Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore โครงงานการศึกษาลิปสติกจากธรรมชาติ

โครงงานการศึกษาลิปสติกจากธรรมชาติ

Published by Ammmxyz, 2022-08-18 04:30:39

Description: โครงงานการศึกษาลิปสติกจากธรรมชาติ

Search

Read the Text Version

1 บทท่ี 1 บทนำ 1. ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา การใชเ้ คร่ืองสาอางจดั เป็นศิลปะอยา่ งหน่ึงที่มีมาแต่สมยั โบราณ ในปัจจุบนั ผคู้ นมกั ใหค้ วามสาคญั เก่ียวกบั เร่ืองความสวยความงามเป็นอยา่ งมาก สังคมมีการกาหนดมาตรฐานความงามข้ึนทาให้เครื่องสาอางคเ์ ขา้ มา มีอิทธิพล ต่อสังคมเป็นอยา่ งมาก ต่อมาไดม้ ีการนาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหมเ่ ขา้ มาปรับปรุงคุณภาพของเคร่ืองสาอาง โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ วชิ าเคมีไดม้ ีส่วนเขา้ มาช่วยในการปรับปรุงคุณภาพของผลิตภณั ฑเ์ คร่ืองสาอางใหม้ ีคุณภาพสูง ในการผลิตแตล่ ะคร้ังตอ้ งมีส่วนประกอบที่คงท่ีไดผ้ ลิตภณั ฑอ์ ยา่ ง เดียวกนั มีหลกั การเลือกใชว้ ตั ถุดิบท่ีไดม้ าตรฐานใน การผลิตและมีการตรวจสอบ คุณสมบตั ิตลอดจนการเกบ็ รักษาผลิตภณั ฑซ์ ่ึงลิปสติกท่ีมีตามทอ้ งตลาดมี กรรมวธิ ีที่ ยงุ่ ยากและมีการใชส้ ารเคมีจึงทาใหผ้ ใู้ ชบ้ างรายเกิดอาการแพห้ รือ อาการระคายเคืองซ่ึงมาจากสารกนั เสีย น้าหอม เมด็ สี ที่ใชผ้ สมในลิปสติก สารเพมิ่ ความติดทนให้ผลิตภณั ฑ์ ลิปสติกเป็นส่ิงท่ีผคู้ นส่วนใหญพ่ กติดตวั ลิปสติกมีท้งั แบบลิปปาลม์ ท่ีใชท้ าเวลาปากแหง้ และแบบมีสีสนั ขอ้ ดีของลิปสติกคือการช่วยบารงริมฝีปากและการเติมสีสันใหร้ ิมฝีปากของผใู้ ช้ ขอ้ เสียของลิปสติกคือราคาที่สูงและ มีปริมาณนอ้ ยหรือราคาต่าแต่ไม่มีคุณภาพเส่ียงตอ่ การแพล้ ิปสติก ลิปสติกเป็นส่ิงท่ีผคู้ นไมว่ า่ จะหญิงหรือชายตา่ งใช้ ผคู้ นบางคนกใ็ ชด้ ีแต่บางคนก็แพส้ ารประกอบของลิปสติก ปัญหาคือสารท่ีอยใู่ นลิปสติกคือ สารเคมีกลุ่มพาราเบน เช่น เมทิลพาราเบน รวมถึงสารกนั หืน BHT ท่ีร่างกายอาจส่งผลใหอ้ วยั วะภายในร่างกายเส่ียงเป็นพิษเร้ือรัง สารในกลุ่มเรตินอยด์ มีคุณสมบตั ิช่วยฟ้ื นฟูผวั พรรณ ทาใหร้ ิมฝีปากเรียบเนียนสวย แต่หากไดป้ ริมาณที่มากไปกอ็ าจ เป็นตวั เร่งปฏิกิริยาตอ่ แสงแดด ส่งผลร้ายต่อ DNA ในร่างกายทาใหเ้ สี่ยงเป็นมะเร็จผวิ หนงั ได้ น้าหอม เมด็ สีที่ผสม ในิปสติก สีที่กลน่ั จากปิ โตเรียมเช่น D&C RED 17,D&C RED จะส่งผลอนั ตรายตอ่ ร่างกายได้ ไม่วา่ จะทาใหร้ ิมฝีปาก คล้าหรือก่อใหเ้ กิดมะเร็งบางชนิด และสารเพมิ่ ความติดทนใหผ้ ลิตภณั ฑ์ ท่ีอยใู่ นตวั ลิปสติกทาใหค้ นแพ้ แนวทางแกไ้ ข คือเราจะทาการทดลองทาลิปสติกที่เนน้ ส่วนประกอบของธรรมชาติใหม้ ากที่สุดเพ่ือลดอาการพล้ ิปของผใู้ ช้ ดงั น้นั ผศู้ ึกษาจึงมุ่งศึกษาในการทาลิปสติกที่ใชว้ สั ดุจากธรรมชาติโดยการทาผลิตภณั ฑท์ ่ีมีส่วนผสมจาก สารเคมีใหน้ อ้ ยท่ีสุด คือการใชส้ ่วนผสมหลกั คือข้ีผ้งึ และใชส้ ีจากดอกไมเ้ พ่อื แกป้ ัญหาการแพส้ ารเคมีที่พบจากลิปสติก ในทอ้ งตลาดตอ่ ไป

2 2. วตั ถุประสงค์ 1.เพือ่ ศึกษาเป็นความรู้ในการทาลิปสติกจากวสั ดุธรรมชาติ และนาความรู้ไปต่อยอดในการทาผลิตภณั ฑต์ า่ งๆได้ 2.เพอ่ื เป็ นการสร้างผลิตภณั ฑท์ ี่ช่วยสร้างรายไดเ้ สริม 3.เพ่ือศึกษาคุณภาพของลิปสติกจากวสั ดุธรรมชาติ 4.เพอ่ื ศึกษาคุณภาพของสีจากดอกไมท้ ่ีเรานามาทาเป็นสีของลิปสติก 3. สมมุติฐาน สมมติฐานของการศึกษา : กลุ่มของพวกเราสามารถทาลิปสติกจากสีของดอกไมจ้ ากธรรมชาติประกอบไปดว้ ย ดอก กหุ ลาบ ดอกอญั ชนั และดอกดาวเรืองไดโ้ ดยการค้นั น้าที่ประกอบดว้ ยสีของดอกไมอ้ อกมานามาผสมกบั วาสลีนและ นามาใส่ในบรรจุภณั ฑแ์ ละสามารถนามาใชไ้ ดจ้ ริง ตวั แปรตน้ : การทาลิปสติกจากดอกไมต้ า่ งชนิดกนั ไดแ้ ก่ ดอกกุหลาบ ดอกอญั ชนั ดอกดาวเรือง ตวั แปรตาม : คุณภาพของลิปสติก สีที่ชดั เจนของลิปสติก ตวั แปรควบคุม : ปริมาณของดอกไม้ ปริมาณของส่วนผสมต่างๆ

3 4. ขอบเขตของการศึกษา 4.1 ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษา 1. ประชากรท่ีมีจานวนจากดั ประชากรท่ีใชใ้ นการศึกษา ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี ไดแ้ ก่ นกั เรียนช้นั ม.5/8 โรงเรียนปัว จานวน 1 หอ้ งเรียน เป็ นนกั เรียนท้งั สิ้น 40 คน 4.2 กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษา การสุ่มตวั อยา่ งแบบง่าย นิยมใชก้ นั 2 วธิ ีคือ 1.1 การจบั ฉลาก 1.2.1 การจบั ฉลาก ใชก้ บั ประชากรขนาดเลก็ มีข้นั ตอนคือ (1) เขียนบญั ชีรายชื่อ โดยรวบรวมทุกๆหน่วยของประชากรและใหห้ มายเลขกากบั เช่น รายชื่อเจา้ หนา้ ท่ีทุกคนใน แผนก รายช่ือนกั เรียนทุกคนในช้นั เรียน (2) ทาฉลากหมายเลขเทา่ กบั ประชากรเป้าหมายที่อยใู่ นบญั ชีรายช่ือ (3) นาฉลากมาเคลา้ ปนกนั ใหท้ ว่ั (4) จบั ฉลากข้ึนมาคร้ังละ 1 ใบใหค้ รบจานวนตวั อยา่ งท่ีตอ้ งการ กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษา กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ีเป็ นนกั เรียน(ที่1)ระดบั ช้นั ม.5/8 โรงเรียนปัว ปี การศึกษา 2565 จานวน5คน 4.3 เน้ือหาที่ใชใ้ นการศึกษา เน้ือหาท่ีใชใ้ นการศึกษาเป็นเน้ือหาท่ีเลือกจากปัญหาท่ีพบในโรงเรียนหรือเรื่องท่ีนกั เรียนสนใจ คือ ลิปสติกจากดอกไม้

4 4.4 ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี ดาเนินการในปี การศึกษา 2565 ในวนั ที่ 25 กรกฎาคม - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2565 5. ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ ับ 1.เพื่อประหยดั เงินในการซ้ือลิปสติก 2.เพอ่ื เป็ นสิ่งการันตีวา่ ลิปสติกท่ีเราทาจะไมม่ ีสารตกคา้ ง 3.เพ่ือเนน้ การใชว้ สั ดุจากทาธรรมชาติเพ่ือประหยดั ตน้ ทุนในการทา 4.เพ่ือเป็ นการศึกษาหาความรู้ในการทาลิปสติกจากธรรมชาติและสามารถนาความรู้ไปต่อยอดในการทาผลิตภณั ฑต์ อ่ ได้ คาที่ใชส้ าหรับการเขียนประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั เช่น 1. เพอื่ เป็ นแนวทางในการพฒั นา คุณภาพของลิปสติก 2. ไดท้ ราบถึงสาเหต(ุ ทศั นคติ ) ของนกั เรียน เพอื่ พฒั นาคุณภาพของลิปสติกและลดอาการแพล้ ิปสติก 3. เป็ นแนวทางในการ ศึกษาคน้ ควา้ การทาลิปสติกจากดอกไม้ 4. ผลการศึกษาท่ีพบ - ลิปสติกท่ีทาจากดอกไมช้ ่วยประหยดั เงินในการซ้ือเพราะสามารถทาไดเ้ องและไมม่ ีสารตกคา้ ง

5 บทท่ี 2 เอกสำรและงำนวจิ ยั ที่เกยี่ วข้อง การใชเ้ คร่ืองสาอางจดั เป็นศิลปะอยา่ งหน่ึงท่ีมีมาแต่สมยั โบราณ ในปัจจุบนั ผคู้ นมกั ใหค้ วามสาคญั เก่ียวกบั เร่ืองความ สวยความงามเป็นอยา่ งมาก สังคมมีการกาหนดมาตรฐานความงามข้ึน ทาใหเ้ ครื่องสาอางคเ์ ขา้ มามีอิทธิพลตอ่ สังคม เป็นอยา่ งมาก ต่อมาไดม้ ีการนาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่ เขา้ มาปรับปรุงคุณภาพของเคร่ืองสาอาง โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ วชิ าเคมี มีการใชส้ ารเคมี จึงทาใหผ้ ใู้ ชบ้ างรายเกิดอาการแพห้ รืออาการระคายเคืองซ่ึงมาจากสารกนั เสีย น้าหอม เมด็ สีที่ใชผ้ สมในลิปสติก สารเพม่ิ ความติดทนใหผ้ ลิตภณั ฑก์ ารศึกษาในคร้ังน้ี ผศู้ ึกษาไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวจิ ยั ที่ เก่ียวขอ้ ง โดยแบง่ เน้ือหาของเอกสารและงานวิจยั ออกเป็นหวั ขอ้ ตา่ งๆ ดงั น้ี 1. ความหมายของดอกไม้ หมายถึง ดอกของพชื ในท่ีน้ีไดแ้ ก่ ดอกกุหลาบ ดอกอญั ชนั และดอกดาวเรือง 2. แนวคิด/ทฤษฎีในเรื่อง คือ 2.1.สงั คมมีการกาหนดมาตรฐานความงามข้ึน ทาใหเ้ คร่ืองสาอางคเ์ ขา้ มามีอิทธิพลตอ่ สงั คมเป็นอยา่ งมาก ต่อมาไดม้ ี การนาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่ เขา้ มาปรับปรุงคุณภาพของเครื่องสาอาง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ วชิ าเคมี มีการใช้ สารเคมี จึงทาใหผ้ ใู้ ชบ้ างรายเกิดอาการแพห้ รืออาการระคายเคืองซ่ึงมาจากสารกนั เสีย น้าหอม เมด็ สีท่ีใชผ้ สมใน ลิปสติก 2.2.นิกเกิล (Nickel) เป็ นสารท่ีมีคุณสมบตั ิในการป้องกนั การกดั กร่อน จึงเป็นส่วนผสมท่ีนิยมใชผ้ สมอยใู่ น วตั ถุดิบในการผลิตโลหะเพ่ือเพิ่มความแขง็ แรงแลว้ ยงั นิยมนามาเคลือบชิ้นงานเพ่ือใหเ้ กิดความมนั วาวบนพ้นื ผวิ วตั ถุอีก ดว้ ยท้งั น้ีเม่ือผวิ หนงั บริเวณท่ีสมั ผสั กบั วตั ถุที่มีส่วนผสมของนิกเกิลเป็นเวลานานๆ บวกกบั อากาศร้อนหรือมีเหง่ือออก สารนิกเกิลจะทาปฎิกิริยากบั ผวิ หนงั บริเวณน้นั ๆและอาจก่อใหเ้ กิดภูมิแพส้ มั ผสั นิกเกิลไดใ้ นที่สุด อาการแพจ้ ะปรากฎ บริเวณผวิ สมั ผสั ทาใหเ้ กิดผ่ืน ตุม่ และอาการระคายเคือง ท้งั ยงั อาจลุกลามไปตามบริเวณอื่นๆ ของร่างกายไดอ้ ีกดว้ ย หากไปสัมผสั ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย โดยพบผทู้ ี่มีอาการภูมิแพส้ มั ผสั จากสารนิกเกิลในผหู้ ญิงมากกวา่ ผชู้ ายเน่ืองจาก ผหู้ ญิงมกั สวมใส่เคร่ืองประดบั หรือเคร่ืองสาอางท่ีมีส่วนผสมนิกเกิลในชีวติ ประจาวนั 2.3.ปรอทเป็นโลหะสีขาวคลา้ ยเงิน เป็นของเหลวท่ีอุณหภูมิปกติ สามารถทาใหเ้ ป็นของแขง็ ไดแ้ ตเ่ ปราะที่อุณหภูมิ ปกติ ปรอทสามารถระเหยกลายเป็นไอได้ ทาใหเ้ ป็ นอนั ตรายตอ่ ร่างกายไดง้ ่ายข้ึน สารประกอบของปรอททาใหเ้ กิดการ แพ้ ผนื่ แดง ผิวปากดา ผวิ ปากบางลง และเมื่อใชต้ ิดต่อกนั เป็นเวลานานจะทาใหเ้ กิดพิษสะสมของสารปรอทในผวิ หนงั และดูดซึมเขา้ สู่กระแสโลหิต ทาใหต้ บั และไตอกั เสบ เกิดโรคโลหิตจาง ทางเดินปัสสาวะอกั เสบ อีกท้งั ในสตรีมีครรภ์ ปรอทจะดูดซึมเขา้ สู่ร่างกาย และไปสู่ทารก ทาใหเ้ ดก็ มีสมองพิการและปัญญาอ่อน

6 2.4.น้าหอมเป็นสิ่งที่ใหผ้ ลิตภณั ฑต์ า่ งๆมีกล่ินหอมรวมถึงลิปสติกซ่ึงอาจจะเป็นจุดขายของสินคา้ น้นั ๆแตบ่ าง ผลิตภณั ฑบ์ างชนิดมีส่วนผสมของMethyl cellosolve สารน้ีถูกใชใ้ นผลิตภณั ฑท์ ่ีผสมน้าหอมที่อยใู่ น เครื่องสาอาง เป็ นพษิ ตอ่ ระบบประสาทและระคายเคืองท่ีอาจทาใหเ้ กิดการกลายพนั ธุ์ของดีเอน็ เอ 2.5.ลิปสติกมีส่วนประกอบหลกั คือ บีแวกซ์ ไขมนั และสารใหค้ วามชุ่มช้ืน ซ้ือปริมาณของไขมนั และชนิดของไขมนั มีผลต่อการบารุงของลิปสติกซ่ึงหากใชไ้ ขมนั ท่ีไม่เหมาะกบั ผวิ หนงั ของมนุษยก์ อ็ าจทาใหเ้ กิดการระคายเคียงไดเ้ ช่น หากใชน้ ามนั มะพร้าวธรรมดาอาจจะไม่เกิดประโยชน์เทา่ กบั น้ามนั มะพร้าวสกดั เยน็ และหากใชใ้ นปริมาณท่ีนอ้ ยหรือ มากเกินไปอาจทาใหป้ ระสิทธิภาพของลิปสติกลดลง 3. ความสาคญั ของการใชล้ ิปสติกจากดอกไม้ คือ ไดส้ ีที่เป็นธรรมชาติโดยไม่ปนเป้ื อนสารเคมีใหไ้ ดม้ ากที่สุด ลดการ ใชส้ ารเคมีที่ทาใหเ้ กิดการแพห้ รือความระคายเคืองต่อผใู้ ช้ 4. องคป์ ระกอบของ ดอกไม้ ไดแ้ ก่ ดอกกุหลาบ ดอกอญั ชนั และดอกดาวเรือง 5. งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 5.1 งานวจิ ยั ในประเทศ https://sites.google.com/site/nrwis2562naturallipstick/ file:///C:/Users/ACER/Downloads/ORY010449c.pdf https://minikar.ru/th/children/issledovatelskaya-rabota-gubnaya-pomada- vrednye-komponenty-gubnoi/ 5.2 งานวจิ ยั ต่างประเทศ https://www.researchgate.net/publication/341900286_Design_Developme nt_and_Assessment_of_Herbal_Lipstick_from_Natural_Pigments https://www.researchgate.net/publication/351428708_The_People_Accept ance_of_The_Red_Rose_Rosa_hybrida_L_Flowers_Extract_as_Lipsticks_Dye https://www.thespruce.com/lipstick-plant-care-5083734 http://www.dynamicpublisher.org/gallery/5-ijsrr-d-2423-f.pd นามาจาก ••ตารา••บทความทางวชิ าการ••ส่ิงพิมพต์ า่ ง ๆ

7

8 บทที่ 3 วธิ ีดำเนินกำรศึกษำค้นคว้ำ ในการศึกษาคร้ังน้ี ผศู้ ึกษาไดท้ าการศึกษาเก่ียวกบั การทาลิปสติกจากวสั ดุธรรมชาติซ่ึงในที่น้ีเราใชเ้ ป็นดอกไมเ้ ป็นหลกั เนื่องจากในปัจจุบนั น้นั ลิปสติกส่วนใหญม่ ีส่วนผสมของสารเคมีทาใหผ้ คู้ นน้นั อาจจะมีอาการแพห้ รือระคายเคืองได้ ทา ใหเ้ ราตอ้ งการศึกษาการทาลิปสติกจากวสั ดุธรรมชาติ ซ่ึงมีวธิ ีการดงั น้ี 1. ระเบยี บวธิ ที ใี่ ช้ในกำรศึกษำ ในการศึกษาคร้ังน้ีเป็นการศึกษาขอ้ มูลจากทางอินเทอร์เน็ตและแหล่งความรู้ต่างๆ 2. ประชำกร/กล่มุ ตัวอย่ำง 2.1 ประชำกร ประชากรที่ใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี เป็ นนกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนปัว ปี การศึกษา 2565 จานวน 1 หอ้ งเรียน เป็นนกั เรียนท้งั สิ้น 40คน 2.2 กลุ่มตวั อย่ำง กลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ีไดแ้ ก่นกั เรียนระดบั ช้นั มธั ยมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนปัว ปี การศึกษา 2565 จานวน 1 หอ้ งเรียน เป็ นนกั เรียนท้งั สิ้น 40 คน ไดม้ าโดยสุ่มอยา่ งง่าย เพื่อตอบแบบสอบถามที่สร้างข้ึน 2.3 ระยะเวลำทใ่ี ช้ในกำรศึกษำ ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการศึกษา ในปี การศึกษา 2565

9 3. วธิ ีดำเนินกำรศึกษำ ผศู้ ึกษาไดด้ าเนินการตามข้นั ตอนดงั น้ี 3.1 กาหนดเรื่องท่ีจะศึกษา โดยสมาชิกท้งั 5 คน ประชุมร่วมกนั และร่วมกนั คิดและวางแผน วา่ จะศึกษาเร่ืองใด ( สมาชิกกลุ่มท้งั 5 คน ไดม้ าโดยนาผลการเรียนวชิ าภาษาไทยพ้นื ฐาน มาจดั แบ่งกลุ่ม เก่ง กลาง อ่อน) 3.2 สารวจปัญหาที่พบในโรงเรียน ซ่ึงมีท้งั ปัญหาดา้ นผเู้ รียน ครูผสู้ อน อาคาร สถานที่ สิ่งแวดลอ้ มในโรงเรียน ฯลฯ 3.3 เลือกเรื่องที่จะศึกษา โดยเลือกเรื่องท่ีสมาชิกมีความสนใจมากที่สุด เพอ่ื เป็ นแรงจูงใจในการคน้ หาคาตอบ 3.4 ศึกษาแนวคิดในการแกป้ ัญหา ( ในขอ้ น้ียงั ไม่สามารถดาเนินการไดเ้ น่ืองจาก การเรียนรายวชิ า IS1 เวลามีจากดั ผศู้ ึกษาจึงทาไดเ้ ฉพาะการสารวจความคิดเห็นและสร้างเคร่ืองมือ (แบบสอบถาม) ศึกษาเพียงเพือ่ ใหม้ ีความรู้ ความ เขา้ ใจ เรื่องกระบวนการวจิ ยั เทา่ น้นั 3.5 ต้งั ช่ือเร่ือง 3.6 สมาชิกท้งั 5 คนของกลุ่ม พบครูผสู้ อนเพ่ือปรึกษา วางแผนและรับฟังความคิดเห็น ปรับปรุงแกไ้ ข 3.7 เขียนความสาคญั ความเป็นมาของปัญหา วตั ถุประสงค์ สมมุติฐาน ขอบเขตการวจิ ยั และประโยชน์ที่คาดวา่ จะ ไดร้ ับ โดยศึกษาขอ้ มูลจากหนงั สือ วทิ ยานิพนธ์และสืบคน้ ขอ้ มูลจากอินเตอร์เน็ต และจดบนั ทึกในโครงร่างรายงาน เชิงวชิ าการ (ตามใบงาน) 3.8 สร้างเคร่ืองมือ ที่เป็นแบบสอบถาม จานวน............ขอ้ 3.9 นาเคร่ืองมือที่ปรับปรุงแลว้ ไปใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ ง 3.10 รวบรวมขอ้ มูล 3.11 วเิ คราะห์ขอ้ มูล 3.12 สรุปการศึกษา 4. เคร่ืองมือทใี่ ช้ในกำรศึกษำ เครื่องมือท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี คือ แบบสอบถาม ( หรือแบบประเมินความพงึ พอใจ) 1 ฉบบั ซ่ึงมีรายละเอียดดงั น้ี 4.1 ออกแบบแบบสอบถาม เร่ือง ............................................................................โดยขอ คาแนะนาจากท่ีปรึกษาหรือผูส้ อน โดยเตรียมร่างขอ้ คาถาม มีลกั ษณะเป็นขอ้ คาถามจานวน...............ขอ้ เป็นแบบ มาตราส่วนประมาณ 5 ระดบั คือ

10 5 หมายถึง เห็นดว้ ยมากท่ีสุด 4 หมายถึง เห็นดว้ ยมาก 3 หมายถึง เห็นดว้ ยปานกลาง 2 หมายถึง เห็นดว้ ยนอ้ ย 1 หมายถึง เห็นดว้ ยนอ้ ยที่สุด การพิจารณาคา่ เฉลี่ย จะใชเ้ กณฑด์ งั น้ี ค่าเฉล่ีย 4.51 – 5.00หมายถึง เห็นดว้ ยมากที่สุด ค่าเฉลี่ย 3.51 – 4.50หมายถึง เห็นดว้ ยมาก คา่ เฉล่ีย 2.51 – 3.50หมายถึง เห็นดว้ ยปานกลาง คา่ เฉลี่ย 1.51 – 2.50หมายถึง เห็นดว้ ยนอ้ ย ค่าเฉล่ีย 1.00 – 1.50หมายถึง เห็นดว้ ยนอ้ ยที่สุด 4.2 สร้างแบบสอบถาม เร่ือง..............................................................................โดยขอ คาแนะนา จากท่ีปรึกษาหรือผสู้ อน จากน้นั นามาปรับปรุงแกไ้ ข แลว้ นาไปตรวจสอบความเหมาะสม 4.3 นาแบบสอบถามเรื่อง................................................................ที่แกไ้ ข ปรับปรุงแลว้ ใหก้ ลุ่ม ตวั อยา่ งประเมิน หลงั จากน้นั นาผลที่ไดม้ าหาค่าเฉลี่ย 5. กำรเกบ็ รวบรวมข้อมูล การศึกษาคร้ังน้ีไดด้ าเนินการโดยนาแบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนใหน้ กั เรียนกลุ่มตวั อยา่ งตอบ จานวน..........คน และเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลจากนกั เรียน ที่เป็นกลุ่มตวั อยา่ ง โดยผศู้ ึกษาท้งั ..... คน ดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลดว้ ยตนเอง 6. กำรวเิ ครำะห์ข้อมูล ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผศู้ ึกษาไดว้ เิ คราะห์ขอ้ มูล ดงั น้ี 6.1 นาแบบสอบถามท้งั หมดท่ีตอบโดยนกั เรียนกลุ่มตวั อยา่ ง มาหาค่าคะแนนรวม 6.2 นาผลรวมมาคิดค่าร้อยละและการหาคา่ เฉลี่ย 7. สถิตทิ ใ่ี ช้ในกำรศึกษำ สถิติท่ีใชใ้ นการศึกษาคร้ังน้ี คือ ร้อยละและการหาค่าเฉล่ีย

11


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook