ประเพณไี ทย
คํานํา ประเพณีไทยอันดงี ามที่สืบทอดตอ กันมานัน้ ลวนแตกตางกันไป ตามความเชือ่ ความผกู ผันของผคู นตอ พุทธศาสนาและการดาํ รงชวี ติ ที่ ประสานกับฤดูกาลและธรรมชาตอิ ยางชาญฉลาดของชาวบาน ใน แตล ะทอ งถิน่ ท่วั แผนดนิ ไทย เชน ภาคเหนือประเพณบี วชลูกแกว ของ คนใตห รอื ชาวไทยใหญท ่ีจังหวดั แมฮ อ งสอน ภาคอสี านประเพณีบญุ บง้ั ไฟของชาวจงั หวดั นครศรธี รรมราช อารยธรรมไทยยงั นํามาซงึ่ การ ทอ งเท่ียว เปน ที่รจู ักและประทบั ใจแกช าตอิ น่ื นับเปน มรดกอนั ล้าํ คา ท่ี เราคนไทยควรอนรุ กั ษและสบื สานใหย ิง่ ใหญต ลอดไป ผจู ดั ทาํ ขอขอบคณุ อาจารยประจาํ วชิ าและผทู ม่ี ีสวนเก่ยี วของกบั รายงานเลม นีใ้ หส ําเร็จลลุ ว งไดด ว ยดี และหวงั วา รายงานเลม น้ีจะเปน ประโยชนตอการจดั การเรยี นรอู ยางทีประสิทธิภาพ หากมขี อเสนอแนะ เพ่ือปรับปรุงแกไ ข หากเนอื้ หาในโครงงานฉบบั นม้ี ีขอ ผิดพลาดประการ ใดก็ขออภัยมา ณ ทน่ี ี้ดวย
ประเพณี (อังกฤษ : tradition) เปนกจิ กรรมทมี่ กี ารปฏิบัติสืบเนือ่ งกนั มา เปนเอกลกั ษณแ ละมี ความสาํ คัญตอ สงั คม เชน การแตงกาย ภาษา วฒั นธรรม ศาสนา ศิลปกรรม กฎหมาย คุณธรรม ความเช่ือ ฯลฯ อนั เปน บอเกิดของ วฒั นธรรมของสงั คมเชอื้ ชาติตา งๆ กลายเปนประเพณปี ระจาํ ชาติและ ถายทอดกนั มาโดยลําดบั หากประเพณนี นั้ ดีอยูแ ลว ก็รกั ษาไวเปน วัฒนธรรมประจาํ ชาติ หากไมด กี แ็ กไ ขเปลย่ี นแปลงไปตามกาลเทศะ ประเพณลี ว นไดร ับอทิ ธิพลมาจากส่ิงแวดลอมภายนอกทเี่ ขาสูสงั คม รับเอาแบบปฏบิ ตั ิท่ีหลากหลายเขามาผสมผสานในการดาํ เนนิ ชวี ติ ประเพณจี ึงเรียกไดวา เปน วิถแี หง การดาํ เนนิ ชีวิตของสังคม โดย เฉพาะศาสนาซ่งึ มอี ทิ ธพิ ลตอ ประเพณไี ทยมากทส่ี ุด วัดวาอารามตางๆ ในประเทศไทยสะทอ นใหเหน็ ถงึ อิทธิพลของพทุ ธศาสนาที่มีตอสงั คม ไทย และชีใ้ หเ ห็นวา ชาวไทยใหความสําคัญในการบํารงุ พุทธศาสนา ดวยศลิ ปกรรมทงี่ ดงาม เพอ่ื ใชในพธิ กี รรมทางศาสนาตัง้ แต โบราณกาล เปนตน
ความหมายของประเพณี พระยาอนมุ านราชธนไดใหความหมายของคาํ วา ประเพณี ไวว า ประเพณี คือ ความประพฤติทีช่ นหมูหนึ่งอยูในทแี่ หงหนึง่ ถือเปน แบบแผนกนั มาอยา งเดียวกนั และสบื ตอกันมานาน ถาใครในหมู ประพฤติออกนอกแบบกผ็ ดิ ประเพณี หรอื ผดิ จารตี ประเพณี คําวา ประเพณี ตามพจนานุกรมภาษาไทยฉบบั บณั ฑติ ยสถาน ได กาํ หนดความหมายประเพณีไววา ขนบธรรมเนียมแบบแผน ซงึ่ สามารถ แยกคาํ ตา งๆ ออกไดเ ปน ขนบ มคี วามหมายวา ระเบยี บแบบอยาง ธรรมเนียมมคี วามหมายวา ท่นี ยิ มใชกนั มา และเมอ่ื นาํ มารวมกนั แลว กม็ คี วามหมายวา ความประพฤติท่คี นสวนใหญ ยึดถือเปน แบบแผน และไดท ําการปฏบิ ตั ิสบื ตอกนั มา จนเปน ตนแบบท่จี ะใหคนรนุ ตอ ๆ ไป ไดป ระพฤติปฏบิ ตั ติ ามกนั ตอ ไป โดยสรปุ แลว ประเพณี หมายถึง ระเบียบแบบแผนทีก่ ําหนดพฤตกิ รรมในสถานการณต างๆ ที่ คนในสังคมยึดถือปฏบิ ัตสิ บื กันมา ถาคนใดในสงั คมนั้นๆฝา ฝน มกั ถกู ตาํ หนจิ ากสงั คม ลักษณะประเพณีในสังคมระดับประเทศชาติ มที ั้ง ประสมกลมกลนื เปน อยางเดียวกัน และมผี ิดแผกกันไปบางตามความ นยิ มเฉพาะทอ งถ่ิน แตโ ดยมากยอ มมีจดุ ประสงค และวธิ กี ารปฏบิ ตั ิ เปน อนั หนึง่ อันเดยี วกัน มเี ฉพาะสว นปลกี ยอยท่เี สริมเติมแตงหรอื ตดั ทอนไปในแตละทอ งถิน่ สาํ หรับประเพณีไทยมกั มีความเก่ยี วขอ งกับ ความเช่อื ในคตพิ ระพทุ ธศาสนา และพราหมณมาแตโบราณ
ประเพณีลอยกระทง เทศกาลลอยกระทง ตรงกบั วนั เพญ็ ข้นึ 15 คา่ํ เดอื น 12 ของทกุ ป หรอื อยูในราวเดอื นพฤศจกิ ายนถือวาเปน ประเพณเี กาแกข องไทยทีม่ ี ตัง้ แตค ร้ังสมัยสุโขทัย เรียกกันวา งานลอยพระประทีป หรอื ลอยโคม เปนงานนักขัตฤกษรืน่ เรงิ ของ ประชาชนทั่วไป ตอ มานางนพมาศ หรือ ทา วศรีจุฬาลักษณ สนมเอกของพระรวง ไดคดิ ประดษิ ฐดดั แปลง เปน รปู กระทงดอกบวั แทนการลอยโคม เช่อื กันวาการลอยกระทง หรอื ลอยโคมในสมัยนางนพมาศนนั้ กระทาํ เพอ่ื เปน การสักการะรอย พระพทุ ธบาทที่แมนํ้านมั มหานที ซงึ่ เปน แมน าํ้ สายหน่งึ อยใู น แควน ทักขณิ าของประเทศอนิ เดยี ซง่ึ ปจจบุ ัน เรยี กวา แมน้าํ เนรพุททา สําหรบั ประเทศไทยประเพณีลอยกระทง ไดกําหนดจัดในทุกพ้ืนท่ีทัว่ ประเทศ โดยเฉพาะอยางยิ่งบริเวณท่ีติดกับแมน้ํา ลาํ คลอง หรือ แหลงนา้ํ ตา ง ๆ ซ่ึงแตล ะพนื้ ท่ีก็จะมเี อกลกั ษณท ี่นา สนใจแตก ตางกันไป
ประวัตกิ ารลอยกระทงในประเทศไทย การลอยกระทงในเมืองไทย มีมาต้ังแตค รง้ั สโุ ขทัย เรยี กวา การ ลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เปนงานนักขัตฤกษรน่ื เริงของ ประชาชนทั่วไป ตอมานางนพมาศหรือทาวศรีจฬุ าลักษณสนมเอกของ พระรว ง ไดคดิ ประดิษฐด ัดแปลงเปนรูปกระทงดอกบวั แทนการลอย โคม การลอยกระทงหรอื ลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทาํ เพื่อ เปน การสักการะรอยพระพทุ ธบาททีแ่ มน ํา้ นัมมทานที ซึง่ เปนแมน ํ้า สายหนึ่งอยูในแควนทักขณิ าบถของประเทศอินเดีย ปจจุบันเรยี กวา แมน ํ้าเนรพทุ ทา
ประเพณสี งกรานต สงกรานต คือ ประเพณขี องประเทศไทย ลาว กัมพูชา พมา ชนก ลมุ นอยชาวไตแถบเวยี ดนาม และมนฑลยูนานของจีน รวมถึงศรี ลังกา และประเทศทางตะวันออกของประเทศอนิ เดยี สนั นษิ ฐานกัน วา ประเพณีสงกรานตน ัน้ ไดร บั วฒั นธรรมมาจากเทศกาลโฮลใี น อนิ เดยี แตเทศกาลโฮลีจะใชก ารสาดสีแทน โดยจะจดั ใหมขี ึน้ ในทุกวนั แรม 1 คํา่ เดือน 4 ซ่ึงกค็ ือเดือนมนี าคม
สงกรานต เปนคําในภาษา สันสกฤต ท่ีหมายถงึ การเคล่ือนยาย โดย เปน การอปุ มาถงึ การเคลอื่ นยายการประทบั ในจกั รราศี หรอื การ เคลือ่ นเขา สูปใหมตามความเชือ่ ของไทยและบางประเทศในแถบเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต ประเพณีสงกรานตนน้ั มสี ืบทอดกนั มาตัง้ แต โบราณคูก บั ตรุษ จงึ มักเรียกรวมกันวา ประเพณตี รุษสงกรานต หมาย ถงึ การสง ทา ยปเ กา ตอนรบั ปใ หม เดมิ ทวี ันท่จี ัดสงกรานตนน้ี ้นั จะมี การคํานวณทางดาราศาสตร แตใ นปจจุบนั ไดม กี ารกําหนดวนั ทแี่ นนอน คือ ตง้ั แต 13 – 15 เมษายน แตเดมิ วนั ขึ้นปใ หมไ ทย คือ วนั เรม่ิ ปป ฏิทินของไทยจนถึง พ.ศ. 2431 และไดม ีการเปล่ยี นแปลงมาเปนวัน ท่ี 1 เมษายน เปนวันข้นึ ปใหมจ นถึง พ.ศ. 2483
ประวัติวันสงกรานต เมอื่ ครั้งกอ น พธิ สี งกรานต เปน พิธีกรรมที่เกดิ ข้ึนภายในครอบครวั หรือชุมชนบานใกลเรอื นเคียง แตใ นปจจุบนั ไดมีการเปลีย่ นแปลงให พธิ สี งกรานตน ้นั เปน เทศกาลสงกรานต โดยไดข ยายออกไปสคู มเปน วงกวา งมากขน้ึ และมแี นวโนม ทีจ่ ะเปลี่ยนทัศคติ ตลอดจนความเช่อื ไป แตเดมิ ในพิธีสงกรานตจะใช นํ้า เปน สญั ลกั ษณท่ีเปนองค ประกอบหลกั ของพธิ ี แกก ันกับความหมายของฤดูรอ น ชว งเวลาทีพ่ ระอาทิตยเ คล่ือนเขาสรู าศเี มษ ในวันนจ้ี ะใชน าํ้ รดใหแ ก กันเพอ่ื ความชมุ ชื่น มกี ารขอพรจากผใู หญ มีการราํ ลกึ และกตัญูตอ บรรพบุรุษทีล่ วงลบั ตอมาในสงั คมไทยสมยั ใหมเ กดิ เปนประเพณี กลบั บา นในชว งเทศกาลสงกรานต นบั วาวันสงกรานตเปนวนั ครอบครวั อกี ท้งั ยงั มปี ระเพณที ี่สบื ทอดมาตัง้ แตด ้งั เดิม อยาง การ สรงนํ้าพระท่ีนํามาซึ่งความเปนสริ มิ งคล เพ่อื ใหเ ปน การเรมิ่ ตนปใ หมท ี่ มีความสขุ ปจจุบนั ไดม กี ารประชาสัมพนั ธใ นเชิงทองเทยี่ ววาเปนWater Festival หรอื เทศกาลแหง นํา้ โดยไดต ัดขอมลู ในสวนทีเ่ ปนความเชอ่ื ด้งั เดมิ ออกไป
ประเพณตี ักบาตรเทโว การตกั บาตรเทโวเปนประเพณีทีส่ บื ทอดกนั มาอยา งยาวนาน ตกั บาตรเทโว หรอื เรยี กวา การตักบาตรเทโวโรหณะ ซ่งึ คําวา \"เทโว” ยอ มาจาก \"เทโวโรหณะ” แปลวา การเสดจ็ จากเทวโลก การตักบาตรเทโวจึงเปน การระลกึ ถงึ วันทพ่ี ระพทุ ธองคเ สดจ็ กลบั จาก การโปรดพระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการทําบญุ กุศลเนื่องใน วนั ออกพรรษาน้ี ทกุ วดั ในประเทศไทย ก็จะมีการจดพิธกี ารตักบาตรเทโวน้ี การตักบาตรรับเสดจ็ พระพุทธเจา ไดปฏบิ ตั สิ บื เน่อื งตอ กนั มาเปนประเพณี จนถงึ เมอื งไทยจงึ เรยี ก ประเพณนี ี้ วา การตกั บาตรเทโวโรหณะ เพื่อใหสะดวกในการสอ่ื ความหมายนิยมส้ันๆ วา การตักบาตรเทโว ดวยเหตุน้ี วนั เทโวโรหณะจงึ เรียกอีกชือ่ หน่งึ วา วันตักบาตรเทโว และเม่อื ถงึ วันตกั บาตรเทโว พุทธศาสนิกชนนยิ มไปทาํ บุญตกั บาตรกัน ทีว่ ัด โดยแตละท่ีจะเตรียมของไปทําบุญ ในแบบที่อาจตะแตกตา ง
กนั ไปขน้ึ อยูกบั ที่สดั ในแตละท่ี เชน เตรยี มอาหารในตอนเชา อาหารทเี่ ตรียมเพ่ือตกั บาตรเปนพิเศษในวนั นี้ คอื ขาวตม มัด และ ขา วตมลกู โยน วัดบางวดั อาจจะจาํ ลองสถานการณวนั ท่ี พระพุทธเจาเสด็จลงจากเทวโลกชนั้ ดาวดงึ ส คอื ประชาชนจะนง่ั หรือยืนสองฝงทางลงจากอุโบสถ หรือศาลา ใหพ ระสงฆเดนิ เขา แถวเรียงลําดับรับบาตรตรงกลาง โดยมมี ัคนายก เดินอัญเชญิ พระพุทธรปู นําหนาแถวพระสงฆ หลกั จากตกั บาตรแลว มกี าร อาราธนาศลี สมาทานศีล และรักษาศีล ฟง ธรรมและทําสมาธิตามโอกาส เพือ่ ทําใหจ ติ ใจบริสุทธผ์ิ องใส แผเ มตตา และกรวดนํา้ อุทศิ สว น กุศลใหก บั ญาติ ผลู วงลบั และ สรรพสตั ว
ประวตั ิความเปน มา ตกั บาตรเทโว หรือตกั บาตรเทโวโรหณะ เปนวนั ทพ่ี ระพทุ ธเจา เสดจ็ ลงจากสวรรค ชัน้ ดาวดงึ สในเวลาเชา วนั แรม 1 คํ่า เดอื น 11 หลังจากทพี่ ระองคท รงจําพรรษาทน่ี น้ั เปนเวลา 3 เดือน ความสําคญั ของวันเทโวโรหณะ เปนวนั ท่ีมกี ารทาํ บุญ ตกั บาตรท่ีพเิ ศษวันหนง่ึ กลา วคือ ในพรรษาหนึ่งพระพทุ ธเจา ไดเสดจ็ ไปยังสวรรคช ั้นดาวดึงสแ สดงพระอภิธรรมโปรด พระมารดา และทรงจําพรรษาทนี่ ้ัน พอออกพรรษาก็เสด็จลงจาก เทวโลกนั้นมายงั โลกมนุษย โดยเสดจ็ ลงที่เมอื งสงั กัสส ใกลเมืองพา ราณสี ชาวบา นชาวเมืองทราบขาวก็พากันไปทําบญุ ตักบาตรพระพทุ ธ องคท ี่น้นั และเปน การรบั เสดจ็ พระพุทธองคดวย กลาวกันวา ในวัน นไ้ี ดเ กดิ เหตุอัศจรรย คอื เทวดา มนุษย และสตั วนรก ตางมองเหน็ ซง่ึ กนั และกัน จงึ เรยี กวันน้ีอีกชื่อหนงึ่ วา \"วันพระเจา เปดโลก” คอื เปดใหเหน็ กันทัง้ 3 โลกนั้นเอง
ประเพณีผตี าโขน ประเพณีเลนผตี าโขนเปน ประเพณีท่ีชาวดา นซา ยจังหวัดเลยถอื ปฏิบตั สิ ืบตอกันอยา งยาวนานผทู ีส่ วมบทบาทเปน ผีตาโขนนัน้ จะตอง สวมหนากากทีน่ า เกลยี ดนา กลวั ทาํ จากหวดน่ึงขา วเหนยี ว แตงกาย ดวยเสือ้ ผาสสี นั สดใส ออกเดินรวมขบวนไปกับขบวนแหงานบุญ หลวง ซึง่ จะจดั รวมไปกับงานบญุ หลวง ทว่ี ดั โพนชัย อําเภอดานซาย จงั หวัดเลยคาํ วา “ผตี าโขน” น้นั สนั นิษฐานไดอ ยู ๒ ทาง คือ หนึ่ง มี ทม่ี าจากเรอ่ื งราวของพระเวสสันดรชาดกวา เมอื่ พระเวสสนั ดรและ พระนางมทั รีเสด็จออกจากปา กลบั คนื สเู มอื งนนั้ บรรดาผีปา และ สิงสาราสัตวท้งั หลายตา งพากันแฝงเรนมากับชาวบา นเพ่ือรอสงกลบั บา นกลับเมือง จึงเรยี กกนั วา ผีตามคน จนกระทั่งเพย้ี นเสียงมาเปน ผี ตาโขน อีกทางหน่งึ คือ เชื่อวาประเพณผี ีตาโขน เปน การละเลน เพอ่ื บวงสรวงบชู าดวงวญิ ญาณบรรพชน เน่ืองจากชาวดานซา ยเชอื่ กนั วา บรรพชนที่เสียชีวติ ไปแลว จะกลายเปน ส่ิง ศกั ดิส์ ิทธส์ิ ามารถดล บนั ดาลใหเ กิดความอุดม สมบูรณหรือความหายนะ กับบานเมืองได
ประวตั ิความเปนมา ประเพณผี ตี าโขนมีลกั ษณะที่ใกลเ คยี งกับการบูชาบรรพบรุ ุษของ อาณาจักรลา นชา งหลวงพระบาง ซง่ึ มอี าณาเขตตดิ กบั อําเภอ ดา นซาย เชยี งคาน และหลม เกา ในปจ จบุ ัน นอกจากนัน้ ยังมกี ารกลา วกนั วาผตี าโขนเกดิ ขน้ึ เมือ่ ครัง้ ท่พี ระเวสสนั ดรและพระนางมัทรี จะ เดินทางออกจากปา กลับสูเ มืองบรรดาผีปา หลายตนและสตั วนานา ชนดิ อาลยั รักจึงพาแหแ หนแฝงตวั แฝงตน มากบั ชาวบา นเพ่ือมาสงทง้ั สองพระองคก ลบั เมอื ง เรียกกนั วา “ผตี ามคน” หรอื “ผีตาขน” จน กลายมาเปน “ผีตาโขน” อยางในปจ จุบันคําวา\"ผีตาโขน\"จัดวาเปน ชอ่ื การละเลนชนิดหนึง่ โดยผูเ ลน ทาํ รปู หนา กาก มลี กั ษณะ นา เกลยี ดนา กลวั มาสวมใสแ ละแตง ตัวมิดชดิ แลว เขา ขบวนแหแสดงทาทางตา ง ๆ ในระหวา งมงี านบุญตามประเพณปี ระจาํ ปข องทองถนิ่ พ้นื บาน การ เลนผีตาโขนนน้ั จะมเี ฉพาะงานบุญประเพณที ่ีภาษาพน้ื บานอเภอดา น ซาย จังหวดั เลย ซง่ึ เรียกวา \"บญุ หลวง\" ทว่ี ดั โพนชยั อาํ เภอดานซาย ในเดือนแปดขางข้ึน
นิยมทาํ 3 วัน ดงั กลา ว คอื วันแรกเปนวันรวม (วนั โฮม) เปนวันท่ี ประชาชนตามตําบลหมบู านตา งๆเดนิ ทางมารวมงาน ซึ่งปกติจะนาํ บ้งั ไฟมาดว ย โดยเริม่ ตัง้ แตเวลาประมาณ 04.00น. - 05.00 น. ทาํ พธิ ี อญั เชญิ พระอปุ คุตเขามาประดิษฐานอยทู ีว่ ัด โดยอญั เชิญกอ นหนิ จาก แมน ํ้าหมันใสพาน ซึง่ สมมตวิ า เปนพระอุปคุตนํามาประดิษฐานไวท่ี หออุปคตุ ขา งศาลาโรงธรรม ที่เตรียมจัดไวแลว เช่อื วาจะสามาร ปองกนั เหตุเภทภัยตาง ๆ ทจ่ี ะเกดิ ในงานได เม่อื พิธอี ญั เชญิ พระอุปคุต เสรจ็ เรียบรอ ยแลว จะมกี ารละเลน ตา งๆ ทัง้ กลางวนั และกลางคืน เชน เลนเซ้ิงบงั้ ไฟ ฟอ นรํา การแสดงผตี าโขนการแสดงการเลน ตาง ๆ เปนตน วันทสี่ องของงาน ต้ังแตตอนเชาถึงบาย จะมีการละเลนตางๆ
ประเพณแี หปราสาทผงึ้ ประเพณแี หป ราสาทผ้งึ จังหวดั สกลนครถือเปนประเพณงี านบุญสําคญั และเปนเอกลักษณของจังหวดั สกลนคร ประเพณีแหปราสาทผึง้ จะ จดั ข้ึนในชวงเดือน 11 หรอื ชวงออกพรรษาในงานแหป ราสาทผ้ึง จังหวดั สกลนคร ชาวบานจากทกุ หมูบา นจะมีการจัดทาํ ปราสาทซ่ึง สรา งมาจากข้ผี งึ้ เปน สวนประกอบหลัก จากนนั้ จะมกี ารจัดขบวนแห อยางสวยงาม อันประกอบไปดวยการแสดงพ้นื บา น การแตง กายพืน้ เมอื ง การรํามวย หรือกระทั่งการฟอ นภไู ทย จากนั้นทุกขบวนแห ปราสาทผงึ้ ของแตละหมูบา นจะนาํ ปราสาทผงึ้ ไปทอดถวาย ณ วัดพระธาตเุ ชิงชุมวรวหิ าร ประเพณแี หปราสาทผึ้งเปนประเพณีทที่ ําสบื ตอกนั มาเปนเวลานานในภาคอีสานแตจ ะเปน ที่รจู ักมากและแพรห ลาย ในพ้นื ทีจ่ งั หวดั สกลนคร โดยมจี ุดประสงคข องประเพณีท่เี กีย่ วเนือ่ ง กันระหวางความเชอื่ ในการทาํ บุญอทุ ศิ สว นกศุ ลแกญ าติผูลว งลับ และการทําบญุ ใหญใ นชวงออกพรรษาซง่ึ เปน งานบญุ ที่มีความเชอ่ื กนั อยา งแพรหลายวา จะไดร บั อานสิ งสมาก
ประวัตคิ วามเปน มา ประเพณแี หป ราสาทผ้ึงของชาวอสี านกเ็ ชนกนั ซ่งึ มคี ตคิ วามเชอื่ มา จากเมอ่ื คราวที่พระพทุ ธเจาเสด็จลงจากสวรรคช ั้นดาวดงึ สห ลงั จาก เสดจ็ ไปโปรดพระมารดาในวันขึน้ 15 ค่าํ เดอื น 11 เมือ่ เสด็จลงมา จากสวรรค พระพุทธเจา ไดแ สดงปาฏหิ ารยิ ด วยการเปดโลกทั้งสาม คอื สวรรค มนุษย และนรก ใหเ ห็นถงึ กันได ทาํ ใหผูท ไ่ี ดม องเหน็ วิมานบนสวรรคเกดิ ความตอ งการทีจ่ ะไดอ ยใู นสถานที่อันงดงามเชน นั้นบา ง และทราบวาการจะไดอ ยใู นวิมานอยา งน้นั จะตอ งสรา งบญุ สรางกุศล ปฏบิ ตั ิธรรม สรา งปราสาทกองบญุ ในขณะทเ่ี ปน มนษุ ยอ ยู เสียกอ น จนเปน ทมี่ าของการสรางปราสาทผ้ึง
ประเพณีบญุ บั้งไฟ ประเพณี บุญบ้ังไฟ เปน ประเพณสี าํ คัญของภาคอีสานบานเราท่ปี ฏิบตั ิ สบื ทอดกันมาตัง้ แตสมัยโบราณคะ ถือเปน หน่งึ ในฮตี สิบสองเดอื น ของชาวอสี านที่ทํากนั ในเดือน 6 ชวงเขาสฤู ดฝู นซ่ึงเปนฤดทู ํานา จะมีการจดุ บง้ั ไฟเพ่ือบูชาเทพยดา และส่งิ ศักดิส์ ทิ ธท์ิ ั้งหลาย หรอื ที่ชาวอสี านเรยี กกนั วา พญาแถน หรือ เทพวัสสกาลเทพบตุ ร ซง่ึ มคี วามเชอ่ื วา พระยาแถนมหี นาทค่ี อยดูแลใหฝนตกถกู ตอ งตาม ฤดกู าล และทําใหพ ืชพันธธุ ญั ญาหารอดุ มสมบรู ณนั่นเอง
ประวตั ิความเปนมา ความเชอื่ ของ ประเพณีบุญบงั้ ไฟ ปรากฏอยใู น ตํานานเร่อื งพญาคัน คากและเรื่องผาแดงนางไอมกี ารกลาวถงึ การจดุ บง้ั ไฟเพอื่ บชู าพญา แถน โดยเฉพาะในเรือ่ งพญาคันคากซึง่ ตํานานนนั้ มอี ยูวา.. พญาคนั คาก เปนพระโพธสิ ตั วเ สวยชาตเิ ปน โอรสของกษตั รยิ เหตุที่ไดช อื่ วา “พญาคนั คาก”เปนเพราะเมอื่ คร้งั ประสตู ิมรี ูปรางผวิ พรรณเหมอื นคางคกหรอื ทช่ี าวอสี านเรยี กกันวา คันคาก และถงึ แม พระองคจ ะมรี ูปรางอัปลกั ษณแ ตพ ระอนิ ทรก ็คอยชวยเหลือ จนพญา คนั คากเปนทีเ่ คารพนับถือของชาวบา นจนลืมทจี่ ะเซนบูชาพญาแถน พญาแถนจงึ โกรธ ไมยอมปลอ ยนา้ํ ฝนใหต กลงมายงั โลกมนษุ ย จงึ เกดิ ศกึ การตอสูร ะหวา งพญาคันคากและพญาแถนขน้ึ โดยพญาคนั คากไดน าํ ทัพสตั วตา งๆ ข้นึ ไปรบ จนไดร บั ชยั ชนะพญาแถนจึงปลอยให ฝนตกลงมาเชน เดมิ แตม ขี อ แมว า จะตองจดุ บ้งั ไฟข้นึ ไปบูชาเปน ประจํา ทกุ ป จึงเปน ทม่ี าวา ชาวอสี านจึงทาํ บ้งั ไฟจดุ ขน้ึ บนฟาถวายพญาแถน เพ่ือฝนจะไดตกตองตามฤดกู าลนน่ั เองและจากตํานานพญาคันคากนี่ เอง ทําใหชาวยโสธรไดสรางแลนดม ารก ขนึ้ เพอื่ แสดงถึงความเชือ่ ของชาวอสี าน คอื พิพธิ ภณั ฑพ ญาคันคาก นน่ั เอง
คณะผูจัดทํา 1.พรรณวดี บุญนาค เลขท่ี 2 2.เกษมณี ปณุ สันถาร เลขท่ี 4 3.น.ส.รสิชยา ชะนะคมุ เลขท่ี 8 4.นายณภทั ร ลาวัลย เลขที่ 9 5.นายกติ ติพงศ สุนารักษ เลขที่ 10 6.นายธนพงศ มคี ุณ เลขท่ี 12 7.นายวรี ะชยั สภุ าพรม เลขท่ี 14 8.น.ส.ชนกิ านต วิลาวัลย เลขที่ 15 9.น.ส.ธณาพรญ ชมภู เลขท่ี 17 10.น.ส.ปรางคฉ าย เกดิ ประสพ เลขท่ี 19 11.น.ส.พชั รพร เจรญิ เนตร เลขที่ 20 12. น.ส.สุภาวดี ดีบาง เลขท่ี 25 13. น.ส. อังควรา มณฉี าย เลขที่ 26
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: