ใบความรู้ความเปน็ มาและแนวความคดิ ในการ จดั การ
หลักการ (Principles ) พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานได้ใหค้ วามหมาย “หลักการ” หมายถึง สาระสาคญั ท่ียึดถือเปน็แนวปฏบิ ัติ แนวคดิ ( Concept ) พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้ใหค้ วามหมาย “แนวคิด” หมายถึง ความคดิ ท่ีมีแนวทางปฏิบตั ิ แนวความคดิ เกิดขน้ึ ไดม้ ีองคป์ ระกอบดงั น้ี คือ 1. การสังเกต 2. การเปรียบเทียบความคล้ายและความแตกต่าง 3. จัดแยกประเภทและรวมเป็นหมวดหมู่ 4. สรา้ งความหมายเฉพาะเพ่อื ความเข้าใจของตนเอง แนวคิด เป็นการกลา่ วสิ่งใดส่ิงหนึง่ ซึง่ ใชค้ วามเช่อื ความรู้สึก ทัศนคติ แง่คดิ ความรู้และประสบการณ์เขา้ ร่วมอาจจะเป็น บทความ เป็นขา่ ว เป็นข้อเสนอแนะ หรือความคิดจากใครท่ีเชี่ยวชาญก็ได้ แนวคดิ อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ทฤษฎี ( theory) พจนานกุ รมฉบับราชบัณฑติ ยสถานไดใ้ ห้ความหมาย \"ทฤษฎ\"ี วา่ หมายถึง ความเห็น การเหน็การเห็นดว้ ยลักษณะที่คาดเอาตามหลกั วิชา เพื่อเสรมิ เหตผุ ลและรากฐานให้แกป่ รากฎการณ์ หรอื ข้อมูลในภาคปฏิบตั ิ ซ่งึ เกิดข้ึนอยา่ งมรี ะเบยี บ นอกจากน้ี นักวชิ าการหลายทา่ นไดใ้ ห้ความหมาย ดังนี้ 1. Good : ทฤษฎี คือ ข้อสมมตติ า่ ง ๆ(Assumption) หรือขอ้ สรปุ เป็นกฎเกณฑ์ (Generalization) ซึง่ ไดร้ บัการสนับสนนุ จากข้อสมมติทางปรัชญาและหลักการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือใชเ้ ปน็ เสมือนพ้ืนฐานของการปฏิบัติข้อสมมติซงึ่ มาจากการสารวจทางวิทยาศาสตร์ การคน้ พบต่าง ๆ จะไดร้ บั การประเมนิ ผล เพ่ือให้มีความเทย่ี งตรงตามหลักวทิ ยาศาสตร์ และข้อสมมติทางปรชั ญา อันถือได้วา่ เป็นสญั ลักษณ์ของการสรา้ ง(Construction) 2. Kneller : ไดใ้ ห้ความหมายของทฤษฎีไว้ 2 ความหมาย คือ 2.1 ข้อสมมติฐานต่าง ๆ (Hypothesis) ซ่งึ ไดก้ ลั่นกรองแลว้ จากการสงั เกตหรือทดลอง เชน่ ในเรื่องความโน้มถ่วงของโลก 2.2 ระบบขอความคิดตา่ ง ๆ ทนี่ ามาปะตดิ ปะต่อกัน (Coherent) 3. Feigl : ทฤษฎีเปน็ ข้อสมมตติ า่ ง ๆ ซ่ึงมาจากกระบวนการทางตรรกวิทยา และคณิตศาสตร์ ทาให้เกิด กฎเกณฑท์ ี่ได้มาจากการสังเกตและการทดลอง
4. ธงชยั สนั ติวงษ์ : ทฤษฎี หมายถงึ ความรูท้ เี่ กดิ ข้นึ จากการรวบรวมแนวความคดิ และหลักการตา่ ง ๆ ให้เป็นกลุ่มก้อนและสร้างเปน็ ทฤษฎีขน้ึ ทฤษฎีใด ๆ ก็ตามท่ีตงั้ ขน้ึ มานน้ั เพอื่ รวบรวมหลักการและแนวความคิดประเภทเดียวกันเอาไว้อยา่ งเปน็ หมวดหมู่ 5. เมธี ปลิ นั ธนานนท์ : ได้กล่าวถงึ หน้าทหี่ ลักของทฤษฎี มี 3 ประการ คือ การพรรณนา(Description) การอธิบาย (Explanation) และการพยากรณ์ (Prediction) ทฤษฎีองค์กร (Organization Theory)การวิเคราะห์ถงึ ความจริงท่เี กิดขนึ้ ตามธรรมชาตริ อบตัว อย่างมีระบบและแบบแผนในเชิงวิทยาศาสตร์ 1. ทฤษฎีองคก์ รสมยั ด้ังเดิม (Classical Theory) - Frederick Taylor แนวคิดการบรหิ ารงานแบบวิทยาศาสตร์ - Max weber แนวคิดระบบราชการ เป็นสังคมในยคุ สังคมอตุ สาหกรรม มีโครงสร้างทแ่ี นน่ อน มีระเบียบแบบแผน มุ่งใหผ้ ลผลติ มีประสทิ ธภิ าพ (efficient and effective Productivity) มองมนุษยเ์ หมือนเครื่องจักร (Mechanistic) ในองค์การ 2. ทฤษฎอี งค์กรสมยั ใหม่ (Neo-Classical Theory of Organization) - Hugo Munsterberg ผู้เร่ิมต้น วิชาจติ วิทยาอุตสาหกรรม เนน้ สภาพสงั คมท่ีมผี ลตอ่ การปฏบิ ตั ิงาน มองมนุษยเ์ ป็นสิง่ มีชวี ิต ทมี่ ีความร้สู ึก มจี ติ ใจ (Organic) นาความรดู้ า้ น มนุษยส์ ัมพันธ์มาใช้ 3. ทฤษฎอี งค์กรสมัยปัจจุบัน (Modern Theory of Organization) เน้นสงั คมเศรษฐศาสตร์ (Socioeconomic) มองมนุษยเ์ ปน็ สิง่ มีชีวติ ทีม่ คี วามรู้สกึ มีจติ ใจ นาความรดู้ ้านมนษุ ย์สัมพันธ์มาใช้ นาสงิ่ แวดลอ้ มมาพจิ ารณา ใช้แนวความคดิ .นเชงิ ระบบ คานึงถึงความเปน็ อสิ ระ และสง่ิ แวดลอ้ มภายใน และภายนอก จากความหมายดังกล่าวข้างต้น ทฤษฎี จึงหมายถงึ การกาหนดข้อสันนิษฐาน ซึ่งได้รบั มาจากวธิ กี ารทางตรรกวิทยา วทิ ยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ทาใหเ้ กิดกฎเกณฑท์ ่ีไดม้ าจากการสังเกต ค้นคว้า และการทดลองโดยใช้เหตผุ ลเป็นพ้ืนฐานเพื่อกอ่ ใหเ้ กิดความเขา้ ใจในความเป็นจริงและนาผลทเี่ กิดขนึ้ น้ันมาใชเ้ ปน็ หลักเกณฑ์
แนวคิดในหลกั การจดั การ สามารถแบ่งได้ 3 กลุ่มหลัก ๆ ไดแ้ ก่ แนวคดิ คลาสสกิ แนวคดิ พฤตกิ รรมมนษุ ย์ และแนวคิดการจดั การสมยั ใหม่ กลุ่มคลาสสกิ มีแนวคดิ หลกั ในการจดั การท่ีเนน้ การแยกการบรหิ ารออกจากการเมอื ง โดยมีทฤษฎที ่ีเกยี่ วข้องไดแ้ ก่ การจดั การเชงิ วทิ ยาศาสตร์ การจัดการเชงิ บริหาร และการจดั การตามแนวคิดของระบบราชการ หลกั สาคญั ของการจัดการเชงิ วิทยาศาสตร์ มี หลกั เรือ่ งเวลา หลักการกาหนดหนว่ ยการจ้าง หลกั การแยกงานวางแผนออกจาการปฏบิ ัติ หลกั การทางานแบบวทิ ยาศาสตร์ หลักการควบคุมโดย ฝา่ ยจัดการ หลกั การจัดระเบยี บในการปฏิบัติงาน การจัดการเชิงบรหิ าร มีหลักการสาคัญคือ การวางแผน การจดั หนว่ ยงาน การบังคบั บัญชา การประสานงานและการควบคุม การจดั การตามแนวคิดของระบบราชการ มหี ลักการสาคญั คือ การแบง่ แผนกในองค์กรไว้ อย่างชดั เจนแน่นอน การจดั หน่วยงานเปน็ ลาดับช้ัน การกาหนดกฎระเบียบเพ่ือใช้ในการควบคุมดูแล การจาแนกสิทธิและทรพั ย์สินส่วนบคุ คลออกจากองค์กร การกาหนดวิธกี ารคัดเลือกหรือสรรหาบุคลา กรการทางานในองค์กรสามารถยึดเปน็ อาชีพได้ กลมุ่ พฤตกิ รรมมนุษย์เป็นกลุม่ ท่ใี ห้ความสาคัญกับมนุษย์ กลุ่มน้ีมองวา่ มนุษยไ์ ม่ใชเ่ ครอ่ื งจักร แต่เป็นทรพั ยากรทีม่ คี วามรู้สกึ นกึ คิด ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องไดแ้ ก่ แนวคดิ จติ วทิ ยาอุตสาหกรรม พฤติกรรมมนุษย์ เป็นตน้ การจดั การจิตวทิ ยาอุตสาหกรรมเป็นแนวคดิ ของนกั วชิ าการชาวปรัสเซยี ชอ่ื ฮิวโก เมานส์ เตอร์เบิร์ก (Hugo Mounsterberg) โดยให้ความสาคญั กับความรู้สึกนกึ คิดของมนุษยเ์ พ่ิมมากขนึ้ เพราะมีความเชือ่ ทวี่ ่ามนษุ ยจ์ ะสามารถทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพต้องมีทกั ษะทางรา่ งกายและมี ใจรกั ทีจ่ ะทางานดงั กลา่ ว แนวคดิ นจ้ี งึ พยายามศกึ ษาและทดสอบ เพอ่ื คัดเลอื กคนงานเขา้ ทางาน ด้วยการทดสอบทางจติ วทิ ยาด้วย การศึกษาทีฮ่ อวธ์ อร์น (Hawthorne Studies) เป็นการศกึ ษาของเอลตนั เมโยล์ ไดท้ าการ ศกึ ษาทดลองทัศนคติและจิตวิทยาของคนงานในการทางานในสถานการณท์ ่แี ตกตา่ งกัน โดยได้ เนน้ ความสนใจในเร่อื งบรรยากาศการจัดการและภาวะผู้นา ทาให้พบวา่ 1. คนเปน็ สง่ิ มชี ีวติ มีจติ ใจ การสรา้ งขวัญและกาลังใจเป็นสงิ่ สาคญั ของการทางาน 2. การให้รางวัลทางใจ เช่น การยกย่องชมเชย การให้เกยี รติ มผี ลตอ่ การทางานไม่น้อย ไปกว่าการจูงใจดว้ ยเงิน 3. ความสามารถในการทางานของคนไม่ได้ขนึ้ อยกู่ บั สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพเพียง อยา่ งเดียว แตย่ งั ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมทางสังคมของหน่วยงานด้วย เช่น ปฏิสมั พันธ์ ระหวา่ งคนงาน เป็นตน้
4. อทิ ธิพลของกลุ่มมคี วามสาคญั อย่างย่ิงต่อการดาเนินงานของหนว่ ยงาน จึงมุ่งเน้นที่จะ ใหม้ ีการทางานเปน็ ทีม เพื่อชว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกนั กล่มุ การจดั การสมัยใหม่เน้นการสร้างระบบการจัดการทางานโดยนาความรใู้ นทางคณิตศาสตร์สถิติ วิศวกรรม การบญั ชี เขา้ มาชว่ ยในการจดั การ ทฤษฎที ่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ แนวคิดวิทยาการจัดการ ารบรหิ ารศาสตร์ พฤติกรรมศาสตร์ แนวคิดเชิงสถานการณ์ และแนวคดิ เชงิ ระบบ แนวคิดเชงิ สถานการณ์ เป็นแนวคิดท่ีใหค้ วามสาคัญกบั สภาพแวดล้อมและสถานการณท์ ี่แวดล้อมองค์กร ดงั น้นั ผู้จัดการจะต้องสามารถปรับเปลี่ยนวธิ กี ารจดั การของตนเองใหเ้ หมาะสมและสอดคล้องกบั สภาพทเ่ี กิดขนึ้ ได้ แนวคดิ น้ีมีจดุ เด่นคอื ไมเ่ ชื่อในหลักการสากล แตม่ ุ่งเน้นความเปน็ สากลของสถานการณ์ เพราะเชอ่ืวา่ ไมม่ ีหลักการใดที่สามารถนาไปใช้ในการจัดการองค์กรได้ทกุ องคก์ ร ดังน้นั การจัดการแต่ละองคก์ รจึงขน้ึ อยู่กับสภาพแวดลอ้ มขององคก์ รนัน้ ๆแนวคิดนถี้ กู วิพากษว์ จิ ารณ์ว่าเปน็ เพยี งกรอบปฏิบัตหิ นา้ ที่ ไมใ่ ช่ทฤษฎหี รือแนวคิดที่นามาใชใ้ นการจดั การได้
Search
Read the Text Version
- 1 - 5
Pages: