ความร้พู ้ืนฐานทางเศรษฐศาสตร์ 1. ความหมายของวิชาเศรษฐศาสตร์ วชิ าเศรษฐศาสตร์ เปน็ วิชาทศี ึกษาถึงพฤตกิ รรมของมนษุ ย์ เก่ยี วกับการเลือกใชท้ รัพยากรการผลิตที่มีอยูอ่ ย่าง จากดั มาทาให้เกิดประโยชน์สงู สดุ โดยผลติ สินคา้ และบริการขั้นสดุ ทา้ ย และจาหนา่ ยจา่ ยแจกไปยงั บุคคลกลมุ่ ตา่ งๆ ของสงั คมหนึ่งๆ เพ่ือสนองความต้องการของมนุษย์ที่มีอยู่อย่างไมจ่ ากดั ใหเ้ กดิ ประสิทธภิ าพสงู สดุ 2. ปัจจยั สาคัญในการตัดสนิ ใจ 1. ทรพั ยากรมจี ากัด ทรพั ยากรในทางเศรษฐศาสตร์ เรยี กอีกอย่างหนงึ่ ว่า ทรพั ยากรการผลิต (productive resources) หรือ ปัจจยั การผลติ (factors of production) หมายถงึ สิง่ ทน่ี ามาใชใ้ นการผลิตสนิ คา้ และ บรกิ ารเพ่ือสอนงความต้องการของมนุษย์ ได้แก่ ท่ีดิน (land) คือ พื้นดนิ รวมทัง้ ทรพั ยากรธรรมชาติที่อยู่บนผิวดนิ ปะปนในดิน และในอากาศเหนือพ้ืนดินนั้น ทนุ (capital) ในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง สงิ่ ท่สี ามารถใชไ้ ดค้ งทน และผลติ สนิ คา้ และบริการ ไดโ้ ดยตรง เชน่ โรงงาน เครอ่ื งจกั ร อุปกรณก์ ารผลิตซึ่งแตกตา่ งจากความหมายทางธรุ กจิ หมายถึง เงิน สด หรอื เงินทใี่ ชใ้ นการดาเนนิ งาน การประกอบการ (entrepreneurship) คอื การรวบรวมปัจจัยการผลิตต่างๆ มาผลติ สินค้าและบริการ ผูท้ ่ี ทาหนา้ ทน่ี ้เี รียกว่า ผู้ประกอบการ (entrepreneur) 2. ความต้องการมีไมจ่ ากัด มนษุ ย์โดยท้วั ไปมีความต้องการ หรือความอยากไดอ้ ยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีขอบเขต เชน่ เมอ่ื มีปัจจยั สี่คือ เครื่องนงุ่ ห่ม อาหาร ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัยเพยี งพอแล้วก็อยากได้สง่ิ อานวยความสะดวกสบาย สิ่งทีใ่ ห้ ความเพลดิ เพลนิ บันเทงิ ใจ สง่ิ ท่ีจะเชดิ หน้าชูตาและยกระดับฐานะทางสังคมของตนและอน่ื ๆ ต่อไปอกี ไมม่ ีที่ สน้ิ สุด กจิ กรรมทางเศรษฐกิจเกี่ยวกับการตัดสินใจในการผลิต การกระจายและการแลกเปลยี่ นเกดิ จากความ พยายามที่จะสนองความต้องการอันไม่จากัดของมนุษย์ ความต้องการในทางเศรษฐศาสตร์ (economic wants) หมายถึง ความปรารถนาทีจ่ ะไดม้ าซงึ่ บางส่งิ บางอย่าง ท่ีมีอยู่แลว้ แต่ไมเ่ พยี งพอหรือไมม่ ีอยูเ่ ลย และเราต้องมเี งินพอท่ีจะซ้ือหามาได้ ความตอ้ งการของมนษุ ย์เปน็ พ้ืนฐานเบ้อื งต้นของกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ คอื การผลิต การกระจาย การแลกเปลย่ี น และการบริโภค สว่ น ความจาเป็นทางเศรษฐศาสตร์ (economic needs) หมายถงึ ความจาเป็นขั้นพื้นฐานที่มนุษยต์ ้องมีไวเ้ พอ่ื สนองวามตอ้ งการให้สามารถดารงชพี ไดต้ ามอัตภาพ ไดแ้ ก่ ปัจจัยส่ี คือ อาหาร ที่อยอู่ าศัย เครื่องน่งุ ห่ม และ ยารกั ษาโรค ส่วนความต้องการเครอื่ งสาอาง เสอ่ื ผา้ แฟชัน่ ราคาแพง เคร่ืองประดบั มคี า่ เหลา่ นีเ้ ป็นความ ต้องการทางเศรษฐศาสตรม์ ิใช่ความจาเปน็ ทางเศรษฐศาสตร์ ปจ้ั จบุ นั ความเจริญกา้ วหน้าทางเศรษฐกจิ สงั คม และเทคโนโลย่ี อาจมสี ่งิ จาเปน็ สาหรับการครองชพี เพิ่มขน้ึ เชน่ วิทยุ โทรทศั น์ รถยนต์ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟา้ เปน็ ต้น ซง่ึ แตเ่ ดิมจดั เปน็ ของฟุ่มเฟือยสาหรบั ผมู้ รี ายไดส้ งู เทา่ นน้ั ความต้องการในทางเศรษฐศาสตร์ จาเป็นตอ้ งสมั ผัสได้และสามารถวัดหรือคานวณมลู คา่ เป็นเงนิ ได้ แต่มคี วาม ตอ้ งการหลายประเภทท่ีไมส่ ามารถสมั ผสั และคานวณมลู ค่าเป็นตัวเงินได้ เช่น ความรักจากพ่อแม่ การยอมรบั จากเพื่อนรว่ มช้นั ความเคารพนบั ถือจากเพอื่ นบา้ น ดังน้ันสง่ิ เหลา่ นีจ้ ึงไม่จัดเปน็ ความต้องการทาง เศรษฐศาสตร์ เราจะเห็นไดว้ า่ เป็นเรื่องยากจะจาแนกให้เหน็ อย่างชดั เจนระหวา่ งความต้องการและความจาเปน็ ในทาง เศรษฐศาสตร์ ตัวอยา่ งเชน่ การมบี ้านหลังใหญ่ จานวนครอบครวั ทีม่ สี มาชิกจานวนมากก็จะถือไดว้ ่าเปน็ ความ
จาเปน็ ต้องมีบา้ นหลังใหญ่ แต่สาหรับครอบครวั ท่ีมีสมาชิกเพยี งไม่กี่คนเท่านั้น การมบี ้านหลังใหญน่ บั เป็นความ ตอ้ งการสินค้าฟุ่มเฟือยและไม่จาเป็นตอ่ การดารงชีวติ เป็นต้น 3. ความขาดแคลน หากเรามีทรัพยากรเหล่านีอ้ ยู่มากมายหรือมีไม่จากัด เรากส็ ามารถผลติ สนิ คา้ และบรกิ ารสนองตอบความ ตอ้ งการของคนในประเทศได้อย่างเพยี งพอ ปญั หาความขาดแคลน (scarcity) ในประเทศตา่ งๆ กย็ ่อมไม่ เกดิ ขึน้ แตใ่ นความเป็นจรงิ นั้น ความขาดแคลนและปญั หาเศรษฐกจิ ยงั คงมีอยูท่ ั่วโลก เนอ่ื งจากทรัพยากรการ ผลิตของประเทศตา่ งๆ มีอยอู่ ยา่ งจากดั แตค่ วามต้องการของคนเรามมี ากมายไมจ่ ากดั นั่นเอง เน่ืองจากทรพั ยากรทุกชนิดนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้หลายทาง จงึ เป็นทางเลือก (choice) ประกอบกับการขาด สมดุลระหวา่ งทรัพยากรกับความตอ้ งการของมนุษย์ จึงต้องมกี ารตัดสนิ ใจเลือกใช้ทรัพยากรใหเ้ กิดประโยชน์ สงู สุด และเปน็ ท่ีพึงพอใจของคนส่วนใหญ่ ส่วนทางด้านการบรโิ ภคกจ็ ะต้องตดั สินใจเลอื กซือ้ สินค้าและบริการ ท่ีมปี ระโยชน์ หรือให้ความพอใจแกต่ นเพื่อให้ค้มุ ค่าเงินทจ่ี ่ายไป 4. ค่าเสียโอกาส การเลอื กทกุ กรณีจะมตี น้ ทนุ การเลอื ก เรยี กวา่ ค่าเสยี โอกาส (opportunity cost) ซ่งึ หมายถงึ มูลค่าของ ทางเลอื กที่ดที ่สี ดุ ในการใช้ทรัพยากร ทีต่ ้องเสยี สละไปเม่ือได้ตัดสนิ ใจเลือกทางเลือกอื่น ตวั อยา่ งเชน่ มที ีด่ ินอยู่ แปลงหน่งึ ถา้ ให้เขาเช่าจะไดค้ ่าเช่าปีละ 60,000 บาท ถ้าปลูกผกั จะมีรายได้ปลี ะ 12,000 บาท และถ้าปลูกพืช ไรจ่ ะมีรายได้ปีละ 10,000 บาท ดงั นั้น • ถา้ ใหเ้ ขาเช่า มตี น้ ทนุ คา่ เสยี โอกาส เปน็ รายไดจ้ ากการปลูกผักปลี ะ 12,000 บาท (รายได้จากการปลูกผักสงู กวา่ การปลกู พืชไร)่ • ถา้ ปลูกผกั มตี น้ ทนุ ค่าเสียโอกาส เป็นคา่ เช่าปลี ะ 60,000 บาท (รายได้จากค่าเช่าสงู กวา่ รายไดจ้ ากการปลกู ผกั และปลูกพชื ไร่) • ถา้ ปลกู พืชไร่ มตี ้นทนุ คา่ เสยี โอกาส เปน็ คา่ เชา่ ปลี ะ 60,000 บาท (รายได้จากค่าเชา่ สูงกว่ารายได้จากการ ปลูกผกั ) ในทางเศรษฐศาสตรก์ ารเลือกจะเกิดขนึ้ จากการแลกเปล่ียนการได้ใชท้ รัพยากรหน่ึงๆ โดยยอมเสียโอกาสใช้ ทรพั ยากรอ่ืนลกั ษณะเช่นนี้ เรียกว่า trade – offs 5. การเลือก ความหมายของการผลิต การผลติ (production) หมายถึง การนาปจั จยั การผลติ ซึง่ มอี ยู่จากัด ไดแ้ ก่ ที่ดิน แรงงาน ทนุ และ ผูป้ ระกอบการ มาผ่านกระบวนการผลติ อยา่ งใดอย่างหนึง่ เพ่อื ผลิตเปน็ สินค้าและบริการประเภทเศรษฐ ทรัพย์ (economic goods = เปน็ สนิ คา้ ทมี่ มี ลู คา่ คานวณเป็นราคาซือ้ ขาย เพราะมจี านวนจากัด ตรงขา้ มกับ ทรัพยเ์ สรี (free goods) ซงึ่ มปี รมิ าณเกนิ ความต้องการของมนษุ ย์ จึงไม่จาเป็นต้องคานวณราคาซื้อ ขาย) สาหรบั ผลติ สนองความต้องการของผูบ้ รโิ ภค (needs and wants) เช่น โรงงานน้าตาลนาออ้ ยไปผา่ น กระบวนการผลติ รวมท้ังการใชเ้ ครือ่ งมือ เครอ่ื งจักร อุปกรณ์ และแรงงานขนยา้ ย ไดผ้ ลผลติ เป็นนา้ ตาลทราย เปน็ ตน้ ปจั จยั การผลิต ปจั จัยการผลิต (tactors of production) หรอื ทรพั ยากรการผลติ หมายถึง สง่ิ ที่นามาใช้ประกอบกนั ในการ ผลติ สินค้าและบริการ แบง่ ออกเป็น 4 ประเภท คอื ทด่ี ินแรงงาน ทนุ และผปู้ ระกอบการ
1. ทดี่ ิน รวมถึงสิ่งทีเ่ กดิ ขึ้นจากธรรมชาติ ซง่ึ มนุษย์ไม่ได้สร้างขึน้ เชน่ น้า ปา่ ไม้ แรธ่ าตุ ความหมายของคาว่า ท่ีดนิ ในทางเศรษฐศาสตร์จะกวา้ งกว่าที่ใชท้ ่วั ไป กลา่ วคือ ในการผลติ ภาคเกษตรใช้ทด่ี ินเพอ่ื การ เพาะปลูก เลีย้ งสตั ว์ ในภาคอุตสาหกรรมใช้ทดี่ ินเป็นทตี่ งั้ โรงงานเกบ็ สนิ คา้ แตท่ ด่ี ินยงั หมายความรวมถึง ทรพั ยากรธรรมชาติที่เกิดเหนือดิน ภายในดิน และตา่ กว่าระดบั พืน้ ดนิ ดว้ ย เช่น นา้ สตั วน์ ้า ปา่ ไม้ สตั ว์ป่า ก๊าซ ธรรมชาติ น้ามันดิบ แร่ธาตุ เป็นต้น 2. ทุน รวมถึงเครือ่ งมือ เคร่อื งจักร อปุ กรณ์ และสถานทที่ ่ีใช้ในการผลติ หมายถงึ ส่งิ ท่ีมนษย์สร้างขน้ึ สาหรบั ใชร้ ว่ มกับปัจจัยการผลิตอืน่ ๆ เพ่อื การผลิตสนิ ค้าแบะบรกิ าร เรยี กอกี ช่ือหนงึ่ วา่ สนิ คา้ ทนุ (capital goods) ได้แก่ สงิ่ กอ่ สรา้ ง เช่น โรงงาน ถนน สะพาน ทางรถไฟ เคร่อื งจกั รเครื่องมือ เช่น เคร่อื งจกั รใน โรงงาน เครื่องสบู น้า รถแทรกเตอร์ รถบรรทกุ รถไถนา สัตว์ทใ่ี ชแ้ รงงาน อปุ กรณ์ต่างๆ วัตถดุ บิ เชน่ เมลด็ พนั ธพ์ุ ชื ปุ๋ย ยาฆา่ แมลง น้ามันเชื้อเพลิง เหลก็ เสน้ ไมแ้ ปรรูป ยางแผน่ เม็ดพลาสติก ผกั ผลไม้ ท่จี ะนามา ประกอบหรอื แปรรปู สนิ คา้ ทนุ เหลา่ นถ้ี ือวา่ เปน็ ทุนท่ีแท้จรงิ (real capital) ทนุ เป็นตัวเงิน หรือ เงินทนุ (money capital) ในแงข่ องนักเศรษฐศาสตร์พจิ ารณาว่า เปน็ เพยี งสอื กลางใช้ แลกเปลย่ี น แต่ สนิ ค้าทนุ จะเปน็ ตวั บ่งช้ีกาลังการผลติ ทีเ่ ป็นจรงิ ไดด้ ีกวา่ เงนิ ทุน ดงั น้นั เงินทุนจงึ ไมน่ ับเป็นทนุ ในทางเศรษฐศาสตร์ ดอกเบ้ยี (interest) เป็นผลตอบแทนของเจา้ ของทุน เนื่องจากสนิ คา้ ทุนมคี วามยุ่งยากในการคานวณ ผลตอบแทน จึงมกั ตีราคาเปน็ ตวั เงินกอ่ น และคานวณหาผลตอบแทนเป็นดอกเบีย้ เช่นเดียวกบั เงินทุน 3. แรงงาน รวมถงึ กาลังกายและกาลงั ความคิดของคนที่ใชใ้ นการผลติ หมายถงึ ความสามารถทงั้ กาลังกาย และกาลังความคิด ตลอดจนความรคู้ วามชานาญของมนุษย์ ท่ใี ชไ้ ปในการผลิตสินค้าและบริการ แต่ไม่รวมถงึ ความสามารถในการประกอบการซึ่งเปน็ ปัจจัยการผลติ อีกประเภทหนึ่งที่จะกล่าวในลาดับต่อไป ผูใ้ ชแ้ รงงานหรือเจ้าของแรงงาน ซ่งึ เรยี กส้นั ๆ วา่ แรงงาน จะไดร้ บั คา่ จ้าง (wages) เป็นผลตอบแทน แรงงานแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญๆ่ คือ 1) แรงงานท่ีมีทักษะ (skilled labor) เปน็ แรงงานที่ได้รบั การฝึกฝนมาอยา่ ดี การปฏิบัติงานใช้กาลังความคดิ มากกกว่าใช้แรงกาย เชน่ แพทย์ สถาปนิก วิศวกร เป็นตน้ 2) แรงงานท่ีไม่มีทักษะ (unskilled labor) เปน็ แรงงานท่ไี ม่ได้รบั การฝกึ ฝนมาก่อน มักทางานโดยอาศยั กาลัง กาย เช่น คนงานรับจ้างท่ัวไป คนงานขนข้าวสารในโรงสี เป็นตน้ 4. ผู้ประกอบการ คอื ผู้ท่นี าทด่ี ิน ทนุ แรงงาน มารว่ มดาเนินการ ผลติ ผู้ประกอบการ (entrepreneur) หมายถึง ผทู้ ่นี าทด่ี นิ แรงงาน และทุนมาดาเนนิ การผลิตสนิ คา้ และ บริการเพื่อสนองความต้องการของผู้บริโภค ผู้ประกอบการจาเป็นตอ้ งมีความรู้เกี่ยวกับการผลิต สามารถคาค คะเนแนวโน้มความต้องการของผู้บริโภคและกาลังการผลติ ในอนาคตได้ นอกจากนี้ยังต้องเป็นผ้ตู ัดสินใจว่า จะ ผลิตอะไร ปรมิ าณเทา่ ใด ใชเ้ ทคนคิ การผลติ แบบใด ผลิตแลว้ จาหน่ายแกใ่ คร ราคาต่อหน่วยเป็นเท่าใด จงึ จะได้ ผลตอบแทนสูงสุด ผปู้ ระกอบการจะต้องยอมรับการเสี่ยงในธุรกิจของตน ผลตอบแทนที่ผ้ปู ระกอบการได้รบั อยู่ ในรูปของ กาไร (profit) ผูป้ ระกอบการมีบทบาทสาคัญมาในการพัฒนาและสร้างความเจรญิ ก้าวหน้าทางเศรษฐกจิ ประเทศตา่ งๆ ทีมี การพัฒนาเศรษฐกจิ สงู สว่ นใหญ่มาจากการริเรม่ิ ของผู้ประกอบการา ปัจจบุ นั ประเทศไทยได้ใหค้ วามสาคญั ต่อ ผปู้ ระกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (Small and Medium scales Enterpreneurs SMEs) คุณธรรมของผูผ้ ลติ
ผผู้ ลิตสนิ คา้ และบรกิ ารเพอ่ื สนองความต้องการของผูบ้ ริโภค โดยปกติมเี ปา้ หมายทีจ่ ะแสวงหากาไรสูงสดุ และ ใชต้ ้นทนุ การผลติ ต่าทส่ี ุด แตใ่ นปจั จบุ นั จาเป็นตอ้ งให้ความสาคัญตอ่ ผลกระทบด้านสงั คม และวฒั นธรรมร่วม ดว้ ย นนั่ คอื คุณธรรมของผผู้ ลติ ผ้ผู ลติ ท่ขี าดคุณธรรมและหวงั แต่ผลประโยชนข์ องตน จะก่อความเสียหายต่อ ผบู้ ริโภค ผ้ผู ลิตรายอืน่ สงั คมส่วนรวมและประเทศชาติ พฤติกรรมการณ์ท่ปี รากฏเป็นข่าวบ่อยๆ เช่น ละเมิด สิทธโิ์ ดยการผลติ เทปและซดี ีปลอม การผลิตเสื้อผา้ กระเป๋าเลียนแบบสนิ คา้ ตา่ งประเทศยห่ี ้อทม่ี ชี ือ่ เสยี ง ผลิต ผลิตภณั ฑใ์ นครัวเรอื นปลอม ใช้สียอ้ มผ้าผสมอาหาร ใส่ฟอรม์ าลนิ แชอ่ าหารสด ฉีดยาป้องกันกาจดั ศัตรูพืช กอ่ นเก็บพชื ผลทาให้มีสารพิษตกค้างในผกั ผลไม้ ปล่อยน้าเสยี จากโรงงานหรือฟารม์ ลงในแมน่ ้าลาคลอง เป็น การสรา้ งมลภาวะอันเป็นปัญหาของสงั คม เปน็ ต้น การกระทาเหลา่ นี้นอกจากผิดศลี ธรรมแลว้ ยงั ขัดตอ่ ระเบยี บชอ้ บงั คับตามกฎหมายบ้านเมอื งด้วย คณุ ธรรมทีสาคัญสาหรบั ผู้ผลติ ไดแ้ ก่ ความซ่ือสัตย์ และความรบั ผิดชอบ ความหมายของการบริโภค และผู้บริโภค การบริโภค (consumption) หมายถึง การใช้ประโยชนจ์ ากสนิ คา้ และบรกิ าร เพ่ือสนองความตอ้ งการของ ผ้บู ริโภค การบรโิ ภคในทางเศรษฐศาสตร์จึงมิได้หมายถึงเฉพาะการรับประทานอาหารเท่านั้น แตย่ ังรวมไปถงึ การใชส้ นิ ค้าและบริการสนองความต้องการของผู้บริโภคโดยวธิ กี ารอนื่ ๆ ด้วย เช่น การดืม่ เคร่ืองด่มื การชม ภาพยนตร์ การฟังเพลง การดมน้าหอม การอ่านหนังสือพมิ พ์ การใชป้ ากกา การซ้ือเส้ือผ้า การเชา่ บา้ น การ รบั บรกิ ารตรวจรักษา การโดยสารรถประจาทาง เปน็ ต้น ผู้บรโิ ภค (consumer) หมายถงึ ผซู้ อ้ื สินคา้ และบริการเพื่อสนองความต้องการของตน จุดมงุ่ หมายท่ีสาคญั ของ ผู้บรโิ ภค คอื ความพอใจสงู สุดจากการบริโภคสนิ ค้าและบริการทีซ่ ื้อมา คาว่า ผู้บริโภค เปน็ คากลางๆ ยังมีคาอ่ืนๆ ทีใ่ ช้เรยี กผู้บรโิ ภคในลักษณะต่างๆ ไดอ้ ีก เชน่ คาว่า ผู้ ซอ้ื ลูกค้า ผู้ชม ผ้อู า่ น ผู้ฟัง ผเู้ ช่า ผโู้ ดยสาร เปน็ ต้น หลักการและวิธีเลือกสินคา้ และบรกิ าร ในการเลือกบริโภคสนิ คา้ และบริการ ควรคานึงถึงหลกั การและวธิ กี าร ดังน้ี ความประหยัด ในการบริโภคสินคา้ และบรกิ าร ควรคานงึ หลกั ความประหยัด ซึง่ เป็นการบรโิ ภคตามความเหมาะสม ไมเ่ กนิ ความจาเปน็ ซ่งึ จะเป็นประโยชน์แก่ผบู้ ริโภคไมเ่ ปน็ การส้นิ เปลืองทรัพยากร ประโยชน์ ประโยชนใ์ นทางเศรษฐศาสตร์ เรยี กวา่ อรรถประโยชน์ (utility) อรรถประโยชน์ (utility) หมายถงึ ความพอใจท่ีผบู้ รโิ ภคได้รับจากการบรโิ ภคสินคา้ หรือบรกิ ารชนิดใดชนิดหน่งึ ในเวลาหนง่ึ ๆ ในการบรโิ ภคสนิ คา้ หรือบรกิ าร ผบู้ รโิ ภคจะต้องพิจารณาให้ถี่ถว้ นก่อนว่า สนิ ค้าหรือบริการที่จะ เลือกบริโภคนี้มปี ระโยชน์ต่อตนเองและครอบครวั อยา่ งแทจ้ รงิ เพียงใด ผบู้ ริโภคจะต้องพิจารณาว่าสนิ คา้ หรอื บรกิ ารนั้นมคี วามจาเป็นท่จี ะตอ้ งบรโิ ภคหรือไม่ หากเป็นสิ่งจาเปน็ จึงควรบรโิ ภคสินค้าและบรกิ ารบางอย่างเป็น สิ่งฟ่มุ เฟอื ย มีความจาเป็นหรือมปี ระโยชน์ตอ่ การดาเนนิ ชีวิตของเราน้อย เรากไ็ มจ่ าเป็นตอ้ งบริโภคสินค้าหรอื บริการนั้น วิธีพิจารณาอย่างง่ายๆ ก็คือ หากเราไม่ซ้ือสนิ ค้าและบรกิ ารน้นั จะมผี ลเสียต่อการดาเนินชวี ติ ของ เรามากน้อยเพียงใด หากไม่มีผลกระทบหรือมผี ลกระทบน้อย เราก็ไมค่ วรบริโภคสินค้าหรือบรกิ ารน้ัน คุณภาพและราคา สินคา้ และบริการโดยท่ัวไปที่มีคณุ ภาพสูงมักจะมรี าคาสงู ตามไปดว้ ย แมแ้ ต่สนิ ค้าประเภทเดีวกนั ก็มีคุณภาพ แตกต่างกัน เช่น นา้ ตาลทราย ขา้ วสาร เปน็ ต้น การประหยัดของผบู้ รโิ ภคในการเลอื กซ้อื สนิ า้ และบริการควร คานงึ เร่อื งคณุ ภาพควบคู่ไปด้วย
ในการบรโิ ภคสนิ คา้ ผ้บู รโิ ภคจะตอ้ งวิเคราะห์สนิ า้ หรือบริการนน้ั เป็นสนิ คา้ หรือบริการท่ีมีคุณภาพมากน้อย เพยี งใด เชน่ นกั เรียนจะซ้ือเสอื้ สกั หนง่ึ ตวั ก่อนอืน่ จะต้องพิจารณาก่อนวา่ เสอื้ ทนี่ ้ักเรียนจะซื้อ จะสวมใสไ่ ป งานใด โอกาสใดบา้ ง จึงค่อยพจิ ารณานต่อไปวา่ จะซอ้ื เสือ้ ท่ีมเี นื้อผา้ อยา่ งไร แบบและสใี ด ควรจะเลือกเน้ือผ้า ที่มคี วามทนทาน ดแู ลรักษาง่าย ตอ่ ไปจึงค่อยพจิ ารณาราคาของเส้ือ ยี่หอ้ ตา่ งๆ ควรพจิ ารณาราคาตาม คุณภาพของเส้ือวา่ สมเหตสุ มผลหรอื ไม่ เสอ้ื บางยี่ห้อตั้งราคาสงู เกินความเปน็ จรงิ กไ็ ม่ควรซ้อื ไม่ควรซือ้ สินค้า ตามความนยิ มโดยไม่ได้พจิ ารณาราคาและคุณภาพ ปลอดภัย ในยคุ ทีเ่ ทคโนโลยกี ารผลิตทันสมยั ทาให้มีการนามาใชใ้ นกรรมวิธกี ารผลติ เพื่อเพ่มิ ปริมาณการผลิต หรอื ทาให้ สนิ คา้ คงทนมีสสี นั สดดุ ตา โดยใช้วัสดุที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ฉะน้ันผู้บริโภคจะต้องดูฉลากก่อนการบรโิ ภค โดยคานงึ ถงึ ส่วนผสม และวนั หมดอายุ 6, กฎหมายของการคุ้มครอบผ้บู รโิ ภค การคมุ้ ครองผ้บู ริโภค หมายถึง การปอ้ งกันดูแลประชาชนซึง่ เปน็ ผู้บริโภคใหไ้ ด้รับความปลอดภยั ความเป็น ธรรม และความประหยัด ในการบรโิ ภคสนิ ค้าและบริการ ความปลอดภยั หมายถงึ เมื่อนาสินค้าและบริการไปใช้จะต้องไม่เป็นพิษเปน็ ภัยต่อชวี ติ และทรพั ย์สนิ ของ ผู้บริโภค ตวั อยา่ งสินคา้ ท่ีเปน็ อันตรายต่อสขุ ภาพ เช่น อาหารท่มี สี ารพิษตกคา้ ง เช่น ยาฆ่าแมลง สารถนอม อาหร เปน็ ตน้ เครื่องใช้ไมส้ อยท่ีทาใหเ้ กดิ อนั ตรายแก่ผใู้ ช้ ของเลน่ เด็กที่มลี ักษณะล่อแหลมต่อการเกดิ อันตราย เชน่ สหี รอื วสั ดทุ ่ไี ม่เหมาะกับทารก เป็นต้น ความเป็นธรรม หมายถงึ การท่ผี ผู้ ลติ หรือผู้ขาย หรือผูป้ ระกอบธุรกจิ จะต้องไม่หลอกลวงผ้บู ริโภคดว้ ยกลวธิ ี ต่างๆ เช่น การปลอมปนคุณภาพ การตดิ ราคาสนิ ค้าท่ีคลาดเคลอื่ นจากความเป็นจริง การโฆษณามอมเมาให้ ผบู้ รโิ ภคหลงเช่ือและต้องตกอย่ใู นฐานะผู้เสียประโยชน์ เป็นตน้ ความประหยดั หมายถงึ การส่งเสริมให้เกิดความเปน็ ธรรมในการซื้อขายแลกเปลีย่ นสนิ ค้าและบริการ โดยไม่ กาหนดราคาสินค้าในลักษณะที่ก่อใหเ้ กิดการแลกเปลีย่ นในมูลค่าสงู กว่าราคาท่ีแท้จรงิ ของสินคา้ และบริการ นั้นๆ ดงั นนั้ ผู้บริโภคจงึ ควรรูจ้ ักการประหยัด และมคี วามระมัดระวังในการซือ้ สนิ ค้าและบริการ เป็นตน้ การค้มุ ครองผูบ้ รโิ ภคของภาคเอกชนและภาครฐั บาลกระทาไดด้ ังนี้ 1. การคุม้ ครองผู้บรโิ ภคของภาคเอกชน การให้การคุ้มครองผบู้ รโิ ภคของภาคเอกชน หมายถงึ ผู้ประกอบการ และผู้บริโภคทเี่ ปน็ ประชาชนทั่วไป 1) ผปู้ ระกอบการ ผู้ประกอบการผลิตและจาหนา่ ยสนิ ค้าให้ผบู้ ริโภคมกั มุ่งแสวงหากาไรสูงสุด โดยการลด ต้นทุนการผลติ ให้กับธรุ กิจ แนวคดิ ของผูป้ ระกอบการโดยทั่วไปมักไม่เน้นการรกั ษาผลประโยชนข์ องผูบ้ รโิ ภค มากนัก มีบางสว่ นท่ีมีนโยบายคนื กาไรสู่สงั คม เช่น โครงการใหท้ นุ การศึกษาแกน่ ักเรยี นยากจน โครงการนา บางส่วนของราคาสินค้าทจ่ี าหนา่ ยได้สมทบทุนเพ่ือสาธารณกศุ ล การเกบ็ ค่าบริการหรือขายสินค้าราคาต่าแก่ นักเรยี น นสิ ติ นักศึกษา เป็นต้น 2) ผู้บริโภคทเี่ ปน็ ประชาชนทั่วไป ผบู้ รโิ ภคได้รวมตวั รว่ มมอื กันในรูปของสมาคม มูลนธิ ิ ชมรม กลมุ่ ไมน่ ้อย กว่า 50 องค์กร ทาการรณรงค์เพ่ือผู้บริโภคตลอดจนกระจายข่าวขอ้ มูลต่างๆ ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ ่อผู้บรโิ ภค บาง กลมุ่ ศกึ ษาวิจยั ปัญหาของผู้บริโภคท่เี กิดขึน้ ในสังคมไทย ผ้บู ริโภคยงั ไม่ทราบสทิ ธขิ องตนในเรื่องการคมุ้ ครอง ผูบ้ ริโภคทเี่ กิดขึน้ ในสังคมไทย ผ้บู ริโภคยงั ไม่ทราบสทิ ธิของตนในเร่อื งการคุม้ ครองผู้บริโภค เนอื่ งจากไม่ได้ให้ ความสนใจรบั รู้ข่าวสารในเรอื่ งน้ี หรือไม่ทราบว่าจะร้องเรยี นหรอื ขอความช่วยเหลือจากหนว่ ยงานราชการ ใด ขณะนส้ี านักงานคณะกรรมการคุ้มครองผูบ้ รโิ ภคได้เข้ามบี ทบาทเพม่ิ ขึ้น
2. การค้มุ ครองผู้บริโภคของภาครฐั บาล เป็นหน้าทีข่ องรฐั บาลท่จี ะแกป้ ญั หาความเดอื ดร้อนจากการดาเนนิ ธุรกจิ ของภาคเอกชน โดยตราพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บรโิ ภค พ.ศ. 2522 และกฎหมายอืน่ ทเ่ี กย่ี วข้องการ คุ้มครองผ้บู ริโภค เช่น พระราชบญั ญตั อิ าหารและยา พระราชบัญญัตเิ ครอ่ื งสาอางเพ่ือคุ้มครองผบู้ รโิ ภคให้ ได้รับความเป็นธรรม ความปลอดภัย และเปน็ แนวทางให้ผบู้ รโิ ภคปฏิบตั ิตนไดถ้ กู ต้องตามสิทธแิ ละเหนา้ ที่ท่ีพึง มี หากผบู้ ริโภคไม่ได้รบั ความเปน็ ธรรมสามารถติดต่อสายด่วนผู้บรโิ ภคกับ อย.1556 หรอื สานักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นอกจากนี้หากพบเห็นผู้จาหน่ายเกนิ ราคาหรือใช้มาตรฐานชงั่ ตวงวดั ที่ไม่ เปน็ ไปตามสภาพความเปน็ จริง กส็ ามารถแจ้งได้ท่ีกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณชิ ย์ โทรศพั ท์ 0-2547- 4771-7 7. สิทธขิ องผู้บรโิ ภค พระราชบญั ญัติคุ้มครองผบู้ ริโภค พ.ศ. 2522 ซงึ่ ได้แกไ้ ขเพิ่มเตมิ โดยพระราชบญั ญตั ิคุ้มครองผูบ้ ริโภค (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2541 บญั ญตั ิสิทธิของผู้บริโภคทจ่ี ะไดร้ ับความคุ้มครองตามกฎหมายไว้ 5 ประการ ดงั นี้ 1. สทิ ธทิ จ่ี ะไดร้ บ้ั ข่าวสาร รวมท้ังคาพรรณนาคุณภาพทถี่ ูกตอ้ งและเพยี งพอเกีย่ วกับสนิ ค้าหรอื บรกิ าร หมายความวา่ ผู้บริโภคมสี ิทธิที่จะไดร้ ับข้อมลู การโฆษณา การแสดงฉลากตามความเปน็ จริง และเพยี ง พอทจ่ี ะไมท่ าใหห้ ลงผดิ ในการซอื้ สินคา้ และบรกิ าร 2. สทิ ธิที่จะมอี สิ ระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ หมายความว่า ผู้บรโิ ภคมีสทิ ธทิ จี่ ะเลือกซ้ือสินคา้ และ บริการไดต้ ามความสมัครใจ ปราศจากการาบบี บงั คบั ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การผกู ขาดทางการค้า การชกั จงู ใจ อันไม่เป็นธรรม การสง่ สนิ คา้ ท่ามิได้สง่ั ซ้อื หรือตกลงใจซอื้ มาให้ เป็นต้น 3. สทิ ธทิ ี่จะไดร้ ั้บความปลอดภยั ดา้ นสขุ ลษั ณะและสขุ อนามยั จากการใชส้ นิ คา้ หรือบริการ หมายความวา่ สนิ ค้าและบรกิ ารทผ่ี บู้ ริโภคได้รับจะตอ้ งมสี ภาพและคุณภาพได้มาตรฐาน เหมาะสมแก่การใชห้ รอื บรโิ ภค ไม่ ก่อให้เกิดอันตรายแก่ชวี ิต ร่างกาย หรอื ทรัพย์สิน เมอื่ ใดใช้หรอื บริโภคตามคาแนะนา หรือระมัดระวงั ตาม สภาพของสนิ คา้ และบรกิ ารนั้นๆ แล้ว 4. สทิ ธทิ ี่จะได้รบั ความเป็นธรรมในการทาสัญญา หมายความวา่ ในกรณีท่ีการซ้ือสนิ ค้าและ บริการต้องมีการทาสัญญากัน ผู้บริโภคมสี ิทธทิ จ่ี ะได้รับข้อสัญญาท่ีไมเ่ ปน็ การเอารดั เอา เปรยี บจากผ้ขู ายหรือผปู้ ระกอบธุรกิจ 5. สทิ ธิท่จี ะไดร้ บั การพิจารณา และชดเชยความเสยี หาย หมายความวา่ เมอื่ มีการละเมดิ สิทธิ 4 ประการแรก ผบู้ รโิ ภคมสี ทิ ธิทจี่ ะดาเนนิ การรอ้ งเรยี น และฟ้องรอ้ งเพ่ือให้มีการชดเชยความเสียหายที่เกดิ ขนึ้ 3. หน่วยเศรษฐกิจ การประกอบกจิ กรรมทางเศรษฐกจิ ไดแ้ ก่ การผลติ การจาแนกแจกจา่ ย การแลกเปล่ียน และการบริโภค จาเป็นต้องมผี ู้ดาเนนิ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพ่ือปฏิบตั ภิ ารกจิ ให้เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงค์ และสามารถสนอง ความต้องการของผูบ้ รโิ ภคได้สูงสดุ ผ้ดู าเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกิจเรียกว่า “หน่วยเศรษฐกิจ” (economic units) หน่วยเศรษฐกจิ แบ่งตามภาระหนา้ ท่ีได้ 3 ฝ่าย คอื 1. ฝา่ ยครวั เรือน (household) ทาหนา้ ที่ 2 ประการ ได้แก่ 1) ขายปจั จยั การผลติ ของคนแกฝ่ า่ ยผลิต 2) บรโิ ภคสินค้าและบริการต่างๆ จุดมงุ่ หมายสาคัญ คือ ต้องการใหส้ มาชิกทุกคนในครวั เรือนได้รับความพอใจสูงสดุ หรอื ได้รบั สวัสดกิ ารสูงสุด 2. ฝา่ ยผลติ (firm) หรอื ฝา่ ยธุรกจิ (business) ทาหนา้ ที่ 2 ประการ ไดแ้ ก่ 1) ผลิตสนิ คา้ และบริการ
2) กระจายสินคา้ และบรกิ าร และกระจายรายไดใ้ ห้แก่เจา้ ของปจั จยั การผลติ จดุ ม่งุ หมายสาคัญ คือ ต้องการแสวงหากาไรสงู สุดจากการประกอบการ 3. ฝา่ ยรัฐบาล (government) ทาหน้าทเี่ ป็นทง้ั ผู้ผลิต ผบู้ ริโภค และเจ้าของปจั จัยการผลติ โดยมี จดุ มงุ่ หมายเพ่อื สง่ เสรมิ สนบั สนุน และควบคมุ ดูแลฝา่ ยอน่ื ๆ ในระบบเศรษฐกจิ ใหเ้ ปน็ ไปตามทีป่ ระเทศต้องการ 4. ปัญหาพ้นื ฐานทางเศรษฐกจิ ปญั หาพนื้ ฐานทางเศรษฐกจิ เกดิ ข้ึนจากการที่ทรัพยากรเศรษฐกจิ มจี ากัด เมื่อเทียบกบั ความตอ้ งการของ มนษุ ย์ที่มีอยู่อยา่ งไม่จากัด ทาใหท้ กุ สงั คมประสบปัญหาพน้ื ฐานทางเศรษฐกจิ ซึ่งจาแนกออกได้ เป็น 3 ปัญหา คอื จะเลอื กผลติ อะไร (What to produce) ผลิตอย่างไร (How to produce) ผลติ เพอ่ื ใด (For Whom to produce) 1. ปญั หาวา่ จะผลติ อะไร (What) เนือ่ งจากมีทรัพยากรจากัดเม่อื เทียบกับความต้องการ ดงั นัน้ จึงตอ้ งมีการ ตัดสนิ ใจวา่ ควรจะเลอื กทรัพยากรทมี่ ีอยู่ นาไปผลิตสนิ ค้าและบรกิ ารอะไรได้บา้ งที่จาเปน็ และเปน็ จานวน เท่าใด จงึ จะสามารถสนองความต้องการและเปน็ ประโยชน์สูงสดุ ตอ่ สงั คม ตัวอยา่ งเช่น ประเทศชาติมี ทรัพยากรจากัดกต็ อ้ งตดั สนิ ใจว่าจะเลือกใช้ทรัพยากรท่มี ีอย่จู ากดั นนั้ ไปในการผลติ อาหารเพ่อื ปากท้องของ พลเมอื งอย่างทวั่ ถงึ หรือควรจะผลติ อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ทางทหารให้เปน็ ประเทศมหาอานาจ เป็นต้น 2. ปัญหาวา่ ควรผลิตอยา่ งไร (How) หลงั จากตัดสนิ ใจได้วา่ จะผลติ อะไรเปน็ จานวนสกั เท่าใดแลว้ ปญั หาท่ีเรา จะตอ้ งตัดสินใจข้ันต่อไปก็คือ เราจะใชเ้ ทคนิคและกรรมวธิ กี ารผลิตสนิ ค้าและบริการที่ผบู้ รโิ ภคต้องการวธิ ีการ ใด และจะใช้ปัจจยั การผลิตมากนอ้ ยในสัดส่วนเทา่ ใดจงึ จะมีประสิทธภิ าพมากที่สดุ หรือเสียตน้ ทนุ ต่า ทีส่ ดุ เนอื่ งจากผ้ผู ลติ มีเทคนิคและกรรมวธิ กี ารผลติ สินค้าได้หลายวธิ ีทีส่ ามารถใหผ้ ลผลิตเท่าเทยี มกนั จงึ ตอ้ ง เลือกใช้ท่ีมีประสิทธภิ าพมากท่สี ดุ ตวั อย่างเช่น เกษตรกรต้องการปลูกข้าวให้ได้ขา้ วเปลือก 1,000 เกวียน อาจเลือกใช้ทนี่ าจานวนมากโดยใช้เทคโนโลยีและอุปกรณ์การเกษตรจานวนนอ้ ย หรอื อาจเลือกใช้ท่นี า จานวนน้อยโดยใช้เทคโนโลยกี ารเกษตรจานวนมากไม่วา่ เราใชก้ ารผลิตวิธีใดก็สามารถได้ ขา้ วเปลือก 1,000 เกวียนเท่ากนั เปน็ ตน้ 3. ปญั หาวาจะผลิตเพอ่ื ใคร (For Whom) ปัญหาวา่ จะผลิตสินคา้ และบริการเพื่อใคร คาตอบก็คือผลิตเพ่อื ประชาชนซงึ่ เป็นผบู้ รโิ ภค หลังจากผลิตสนิ ค้าและบรกิ ารได้แลว้ ก็จะมีการจาหน่ายจ่ายแจกไปยงผบู้ รโิ ภค เงนิ ทีผ่ บู้ ริโภคใชจ้ า่ ยเพ่อื เป็นเจ้าของสินคา้ และบรกิ ารจะตกไปอยกู่ ับใคร จานวนเท่าใด เป็นการศึกษาถงึ การผลิต การบริโภค และการแบง่ สรรทรรัพยากรการผลติ โดยการซ้ือขายแลกเปลีย่ นกนั การทผ่ี ู้บริโภคแตล่ ะคนจะได้ สนิ ค้าและบริการมากินมาใชม้ ากน้อยแคไ่ หน หรือรฐั บาลของบาง ประเทศอาจเป็นผกู้ าหนด ตามนโยบายของ รฐั บาลวา่ จะจดั สรรให้แก่กลุม่ บุคคลใด ดว้ ยวิธีการอยา่ ง การตดั สินใจว่า เราควรจะผลิตอะไร ผลิตอยา่ งไร และผลติ เพ่ือใครดังกล่าวนี้ เปน็ เรื่องของการจดั สรรทรพยั า กรการผลติ ทม่ี ีอยู่จากดั เพ่ือสนองความต้องการของมนุษย์ท่มี ีไมจ่ ากัด ให้มปี ระสิทธภิ าพสงู สดุ และอานวย ประโยชน์สูงสุดต่อสังคม เศรษฐกิจ สว่ นการแก้ปัญหาจะแตกต่างกันไป แลว้ แตร่ ะบบเศรษฐกจิ ของสงั คมนน้ั ๆ เศรษฐกจิ ภาครฐั ในระบบเศรษฐกิจแบบผสมที่เนน้ ทางด้านทนุ นยิ ม รัฐบาลมหี นา้ ที่คอยดแู ลความปลอดภยั ความ ยตุ ิธรรม เสรีภาพ สวัสดิการ บรกิ ารสาธารณะ ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของบา้ นเมือง กจิ กรรม ทางเศรษฐกจิ ของภาครฐั บาลก็ทานองเดยี วกับภาคเอกชน รัฐบาลจาเปน็ ต้องแสวงหารายไดใ้ ห้เพียงพอทจี่ ะ นาไปใช้จา่ ยบรหิ ารประเทศให้เกิดประโยชนส์ ขุ แก่ประชาชนโดยส่วนรวม
การศกึ ษาเศรษฐกจิ ภาครฐั บาลนน้ั อาจแตกต่างจากการศึกษาเศรษฐกจิ ภาคเอกชนไปบา้ งในแงข่ อง วิธีการ วัตถปุ ระสงค์และเป้าหมายในการแสวงหารายไดแ้ ละการใช้จ่ายของภาครัฐบาลมุ่งใช้จา่ ยเพื่อประโยชน์ ของคนสว่ นใหญ่ โดยมิได้มุ่งในทางการค้าหากาไร ซ่งึ ในบทน้ีนกั เรียนจะได้ศึกษาทาความเขา้ ใจเศรษฐกจิ ภาครัฐบาลตอ่ ไป ความหมายและวัตถุประสงค์ของเศรษฐกิจภาครัฐ เศรษฐกิจภาครัฐ (public economy) เปน็ การศึกษากิจกรรมทางเศรษฐกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ของรฐั ทางด้าน รายได้ หน้สี าธารณะ และรายจา่ ยของรัฐนโยบายทรี่ ฐั กาหนดระดับและโครงสรา้ งของรายได้ ผลกระทบจาก การจดั เก็บรายได้ และการใช้จ่ายเพื่อดาเนินกจิ กรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐ และผลของการใช้จา่ ยทีม่ ีตอ่ เศรษฐกิจ สงั คมและการเมือง เพอื่ ใหบ้ รรลุวตั ถุประสงค์ด้านเศรษฐกิจของประเทศโดยสว่ นรวม วตั ถปุ ระสงค์ด้านเศรษฐกิจ หมายความรวมถึงการมีงานทาและการมีรายได้ การรรกั ษาเสถียรภาพของระด้ับ ราคา การรกั ษาเสถยี รภาพของดลุ การชาระเงนิ การผลกั ดนั ใหร้ ะบบเศรษฐกจิ มีการเจริญเตบิ โตอย่างมัน่ คง เปน็ ตน้ ความสาคญั ของเศรษฐกจิ ภาครฐั การจัดเกบ็ รายได้ การกอ่ หน้ี หรือการใช้จ่ายเงนิ จานวนมากจากภาครัฐสภู่ าคเอกชน ย่อมกอ่ ผลกระทบต่อการ ผลิต การบริโภค และการจ้างงานอย่างมาก โดยเฉพาะในประเทศกาลังพฒั นาด้วยแล้ว เศรษฐกิจภาครฐั ย่ิงมี ความสาคัญมากขึน้ เช่น งานสาธารณูปโภครัฐวิสาหกิจ เปน็ ต้น การที่เศรษฐกิจภาครัฐมีความสาคัญมากขนึ้ เชน่ น้ี เราพอสรุปได้วา่ มาจากสาเหตุสาคัญ 2 ประการ คือ 1. รฐั บาลของประเทศตา่ งๆ มหี นา้ ทีแ่ ละความรับผดิ ชอบเพม่ิ มากขึ้นไมเ่ พียงแต่ในด้านการบริหารงานของรัฐ เพื่อใหเ้ กิดความสงบสุข และรกั ษาไวซ้ งึ่ ความยุตธิ รรมเท่าน้ัน แต่รฐั บาลจาเป็นตอ้ งเขา้ มาเก่ยี วข้องกับกิจกรรม หลายประเภทซงึ่ เอกชนดาเนินการอยู่ เช่น การค้าขาย การอตุ สาหกรรม การมีหน้าท่ีและความรับผดิ ชอบ เพิม่ ข้นึ น้ี ทาใหร้ ฐั บาลตอ้ งการใชจ้ า่ ยเงินเพิ่มขึน้ ดว้ ย ในขณะเดียวกันรฐั บาลกม็ หี น้าท่ที ่จี ะต้องหารายได้ให้ เพยี งพอกบั รายจา่ ย เชน่ การเก็บภาษีอากรการจาหน่ายพันธบตั รรัฐบาล เป็นตน้ ดว้ ยเหตุน้เี ศรษฐกจิ ภาครัฐบาลจึงเปน็ เร่อื งสาคัญ เพราะผูกพันอยูก่ บั งานในดา้ นตา่ งๆ ของรัฐบาล 2. การเก็บภาษีอากร การใชจ้ า่ ย และการก้เู งนิ ของรัฐบาลมีผลตอ่ กิจกรรมทางเศรษฐกจิ ทั้งในด้านการ ผลติ การบริโภค การแลกเปลี่ยน และการกระจายรายได้ ซ่งึ เรยี กวา่ การคลังรัฐบาล การคลงั รฐั บาล (public finance) หมายถงึ การใชจ้ า่ ยเพื่อบริหารประเทศของรฐั บาล วธิ กี ารแสวงหารายได้ และการบรหิ ารรายไดข้ องรฐั บาล การก่อหนี้สาธารณะ (หนี้ของภาครัฐ ซึง่ เกิดจาการยืมโดยตรงของรัฐบาล หรือการกู้ยืมของรัฐวิสาหกจิ ทร่ี ัฐบาลเปน็ ผ้คู า้ ประกนั โดยประชาชนทกุ คนจะต้องมีสว่ นร่วมในการ รับผดิ ชอบ) ตลอดจนผลกระทบทเ่ี กดิ ขึน้ จากการใช้จา่ ยและการจดั เกบ็ รายไดข้ องรฐั บาล สง่ิ ทีจ่ ะช่วยให้เขา้ ใจ เรอื่ งเหลา่ นี้ได้ดีขึน้ ได้แก่ งบประมาณแผน่ ดิน ซ่ึงเป็นแผนการเก่ียวกับการหารายได้ การก้ยู ืม และการใช้จา่ ย ตามโครงการต่างๆ ของรัฐบาลในแต่ละปรี ัฐบาลจะต้องทางบประมาณประจาปี เพือ่ แสดงให้ประชาชนทราบวา่ ในปตี อ่ ไปรัฐบาลมีโครงการจะทาอะไรบ้าง แตล่ ะโครงการต้องใชจ้ ่ายเปน็ จานวนเท่าใด และรัฐบาลจะหา รายได้จากทางใดมาใชจ้ ่ายตามโครงการนัน้ ๆ การวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจ 1. ความหมายของการวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจเป็นกระบวนการกาหนดแผนงานลว่ งหน้าในการวางโครงการ แผนงานวธิ ปี ฏบิ ัติ และการจัดหาทรพั ยากรหรือเงนิ ทนุ ในการพัฒนาเศรษฐกิจให้บรรลุเป้าหมายในระยะเวลาทก่ี าหนด แบง่ เปน็ 3 ระดับ คอื
1. การวางแผนระดบั ชาติ เปน็ การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจรวมของประเทศโดยอาจแบ่งเป็นแผนระยะยาว หรือแผนประจาปี และมีการกาหนดเปา้ หมายตา่ งๆ ไว้เช่น อัตราเพิ่มของรายได้ประชาชาติ เปน็ ตน้ 2. การวางแผนระดับภาคเศรษฐกจิ เปน็ การวางแผนพฒั นาเศรษฐกิจตามภาคเศรษฐกิจ เชน่ แผนพัฒนา อุตสาหกรรม แผนพฒั นาเกษตรกรรม แผนพฒั นาการค้าต่างประเทศ เปน็ ต้น 3. การวางแผนระดบั โครงการ เปน็ การวางแผนเปน็ รายโครงการ มีรายละเอียดมากกวา่ แผนระดับชาตแิ ละ แผนระดับภาคเศรษฐกจิ โดยกาหนดแผนการดาเนนิ งานวิธีการดาเนนิ งาน และกาหนดหนว่ ยปฏบิ ัตไิ ว้เป็น ระเบียบแบบแผน 5. ระบบเศรษฐกจิ ระบบเศรษฐกิจ หมายถงึ หน่วยเศรษฐกจิ ที่รวมตัวกนั ทากิจกรรมทางเศรษฐกจิ ภายใตร้ ูปแบบการ ปกครอง จารีตประเพณี สังคม และวัฒนธรรมของแตล่ ะประเทศเพ่ือกาหนดวา่ จะผลิตอะไร จานวนมากนอ้ ย เท่าใด ใชว้ ธิ กี ารผลติ อยา่ งไร และผลิตเพื่อขายให้ใคร ระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันทสี่ าคญั มี 3 รปู แบบ คือ 1. ระบบเศรษฐกจิ แบบทุนนิยม (Capitalism) 2. ระบบเศรษฐกจิ แบบบังคบั ซ่ึงแยกเปน็ แบบสังคมนยิ มเสรี (Socialism) และแบบ คอมมวิ นิสต์ (Communism) 3. ระบบเศรษฐกจิ แบบผสม (Mixed Economy) ระบบทุนนิยมหรือเสรนี ยิ ม หมายถึง ระบบเศรษฐกจิ ทเี่ อกชนสามารถมีกรรมสิทธใิ์ นทรัพย์สนิ ตา่ งๆ มีเสรภี าพ ในการเลอื กทจี่ ะประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างเตม็ ที่ไม่ว่าในเร่ืองการกาหนดนโยบายในการผลติ วา่ ผลิต อะไร ผลิตอยา่ งไร และผลติ เพอ่ื ใคร ระบบนจี้ ะมีการแข่งขันระหวา่ งเอกชนอยา่ งเสรี หนว่ ยงานของรัฐจะเข้าไป เกีย่ วขอ้ งน้อยที่สดุ ระบบเศรษฐกิจแบบบังคบั เปน็ ระบบเศรษฐกิจท่ีรัฐจะเป็นผ้วู างแผนการผลติ จากสว่ นกลาง มกี ารจากัด กรรมสทิ ธ์ใิ นทรัพยส์ นิ สว่ นบุคคล และการทางานของกลไกราคา แตเ่ น้นการกระจายรายไดท้ ี่เปน็ ธรรมแก่ ประชาชน ระบบน้ีมี 2 รูปแบบ คือ ระบบสงั คมนยิ ม คอื ระบบเศรษฐกจิ ท่รี ฐั บาลเข้าไปเปน็ ผดู้ าเนนิ การผลติ โดยเนน้ ในด้านสวสั ดิการของ ประชาชนในประเทศเป็นหลัก รัฐบาลเปน็ ผกู้ าหนดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ รัฐเปน็ เจ้าของปัจจยั การผลติ และ กจิ การขนาดใหญท่ ส่ี าคัญ เชน่ กจิ การสาธารณูปโภค เอกชนไม่มเี สรภี าพในการตัดสนิ ใจเพอื่ ดาเนนิ กจิ กรรมทางเศรษฐกิจแตย่ ังมีกรรมสิทธ์ิในการถือครองทรัพย์สนิ ส่วนตวั และดาเนินกิจกรรมทางเศรษฐกจิ ขนาดเลก็ ประชาชนท่ัวไปยังมีเสรีภาพอยบู่ ้าง ระบบคอมมิวนสิ ต์ เป็นระบบเศรษฐกิจทรี่ ฐั บาลเป็นเจ้าของปจั จยั การผลิตทุกชนิด โดยรฐั บาลเป็น ผูด้ าเนินการในการตดั สนิ ใจท้ังทางเศรษฐกิจและสงั คม โดยรฐั บาลจะกาหนดวา่ จะให้ ประชาชนในประเทศ ผลติ สนิ คา้ และบริการอะไร ผลิตอยา่ งไร และเพือ่ ส่งให้ใครบริโภค ประชาชนไม่มีเสรีภาพในการถอื ครอง ทรพั ยส์ นิ ไม่มีเสรีภาพในการเลอื กประกอบอาชีพ หรอื การเลือกซ้ือสินคา้ และบริการมาบริโภค ระบบเศรษฐกจิ แบบผสม คือ ระบบเศรษฐกิจทีน่ าลักษณะสาคญั ของระบบทุนนิยมและสังคมนิมยมมารวมไว้ ดว้ ยกัน กล่าวคอื มที ั้งสว่ นทปี่ ลอ่ ยให้เอกชนตดั สนิ ใจดาเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกจิ เอง และสว่ นทรี่ ัฐบาล เข้าไปควบคมุ และวางแผนทางเศรษฐกจิ 6. กลไกราคา ราคาสินคา้ คือ มูลค่าของสนิ ค้าและบริการทผ่ี ้ปู ระกอบการทาการผลติ ได้และนามาจาหน่ายให้แก่ผ้บู ริโภค เช่น นาย ก. ผลิตปากกาออกขายให้แกน่ ักเรียนในราคาด้ามละ 5 บาท เป็นตน้ ในระบบเศรษฐกจิ แบบทนุ
นยิ ม หรือระบบเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งการผลิตการบริโภคส่วนใหญเ่ ป็นเรอ่ื งของภาคเอกชน โดยผ่านกลไกของ ราคา นนั้ ราคาสินค้าและบริการจะทาหนา้ ท่ี 3 ประการ คือ กาหนดมลู ค่าของสนิ ค้า ในการซอ้ื ขายแลกเปลย่ี นท่ีใช้เงินเป็นส่ือกลาง ราคาจะทาหนา้ ที่กาหนดมูลคา่ เพอ่ื ให้ ผซู้ อื้ ตดั สนิ ใจทจี่ ะซื้อสินคา้ ในมลู ค่าทค่ี ุ้มหรอื ไม่คมุ้ กับเงินทเ่ี ขาจะต้องเสียไป ราคาสินค้าบางแห่งก็กาหนดไว้ แนน่ อนตายตัว แตบ่ างแห่งก็ตง้ั ไวเ้ ผื่อต่อ เพื่อให้ผซู้ ้ือตอ่ รองราคาได้ กาหนดปรมิ าณสินค้า ในการซ้ือขายแลกเปล่ยี นกนั น้ันถา้ สินค้ามีราคาถูก ผู้ซือ้ จะซอ้ื ปรมิ าณมากขึ้นสว่ นผ้ขู าย จะเสนอขายในปรมิ าณน้อยลง แตถ่ ้าสินค้ามรี าคาแพงผซู้ ื้อจะซอื้ ปริมาณน้อยลงสว่ นผูข้ ายจะขายในปริมาณ มากข้นึ ราคาจงึ เปน็ ตัวกาหนดปริมาณสินคา้ ท่จี ะซื้อขายกัน กาหนดปริมาณการผลติ ของผปู้ ระกอบการ ในระบบเศรษฐกจิ แบบผสม ซง่ึ การผลติ ส่วนใหญ่เปน็ เร่อื งของ เอกชนนนั้ จะมีปญั หาวา่ ผผู้ ลติ ควรจะผลิตในปริมาณสักเท่าใดจงึ จะพอดีกบั ความต้องการของผู้บรโิ ภค เพื่อให้ เขาได้กาไรสงู สุดตามท่ตี ้องการ โดยสังเกตความต้องการซ้ือ (อุปสงค์) และความต้องการขาย (อุปทาน) ของ สินคา้ ทีเ่ ราทาการผลติ ในระดับราคาต่างๆ กนั เพ่ือหา ดลุ ยภาพ ซ่ึงเป็นระดับที่ผูซ้ ื้อและผขู้ ายจะทาการซื้อขาย กนั ในปรมิ าณและราคาที่ตรงกัน ปรมิ าณท่ีมีการซื้อขายณ จุดดุลยภาพ เรยี กว่า ปริมาณดุลยภาพ และผู้ซอ้ื มี ความตอ้ งการซ้ือ สว่ นราคาที่ดุลยภาพ เรียกวา่ ราคาดุลยภาพ อนั เป็นราคาทผ่ี ผู้ ลิตควรพิจารณาในการต้ัง ราคาขาย กลไกราคา (price mechanism) หมายถงึ ตวั กาหนดการจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกจิ ทีมปี ัจจยั สาคัญ ในการกาหนดราคา คือ อุปสงค์ (demand) และอปุ ทาน (supply) อุปสงค์ (Demand) คือ ปริมาณความต้องการซิ้อสนิ คา้ และบรกิ ารของผูซ้ ้ือในระยะเวลาใดเวลา หน่ึง ณ ระดับราคาตา่ งๆ กนั ความต้องการซ้ือจะแตกต่างจากความต้องการทวั่ ไป (want) แต่จะต้องรวม อานาจซ้ือ (purchasing power) คือ เตม็ ใจและมีเงินเพียงพอที่จะจา่ ยซื้อสินค้านนั้ ดว้ ย อย่างไรก็ตามปริมาณ ความตอ้ งการซื้อนีจ้ ะเปล่ยี นแปลงเม่อื มีปจั จัยกาหนดอุปสงคต์ ัวอื่นๆ เปลย่ี นแปลงด้วย เชน่ รายไดข้ องผู้ ซอ้ื รสนิยม ราคาสินค้าชนดิ ที่ใช้ทดแทนกนั ได้ เชน่ เน้อื หมูกับเนื้อไก่ เปน็ ต้น อุปทาน (supply) คอื ปริมาณความต้องการเสนอขายสนิ ค้าและบริการของผขู้ ายในระยะเวลาใดเวลา หนงึ่ ณ ระดับราคาตา่ งๆ กนั โดยผขู้ ายเต็มใจจะขาย กล่าวคือ ถ้าราคาตา่ ปริมาณที่เสนอขายกจ็ ะลดต่าลง ด้วย และใน่ทางตรงกันข้าม หากระดับราคาสูงขนึ้ ก็จะมีปรมิ าณเสนอขายเพมิ่ ข้นึ ซ่งึ เป็นไปตาม กฎของ อุปทาน (Law of Supply) ปัจจัยทท่ี าใหอ้ ุปทานเปลีย่ นแปลง เชน่ การเปล่ียนแปลงเทคโนโลยีในการ ผลติ ราคาของปัจจยั ท่ใี ชใ้ นการผลติ สินคา้ และบริการ การเปลย่ี นแปลงฤดกู าลการคาคคะเนราคาสนิ ค้าและ บริการของผ้ขู าย ตลาด ตลาดในความหมายทางเศรษฐศาสตร์ จะกว้างกว่าความหมายทว่ั ๆ ไปทเี่ ปน็ สถานที่ทมี่ ีผ้ขู ายจานวน มากนาสินค้ามาวางขาย แตต่ ลาดในทางเศรษฐศาสตร์จะเกิดข้ึนทันที่ที่มีการตกลงซ่ือขายกนั ต่อรองราคาหรือ มกี ารแลกเปล่ยี นสนิ คา้ และบริการ โดยไม่จาเป็นต้องมสี นิ ค้าและบรกิ ารปรากฏอยู่ ณ สถานทน่ี ัน้ องคป์ ระกอบของตลาดจะประกอบดว้ ย ผู้ซ้ือ ผู้ขาย สนิ คา้ และ ราคา ซง่ึ อาจจะมีพ่อค้าคนกลางร่วม ด้วย ปัจจุบนั ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยีข้อมูลขา่ วสารได้ทาให้ผูซ้ ือ้ และผู้ขายใกล้ชดิ กันมากขนึ้ โดยอาศยั คน กลางนอ้ ยลง นอกจากนคี้ วามสะดวกสบายรวดเร็วของส่ือท่ีใชใ้ นการชาระค่าสินคา้ ก็ทาได้คลอ่ งตวั ขึ้น เช่น ระบบเครดิต เปน็ ตน้ ระบบตลาดขน้ึ อยกู่ ับกลไกราคา ซง่ึ ราคาตลาดถกุ กาหนดโดยปฏิสมั พันธ์ (Interaction) ระหวา่ งผู้ซอื้ จานวน มาก ผูข้ ายจานวนมาก ณ ชว่ งเวลาหนง่ึ เช่น ชว่ งตน้ ฤดูทเุ รยี นหมอนทอง ราคากโิ ลกรัมละ 40 บาท ผู้ซอ้ื ตอ้ งการซ้อื 200 ลา้ นกโิ ลกรัม / สปั ดาห์ ในขณ๊ะทีผ่ ู้ขายต้องการขาย 200 ล้านกิโลกรัม / สัปดาห์ เชน่ กัน ไมม่ ี
ของเหลือของขาด ท้งั ผ้ซู อื้ และผ้ขู ายต่างพอใจในภาวการณ์ทีเ่ ป็นอยู่ ราคาตลาดดงั กล่าวเป็นราคาดุลย ภาพ และราคาตลาดน้จี ะเปลียนแปลงไปถ้าอุปสงคห์ รอื อุปทานเปลีย่ น หรือเปลยี่ นทัง้ อปุ สงคแ์ ละอุปทาน
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: