แผนการสอน หน่วยเรยี นที่ 6 รหัสวิชา 2501-1005 ชื่อวชิ า หลกั การเลี้ยงสัตว์ จานวน 2 หน่วยกิต ช่ือหน่วย อาหารสตั ว์ สอนคร้ังที่ 8-11 ช่ือเร่ือง อาหารสัตว์ จานวน 12 ช่ัวโมง หัวข้อเร่ืองและงาน 1. ความหมายของอาหารสัตว์ 2. ประโยชนข์ องอาหารสตั ว์ 3. สว่ นประกอบของอาหารสัตว์ 4. ประเภทและชนดิ ของอาหารสตั ว์ 5. หลักเกณฑ์ในการคัดเลือกพชื อาหารสัตว์เพื่อปลกู เลี้ยงสัตว์ 6. คุณค่าทางอาหารและผลผลิตของอาหารหยาบ 7. พืชตระกลู หญา้ ที่นยิ มปลูกในประเทศไทย 8. พชื ตระกูลถั่วที่นยิ มปลกู ในประเทศไทย 9. ข้อจากดั ในการใช้วัตถดุ ิบอาหารสัตว์บางชนดิ สาระสาคัญ อาหารสตั ว์ หมายถึง ส่ิงทสี่ ัตวก์ นิ เข้าไปแล้วไมเ่ ปน็ อนั ตรายตอ่ สัตว์สามารถย่อยและดดู ซึมไปใช้ ประโยชน์ต่อร่างกายได้ ส่วนประกอบของอาหารสัตว์ ประกอบด้วย โภชนะ 6 ชนดิ คือ น้า คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตนี วติ ามิน และแรธ่ าตุ อาหารหยาบมีความจาเป็นต่อสตั วเ์ คี้ยวเอื้อง หรอื สตั ว์ 4 กระเพาะ ส่วน อาหารขน้ มีความจาเปน็ ต่อสัตว์ทมี่ ีความสาคัญทางเศรษฐกจิ เชน่ สุกร และสัตว์ปกี จุดประสงค์การสอน จุดประสงค์ทั่วไป 1. บอกความหมายของอาหารสัตวไ์ ดถ้ กู ต้อง 2. บอกประโยชนข์ องอาหารสตั ว์ได้ถกู ต้อง 3. บอกสว่ นประกอบของอาหารสัตวไ์ ดถ้ ูกต้อง 4. บอกประเภทและชนิดของอาหารสตั วไ์ ดถ้ ูกต้อง จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 1. อธบิ ายความหมายของอาหารสตั ว์ อาหารหยาบ และอาหารขน้ ได้
2. จาแนกชนิดของโภชนะในอาหารสตั ว์ได้ถูกต้อง 3. เลือกใช้วัตถดุ บิ อาหารสตั ว์ ผสมอาหาร สกุ ร โค ไก่ได้ถกู ต้อง ใบความรู้ บทท่ี 6 เรอ่ื ง อาหารสตั ว์เบอื้ งตน้ 1. ความหมายของอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ หมายถึง ส่ิงทีส่ ตั ว์กินเขา้ ไปแล้วไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ สตั ว์ สามารถย่อยและดูดซมึ เข้าสู่ ร่างกายสัตว์ และรา่ งกายสตั ว์ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ 2. ประโยชน์ของอาหารสัตว์ เม่ือสตั วก์ นิ อาหารเข้าสรู่ า่ งกาย รา่ งกายสามารถนาอาหารไปใชป้ ระโยชนไ์ ดด้ งั นี้ 2.1 ทาให้รา่ งกายดารงชีพได้ตามปกติ 2.2 ชว่ ยในการเจรญิ เตบิ โต 2.3 ช่วยในการสืบพันธ์ุ 2.4 ชว่ ยในการสร้างผลผลิต 3. ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์ ระบบทางเดินอาหารคือ ระบบท่อี าหารจะเดนิ ทางผ่านอวยั วะตา่ ง ๆ ซึ่งในอวยั วะตา่ ง ๆ กจ็ ะทา หน้าท่ีท่แี ตกต่างกนั ไปต้ังแต่ โดยแบ่งไดด้ ังนี้ 3.1 ระบบทางเดินอาหารของสัตวป์ ีก
ภาพที่ 1 ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์ไก่ ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์ปกี มีสว่ นท่ีเป็นกระเพาะอยถู่ งึ 3 กระเพาะ สตั ว์ปกี จะกินอาหารโดยไมไ่ ด้เคี้ยว ซึ่งสว่ นประกอบของระบบทางเดนิ อาหารของสัตวป์ ีก มดี ังนี้ 1. ปาก (beak) ปากสัตว์ปกี จะเปน็ จงอยท่ีแหลมคม ภายในไม่มีฟนั ใช้จิกอาหารกลนื ลงกระเพาะโดย ไมต่ ้องเคีย้ ว 2. หลอดอาหาร (esophagus) เปน็ หลอดอาหารทีน่ าอาหารลงกระเพาะพัก (crop) 3. กระเพาะพัก (crop) เป็นสว่ นของหลอดอาหารที่ขยายออกสาหรบั เป็นทเี่ ก็บอาหารระยะแรกและ ทาให้อาหารอ่อนนมุ่ 4. กระเพาะจริง (proventiculus) ทาหนา้ ที่ขับนา้ ย่อยออกมาผสมกับอาหาร 5. กระเพาะบด (gizzard) บางคร้งั เรยี กว่า กนึ๋ ทาหน้าทบี่ ดยอ่ ยอาหารให้แตกละเอียดโดยภายในมี กรวดสะสมอยเู่ พื่อชว่ ยบดย่อยอาหาร 6. ลาไสเ้ ลก็ ตอนต้น (duodenum) ยึดติดกนั ภายในเปน็ รูปตัวยู ระหวา่ งตัวยจู ะมี ตับอ่อนตดิ อยู่ 7. ลาไส้เลก็ (small intestine) ทาหน้าท่ีดดู ซึมอาหารเข้าส่รู า่ งกาย 8. ไสต้ ง่ิ (caecum) อยูร่ ะหว่างรอยต่อของลาไส้เลก็ และลาไส้ใหญ่ มี 2 ข้าง ไม่มีหน้าท่ีและไม่มี ประโยชน์
9. ลาไส้ใหญ่ (large intestine) ทาหน้าที่รองรับกากอาหารทีร่ ่างกายดดู ซึมไปใชแ้ ล้ว 10. ทวาร (vent) เปน็ ทีข่ บั กากอาหารออกนอกรา่ งกาย และยังเปน็ ท่อนาไข่ในสตั ว์ปีกเพศเมีย 3.2 ระบบบทางเดนิ อาหารของสัตว์กระเพาะเด่ียว รูปท่ี 2 ระบบทางเดนิ อาหารสุกร ระบบทางเดนิ อาหารของสตั ว์กระเพาะเดย่ี ว (monogastrin หรือ simple stomach animals) ในสตั วก์ ระเพาะเดย่ี วจะขอยกตวั อยา่ งระบบทางเดินอาหารของสุกร สกุ รจะกนิ อาหารโดยเคย้ี วจนละเอียดก่อนกลนื ลงกระเพาะและให้น้าย่อยออกมายอ่ ยอาหาร หลงั จากน้ันอาหารจะถูกดูดซึมที่ลาไสเ้ ล็กและขบั กากออกมาทางทวารหนัก ระบบทางเดิน อาหารของสกุ ร ประกอบดว้ ยสว่ นต่าง ๆ ดงั น้ี 1. ปาก (mouth) ภายในมีฟันสาหรับบดเคี้ยวอาหารและขบั นา้ ลายออกมา คลกุ เคลา้ กับอาหารทาให้อาหารเปียก 2. หลอดอาหาร (esophagus) เป็นทอ่ เชื่อมต่อปากกับกระเพาะอาหารเป็น กล้ามเนอื้ รปู วงแหวนสาหรับบีบรัดอาหารลงสู่กระเพาะ 3. กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นหลอดอาหารที่ขยายตัวเป็นกระเปาะ ภายในมี นา้ ย่อยขบั ออกมาย่อยอาหาร 4. ลาไสเ้ ล็ก (small intestine) ทาหน้าท่ีดดู ซึมอาหารที่ยอ่ ยแลว้ 5. ไส้ต่ิง (caecum) ไสต้ ่ิงจะอยูร่ ะหว่างสว่ นต่อของลาไสเ้ ล็กกับลาไส้ใหญ่ ไม่มี
หนา้ ที่ ใด ๆ แต่ถ้ามีเศษอาหารเข้าไปอาจเกิดการอักเสบและมอี นั ตรายกบั สัตว์ได้ 6. ลาไส้ใหญ่ (large intestine) ทาหนา้ ทรี่ บั กากอาหารทเ่ี หลือจากการดูดซมึ แลว้ เพ่อื ขบั ออกทางทวารหนัก ลาไสใ้ หญ่ดดู ซึมนา้ ไดบ้ ้างเลก็ น้อย 7. ทวารหนัก (anus) เป็นระบบทางเดนิ อาหารด่านสดุ ทา้ ย ทาหนา้ ทข่ี ับกากอาหาร ที่ไม่มปี ระโยชน์ออกนอกร่างกาย 3.3 ระบบทางเดินอาหารของสตั ว์เค้ยี วเออ้ื ง รูปภาพท่ี 3 ระบบทางเดนิ อาหารของโค ระบบทางเดนิ อาหารของสตั วก์ ระเพาะรวมหรือสัตวเ์ คีย้ วเอื้อง (ruminants หรอื compound stomach animals) ระบบทางเดนิ อาหารของสัตว์กระเพาะรวม บางคร้งั เรยี กวา่ สัตว์ 4 กระเพาะ เร่ิมจาก ปากถงึ ทวารเชน่ กนั แตต่ า่ งจากทางเดินอาหารของสัตว์กระเพาะเดี่ยว และสตั วป์ กี ตรงท่ีมีกระเพาะ 4 กระเพาะ กินอาหารโดยการเคี้ยวอย่างหยาบ ๆ คลกุ เคลา้ กบั นา้ ลายแล้วกลนื ลงสกู่ ระเพาะแรก ปล่อยให้ จุลนิ ทรียท์ าการหมักระยะหนึ่งจากน้ันจงึ ขยอกอาหารออกมาเค้ียวให้ละเอยี ดอกี คร้งั หนึ่ง ซึง่ เราเรียกวา่ การ เคี้ยวเอ้อื ง ซงึ่ กระเพาะท้ัง 4 กระเพาะของสัตวเ์ คี้ยวเอ้ือง (ภาพที่ 3) มีดังน้ี 1. กระเพาะผา้ ขีร้ ้ิว (rumen) เป็นกระเพาะส่วนแรกทีม่ ีขนาดใหญส่ ดุ ในโคอาจจุถึง 150 ลิตร ผนงั มีตุ่มเลก็ ๆ อย่ทู ัว่ ไป จึงเรยี กวา่ ผ้าข้ีร้ิว ภายในมีจุลนิ ทรยี ์ท่ีช่วยในการหมักอาหารหยาบก่อนทสี่ ัตวจ์ ะ ขยอกอาหารออกมาเคีย้ วอีกครง้ั หน่ึง โดยไมม่ กี ารขบั นา้ ย่อยออกมาชว่ ยย่อยอาหาร 2 กระเพาะรังผง้ึ (reticulum หรอื honeycome) เปน็ กระเพาะที่มขี นาดเล็กสดุ จุประมาณ 7.5 ลิตร ผนังมลี กั ษณะเป็นรูปหกเหล่ียมเลก็ ๆ เรยี งตดิ ต่อกัน จงึ เรียกวา่ รังผึ้ง ไม่มีการขบั น้ายอ่ ยออกมาช่วย ย่อยอาหาร 3 กระเพาะสามสิบกลีบ (omasum หรือ manyplies) มคี วามจุ 15 ลติ รในโค ไมม่ ีการหล่ัง
นา้ ยอ่ ยแตท่ าหน้าทด่ี ดู ซับน้า ทาใหอ้ าหารแห้งขน้ึ 4 กระเพาะแท้ (abomasum หรือ true stomach) ทาหน้าที่ขับน้าย่อยออกมาย่อยอาหาร เหมอื นกบั ในสัตว์กระเพาะเด่ียว อาหารจะผ่านส่วนตา่ ง ๆ ต่อจากกระเพาะแทเ้ หมือนกับสตั วก์ ระเพาะเด่ยี วจน ขับกากอาหารออกทางทวารหนัก 4. สว่ นประกอบของอาหารสัตว์ อาหารสตั วป์ ระกอบด้วยโภชนะ 6 ชนิด คอื น้า คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตนี วติ ามนิ และแรธ่ าตุ อำหำรสตั ว์ วัตถแุ หง้ นำ้ อนินทรียวัตถุ อินทรยี วตั ถุ (แร่ตุ) คำรโ์ บไฮเดรท ไขมัน โปรตีน วติ ำมิน รูปที่ 4 แผนผังส่วนประกอบอาหารสัตว์ 4.1 นา้ (Water) น้าเปน็ ส่วนประกอบท่ีสาคญั ของพชื และสตั ว์ ในพืชอาหารสัตว์จะมนี ้าเปน็ สว่ นประกอบ ประมาณ 70-90 เปอร์เซน็ ต์ สว่ นในอาหารข้นจะมนี า้ เป็นส่วนประกอบประมาณ 10-15 เปอรเ์ ซน็ ต์ ใน ร่างกายสตั ว์จะมีน้าเป็นส่วนประกอบ ประมาณ 50-80 เปอร์เซ็นต์ โดยสตั วอ์ ายนุ ้อยจะมีนา้ มากกว่าสตั ว์อายุ มาก สตั วจ์ ะดารงชวี ติ อย่ไู ม่ได้ถา้ ขาดนา้ ถงึ แม้วา่ นา้ จะไมม่ ีคณุ คา่ ทางอาหาร แต่น้ามคี วามสาคญั อย่างยง่ิ ต่อ ร่างกายสัตว์ โดยน้าจะเข้าไปทาหนา้ ทีต่ ่าง ๆ ทส่ี าคัญในร่างกาย เช่น ช่วยในการยอ่ ย และการดูดซึมอาหาร
ช่วยควบคมุ อุณหภูมริ ่างกายให้คงท่ี ชว่ ยในการกาจัดของเสียออกจากร่างกาย และเป็นส่วนประกอบของเซลล์ ในร่างกายสัตว์ สว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกายสตั วจ์ ะประกอบไปดว้ ยนา้ ดังตารางที่ 5.1 ตารางท่ี 5.1 แสดงปริมาณนา้ ทีเ่ ปน็ องคป์ ระกอบของร่างกายสัตว์ ส่วนประกอบร่างกายสัตว์ ปริมาณน้า(เปอร์เซน็ ต์) เลือด 90-92 กลา้ มเนื้อ 72-78 ไขมนั 30 กระดูก 45 4 เคลือบฟัน 4.1.1 แหลง่ ทีม่ าของนา้ ทีส่ ัตว์ไดร้ ับ น้าท่สี ตั วไ์ ด้รับในแต่ละวันมาจากแหลง่ ต่าง ๆ ดังน้ี 1 จากน้าทสี่ ัตว์ด่ืมโดยตรง 2 น้าทม่ี อี ยู่ในอาหารสัตว์ 3 จากขบวนการเมแทบอลซิ มึ ในร่างกาย เนือ่ งจากสารอาหารพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมนั เมือ่ สลายตวั แล้วจะไดก้ ๊าซคาร์บอนไดออกไซดแ์ ละน้า เป็นต้น (สุวทิ ย์ เฑียรทอง, 2536) 4.1.2 บทบาทและหน้าทข่ี องนา้ น้ามหี น้าทใ่ี นรา่ งกายสตั ว์ดังต่อไปน้ี 1. เปน็ ส่วนประกอบของเซลล์และเป็นตัวกลางในการเกิดปฏกิ ิริยาเคมีในเซลล์ 2. รกั ษาอณุ หภูมขิ องร่างกาย 3. เปน็ ตัวกลางในการขนสง่ โภชนะไปหลอ่ เล้ยี งสว่ นต่าง ๆ ของร่างกาย 4. ช่วยในการขบั ถ่ายของเสยี ทางปัสสาวะ 5. ชว่ ยในการย่อยสลายอาหารและขบวนการเมแทบอลิซมึ 6. เป็นส่วนประกอบของผลผลติ เน้อื นม ไข่ 7. ชว่ ยในการหล่อล่นื ของอวัยวะสว่ นต่าง ๆ ของรา่ งกาย 4.1.3 ปัจจยั ที่มผี ลต่อความต้องการน้าของสตั วเ์ ล้ยี ง ศรีสกุล วรจนั ทรา และรณชัย สิทธิไกร พงษ์ (2539) ได้บอกถงึ ปจั จัยท่มี ีผลตอ่ ความต้องการน้าของสตั วเ์ ลย้ี งไว้ดังน้ี 1. สายพันธุข์ องสตั ว์ สตั ว์แตล่ ะสายพนั ธ์จุ ะมคี วามต้องการนา้ แตกต่างกันออกไป 2. อายุของสตั ว์ สตั ว์อายนุ ้อยจะต้องการน้าน้อยกว่าสตั ว์ที่โตเต็มวัย 3. อณุ หภูมิรอบตัวสตั ว์ สตั วจ์ ะกระหายนา้ มากเมือ่ อุณหภมู ิสูงข้นึ 4. ชนดิ ของอาหารท่ีสัตวก์ ิน ตารางท่ี 5.2 ความต้องการนา้ ของสตั ว์ชนดิ ต่าง ๆ (ลิตร : วนั )
ท่มี า (ศรสี กุล วรจนั ทรา และรณชยั สทิ ธิไกรพงษ์, 2539, หน้า 200) 4.2 คารโ์ บไฮเดรต (Carbohydrate) คารโ์ บไฮเดรต เป็นสารอาหารท่ีให้พลังงาน ในอาหารสตั วส์ ่วนใหญ่มคี าร์โบไฮเดรตมากกวา่ 70 เปอร์เซน็ ต์ ของอาหารทงั้ หมด อาหารจากพชื มีคาร์โบไฮเดรตเกอื บทุกส่วน เชน่ ในเมลด็ ในราก และเย่ือใย ส่วนในรา่ งกายสัตว์จะพบคาร์โบไฮเดรตอยู่นอ้ ยมาก โดยทั่วไปสตั วจ์ ะใชค้ าร์โบไฮเดรตเป็นแหลง่ พลังงาน รา่ งกายจะนาคาร์โบไฮเดรตไปใช้ประโยชนไ์ ดเ้ มื่อคาร์โบไฮเดรตถกู ย่อยเป็นหน่วยทเี่ ลก็ ท่ีสุด เรยี กว่า กลูโคส (Glucose) ww 4.2.1 ประเภทของคารโ์ บไฮเดรต คารโ์ บไฮเดรตแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 4.2.1.1 คาร์โบไฮเดรตอย่างงา่ ย (simple carbohydrate) ไดแ้ ก่ พวกนา้ ตาลทไี่ ด้จาก ธรรมชาตแิ ละทาให้บรสิ ุทธ์ิ มีดังน้ี 1. นา้ ตาลเชิงเดย่ี ว (simple sugar) เปน็ คาร์โบไฮเดรตท่ีมโี มเลกุลเล็กสุด ไดแ้ ก่ นา้ ตาลกลูโคส (glucose) กาแลคโตส (galactose) และฟรกั โตส (fructose) เป็นต้น 2. น้าตาลสองช้นั (secondary sugar) ประกอบดว้ ยน้าตาลเชิงเดยี่ ว 2 ตวั มาเชือ่ มตัวต่อกัน ได้แก่ ซูโครส (sucrose) แลคโทส (lactose) และมอลโทส (maltose) 4.2.1.2 คารโ์ บไฮเดรตเชงิ ซอ้ น (complex carbohydrates) เป็นคารโ์ บไฮเดรตท่ี ประกอบดว้ ยนา้ ตาลเชงิ เดี่ยวจานวนมากมาเชื่อมต่อกัน ส่วนใหญจ่ ะเรยี กว่า นา้ ตาลหลายชั้น (polysaccharides) เม่อื รา่ งกายสัตวย์ ่อยแลว้ จะได้นา้ ตาลเชงิ เดย่ี ว แบ่งออกเป็น 1. แปง้ (starch) ประกอบด้วย กลโู คสมาเชอ่ื มตอ่ กนั เปน็ เสน้ ยาว ถ้าเชือ่ มต่อ
กนั เป็นเสน้ ตรงจะเรียกว่า อะมโิ ลส (amylose) แตถ่ ้าเช่อื มต่อกันเป็นกงิ่ แขนงจะเรยี กว่า อะมโิ ลเพคติน (amylopectin) 2. ใยอาหาร (dietary fiber) เปน็ ส่วนของเส้นใยพืชสว่ นใหญ่สัตว์กระเพาะ เด่ยี วจะย่อยใยอาหารไมไ่ ด้ แตส่ ัตว์กระเพาะร่วมสามารถย่อยได้โดยมจี ลุ นิ ทรีย์ในกระเพาะเป็นตวั ช่วยยอ่ ย เปน็ น้าตาลหลายชั้น ได้แก่ เซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส เป็นต้น 3. ไกลโคเจน (glycogen or animal starch) ประกอบด้วย กลูโคส ร่างกาย จะสะสมไกลโคเจนไว้ที่ตับซึง่ สามารถดงึ มาใชเ้ ปน็ พลงั งานได้ 4. ไคติน (chitin) เป็นองค์ประกอบของเปลอื กนอกของแมลง เช่น กงุ้ ปู เป็น ตน้ 4.2.2 หน้าท่ขี องคาร์โบไฮเดรต คาร์โบไฮเดรตมหี น้าท่ีหลายประการดังนี้ 1. เป็นแหลง่ พลังงาน นอกเหนอื ไปจากโปรตีนและไขมัน คาร์โบไฮเดรต 1 กรัม ให้ พลงั งาน 4 กิโลแคลอร่ี 2. ป้องกันและทาลายสารพิษต่าง ๆ 3. เกบ็ สะสมไวใ้ นรูปพลังงานสารอง เช่น ไกลโคเจน เปน็ ตน้ 4. ชว่ ยใหไ้ ขมันเผาไหม้อยา่ งสมบรู ณ์ 5. ประหยดั การใช้โปรตนี ในร่างกาย 6. ช่วยในการดดู ซึมโภชนะบางตัว เช่น แรธ่ าตุ แคลเซยี ม และฟอสฟอรสั 7. ชว่ ยในการเจรญิ เติบโตของแบคทีเรยี ในกระเพาะสัตว์เคีย้ วเออื้ ง แหล่งของคาร์โบไฮเดรตในอาหารสตั ว์ส่วนใหญ่จะอยใู่ นพชื ประเภทหัว หรอื พวก เมล็ดธญั พชื ไดแ้ ก่ ข้าว ข้าวโพด ถ่ัว เผือกและมันชนิดตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ร่างกายสัตว์ จะต้องยอ่ ยคาร์โบไฮเดรต เปน็ กลูโคสกอ่ นจึงจะดดู ซึมไปใช้ได้ 4.3 ไขมนั และนา้ มนั (Fat and oil) ไขมันและน้ามัน เปน็ วัตถุทีม่ อี ยู่ท่ัวไปในสตั วแ์ ละพืช สว่ นประกอบทั่วไปเหมือนคาร์โบไฮ-เดรต แต่จะให้พลงั งานสูงกวา่ คาร์โบไฮเดรต 2.25 เท่า ไขมนั และนา้ มันไมล่ ะลายน้า จะละลายในอเี ทอร์ (Ether) คลอโรฟอร์ม (Chloroform) และเบนซนิ (Benzene) ซง่ึ ไขมนั ในสัตวจ์ ะอยู่ในรูปของแขง็ ในอุณหภมู ิห้อง ส่วน ในพชื จะพบนา้ มนั อยใู่ นรปู ของเหลวในอณุ หภูมหิ ้อง หนว่ ยทีเ่ ลก็ ทสี่ ุดของไขมนั ทรี่ ่างกายสามารถดดู ซึมไปใช้ ประโยชนไ์ ด้ เรยี กวา่ กรดไขมัน (Fatty acid) ไขมนั จะมีอยู่ทัว่ ๆ ไปในอาหารสตั ว์ ส่วนของต้นและใบพืชจะมี ไขมันไม่มากแต่จะมีมากในเมล็ดพืชบางชนดิ เช่น พืชตระกลู ถว่ั และเน้ือมะพรา้ ว สว่ นในสัตวจ์ ะมีไขมันมาก หรอื นอ้ ยข้นึ อยู่กบั อายุและความอ้วนผอมของสตั วไ์ ขมันนอกจากจะเป็นแหล่งพลงั งานเหมอื นคาร์โบไฮเดรต แลว้ ยงั เป็นฉนวนกันความเย็นจากภายนอกทาใหร้ า่ งกายอบอุ่น และเปน็ ฉนวนห่อหมุ้ ป้องกนั การ กระทบกระเทือนของอวยั วะต่าง ๆและยงั ทาหนา้ ที่ละลายวิตามินอีกดว้ ย
4.3.1 ประเภทของกรดไขมนั ตามความต้องการของรา่ งกาย แบง่ ออกได้ 2 ประเภทคอื 1. กรดไขมันที่จาเป็นต่อรา่ งกาย (essential fatty acid) เป็นกรดไขมนั ที่ รา่ งกายสัตว์ สงั เคราะห์ได้ไมเ่ พยี งพอ จาเปน็ ตอ้ งได้รับจากอาหารส่วนใหญเ่ ป็นกรดไขมนั ที่ไม่อมิ่ ตวั เชน่ กรดโอลอิ คิ (oleic acid) กรดลโี นเลนคิ ส่วนใหญจ่ ะพบในน้ามนั พชื และนา้ มันตับปลา 2. กรดไขมนั ทีไ่ ม่จาเป็น (non – essential fatty acid) เปน็ กรดไขมันท่รี ่างกายสตั ว์ ได้รบั จากอาหารและสามารถสงั เคราะห์ขึน้ เองได้ดว้ ยสว่ นมากเปน็ กรดไขมันที่อิ่มตวั พบทง้ั ในพืชและในสตั ว์ ไดแ้ ก่ กรดบิวทีรคิ (butylic acid) ซ่ึงพบในไขมันนม กรดคาโปรอิค (capoic acid) พบในนา้ มันพชื กรดอะ แรคซิดคิ (aracchidic acid) พบในน้ามนั ถัว่ เป็นตน้ 4.3.2 หนา้ ทีข่ องไขมัน ไขมนั มีหน้าทหี่ ลายประการ ดังน้ี 1. เป็นสว่ นประกอบของรา่ งกาย เซลล์และเนอ้ื เยื่อ 2. ใหพ้ ลงั งานความร้อนกับร่างกาย ไขมนั ให้พลังงานสงู กวา่ คาร์โบไฮเดรตถึง 2.25 เทา่ 3. ชว่ ยดดู ซึมวิตามินทล่ี ะลายได้ในไขมัน ได้แก่ วติ ามนิ เอ ดี อี และเค 4. ช่วยปอ้ งกนั การกระทบกระเทือนของอวัยวะภายใน 5. ช่วยดดู ซมึ แรธ่ าตุและแคลเซียม 6. จาเป็นต่อการเจรญิ เตบิ โตของตัวอ่อน 7. เป็นแหล่งของกรดไขมันทจ่ี าเป็นต่อร่างกายของสตั ว์ ww 4.3.3 แหล่งของไขมัน ไขมันพบในอาหารหลายชนิด เชน่ w 1. น้ามันและไขมนั จากพืช เช่น ข้าวโพด เมลด็ ฝา้ ย งา เมล็ดทานตะวนั ถวั่ ตา่ ง ๆ เป็น ตน้ w 2. น้ามนั จากสัตว์ ได้แก่ ไขมนั จากนม ไขมนั จากสัตว์ และน้ามนั ตบั ปลา เปน็ ตน้ 4.4 โปรตนี (Protein) โปรตีนเป็นสารอาหารที่จาเป็นตอ่ ร่างกายสตั วท์ กุ ชนิด โปรตนี เปน็ สว่ นประกอบของอวยั วะต่าง ๆ ใน ร่างกาย เมอ่ื สตั วก์ นิ โปรตนี เข้าสรู่ ่างกาย โปรตีนจะถกู ย่อยสลายจนเหลืออนุภาคเลก็ สดุ เรียกว่า กรดอะมิโน (Amino acid) รา่ งกายจึงจะดดู ซมึ ไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ สัตวแ์ ต่ละชนิด แตล่ ะประเภท และแต่ละขนาดอายุ มี ความตอ้ งการโปรตนี ไม่เท่ากัน สตั วก์ ระเพาะรวมต้องการโปรตีนในอาหารน้อยกว่า สตั วก์ ระเพาะเด่ียว สว่ น สตั ว์ปกี หรือสตั วก์ าลงั ให้ผลผลิตตอ้ งการโปรตนี มากกว่าสัตว์ทยี่ งั ไม่ให้ผลผลิต ในสัตวอ์ ายุน้อยต้องการโปรตนี สงู กว่าสัตวอ์ ายมุ าก โดยโปรตีนเปน็ สารประกอบเชิงซ้อนของสารอนิ ทรีย์ประกอบไปดว้ ย คารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) ออกซิเจน (O) และไนโตรเจน (N) บางครัง้ อาจจะมกี ามะถนั (S) ฟอสฟอรัส (P) และเหลก็ (Fe) รวมอยู่ด้วย จะพบโปรตีนในเซลลท์ ี่มีชวี ติ ทกุ เซลล์ เม่ือโปรตนี ถูกสลายตัวด้วยนา้ (hydrolysis) ในกรดหรือใน ดา่ งเข้มขน้ หรือความรอ้ น หรอื นา้ ยอ่ ยจะแตกตัวออกเป็นสารเลก็ ๆ ซ่ึงมปี ฏิกริ ิยาไดท้ ้งั กรดและดา่ ง เรียกว่า
กรดอะมโิ น หรือ amino acid (สิริพันธ์ุ จลุ กรังคะ, 2542) ซง่ึ รายละเอยี ดเก่ียวกบั โปรตีนมีดังตอ่ ไปนี้ 4.4.1 ชนิดของกรดอะมิโน กรดอะมิโนแบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ ดงั นี้ 1. กรดอะมิโนท่จี าเปน็ (essential or indispensable amino acids) ได้แก่ กรดอะมิ โนท่รี ่างกายสงั เคราะห์ไม่ได้หรอื สังเคราะหไ์ ด้แต่ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย จาเปน็ ตอ้ งได้รบั จาก อาหาร ซึ่งมีความจาเปน็ ต่อรา่ งกายของสัตว์ สตั ว์จะขาดไม่ได้ ดังตารางท่ี 5.3 2. กรดอะมโิ นที่ไมจ่ าเป็น (nonessential or dispensable amino acids) ไดแ้ ก่ กรดอะมโิ นทรี่ า่ งกายสงั เคราะหข์ น้ึ มาได้เพยี งพอกับความต้องการไม่จาเปน็ ต้องไดร้ ับจากอาหารอาจจะ สังเคราะห์ได้จากสารประกอบพวกไนโตรเจน หรอื ไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรต ดงั ตารางที่ 5.3 ตารางท่ี 5.3 กรดอะมโิ นท่จี าเป็นและกรดอะมิโนทไี่ มจ่ าเป็น กรดอะมิโนท่จี าเปน็ กรดอะมิโนที่ไม่จาเป็น ไลซีน ไกลซนี ทรปิ โตเฟน อะลานิน อิสทดิ นี ซรี ิน ฟนิ ิลอะลานนิ ซีสทนี ลิวซนี ซสี ทอิ ฮนิ ไอโซลวิ ซีน ไทโรซนี เมทไธโอนีน โปรลีน วาลิน ไฮดร๊อกซีโปรลีน ไกลซีน (เฉพาะสัตว์ปกี ) ซีสทรลู นิ 4.4.2 หน้าท่ีของโปรตีน โปรตนี มหี น้าทีห่ ลายอยา่ งดงั น้ี ww 1. เป็นเอ็นไซม์ (enzyme)
ww 2. เป็นฮอรโ์ มน (hormones) ww 3. เปน็ ภมู ิคมุ้ กนั (immunological action) ww 4. เปน็ ส่วนประกอบและโครงรา่ งของรา่ งกาย เช่น กล้ามเนอื้ กระดูก ขา ผม เล็บ หนัง เอน็ เขา จงอยปาก เป็นต้น ww 5. ช่วยในการยืดหด และเคลอ่ื นไหวกลา้ มเน้ือ ww 6. สร้างผลผลติ ในสตั ว์ และซ่อมแซมส่วนทส่ี ึกหรอ ww 7. สะสมไวเ้ ปน็ อาหารสารองของร่างกาย 4.4.3 การประเมนิ คณุ ภาพโปรตีน คุณภาพของโปรตนี จะขึ้นอยู่กับปัจจยั หลายอยา่ ง ww 1. ชนดิ ของกรดอะมโิ นทน่ี ามาสร้างเป็นโปรตีน ถา้ นากรดอะมิโนมาประกอบเปน็ โปรตนี ก็จะได้โปรตนี คุณภาพสูง ww 2. ส่วนประกอบของอาหาร ถ้าในอาหารประกอบไปดว้ ยอาหารทม่ี ีเย่ือใย (fiber) สูง ร่างกายจะย่อยโปรตนี ได้น้อยลง ww 3. ชนดิ ของอาหารโปรตีนทนี่ ามาใช้เลี้ยงสตั ว์ เชน่ พชื ตระกลู ถวั่ มเี มทไทโอนนี ตา่ แต่ มีไลซีนสงู แต่ข้าวโพดมีเมไทโอนีนสูงแต่ไลซีนต่า เปน็ ตน้ โปรตนี จัดเป็นโภชนะทีส่ าคญั ตัวหนง่ึ สัตวต์ ้องได้รบั ในปริมาณทเ่ี พยี งพอใน แตล่ ะวนั เพื่อให้ ไดผ้ ลผลติ สูงตามตอ้ งการ โปรตีนทาหน้าที่หลายอยา่ งในรา่ งกายสตั ว์ซง่ึ สัตว์ต้อง ได้รับในปริมาณท่เี พียงพอจงึ จะทาใหส้ ตั วด์ ารงชีวิตและให้ผลผลติ ไดเ้ ตม็ ท่ี ในอาหารแหลง่ ของโปรตนี จากสตั วจ์ ะได้มาจากปลาป่น ส่วน แหลง่ อาหารโปรตนี จากพชื ส่วนมากจะได้มาจากเมลด็ ธัญพืช เชน่ ถั่วเหลือง เปน็ ต้น 4.5 วติ ามนิ (Vitamin) วติ ามนิ มคี วามจาเปน็ อยา่ งมาก ต่อการดารงชีพ และการเจริญเตบิ โตเมอื่ เทียบกบั อาหารชนิดอนื่ รา่ งกายสตั ว์ตอ้ งการวิตามนิ น้อยมาก เพ่ือใหส้ ัตว์มคี วามเป็นอยตู่ ามปกติ มสี ุขภาพดี สตั ว์จะต้องได้รับวติ ามนิ เพยี งพอกบั ความต้องการ วิตามนิ แบง่ ตามสภาพการละลายได้ 2 กลุม่ คอื ww 1. วิตามนิ ท่ีละลายได้ในไขมนั (fat soluble vitamins) ได้แก่ วติ ามนิ เอ ดี อี และเค ตาม ธรรมชาติมนั จะอยู่ร่วมกับไขมันในวตั ถุดบิ อาหารสตั ว์ การดูดซึมต้องอาศัยน้าดี (bile) วติ ามนิ พวกน้ีสะสมใน รา่ งกายสัตวไ์ ด้ในรูปของเนอ้ื เยือ่ ไขมนั และสามารถดงึ มาใช้ได้ในยามรา่ งกายขาดอาหาร ww 2. วติ ามนิ ท่ลี ะลายได้ในน้า (water soluble vitamins) ที่สาคญั ได้แก่ วติ ามินบี 1 บี 2 บี 6 บี 12 และวติ ามินซี วิตามินพวกนลี้ ะลายนา้ ได้ ในอากาศมักพบในปริมาณทีม่ ากพอ ไม่สามารถสะสมใน ร่างกายสัตว์ได้ ถา้ สัตว์ได้รับมากเกนิ จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ยกเว้นวติ ามนิ บี 12 ซึ่งร่างกายสตั ว์สามารถ สะสมไว้ได้
ww 4.5.1 หน้าท่ขี องวิตามนิ วติ ามินมหี นา้ ท่ีดงั ตอ่ ไปน้ี ww 1. เป็นสว่ นประกอบของน้ายอ่ ยและช่วยใหน้ า้ ย่อยทางานไดเ้ ต็มที่ ww 2. ชว่ ยในการสร้างกระดกู เช่น วิตามนิ ดี และเอ ww 3. ชว่ ยให้เลือดแขง็ ตวั เช่น วิตามินเค w 4. ป้องกันการเหม็นหืนหรอื ไขมันแตกตวั เชน่ วิตามินอี w 5. ชว่ ยใหร้ ะบบสืบพนั ธุ์เป็นปกติ เช่น วิตามินเอ ดี และอี 6. ป้องกันการเกิดโรคในสตั ว์ 4.5.2 ลักษณะอาการขาดวิตามินชนิดต่าง ๆ w 1. ลกั ษณะอาการขาดวิตามินเอ ทาให้เกดิ โรคตาบอดในเวลากลางคืน (night blindness) กระดูกอ่อน และระบบสบื พนั ธุ์ผดิ ปกติ 2. ลักษณะอาการขาดวิตามินดี ทาให้เกดิ โรคกระดูกอ่อน (ricket) โรคกระดกู ผุ (osteomalacia) ระบบสืบพันธผ์ุ ดิ ปกติ 3. ลักษณะอาการขาดวติ ามินอี ทาใหเ้ กิดโรคกลา้ มเน้ือลีบ (muscular dystrophy) โรคประสาทในไก่ (crazy chick disease) 4. ลักษณะอาการชาดวติ ามินเค ทาให้โลหิตไหลไมห่ ยุด หรือเลือดไม่แข็งตัว (hemophilia) 5. ลกั ษณะอาการขาดวิตามินบรี วม ทาให้เกิดโรคเหน็บชาในคน (beri-beri) โรคแหงน ดดู าวในไก่ (star gazing) โรคขาอัมพาตในไก่ โรคโลหิตจาง ระบบน้ายอ่ ยทางานไมป่ กติ 6. ลกั ษณะอาการขาดวิตามนิ ซี ทาใหเ้ กิดโรคเลอื ดออกตามไรฟัน หรือโรคลกั ปดิ ลกั เปิด 4.6 แรธ่ าตุ (Minerals) แร่ธาตเุ ป็นสว่ นของโภชนะท่ีไม่เกิดขบวนการเผาไหม้อีกต่อไป หรือเรียกแร่ธาตุอีกอย่างวา่ ข้ีเถ้า (Ash) ในรา่ งกายสัตว์มแี รธ่ าตุอยู่ประมาณ 40 ชนดิ แต่ท่จี าเปน็ ตอ่ ร่างกายสตั ว์มีอยู่ 21 ชนดิ โดยแบง่ ออกเปน็ 3 กลมุ่ ตามความจาเป็นต่อสตั ว์ ดงั น้ี แรธ่ าตทุ ี่สตั ว์ต้องการมาก ได้แก่ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม คลอรีน โปแตสเซียม กามะถัน และแมกนเี ซยี ม แร่ธาตทุ สี่ ตั ว์ต้องการน้อย ไดแ้ ก่ เหลก็ แมงกานีส สังกะสี ทองแดง ไอโอดนี โมลิบดนิ ่ัมและโค บอลล์ แรธ่ าตุทีส่ ัตวต์ อ้ งการน้อยมาก ไดแ้ ก่ ซีลีเนียม ฟลูออรนี โบรอน โครเมียม ซลิ ิกอน นิกเกิล และ อลมู เิ นียม
4.6.1 หน้าท่ีของแรธ่ าตุ แรธ่ าตมุ หี นา้ ทห่ี ลายประการดังต่อไปน้ี ww 1. เปน็ ส่วนประกอบท่ีสาคัญของโครงสรา้ งร่างกายสตั วใ์ นสัตว์ท่ีกาลงั เจริญเติบโต แคลเซียมมีความจาเป็นในการสร้างกระดูก ในไกไ่ ข่แคลเซียมจาเปน็ ในการสรา้ งเปลือกไข่ 2. เปน็ ตัวเร่งปฏกิ ิริยาชีวเคมี โดยเป็นองค์ประกอบของน้าย่อย 3. เปน็ องค์ประกอบของของเหลวในรา่ งกาย 4. มคี วามจาเป็นต่อระบบการทางานของประสาท 5. เป็นส่วนประกอบของฮอรโ์ มนและวิตามิน 6. รักษาสมดุลของน้าในรา่ งกายและความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งในรา่ งกาย 7. ควบคมุ การหดรัดตวั ของกลา้ มเน้ือ 8. ชว่ ยในการแข็งตัวของเลือด 4.6.2 แหล่งของแร่ธาตุ แหล่งของแร่ธาตุในอาหารสตั ว์ ไดแ้ ก่ เปลือกหอยปน่ หินปนู ป่น กระดูกป่น และแกลบกงุ้ เปน็ ต้น 5. การจาแนกวตั ถดุ ิบอาหารสัตว์ วตั ถดุ บิ อาหารสัตว์ (feedstuffs) หมายถงึ สารใด ๆกต็ ามท่ีให้โภชนะท่ีเกิดประโยชนแ์ กส่ ัตว์ท่ีกินเข้า ไปโดยวตั ถุดิบอาหารสตั ว์อาจไดม้ าจากแหล่งธรรมชาติ เช่น พชื สตั ว์ ฯลฯ หรอื อาจได้จากการสังเคราะห์ทาง เคมี เช่น กรดอะมิโน วติ ามนิ ตา่ ง ๆ หรือทางชีววิทยา เช่น โปรตีน จากพืชหรอื สัตว์เซลล์เดยี วก็ได้ ซง่ึ จรสั สวา่ งทพั (2539) ไดจ้ าแนกวัตถุดบิ อาหารสัตวอ์ อกเปน็ 3 กลมุ่ ใหญ่ ดังน้ี 5.1 อาหารหยาบ (roughages) อาหารหยาบ หมายถงึ วตั ถุดบิ ทม่ี โี ภชนะต่อหน่วยน้าหนกั ตา่ มีเย่ือใยสูงกว่า 18 เปอร์เซน็ ต์ แบง่ ออกเป็น 3 พวก คือ ww 5.1.1 อาหารหยาบสด (green roughages หรอื green forages) อาหารหยาบท่ีอยู่ใน สภาพสด มีความชนื้ สงู 70–85 เปอร์เซ็นต์ ไดแ้ ก่ พืชท่ีตดั สดมาให้สัตว์กนิ (soilage) และพืชอาหารสตั ว์ในทุง่ ทส่ี ัตว์เข้าไปแทะเล็ม (pasture) อาหารหยาบสดประกอบด้วย ww 1. พืชตระกลู หญา้ (gramineae) ไดแ้ ก่ หญา้ ขน (para grass หรือ mauritius grass) หญา้ กินนี (guinea grass) หญา้ เนเบียร์ (napier grass) หญ้ารูซี่ (ruzi grass) ฯลฯ พืชตระกลู หญ้าเป็นพืชที่ให้ คารโ์ บไฮเดรตเป็นหลัก (แปง้ หรือเย่อื ใย) บางทีจงึ เรียกว่า carboneceous plants
หญ้าขน หญา้ รซู ่ี หญา้ กินนี หญา้ เนียเปยี ww 2. พืชตระกลู ถัว่ (leguminosae) ไดแ้ ก่ ถั่วลายหรอื ถวั่ เซนโตรซมี า (centrosema) ถ่ัวชีราโตร (siratro) ถวั่ สไตโล (stylo) ฯลฯ พชื ตระกลู ถัว่ จะใหค้ ุณค่าทางโภชนะ เช่น โปรตีน สูงกวา่ พชื อนื่ มกั นิยมปลูกผสมกับหญ้าทาเปน็ ท่งุ หญ้าผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าทางอาหารใหแ้ ก่สตั ว์ บางทีจึงเรยี กว่า proteineceous plants ww
3. พืชอาหารอืน่ ๆ (others) ได้แก่ ผักตบชวา (water hyacinth) ต้นขา้ วโพด (corn stem) ต้นขา่ วฟา่ ง (sorghum stem) ฯลฯ ww 5.1.2 อาหารหยาบแหง้ (dry roughages หรอื dry forages) อยู่ในรูปทีม่ ีความช้นื ไม่ เกนิ 15 เปอรเ์ ซน็ ต์ เพ่ือจดุ ประสงคใ์ นการเกบ็ รักษาไวใ้ ช้ในยามขาดแคลนอาหาร โดยนาเอาอาหารหยาบสด มาระเหยความชื้นออกด้วยการตากแดด 2–3 แดด หรือการอบดว้ ยความร้อนให้เหลือความชน้ื ไม่เกิน 15 เปอรเ์ ซน็ ต์ ซ่งึ อยใู่ นสภาพท่เี ชื้อราและราเมือกเจรญิ ไดย้ าก จึงสามารถเก็บไดน้ านข้ึน ตัวอย่างของอาหารหยาบ แหง้ ไดแ้ ก่ พชื โอชาหรือ พชื แห้ง (hay) เปน็ พืชทเ่ี ก็บเกยี่ วในระยะที่มคี ุณค่าทางอาหารสงู แลว้ นามาระเหย ความช้ืนออกไป นอกจากนี้อาหารหยาบแหง้ ยงั รวมถึงฟางข้าว (rice straws) อกี ดว้ ย หญ้าแห้ง ww 5.1.3 อาหารหยาบหมัก (ensile roughages หรือ ensile forages) อยูใ่ นรปู ท่ีมี ความชื้น 70–75 เปอรเ์ ซน็ ต์ ระดบั pH ประมาณ 4.2 ในหลุมหมกั ที่มีสภาพไร้ออกซเิ จนเพือ่ จดุ ประสงค์ในการ เก็บรกั ษาไวใ้ ช้ในยามขาดแคลนอาหาร และสามารถเกบ็ รกั ษาไว้ไดน้ านนับสิบปถี ้าไม่เปดิ หลุมหมกั โดยการนา อาหารหยาบสดที่เก็บเกย่ี วในระยะคุณค่าทางอาหารสูง และมปี ริมาณของ คาร์โบไฮเดรตมากพอ มคี วามช้ืน 70–75 เปอรเ์ ซ็นต์ นามาสบั เป็นท่อนเลก็ ๆ บรรจอุ ดั แนน่ ลงหลมุ หมักหรอื บ่อหมัก (silo) ปดิ ปากหลุมหมักให้ สนิทแน่นปอ้ งกันไม่ให้อากาศเลด็ ลอดเข้าไป ประมาณ 21 วนั ขบวนการหมักก็จะเสร็จสมบรู ณ์ ตัวอย่าง อาหารหยาบหมัก ได้แก่ พชื หมกั (silage) แตถ่ า้ ใชอ้ าหารหยาบสดทีม่ ีความชน้ื 55- 60 เปอรเ์ ซน็ ตม์ าทาการ หมกั เรยี กวา่ พืชหมกั แห้ง (haylages) ในประเทศไทยหลุมหมกั ทีน่ ยิ มใช้กันมาก คอื หลมุ หมักแบบวางนอนใตด้ ิน (trench silo)
หญา้ หมกั แบบใสถ่ งุ ดา 5.2 อาหารข้น (concentrate) wwอาหารข้น หมายถงึ วัตถุดบิ ทมี่ คี วามเข้มขน้ ของโภชนะตอ่ หน่วยนา้ หนักสงู มเี ย่อื ใยตา่ กวา่ 18เปอร์เซ็นต์ แบง่ ออกเปน็ 2 พวก ไดแ้ ก่ w 5.2.1 อาหารหลักหรืออาหารพลังงาน (basal feed หรือ energy feed) คอื วตั ถุดิบที่มี พลงั งานสูงหรอื มคี าร์โบไฮเดรตมาก มโี ปรตีนตา่ กว่า 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ ทีเ่ รยี กว่า “อาหารหลกั ” เพราะเป็น วตั ถุดิบท่ใี ชใ้ นปริมาณมากถึง 50–80 เปอร์เซน็ ต์ ในการประกอบสูตรอาหารสตั ว์ ไดแ้ ก่ ww 1. ได้จากพืช ไดแ้ ก่ ธัญพืช เช่น ข้าวโพด ขา้ วฟา่ ง ปลายข้าว ราละเอยี ด เปน็ ต้น พชื หัว เช่น มนั สาปะหลงั (มันเส้น) มันเทศ เป็นตน้ และน้ามันพืชตา่ ง ๆ w 2. ไดจ้ ากสัตว์ เชน่ ไขมนั โค–กระบือ (tallow) ไขมนั สุกร (lard) เป็นต้น ww 3. อ่นื ๆ เชน่ กากนา้ ตาล (molasses) เป็นตน้ 5.2.2 อาหารเสรมิ (supplements) คือ วตั ถุดบิ ท่ีเสรมิ ลงไปในอาหารหลกั ในการ ประกอบสตู รอาหารสตั วเ์ พ่อื ให้มีโภชนะครบสมบูรณต์ ามความต้องการของสตั ว์ แบง่ ยอ่ ยออกเปน็ ww 5.2.2.1. อาหารเสริมโปรตีน (protein supplements) คือ วัตถุดบิ ที่เปน็ แหล่ง โปรตนี มโี ปรตนี มากกว่า 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ ได้แก่ ww 1. ไดจ้ ากพชื ได้แก่ ผลพลอยได้จากขบวนการแปรรปู อาหาร พลังงาน เชน่ ส่าเหล้า ผล พลอยไดจ้ ากอุตสาหกรรมพชื น้ามัน เช่น กากถั่วเหลอื ง กากถั่วลสิ ง กากมะพร้าว กากเมล็ดฝา้ ย กากเมล็ดนุ่น กากเมล็ดปาลม์ กากเมล็ดยางพารา เปน็ ตน้ ใบพชื ต่าง ๆ คือ ใบกระถิน ใบมันสาปะหลงั ใบปอ เป็นตน้ ww 2. ได้จากสตั ว์ เชน่ ปลาป่น เนือ้ ปน่ เลอื ดปน่ เคร่ืองในป่น ขนไกป่ น่ เป็นตน้ ww 3. ไดจ้ ากการสงั เคราะห์ เช่น โปรตีนจากพืชหรอื สัตว์เซลล์เดยี ว (single cell proteins) เช่น ยสี ต์ เป็นต้น กรดอะมโิ นสังเคราะห์ เช่น ไลซีน เมทไธโอนีน ฟินลิ อะลานนี เป็นต้น ww 5.2.2.2 อาหารเสรมิ แรธ่ าตุ (mineral supplements) คือ วตั ถดุ บิ ท่มี ีความ เขม้ ขน้ ของแรธ่ าตสุ งู เสริมลงไปในอาหารหลกั เพื่อให้มีแรธ่ าตคุ รบสมบูรณต์ ามความต้องการของสตั ว์ ได้แก่
ww 1. วตั ถดุ บิ ที่เปน็ แหลง่ ของแคลเซยี ม เชน่ หนิ ปูน (CaCO3) ปนู ขาว (CaO) เปลือกหอยป่น ww 2. วตั ถุดบิ ทเ่ี ปน็ แหลง่ ของแคลเซยี มและฟอสฟอรสั เช่น กระดูกป่น ไดแคลเซยี มฟอสเฟต ww 3. วตั ถดุ ิบที่เปน็ แหลง่ ของโซเดียมและคลอรีน เช่น เกลอื ทะเล ww 4. วัตถดุ ิบทีเ่ ปน็ แหล่งของโปตสั เซียม เชน่ กากน้าตาล ww 5.2.2.3 อาหารเสริมวติ ามิน (vitamin supplements) คือ วตั ถดุ บิ ทมี่ ีความ เขม้ ขน้ ของวติ ามินสูง เสริมลงไปในอาหารหลักเพอ่ื ให้วติ ามินครบสมบูรณ์ตามความต้องการของสัตว์ ไดแ้ ก่ ww 1. วตั ถดุ ิบที่เปน็ แหลง่ ของวิตามินเอ เชน่ พชื สเี ขียวที่มีแคโรทีน w w 2. วตั ถุดบิ ท่เี ป็นแหล่งของวติ ามนิ ดี เชน่ พชื แหง้ แบบตากแดด (field cured hay) ww 3. วัตถดุ บิ ท่เี ป็นแหล่งของวติ ามนิ อี เชน่ ราละเอยี ด ww 4. วตั ถุดิบทเี่ ป็นแหลง่ ของวติ ามินเค เช่น ใบกระถิน 5. วัตถุดิบท่ีเปน็ แหลง่ ของวิตามินซี เชน่ ผลไมร้ สเปร้ียว (citrus fruits) 6. วตั ถดุ บิ ทเ่ี ปน็ แหลง่ ของวิตามินบีรวม เช่น ธญั พืช พืชสีเขยี ว 5.3 สารเสรมิ อาหาร หรือวัตถเุ ติมในสูตรอาหารสัตว์ (feed additives) wwไมใ่ ช่โภชนะโดยตรง เปน็ สารทีเ่ ติมลงไปในอาหารเพ่ือชว่ ยปรบั ปรงุ คณุ ภาพอาหาร ทาให้สัตว์ใชป้ ระโยชน์ จากอาหารได้มากขนึ้ ใชเ้ สริมในสตู รอาหารสตั วเ์ พ่ือจุดประสงคต์ า่ ง ๆ ดังน้ี ww 1. เพ่ือยบั ยง้ั การเจริญเตบิ โตของจลุ นิ ทรีย์ เช่น ยาปฏชิ วี นะ อาทิ เพนิซิลลิน (penicillin) อ๊อกซีเต ตราไซคลีน (oxytetracycline) รเู มนซิน (rumensin) เปน็ ต้น ww 2. เพือ่ เร่งการเจรญิ เตบิ โต เชน่ ฮอร์โมนสังเคราะห์หรอื สารคลา้ ยฮอรโ์ มน อาทิ ไดเอทธลิ สทลิ เบส ทรอล (diethyl stilbestrol ; DES) เมเลนเจสทรอล อาซีเตท (melengestrol acetate ; MGA) ซินโนเวกซ์ (synovex) เชอรานอล (zeranol) หรือราลโกร (ralgro) ww 3. เพอ่ื ถ่ายพยาธิ เชน่ ไทอาเบนดาโซล (thiabendazole) ปเิ ปอราซีน (piperazine) ww 4. เพอ่ื ปรงุ รสชาติ เช่น กากน้าตาล (molasses) ww 5. เพอ่ื ป้องกนั หืน เชน่ เอทธอไซควิน (ethoxyquin) บวิ ทเี ลทไฮดรอกซีโทลนี (butylated hydroxy toluene ; BHT) บวิ ทเี ลทไฮดรอกซีอานีโซล (butylated hydroxy anisole ; BHA) ww 6. เพอ่ื ป้องกันเช้ือรา เช่น เบนโซเอท (benzoate) ควิโนซาลนี (quinoxalene) ww 7. เพอ่ื ป้องกนั โรคบดิ (coccidiostat) เชน่ แอมโพรเลยี ม (amprolium) บิวทีโนเรท (butynorate) ww 8. เพอื่ รกั ษาโรค เชน่ ฟูราโซลีโดน (furazolidone) จุนสี (copperas) 6. สารพิษและสารยับย้ังการเจรญิ เติบโตในอาหารสตั ว์ ในวตั ถดุ บิ อาหารสตั ว์บางชนิดอาจมีสารพษิ หรือสารยบั ยง้ั การเจรญิ เติบโตอยู่ สว่ นใหญ่แล้วสารเหลา่ น้ี
เปน็ สารท่พี ืชผลติ ข้นึ มาหรือพืชอาจดูดซึมมาจากดนิ แลว้ สะสมตกคา้ งอยู่ เมอื่ สัตว์กนิ เขา้ ไปจะมผี ลชะงักการ เจริญเติบโต สตั วอ์ าจแสดงอาการเปน็ พิษและอาจถึงตายได้ ดังนั้น ผ้เู ลยี้ งสัตว์จาเปน็ จะตอ้ งทราบว่ามวี ตั ถุดบิ ชนิดใดบ้างทีม่ ีสารพิษตกคา้ งอยภู่ ายใน เม่ือทราบแลว้ ก็หาวธิ ีแก้ไขให้วตั ถุดิบเหล่าน้นั มคี วามปลอดภยั เมื่อสตั ว์ กนิ เขา้ ไป นอกจากพษิ จะอยู่ในพืชแลว้ แร่ธาตุบางชนดิ กเ็ ปน็ พิษต่อสัตว์ได้เชน่ กัน สารพษิ และสารยับยัง้ การ เจรญิ เติบโตในอาหารสัตวม์ หี ลายชนดิ ดงั นี้ 6.1 สารพษิ อะฟลาทอกซิน (aflatoxin) อะฟลาทอกซินมกั พบในเมลด็ พชื สตั วท์ ่ีไดร้ ับพิษของอะฟลาทอกซินเขา้ ไป สตั ว์จะกินอาหาร ไดน้ ้อยลง เตบิ โตช้า ซมึ ซดี เกดิ อาการดีซ่าน วิธแี ก้ไขไมใ่ ห้เกดิ อะฟลาทอกซนิ วิธที ง่ี ่ายและประหยดั ท่ีสดุ กค็ ือ นาวัตถดุ ิบอาหาร เช่น ขา้ วโพด ขา้ วฟา่ ง มนั ถ่ัวตา่ ง ๆ ไปตากแดดให้แหง้ สนิทให้เหลือความช้นื ไมเ่ กนิ 12 เปอร์เซ็นต์ จะแก้ปญั หาการเกิดพิษอะฟลาทอกซนิ ได้ 6.2 สารพิษไมโมซิน (minosine) ไมโมซินเปน็ สารพิษที่มอี ยู่ในใบกระถนิ พิษของไมโมซนิ จะทาให้เกิดโรคคอพอกในสัตว์ เนอื่ งจากรา่ งกายไม่ผลติ ฮอร์โมนไทรอกซนิ ในสตู รอาหารสัตว์ถ้าเปน็ สัตว์ปีกไมค่ วรเกิน 5 เปอรเ์ ซ็นต์ ในสุกร ไม่ควรเกนิ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์ และในอาหารโค กระบือ ไม่ควรเกนิ 50 เปอรเ์ ซ็นต์ การทาลายพษิ ของไมโมซิน ทา ไดโ้ ดยใช้ความรอ้ นอบใบกระถินทอ่ี ุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส นาน 12 ชั่วโมง 6.3 สารพษิ แทนนิน (tannin) แทนนินพบในพชื อาหารสตั ว์หลายชนดิ โดยเฉพาะพืชตระกลู หญา้ เชน่ ข้าวฟา่ ง และในพชื ตระกลู ถ่ัว จะมีรสฝาด ขม ทาให้ความนา่ กินลดลง แทนนนิ จะทาใหโ้ ปรตีนตกตะกอน การยอ่ ยได้ของโปรตีน ลดลง เพราะจะไประงบั การทางานของเอนไซม์อะไมเลส ทริปซนิ และไลเปส อาจจะทาใหส้ ัตว์ท้องอดื เน่ืองจาก โปรตีนไมย่ ่อยได้ การลดพิษของแทนนินอาจทาได้โดยการบดเมลด็ ขา้ วฟ่างใหเ้ ล็กลง หรือใช้ความรอ้ น 70–80 องศาเซลเซียส ก็ทาใหพ้ ษิ แทนนินลดลง ในสตู รอาหารสตั วค์ วรใช้ขา้ วฟา่ งเป็นสว่ นผสมได้ไม่เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ 6.4 สารพษิ ไซยาไนด์ (cyanide) ไซยาไนดม์ อี ยู่ในมันสาปะหลงั ขา้ วโพด และพชื ตระกลู ถวั่ บางชนิด เม่ือสตั วก์ ินพืชทม่ี ีสารนี้ เขา้ ไป น้าย่อยในกระเพาะจะไปทาใหเ้ กดิ กรดไฮโดรไซยานิก ซ่ึงเปน็ สารพิษ ส่วนของใบพชื จะมีสารนี้อยู่ มากกว่าส่วนของลาตน้ และหัว พิษของกรดไฮโดรไซยานกิ จะทาใหร้ ะบบประสาทส่วนกลางถกู ทาลายอาจทาให้ สตั ว์ชอ็ คตายได้ การแก้ไขไม่ให้เกิดพิษของไฮโดรไซยานิกทาได้ โดยสบั มันสาปะหลงั เป็นช้นิ เลก็ ๆ แล้วตาก แดด 3–4 แดด จนแหง้ กจ็ ะทาลายพิษของไฮโดรไซยานกิ ได้
6.5 ทริปซนิ อนิ ฮบิ เิ ตอร์ (trypsin inhibitor) ทริปซนิ อนิ ฮิบเิ ตอร์เปน็ สารยับยงั้ การเจริญเติบโตของสัตว์ มีอย่ใู นเมล็ดถัว่ เหลืองดบิ จะ ยบั ย้ังการทางานของเอนไซม์ทรปิ ซนิ ในการย่อยโปรตนี ทาใหก้ ารย่อยไดข้ องโปรตีนลดลง สตั วจ์ ะเกิดอาการ ทอ้ งอืด วธิ แี ก้ไขคือ ตอ้ งอบหรอื นง่ึ ถ่วั เหลอื งให้สุกที่อณุ หภูมิ 100 องศาเซลเซยี ส นาน 20 นาที กจ็ ะทาลาย พษิ ทรปิ ซนิ อินฮบิ เิ ตอร์ได้ 6.6 กอสไซปอล (gossypol) กอสไซปอลเป็นสารพิษท่ีมีอยู่ในต่อมสีของเมลด็ ฝ้ายถ้าสัตว์ไดร้ บั เข้าไปมาก ๆอาจทาให้สัตว์ ตายไดโ้ ดยเฉพาะสัตว์กระเพาะเดี่ยวพิษของกอสไซปอลจะทาให้สตั วก์ นิ อาหารลดลงอตั ราการเจรญิ เตบิ โตและ ประสทิ ธิภาพการเปล่ียนอาหารลดลง พษิ ของกอสไซปอลจะทาใหส้ ัตว์หวั ใจวายและตายได้ การแก้ไขการเปน็ พิษจะเสรมิ เหล็กซัลเฟตในอาหารทม่ี กี อสไซปอลประมาณ 4 เท่าของกอสไซปอลท่ีมอี ยู่ 6.7 แร่ธาตุตา่ ง ๆ ท่เี ป็นพิษ แรธ่ าตุเป็นพิษเกิดเนื่องจากสัตวไ์ ดร้ ับแรธ่ าตมุ ากเกนิ ไป อาจจะจากอาหารพชื ที่ปลูก ใน บรเิ วณท่ีมแี รธ่ าตบุ างชนดิ สะสมอยมู่ าก หรอื อาจไดจ้ ากสภาพแวดล้อมโดยหายใจเข้าไปแล้วเกดิ การสะสมพิษ จนถงึ ขดี อนั ตราย ได้แก่ ปรอท ตะก่วั ฟลูออรนี โมลบิ ดนี มั ซีลเี นียม นอกจากน้ยี งั มีกลมุ่ สารทก่ี อ่ ให้เกิด สารพิษ เชน่ ไนเตรต ออกซาเลต 7. วัตถดุ บิ อาหารสัตวเ์ บื้องตน้ 7.1 วัตถุดบิ อาหารสัตว์ประเภทพลังงาน 7.1.1 ขา้ วโพด คุณสมบตั ิ ข้าวโพด เป็นแหลง่ พลังงานท่สี าคญั ในอาหารไก่ และสุกรโดยเฉพาะในอาหารไก่ จะนิยมใชม้ ากเพราะนอกจากเปน็ แหลง่ ใหพ้ ลังงานแล้วในข้าวโพดเมล็ดสีเหลอื งยังมีแคโรทนี ซึง่ ช่วยทาใหส้ ี ของเน้ือไก่ และไข่แดงเข้มขน้ึ ตามความนยิ มของผบู้ ริโภคอีกด้วย ขอ้ จากดั ในการใช้ โดยทวั่ ไปสามารถใชข้ ้าวโพดเล้ียงสุกร หรือสตั วป์ ีกโดยไม่มขี ้อจากดั แต่ใน สุกรขุนการใชข้ ้าวโพด ในระดับ สูงอาจทาใหส้ กุ รมีลกั ษณะมันเหลวซึง่ ไมเ่ ปน็ ทต่ี อ้ งการของตลาดนอกจากน้ี จะตอ้ งระมดั ระวัง เลอื กใช้ขา้ วโพดท่มี คี ุณภาพดี ไม่มีราขนึ้ โดยเฉพาะใช้เปน็ อาหารเป็ด เพราะเป็ดมคี วาม ทนทานต่อ สารพษิ อะฟลาท็อกซนิ ได้ค่อนข้างต่า ข้อแนะนาในการใช้ ควรบดเมล็ดข้าวโพดให้ละเอยี ดก่อนนาไปผสมเปน็ อาหารสตั วเ์ พราะ สัตว์ไม่สามารถย่อย เมล็ดข้าวโพดทงั้ เมลด็ ได้
ภาพท่ี 1 ข้าวโพด 7.1.2 ปลายข้าว คุณสมบัติ เปน็ ผลพลอยได้จากการสขี ้าว ซง่ึ จะได้สว่ นของปลายข้าว ประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ ปลายข้าวจดั ได้ว่าเป็นวตั ถดุ บิ ใหพ้ ลังงานท่ีมคี วามสาคัญยง่ิ มีอยูท่ ัว่ ทกุ ภาคของประเทศไทย ให้ พลงั งานสูง มพี ลงั งานใช้ประโยชน์ไดใ้ นสุกรและสตั วป์ กี เทา่ กบั 3,596 และ 3,500 กโิ ลแคลอร่ี/กโิ ลกรมั มี โปรตนี ประมาณ 8 เปอรเ์ ซน็ ต์ มไี ขมนั และเยื่อใยต่า เกบ็ ไวใ้ ช้ได้นานโดยไม่หืน ข้อจากดั ในการใช้ สามารถใช้ได้อย่างเต็มท่ใี นสูตรอาหารสกุ ร และสตั วป์ ีก โดยไม่มขี ้อจากัด ขอ้ แนะนาในการใช้ ไม่ควรใช้ปลายขา้ วเหนียวล้วน ๆ ในสตู รอาหารสกุ ร เพราะจะทาใหส้ กุ ร ท้องผกู หรือถา้ ใช้ปลายข้าวเหนยี วล้วน ๆ ในสูตรอาหารก็ควรเติมวตั ถดุ บิ ที่ชว่ ยระบาย เช่น ราละเอียดควร เลือกใชป้ ลายข้าวที่มขี นาดเม็ดเล็ก เพราะสกุ รและสัตว์ปีกจะย่อยได้ดีกวา่ ปลายขา้ วทม่ี ีขนาดเม็ดใหญ่ ภาพที่ 2 ปลายขา้ ว 7.1.3 ราละเอยี ด คณุ สมบัติ เปน็ ผลพลอยได้จากการสีขา้ วเป็นวัตถุดิบอาหารสตั วช์ นิดหนง่ึ ทใ่ี ช้กันมากในการ ประกอบสตู รอาหารสุกรหรอื สตั วป์ ีก โปรตีนประมาณ 12 เปอร์เซ็นต์ แต่ถา้ เปน็ ราท่ีไดจ้ ากโรงสีขนาดกลาง หรือเลก็ ซงึ่ เรียกกนั โดยท่วั ไปว่า ราปนิ่ แก้ว จะมโี ปรตีนตา่ ประมาณ 7 เปอรเ์ ซ็นตเ์ น่ืองจากมีส่วนของแกลบปน อยมู่ ากมไี ขมันสูง 12-13 เปอรเ์ ซน็ ต์ ทาใหห้ นื ง่าย เก็บไวไ้ ม่ไดน้ าน มไี วตามินบี ชนดิ ต่าง ๆ สงู ยกเวน้ ไนอะซนี ซงึ่ อยใู่ นรูปที่สัตวใ์ ชป้ ระโยชนไ์ ด้นอ้ ยมคี ุณสมบตั เิ ป็นยาระบาย ถ้าใชเ้ ปน็ สว่ นประกอบในสตู รอาหารสัตว์ใน ปริมาณท่สี งู จะทาใหส้ ัตว์ถา่ ยอจุ จาระเหลว
ขอ้ จากดั ในการใช้ ไม่ควรใชป้ ระกอบสตู รอาหารสุกรเลก็ ระยะหยา่ นม ถึง 10 สัปดาห์ เน่อื งจากมี ปริมาณเย่ือใยสงู ขอ้ แนะนาในการใช้ ควรใชร้ าละเอียดทีใ่ หม่ ไม่มีกลิน่ หืน ไมค่ วรเกบ็ ราละเอยี ดไวน้ านเกิน 30-40 วนั เพราะราละเอียดจะเร่ิมหืนสตั วไ์ ม่ชอบกนิ ในสุกรระยะเจริญเตบิ โต (น้าหนัก 20-60 กก.) ไม่ควรเกิน 30 เปอรเ์ ซ็นต์ในสตู รอาหาร สามารถใช้ราละเอยี ด ผสมในอาหารสกุ รพอ่ แม่พันธ์ไุ ด้มากกว่า 30 เปอรเ์ ซ็นต์ในสูตร อาหาร ในอาหารไก่เนอื้ ไมค่ วรใชร้ าละเอยี ดเกิน 10 เปอร์เซ็นตใ์ นสตู รอาหาร เลอื กซื้อราท่ีใหม่ และไม่มีการ ปลอมปนดว้ ย วสั ดุต่าง ๆ เชน่ ดนิ ขาวปน่ หินฝุ่น ซงั ข้าวโพดบดละเอยี ด เปน็ ต้น ภาพท่ี 3 ราละเอยี ด 7.1.4 มนั สาปะหลงั a คณุ สมบตั ิ มนั สาปะหลังเป็นพืชหัวท่นี ยิ มปลูกกนั มากนอกจากใชเ้ ล้ียงสัตว์ภายในประเทศ แล้วยงั มีเหลือพอ สาหรบั สง่ ออกไปขายยังตา่ งประเทศเป็นจานวนมาก มนั สาปะหลังท่ีนามาใชเ้ ล้ยี งสัตว์ โดยท่ัวไปจะอยู่ในรูปของมนั เส้นซ่ึงทาได้ โดยการนาหวั มนั สาปะหลังสดมาหั่นเป็นชน้ิ เล็ก ๆ แลว้ ผึ่งแดดใหแ้ ห้ง ประมาณ 3-5 วัน ส่วนมนั สาปะหลงั ที่สง่ ออกไป จาหน่ายยังต่างประเทศน้ันมักจะอยู่ในรูปของมันอดั เม็ด มี แห้งประมาณ 75-80 เปอรเ์ ซ็นต์ มพี ลงั งานใกลเ้ คียงกบั ข้าวโพด มีโปรตีนต่าประมาณ 2 เปอรเ์ ซ็นต์ ขอ้ จากัดในการใช้ ไม่สามารถใช้มันสาปะหลงั สดเลีย้ งสตั ว์ เน่ืองจากมสี ารพษิ กรดไฮโดรไซ ยานคิ ตอ้ งนาไปผา่ นขบวนการลดสารพษิ ลงก่อน โดยการทาเปน็ มันเสน้ หรือมันหมัก ต้องเสรมิ โปรตีนคุณภาพดีในสูตรอาหารมันเสน้ สูง เนือ่ งจากมันเส้นมีระดับโปรตีนตา่ ทาให้ราคาอาหารผสม สงู ข้นึ ด้วย ซงึ่ เป็นเหตผุ ลหนึง่ ท่ที าให้เกษตรกรไม่คอ่ ยนยิ มใชม้ ันสาปะหลัง ยกเว้นในชว่ งทม่ี รี าคาถูกมาก มัน เส้นหรือมนั หมัก ยงั คงมสี ารพิษหลงเหลอื อยู่ ไม่ควรใช้เกิน 20 เปอรเ์ ซ็นต์ ในสตู รอาหารสกุ รเลก็ และลกู ไก่ เล็ก
ภาพท่ี 4 มันสาปะหลัง ขอ้ แนะนาในการใช้ ตอ้ งบดใหล้ ะเอียดกอ่ นนาไปผสมอาหารเลีย้ งสตั ว์ สูตรอาหารทใี่ ชม้ ัน เส้นบด จะมคี วามเปน็ ฝ่นุ มาก ควรเสริมไขมนั ในระดบั 1-3 เปอรเ์ ซ็นต์ หรอื อาจจะใชว้ ธิ ีอัดเมด็ อาหาร หรือให้ อาหารแบบเปยี ก ควรเลือกใช้มันเสน้ เมอ่ื มรี าคาถูกมากกว่า ข้าวโพดหรือปลายข้าว 7.2 วตั ถุดบิ อาหารสัตว์ประเภทโปรตนี 7.2.1 ปลาปน่ คุณสมบัติ มีโปรตนี สูงประมาณ 50-60 เปอร์เซน็ ต์ ข้นึ อย่กู ับชนิดของปลาและขั้นตอนการ ผลิตปลาปน่ มกี รดอะมิโน ไลซนี และเมทไธโอนีนสูง มีธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัสสงู มีไวตามินบสี ูง โดยเฉพาะไวตามินบี 12 และ บี 2 ข้อจากัดในการใช้ มรี าคาแพง มีการปลอมปนดว้ ยวัสดอุ ่นื ทมี่ รี าคาถกู อาทิ ทราย เปลือก หอยบด ยูเรยี ขนไก่ เป็นต้น ทาให้คณุ คา่ ทางอาหารลดลง จะต้องระมัดระวงั ในการนามาใช้ การใช้ปลาปน่ ระดับสูงเกนิ กวา่ 10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากจะทาให้อาหารผสมมีราคาแพงแลว้ ยงั มผี ลทาใหเ้ นอ้ื สกุ ร และไข่กลน่ิ คาวปลาด้วย ปลาปน่ มีคุณภาพไม่สมา่ เสมอ มโี ปรตีนแตกต่างกันมาก ต้องระวังในการเลือกซื้อปลาปน่ ให้ได้ คณุ ภาพตามต้องการ มฉิ ะนั้นจะมีผลทาให้สูตรอาหารที่คานวณไวไ้ มเ่ พยี งพอกับความต้องการของสัตว์ได้ ข้อแนะนา ในการใช้ ปลาปน่ มหี ลายเกรดแบ่งตามคุณภาพ ผ้ซู ้ือควรเลือกใหด้ ี ภาพที่ 5 ปลาป่น 7.2.2 กากเมลด็ ฝา่ ย
คณุ สมบตั ิ โปรตีนสูงประมาณ 41 เปอรเ์ ซน็ ต์ แต่คุณภาพต่ากว่ากากถ่ัวเหลือง ข้อจากัดในการใช้ มสี ารพษิ กอสซปิ อล ทาให้ไม่สามารถใช้ได้ในระดับสงู ข้อแนะนาในการใช้ การใช้กากเมลด็ ฝ้ายผสมอาหารจะต้องระวงั ในเร่ือง การขาดกรดอะมิโนไลซนี ไม่ควรใชเ้ กนิ 5 เปอรเ์ ซ็นต์ ในสูตรอาหารสกุ รและสัตว์ปกี ไม่ควรใช้กาก เมลด็ ฝา้ ยผสมในอาหารสุกรเล็กและอาหารไก่ไข่ ภาพที่ 6 กากเมล็ดฝา่ ย 7.2.3 ใบกระถนิ คณุ สมบัติ ใบกระถินล้วน ๆ แหง้ ป่นมีโปรตีนสงู ประมาณ 20-24 เปอร์เซ็นต์ มเี ยอื่ ใยสูง มี สารพิษที่เรียกว่าไมโมซีนมีสารเบต้าแคโรทนี ซึง่ เปน็ แหลง่ ของไวตามนิ เอ และสารแซนโทฟลิ ล์ ซง่ึ เปน็ สารใหส้ ี สาหรับไข่แดงและเนื้อสัตว์ ขอ้ จากดั ในการใช้ เยือ่ ใยสงู ทาให้ใช้ผสมในสตู รอาหารสตั ว์ไดใ้ นระดบั ตา่ มีสารพิษไมโมซีน ทเี่ ปน็ พษิ ต่อสตั ว์ ถ้าใช้ในระดับสูงจะทาใหส้ ัตว์โตชา้ ขนร่วงและความสมบูรณ์พนั ธตุ์ ่า ให้พลังงานต่า จะต้องใช้ ร่วมกบั วัตถดุ บิ ทใี่ ห้พลงั งานสูง ขอ้ แนะนาในการใช้ ควรใชใ้ บกระถนิ ยักษ์ เพราะมีสารพิษไมโมซีนต่ากวา่ ใบกระถินพืน้ เมือง ทาให้ ใช้ได้ในระดับสูงกวา่ ใบกระถินพื้นเมือง ใบกระถินแห้งหรือผ่งึ แดดจะชว่ ยลดปริมาณสารพิษลงได้ ใบกระถินแช่ น้านาน 24 ช่วั โมง และผง่ึ แดดใหแ้ หง้ ช่วยลดปรมิ าณสารพิษไดด้ ีและสามารถ ใชใ้ นสตู รอาหารได้ในระดบั สงู ถึง 20 เปอร์เซน็ ต์ ภาพท่ี 7 ใบกระถนิ
7.2.4 กากเบียร์ คุณสมบัติ เปน็ สว่ นเหลือจากขน้ั ตอนแรกของการทาเบียร์ กากเบยี ร์สด ลักษณะเป็น กากอ่อนนุ่ม ซึ่งในสภาพสดจะมคี วามชนื้ สูงประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ กากเบียรส์ ด จะเกบ็ ไวใ้ ชไ้ ด้ไมน่ าน เหลอื มกั บดู เน่ามเี ชอ้ื ราง่าย เมอ่ื นาไประเหยนา้ ออกจะได้กากเบียรแ์ หง้ เก็บไวใ้ ช้เปน็ อาหารสตั ว์ได้ ขอ้ จากัดในการใช้ กากเบียร์มคี วามฟ่ามสงู เย่อื ใยสงู ไม่ควรให้สัตว์กนิ ในปริมาณมาก ๆ เพราะกากขา้ วมอลท์ จะไปขยายตัวในกระเพาะก่อให้เกิดปญั หาต่อระบบการย่อย ข้อแนะนาการใช้ สตั ว์กระเพาะรวม สามารถใชก้ ากเบียรส์ ด เล้ยี งได้ประมาณวนั ละ 8- 10 กก./ตวั และควรให้กินหมดวันต่อวัน ส่วนกากเบียร์แหง้ สามารถใหใ้ นปริมาณ 2 กก./ตวั /วนั หรอื ผสมใน สตู รอาหารข้น ระดบั ทใี่ ชผ้ สม 15-20 เปอร์เซน็ ต์ ในสูตรอาหาร กรณใี ชก้ ากเบียร์แห้งเป็นวตั ถุดิบในอาหาร สัตว์กระเพาะเดยี่ ว เช่น สุกร สตั ว์ปกี สามารถใชผ้ สมสูตรอาหารได้ไม่ควรเกนิ 2-5 เปอร์เซน็ ต์ในสตู ร ภาพที่ 8 กากเบยี ร์ 7.3 วตั ถุดิบอาหารสัตวป์ ระเภทแร่ธาตุ 7.3.1 เปลือกหอย ใช้เปน็ แหลง่ ในการให้ธาตุแคลเซียมแต่เพยี งอย่างเดียว มรี ะ-ดับแคลเซ่ยี ม ประมาณ 38-40 เปอรเ์ ซ็นต์ ภาพท่ี 9 เปลือกหอย 7.3.2 ไดแคลเซ่ียมฟอสเฟต เป็นแหลง่ ในการให้ทงั้ ธาตแุ คลเซย่ี มและฟอสฟอรสั โดยให้ แคลเซ่ยี ม ประมาณ 24 เปอร์เซน็ ต์ และฟอสฟอรัส ประมาณ 12-18 เปอรเ์ ซ็นต์ โดยทว่ั ไปแลว้ วตั ถุดบิ ประเภทน้ีจะมีราคาแพงกว่าพวกทใี่ ห้แรธ่ าตแุ คลเซย่ี มเพยี งอยา่ ง เดียวดังนัน้ ควรพิจารณาใช้เพ่ือเปน็ แหลง่ ใน
การให้ในการใหธ้ าตุฟอสฟอรัสให้เพยี งพอกบั ตอ้ งการของสุกรและสตั วป์ ีกกอ่ นและเลือกใช้เปลอื กหอยปน่ หินปูน หรอื หินฝนุ่ เพ่อื เปน็ แหลง่ ให้แร่ธาตุแคลเซยี่ มเสริมแก่สตั ว์ ภาพท่ี 10 ไดแคลเซี่ยมฟอสเฟต 8. การจดั การใหอ้ าหารสตั ว์ชนิดตา่ ง ๆ สัตวแ์ ตล่ ะชนดิ เพศ และวัย จะมีความต้องการอาหารทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ตลอดจนวธิ ีการใหอ้ าหาร ก็แตกต่างกนั เชน่ เดียวกนั ผู้เลยี้ งสัตว์จะตอ้ งรวู้ ิธกี ารให้อาหารแต่ละชนิด เพศ และวยั ที่ถูกตอ้ ง มิ-ฉะนัน้ อาจ กอ่ ให้เกดิ ผลเสยี กับสัตวเ์ ลย้ี งตามมาได้ ซง่ึ สามารถแยกการใหอ้ าหารสตั ว์ แตล่ ะชนดิ ได้ดังน้ี 8.1 การจัดการใหอ้ าหารสกุ ร สกุ รแตล่ ะเพศและแตล่ ะชว่ งอายุจะมคี วามตอ้ งการอาหารและวธิ กี ารให้อาหารที่แตกต่างกนั ออกไป สกุ รพ่อแม่พันธจุ์ ะต้องมีการควบคุมอาหารไมใ่ ห้สุกรกินจนอ้วนเกินไป ซึ่งอาจจะมผี ลทาใหค้ วามสมบรู ณ์พนั ธ์ุ ของพ่อแม่พนั ธลุ์ ดลง สุกรขนุ จะต้องมอี าหารให้กนิ ตลอดเวลาเพ่ือเร่งการเจริญเตบิ โต การใหอ้ าหารสกุ รแบ่ง ออกไดด้ ังน้ี 8.1 สกุ รแมพ่ นั ธุ์และแม่สกุ รระยะอุม้ ทอ้ ง การให้อาหารแม่พนั ธุ์สุกรโดยทัว่ ไปจะให้ 2 มอื้ เชา้ และเย็น โดยจากัดอาหารไม่ใหแ้ ม่สุกรอ้วนเกนิ ไป อาจจะให้อาหารทีม่ เี ยื่อใยสูงให้แมส่ กุ รกนิ บา้ งก็ไดเ้ พ่ือ ควบคุมน้าหนกั ตัวของพ่อแม่สุกร การให้อาหารสกุ รแม่พนั ธแ์ุ ละแมส่ ุกรอุ้มท้อง มีขอ้ ปฏิบตั ติ ามที่ มหาวิทยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช (2545) แนะนาดังน้ี 8.1.1 ปรับระดับอาหารเพื่อใหแ้ ม่สุกรสมบรู ณ์พรอ้ มที่จะผสมพันธ์ุ คอื ไมอ่ ว้ นเกินไปไม่ผอม เกนิ ไป โดยให้อาหารไม่เกนิ วันละ 2 กโิ ลกรมั ต่อตวั แตถ่ ้าแมส่ ุกรผอมจะปรับเพ่มิ ให้ไดถ้ งึ 3 กโิ ลกรัมต่อตัว อาหาร 8.1.2 เพมิ่ อาหารเปน็ 2 เทา่ ในช่วง 1 สัปดาห์ (การปรน) กอ่ นการผสมพันธเ์ุ พอ่ื กระตุ้นการ หลั่งฮอร์โมน ทาใหม้ ีจานวนไขต่ กลงมาเพม่ิ ข้ึน การปรนได้ผลเฉพาะสุกรที่ไม่อว้ นมากและสกุ รสาวเท่าน้ัน 8.1.3 เมื่อไมก่ ลับสัดหลงั ผสม 21 วัน นัน่ คือ สกุ รผสมตดิ ให้อาหารทม่ี ีโปรตนี 14 เปอรเ์ ซ็นต์ และเยอื่ ใย 12 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 2 กิโลกรมั หรือถงึ 2.5 กิโลกรมั สาหรับแมท่ ่ีไม่สมบรู ณไ์ ปจนต้ังท้องได้ ประมาณ 84 วัน ซึ่งการปรบั ระดบั อาหารท่ีให้จะปรับตามสภาพแม่พนั ธ์ุเปน็ เกณฑ์ หากแม่สุกรสาวได้รบั อาหารระดบั สงู ในช่วงตน้ ของการตงั้ ท้องจะมีผลกระทบต่อการพฒั นาและการอยู่รอดของตัวออ่ นลดลง แต่ไม่มี ผลตอ่ แมส่ กุ รนาง 8.1.4 เพมิ่ อาหารในระยะหลงั 84 วนั จากวนั ละ 2 กโิ ลกรัม เป็นวนั ละ 3 กิโลกรัม เนือ่ งจาก
ลูกในท้องเริม่ ตวั โต ตอ้ งการอาหารมากข้ึน เพ่ือชว่ ยใหไ้ ดล้ ูกสกุ รตวั โตและสมบรู ณ์ 8.2 สุกรระยะใหน้ มเลี้ยงลกู ควรให้อาหารท่ีมีความฟา่ มมากข้ึนเพื่อป้องกันไม่ให้ แม่สกุ รทอ้ งผูก ในระยะท่กี าลงั ให้นมและเลี้ยงลูกควรให้อาหารจานวนมากข้นึ และเปอรเ์ ซ็นตข์ องเย่ือใยในอาหารลดลง เพ่อื ใหม้ ีนา้ นมเพียงพอตอ่ การเล้ยี งลกู และสามารถฟน้ื ตวั เร็วหลังการคลอด จนสามารถเป็นสดั ไดภ้ ายหลังการ หย่านม 1 สปั ดาห์ การให้อาหารอาจจะต้องให้ถึง 3 ม้ือต่อวัน เพ่ือให้แมส่ กุ รนาอาหารท่ีกินไปเปล่ียนเปน็ น้านมสาหรบั เลย้ี งลูกไดเ้ พยี งพอ ซึง่ การปฏบิ ัตใิ นการให้อาหารแม่สกุ รระยะให้นมเลยี้ งลกู ควรปฏบิ ัตดิ งั น้ี 8.2.1 ให้อาหารแมส่ ุกรในระดับปานกลาง (1.5–2 เปอรเ์ ซ็นตข์ องน้าหนักตวั ) และเพ่ิมอาหาร 0.3 กโิ ลกรมั ต่อลูกสกุ รดูดนม 1 ตวั โดยใหย้ ดึ ระดับพลงั งานที่แม่สกุ รควรไดร้ ับต่อวนั เปน็ หลัก (ตารางที่ 5.4) และ ให้ปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 8.2.2 ใหอ้ าหารทม่ี โี ปรตนี สูง 16–18 เปอร์เซ็นต์ และมีสารปฏชิ วี นะและวติ ามินแร่ธาตปุ ลกี ยอ่ ยสงู โดยเฉพาะวิตามิน A และ D 8.2.3 ลดอาหารแมส่ ุกร 5–7 วันก่อนหยา่ นม เพอื่ ป้องกนั นมคดั 8.3 สกุ รพ่อพันธ์ุ การใหอ้ าหารสุกรพ่อพนั ธ์ปุ ฏิบัติคล้าย ๆ กบั การให้อาหารสุกร แมพ่ ันธุ์ กล่าวคือ อยา่ ให้พอ่ สกุ รอว้ นเกินไป ตอ้ งมกี ารควบคุมอาหาร อาหารท่ีให้ตอ้ งมีคุณภาพดี และมโี ปรตนี เพยี งพอกับความ ตอ้ งการของพ่อพันธุ์ ซึง่ มีข้อปฏบิ ตั ิในการให้อาหารสกุ รพ่อพนั ธด์ุ ังน้ี 8.3.1 ใหอ้ าหารประมาณไม่เกิน 2 กโิ ลกรมั ตอ่ ตวั ต่อวัน และอาจปรับได้ตามสภาพรา่ งกายและการใช้ งานของพ่อสุกรตัวน้ัน 8.3.2 อาหารควรเป็นอาหารทีม่ ีคณุ ภาพ โดยเฉพาะมีโปรตีน วติ ามนิ และแรธ่ าตใุ นระดับทค่ี วบคุม สาหรบั ปริมาณโปรตีนในอาหารจะอยใู่ นระดบั เดียวกบั แม่พันธุ์อมุ้ ท้อง 8.3.3 พอ่ สกุ รต้องออกกาลงั กายอย่เู สมอ เช่น ปล่อยในแปลงหญ้า 8.4 สุกรหย่านม หลงั หยา่ นม ก่อนหยา่ นมลูกสุกรจะเรม่ิ หัดกนิ อาหารไว้บ้างแล้ว จงึ ควรจัดอาหารไว้ ใหล้ ูกสกุ รกินเพอื่ ใหเ้ กดิ ความคนุ้ เคยโดยมีอาหารใส่ไว้ในรางใหล้ กู สุกรกนิ ได้ตลอดเวลา หลงั จากหย่านมให้แยก ลูกสกุ รออกมาเลี้ยงต่างหาก และใหก้ ินเตม็ ท่ีเพ่ือเร่งการเจรญิ เติบโต โดยท่วั ไปอาหารลกู สุกรจะมโี ปรตีนอยู่ ระหวา่ ง 20–24 เปอร์เซ็นต์ ควรเป็นอาหารท่ยี ่อยงา่ ย มกี ากหรือเยื่อใยตา่ ใชป้ ระโยชนไ์ ดส้ ูง เพราะระบบการ ยอ่ ยอาหารของลูกสกุ รยงั ไม่พัฒนามากจากนน้ั จึงเริม่ ใช้อาหารเริม่ แรกสาหรบั สุกรหลังหย่านมจนถงึ อายุ ประมาณ 8 สปั ดาห์ จงึ เปลี่ยนเปน็ อาหารสกุ รรนุ่ ซงึ่ มักมเี ปอรเ์ ซ็นตข์ องโปรตนี ในอาหารลดลงกว่าอาหาร เรม่ิ แรก 1–2 เปอร์เซ็นต์ อาหารระยะน้ีจะเปน็ อาหารอัดเม็ดหรอื อาหารปน่ กไ็ ด้ 8.5 สุกรรุ่นและสุกรขุน สุกรรุ่นถงึ สกุ รขุนจะเป็นระยะทส่ี ุกรต้องการอาหารมากเพ่ือเร่งการ เจริญเตบิ โต วิธกี ารให้อาหารนัน้ ควรใหว้ ันละ 2–3 คร้ัง แต่ละคร้ังที่ให้อาหารน้ันควรให้ในปรมิ าณทส่ี ุกร สามารถกินไดห้ มดในแตล่ ะมื้อเท่านน้ั ไมค่ วรให้มากจนเหลือเพราะจะทาให้เกดิ การสญู เสียอาหารไปโดยเปล่า ประโยชน์ นอกจากน้ีแล้วการจากัดอาหารยังทาให้คณุ ภาพซากสกุ รดีกว่าการให้อาหารแบบเต็มท่ี เพราะไดห้ มู
มนั บางและเนื้อแดงมากกวา่ และใช้อาหารสุกรขุนเล้ียงตงั้ แต่ 4 เดอื นจนถึงระยะขาย ส่วนใหญจ่ ะเปน็ อาหารที่ มพี ลงั งานมาก แต่โปรตีนลดต่าลงกว่าในระยะขุนหรือใกลเ้ คียงกับอาหารสาหรบั พ่อพนั ธุ์ 8.2 การจัดการให้อาหารไก่ไข่ ระยะไก่ไข่น้ันจะนับตงั้ แต่ย้ายไก่สาวขนึ้ กรงตับจนไข่ได้ 5 เปอรเ์ ซ็นต์ ซึง่ แม่ไก่จะมีอายปุ ระมาณ 5 ถึง 5 เดือน ระยะน้ีแมไ่ ก่จะตอ้ งการอาหารมากเพ่อื นาไปเปล่ียนเปน็ ไข่ ดังนนั้ ผู้เล้ียงจะต้องมีความเข้าใจ เรอ่ื งการใหอ้ าหารพอสมควร โดยปกตกิ อ่ นแม่ไก่จะไขเ่ ราจะให้อาหาร วนั ละ 100–110 กรัมต่อตวั ต่อวัน แต่ เมื่อแมไ่ ก่เรม่ิ ให้ไข่ได้ 5 เปอร์เซน็ ต์ ระยะนี้เราตอ้ งใหอ้ าหารแบบเตม็ ท่ีเพื่อให้แม่ไก่เพ่ิมจานวนไข่จนใหไ้ ข่สูงสดุ (peak) หลงั จากแม่ไก่ให้ไข่สูงสุดแลว้ จะลดอาหารลงเหลอื ไม่เกิน 120 กรมั ต่อตัวตอ่ วนั โดยปกติแม่ไก่จะให้ไข่ ไปได้เปน็ เวลา 1 ถงึ 1 ปี ซึ่งมีขอ้ ปฏิบตั ใิ นการให้อาหารแม่ไก่ไข่ดงั น้ี 8.2.1 ใหเ้ พ่ิมอาหารเสริมหรือวติ ามนิ ในอาหาร 8.2.2 ใหอ้ าหารตรงเวลาอย่างน้อยวนั ละ 3 ครงั้ ถ้าเปน็ กรงตับท่ใี ส่ไก่ 4 ตัวตอ่ ชอ่ ง ควรเพ่ิม เป็น 4- 5 คร้ัง เพื่อให้ไกส่ นใจอาหาร จะชว่ ยลดการจิกกันไดม้ าก 8.2.3 สุ่มช่ังนา้ หนกั แม่ไกท่ ุก ๆ 14 วนั อยา่ ปลอ่ ยให้แม่ไกอ่ ้วนหรือผอมเกินไป 8.2.4 ใหก้ รวดแมไ่ ก่อย่างนอ้ ยเดอื นละ 1 คร้ัง เพ่ือช่วยยอ่ ยอาหาร 8.2.5 ใหอ้ าหารเสน้ ใย เชน่ หญา้ ขนสบั สปั ดาหล์ ะ 1 ครั้ง เพื่อให้ระบบทางเดินอาหารเป็น ปกติ 8.2.6 กักแม่ไก่ทไี่ มใ่ ห้ไข่ออกทกุ ๆ เดอื น เพื่อลดรายจ่ายจากคา่ อาหาร 8.2.7 เกลี่ยอาหารวนั ละ 2 ครงั้ เพอื่ แม่ไกจ่ ะได้กินอาหารท่ีให้จนหมด 8.2.8 ในช่วงอากาศร้อนไก่จะกนิ อาหารลดลงมผี ลทาใหไ้ ขล่ ดลงด้วย ผเู้ ล้ียงควรปฏบิ ัติดงั นี้ 8.2.8.1 ในกรณีท่ีอย่ใู นช่วงที่มกี ารจากัดอาหาร จะตอ้ งงดโปรแกรมการจากัดอาหาร ใหก้ ลบั มาใชว้ ิธีการให้อาหารแบบเตม็ ท่ี จนกวา่ ไกจ่ ะหายเครยี ดจงึ เริม่ การจากัดอาหารใหม่อีกครงั้ 8.2.8.2 ปรบั ปรมิ าณโภชนะในสตู รอาหารใหเ้ ข้มขน้ ขน้ึ เน่อื งจากไก่กินอาหาร นอ้ ยลง ในการปรับปริมาณโภชนะในอาหารต้องใหค้ วามระมัดระวงั เกี่ยวกับปริมาณพลงั งานใชป้ ระโยชน์ได้ใน สตู รอาหาร เพราะถ้าพลังงานใช้ประโยชน์ได้เพ่ิมขึ้นไกจ่ ะกินอาหารลดลง เน่อื งจากจะกินอาหารให้ได้ปริมาณ เพยี งพอแลว้ จะหยุดกินอาหาร ทาให้ไก่กินอาหารได้น้อยลง 8.2.8.3 ในชว่ งอากาศร้อน ควรเปลย่ี นแปลงวตั ถดุ บิ ใหพ้ ลังงานเปน็ วตั ถดุ ิบพลงั งาน ที่สามารถย่อยได้ง่าย เพราะไก่ตอ้ งการพลังงานทีย่ ่อยงา่ ยระหว่างช่วงร้อน 8.2.9 เปลือกหอยปน่ โดยให้ในรางอาหารอย่างน้อยเดอื นละ 1 ครง้ั เพอ่ื เสริม แคลเซยี มจะทาใหเ้ ปลือกไข่แขง็ แรง 8.3 การจัดการให้อาหารไก่เนอื้ ไก่เนื้อหรือบางทเี ราเรียกว่า ไกก่ ระทง (broiler) เปน็ ไก่ลูกผสมท่เี จริญเตบิ โตเรว็ ส่วนใหญจ่ ะมขี นสี
เทา ใช้เวลาเลีย้ ง 45 วนั จะไดน้ ้าหนักตวั 1.8 ถึง 2.0 กโิ ลกรมั โดยท่วั ไปการให้อาหารไกเ่ นือ้ จะใหแ้ บบเตม็ ท่ี ใหไ้ ก่กนิ อาหารได้ 24 ชว่ั โมง โดยเปดิ ไฟให้ไก่ในชว่ งเวลากลางคนื อาหารท่ีใช้เลีย้ งไก่เนื้อในปจั จุบันจะเป็น อาหารเมด็ ผสมเสรจ็ เปอรเ์ ซ็นตโ์ ปรตีนในอาหารระยะต้นจะสงู กวา่ ในระยะต่อ ๆ มาปรมิ าณกากหรอื เยื่อใยก็ เปน็ ส่งิ ท่ตี อ้ งนามาพิจารณาด้วย คอื ระยะต้น ๆ อาหารควรมกี ากหรือเยอ่ื ใยนอ้ ยแต่เม่ือโตมากขนึ้ ปรมิ าณเย่ือ ใยสามารถมีมากข้ึนได้ แต่ไม่ควรเกนิ 6 เปอร์เซ็นต์ การจัดการให้อาหารไก่เนือ้ ตามท่ี มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช (2545) แนะนามดี งั ต่อไปนี้ 3.1 อาหารไกเ่ นอ้ื ระยะแรก (starter feed) เป็นอาหารสาหรับเลี้ยงลกู ไก่ อายุ 1–21 วนั อาหาร ระยะนีจ้ ะเป็นอาหารเม็ดขบที่มีโปรตนี ประมาณ 22–23 เปอร์เซน็ ต์ มพี ลงั งานใช้ประโยชน์ไดป้ ระมาณ 3,200 กโิ ลแคลอรีต่อกิโลกรมั อาหาร อาหารระยะแรกจะใช้ประมาณ 25 เปอรเ์ ซ็นต์ ของปรมิ าณอาหารที่ไก่กนิ ท้งั หมดตลอดช่วงอายุ 3.2 อาหารไกเ่ นื้อระยะทีส่ อง (grower feed) เปน็ อาหารสาหรับเล้ียงไก่รนุ่ อายุ 22–35 วนั โดยเปน็ อาหารอัดเมด็ มีโปรตนี ประมาณ 20 เปอรเ์ ซ็นต์ และมพี ลังงานใชป้ ระโยชนไ์ ด้ประมาณ 3,200 กโิ ลแคลอรีต่อ กโิ ลกรมั อาหารระยะน้จี ะใช้ประมาณ 50 เปอรเ์ ซน็ ต์ของปรมิ าณอาหารท่ีไก่กินทัง้ หมด 3.3 อาหารไกเ่ น้อื ระยะสุดทา้ ย (finisher feed) เปน็ อาหารสาหรบั เล้ยี งไกเ่ น้ือระยะสุดทา้ ยก่อนจบั ขาย อายุ 35–45 วนั อาหารระยะนเี้ ป็นอาหารอดั เม็ดทม่ี โี ปรตนี ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ และมีพลงั งาน ประมาณ 3,200 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรมั อาหารไก่เนอื้ ระยะสดุ ทา้ ยจะต้องไมม่ สี ารเร่งการเจริญเติบโต สาร ปฏิชีวนะและยากันบดิ เพอื่ ป้องกนั สารตกค้างในเน้ือไก่ ซ่งึ จะเปน็ อันตรายต่อผู้บริโภค อาหารระยะนจ้ี ะใช้ ประมาณ 25 เปอร์เซน็ ต์ ของปริมาณอาหารท่ีไก่กนิ ท้งั หมด 3.4 กอ่ นจบั ไก่ขายอยา่ งนอ้ ย 12–24 ชว่ั โมง ต้องอดอาหารไกเ่ พื่อทาใหก้ ระเพาะและลาไส้ยบุ ตวั ปอ้ งกนั อันตรายขณะจับไก่ 3.5 ในชว่ งอากาศร้อนต้องงดให้อาหารชว่ งเวลา 9.00–17.00 น โดยการยกอุปกรณ์การให้อาหาร หรอื รางอาหารใหส้ ูงเกินระดับท่ไี ก่จะจกิ อาหารกินได้ หากให้ไก่กนิ อาหารตลอดเวลาอาจจะช็อคตายได้ 8.4 การจดั การใหอ้ าหารโคนม โคนมเปน็ สตั ว์ส่กี ระเพาะหรือเรยี กอีกอยา่ งว่าสตั ว์เคี้ยวเอือ้ ง อาหารทโี่ คนมต้องไดร้ ับเป็นอาหารหลกั ในแต่ละวนั คอื อาหารหยาบพวกหญ้า ถ่วั ฟางข้าว ฯลฯ แต่การเล้ียงโคนม ถา้ ต้องการจะได้ปริมาณนา้ นมสูง ๆ แล้วจาเปน็ ทจี่ ะต้องเสริมอาหารข้นให้กับแมโ่ คนมในแต่ละวนั ดว้ ย ชว่ งให้นมเป็นชว่ งระยะเวลาทแี่ ม่โคนม ต้องการอาหารทีม่ ีคุณภาพสงู ผ้เู ลยี้ งจะตอ้ งให้แมโ่ คกนิ อาหารหยาบใหเ้ ต็มที่แลว้ เสรมิ ด้วยอาหารข้นช่วงเวลา เช้าและเย็น การจัดการให้อาหารโคนมมีขน้ั ตอนปฏิบตั ดิ ังน้ี 4.1 การจดั การอาหารหยาบสาหรับโคนม อาหารหยาบหลกั ของแม่โค คือ หญ้า แมโ่ คนมต้องกนิ หญ้า คดิ เปน็ นา้ หนกั แห้งไมต่ ่ากว่า 1.4 เปอรเ์ ซ็นต์ของน้าหนักตัว ตัวอย่างเช่น แมโ่ คนมตัวหนง่ึ หนกั 400 กิโลกรัม ดังนัน้ แม่โคนมตัวนตี้ ้องกินหญา้ เมอ่ื เทยี บเป็นน้าหนักแห้งแลว้ เท่ากบั 5.6 กิโลกรัมต่อวัน เมื่อเทยี บกับเป็น น้าหนกั สดซึ่งโดยท่ัวไปหญ้าสดมีวตั ถแุ หง้ อยู่ 25 เปอร์เซน็ ต์ นัน่ คอื แม่โคนมควรจะได้รับหญ้าสดในปริมาณวัน
ละ เทา่ กับ 22.4 กโิ ลกรัม คุณภาพของอาหารหยาบมคี วามสัมพันธก์ ับระดบั โปรตีนในสูตรอาหารขน้ ดังน้ี 4.1.1 ถา้ แมโ่ คได้รับอาหารหยาบคณุ ภาพดรี ะดับโปรตนี ในอาหารขน้ ควรมี 12–16 เปอร์เซ็นต์ หรอื ประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ 4.1.2 ถา้ แม่โคได้รบั อาหารหยาบคณุ ภาพปานกลาง ระดบั โปรตีนในอาหารข้นควรมี 16 – 20 เปอร์เซน็ ต์ หรอื ประมาณ 18 เปอรเ์ ซ็นต์ 4.1.3 ถา้ แม่โคไดร้ ับอาหารหยาบคุณภาพตา่ ระดบั โปรตีนในอาหารขน้ ควรมี 20 – 24 เปอรเ์ ซน็ ต์ หรอื ประมาณ 22 เปอร์เซ็นต์ 4.2 การจดั การอาหารข้นสาหรับแม่โคนม ผู้เลี้ยงโคนมสามารถเลอื กใชว้ ัตถุดิบ อาหารสตั วไ์ ด้หลาย อย่าง เพอื่ นามาผสมเปน็ อาหารขน้ แตต่ ้องเลือกวัตถดุ บิ ที่ใหม่ สะอาด ไม่มี สิ่งเจือปนและมคี ุณภาพสงู โดยทวั่ ไปเราจะให้อาหารข้นกับแมโ่ คนมโดยคดิ จากนา้ นมที่ได้คือ ให้อาหารขน้ 1 กโิ ลกรัมตอ่ ปริมาณน้านมท่ี ให้ 4 กโิ ลกรมั และควรใหใ้ นช่วงเวลาท่ีแม่โคยืนโรงรีดนม คือ ชว่ งเช้าและเยน็ 8.5 การจดั การใหอ้ าหารโคเนื้อ การจัดการให้อาหารโคเนื้อก็ปฏิบตั ิคล้าย ๆ กบั การให้อาหารโคนม แต่อาหารหลักของโคเนอ้ื กค็ ือ อาหารหยาบ เช่น หญา้ ถ่วั ฟางข้าว ฯลฯ ซ่งึ หากได้รับอาหารหยาบท่ีมคี ุณภาพสูงแลว้ อาจจะไม่ต้องเสรมิ อาหารข้นเลยก็ได้ ท้ังนเี้ พราะโคเนอ้ื ไมไ่ ดใ้ ช้อาหารเพ่ือการสรา้ งน้านม แต่ถา้ หากสร้างโคเนือ้ แบบโคขนุ จาเป็นต้องเสรมิ อาหารขน้ ให้กับโคเน้ือเพ่อื เรง่ การเจริญเติบโต การจัดการให้อาหารโคเนอ้ื ควรปฏบิ ตั ิดังน้ี 5.1 การจัดการอาหารหยาบสาหรบั โคเนือ้ อาหารหยาบหลกั ของโคเนื้อคอื หญ้าสด หรือถัว่ พืชอาหาร สัตว์ ในแตล่ ะวันต้องให้โคเน้ือกินแบบเตม็ ที่ อาหารหยาบแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ 5.1.1 หญา้ และถ่ัวพชื อาหารสัตว์ หญา้ และถัว่ มหี ลายชนิดปัจจุบนั นยิ มทาเป็นแปลงหญ้าตดั มาใหโ้ คกินหรือปลอ่ ยใหโ้ คลงไปแทะเลม็ กนิ กไ็ ด้ แปลงหญา้ ผสมถวั่ จะเป็นอาหารหยาบท่ีมคี ณุ ภาพดีที่สดุ 5.1.2 วสั ดุเหลือใชท้ างการเกษตร เช่น ฟางขา้ ว เปลอื กสับปะรด ต้นข้าวโพด ยอดอ้อย เปลอื กถ่วั ซ่ึงอาจจะมีคุณภาพต่าแต่สามารถนามาใช้เล้ยี งโคเนื้อได้ 5.2 การจดั การอาหารข้นสาหรบั โคเนอื้ วัตถดุ บิ ทนี่ ามาใชผ้ สมเป็นอาหารขน้ ก็คลา้ ย ๆ กับวัตถุดบิ ที่ นามาผสมอาหารขน้ สาหรับโคนม อาจจะแตกต่างกนั ตรงสูตรทใ่ี ช้ในการผสม โคเนอ้ื หากเลย้ี งแบบชาวบา้ น แลว้ จะไม่ต้องเสริมอาหารขน้ เพยี งแต่ให้กินอาหารหยาบพวกหญา้ อยา่ งเดียว แตห่ ากเล้ยี งเพ่ือขุนจาเปน็ ต้อง เสรมิ อาหารขน้ ซ่ึงมสี ตู รแตกต่างกนั ออกไป การเสริมอาหารขน้ ให้ โคเน้ือ 0.3 เปอร์- เซ็นต์ของน้าหนักตัว แต่ ถ้าอาหารหยาบท่ใี หม้ ีคุณภาพตา่ ควรเสรมิ อาหารขน้ เปน็ 0.6 เปอรเ์ ซ็นต์ของน้าหนักตัว และควรใหอ้ าหารข้นที่ มโี ปรตีน 14–16 เปอร์เซน็ ต์
แบบทดสอบหน่วยท่ี 6 คาสง่ั จงทาเครอ่ื งหมาย X หนา้ คาตอบทถ่ี กู ตอ้ งมากที่สุด เพียงคาตอบเดยี ว (10 คะแนน) คาส่ัง จงทาเครือ่ งหมาย X หน้าคาตอบท่ถี ูกต้องมากทส่ี ดุ เพียงคาตอบเดียว (10 คะแนน) 1. ร่างกายของสตั ว์ มีน้าเป็นองค์ประกอบกีเ่ ปอรเ์ ซน็ ต์ ก. 30-40 เปอร์เซ็นต์ ข. 40-50 เปอรเ์ ซ็นต์ ค. 50-80 เปอรเ์ ซ็นต์ ง. 60-80 เปอรเ์ ซน็ ต์ 2. ร่างกายสัตวท์ าการย่อย และดดู ซึมอาหารกลุ่มโปรตนี ในรปู ใด ก.กลูโคส ข.กรดอะมิโน ค.กรดไขมนั ง.กรดแลคติค 3. ร่างกายสตั ว์ทาการยอ่ ย และดูดซึมอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ในรูปใด ก.กลูโคส ข.กรดอะมิโน ค.กรดไขมัน ง.กรดแลคติค 4. วติ ามนิ ใดเป็นวติ ามนิ ทลี่ ะลายได้ในไขมนั ก. เอ ข. ดี ค. บี ง. ถกู ทง้ั ก และ ข 5. วตั ถดุ บิ ข้อใดให้โภชนะแรธ่ าตุ ก. ไขสัตว์ ข. ปลาปน่ ค. กระดูกป่น ง. ใบกระถนิ ปน่ 6. หัว และใบของมันสาปะหลงั สด มีสารพษิ เรียกวา่ อะไร ก. ไมโมซิน ข.กรดไฮโดรไซยานิค ค.กอสซิพอล ง. กรดยูรคิ 7. การใชร้ าละเอยี ดผสมในสูตรอาหารสาหรบั ลกู สัตว์ เกิน 30 เปอร์เซ็นต์มีผลอย่างไร ก.เพ่มิ ความน่ากินของอาหาร ข.ทาให้ต้นทุนการผลติ สูง ค.ลดความนา่ กินของอาหาร ง.ทาให้สตั วม์ อี าการท้องเสีย 8. ใบกระถนิ มีสารพิษช่ือวา่ อะไร ก.ไมโมซิน ข. กรดไฮโดรไซยานิค ค.กอสซิพอล ง. กรดยูรคิ 9. ข้อใดจัดเปน็ อาหารโปรตนี จากพืช ก.กากถวั่ เหลอื ง กากเมลด็ นุ่น กากมนั สาประหลงั กากเมลด็ ยางพารา ข.กากมะพร้าว กากเมลด็ ปาล์ม ใบกระถนิ กากถว่ั ลิสง ค.กากเมลด็ ยางพารา กากน้าตาล กากมะพร้าว กากเมลด็ ฝา้ ย
ง.กากถว่ั เหลอื ง กากเมล็ดทานตะวัน กากมนั สาประหลัง กากถว่ั ลิสง 10. หญ้าแหง้ หมายถึง พชื อาหารสตั ว์ ทที่ าใหแ้ ห้งมีความช้นื ไมเ่ กินก่เี ปอร์เซน็ ต์ ก. 15% ข. 20% ค. 30% ง. 40% 11. หญา้ หมกั มีความชืน้ กีเ่ ปอรเ์ ซ็นต์ ก. 60-65% ข. 70-75% ค. 80-85% ง. 90-95% 12. สุกร เป็นสตั วก์ กี่ ระเพาะ ก. 1 กระเพาะ ข. 2 กระเพาะ ค. 3 กระเพาะ ง. 4 กระเพาะ 13.โคนม เปน็ สตั วก์ ก่ี ระเพาะ ก. 1 กระเพาะ ข. 2 กระเพาะ ค. 3 กระเพาะ ง. 4 กระเพาะ 14 .หน้าท่ขี องจุรนิ ทรยี ใ์ นสตั ว์ 4 กระเพาะคืออะไร ก. หมักยอ่ ยอาหารจาพวกสารเยื่อใย ข. เปลีย่ นแป้งให้เปน็ นา้ ตาล ค. ทาใหโ้ ปรตนี ถูกย่อยสลายในลาดับสดุ ทา้ ย ง. เป็นสว่ นประกอบของกรดอมิโน 15. ตบั เป็นตอ่ มที่ใหญ่ที่สดุ ในรา่ งกาย ทาหน้าที่อะไร ก. ผลิตฮอรโ์ มนชว่ ยย่อยอาหาร ข. สังเคราะห์กรดอมโิ น ค. มหี น้าที่ผลิตน้าดี ง. สลายไขมนั ในอาหารสตั ว์ 16. สตั วต์ อ่ ไปนี้สตั วใ์ ดมีกระเพาะผา้ ขี้ร้วิ ก. สกุ ร
ข. ไก่ ค. เต่า ง. กระบือ 17. อาหารท่ีสตั วก์ นิ เม่อื ย่อยแล้วถูกดูดซึมบรเิ วณใดมากทส่ี ุด ก.ปาก ข.กระเพาะ ค.ตับ ง.ลาใส้เลก็ 18. วัตถดุ บิ อาหารพลังงาน ได้จากแหล่งใด ก. ธัญพืช พืชถัว่ นา้ มันพชื และไขสตั ว์ ข. พชื ใบ เช่น ใบกระถนิ ใบมันสาปะหลงั ค. กากเบียร์ กากงา ง. กากมะพร้าว กากปาล์ม 19. ขอ้ ใดคอื ความหมายของอาหารสัตว์ ก.สิง่ ทีส่ ตั ว์กนิ เขา้ ไปแลว้ ไม่เป็นอันตราย ข.สง่ิ ท่ีสัตวส์ ามารถยอ่ ยได้ และดารงชีพอยไู่ ด้ ค.สิ่งทีเ่ ปน็ วติ ามนิ ต่างๆ ที่ใช้ในการดารงชพี ของสัตว์ ง.สิ่งท่สี ตั วก์ ินเขา้ ไปแล้วสามารถยอ่ ย และดดู ซมึ ในรา่ งกายสัตว์ เพื่อดารงชพี และให้ผลผลติ 20. อาหารสัตว์ประกอบไปด้วยโภชนะก่ชี นิด ก. 3 ชนิด ข. 4 ชนิด ค. 5 ชนิด ง. 6 ชนดิ 21.แหลง่ โปรตนี ชนิดใด เป็นโปรตนี ท่ีไดจ้ ากสตั ว์ ก. เลอื ดปน่ กากมะพรา้ ว เมลด็ ปาล์ม ข. เนอื้ ป่น กากมะพรา้ ว ค. เนื้อปน่ ปลาป่น เลือดปน่ ง. ขนไก่ปน่ เลือดปน่ โปรตนี สังเคราะห์ 22. คาร์โบไฮเดรท เป็นสารอาหารที่ใหส้ ่ิงใดแก่สตั ว์ ก. เปน็ สว่ นประกอบที่สาคัญของเนื้อเยือ่ ข. เป็นส่วนประกอบของฮอร์โมน ค. เปน็ สารอาหารที่ให้พลังงานแกส่ ตั ว์ ง. ชว่ ยในการผสมตดิ ของสตั ว์เลย้ี ง
32. สารเยอ่ื ใยที่พบในตน้ และใบพืช สัตว์ชนดิ ใดสามารถยอ่ ยอาหารเหล่านไ้ี ด้ ก. สัตว์กระเพาะเดย่ี ว ข. สตั วก์ ระเพาะรวม ค. สัตวน์ ้าทว่ั ไป ง. พวกสตั วเ์ ล้ือยคลานต่างๆ 24. แรธ่ าตุที่สัตวม์ ีความต้องการมากคือแร่ธาตุใด ก. แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั ข. แมงกานสี สงั กะสี ค. ทองแดง ไอโอดีน ง. ซีลีเนียม ฟลอู อรีน 25. ประโยชน์ของน้าไดแ้ ก่ ก. สรา้ งกระดูกและฟัน ข. ช่วยใหเ้ ลือดแข็งตัว ค. ช่วยควบคมุ อุณหภูมิของรา่ งกาย ง. ชว่ ยใหร้ ะบบสบื พันธเ์ุ ป็นปกติ 26. อาหารทใ่ี ชเ้ ลีย้ งสตั ว์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ก. อาหารขน้ และอาหารหยาบ ข. อาหารขน้ ท่ีใหโ้ ปรตีนและวิตามิน ค. อาหารโปรตีนและอาหารพลงั งาน ง. อาหารทใ่ี ห้พลงั งานและแร่ธาตุ 37 .โคเน้อื กินอาหารหยาบเป็นหลัก การทาแปลงหญ้ามกั ปลกู พืช 2 ชนดิ ได้แก่ พืชอะไร ก. พืชไร่ และพืชสวน ข. พชื ตระกูลหญ้าตากแหง้ และตระกลู ถ่วั ตากแห้ง ค. พืชตระกูลหญา้ และพืชตระกูลถวั่ ง. เมล็ดธัญพืชทวั่ ไป 28. สกุ รทตี่ ้งั ท้องได้ 84 วนั ไปแลว้ ทาไมต้องทาการเพิ่มอาหาร ก.แมก่ ินจุมากข้ึน ข.แมเ่ ริม่ ตัวใหญม่ ากขนึ้ จงึ ต้องการอาหารเพมิ่ ข้นึ ค.ลกู ในทอ้ งเริม่ ตัวใหญ่ มีความต้องการอาหารเพิ่มขน้ึ ง.แม่ตอ้ งสะสมพลังงานเพือ่ ใช้ในการคลอดลกู 29. โคนมถา้ ต้องการน้านมเยอะๆ ควรเพิม่ อาหารอะไร ก.อาหารอยาบสด เช่น หญา้ สด ข.อาหารหยาบแห้ง เช่น หญ้าแห้ง
ค.อาหารขน้ เช่น อาหารเม็ดสาเรจ็ รปู ง.อาหารแร่ธาตุ เช่น แคลเซยี ม ฟอสฟอรสั 30 .ไกเ่ น้ือใชร้ ะยะเวลาในการเลย้ี งประมาณก่วี ัน ก. 30 วัน ข. 35 วนั ค.40 วนั ง.45 วนั เอกสารอ้างอิง กรมอาชีวศึกษา การศกึ ษาธิการ. 2525. หลกั การเล้ียงสัตว์ทวั่ ไป. กรุงเทพฯ : สานกั พิมพ์- อกั ษรเจริญทัศน์. 101 น. คานงึ หนดู าษ. 2543. หลกั การเล้ียงสตั วท์ ั่วไป. กรงุ เทพฯ : ศนู ย์วิจัยและพฒั นาอาชวี ศกึ ษา 5 กรมอาชวี ศึกษา. 150 น. บุญเสริม ชีวะอิสระกุลและบุญลอ้ ม ชวี ะอิสระกลุ . 2542. พน้ื ฐานสตั วศ์ าสตร์. พมิ พ์ครง้ั ท่ี 2. เชียงใหม่ :ภาควชิ าสตั วศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่. 186 น. พานชิ ทนิ นิมิตร. 2535. หลกั การเลีย้ งสตั ว์. สงขลา : ภาควชิ าสัตวศาสตร์ คณะทรัพยากรธรรมชาติ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์. 224 น. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. 2521. หลกั การเลี้ยงสัตว์ทว่ั ไป. กรงุ เทพฯ : ม.ป.พ. 352 น. สวุ ิทย์ เฑยี รทอง. 2530. หลักการเลี้ยงสัตว์. กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์โอเดยี นสโตร์. 172 น.
Search
Read the Text Version
- 1 - 35
Pages: