างมีทิศทาง (Orientating reflex) หมายถึง การเปลี่ยนทศิ ทางเชงิ โต้ตอบของความใสใ่ จที่มุ่งไปยัง สิ่งเร้าที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน ในขณะที่การดึงความใส่ใจ (Attention capture) หมายถึง การเปลี่ยนทิศทางโดยธรรมชาติของความใส่ใจที่มีต่อสิ่งเร้าตามลักษณะ ทางกายภาพ โดยแนวคิดในปัจจุบันเชื่อว่า การตอบสนองอย่างมีทิศทางเป็นการ ตอบสนองเชิงการหาตำแหน่งสิ่งเร้าของระบบประสาท นั่นก็คือสิ่งเร้าที่เราไม่ได้ คาดคิดมาก่อน เช่น เสียงหรือแสงไฟ จะกระตุ้นการตอบสนองเชิงการหาตำแหน่ง ของสิ่งเร้าการตอบสนองดังกล่าวทำให้เราสามารถป้องกันตนเองจากอันตรายใน ลักษณะของปฏิกิริยาสะท้อน หรือไหวพริบในการอยู่รอด การตอบสนองดังกล่าวยัง ทำให้เราสังเกตสิ่งเร้าที่เป็นประโยชน์ได้ ความใส่ใจนั้นนอกจากจะถูกนำหรือนำทาง โดยวัตถุหรือสิ่งของต่าง ๆ ในสภาพแวดล้อมแล้ว อาจจะถูกนำโดยการชี้แนะทางสังคม (Social cue) เช่น เมื่อเราเห็นผู้คนต่างมองไปที่ใด ความใส่ใจของเราก็จะถูกชี้นำ ให้มีทิศทางไปทางนนั้ ด้วย เป็นตน้ 1.3 จุดสนใจทางสายตา (Spotlight attention) จุดสนใจทางสายตายตา (Spotlight attention) เป็นคุณลักษณะหนึ่งของความใส่ใจเชิงปัจจัยนำ เข้าซึ่ง หมายถึง กลไกการมุ่งให้ความใส่ใจทางจิตที่เตรียมพร้อมในการลงรหัสข้อมูลส่ิง เร้า การศึกษาทางด้านจิตวิทยาการรู้คดิ นั้นส่วนมากจะเป็นการศึกษาเก่ียวกับความใส่ ใจทางสายตา (Visual attention) ซึ่งเป็นความใส่ใจที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งหรือ ระยะห่างของสิ่งเร้าที่อยู่ในลานสายตาและวิธีการค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ในสภาพแวดล้อม นั้น ดังตัวอย่างการทดลองของ Posner (1980, อ้างถึงใน (Ashcraft & Radvansky, 2010) ในการทดลองภาระงานการใหส้ ญั ญาณตำแหน่ง (spatial cuing task)

12 12 ของ Posner ผู้เข้ารับการทดลองจะถูกบอกให้จับจ้องไปที่เครื่องหมาย + ที่ปรากฏ อยู่บนกลางหน้าจอคอมพิวเตอร์และให้จ้องเครื่องหมายดังกล่าวไว้ตลอดการทดลอง หลังจากนั้นสัญญาณเชิงทิศทาง (directional cue) จะปรากฏบนหน้าจอ สัญญาณเชิงทิศทางอาจจะเป็นลูกศรที่ชี้ไปทางซ้ายหรือขวา หรือลูกศรที่ชี้ไปท้ัง สองข้าง ซงึ่ เป็นสัญญาณท่ีเป็นกลางหรือไมไ่ ด้บอกทศิ ทาง (neutral Cue) และสุดท้าย เป้าหมาย (target) จะปรากฏอยูบ่ นหน้าจอคอมพิวเตอร์ ในภาระงาน (task) ดังกล่าวผู้เข้ารับการทดลองต้องกดปุ่มเมื่อค้นพบเป้าหมายซึ่ง 80% ของการทดลองนนั้ การให้สัญญาณ (cued trials) ลกู ศรจะไปในทิศทางทีเ่ ป้าหมาย จะปรากฏหลังจากนัน้ 1 วินาทีในขณะที่ 20% ของการทดลองการให้สญั ญาณนัน้ สญั ญาณ ไม่ถูกต้องลูกศรจะไปในทิศทางที่ผิด ในการทดลองผู้เข้ารับการทดลองจะต้องจ้องอยู่ที่ เครื่องหมาย + ที่อยู่บนกลางหน้าจอคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา ทำให้เมื่อมีเป้าหมาย ปรากฏขึ้นเข้ารับการทดลองจะเบี่ยงเบนได้เพียงแค่ความใส่ใจทางจิตใจ ( mental attention) เท่านั้นผลการทดลองพบว่า เมื่อผู้เข้ารับการทดลองเบี่ยงเบนความใส่ใจ ไปที่การให้สัญญาณตำแหน่งท่ีถูกต้อง (ลูกศรชี้ไปในทิศทางท่ีเป้าหมายจะปรากฏ) ระยะเวลาการตอบสนอง (Response Time: RT) ในการค้นพบเป้าหมายเร็วกว่า สญั ญาณที่เป็นกลาง (ลกู ศรช้ีทั้งสองทิศทาง)

13 13 2. ความใสใ่ จเชงิ ควบคุม (Controlled attention) ความใสใ่ จเชงิ ควบคุมเป็น การแบ่งปันอย่างตั้งใจเลือกในการแบ่งความพยายามทางสมองหรือความจดจ่อ โดย คุณลักษณะสำคัญของความใส่ใจเชิงควบคุม คือ การเลือกความใส่ใจ (selective attention) ซึ่งเป็นการเลือกในการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น ปรากฏการณ์งานเลี้ยงค็อกเทล (Cocktail party effect) ได้คิดค้นโดย Collin Cherry (1953, อ้างถึงใน Sternberg, 2006) ซึ่งปรากฏการณ์งานเลี้ยงค็อกเทล (Cocktail party effect) คือ การที่บุคคลมีความสามารถทจี่ ะใสใ่ จในขอ้ ความหนึ่งและ ไม่ใส่ใจข้อความอื่นรอบ ๆ ตัว Cherry ได้สังเกตงานเลี้ยงค็อกเทลต่าง ๆ และได้เสนอ ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Cocktail party problem คือกระบวนการของการติดตามการ สนทนาหน่ึงในขณะที่มกี ารรบกวนจากการสนทนาอ่ืน ๆ Cherry ได้ศึกษาการแบ่งการใส่ใจโดยทำการทำลอง Cherry ได้ทำการทดลอง การฟังซ้ายขวา (Dichotic listening experiment) (Colin Cherry, 1953 อ้างถึงใน Willingham, 2007) โดยให้ผู้เข้ารับการทดลองฟังข้อความต่าง ๆ โดยข้อความที่เปิดให้ ฟังข้างซ้ายและข้างขวาไม่เหมือนกัน และผู้เข้ารับการทดลองจะต้องพูดทวนข้อความที่ได้ ยินจากข้างใดข้างหนึ่งเรียกว่า Shadowing คือ วิธีการพูดทวนข้อความออกมา ดังการ จำลองในภาพที่ 1 การทดลองครั้งนี้พบว่า เมื่อถามผู้เข้ารับการทดลองให้รายงาน เนือ้ หาขอ้ มูลขา้ งที่ไม่ได้ใสใ่ จพวกเขาไมส่ ามารถบอกได้ ภาพที่ 1 ตัวอยา่ งการทดลอง Dichtic lisening task ที่มา : https://www.simplypsychology.org/dichotic-listening.gif

14 14 จากคุณลักษณะของความใสใ่ จเชงิ ควบคมุ ในด้านของการเลือกการใสใ่ จดังกลา่ ว นนั้ ทำให้นกั จติ วทิ ยาการรู้คิดได้คิดคน้ และสร้างทฤษฎีที่เกยี่ วกับการเลือกความใส่ใจ ดังจะขอกล่าวถึงในรายละเอียดในหัวข้อทฤษฎีและแบบจำลองความใส่ใจในลำดับ ถดั ไป ปจั จยั ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความใสใ่ จ ความใส่ใจในสิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรานั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ซึ่ง อุบลวรรณา ภวกานนท์ (2556) ได้เสนอว่า ปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความใส่ใจ ประกอบด้วยปัจจัย ทางด้านตัวกระตุ้น เช่น ขนาด ความแรงหรือความเข้ม สี การเคลื่อนที่ การ เคล่ือนไหว เปน็ ตน้ และปัจจัยทางดา้ นตวั ผู้รับรู้ เชน่ ความคนุ้ เคย อารมณ์ แรงจงู ใจ ความสนใจ เปน็ ตน้ ปัจจัยทางด้านตัวกระตุ้นเป็นลักษณะของสิ่งเร้าที่ผ่านเข้ามาทางประสาทสัมผัส ซึ่งมีผลต่อการเลือกการใส่ใจ (selective attention) ของเรา รวมถึงปัจจยั ทางด้านตวั ผู้รับรู้เกี่ยวกับประสบการณ์และความคุ้นเคยซึ่งมีอิทธิพลต่อการเลือกการใส่ใจเช่นกัน ดังผลการวิจัยของสหรัฐ วงค์ชมภู และคนอื่น ๆ (2560) ซึ่งได้ศึกษาอิทธิพลของการ เตรียมการรับรู้ (Priming effect) โดยภาพยนตร์เนื้อหารุนแรงที่มีผลต่อการเลือกใส่ใจ ต่อสิ่งเร้า (Selective attention) ซึ่งใช้การวัดความไวในการตอบสนอง (Reaction time task) เป็นการวัดการใส่ใจ ในการทดลองนีก้ ลมุ่ ตัวอยา่ งจะแบง่ เป็น 2 กลมุ่ โดย กลุ่มที่ 1 ได้รับชมคลิปวิดีโอจากภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรง และกลุ่มที่ 2 ชมคลิป วิดีโอที่ไม่มีเนื้อหารุนแรง จากนั้นกลุ่มตัวอย่างจะได้ดูภาพที่มีเนื้อหารุนแรง และไม่ รุนแรงอย่างละ 1 ภาพพร้อมกันซ่ึงปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ฝั่งซ้ายและขวาโดยใช้ วิธีการสุ่มและทันทีที่มีจุดปรากฏบนหน้าจอ กลุ่มตัวอย่างต้องกดแป้นพิมพ์ทันทีเพื่อ ระบุวา่ เหน็ จดุ ปรากฏอยู่ฝงั่ ซ้ายหรือขวา ความเร็วในการกดตอบสนองถกู บนั ทึก

15 15 ด้วยโปรแกรม E-Prime 2.0 และใช้สถิติ Mixed ANOVA ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มที่ชมคลิปวิดีโอจากภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรงมีความเร็วใน การตอบสนองต่อจุดที่ปรากฏบนฝั่งภาพรุนแรงไวกว่าจุดที่ปรากฏฝั่งภาพไม่รุนแรง แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของการเตรียมการรับรู้ในภาพยนตร์ที่มีเนื้อหารุนแรงที่ทำให้ กลุ่มตวั อย่างเลือกใส่ใจต่อภาพทีม่ เี นื้อหารุนแรง ลกั ษณะของความใสใ่ จของบคุ คล Ashcraft and Radvansky (2010) ได้กล่าวถึงความใส่ใจของบุคคลที่มีลักษณะสำคัญ ดงั นี้ 1. ข้อมลู มากมายอยรู่ อบตัวเรานน้ั เกนิ กวา่ ความสามารถของเราทีจ่ ะใสใ่ จ ไดท้ ้งั หมด 2. ความสามารถในการใสใ่ จของเราตอ่ ข้อมูลในครงั้ หนึ่งมีขีดจำกดั 3. เราสามารถตอบสนองต่อข้อมูลบางอย่างและทำภาระงาน (task) บางอย่างโดย ใชค้ วามใส่ใจไมม่ าก 4. หากเรามีการฝึกฝนและความรู้ที่เพียงพอ ภาระงานบางอย่างสามารถกระทำได้ อาศยั ความใสใ่ จนอ้ ยลง คณุ สมบตั ขิ องความใสใ่ จ Willingham (2007) ได้สรุปคณุ สมบัติของความใสใ่ จไว้ 2 ประการ คือ 1. 1.ความใส่ใจมีขีดจำกัด (Attention is limited) ความใส่ใจที่เป็นกระบวนทาง สมองท่ีต่อเน่ืองไม่สามารถเกิดขนึ้ กับสง่ิ เรา้ หรือข้อมูลท้งั หมดในเวลาเดยี วกนั ได้ 2. ความใส่ใจเป็นการเลือก (Attention is selective) บุคคลสามารถใช้พลังทาง สมอง (mental fuel) เลือกจดจ่อกับกระบวนการทางการคิดส่ิงหน่ึงหรืออกี สิ่งหน่ึงก็ได้ หากเขาเห็นวา่ เหมาะสม

16 16 หนา้ ทห่ี ลกั ของความใสใ่ จ หน้าที่ของความใส่ใจกระบวนการทางจิตมีหลายหน้าที่ด้วยกัน โดย Stenbetg (2006) ได้เสนอหน้าท่หี ลักการของความใสใ่ จซึ่งมี 4 หนา้ ที่ ดงั แสดงในตารางท่ี 1 ตารางท่ี 1 หน้าทหี่ ลกั ของความใส่ใจ หน้าท่ี รายละเอยี ด ตวั อยา่ ง การแบง่ ความใสใ่ จ เ ร า ส า ม า ร ถ จ ั ด ก า ร คนขับรถที่มีประสบการณ์ (Divided attention) เกี่ยวกับการทำกิจกรรม สามารถที่จะพูดขณะขับรถ มากกกว่าหนึ่งอย่างใน ในสถานการณ์ต่างๆ ได้ คราวเดียวกนั และกันแบง่ อย่างง่ายดาย แต่ถ้ามีรถ ความใส่ใจเมอื่ ต้องการ คนอื่นขับเบี่ยงเข้ามาหา เขาจะสลับความใส่ใจ ทั้งหมดของเขาจากการ พูดคุยไปสู่การขับรถได้ อยา่ งรวดเร็ว การเฝา้ ระวงั และตรวจจบั ในหลายๆ สถานการณ์เรา หากเราอยู่ในเรือดำน้ำ สญั ญาณ (Vigilance and พยายามระวังที่จะตรวจจบั เราอาจจะมองหาแส ง ว ่ า จ ะ ส า ม า ร ถ ส ั ม ผั ส สญั ญาณท่ีไมป่ กติ หากเรา signal detection) สัญญาณได้ หรอื ไมซ่ ่ึงเป็น อยู่บนถนนทมี่ ดื มดิ สิ่งเร้าเป้าหมายเฉพาะท่ี เ ร า อ า จ จ ะ พ ย า ย า ม เราสนใจ โดยในการใส่ใจ ตรวจจับแสงหรือเสียงที่ เฝ้าระวังที่จะตรวจจับ ไม่ปกติ หรือหลังจาก สญั ญาณ เราเตรียมพร้อม แผ่นดินไหวเราอาจจะ ที่จะมีปฏิกิริยาที่รวดเร็ว ระมัดระวังเกี่ยวกับกล่ิน เมื่อตรวจจับสัญญาณสิ่ง ของแก๊สหรือควันที่รั่ว เรา้ ได้ ออกมา

17 17 หน้าที่ รายละเอยี ด ตวั อยา่ ง การค้นหา (Search) เ ร า เ ก ี ่ ย ว ข ้ อ ง ใ น ก า ร ถ้าเรารู้สึกได้ถึงควัน (อัน ปฏิบัติการค้นหาสิ่งเร้า เป็นผลมาจากการเฝ้าระวัง) เฉพาะ เราอาจจะปฏิบัติการค้นหา แหล่งที่มาของควันและเรา คน้ หาอย่างตอ่ เนื่องเพื่อหา กุญแจ แว่นตา และส่งิ ของ อื่นๆ ก า ร เ ล ื อ ก ค ว า ม ใ ส ่ ใ จ เราตัดสินใจเลือกสิ่งเร้าที่ เราอาจให้ความสนใจใน (Selective attention) จะใหค้ วามสนใจและส่งิ เรา้ การอ่านตำรา หรือฟังสิ่งที่ ที่จะเพิกเฉย การที่เพิกเฉย อาจารย์บรรยายในขณะท่ี หรือไม่ให้ความสำคัญสิ่งเร้า เพิกเฉยส่ิงเร้าต่างๆ บางอย่างนั้นทำให้เราเน้นส่ิง เช่น เสียงโทรศัพท์ หรือ เร้าที่สำคัญเฉพาะ การจดจ่อ ก า ร เ ข ้ า ห ้ อ ง ส า ย ข อ ง ความใส่ใจกับสิ่งเร้าเฉพาะ นักศึกษาคนอ่นื นั้น เพิ่มความสามารถของเรา ในการจัดการสิ่งเร้าเหล่านั้น สำหรับกระบวนการทางการ คิดต่างๆ เช่น การเข้าใจ ภาษา หรอื การแกไ้ ขปัญหา

18 18 จากคุณลักษณะและหน้าที่หลักของความใส่ใจที่มีจำกัด ซึ่งอาจเป็นการเลือก หรือการแบ่งความใสใ่ จนั้น ได้มนี กั จิตวทิ ยาหลายท่านเสนอทฤษฎแี ละแบบจำลองตา่ ง ๆ ของความใสใ่ จในที่น้จี ะขอกลา่ วถงึ 2 กลุ่มทีส่ ำคญั ดังนี้ 1. ทฤษฎีและแบบจำลองการเลือกความใสใ่ จ (Selective attention) 2.ทฤษฎแี ละแบบจำลองการแบง่ ความใส่ใจ (Divided attention) ทฤษฎีและแบบจำลองการเลอื กความใสใ่ จ (Selective attention) กลุ่มทฤษฎีและแบบจำลองการเลือกความใส่ใจนั้น มีแนวคิดว่า กระบวนการ ของการเลือกการใส่ใจ คือ ความสามารถที่จะใส่ใจในสิ่งหนึ่งและไม่สนใจสิ่งอื่นๆ การศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการเลือกการใส่ใจ (Selective attention) ทำให้ได้ข้อค้นพบ ตา่ งๆในมีน่ ี้จะขอยกตัวอย่างดงั น้ี ทฤษฎีเกี่ยวกับการเลือกความใส่ใจ(Selective attention) ที่สำคัญทฤษฎี หนึ่งคือทฤษฎีการกรอง ซึ่งทฤษฎีน้ถี ูกนำเสนอโดย Donald Broadbent(1958,อา้ งองิ ใน Goldstein,2008) ดังภาพที่ 2 โดยมแี นวคิดวา่ บุคคลเปรยี บเสมอื นผปู้ ระมวลผล ข้อมูล (Information Processor) ในทฤษฎีนี้มีสมมติฐานที่ว่า การใส่ใจทำหน้าท่ี เหมือนตัวกรอง (Filter) หนึ่งๆที่ยับยั้งข้อมูลส่วนมากก่อนที่ข้อมูลนั้นจะเข้าไปสู่การ ตระหนักรู้ของบุคคล ข้อมูลต่างๆที่จะเข้ามาจะผ่านการกรอง (Filter) และหาก กระบวนการกรองดงั กล่างเกิดข้นึ ทไ่ี หนกจ็ ะเกินภาวะคอขวดขนึ้ (Bottle neck) ภาพที่ 2 การกรองข้อมลู ในกระบวนการใส่ใจ

19 19 ทฤษฎีการกรอง (Fitter theory) ที่เสนอว่าการใส่ใจทำงานเหมือนตัวกรองน้นั สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 แบบคอื 1. แบบจำลองการเลือกแต่แรก (Early-Selection Model) Donald Broadbent (1958, อ้างถงึ ใน Goldstein, 2008) เปน็ บุคคลแรก ๆ ท่ีเสนอ ทฤษฎีการเลือกแต่แรก (Early filter theory) ดังภาพที่ 3 โมเดลในทฤษฎีนี้ขั้นตอน การกรองเกิดกอ่ นทข่ี อ้ มลู จะถูกวิเคราะห์ตีความหมาย ตงั นั้นจึงเป็นการกรองหรือเลือก จากคุณลักษณะภายนอก (Physical characteristics) ภาพท่ี 3 แบบจำลองการใสใ่ จของ Broadbent ทม่ี า : https://thescienceexperience.weebly.com/uploads/1/5/1/0/15100098/4439569_orig.jpg

20 20 Broadbent ออกแบบการทดลองด้วย \"ฟัง dichotic\" เพื่อตรวจสอบกระบวนการที่ เก่ยี วขอ้ งเม่ือเปลยี่ นโฟกสั ของความสนใจ Broadbent คิดอย่างนั้น ข้อมูลของสิ่งเร้าท้ังหมดท่ีปรากฏในช่วงเวลาท่ีกำหนดให้ ป้อน \"บัฟเฟอร์ทางประสาทสัมผัส\" (ช่องบัฟเฟอร์), เรียกอีกอย่างว่า คลังสินค้า ระยะสั้น หนึ่งในอินพุตถูกเลือกโดยคุณสมบัติทางกายภาพเพื่อผ่านตัวกรอง เนื่องจากเรามีความสามารถที่ จำกัด ในการประมวลผลข้อมูลตัวกรองจึงได้รับการ ออกแบบมาเพ่ือปอ้ งกนั ไมใ่ หร้ ะบบประมวลผลข้อมูลอ่ิมตวั อินพุตทางประสาทสัมผัสที่ไม่ได้เลือกจะยังคงอยู่ในบัฟเฟอร์ทางประสาทสัมผัสสั้น ๆ และหากไม่ได้หายไปอย่างรวดเร็ว Broadbent สันนิษฐานว่าตัวกรองปฏิเสธ ข้อความที่ไม่ต้องใส่ข้อมูลในข้ันตอนแรกของการประมวลผล ภาพที่ 4 แบบจำลองการใสใ่ จของ Broadbent

21 21 2. แบบจำลองการเลอื กทห่ี ลงั (Late-Selection Model) Anne Treisman ( 1964, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ได้พัฒนาทฤษฎี จากของ Broadbent โดยได้เสนอทฤษฎี Attenuation theory ดังภาพที่ 5 ซึ่งมี แนวคิดว่า ในการเลือกแต่แรกนั้นตัวกรอง (filter) ไม่ได้กรองข้อมูลออกไปทั้งหมด หากแต่ตัวกรองทำหน้าที่กรองข้อมูลให้น้อยลง (attenuate) โดย Treisman ได้เสนอ แนวคิดเกี่ยวกับ เทรชโฮลด์ (Threshold) ของความรู้สึกว่า หากมีเสียงข้อมูลเข้ามา ทั้งข้างซ้ายและข้างขวา ถึงแม้ว่าข้อมูลจะเข้ามาในช่องทางที่ไม่ได้ใส่ใจหรือข้างที่ ไม่ได้ใส่ใจฟัง หากข้อมูลดังกล่าวมีความถี่มากกว่าข้อมูลอื่น ข้อมูลนั้นก็จะถูกนำไปสู่ การรับรู้ได้ ภาพที่ 5 แบบจำลองการใส่ใจของ Treisman ท่ีมา : https://thescienceexperience.weebly.com/uploads/1/5/1/0/15100098/9410203_orig.jpg ระดบั การลดทอน ระดับของการลดทอนสามารถเปล่ียนแปลงได้โดยสัมพันธ์กับ เนื้อหาของข้อความท่ีอยู่ข้างล่าง ด้วยการลดทอนจำนวนมากข้นึ สำหรบั ขอ้ ความทไี่ ม่ ต่อเนือ่ งกนั ซงึ่ มีประโยชน์เพียงเลก็ นอ้ ยต่อผ้ทู ไ่ี ด้ยิน ภาพที่ 6 แบบจำลองการใสใ่ จของ Treisman

22 22 Anthony Deutsch and Diana Deutsch (1963, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ได้เสนอทฤษฎีการกรองทีหลัง (Late filter theory) ดังภาพที่ 7 โมเดลในทฤษฎนี ีส้ ่ิง เร้าหรือข้อมูลทั้งหมดจะถูกวิเคราะห์ไม่เพียงแต่จากคุณลักษณะภายนอก แต่รวมถึง ความหมายด้วยในโมเดลนี้ขั้นตอนการกรองเกิดหลังจ ากที่ข้อมูลถูกวิเคราะห์ ตีความหมาย ดังนนั้ จึงเป็นการกรองหรอื เลือกจากความหมาย (Meanings) ของขอ้ มลู ภาพท่ี 7 แบบจำลองการใสใ่ จของ Deutsch & Deutsch ทีม่ า: https://ecampusontario.pressbooks.pub/app/uploads/sites/414/2019/06/123.png ภาพท่ี 8 แบบจำลองการใสใ่ จของ Deutsch & Deutsch

23 23 ทฤษฎีและแบบจำลองการแบง่ ความใสใ่ จ (Divided Attention) ทฤษฎีการแบ่งความใส่ใจ (Divided Attention) เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวกับการ แบ่งปันการใส่ใจไปในสองสิ่งหรือมากกว่า ในขณะท่ที ฤษฎีการเลือกความใส่ใจ (Selective Attention) จะเน้นถึงลักษณะของขอ้ มลู ท่เี ข้ามารอกรกรองหรอื เลอื กโดยมี ลักษณะเหมือนเปน็ คอขวด (Bottleneck และเน้นถึงตำแหนง่ ของการกรองหรอื การ เกิดขนึ้ ของคอขวดนีว้ ่าอย่กู ่อนหรือหลงั การใสใ่ จ (Early-Selection Model or Late- Selection Model) โดยมีสมมุตฐิ านว่า การเลอื กความใสใ่ จในภายหลงั จะใช้พลงั ความสามารถทางสมอง (Mental Effort) มากกว่าการเลอื กความใสใ่ จแต่แรก ตามทฤษฎีการแบ่งความใส่ใจ (Divided Attention) ความใส่ใจจะถูกแบ่ง (divide) หรือปันส่วน (allocation) เมื่อบุคคลใส่ใจสิ่งต่าง ๆ มากกว่าสิง่ เดยี ว ทฤษฎี นี้ช่วยอธิบายว่าเราสามารถทำอะไรหลายอย่างที่ต้องการใส่ใจในเวลาเดียวกันได้ อย่างไร โดยเสนอว่าบุคคลมีการใส่ใจที่จำกัด ดังนั้นเขาเลือกที่จะปันส่วนการใส่ใจ (allocate) ตามความต้องการความใส่ใจที่ต้องมีต่อสิ่งท่ีจะทำนั้น ๆ อย่างไรก็ตามใน ปัจจุบันนี้เป็นที่ยอมรับว่าบุคคลสามารถแบ่งการใส่ใจได้ดีเมื่อสิ่งที่กำลังทำหลาย ๆ อย่างนั้นใช้รูปแบบการรับรู้ของระบบสัมผัส (modality) ที่แตกต่างกัน เช่น คน ส่วนมากสามารถฟังดนตรีและตั้งใจเขียนหนังสือได้ในเวลาเดียวกันโดยไม่ยาก แต่ หากเป็นการดูข่าวได้เขียนหนังสือในเวลาเดียวกันจะเป็นสิ่งที่ยากมาก (Sternberg, 2006) ดังนั้นความสามารถในการแบ่งปันความใส่ใจจึงมีปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ดังกล่าว ต่อไปน้ี

24 24 ปจั จยั ทม่ี ผี ลตอ่ ความสามารถในการแบง่ ปนั ความใสใ่ จ ความสามารถในการแบง่ ความใสใ่ จของบคุ คลข้ึนอยกู่ ับปัจจยั สำคญั 2 ข้อ ดังนี้ 1. การฝึกฝน (Practice) การฝึกฝนในกิจกรรมต่าง ๆ นำไปสู่กระบวนการรับรู้ อัตโนมัติ (automatic processing) ความต้องการการใส่ใจในการทำกิจกรรมนั้น ๆ ก็ จะน้อยลง ซึ่ง automatic processing นี้เกิดขึ้นได้เมื่อไม่มีความตั้งใจและใช้พลังงาน ทางสมองไม่มาก ดังตัวอย่างการทดลอง stroop effect ของ Stroop (1935, อ้างถึง ใน Ashcraft &Radvansky, 2010) ดังภาพที่ 9 ในการทดลองนี้คำต่าง ๆ จะ ปรากฎขึ้น โดยการใช้สีของคำและการสะกดคำจะไม่ตรงกันเช่น การใช้สีแดงกับ ตัวอักษรที่สะกดเป็นคำว่า สีม่วง (purple) เมื่อมีคำเหล่านี้ปรากฎขึ้น กลุ่มตัวอย่าง จะต้องบอกสีของคำนั้น ๆ ผลการทดลองพบว่า เมื่อสีของคำและการสะกดคำไม่ สอดคล้องกันทำให้เกิดการรบกวน (interference) นั่นก็คือ ความช้าในการบอกสีของ กลุ่มตัวอย่าง ในกรณีนี้การประมวลผลอัตโนมัติ (automatic processing) เกิดข้ึน เนื่องจากเราฝึกอ่านคำเหล่านี้จนสามารถอ่านได้โดยอัตโนมัติ ทำให้เราบอกสีของคำ ได้ช้าลงหากคำเหล่านั้นอ่านได้ไม่ตรงกับสีของมัน ในขณะที่ผลของ stroop effect นี้ จะไม่เกิดขึ้นหากทดลองกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้ โดยเขาเพียงแต่ บอกสีของคำเท่าน้นั จงึ ไมม่ กี ารรบกวนเกดิ ขนึ้ ภาพท่ี 9 ตวั อย่างสิง่ เรา้ ทใี่ ชใ้ นการทดลอง stroof effect ที่มา : https://scontent.fcnx3-1.fna.fbcdn.net/v/uTyKsH5nEPpJ5ZshlXDSYi0Vrw&oe=62000CFE

25 25 2. ความยากง่ายของงาน (Difficulty of task) งานหรือกิจกรรมที่มีความยากต้อง อาศัยการใส่ใจในการจดจ่อทำงานน้ัน ๆในขณะที่งาน เช่น การอ่านหนังสือเตรยี มสอบ หรือกิจกรรมที่มีความง่าย เช่น การทำความสะอาดบ้าน ไม่ต้องการการใส่ใจในการทำ กจิ กรรมดังกล่าวมากนัก ทฤษฎเี กย่ี วกบั การแบง่ ความใสใ่ จ (Divided attention) ทฤษฎีและแบบจำลองที่เกี่ยวกับการแบ่งปันความใส่ใจ (Divided Attention) ได้ เสนอถงึ การใหค้ วามใส่ใจในส่ิงต่าง ๆ ในเวลาเดียวกัน ทฤษฎแี ละแบบจำลองตา่ ง ๆ ที่ สำคญั ทจี่ ะกลา่ วถงึ ในกลมุ่ ทฤษฎนี ม้ี ี 3 ทฤษฎี ได้แก่ 1. แบบจำลองสมรรถนะของความใส่ใจ (Capacity Model of Attention) Kahneman (1973, อ้างถึงใน อุบลวรรณา ภวกานันท์, 2556) ได้สร้าง แบบจำลองสมรรถะของความใส่ใจขึ้น โดยเสนอว่า มนุษย์สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ หลายอย่างในเวลาเดียวกัน โดยมีตัวจัดการจากศูนย์ประสาทส่วนกลางเป็นตัวแบ่ง สรรความใส่ใจที่พิจารณาจากความต้องการ ความยากของงาน และการฝึกฝน ถ้างาน ง่ายจะใช้ความใส่ใจน้อยซ่งึ เราสามารถทำงานงา่ ย ๆ พรอ้ มกันได้ ถ้างานยากจะต้องทุ่ม ความใส่ใจทั้งหมดไปที่งานนั้นความใส่ใจจะเกี่ยวข้องกับจำนวนของความสามารถทาง สมองที่ต้องใช้ในการทำงานเพื่อใส่ใจแต่ความสามารถหรือแรงพยายามนั้นมีขีดจำกัด และจำนวนความสามารถทใ่ี ช้ไปต่าง ๆ นนั้ ขน้ึ อยู่กบั ระดบั ของการกระตุ้น ดงั ภาพที่ 10

26 26 ภาพท่ี 10 Capacity Model of Attention ท่มี า : https://www.researchgate.net/profile/Interpretation-of-Kahnemans-1973-Capacity-Model- for-Attention-in-relation-to-listening.png

27 27 2. ทฤษฎรี ปู แบบพหุ (Multimode theory) Johnson and Heinz (1978, อ้างถึงใน Goldstein, 2008) ได้สร้างทฤษฎีรูปแบบ พหุ (Multimode theory) ขึ้นโดยได้เสนอ ความยืดหยุ่นของความใส่ใจ (flexibility of attention) ที่บุคคลสามารถปรับรูปแบบความใส่ใจที่ต้องการหรือเลอื กตามความเหมาะสม ความตั้งใจของคนและความต้องการที่จำเป็นสำหรับงานจะเป็นตัวกำหนดขัน้ การจัดการกับ ข้อมูลที่ถูกเลือกการใช้รูปแบบนี้ทำใหป้ ระหยัดเวลาในการเลือกรับขอ้ มลู ตัวอย่างของภาระ งาน (task) ที่ใช้วัดการใส่ใจ เช่น Selective-listening task โดยให้ผู้เข้ารับการทดลองทำ ภาระงานที่ 1 โดยฟังคำจากกลุม่ ต่าง ๆ และให้บอกคำจากกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ในขณะเดียวกัน ผเู้ ข้ารบั การทดลองตอ้ งทำภาระงานที่ 2 (secondary task) คอื กดปมุ่ ให้เร็วทส่ี ุดเท่าทจี่ ะทำ ได้เมื่อเห็นแสงไฟ เพื่อวัดว่าบุคคลสามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่เป็นเป้าหมาย ไดเ้ ร็วแค่ไหน 3. แนวคดิ ชว่ งเวลาในการหกั เหทางจติ วทิ ยา (Psychological Refractory Period : PRD) Harold Pashler (1993, อ้างถึงใน อุบลวรรณา ภวกานันท์, 2556) ได้ เสนอแนวคิดช่วงเวลาในการหกั เหทางจิตวทิ ยา (Psychological Refractory Period) ซึ่งช่วงเวลาเมื่อบุคคลพยายามที่จะทำกิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรมอย่างรวดเร็วในเวลา เดียวกัน การตอบสนองต่อ 1 กิจกรรมหรือทั้ง 2 กิจกรรมมักจะช้าลงและกิจกรรม ที่ 2 จะเริ่มช้ากว่ากิจกรรมที่ 1 ความช้าที่เกิดจากการทำกิจกรรมที่ต้องการ ความเร็วทั้ง 2 กิจกรรมนี้เรียกว่าPsychological Refractory Period (PRP) หรือ ผลกระทบจากช่วงเวลาในการหักเหทางจิตวิทยาดังภาพที่ 11 บุคคลสามารถใช้ กระบวนการรับรู้ตัวกระตุ้นทางภายภาพได้ง่าย ในขณะที่ทำกิจกรรมที่ 2 ที่ต้องใช้ แต่ความเร็ว เช่น การส่ันกระด่ิงเม่ือเห็นแสงไฟ เป็นต้น แต่บุคคลไม่สามารถทำ กิจกรรมที่ใช้กระบวนการคิดได้มากกว่า 1 กิจกรรม เช่น การท่องคำศัพท์ และฟังขา่ ว วิทยุ เป็นต้น

28 28 ภาพท่ี 11 Psychological Refractory Period (PRP) ท่มี า : https://www.researchgate.net/profilebottleneck-model-and-how-it-produces-a-PRP-effect.png ความใสใ่ จทางการมองเหน็ (visual attention) นักจิตวิทยาศึกษาความใส่ใจทางการมองเห็นไโดยใช้วิธีการวัดการ เคล่ือนไหวของตา (measuring eye movement) โดยใชอ้ ปุ กรณต์ รวจจับพฤติกรรมทาง สายตา ที่เรียกว่า Eye Tracker ดังภาพที่ 12 (a) โดยทั่วไปในการทดลองการใส่ใจ ทางการมองเห็นนั้นผู้วิจัยจะเตรียมสิ่งเร้าหรือสื่อเพื่อนำมาปรากฎ หน้า จอคอมพิวเตอร์ และใช้ Eye Tracker ตรวจจับการเคลื่อนไหวตาของผู้เข้าร่วม การทดลองว่า จ้อง (fixation) ไปที่ใดก่อน หลัง และจ้องตำแหน่งไหนนาน ตำแหน่งไหนเร็ว เป็นต้น ดังภาพที่ 13 (b) ซึ่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำหรับระบบ Eye tracking ดงั กล่าวจะทำการประมวลผลข้อมูลเพ่อื นำมาวเิ คราะหค์ วามใสใ่ จทางการ มองเห็น (visual attention) ตอ่ ไป ภาพท่ี 12 การใช้เคร่ือง eye tracker ในการวัดความใส่ใจทางการมองเห็น ท่ีมา : https://www.researchgate.net/profile/-5eye-tracker-left-and-the-display-and-host-PCs.png

29 29 การตดิ ตามทตี่ ดิ ตา Eye-attached tracking ประเภทแรกใช้สิ่งที่แนบมากับดวงตา เช่น คอนแทคเลนส์พิเศษที่มีกระจกหรอื เซ็นเซอร์สนามแม่เหล็กในตัว และการเคลื่อนไหวที่แนบใส่ในตานั้น วัดโดย สมมุตฐิ านแลว้ วา่ ไม่หลดุ เม่อื ตาหมุน การวดั ด้วยคอนแทคเลนส์ท่กี ระชับทำใหส้ ามารถ บันทึกการเคลื่อนไหวของดวงตาได้ไวมาก และขดลวดค้นหาด้วยแม่เหล็กเป็น ทางเลือกสำหรับนักวิจัยท่ีศึกษาพลวัตและสรีรวิทยาพ้ืนฐานของการเคล่ือนไหวของ ดวงตา วิธีนี้ช่วยให้วัดการเคลื่อนไหวของดวงตาในทิศทางแนวนอน แนวตั้ง และบิด เบ้ยี วได้ ภาพที่ 13 การใช้เครอ่ื ง eye tracker ในการวดั ความใส่ใจทางการมองเห็น ที่มา : https://www2.fgw.vu.nl/werkbanken/dighum_nl/apparatuur/eyelink_opstelling.jpg

30 30 ขอ้ จำกดั ของความใสใ่ จทางการมองเห็น การใส่ใจทางการมองเห็นในบางสถานการณ์นั้นมีข้อจำกัด ซึ่งปรากฎการณ์ต่าง ๆ ทีเ่ ก่ยี วกบั ขอ้ จำกดั ของความใส่ใจทางการมองเหน็ มดี ังน้ี 1. Attentional blink ความใส่ใจในบางครั้งอาจเกิดความผิดพลาดหรือล้มเหลว ในการเลือกได้ หรือเรียกว่า ความล้มเหลวในการเลือกความใส่ใจ (Selection Failure) ซึ่ง Raymond, Shapiro, and Amell (1992, อ้างถึงใน Willingham, 2007) ได้เสนอ แนวคิดเก่ยี วกับ attentional blink ไวว้ ่า attentional blink เกดิ จากความสับสนเชิงรับรู้ ในกรณีที่มีข้อมูลเป้าหมาย 1 เกิดขึ้นและเป้าหมาย 2 เกิดขึ้นติดต่อกันอย่างใกล้ชิต ใน กรณีนี้บุคคลจะไม่สามารถบอกเป้าหมายที่ 2 ได้ เนื่องจากหลังจากข้อมูลเป้าหมาย ที่ 1 เกิดขึ้นบุคคลจะอยู่ในขั้นตอนของการประมวลผลที่แปลงข้อมูลดังกล่าวไปสู่ ตัวแทน (representation) ในกระบวนการคดิ ที่คงทนมากขนึ้ เพอื่ ทีจ่ ะบอกได้ ในการวัด Attentional blink นั้นสามารถทำได้โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Rapid Serial Visual Presentation (RSVP) ดังภาพที่ 14 ยกตัวอย่างเช่น ในการทดลองน้ัน กล่มุ ตวั อย่างจะถกู บอกวา่ ส่งิ ท่ีเขาจะเห็นต่อไปนีม้ ที ง้ั ตวั เลขและตวั อกั ษร แตใ่ หเ้ ขาบอก เฉพาะชื่อตัวอักษรที่เขาเห็น Attentional blink เกิดขึ้นในกรณีที่ตัวอักษรที่ 2 (Target 2) ปรากฎขึ้นต่อจากตัวอักษรที่ 1 (Target 1) ในระยะเวลาที่รวดเร็ว ซึ่งการ เกดิ attentional blink จะเกดิ ข้ึนเม่ือผเู้ ขา้ รบั การทดลองรายงานวา่ เขาเห็นตวั อกั ษร V แต่ไม่เหน็ ตัวอักษร K

31 31 ภาพท่ี 14 วิธีการ Rapid Serial Visual Presentation (RSVP) ทีม่ า : Willingham, 2007 อ้างถงึ ใน ปวีณา โฆสโิ ต, 2562 2. Inattentional blindness คือ การมองไปที่สิ่งหนึ่งโดยปราศจากการใส่ใจ ดงั นั้นสง่ิ เร้าใดทไี่ ม่ถูกใส่ใจจะไม่ถูกรับรู้ ถึงแม้ว่าบุคคลจะมองตรงไปที่ส่ิงเร้านั้น ซึ่ง Simons and Chabris (1999) ได้ทำการทดลองโดยให้กลุ่มตัวอย่างดูคลิปวิดีโอของ กลุ่มคนที่กำลังส่งบอลไปมา โดยที่กลุ่มตัวอย่างจะต้องบอกจำนวนครั้งของการส่งบอล ของทมี ท่ีใส่เสื้อสีขาวว่ามที งั้ หมดก่ีคร้ัง ผลการทดลองพบวา่ กลุ่มตัวอย่างสว่ นมากจะใส่ ใจ จดจ่อแต่การนับจำนวนครั้งของการส่งบอลของคนที่ใส่เสื้อสีขาว โดยไม่ใส่ใจมอง สิ่งเร้าอื่น (เสื้อสีอื่น เช่น สีดำ) ทำให้เขาไม่รับรู้ว่ามีลิงกอริลล่าสีดำที่อยู่ในวิดีโอนั้น แมว้ ่าลิงจะอยูใ่ นชว่ งระดับสายตาของเขากต็ าม

32 32 3. Change blindness คื อ ก า ร ไ ร้ ค ว า ม ส า มา ร ถ ใ น ก า ร ต ร ว จ พ บ การ เปล่ียนแปลงของวัตถุหรือส่งิ แวดล้อมทอี่ ยู่ในสายตา ตัวอยา่ งทแี่ สดงให้เห็นถึง change blindness คือ การทดลองของ Simons and Levin ที่มีการเปลี่ยนแปลงบุคคลต่าง ๆ ใน สภาวะแวดล้อมของกลุ่มตัวอย่าง เช่น การสร้างสถานการณ์การถามเส้นทางกับกลุ่ม ตัวอย่าง โดยบุคคลที่ถามเส้นทางนั้น (บุคคลที่ผู้วิจัยเตรียมการไว้) จะถูกเปลี่ยนไป ระหว่างการถามเส้นทาง โดยขณะที่กลุ่มตัวอย่างกำลังบอกเส้นทางกับบุคคลหนึ่ง จะมี คนแบกแผ่นป้ายใหญ่ ๆ เดินแทรกกลางระหว่างกลุ่มตัวอย่างกับบุคคลท่ีถามทางนั้น เพื่อให้มีการเปลี่ยนตัวบุคคลที่ถามเส้นทางเป็นคนใหม่ ผลการทดลองพบว่า หลังจากคนแบกแผ่นป้ายเดินผ่านไปและมีการสลับคนถามเส้นทางแล้วกลุ่มตัวอย่าง ยังคงให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางต่อไป โดยไม่ได้ตระหนักว่าบุคคลที่ตนสนทนา ด้วยน้ันเปล่ียนไป การท่ีกล่มุ ตวั อยา่ งไมเ่ หน็ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว แสดงให้เห็นถงึ Change blindness คือ ขอ้ จำกดั ของการตระหนักรู้และเหน็ ชัดถงึ ความแตกต่างระหว่าง สิ่งทเ่ี ห็นกับสง่ิ ทเ่ี ราคิดวา่ เราเห็น งานวจิ ยั ทางจติ วทิ ยาการรคู้ ดิ ทเ่ี กยี่ วกบั ความใสใ่ จและการประยกุ ตใ์ ช้ Strayer and Johnson (2001) ได้ศึกษาเกี่ยวกับความล้มเหลวในการใส่ใจ ทางการมองเห็นที่ถูกเหนี่ยวนำโดยการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถในสถานการณ์เสมือน จริง (simulation) โดยในการทดลองเขาเปรียบเทียบสถานการณ์ขับรถที่ทำกิจกรรม อย่างเดียว (Single task situation) คือ ขับรถกับสถานการณ์ที่ทำกิจกรรมสองอย่างใน เวลาเดยี วกัน (Dual task situation) คอื ขบั รถและใช้โทรศพั ทม์ อื ถอื ซ่งึ กลุ่มตัวอย่าง แบง่ เปน็ กลุม่ ทดลองและกลุ่มควบคุม ในกลมุ่ ควบคมุ น้นั สถานการณท์ ท่ี ำกิจกรรมสอง อยา่ ง คอื ขบั รถและฟังวทิ ยุ ดงั ภาพที่ 15 ผลการศกึ ษาพบวา่ หากเราใช้โทรศัพท์มอื ถอื ขณะขับรถจะทำใหม้ ีโอกาสผิดพลาด (miss) ในการขับรถได้มากขึ้นและใช้ระยะเวลาใน การตอบสนอง (Reaction Time) ต่อสถานการณ์ขับรถมากขึ้นหรือเรียกได้ว่า การ ตอบสนองตอ่ สถานการณท์ ่ีเกดิ ขึ้นในการขับรถช้าลง

33 33 ภาพท่ี 15 ผลการทดลองสถานการณข์ ับรถโดยทำกิจกรรมอยา่ งเดยี วหรอื สองอย่าง ทมี่ า: Strayer and Johnson, 2001 อา้ งถงึ ใน ปวีณา โฆสิโต, 2562 Norman ได้เสนอว่า Cognitive engineering เป็นสาขาที่ศึกษาบทบาทของ ปัจจัยทางการรู้คิดที่มีต่อการปฏิบัติงาน โดยสาขานี้เกิดจากการบูรณาการศาสตร์ ต่างๆ เช่น การสื่อสาร วิศวกรรม วิศวกรรมซอฟแวร์ และการศึกษาพฤติกรรมการ เคลื่อนไหว ซึ้งในอดีตนั้น Cognitive engineering รู้จักกันในชื่อ Human factors psychology เป็นการนำความรู้เกี่ยวกับศักยภาพและขีดจำกัดของมนุษย์ในด้านต่างๆ เช่น การใส่ใจ การรับรู้ มาประยุกต์ใช้ในการออกแบบระบบที่เป็นการควบคุมใน สภาวะกดดัน ตึงเครียด หรือ สภาวะปกติ โดยมีวัตถุประสงค์สองข้อ คือ เพื่อ ประเมนิ ผลการปฏบิ ตั ิงานในงานท่ตี ้องอาศยั การประมวลผลข้อมลู จำนวนมาก และเพื่อ ออกแบบคุณลักษณะความต้องการของงานให้เหมาะสมกับศักยภาพของผู้ปฏิบัติงาน ในปัจจุบันนี้มีผลการศึกษาของ cognitive engineering นำมาประยุกต์ใช้ในการ ออกแบบระบบการทำงานและการจัดการลักษณะต่างๆ เช่น การทำงานของนักบิน การ ควบคุมการบิน การออกแบบระบบและผงั การควบคมุ ในหอ้ งปฏิบตั ิการตา่ งๆ เช่น ภายใน หอ้ งนักบนิ การออกแบบเคร่ืองมอื แพทย์ เปน็ ต้น

34 34 สรปุ เนอ้ื หา ความใส่ใจ ( attention) เป็นกระบวนการทางจิตในการจดจ่อสิ่งเร้าที่เข้ามา เพื่อนำไปสู่ความคิดอย่างต่อเนื่อง โดยความใส่ใจมีความสำคัญในด้านการเรียนรู้ และด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งมีคุณลักษณะของความใส่ใจอาจจะเป็นลักษณะของ ปัจจัยนำเข้าหรือเป็นตัวควบคุมโดยปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความใส่ใจ ประกอบด้วย ปัจจัยทางด้านตัวกระตุ้นและปัจจัยด้านตัวผู้รับรู้ ทั้งนี้คุณสมบัติของความใส่ใจของ มนุษย์นั้นมีจำกัดและความใส่ใจเป็นการเลือก ซึ่งความใส่ใจมีหน้าที่หลักในการแบ่ง ความใส่ใจ ซึ่งทฤษฎีที่อธิบายถึงคุณลักษณะและหน้าที่ดังกล่าวมีสองกลุ่มคือ ทฤษฎี และแบบจำลองการเลือกการใส่ใจ (Selective attention) ที่เป็นทฤษฎีการกรองซึ่ง แบ่งเป็นแบบจำลองการเลือกแค่แรกและแบบจำลองการเลือกทีหลัง และทฤษฎีและ แบบจำลองการแบ่งการใส่ใจ (Divided attention) ซึ่งแบ่งเป็นแบบจำลองสมรรถนะ ของความใสใ่ จ ทฤษฎีรูปแบบพหุ และแนวคิดช่วงเวลาในการหักเหทางจิตวทิ ยา โดย การศึกษาการใส่ใจนั้นอาจจะใช้ Eye tracker ในการวัดการใส่ใจทางการมองเห็น ( visual attention) อย่างไรก็ตามการใส่ใจทางการมองเห็นของมนุษย์ก็มีข้อจำกัด เช่น Attentional blink , Inattentional blindness และ Change blindness เปน็ ต้น

35 แหลง่ อา้ งองิ ปวีณา โฆสโิ ต. (2562). จติ วิทยาการรู้คดิ . (พิมพค์ รั้งท่ี 2). เชียงใหม่ : ส. อนิ ฟอร์เมชน่ั เทคโนโลยี จำกัด . ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องแบนดูรา. (ม.ป.ป.). จติ วทิ ยาสำหรับครู. สบื คน้ 6 มกราคม 2564, จาก http://gamlovenew.blogspot.com/2015/11/blog-post_1.html สนั ทัด พรประเสริฐมานติ . (2007, พฤศจกิ ายน). Learning Theory 07.pdf. Sunthud. https://sunthud.com/media/Publication/Learning%20Theory%2007.pdf Dr. Saul McLeod. (2018). Theories of Selective Attention. from https://www.simplypsychology.org/attention-models.html ความหมายและทฤษฎีการเลอื กสรรความสนใจ. (ม.ป.ป.). Sainte Anastasie. สืบค้น 27 มกรามคม 2565, จาก https://th.sainte- anastasie.org/articles/psicologa/atencin-selectiva-definicin-y-teoras.html ทฤษฎกี ารลดทอน - Attorney General of Trinidad and Tobago. (ม.ป.ป.). Wikipedia site:isecosmetic.com. สบื คน้ 27 มกรามคม 2565, จาก https://isecosmetic.com/wiki/Attenuation_theory Attention. (n.d.) OPEN LIBRARY PRESSBOOKS. Retrieved January 11, 2022, from https://ecampusontario.pressbooks.pub/testbookje/chapter/attention/ Stroop Effect Lab Report — Effect lab report stroop. (n.d.). speedypaper. Retrieved January 11, 2022, from https://speedypaper.com/?rt=DPMGbZgw

36 Benjamin Hornsby. (2016, July). The Framework for Understanding Effortful Listening (FUEL). ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Interpretation-of-Kahnemans-1973- Capacity-Model-for-Attention-in-relation-to-listening_fig1_304630235 Nicholas Gaspelin. (2012, May). Implications for the “automaticity” of psychological adaptations. ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Illustration-of-the-central- bottleneck-model-and-how-it-produces-a-PRP-effect_fig1_251644409 Jennifer D Ryan. (2010, Aug). Eye Movement Monitoring of Memory. ResearchGate. From https://www.researchgate.net/figure/Example-of-a-head-mounted- video-based-eye-tracker-left-and-the-display-and-host- PCs_fig1_45828140 Eye tracking. (n.d.). WIKIPEDIA The Free Encylopedia. Retrieved January 11, 2022, from https://en.wikipedia.org/wiki/Eye_tracking Eye tracker. (n.d.). Digital Humanities Workbench. Retrieved January 11, 2022, from https://www2.fgw.vu.nl/werkbanken/dighum/devices/eye_tracker.php

37 ผจู้ ดั ทำ ทปี่ รกึ ษา : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทศั นยี ์ บุญแรง ภาควชิ าจิตวทิ ยา คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั เชียงใหม่ Team : PCG Normal ชอ่ื นามสกลุ : นางสาวกรรณลณิษฐ์ กำภู ณ อยธุ ยา หนา้ ท่ี : ผตู้ รวจสอบ และออกแบบ E-Book ชอ่ื นามสกลุ : นางสาวณฐั ณชิ า ขาวผ่อง หนา้ ที่ : ผู้ชว่ ยตรวจสอบ ชอ่ื นามสกลุ : นางสาวนกภลกั ษ์ พรมสุ หน้าท่ี : ออกแบบโลโก้

38 ผู้จดั ทำ ชอื่ นามสกลุ : นางสาวศรีสุดา เยีย่ มยทุ ธการ หน้าที่ : ค้นควา้ หาข้อมลู ชอื่ นามสกลุ : นางสาวกันยารัตน์ มณขี ตั ย์ หน้าที่ : รวบรวม เรยี บเรยี งเนอ้ื หาข้อมูล ชอ่ื นามสกลุ : กลั ยรตั น์ ระมั่ง หน้าที่ : ค้นคว้าหาขอ้ มลู ชอ่ื นามสกลุ : นางสาวณชิ นันทน์ แซแ่ ต้ หน้าท่ี : ค้นหา รวบรวม ภาพประกอบเนอื้ หา

39

40


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook