1
2 1.1 ความหมายของระบบฐานข้อมลู 1.2 โครงสร้างของระบบฐานขอ้ มลู 1.3 คาศพั ทพ์ น้ื ฐานเก่ยี วกบั ระบบฐานขอ้ มูล 1.4 ความหมายของขอ้ มูล (Data) 1.5 ประโยชนข์ องฐานขอ้ มลู 1.6 ระบบจดั การฐานขอ้ มลู 1.7 โปรแกรมฐานข้อมลู ท่นี ยิ มใช้ในปัจจบุ นั 1.8 ขอ้ ดขี องการจัดเกบ็ ฐานข้อมูล 1. บอกความหมายของระบบฐานขอ้ มูลได้ 2. อธบิ ายโครงสรา้ งของระบบฐานขอ้ มูลได้ 3. บอกคาศัพท์พ้นื ฐานทเ่ี กยี่ วกับระบบฐานขอ้ มลู ได้ 4. บอกความหมายของข้อมูล (Data) ได้ 5. บอกประโยชน์ของฐานข้อมลู ได้ 6. อธิบายเก่ยี วกบั ระบบจัดการฐานขอ้ มูลได้ 7. บอกโปรแกรมฐานขอ้ มลู ทีน่ ิยมใช้ในปัจจุบนั ได้ 8. บอกข้อดีของการจัดเก็บฐานข้อมลู ได้
3 สาระสาคัญ ความหมายของฐานขอ้ มลู โครงสร้างของระบบฐานขอ้ มลู คาศัพทพ์ ื้นฐานเกย่ี วกับระบบฐานขอ้ มลู ความหมายของขอ้ มลู (Data) ประโยชน์ของฐานขอ้ มูล ระบบจัดการฐานข้อมูล โปรแกรมฐานข้อมูลทีน่ ิยมใช้ในปัจจุบนั ขอ้ ดขี องการจดั เก็บฐานขอ้ มูล ภาพท่ี 1.1 แสดงผงั มโนทัศน์สาระการเรยี นร้หู น่วยท่ี 1
4 คาส่ัง : จงเลอื กคาตอบท่ีถกู ต้องท่สี ุดเพยี งข้อเดยี ว เกณฑ์การประเมนิ : แบบทดสอบชุดนี้มีทงั้ หมด 10 ข้อ เวลา 10 นาที ข้อละ 1 คะแนน รวม 10 คะแนน 1. ขอ้ ใดคือความหมายของฐานข้อมลู ก. การรวบรวมแฟม้ ขอ้ มูลต่างๆ ข. ทเ่ี กบ็ ข้อของลกู ค้าและพนักงาน ค. โปรแกรมจัดการเกี่ยวกับชื่อและท่ีอยู่ ง. แฟม้ ข้องมลู ทถี่ ูกจัดรูปแบบเพื่อให้ผ้ใู ช้สามารถดึงขอ้ มลู มาใชร้ ว่ มกันได้ 2. หนว่ ยของขอ้ มูลท่ีเกิดจากการนาบติ (Bit) มารวมกันคอื ขอ้ ใด ก. Byte ข. Record ค. Field ง. File 3. เรคคอร์ด (Record) หมายถงึ ข้อใด ก. การนาแฟ้มขอ้ มูลท่ีมคี วามเกี่ยวขอ้ งสัมพันธก์ ันมาเก็บรวบรวมไว้ดว้ ยกนั ข. ระเบียนหรอื ข้อมูลท่ีเกดิ จากการนาเอาฟลิ ด์หรือเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตขอ้ มลู มารวมกนั เปน็ ข้อมูลของสิง่ หน่ึง ค. เขตขอ้ มลู หรือหน่วยของข้อมลู ท่ปี ระกอบข้ึนจากไบตห์ รืออักขระต้ังแต่ 1 ตวั ข้ึนไป ง. หนว่ ยของข้อมลู ทเ่ี กดิ จากการนาบติ มารวมกนั เปน็ อักขระหรือตัวอักษร 4.ข้อใดตอ่ ไปน้มี ีหน่วยจดั เกบ็ ข้อมลู ที่ใหญท่ ส่ี ุด ก. Attribute ข. Record ค. File ง. Entity 5.ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้กลา่ วถูกตอ้ งเกย่ี วกบั แอททริบวิ ต์ (Attribute) ก. หนว่ ยของขอ้ มลู ที่มีขนาดเลก็ ท่สี ุด ข. ชื่อของส่งิ ใดสงิ่ หนงึ่ เปรียบเสมือนคานามรายละเอียด ค. รายละเอยี ดข้อมลู ท่แี สดงคุณลกั ษณะและคุณสมบัติของเอนทติ ีห้ นึ่ง ๆ ง. หน่วยของข้อมลู ท่ีเกดิ จากการนาเอาเขตข้อมลู หลาย ๆ เขตขอ้ มลู มารวมกัน 6.ข้อใดไม่ใช่กรรมวิธขี ้อมลู ก. Data Edit ข. Data Number ค. Data Collection ง. Data Communication
5 7. ขอ้ ใดไม่ใช่ประโยชนข์ องการประมวลผลข้อมูล ก. ลดความซ้าซ้อนของขอ้ มลู ได้ ข. หลีกเล่ยี งความขัดแย้งของขอ้ มลู ได้ ค. กาหนดระบบความปลอดภยั ของขอ้ มูลได้ ง. สามารถเกบ็ ขอ้ มูลชนิดเดยี วกันไวห้ ลาย ๆ ทไ่ี ด้ 8. หนา้ ที่สาคัญของระบบจดั การฐานขอ้ มูล คอื ขอ้ ใด ก. จัดการเก่ยี วกบั การเก็บรักษาและเรียกคนื ขอ้ มูลภายในฐานข้อมลู ใหม้ ีประสิทธิภาพมากท่สี ุด ข. กาหนดความเป็นมาตรฐานเดยี วกนั ของข้อมลู ได้ ค. สามารถใชข้ ้อมูลร่วมกนั ได้ ง. บารงุ รักษาฐานข้อมูล 9. ขอ้ ใดไมใ่ ชโ่ ปรแกรมฐานข้อมูลทนี่ ยิ มใชใ้ นปจั จุบนั ได้ ก. โปรแกรม dBase ข. โปรแกรม SQL ค. โปรแกรม Microsoft Access ง. โปรแกรม Microsoft Visual Basic 10.ข้อใดไมใ่ ชข่ ้อดขี องการจัดเกบ็ ฐานข้อมลู ก. Data Sharing การใช้ข้อมลู รว่ มกันได้ ข. โอกาสท่ีจะสญู เสียข้อมูลมีนอ้ ยมาก (Recovery System) ค. เปน็ โปรแกรมฐานขอ้ มูลที่มีโครงสร้างของภาษาท่ีเข้าใจง่าย ง. ขอ้ มูลเปน็ อสิ ระจากโปรแกรมท่ีใชง้ าน (Data Independence)
6 ในหน่วยน้ีจะศึกษาทบทวนถึงความหมายของฐานข้อมูล (Database) การรวบรวมแฟ้มข้อมูลต่าง ๆ ท่ีมี ความสัมพนั ธก์ ัน มาจัดเก็บอยา่ งเป็นระบบเพื่อความสะดวกในการบริหารจดั การฐานข้อมูล รวมทั้งโครงสรา้ งของระบบ ฐานระบบฐานข้อมูล คาศัพท์พ้ืนฐานที่เก่ียวกับระบบฐานข้อมูล โปรแกรมฐานข้อมูลท่ีนิยมใช้ในปัจจุบัน และข้อดีของ การจดั เกบ็ ฐานข้อมูล ฐานขอ้ มลู (Database) หมายถึง การนาข้อมลู ท่ีมีความเก่ียวข้องสัมพนั ธก์ ันมารวบรวมกนั เป็นแฟ้มข้อมูล ต่าง ๆ จัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบในส่วนกลางโดยแฟ้มข้อมูลเหล่านั้นถูกจัดเก็บไว้ให้สัมพันธ์กัน และสามารถเรียกใช้ ข้อมูลมาใช้ร่วมกันได้ เนื่องจากฐานข้อมูลได้จัดเก็บข้อมูลแฟ้มต่าง ๆ ไว้ศูนย์กลาง ไม่กระจายอยู่ส่วนต่าง ๆ ดังนั้น แฟ้มข้อมูลท่ีจัดเก็บจึงไม่ซ้าซ้อนกัน ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลเหล่าน้ันมาใช้ได้ตามความต้องการของผู้ใช้และช่วยประหยัด เนื้อท่ีของสอ่ื บันทึกขอ้ มูล ฐานข้อมูลประกอบไปด้วยแฟ้มข้อมูล (File) หลาย ๆ แฟ้มข้อมูลโดยแฟ้มเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ เก่ียวข้องกันมารวมกันโดยแต่ละแฟ้มประกอบไปด้วย ระเบียนข้อมูล (Record) หลาย ๆ ระเบียน แต่ละระเบียนของ ขอ้ มลู นั้นมีรายละเอียด (Attribute) ทจี่ าเป็นของข้อมลู เก็บอยู่ซึ่งแฟม้ ข้อมูลนน้ั จะมีรายละเอียดข้อมูลเป็นอย่างไรนั้นก็ ขึ้นอย่กู บั การกาหนดขอบเขตของข้อมูลตามความจาเป็นและความต้องการของแตล่ ะหนว่ ยงาน ตวั อย่างเชน่ ระบบขาย สินค้าออนไลน์ ประกอบไปด้วยแฟม้ สนิ ค้า แฟม้ ลกู คา้ แฟ้มการขาย แฟม้ พนักงาน เป็นตน้ ฐานข้อมูลใน access มี object (ออบเจ็กต์) หรือวัตถุฐานข้อมูลประเภทต่างๆ ประกอบด้วย Table, Query, Form, Report, Macro และ Module โดยเก็บ object ทั้งหมดในฐานข้อมูลเดียว ซึ่งไฟล์ของ Access 2016 จะมีนามสกุลเป็น .accdb ส่วนไฟล์ฐานข้อมูลท่ีสร้างใน Access รุ่นก่อนหน้าจะมีนามสกุลเป็น .mdb แต่สามารถใช้ Access 2016 บันทึกเป็นแฟ้มข้อมูลเพื่อนาไปใช้งานกับเวอร์ชันก่อนหน้านน้ีได้ เช่น Access 2000 หรือ Access 2002-2003 ใน 1 ไฟล์ฐานข้อมูล database file อาจจะมี DATABASE FILE Table หรือตารางเพียง 1 หรือมากกว่า 1 ตาราง โดยมักจะเก็บ ไฟลฐ์ านข้อมลู ตารางข้อมูลที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันเพื่อนามาใช้งานร่วมกัน ภายหลังได้เรียกว่าเป็นฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ตัวอย่างเช่น เราสร้างฐานข้อมูลเก็บระบบการซื้อ ขายสินค้าของบริษัทซ่ึงจะต้องมีข้อมูลหลายกลุ่ม เช่น ข้อมูล ของสินค้า ข้อมูลของลูกค้า และข้อมูลของพนักงาน ที่จะแยก เก็บเป็นตารางๆไป เมื่อนาเข้าสู่ระบบการขายข้อมูลเหล่านี้ก็ต้องมา TABLE เช่ือมโยงกัน ได้เพื่อลดความซ้าซ้อนในการจัดเก็บข้อมูลเช่น ขายสินค้า ตาราง รหสั อะไรไป ขายให้กับลกู ค้าคนไหน และพนักงานคนไหนเปน็ คนขาย เปน็ ต้น กจ็ ะอา้ งอิงคยี ์เพื่อดึงข้อมูลจากตารางต่างๆ มาแสดงร่วมกันได้ เร่ิมตน้ การ ภาพท่ี 1.2 แสดง Database file ทางานจะเร่ิมจาก object Table แต่หลังจากนั้นเราสามารถนาเอาข้อมูลมา บริหารจัดการต่อด้วย object ตัวอื่น เช่น การนามาทารายงานสรุปสั่งพิมพ์ด้วย Report สร้างแบบฟอร์ม/แสดงกรอก ขอ้ มลู (Form) หรือคน้ หาขอ้ มลู ท่ีต้องการ (Query)
7 รายงานการขาย, ข้อมูลพนกั งาน ตรวจสอบ ผู้รับผิดชอบ คน้ หา, สรปุ ขอ้ มูล งาน วเิ คราห์ข้อมูล เงนิ เดอื น เก็บข้อมลู ฐานข้อมลู การขาย สนิ ค้า บรกิ าร ขอ้ มูลลูกคา้ บันทกึ การขาย. การตดิ ต่อ ออกใบเสร็จ. ใบกากบั สนิ คา้ ภาพท่ี 1.3 แสดงฐานข้อมูลการขาย ฐานขอ้ มูลจะประกอบไปดว้ ยแฟ้มข้อมลู ที่มีความสัมพันธก์ นั เกีย่ วข้องกัน โดยลกั ษณะการจดั เกบ็ ข้อมูลใน คอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จะเก็บข้อมูลในระบบดิจิตอล คือเก็บเป็นสถานะลอจิก 0 และลอจิก 1 เทียบได้กับระบบ เลขฐานสอง ซ่ึงประกอบไปด้วยตัวเลข 0 และ 1 ซึ่งหน่วยเก็บข้อมูลที่ดีจะมีลักษณะเป็นโครงสร้าง ซ่ึงควรประกอบไป ดว้ ย 1.2.1 บติ บิต (Bit, Binary Digit) คือ หน่วยเก็บข้อมูลที่มีขนาดเล็กที่สดุ เป็นข้อมูลท่ีจัดเก็บในลกั ษณะเลขฐานสอง คือ 0 และ 1 1.2.2 ไบต์ ไบต์ (Byte) หมายถึง หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนาบิตมารวมกันเป็นอักขระหรือตัวอักษร (Character) 1 ไบต์ จะประกอบด้วยข้อมูลเลขฐานสองจานวน 8 บิต เช่น A, B, C, ก, ข, ค, ง ฯลฯ หรือจานวนเต็ม 1 จานวน เปน็ ต้น 1.2.3 ฟิลด์ ฟลิ ด์ (Field) หมายถึงเขตข้อมลู หรือหน่วยของขอ้ มลู ท่ปี ระกอบขนึ้ จากไบต์หรอื อักขระตัง้ แต่ 1 ตัวข้ึนไป มารวมกันแลว้ ไดค้ วามหมายเป็นคา เป็นข้อความ หรือของส่ิงใดส่ิงหนง่ึ เชน่ ชอื่ ท่อี ยู่ เบอรโ์ ทร เงินเดือน เป็นต้น 1.2.4 เรคคอรด์ เรคคอร์ด (Record) หมายถึง ระเบียนหรือข้อมูลที่เกิดจากการนาเอาฟิลด์หรือเขตข้อมูลหลาย ๆ เขต ขอ้ มลู มารวมกันเป็นขอ้ มลู ของสงิ่ หน่ึง เช่น นายสมชาย ใจดี ท่ีอยู่กรุงเทพ เงนิ เดือน 30,000 บาท เป็นต้น
8 1.2.5 ไฟล์ ไฟล์ (File) แฟ้มข้อมูล หมายถึง หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนาข้อมูลหลาย ๆ ระเบียนท่ีเป็นเรื่อง เดียวกันเก็บไว้ดว้ ยกนั เชน่ แฟ้มขอ้ มูลพนักงาน แฟ้มขอ้ มูลนักศกึ ษา แฟ้มข้อมูลบคุ ลากร เปน็ ต้น 1.2.6 ฐานข้อมูล ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง การนาแฟ้มข้อมูลท่ีมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมาเก็บรวบรวมไว้ ดว้ ยกนั เพื่อลดความซ้าซอ้ นของข้อมูลและทาให้ผู้ใชส้ ามารถใชง้ านรว่ มกันได้ Database File File File File Field Field Field Field Field Byte Byte Bit Byte Byte Byte Bit Bit Bit Bit Bit แผนผงั ที่ 1.1 รปู แบบโครงสรา้ งฐานขอ้ มลู 1.3.1 เอนทติ ี้ เอนทติ ้ี (Entity) หมายถึง ชอ่ื ของสิ่งใดสิง่ หน่ึง ท่เี ราสนใจท่ีจะเก็บข้อมูลเอาไว้ เปรียบเสมือนคานาม เช่น เอนทติ ีพ้ นกั งาน เอนทติ ลี้ ูกคา้ เอนทติ ี้สนิ คา้ เปน็ ตน้ เอนติตี้ (Entity) อาจเรยี กวา่ Relation หรือ Table แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. Strong Entity คือ เกิดขึ้นด้วยตนเองไม่ขึ้นกับค่าของ Entity ใด เช่น นักศึกษา หรืออาจารย์ หรือ สินคา้ เป็นต้น 2. Weak Entity คือ เกิดข้ึนโดยอาศัย Entity อ่ืน เช่น เกรดเฉลี่ย ท่ีมาจากแฟ้มผลการเรียน และแฟ้ม ลงทะเบยี นเรียน หรือ แฟม้ ส่งั ซ้ือมาจากแฟ้มสนิ คา้ เปน็ ตน้ 1.3.2 แอทริบวิ ต์ แอทริบิวต์ (Attribute) หมายถึง รายละเอียดหรือคุณสมบัติของข้อมูลท่ีต้องการท่ีจะเก็บไว้ในเอนทิตี้ เชน่ เอนทติ ้ีพนกั งาน ประกอบด้วย แอทรบิ ิวต์ รหสั พนักงาน ช่อื นามสกลุ ที่อยู่ เบอรโ์ ทร เปน็ ต้น 1.3.3 รีเลชนั่ รีเลชั่น (Relation) หมายถงึ ตารางแบบ 2 มิติทป่ี ระกอบดว้ ยแต่ละแถวท่ีเรียกวา่ ทูเพิล (Tuple) และแต่ ละคอลัมน์ท่ีเรียกว่า แอตทริบิวต์ (Attribute) ซึ่งใช้เก็บข้อมูลตามท่ีผู้ใช้ต้องการ รูปแบบของรีเลชันสามารถเขียนแทน ดว้ ยสญั ลักษณ์ดงั น้ี EMPLOYEE (Emp_id, name, salary, address, dept_id)
9 1.3.4 ทเู พลิ ทเู พลิ (Tuple) หมายถึง ค่าของขอ้ มูลในแต่ละแถว (Row) หรอื เรคคอรด์ (Record) 1.3.5 คาร์ดินัลลิตี้ คาร์ดินัลลิตี้ (Cardinality) หมายถึง จานวนแถวของข้อมูลในรีเลชัน ค่าของคาร์ดินัลลิต้ีจะสามารถ เปล่ยี นแปลงไดต้ ลอดเวลาเนอื่ งจากอาจมีการเพม่ิ เติมหรอื ลบแถวข้อมูลในรีเลชนั ได้ตลอด 1.3.6 โดเมน โดเมน (Domain) หมายถึง ขอบเขตของค่าของขอ้ มูลทีค่ วรจะเป็นในแตล่ ะแอทรบิ ิวต์ 1.3.7 ค่าวา่ ง ค่าว่าง (Null Values) คือ แอททริบิวท์ที่ยังไม่ทราบค่าข้อมูลที่จะใส่ลงไป หรือไม่มีค่าของข้อมูลเก็บอยู่ แต่ค่าว่างนี้จะไม่ใช่ช่องว่าง (Blank) หรือเลข 0 เนื่องจากข้อมูลน้ันเป็นเพียงการไม่รู้หรือยังไม่พร้อมท่ีจะใส่ข้อมูลนั้น ๆ ซึง่ ตอนหลงั เราสามารถกลบั มาใสข่ ้อมลู น้นั ๆ ได้ 1.3.8 คยี ์ คีย์ (Key) ค่าของแอทริบิวต์ที่ถูกกาหนดให้เก็บค่าที่แสดงความเป็นเอกลักษณ์และค่าที่แสดงความ แตกต่างจากค่าอืน่ โดยคา่ เหล่านั้นทาหน้าที่แสดงความเป็นตัวตนของข้อมูลในระเบียนน้ัน ๆ เปรยี บเสมือนกุญแจท่ีเป็น ตัวไขให้รวู้ ่าขอ้ มูลระเบียนน้ันแตกต่างจากระเบียนอ่นื อย่างไร คีย์สามารถแบง่ ออกไดด้ ังน้ี 1. คีย์หลัก (Primary Key) คีย์ที่ทาหน้าที่หลักในการอ้างอิงหรือแสดงตัวตนข้อมูลในระเบียนโดยค่าที่ เก็บจะต้องไม่เป็นค่าว่าง (Null Value) และค่าไม่ซ้า (Unique Value) ตัวอย่างเช่น เอนทิต้ีพนักงาน(EMPLOYEES) ประกอบด้วย รหัสพนกั งาน (Emp_id) ช่ือ (First_name) นามสกลุ (Last_name) ค่าคอมมชิ ช่ัน (Commission_pct) เงินเดือน (Salary) ที่อยู่ (Address) และ รหสั แผนก (Dept_id) โดยสามารถเขียนให้อยู่ในตารางดงั น้ี Emp_id First_name Last_name Commission_pct Salary Address Dept_id 00001 ใจกลา้ สดุ ใจกลา้ 0.001 15,000 123 ปทุมธานี 01 00002 ใจดี สุขสุดใจ 0.01 25,000 456 ปทมุ ธานี 01 00003 ใจเย็น มคี วามสุข 0.01 35,000 789 ปทุมธานี 02 ตารางท่ี 1.1 การจดั เกบ็ ข้อมูลของคีย์หลัก EMPLOYEES แอทรบิ วิ ต์ท่ีทาหน้าท่ีเป็นคีย์หลักคือแอทริบิวต์ Emp_id ซึง่ คา่ ทเ่ี ก็บอยู่ในตารางจะต้องเป็นค่าที่ไม่ซ้ากัน และไม่เป็นคา่ วา่ ง ซ่งึ ในการสืบคน้ สามารถสืบคน้ ข้อมูลโดยใช้คา่ ทเี่ กบ็ อยู่ในแอทรบิ ิวตน์ ้ีได้ 2. คีย์คู่แข่ง (Candidate Key) คือคีย์ท่ีสามารถนามาสร้างเป็นคีย์หลักได้หลายฟิลด์โดยมีคุณสมบัติ เช่นเดียวกันกับคีย์หลักคือค่าไม่ซ้าและไม่มีค่าว่าง ตัวอย่างเช่น เอนทิตี้นักศึกษา (STUDENTS) ประกอบด้วย แอททิ บิวต์ รหสั บตั รประจาตวั ประชาชน (id_iden) รหัสนกั ศึกษา (Std_id) ช่ือ (First_name) นามสกลุ (Last_name) ทอ่ี ยู่ (Address) เบอรโ์ ทร (tel) เป็นตน้ จะเปน็ ไดว้ า่ มรี หัสบัตรประจาตวั ประชาชนและรหัสนักศึกษามีคณุ สมบตั ิของคีย์หลัก อยู่คือ ไม่ซ้าและไม่ว่าง ดังน้ันทั้งสองแอทริบิวต์นี้จึงสามารถนามาเป็นคีย์หลักได้จึงเรียกว่าเป็นคีย์คู่แข่ง (Candidate Key) แต่หลักสาคัญในการเลือกว่าแอทริบิวต์ทั้งสองนี้จะเลือกค่าใดเป็นคีย์หลักนั้นส่วนใหญ่แล้วจะดูที่จานวนข้อมูลท่ี เก็บว่ามีมากน้อยเพียงใด และควรเป็นตัวเลขเพ่ือให้ง่ายต่อการจา ดังนั้น หมายเลขบัตรประจาตัวประชาชนมี 13 หลัก ส่วนรหัสนักศึกษา ส่วนใหญ่ 10 หลัก ดังนั้น Attribute รหัสนักศึกษาจะถูกเลือกมาเป็นคีย์หลักเนื่องจากมีตัวเลขน้อย กวา่ น่ันเอง
10 3. คีย์ผสม (Composite Key) เป็นคีย์ท่ีเกิดจากการนาเอาข้อมูลในแอทริบิวต์หลาย ๆ แอทริบิวต์ มาประกอบกันเพ่ืออ้างอิงข้อมูลในระเบียนนั้น ตัวอย่างเช่น ต้องการทราบว่าพนักงานคนใดสังกัดแผนกใดจะต้องใช้คยี ์ สองตัวประกอบได้แก่ตารางพนักงานและตารางแผนก จะต้องใช้คีย์หลักของทั้งสองตารางมาประกอบกันเพ่ือให้ทราบ วา่ พนักงานคนนน้ั สงั กดั แผนกใด เป็นต้น 4. คีย์นอก (Foreign Key) คือ คีย์ท่ีทาหน้าที่เป็นคีย์หลักอีกตารางหนึ่งและทาหน้าท่ีเป็นคีย์ผสมในอีก ตารางหนึ่ง ซึ่งคีย์นอกน้ีจะทาให้ข้อมูลในแต่ละตารางสัมพันธ์เช่ือมโยงกัน ตัวอย่างเช่น ตารางการลงทะเบียนเรียน (Regiser) จะต้องนารหสั นกั ศึกษา(Std_id) กับรหสั วิชา (Sub_id) มาประกอบกัน 1.3.9 ความสัมพันธ์ ความสมั พนั ธ์ (Relationship) หมายถึง ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งเอนทิต้ีตงั้ แต่ 2 เอนทติ ้ขี ้ึนไป ตัวอยา่ งเช่น ตารางครูที่ปรึกษา (Adviser) มีความสัมพันธ์กับตารางกลุ่มนักศึกษา (Student_Group) สัญลักษณ์ท่ีใช้แทน ความสัมพนั ธค์ อื รูปส่ีเหล่ียมข้าวหลามตดั ท่ีมชี ่อื ของความสมั พนั ธ์น้ันกากับอยู่ภายในเช่น Adviser have Student_Group โดยความสัมพันธข์ องตารางเราสามารถกาหนดได้เป็น 3 ลักษณะคอื 1. ความสัมพันธ์แบบหน่ึงต่อหน่ึง (One–to–One Relationship, 1 : 1) คือ ตารางสองตารางมี ความสัมพันธ์กัน และมีข้อมูลเพียงแถวเดียวจากตารางหนึ่งไปสัมพันธ์กับค่าข้อมูลในแถวใด ๆ ในอีกตารางหน่ึงเพียง แถวเดยี ว ตัวอย่างเชน่ ความสัมพันธ์ของตารางนกั ศกึ ษากบั ตารางสตู ิบัตร ซง่ึ มีความสมั พันธ์แบบ 1:1 ดังแผนภาพ Student 1 has 1 Birth certificate จากแผนภาพสามารถอธิบายได้ว่านกั ศึกษา 1 คน มีสูติบัตรได้เพียง 1ใบ และ สูติบัตร 1 ใบน้ัน เป็นของ นักศกึ ษาเพียง 1 คน 2. ความสัมพันธ์แบบหนึ่งต่อหลาย (One to Many Relationship, 1 : N) คือ มีข้อมูลเพียงแถวเดียว จากตารางหนึ่งไปสัมพันธ์กับข้อมูลในแถวใด ๆ ในอีกตารางหน่ึงแบบหลายค่า ยกตัวอย่างเช่น ตารางแผนกวิชา (department) กบั ตารางนกั ศึกษา (Student) มคี วามสมั พนั ธ์กนั ดงั น้ี Department in N Student 1 จากแผนภาพสามารถอธิบายได้ว่าแผนกหน่ึงแผนกมีนักศึกษาสังกัดอยู่หลายคน และ นักศึกษาแต่ละคน สงั กดั ได้เพยี ง 1 แผนกเทา่ นั้น 3. ความสมั พนั ธ์แบบหลายต่อหลาย (Many to Many Relationship ,M:N) คอื มขี ้อมูลสัมพันธ์กันแบบ หลายด่าในแตล่ ะตารางตวั อยา่ งเช่น ตารางนกั ศกึ ษา (Student) กับ ตารางภาควชิ า ซ่งึ มีความสัมพันธก์ นั ดังน้ี Student Enroll in Course NM จากแผนภาพสามารถอธิบายได้ว่านักศึกษาสามารถลงทะเบียนเรียนได้หลายรายวิชาและรายวิชาแต่ละ รายวชิ ามีนักศกึ ษาลงทะเบยี นเรยี นหลายคน
11 ขอ้ มลู (Data) เปน็ พหูพจน์ของคาวา่ Datum หมายถงึ ความจริงทเี่ ป็นตัวเลข ขอ้ ความ หรือ รายละเอียด ในรปู แบบตา่ ง ๆ ของสิ่งท่เี ราสนใจ ไมว่ ่าจะเปน็ คน สตั ว์ ผลิตภณั ฑ์ สถานการณ์ เหตุการณ์ หรือสิง่ อื่น ๆ ข้อมูล (Data) เป็นองค์ประกอบท่ีสาคัญส่วนหนึ่งของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ (Computer Information Systems) การจัดการข้อมูล (Data Management) เป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งในการบริหารองค์กรให้มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในยุคของเทคโนโลยีข่าวสารคอมพิวเตอร์ท่ีเจริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว การจัดการและบริหาร องคก์ รให้ประสบความสาเร็จนน้ั ตอ้ งอาศัยการตัดสินใจท่ีถกู ตอ้ ง รวดเรว็ และทนั ต่อเหตุการณ์ ถือ เป็นหวั ใจของการทา ธรุ กจิ ในยุคปัจจบุ ัน ดังนนั้ การจดั การขอ้ มูลให้มปี ระสิทธภิ าพเพ่ือใชเ้ ป็นข้อมลู ประกอบการตัดสินใจที่ถกู ต้อง จะช่วยให้ องค์กรอยู่รอดได้ในยคุ ที่ตอ้ งแข่งขันกับองค์กรอืน่ ๆ 1.4.1 ข้อมูลและสารสนเทศ ระบบสารสนเทศจะประกอบไปด้วยส่วนนาเข้า ส่วนประมวลผล และส่วนผลลัพธ์ ซึ่งตัวข้อมูลจะเป็น วัตถุดิบของระบบในส่วนนาเข้า เพื่อประมวลผลข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน และได้สารสนเทศเป็นผลลัพธ์ของระบบ สารสนเทศ ระบบสารสนเทศในปัจจุบันน้ีได้นาเอาเครื่องคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ เพื่อให้การประมวลผลทาได้รวดเร็วขน้ึ และเพอ่ื ใหส้ ารสนเทศทไ่ี ด้มีคณุ ภาพทน่ี ่าเช่อื ถือมากขึน้ ในการประมวลผลข้อมูลไมว่ ่าจะเป็นวธิ ีประมวลข้อมูลด้วยมือ (Manual Data Processing) การประมวล ขอ้ มูลดว้ ยเคร่ืองจกั รกล (Mechanical Data Processing) หรือใชเ้ คร่อื งคอมพวิ เตอร์ (Electronic Data Processing : EDP) จะมีขน้ั ตอนดงั นี้ คือ Data Input Data Processing Data Output (การนาข้อมลู เขา้ ) (การประมวลผลขอ้ มลู ) (การนาเสนอขอ้ มลู ) ภาพที่ 1.4 แสดงการประมวลผลข้อมูล 1.4.2 การจัดแบง่ ขอ้ มูลในด้านการบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ 1. ข้อมูลเชิงจานวน (Number Data) หมายถึง ข้อมูลที่บันทึกเป็นตัวเลข อาจนามาใช้คานวณได้ เช่น ข้อมลู น้าฝนประจาวันทเี่ กบ็ บันทึกโดยกรมอุตุนิยมวิทยา เงนิ เดอื นขา้ ราชการ 2. ข้อมูลอักขระ (Character Data) หรือข้อความ (Text) หมายถึง ข้อมูลที่เป็นตัวอักษรและสัญลักษณ์ ซงึ่ แสดงออกมาได้ จัดเรียงลาดับได้ แต่นาไปคานวณไม่ได้ เช่น รหสั พนกั งาน 3. ข้อมลู กราฟกิ (Graphic Data) หมายถึง ข้อมลู ท่เี ป็นจดุ พกิ ดั ของรปู หรือแผนท่ี นยิ มใชใ้ นการออกแบบ สนิ คา้ ผลิตภัณฑ์ แบบกอ่ สร้างอาคาร 4. ข้อมูลภาพลักษณ์ (Scanner) หมายถึง ข้อมูลที่แสดงความเข้มและสีของรูปภาพ หรือเอกสารท่ีใช้ เคร่ืองสแกนเนอร์ (Scanner) บันทึกไว้ในคอมพิวเตอร์ ข้อมูลประเภทน้ีสามารถนามาแสดงทางจอภาพได้ สามารถย่อ ขยายได้ แต่ไม่สามารถนามาคานวณได้การที่ต้องมีข้อมูลต่าง ๆ ในระบบคอมพิวเตอร์น้ัน เป็นเพราะขีดจากัดในการ ทางานของเครอ่ื งคอมพวิ เตอร์ และเพอื่ ความสะดวกในการใช้งาน
12 1.4.3 กรรมวิธีขอ้ มูล งานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์น้ันมีหลายอย่างด้วยกัน เรารวมเรียกงานเหล่าน้ี ว่า “กรรมวธิ ขี อ้ มลู ” ซึ่งมีรายละเอียดดงั นี้ 1. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection) คือ การเก็บข้อมูลที่เราสนใจจากต้นกาเนิดข้อมูลปัจจุบัน บรษิ ทั ชนั้ นาพยายามนาระบบอัตโนมตั ิมาใช้ในการเก็บข้อมลู มากขนึ้ เชน่ ใชร้ หัสแทง่ (Barcode) ในการเก็บขอ้ มลู 2. การบันทึกข้อมูลเก็บลงบนสื่อข้อมูล (Recording) ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีนาเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์น้ันต้อง บันทึกลงบนส่ือข้อมูลสาหรับเอาไว้ใชง้ านนาน ๆ หรือเพื่ออ้างอิงในภายหลัง สื่อข้อมูลที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีอยู่หลายชนิด ดว้ ยกนั เชน่ จานแมเ่ หลก็ (Magnetic Disk) เทปแมเ่ หลก็ (Magnetic Tape) แผ่นดิสเก็ตต์ (Floppy Disk) แผ่นซีดีรอม (CD-ROM) 3. การตรวจสอบความถูกต้อง (Data Edit) ซ่ึงแยกได้ 2 แบบ คือ Verification เป็นการตรวจวา่ ข้อมูลท่ี บันทึกไว้น้ันตรงกับข้อมูลที่ปรากฏบนเอกสารฉบับข้อมูลหรือไม่ กับแบบ Validation เป็นการตรวจสอบว่าข้อมูลน้ัน ใช้ไดห้ รือไม่ เชน่ ใช้อักษร M กบั F แทนรหัสเพศ ก็ตอ้ งตรวจสอบวา่ ข้อมลู ตอ้ งไมเ่ ป็นช่องว่างหรือใส่รหสั G ไมไ่ ด้ 4. การประมวลผล (Data Processing ) เป็นการนาข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ ท่ีบันทึกเอาไว้แล้วมา คานวณหรือประมวลผลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อจัดทาเป็นสารสนเทศ และรายงานต่าง ๆ โดยการประมวลผลนั้นใช้ คอมพวิ เตอรเ์ ป็นเคร่อื งมอื สาคญั 5. การแสดงผลลพั ธ์ (Data Output) คอื การนาผลลพั ธท์ ีป่ ระมวลไดม้ าแสดงในรูปแบบตา่ ง ๆ ตามทีผ่ ูใ้ ช้ ต้องการ คอมพิวเตอร์อาจแสดงผลลัพธ์ได้โดยใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เครื่องพิมพ์ (Printer) เครื่องพิมพ์เลเซอร์ (Laser Printer) จอภาพ ลาโพง 6. การจัดสาเนาผลลัพธ์และรายงาน (Copying) ผลลัพธ์บางอย่างที่ได้จากคอมพิวเตอร์น้ัน เราจาเป็น จะต้องจัดทาหลายชุดเพื่อเผยแพร่ ดังน้ัน จึงต้องใช้เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องพิมพ์ กล้องถ่ายรูป และอุปกรณ์อ่ืน ๆ จดั ทาผลลัพธร์ ายงานออกมาหลาย ๆ ชุดเพ่ือเผยแพร่ 7. การส่อื สารขอ้ มูล (Data Communication) คือ กระบวนการส่งต่อข้อมูลไปยังหนว่ ยอืน่ หรือลาดับขั้น อืน่ โดยใช้อุปกรณส์ อ่ื สารแบบต่าง ๆ เช่น โทรศพั ท์ โทรเลข โทรสาร ระบบเคเบิลใต้น้า ระบบดาวเทียม 8. การสารองข้อมูล (Backup) ข้อมูลของบริษัทและหน่วยงาน คือ ทรัพยากรท่ีมีค่าอย่างย่ิง ถ้าหากสูญ หายหรือถูกทาลายไปจะก่อให้เกิดปัญหาอย่างมากต่อการดาเนินงาน ดังน้ัน จึงต้องสารองข้อมูลท่ีอยู่ในระบบ คอมพวิ เตอรม์ าเก็บไว้ในส่ือต่าง ๆ สาหรับนามาใชใ้ หมเ่ มือ่ ข้อมูลเดิมถูกทาลายหรอื มีปัญหา 9. การบีบอัดข้อมูล (Data Compression) เป็นเทคนิคท่ีช่วยลดขนาดพ้ืนท่ีเก็บข้อมูลที่จะต้องส่งจากท่ี หน่ึงไปอีกท่ีหน่ึง เพื่อให้สามารถส่งไปได้เร็วขึ้น มีความสาคัญมากต่อการประชุมทางไกลซ่ึงต้องส่งทั้งข้อมูลภาพและ เสียงไปทางเครอื ขา่ ยคอมพิวเตอร์ 10. การเข้ารหัสข้อมูล (Coding) เป็นเทคนิคท่ีช่วยให้สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ปลอดภัย ไม่ต้องกลัวถูก ผู้อื่นคัดลอกไป เพราะข้อมูลถูกเปลี่ยนเป็นรหัสที่อ่านไม่เข้าใจ ถึงจะพยายามแกะรหัสก็ไม่เป็นประโยชน์ เพราะจะต้อง เสยี เวลานานมาก 1.4.4 หนว่ ยข้อมูลในระบบคอมพวิ เตอร์ ระบบเคร่ืองคอมพิวเตอร์ ไม่ว่าขนาดเล็กหรือใหญ่จะมีข้อมูล หน่วยที่เล็กที่สุดที่ถูกกาหนดไว้ ซึ่งคอมพิวเตอร์จัดเก็บและนาไปใช้ได้คือ “บิต” หรือไบนารีดิจิต (Binary Digit) จานวน 1 บิต (1 ตาแหน่ง นั่นเอง) ซึง่ สามารถถูกแทนค่าด้วยตัวเลขได้ 2 ค่า เป็น 1 หรือ 0 จานวนหลายๆ บิตรวมกัน ทาใหเ้ กดิ เปน็ หน่วยวัดอ่นื ๆ ดงั นี้
13 Data Measurement Size 1 Bit Single Binary Digit (1 or 0) 1 Byte 8 bits 1 Kilobyte (KB) 1,024 Bytes 1 Megabyte (MB) 1,024 Kilobytes 1 Gigabyte (GB) 1,024 Megabytes 1 Terabyte (TB) 1,024 Gigabytes 1 Petabyte (PB) 1,024 Terabytes 1 Exabyte (EB) 1,024 Petabytes ตารางที่ 1.2 แสดงหนว่ ยข้อมูลในระบบคอมพวิ เตอร์ ดังนั้น หน่วยที่เล็กที่สุดของระบบคอมพิวเตอร์คือ บิต(bit) และหน่วยที่เล็กท่ีสุดของระบบข้อมูลคือ ไบต์ (Byte) ในปัจจุบันอุปกรณ์บันทึกข้อมูลและหน่วยความจาต่างๆจะใช้หน่วยความจุเป็น KB, MB, GB , และ TB เท่านั้น สาหรับหน่วย PB, EB, ZB, และ YB ยังไม่มีอุปกรณ์หรือหน่วยความจาใดสามารถทาความจุได้มากขนาดน้ันจึงยังไม่มี การใชใ้ นปัจจุบัน 1.5.1 สามารถลดความซ้าซอ้ นของขอ้ มลู ได้ การเก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ที่ ทาให้เกิดความซ้าซ้อน (Redundancy) ดังน้ัน การนาข้อมูลมารวมเก็บไว้ในฐานข้อมูล จะชว่ ยลดปญั หาการเกิดความซา้ ซ้อนของข้อมูลได้ โดยระบบจดั การฐานข้อมูล (Database Management System : DBMS) จะชว่ ยควบคมุ ความซา้ ซอ้ นได้ เนือ่ งจากระบบจัดการฐานข้อมูลสามารถ เรยี กใชง้ านและสืบค้นไดต้ ลอดเวลาวา่ มขี ้อมูลซ้าซ้อนกันอยูท่ ่ีใดบา้ ง 1.5.2 หลกี เลี่ยงความขดั แยง้ ของขอ้ มลู ได้ หากมีการเก็บข้อมูลจานวนมาก ๆ ชนิดเดียวกันไว้หลาย ๆ ท่ีและมีการปรับปรุงข้อมูลชุดเดียวกันน้ี แต่ปรับปรุงไม่ครบทุกที่ท่ีมีข้อมูลเก็บอยู่ก็จะทาให้เกิดปัญหาข้อมูลชุดเดียวกัน อาจมีค่าไม่เหมือนกันในแต่ละที่ท่ีเก็บ ข้อมลู อยู่ จงึ กอ่ ใหเ้ กิดความขัดแย้งของขอ้ มูลขึน้ (Inconsistency) 1.5.3 สามารถใชข้ อ้ มูลรว่ มกนั ได้ ระบบฐานข้อมูลจะเป็นการจัดเก็บข้อมูลรวมไว้ด้วยกัน ดังนั้นหากผู้ใช้ต้องการเรยี กใชข้ ้อมูลในฐานข้อมลู ที่มาจากแฟ้มข้อมลู ต่าง ๆ กส็ ามารถใชค้ าสัง่ เพือ่ แสดงขอ้ มลู เหลา่ นนั้ ได้ 1.5.4 สามารถรกั ษาความถกู ตอ้ งเช่ือถอื ได้ของข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลในบางครั้งอาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น เช่น จากการท่ีผู้ป้อนข้อมูลป้อนข้อมูลผิดพลาดคือ ป้อนจากตัวอักษรหนึ่งไปเป็นตัวอักษรหน่ึง ซ่ึงผู้ใช้หลายคนต้องใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลร่วมกัน หากผู้ใช้คนใดคนหน่ึง แก้ไขขอ้ มูลผดิ พลาดก็ทาให้ผู้อน่ื ไดร้ ับผลกระทบตามไปดว้ ย ในระบบจดั การฐานข้อมลู (DBMS) จงึ สามารถใส่กฎเกณฑ์ (Constraint) เพื่อควบคุมความผดิ พลาดทเี่ กดิ ขึ้นจากกรณดี ังกลา่ วได้
14 1.5.5 สามารถกาหนดความเปน็ มาตรฐานเดียวกนั ของข้อมูลได้ การเก็บข้อมูลร่วมกันไว้ในฐานข้อมูลจะทาให้สามารถกาหนดมาตรฐานของข้อมูลไดร้ วมทั้งมาตรฐานตา่ ง ๆ ในการจัดเก็บข้อมูลใหเ้ ป็นไปในลกั ษณะเดียวกันได้ เช่น การกาหนดรูปแบบของข้อมูล(Data Type) ให้เป็นตัวอกั ษร จานวนเตม็ จานวนทศนิยม หรือวนั ท่ี เป็นต้น ท้ังน้ผี ู้บริหารฐานขอ้ มลู (Database Administrator : DBA) จะทาหนา้ ท่ี กาหนดมาตรฐานและรูปแบบตา่ ง ๆ 1.5.6 สามารถกาหนดระบบความปลอดภยั ของขอ้ มลู ได้ ในระบบฐานข้อมูลสามารถป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ท่ีไม่มีสิทธิเข้ามาใช้งาน หรือมาเห็นข้อมูลบางอย่างในระบบ ผู้บรหิ ารฐานขอ้ มลู จะสามารถกาหนดระดบั การใช้งานข้อมลู ของผู้ใช้แต่ละคนได้ตามความเหมาะสม 1.5.7 เกดิ ความเปน็ อสิ ระของข้อมลู ในระบบบริหารฐานข้อมูลจะมีตัวจัดการฐานข้อมูลที่ทาหน้าท่ีเป็นตัวเชื่อมโยงกับฐานข้อมูล โปรแกรม ต่าง ๆ อาจไม่จาเป็นต้องมีโครงสร้างข้อมูลเหมือนกันทุกคร้ัง ดังน้ันการแก้ไขข้อมูลบางคร้ัง จึงอาจกระทาเฉพาะกับ โปรแกรมท่ีเรียกใช้ข้อมูลท่ีเปลี่ยนแปลงเท่าน้ัน ส่วนโปรแกรมท่ีไม่ได้เรียกใช้ข้อมูลดังกล่าวก็จะเป็นอิสระจากการ เปลยี่ นแปลง ระบบจัดการฐานข้อมูล มีหน้าที่ในการจัดการเก่ียวกับการเก็บรักษาและเรียกคืนข้อมูลภายในฐานข้อมลู ให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยจะเป็นตัวกลางระหว่างโปรแกรมใช้งาน (Application Program) กับระบบฐานข้อมูล (Database System) เป็นเครื่องมือท่ีช่วยอานวยความสะดวกให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ โดยท่ีผู้ใช้ไม่จาเป็นต้อง รับรู้เก่ียวกับรายละเอียดภายในโครงสรา้ งฐานข้อมูล DBMS นี้เป็นตัวกลางในการเชือ่ มโยงระหว่างผู้ใช้ และโปรแกรม ตา่ ง ๆ ท่เี กีย่ วขอ้ งกับระบบฐานข้อมูล 1.6.1 หลกั การพ้นื ฐานของระบบจัดการฐานขอ้ มูล DBMS เป็นซอฟต์แวร์ท่ีถูกใช้งานในด้านการจัดการฐานข้อมูล เพ่ือให้ DBMS เป็นส่ือกลางระหว่าง โปรแกรมการใช้งาน (Application Program) ท่ีต้องการรับระเบียนข้อมูลกับฐานข้อมูลที่รอการประมวลผลน่ันคือ DBMS จะคอยผ่านข้อมลู ไปมาระหว่างโปรแกรมและฐานข้อมลู ในการส่งผ่านสารสนเทศ (Information) ของ DBMS น้ี จะตอ้ งมบี างสิ่งทเ่ี ป็นตวั บอก DBMS วา่ ข้อมูลภายในฐานข้อมลู นน้ั มลี กั ษณะเช่นใดและสง่ิ นั้นคือ ภาษากาหนดลกั ษณะ ข้อมูล (Data Definition Language : DDL) ภาษากาหนดลักษณะของข้อมูลนี้จะจัดเตรียมรายละเอียดของฐานข้อมูล ใหอ้ ยูใ่ นรปู แบบท่ี DBMS สามารถแปลความได้ นอกจากงานท่ี DDL รบั ผดิ ชอบนแี้ ลว้ DBMS ยงั ตอ้ งทราบถงึ วิธีการใน การติดต่อกับโปรแกรมใช้งาน ในส่วนน้ีก็มีภาษาจัดการข้อมูล (Data Definition Language : DDL) เป็นตัวทาหน้าท่ี แทน ดังนน้ั การสร้าง DBMS ขน้ึ มาจงึ ต้องใช้ DDL และ DML ประกอบกนั ไป หนา้ ท่ีของระบบจัดการฐานขอ้ มูล มีดังน้ี 1. กาหนดมาตรฐานขอ้ มูล 2. ควบคุมการเข้าถงึ ข้อมลู แบบตา่ ง ๆ 3. ดแู ล–จดั เก็บข้อมูลใหม้ คี วามถกู ต้องแมน่ ยา 4. จัดการเร่อื งการสารองและฟน้ื สภาพแฟม้ ขอ้ มูล 5. จัดระเบียบแฟ้มทางกายภาพ (Physical Organization) 6. รักษาความปลอดภยั ของขอ้ มลู ภายในฐานขอ้ มลู และป้องกนั ไมใ่ ห้ข้อมลู สูญหาย 7. บารุงรักษาฐานขอ้ มลู ใหเ้ ป็นอิสระจากโปรแกรมแอพพลเิ คชนั อืน่ ๆ 8. เชือ่ มโยงข้อมูลทีม่ คี วามสัมพนั ธเ์ ขา้ ดว้ ยกนั เพื่อรองรบั ความต้องการใช้ข้อมูลในระดับตา่ ง ๆ
15 โปรแกรมรบั นกั ศกึ ษาใหม่ DBMS Database System โปรแกรมตดั ผลกจิ กรรม Student.Mdb โปรแกรมเช็คเวลาเรียน Teacher.Mdb Subject.Mdb ภาพท่ี 1.5 แสดงหน้าทขี่ องระบบจัดการฐานข้อมลู โปรแกรมฐานข้อมูล เป็นซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมท่ีช่วยจัดการข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในฐานข้อมูล ทั้งการ จัดเก็บ การเรียกใช้ และการปรับปรุงข้อมูล โปรแกรมฐานข้อมูลจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ซ่ึง โปรแกรมฐานขอ้ มลู ทน่ี ิยมใชม้ ีอย่ดู ว้ ยกันหลายโปรแกรม เช่น Microsoft Access, Visual FoxPro, dBase, FoxBase, Oracle, SQL เป็นต้น โดยแตล่ ะโปรแกรมจะมคี วามสามารถตา่ งกนั บางโปรแกรมใช้ง่ายแตจ่ ะจากัดขอบเขตการใช้งาน บางโปรแกรมใช้งานยากกวา่ แตจ่ ะมีความสามารถในการทางานมากกว่า โปรแกรมฐานขอ้ มลู ท่ีนิยมใช้ในปจั จุบัน ไดแ้ ก่ 1.7.1 โปรแกรม Microsoft Access โปรแกรม Microsoft Access เป็นโปรแกรมจัดการระบบฐานข้อมูลท่ีช่วยจัดการกับระบบฐานข้อมูลได้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การจัดเก็บ ค้นหา วิเคราะห์ และนาเสนอข้อมูล ซึ่งโปรแกรม Access สามารถทาได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว โปรแกรม Microsoft Access ได้มีการปรับปรุงคุณภาพของโปรแกรมในหลาย ๆ ด้านเพื่อให้การ จัดการระบบฐานขอ้ มูลเป็นไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพเพิ่มมากขึ้น เปน็ โปรแกรมประเภทจดั การฐานข้อมูลเชิงสัมพนั ธ์ ทท่ี า กนั ในสานักงาน หรอื องคก์ รขนาดเลก็ และยงั สามารถเขียนกลุม่ โปรแกรม (แมโคร และ มอดูล) ของ วชิ วลเบสกิ เพ่ือใช้ ในการทางานได้ โปรแกรม Access ยงั สามารถเชือ่ มตอ่ กบั ฐานข้อมูล Microsoft SQL Server ได้ดว้ ย 1.7.2 โปรแกรม Microsoft Visual FoxPro โปรแกรม Microsoft Visual FoxPro เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลท่ีมีผู้ใช้งานมากท่ีสุด เน่ืองจากใช้ง่ายท้ัง วิธีการเรียกจากเมนูของ FoxPro และประยุกต์โปรแกรมข้ึนใช้งาน โปรแกรมที่เขียนด้วย FoxPro จะสามารถใช้กลับ dBase คาส่ังและฟังก์ชันต่าง ๆ ใน dBase จะสามารถใช้งานบน FoxPro ได้ นอกจากนี้ใน FoxPro ยังมีเคร่ืองมือชว่ ย ในการเขยี นโปรแกรม เชน่ การสรา้ งรายงาน เป็นตน้ 1.7.3 โปรแกรม dBase โปรแกรม dBase เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลชนิดหนึ่ง การใช้งานจะคล้ายกับโปรแกรม FoxPro ข้อมูล รายงานที่อยู่ในไฟล์บน dBase dBASE การจัดการฐานข้อมูลและ สเปรดชีทระบบ แม้ระบบที่ไม่ได้ใช้รูปแบบ dBASE ภายในสามารถที่จะ นาเข้า และ ส่งออก ข้อมูลในรูปแบบ dBase Processor ได้ และแม้แต่ Excel ก็สามารถอ่านไฟล์ .DBF ทส่ี รา้ งข้ึนโดยโปรแกรม dBase ไดด้ ว้ ย 1.7.4 โปรแกรม SQL โปรแกรม SQL เป็นโปรแกรมฐานข้อมูลที่มีโครงสร้างของภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพการทางานสูง การดาเนินงานท่ีพบมากที่สุดใน SQL เป็นแบบสอบถาม (Query) โปรแกรม SQL จึง เหมาะท่ีจะใช้กับระบบฐานข้อมูลเชงิ สมั พันธ์ และเป็นภาษาหน่งึ ที่มีผ้นู ิยมใช้กันมาก โดยทั่วไปโปรแกรมฐานข้อมูลของ บริษัทต่าง ๆ ท่มี ใี ชอ้ ยใู่ นปัจจุบัน เชน่ Oracle, DB2 เปน็ ตน้
16 1.7.5 โปรแกรม Oracle โปรแกรม Oracle โปรแกรมจัดการฐานข้อมูล ซ่ึงเป็นโปรแกรมจัดการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หรือ RDBMS (Relational Database Management System) ตวั โปรแกรมนจี้ ะทาหนา้ ท่เี ปน็ ตวั กลางคอยติดต่อ ประสาน ระหว่างผู้ใช้และฐานข้อมูล ทาให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานฐานข้อมูลได้สะดวกข้ึน เช่น การค้นหาข้อมูลต่าง ๆ ภายใน ฐานขอ้ มูลที่ง่ายและสะดวก โดยผใู้ ช้ไม่จาเป็นต้องทราบถงึ โครงสร้างภายในของฐานข้อมูลก็สามารถเข้าใชฐ้ านข้อมูลน้ัน ได้ การจดั เก็บข้อมูลไม่สามารถจดั เกบ็ ลงในแผ่นกระดาษเหมือนในอดีตท่ีผา่ นมา แต่ข้อมูลได้ถูกนามาบันทึก ลงในระบบคอมพิวเตอร์ ในวงการศึกษา วงการธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่หรือเล็ก จึงจัดเก็บข้อมูลลงในแฟ้ม ในระบบคอมพิวเตอร์โดยอาจจะใช้โปรแกรม (Software) ท่ีแตกต่างกันไปทั้งน้ีก็ขึ้นอยู่กับขนาดของข้อมูล และความสาคัญของข้อมูลด้วย เชน่ รา้ นค้าเล็กๆอาจใชโ้ ปรแกรม Word หรอื Excel จัดเก็บขอ้ มูลพ้นื ฐาน และนามาใช้ เพียงแค่เก็บเอาไว้ดูภายหลัง ส่ังพิมพ์รายงาน หรือนามาอ้างอิง แต่ถ้าเป็นธุรกิจมีข้อมูลท่ีต้องบริหารจดั การจานวนมาก และต้องการจัดการให้เป็นระบบ เพื่อช่วยให้การจัดการ เข้าถึง ค้นหาหรือเรียกใช้ได้แบบรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยา ก็จะจัดเก็บในโปรแกรมท่ีมีความสามารถและออกแบบมาสาหรับการจัดเก็บฐานข้อมูล โดยเฉพาะ Access ซ่ึงจะทาให้ ธรุ กิจมีความแม่นยาสงู รวดเร็วในการจัดการ ลดข้อจากดั เรือ่ งระยะเวลา ลดเวลาในการดาเนนิ งานไดอ้ ย่างมาก ระบบจัดการฐานข้อมูลจะช่วยควบคุมเพื่อลดความซับซ้อนข้อมูลได้หากมีการจัดเก็บข้อมูลชนิด เดยี วกันไวห้ ลายๆที่ Data Sharing การใช้ข้อมูลร่วมกันได้ ข้อมูลถูกรวบรวมไว้ที่เดียวกันอย่างเป็นระบบ การแชร์ขอ้ มลู ทจ่ี าเปน็ ต้องใชง้ านร่วมกนั ระหว่างหลายๆหนว่ ยงานหรือผู้ใชห้ ลายๆคน ควบคุมความคงสภาพของข้อมูล การใช้ข้อมูลร่วมกันทาให้เลือกใช้กฎการคง สภาพของขอ้ มูลเดียวกันเพ่อื ให้ถกู ตอ้ งตรงกนั ได้ง่าย การจัดการข้อมูลในฐานข้อมูลจะทาได้ง่ายโดยเรียกดูข้อมูลด้วยภาษา มาตรฐาน SQL ซ่ึงเป็นมาตรฐานของฐานขอ้ มลู ทวั่ ไป ควบคุมการใช้ฐานข้อมูลของผู้ใช้หลายคน ในระบบฐานข้อมูลผู้ใช้จะเรียกใช้ ข้อมูลพร้อมกันหลายๆคนได้และสร้างการรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมลู ได้ โอกาสท่ีจะสูญเสียข้อมูลมีน้อยมาก (Recovery System) ระบบฐานข้อมูลจึงมี กลไกที่ชว่ ยสารองและกขู้ อ้ มูลคืน (Recovery) ในเวลาอันรวดเรว็ ข้อมูลเป็นอิสระจากโปรแกรมท่ีใช้งาน (Data Independence) จะใช้โปรแกรมใดถ้าเรียกตามวธิ ีที่ กาหนดกจ็ ะเรียกใชห้ รือแก้ไขข้อมลู ไดเ้ หมอื นกนั ภาพท่ี 1.6 แสดงข้อดขี องการจัดเกบ็ ฐานข้อมูล
17 ฐานข้อมูล (Database) หมายถึง การนาข้อมูลท่ีมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันมารวบรวมกันเป็น แฟ้มข้อมูลต่าง ๆ จัดเก็บไว้อย่างเป็นระบบในส่วนกลางโดยแฟ้มข้อมูลเหลา่ นั้นถูกจัดเก็บไว้ให้สัมพันธก์ ัน และสามารถ เรียกใช้ข้อมูลมาใช้ร่วมกันได้ เน่ืองจากฐานข้อมูลได้จัดเก็บข้อมูลแฟ้มต่าง ๆ ไว้ศูนย์กลาง ไม่กระจายอยู่ส่วนต่าง ๆ ดังน้ันแฟ้มข้อมูลท่ีจัดเก็บจึงไม่ซ้าซ้อนกัน ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลเหล่าน้ันมาใช้ได้ตามความต้องการของผู้ใช้และช่วย ประหยัดเนื้อทีข่ องสอื่ บันทกึ ข้อมูล โครงสร้างของระบบฐานขอ้ มูล ประกอบไปด้วย บติ คอื หนว่ ยเก็บขอ้ มลู ทีม่ ีขนาดเลก็ ทสี่ ดุ ไบตค์ ือ หน่วย ของข้อมูลที่เกิดจากการนาบิตมารวมกันเป็นอักขระหรือตัวอักษร ฟิลด์คือ เขตข้อมูล หรือหน่วยของข้อมูลที่ประกอบ ข้ึนจากไบต์หรืออักขระตั้งแต่ 1 ตัวขึ้นไป มารวมกันแล้วได้ความหมายเป็นคา เรคคอร์ดคือ ระเบียนหรือข้อมูลท่ีเกิด จากการนาเอาฟิลด์หรือเขตข้อมูลหลาย ๆ เขตข้อมูลมารวมกันเป็นข้อมูลของสิ่งหน่ึง ไฟล์คือ หน่วยของข้อมูลที่เกิด จากการนาข้อมูลหลาย ๆ ระเบียนทเี่ ป็นเร่อื งเดยี วกันเก็บไวด้ ้วยกนั คาศัพท์พื้นฐานเกีย่ วกับระบบฐานข้อมลู 1. เอนทิต้ี (Entity) หมายถึง ช่ือของสิ่งใดส่ิงหน่ึง ท่ีเราสนใจท่ีจะเก็บข้อมูลเอาไว้ เปรียบเสมือน คานาม 2. แอทริบิวต์ (Attribute) หมายถึง รายละเอียดหรือคุณสมบัติของข้อมูลที่ต้องการที่จะเก็บไว้ใน เอนทิต้ี 3. รเี ลช่นั (Relation) หมายถงึ ตารางแบบ 2 มติ ิท่ปี ระกอบด้วยแต่ละแถวท่ีเรยี กวา่ ทูเพลิ (Tuple) และแตล่ ะคอลัมนท์ ่ีเรียกว่า แอตทรบิ ิวต์ (Attribute) ซ่งึ ใชเ้ ก็บขอ้ มูลตามทผี่ ใู้ ช้ตอ้ งการ 4. ทูเพิล (Tuple) หมายถงึ ค่าของขอ้ มูลในแต่ละแถว (Row) หรือ เรคคอรด์ (Record) 5. คาร์ดินัลลิต้ี (Cardinality) หมายถึง จานวนแถวของข้อมูลในรีเลชัน ค่าของคาร์ดินัลลิตี้จะ สามารถเปล่ียนแปลงได้ตลอดเวลาเนื่องจากอาจมีการเพ่ิมเติมหรือลบแถวข้อมูลในรีเลชันได้ ตลอด 6. โดเมน (Domain) หมายถึง ขอบเขตของคา่ ของขอ้ มูลทค่ี วรจะเป็นในแตล่ ะแอทริบวิ ต์ 7. ค่าว่าง (Null Values) คือ แอททริบิวท์ท่ียังไม่ทราบค่าข้อมูลที่จะใส่ลงไป หรือไม่มีค่าของข้อมูล เกบ็ อยู่ แต่คา่ ว่างนจ้ี ะไม่ใช่ช่องวา่ ง (Blank) หรอื เลข 0 8. คีย์หลัก (Primary Key) คีย์ที่ทาหน้าที่หลักในการอ้างอิงหรือแสดงตัวตนข้อมูลในระเบียนโดย ค่าทเี่ ก็บจะต้องไม่เปน็ ค่าว่าง (Null Value) และค่าไม่ซ้า (Unique Value) 9. คยี ์คแู่ ข่ง (Candidate Key) คอื คีย์ที่สามารถนามาสรา้ งเปน็ คียห์ ลกั ไดห้ ลายฟิลดโ์ ดยมีคุณสมบัติ เชน่ เดียวกันกบั คียห์ ลกั คือค่าไม่ซา้ และไม่มคี า่ ว่าง 10. คีย์ผสม (Composite Key) เป็นคีย์ท่ีเกิดจากการนาเอาข้อมูลในแอทริบิวต์หลาย ๆ แอทริบิวต์ มาประกอบกนั เพอื่ อ้างองิ ข้อมลู ในระเบียนนนั้ 11. คีย์นอก (Foreign Key) คือ คีย์ที่ทาหน้าท่ีเปน็ คียห์ ลกั อีกตารางหน่ึงและทาหน้าท่ีเป็นคีย์ผสมใน อีกตารางหนง่ึ ซึง่ คียน์ อกน้ีจะทาให้ขอ้ มูลในแตล่ ะตารางสัมพันธ์เชอ่ื มโยงกนั 12. ความสมั พันธ์ (Relationship) หมายถงึ ความสัมพนั ธ์ระหว่างเอนทิต้ีตั้งแต่ 2 เอนทติ ีข้ ้ึนไป
18 ชอ่ื …………………..………นามสกุล………..……………………………..…เลขที่………. กอ่ นเรยี น หลงั เรียน คาตอบ คะแนน คาตอบ คะแนน 1……………… ………………… 1……………… ………………… 2……………… ………………… 2……………… ………………… 3……………… ………………… 3……………… ………………… 4……………… ………………… 4……………… ………………… 5……………… ………………… 5……………… ………………… 6……………… ………………… 6……………… ………………… 7……………… ………………… 7……………… ………………… 8……………… ………………… 8……………… ………………… 9……………… ………………… 9……………… ………………… 10……………… ………………… 10……………… ………………… คะแนนรวม คะแนนรวม เกณฑ์การประเมิน ระดบั คุณภาพ คะแนน ดี 8-10 พอใช้ 5-7 ปรบั ปรงุ 0-4
19 เลขที่ ช่ือ-นามสกุล คะแนน หมายเหตุ ก่อนเรยี น หลงั เรยี น เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับคุณภาพ คะแนน ดี 8-10 พอใช้ 5-7 ปรบั ปรงุ 0-4
20 ชื่อ……………......……..……………….นามสกุล………...........………..……………เลขท่ี……….…. ท่ี รายการประเมนิ ระดบั คะแนน หมายเหตุ 1 ปฏบิ ตั ถิ ูกต้องตามขั้นตอน 2 ความสามารถในการแก้ปญั หา 54321 3 ปฏบิ ตั ติ ามเวลาทีก่ าหนด 4 ความพรอ้ มในการปฏิบัตงิ าน รวมคะแนน (20 คะแนน) คะแนนเต็มรวมเฉลี่ย 10 คะแนน (คะแนนทไ่ี ด้x10)/20 เกณฑ์การประเมินระดับคะแนน ระดับคุณภาพ คะแนน ดีมาก 5 ดี 4 ปานกลาง 3 พอใช้ 2 ปรบั ปรงุ 1 เกณฑ์การประเมนิ ระดบั คะแนนรวม ระดบั คุณภาพ คะแนน ดีมาก 15 - 20 ดี 10 - 14 ปานกลาง 7-9 พอใช้ 4-6 ปรบั ปรงุ 1-3
21 ชอื่ ……………..........……..………นามสกุล………..….………………..…เลขท่ี………. คาชีแ้ จง ให้ประเมินแต่ละข้อแล้วเขียนเคร่ืองหมาย (✓) ลงในชอ่ งระดับคุณภาพตามความเปน็ จรงิ โดยกาหนดน้าหนกั คะแนน ดงั น้ี 2 = ดี 1 = พอใช้ 0 = ปรบั ปรงุ ท่ี รายการประเมิน ระดบั คะแนน 2 1 0 หมายเหตุ 1. ความมีมนุษยสมั พนั ธ์ 2. ความมีวินยั 3. ความรบั ผิดชอบ 4. ความซอ่ื สัตยส์ จุ รติ 5. ความเช่อื ม่ันในตนเอง 6. ความประหยดั 7. ความสนใจใฝร่ ู้ 8. ละเว้นสิ่งเสพตดิ และการพนัน 9. ความรกั สามัคคี 10. ความกตญั ญู 11. ความคิดริเรมิ่ สรา้ งสรรค์ 12. การพึ่งตนเอง 13. ความปลอดภยั 14. ความอดทนอดกลนั้ รวมคะแนนที่ได้ คะแนนเต็มรวมเฉลย่ี 20 คะแนน (คะแนนทไี่ ด้x10)/14 เกณฑก์ ารประเมนิ ระดับคุณภาพ คะแนน ดี 2 พอใช้ 1 ปรบั ปรุง 0
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: