ค่มู อื การเรยี นการสอนเชงิ ปฏบิ ตั ิการ วิชาดนตรพี ืน้ บา้ นล้านนา โดย วา่ ท่ี ร.ต. วศนิ ชมุ่ ใจ ตาแหน่ง ครู วทิ ยฐานะ ครชู านาญการ โรงเรยี นวอแก้ววทิ ยา อาเภอห้างฉัตร จงั หวดั ลาปาง สังกดั กองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม องคก์ ารบรหิ ารส่วนจังหวัดลาปาง
คานา โครงการสอนดนตรีพ้ืนบ้านล้านนา จัดขึ้นเพ่ือเป็นการส่งเสริมให้นักเรียนของโรงเรียนวอแก้ววิทยาได้ เรียนรู้ถึงคววามเป็นมาศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นของตนเองเป็นประโยชน์ โดยการมุ่งเน้นไปที่การส่งเสริมให้เยาวชนสนใจใน ศิลปวัฒนธรรมท้องถ่ินในด้านดนตรีพื้นบ้านล้านนา สิ่งสาคัญส่วนหน่ึงก็คือ “คู่มือประกอบการเรียนการสอน” ที่จะต้องใช้ ประกอบกจิ กรรมน้ี ดงั นั้น จงึ ต้องเรง่ รวบรวม/เรียบเรียงเนื้อหาของคู่มือนี้ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับกิจกรรมและแนว การเรยี นการสอนที่จะมขี ึน้ ต่อไป ขอขอบคุณพ่อ แม่ คุณครูดนตรีทุกท่าน รวมทั้งผู้นาชุมชนต่าง ๆ ท่ีได้ให้การสนับสนุน ให้คาปรึกษา สาหรับการจัดกิจกรรมในคร้ังนี้และเหนือส่ิงใดก็จะเป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ ฟ้ืนฟู สืบสานวัฒนธรรมพ้ืนบ้านล้านนา ของเราให้วฒั นาถาวรต่อไป ว่าที่ ร.ต. วศิน ชุม่ ใจ ครูโรงเรียนวอแกว้ วิทยา
สารบญั เรื่อง หน้า ๑ ดนตรีพืน้ บ้านล้านนามาจากไหน ๒ ซึงและวิธกี ารฝกึ หัดดีดซงึ 14 สะลอ้ และวิธีการฝึกหดั สสี ะล้อ 22 ขลุ่ยและวธิ กี ารเปุาขลุ่ย 24 กลอง 25 ฉงิ่ 26 ฉาบ 27 การอา่ นโน้ตเพลงเบอ้ื งต้น 28 ศพั ทส์ งั คีต ๒๙ โน้ตเพลงขั้นพ้นื ฐาน
(๑) ดนตรพี ้นื บ้านลา้ นนามาจากไหน ศิลปวัฒนธรรมดา้ นดนตรขี องลา้ นนานัน้ มีวิวัฒนาการและได้รับการสืบทอดมานานต้ังแต่อดีตจนมาถึงปัจจุบัน ไม่มี หลกั ฐานชชี้ ดั แน่นนอน แตก่ ็มผี สู้ ันนิษฐานว่าบางสว่ นอาจได้รบั อิทธิพลมาจากชมพูทวีปโดยผ่านมาทางชนชาติมอญ ซ่ึงผู้รู้ บางท่านได้ต้ังข้อสังเกตว่าเคร่ืองดนตรีบางชนิดของล้านนานั้น มีลักษณะรูปร่างและวิธีการบรรเลงก็ใกล้เคียงกับเครื่อง ดนตรีบางชนิดของอินเดียเช่น “เปี๊ยะ” ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรีประเภทดีด ซ่ึงมีการ สันนิฐานว่าอาจจะมีวิวัฒนาการมา จากพณิ นา้ เตา้ ของอนิ เดีย อย่างไรก็ตาม ดนตรีพ้ืนบ้านล้านนา (สะล้อ ซอ ซึง) ก็เป็นศิลปะท่ีบรรพบุรุษของชาวล้านนาในอดีตได้แสดงถึง ความละเมียดละมัยของอารมณ์ทางศิลปะออกมาเป็นเสียงดนตรีท่ีส่ือถึงความนุ่มนวล เรียบง่ายในชีวิตประจาวันและ สอดคล้องกับวิถชี ีวิต ถิ่นทามาหากนิ และภมู อิ ากาศได้อยา่ งเหมาะสมกลมกลนื สะลอ้ ซอ ซึง สะล้อ เครื่องดนตรีประเภทเคร่ืองสายของล้านนา คันชักน้ันในอดีตทาจากหางม้า ใช้สีเหมือนกบั ซอของภาค กลาง แตกต่างกนั ที่คันชกั ของสะล้อจะอยู่ด้านนอกของสายสะลอ้ และเปน็ อสิ ระ ไม่เหมอื นกบั คันชกั ของซอทจี่ ะสอดไว้ตดิ กบั สายของซอ กะโหลก หรอื กลอ่ งเสียงของสะล้อนน้ั ทาจากกะลามะพรา้ ว คันทวนหรือคันสะลอ้ ทาจากไมเ้ น้ือแข็งเชน่ ไม้ สัก ประดู่หรือชงิ ชนั สะล้อแบ่งออกตามขนาดได้เปน็ ๓ ขนาด คือ สะล้อเลก็ สะล้อกลาง และสะลอ้ ใหญ่ นอกจากน้ีแลว้ สะล้อก็มีทัง้ แบบ ๒ สายและแบบ ๓ สาย การเล่นสะล้อน้ันมักใช้เลน่ ผสมกับซึงและปี่จุมหรือปซ่ี อ เพื่อใช้เปน็ ดนตรี ประกอบการขบั รอ้ งเพลงซอซึ่งเป็นเพลงพืน้ บ้านลา้ นนา สะล้อในสมัยโบราณบางทีกเ็ รียกว่า ทะร้อ หรือ ตะล้อ มีลกั ษณะคลา้ ยกับซอของภาคอีสาน ส่วนขลุ่ยนนั้ มีการ นามาเลน่ ร่วมกบั วงสะล้อ ซงึ ภายหลัง แตเ่ ดมิ นั้นมีแต่ซงึ และสะลอ้ ทบ่ี รรเลงรว่ มกัน เนือ่ งจากการฝกึ หัดและการเลน่ ท่ีไมย่ ากเกนิ ไปนัก จึงทาใหซ้ ึงและสะล้อเป็นเคร่ืองดนตรที ่ีไดร้ บั ความนยิ มอย่าง แพรห่ ลายกวา่ ดนตรีพ้ืนบ้านอยา่ งอนื่ การเล่นดนตรีพืน้ บา้ นล้านนานัน้ แต่เดิมใช้เป็นอปุ กรณ์ในการแอว่ สาว ต่อมาจงึ ได้ พฒั นาและดัดแปลงมาเปน็ การเล่นรวมกนั เปน็ วงเพื่อความบนั เทิงทั้งเวลาพักผอ่ นและพิธกี ารตา่ งๆ ไดม้ กี ารนาเอาเครื่อง ประกอบจังหวะมาบรรเลงรว่ มเชน่ กลอง ฉิ่ง ฉาบ จงึ ทาให้การบรรเลงครกึ ครื้นยิง่ ขนึ้ จนไดร้ ับความนยิ มนาไปบรรเลงใน งานตา่ งๆ ท้งั ทเ่ี ป็นงานมงคลและอวมงคล ซอ หมายถงึ ปี่ซอ หรือปีจ่ ุมทีใ่ ช้บรรเลงร่วมกับบทขบั ร้องเพลงซอพน้ื บา้ นล้านนา ลกั ษณะการซอจะ เป็นการน่งั รวมกนั เป็นวงหนั หน้าเขา้ หากนั ฝาุ ยหญงิ จะน่งั ตดิ กบั ปี่ขนาดเลก็ ซ่งึ เรียกวา่ ปี่กอ้ ย โดยมฝี ุายชายทจ่ี ะซอตอบโต้ โดยนง่ั ถดั ไปจากฝุายหญิง ลักษณะการซอนั้นฝาุ ยชายจะเปน็ ผู้เร่มิ ข้นึ ต้นซอก่อน ตดิ ตามมาด้วยการซอตอบโต้จากฝาุ ย หญงิ โดยมปี กี่ อ้ ยทาหนา้ ทีห่ ลกั ในการนาการบรรเลง เน้ือหาของการขับลานาซอนนั้ ก็แลว้ แตว่ า่ จะเปน็ วาระและโอกาส อะไร แตม่ ักจะเปน็ งานมงคลเป็นหลกั เช่น งานวัดทงั้ ปอยหลวง บวชพระหรอื งานขน้ึ บา้ นใหม่ เปน็ ตน้ ส่วนทานองในการ ซอพืน้ บ้านลา้ นนาน้ันมหี ลากหลายทานองเช่น ต้ังเชียงใหม่ จะปุ ละม้าย โยนกเชียงแสน เงีย้ ว หรอื เสเลเมา พม่า พระลอ ซออ่ือ ปั่นฝูาย ล่องนา่ น และทานองจ้อย เป็นตน้
(๒) ซงึ ซึง เป็นเครื่องดนตรีประเภทดีดของล้านนา มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับกีตาร์ และพิณของภาคอีสาน มี ๔ สาย ในอดีตมักใช้สายลวดเส้นเล็กๆ หรือสายเบรกรถจักรยานมาทาเป็นสายซึง แต่ปัจจุบันนี้นิยมใช้สายกีตาร์แทน ซึ่งมีสาย เป็นคู่รวมเป็น 4 สาย เวลาต้ังเสียงต้องต้ังเป็นคู่คือ สายคู่บน และสายคู่ล่าง มีลูกนับแบ่งเป็นช่องๆ คล้ายกีตาร์ (Fret) ซ่ึงสามารถแบ่งตามขนาดมี ๓ ขนาด คือ ซึงเล็ก ซึงกลาง และซึงหลวง ท่ีมีหลายขนาดก็เพราะต้องการให้มีเสียงท่ี กลมกลืนกนั ในขณะบรรเลงร่วมกันเป็นวง นอกจากน้ีซึงยังมี “ซึงสามสาย” ซึ่งจะใช้เอาไว้บรรเลงเพ่ืออวดทักษะฝีมือ ของนักดนตรี (เดย่ี วเคร่ืองดนตร)ี ในการบรรเลงเป็นวงจะใช้ซึงขนาดใหญ่เข้าร่วมเพ่ือให้เกิดเสียงประสานและตัดกัน และความไพเราะก็จะข้ึนอยู่ กบั ขนาดของซึง การบรรเลงเป็นวงนั้นไม่มีจากดั จานวนของเคร่อื งดนตรวี า่ จะมีกี่ช้ิน ส่วนใหญ่แล้วมักจะคานึงถึงความเข้า กนั ได้ของฝีมอื ผูเ้ ล่น และความกลมกลืนของเสยี งที่จะออกมาในขณะบรรเลงมากกวา่ ประเภทของซึง แบ่งได้ ๓ ประเภท ดงั น้ี ๑. ซงึ ตดั หรือซงึ เล็ก มีรูปรา่ งกะทัดรัด เสน้ ผา่ ศนู ยก์ ลางประมาณ ๖ - ๘ นิ้ว ซึงทีต่ ้ังเสียงลกู ๔ จะมีสาย คู่ลา่ งเปน็ เสียงโด คู่บนเป็นเสียงซอล นิยมดีดเพลงท่ัวไปเพื่อให้มีเสียงตัดกับซึงใหญ่และซึงกลาง ผู้เล่นต้องมีกลเม็ดในการ เล่นทแ่ี พรวพราว เสียงของซึงตดั จะมเี สยี งสูงคมชดั ๒. ซึงกลาง มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๐ นิ้ว ช่วงคอซึงยาวประมาณ ๑๕ - ๑๖ น้ิว เป็นซึงที่ให้เสียงทุ้ม ปานกลาง ถ้าเลน่ เปน็ วงจะใช้ควบคุมทานองหลกั มักตง้ั เสยี งแบบลูกสาม มสี ายค่ลู า่ งเป็นเสยี งซอล สายคบู่ นเปน็ เสยี งโด ๓. ซึงใหญ่ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๒ - ๑๕ น้ิว ช่วงคอซึงจะยาวประมาณ ๑๘ - ๒๐ น้ิว ซึงใหญ่ เปน็ ซึงทใี่ หเ้ สยี งท้มุ กังวาน มักจะตั้งเสียงเปน็ แบบซึงลกู ส่ี มีสายคูล่ ่างเปน็ เสียงโด (ด) และสายคู่บนเป็นเสียง ซอลต่า (ซ)
๒ ๙ (๓) ๔ ๑ ๓ ๕ ๘ ๖ ๗ สว่ นประกอบของซึง 1. ตัวซงึ หรือ กล่องเสียง มักจะมรี ปู ร่างและขนาดแตกตา่ งกันออกไปขึ้นอยู่กับความชอบและผู้ออกแบบ ส่วนความ ตน้ื – ลกึ และความหนา – บาง ของขอบด้านขา้ ง และความหนาดา้ นลา่ งนั้น มีส่วนทาใหเ้ กดิ เสยี งก้องกงั วานมาก – นอ้ ยได้ ๒. หน้าตาดซงึ คอื แผ่นไมบ้ างๆ ท่ีปิดไว้บริเวณตัวซึงหรือกล่องเสียง และเจาะรูให้เสียงสะท้อนออกจากกล่องเสียงตาดซึง เป็นองค์ประกอบที่สาคัญในการรับการสั่นสะเทือนจากหย่องที่วางอยู่บนตาดซึง หย่องน้ันทาหน้าที่เป็นตัวนาการ ส่ันสะเทือนของสายซึงผ่านเข้าสู่กล่องเสียง ทาให้เกิดเป็นเสียงสะท้อนดังก้องออกมาความหนา ของไม้และขนาดรูเปิด เสียงของตาดซึงจะตอ้ งพอดแี ละสมั พันธ์กบั ขนาดของกล่องเสียง ซ่ึงจะทาให้เกิดเสียงไพเราะ กังวานส่วนไม้ที่ใช้ทาเป็นตาด ซึงมกั จะเปน็ ไม้ชนดิ เดียวกนั กบั ตวั ซึงหรืออาจใชไ้ ม้อดั ก็ได้ ๓. คอซึง คอซึงเป็นไม้ชิ้นเดียวกับกล่องเสียง หรือใช้ไม้ประกอบต่อกันให้สนิทเข้าด้วยกันกับกล่องเสียงก็ได้ ความกว้าง ของคอซึงไม่กาหนดเป็นมาตรฐานแล้วแต่ความชอบของผู้เล่นและผู้ออกแบบแต่ละคน คอซึงเป็นที่สาหรับวางหย่องพาด สายและวางลกู นบั หรือนมซงึ วางเรียงกันตามลาดับบันไดเสียง ๔. หวั ซึงและลูกบิด (หลักซึงหรือหลักสาย) หัวซึงจะเจาะรูด้านข้างไว้สาหรับใส่ลูกบิด และเซาะร่องตรงกลาง สาหรับใส่ สาย ลักษณะของหัวซึงจะมีลวดลายแตกต่างกันออกไปแล้วแต่ผู้ผลิต (สล่า) ส่วนลูกบิดซึงนั้นแต่เดิมใช้ลูกบิดไม้ (หลักซึง หรือหลักสาย) เวลาฝึกหัดเล่นซึงใหม่ ๆ จะตั้งเสียงยากและช้า ดังนั้น ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจึงมักจะใช้ลูกบิดกีตาร์แทน เพราะสะดวกและงา่ ยต่อการตง้ั เวลาจะเลน่ แต่กจ็ ะใส่ลกู บิดไมห้ ลอกไว้ ๕. หย่องหน้า หรือ หย่องพาดสาย เป็นอุปกรณ์สาหรับการจัดวางสายซึงโดยแบ่งเป็นคู่สายบนและคู่สายล่าง ความสูง ของหย่องหน้านี้จะสัมพันธ์กับความสูงของหย่องหลังและลูกนับหรือนมหย่องหน้า จะต้องไม่สูงเกินไปเพราะถ้าสูงมาก เกินไปเวลากดสายจะทาให้ผเู้ ล่นเจบ็ น้วิ ๖. ลูกนบั ซึง จะจดั วางเรยี งกนั ตามลาดับจากสงู ไปหาต่า เวลากดสายซงึ ลูกใดลกู หนึง่ สายซึงต้องไมไ่ ปแตะ ลูกนับหรือ นมตัวที่ถัดไป ลูกนับซึงทาด้วยไม้เน้ือแข็ง ไม้ไผ่ หรือกระดูกก็ได้ บางคร้ังก็ใช้หวาย ลูกนับซึง จะเรียกเป็นลูกท่ี ๑ ลูกที่ ๒ ลูกที่ ๓ และลูกท่ี ๔ เรียงต่อไปเร่ือยๆ ซึงแต่ละตัวน้ันจานวนลูกนับไม่เท่ากัน เช่น ซึงตัด ๑๑ ลูก หรือซึงตัด ๙ ลูก บางทีมเี พยี ง ๗ ลกู ก็มี ไม่ได้จากดั ตายตวั จะขึ้นอยู่กับผทู้ าซึงหรอื ผเู้ ลน่ ๗. หย่องหลัง คือส่วนท่ีรับน้าหนักแรงกดจากความตึงของสายซึง และเป็นตัวนาเสียงสั่นสะเทือนจากการดีดสายซึงผ่าน ตาดซงึ เขา้ ไปในกลอ่ งเสียงแล้วสะท้อนก้องออกมา หย่องหลังท่ีดีจะต้องทาด้วยไม้เนื้อแข็ง กระดูกหรือเขาสัตว์ เพื่อให้เป็น ตัวนาเสยี งท่ีดี ๘. หลักยึดสายซึง อยดู่ า้ นท้ายทาหน้าท่ใี นการยดึ สายซึงไวใ้ ห้แนน่ ซ่ึงจะใชต้ ะปูตอกยึด หรอื เจาะเปน็ รูก็ได้
(๔) ๙. สายซึง และไม้ดีด (บางที่ก็เรียกไม้เขี่ย) สมัยก่อนใช้สายเบรกรถจักรยาน หรือสายลวดทองเหลือง ปัจจุบันนิยมใช้ สายกีตาร์เพราะสามารถเลือกขนาดของสายได้ แต่สายเบรกรถจักรยานก็ยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่เพราะหาง่ายและมีความ ทนทาน สว่ นไม้ดีดซงึ นน้ั แต่ก่อนนิยมใช้เขาควายโดยนามาทาเปน็ รูปรา่ งแบบเล็ก ๆ คลา้ ยป๊กิ กีตาร์แต่จะเล็กและยาวกว่า ไม้ดดี ที่ทาด้วยเขาควายมักไม่ค่อยทนเพราะจะแตกหรือฉีกง่าย ดังน้ัน ในปัจจุบันมักจะนิยมใช้พลาสติกมาทาไม้ดีดแทน เนอื่ งจากหางา่ ยและทนทาน การตง้ั เสยี ง การเทียบเสียงของเครอ่ื งดนตรี มกั เทียบกับระดับเสียงของเคร่ืองดนตรีภายในวงที่ไม่สามารถปรับระดับเสียงของ ตัวเองได้ ซ่ึงในที่นี้หมายถึงขลุ่ยที่จะใช้เปุาเล่นรวมกัน ส่วนใหญ่น้ันจะตั้งเสียงจากขลุ่ยหลิบหรือขลุ่ยพ้ืนเมืองเหนือ(ขลุ่ย ตาด) ซง่ึ มี 6 - ๗ รู การตงั้ เสียงของขลุ่ยก็จะมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะแตล่ ะท้องถ่ินท่ีแตกต่างกันออกไป การตง้ั เสียงซึงมี ๒ แบบ คือ ซึงกลางต้ังเสียง แบบลูกสาม ซึงใหญ่กับซึงเล็กต้ังเสียง แบบลูกส่ี คาว่าที่เรียกว่า แบบ “ลูกสาม” และแบบ “ลูกส่ี” โดยการเทียบเสียงซึงท่ีดีดลงไปแต่ละลูกนับว่าเทียบได้กับเสียงโน้ตไทยท้ัง ๗ เสียง ดงั ตารางตอ่ ไปน้ี แบบท่ี ๑ ซงึ ลูกสาม ซึงลูกสาม คือ ซึงทต่ี งั้ เสียงสายเปล่าคบู่ นเปน็ เสียงโด เสยี งกลาง (ด) ตั้งเสยี งสายเปล่าคู่ล่างเปน็ เสยี ง ซอล (ซ) และเสียงลกู นบั ท่สี ามของสายคู่ล่างเป็นเสียง โดสูง (ด) ฟมร ด ลํ ซํ ฟํ มํ รํ ดํ ท ล ซ
(๕) ซึงลกู สาม สายคูบ่ นมักจะเล่นสายเปล่า ลูกท่ี ๑, ลกู ท่ี ๒ และลูกท่ี ๓ เท่าน้ัน ลกู ที่ ๔ คู่บนเสียงซอล ไม่มผี ูน้ ิยมเลน่ แตจ่ ะดีดสายเปลา่ คู่ลา่ ง ซ่ึงเป็นเสียง ซอล เหมอื นกัน การฝึกหัดดดี และไลเ่ สยี งซงึ ลกู ๓ มวี ธิ กี ารดังต่อไปน้คี ือ “คบู่ น” โดยการ ดีดขึน้ พร้อมกบั ท่องโนต้ โด กดสายคู่บนที่ ลกู นับท่ี ๑ ดดี ลง พร้อมกบั ทอ่ งโน้ต เร ดีดสายเปล่า กดสายคู่บนที่ ลกู นับท่ี ๒ ดดี ขึ้น พรอ้ มกับทอ่ งโนต้ มี นว้ิ ช้ี กดสายคบู่ นที่ ลกู นบั ท่ี ๓ ดดี ลง พร้อมกับท่องโน้ต ฟา นว้ิ กลาง น้ิวนาง “คูล่ า่ ง” โดยการ ดีดลงแล้วตวัดขน้ึ พร้อมกับท่องโน้ต ซอล กดสายคู่ลา่ ง ลูกนบั ท่ี ๑ ดีดสายเปล่า กดสายคู่ลา่ ง ลกู นับที่ ๒ ดีดลง พร้อมกบั ท่องโนต้ ลา นิ้วช้ี กดสายค่ลู ่าง ลูกนบั ที่ ๓ นิว้ กลาง ดดี ขนึ้ พรอ้ มกบั ท่องโน้ต ที นิ้วนาง ดีดลง พร้อมกับท่องโนต้ โดสูง (ด) ใหฝ้ ึกไล่เสียงย้อนกลบั ไปมาดังตวั อยา่ ง แตเ่ ปล่ียนวิธีการดีดเปน็ ดดี ขึน้ – ดีดลง จนสามารถจาได้ แตจ่ งั หวะ การดีดต้องสม่าเสมอ การฝกึ ดีดให้เร่ิมตน้ จากช้า ๆ แล้วค่อยเร่งใหเ้ ร็วข้นึ ไดเ้ ม่อื มีความชานาญจนสามารถจาเสยี งและ ลกู นับได้อยา่ งแมน่ ยา ฝกึ ให้คลอ่ งจนกวา่ ประสาทสมั ผัสจะสามารถแยกแยะเสียงได้จะกระท่ังมอื ซา้ ยและขวามี ความสมั พันธก์ ันเป็นอย่างดี
(๖) การดีดรัวเสียง การฝึกดีดรัวเสียงให้ดีดลงดีดข้ึนสลับกันไป เริ่มจากการดีดลง ฝึกดีดช้า ๆ แล้วค่อยเร็วข้ึนไป เรื่อยๆ จนเป็นเสียงรัว ให้ฝึกดีดทั้งสายเปล่า และดีดเมื่อกดลูกนับแต่ละลูก การดีดรัวนั้นจะต้องใช้ส่วนของข้อมือเป็น ส่วนเคลื่อนไหว เป็นการสะบดั มือดีด ไมใ่ ช้แขนทั้งหมดในการเคล่อื นไหวในการดดี การฝกึ ดดี รวั การฝึกหัดดีดซงึ ลูก ๓ ๑. ดีดสายเปล่า สายทุม้ เสยี งทีไ่ ด้จะเป็นเสียง โด กลาง (ด) ๒. ดดี และกด นว้ิ ชี้ ใกล้กับลกู นบั ที่ ๑ สายทมุ้ เสียงท่ไี ดจ้ ะเป็นเสยี ง เร (ร)
(๗) ๓. ดีดและกด นวิ้ กลาง ใกลก้ ับลูกนับท่ี ๒ สายทุ้ม เสยี งที่ได้จะเปน็ เสยี ง มี (ม) ๔. ดีดและกด นิ้วนาง ใกลก้ ับลูกนบั ท่ี ๓ สายทุ้ม เสยี งที่ได้จะเปน็ เสียง ฟา (ฟ) ๕. ดีดสายเปล่า สายเอก เสียงที่ได้จะเป็น ซอล (ซ) ๖. ดีดและกด นิว้ ช้ี ใกลก้ ับลกู นบั ที่ ๑ สายเอก เสียงท่ไี ดจ้ ะเป็นเสยี ง ลา (ล)
(๘) ๗. ดีดและกด น้ิวกลาง ใกลก้ บั ลูกนบั ท่ี ๒ สายเอก เสียงที่ไดจ้ ะเปน็ เสยี ง ที (ท) ๘. ดดี และกด น้วิ นาง ใกล้กับลูกนับท่ี ๓ สายเอก เสียงทีไ่ ด้จะเป็นเสยี ง โดสูง (ด)
(๙) ๙. ดดี และกด นิว้ ก้อย ใกลก้ ับลูกนบั ที่ ๔ สายเอก เสียงท่ไี ด้จะเป็นเสยี ง เรสงู (ร) แบบท่ี ๒ ซงึ ลกู ส่ี ซงึ ลูกสี่ คือ ซงึ ท่ีต้ังเสียงสายเปลา่ คู่บนเป็นเสยี ง “ซอล”(ซ) ตั้งเสยี งสายเปล่าคู่ลา่ งเปน็ เสยี ง โดสงู (ด) และเสยี งลกู นับที่ สข่ี องสายค่ลู ่างเปน็ เสยี ง ซอลสงู ( ซ ) ท ลซ ดํ ทํ ลํ ซํ ฟํ มํ รํ ดํ ซึงลูกสี่ สายคู่บนมักจะเล่นแต่สายเปล่า ลูกที่ 1 และลูกท่ี 2 ส่วนเสียงโดลูกที่สาม มักจะเล่นสายเปล่าคู่ล่าง ซ่ึงเป็น เสียงโดแทน แต่ซึงใหญ่ลูก ๓ หรือซึงหลวงซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๑๕ นิ้วข้ึนไป มีขนาดใหญ่ และยาว มีเสียง ทุ้มต่าทาหนา้ ที่คลา้ ยเบส แตโ่ ดยท่วั ไปมักไม่คอ่ ยได้รบั ความนิยมเทา่ ไร
(๑๐) การต้งั เสยี งซงึ ลูก ๔ ซึงใหญ่ - ซงึ เลก็ ให้ตั้งเสยี งเป็นเสียง ซอล - โด หรอื ลกู ๔ คือเทยี บสยี ง สายเปล่าคู่บน เปน็ เสียง ซอล สายเปล่าค่ลู ่าง เปน็ เสยี ง โด ดงั น้ี ดีดสายเปลา่ “คู่บน” โดยการดดี ขนึ้ พร้อมกับท่องโนต้ ซอล (ซ) ลา (ล) นว้ิ ช้ี กดสายคบู่ นที่ ลูกนบั ที่ ๑ ดดี ลง พรอ้ มกับท่องโน้ต ที (ท) นิ้วกลาง กดสายคู่บนท่ี ลูกนบั ที่ ๒ ดดี ขึ้น พร้อมกบั ทอ่ งโนต้ ดดี สายเปล่า “ค่ลู ่าง” โดยดีดลง พร้อมกับท่องโนต้ โด (ด) น้วิ ช้ี กดสายคู่ล่าง ลกู นบั ท่ี ๑ ดีดขึ้น พรอ้ มกับท่องโนต้ เร (ร) นิ้วกลาง กดสายคู่ลา่ ง ลกู นบั ที่ ๒ ดีดลง พร้อมกับทอ่ งโนต้ มี (ม) นิว้ นาง กดสายคู่ลา่ ง ลูกนบั ท่ี ๓ ดดี ขน้ึ พร้อมกับท่องโน้ต ฟา (ฟํ) นิ้วกอ้ ย กดสายคลู่ า่ ง ลกู นับที่ ๔ ดีดลง พรอ้ มกบั ทอ่ งโนต้ ซอล (ซ) การฝกึ หดั ดดี และไลเ่ สยี งซึงลูก ๔ ซงึ ลูก ๔ มีวธิ กี ารฝึกดดี และไล่เสยี งตามข้นั ตอนดังต่อไปนี้ ๑. ดีดคสู่ ายเปล่าบน (สายทมุ้ ) เสียงท่ไี ดจ้ ะเป็นเสียง ซอล (ซ) ๒. ดีดและกดน้ิว บนลกู ท่ี ๑ (สายทุ้ม) เสียงทไี่ ด้จะเป็นเสียง ลา (ล)
(๑๑) ๓. ดีดและกดนิ้วกลาง บนลกู ท่ี ๒ เสียงท่ไี ดจ้ ะเป็นเสียง ที (ท) ๔. ดดี คู่สายเปล่าลา่ ง (สายเอก) เสยี งท่ีได้จะเป็นเสยี ง โดสงู (ด)
(๑๒) ๕. ดดี และกดนิ้วช้ี บนลกู ที่ ๑ (สายเอก) เสยี งท่ไี ด้จะเป็นเสียง เรสูง (ร) ๖. ดดี และกดนิ้วกลาง บนลกู ท่ี ๒ เสียงท่ีได้จะเปน็ เสียง มี (ม) ๗. ดดี และกดน้วิ นาง บนลูกท่ี ๓ (สายเอก) เสียงทีไ่ ด้จะเปน็ เสียง ฟาสูง (ฟํ)
(๑๓) ๘. ดีดและกดนิ้วก้อย บนลูกท่ี ๔ สายเอก เสียงท่ีไดจ้ ะเป็นเสยี ง ซอลสูง (ซ) วิธีดีดซงึ สายของซึงจะมีอยู่ ๒ คู่ คอื คู่บนและคู่ล่าง ให้กางมือจบั คอซึง นวิ้ มือซา้ ยกดสายซึงโดยให้สายซงึ แตะกบั ลูกนบั ส่วนมอื ขวาจบั ไมด้ ีด ดดี ลงไปทสี่ ายซงึ ทีละค่สู าย การดีดสายซึงนัน้ จะต้องดีดลงก่อนเสมอ แลว้ ค่อยดีดข้ึนสลับกันไปมา จะเร่ิมฝกึ ดีดลงดดี ขน้ึ อย่างช้าๆ และถ่ีๆข้ึนจนเปน็ เสียงรัว โดยเรมิ่ ฝึกจากการ ดีดสายเปลา่ ก่อน แล้วจงึ ฝึกการไลบ่ ันได เสียงจนความชานาญ ค่อยเริ่มฝึกหดั เพลงพ้ืนฐานได้ การบรรเลงดนตรพี น้ื บ้านลา้ นนาหลายชนิดเป็นวงผสมกนั ก่อนอ่ืนจะต้องมีการต้ังเสยี งใหเ้ ข้ากนั เสียก่อน การต้ัง เสียงจะต้องใช้ขลยุ่ เปน็ หลักในการเทียบเสยี ง ซงึ จะตอ้ งตั้งเปน็ ลกู ๓ และลกู ๔ ดงั ต่อไปนี้ ซึงเลก็ จะตอ้ งต้งั เสยี งใหเ้ ป็นเสยี ง “ลกู สี่” (สายทมุ้ เสียง ซอล – สายเอกเสียง โดสงู ) ซึงกลาง จะตอ้ งตง้ั เสยี งให้เปน็ เสยี ง “ลกู สาม” (สายทุ้มเสียง โด – สายเอกเสียง ซอล) ซึงใหญ่ จะตอ้ งตงั้ เสยี งให้เป็นเสยี ง “ลกู ส่ี” (สายทมุ้ เสยี ง ซอลตา่ – สายเอกเสียง โด)
(๑๔) ทา่ ทางในการน่งั ดีดซงึ ปกติการบรรเลงดนตรีพ้นื บา้ นลา้ นนานนั้ มักจะน่ังกับพ้นื ซงึ่ ท่านั่งนน้ั ก็มกั จะเปน็ การนงั่ พับเพียบหรอื น่งั ขดั สมาธกิ ็ ไดต้ ามแตโ่ อกาสและสถานที่หรือความถนัดของผ้เู ลน่ เป็นหลัก บางโอกาสอาจนัง่ เก้าอี้เล่นก็ไดแ้ ต่โดยท่วั ไปแลว้ จะเปน็ การนง่ั ขดั สมาธิเสยี เปน็ ส่วนใหญ่เพราะเป็นทา่ ทผ่ี ่อนคลายและสะดวกในการเล่
สะลอ้ สะล้อ บางทีก็เรียก ทะร้อ เอกสารโบราณบางแห่งเรียกว่าตะล้อ,ถะล้อ,ธะล้อ สะะล้อเป็นเครื่องดนตรีพ้ืนบ้าน ลา้ นนาทใ่ี ช้เลน่ ผสมกับซึงและขลยุ่ หรือเล่นเดี่ยว มีรูปทรงคล้ายซออู้ ซ่ึงเป็นเคร่ืองสายของดนตรีไทย แต่วิธีทาสะล้อน้ัน ไมป่ ระณตี เทา่ ซออแู้ ละรายละเอยี ดอื่นๆ ก็แตกต่างกันเช่นกล่องเสียง (กะโหลก/กระโหล้ง) ทาจากกะลามะพร้าว ขอบ สะล้อด้านหนา้ ปดิ ด้วยแผ่นไม้บางๆ ส่วนซออู้น้ันด้านหน้าปิดด้วยหนัง สายสะล้อ ใช้สายลวดหรือสายกีต้าร์ ส่วนซออู้ นน้ั เป็นสายเอน็ หรือสายไหม สะล้อใชค้ ันชักสนี อกสายคลา้ ยซอสามสาย แตกตา่ งจากซออูท้ ีค่ นั ชกั อยู่ในสาย คันชักเดิมใช้ หางมา้ แตป่ ัจจุบนั หางม้าหายากจงึ ใช้สายเอน็ เส้นเลก็ ๆ ๗๑ ๖ ๒ ๓ ๕ ๔ ส่วนประกอบของสะลอ้ ๑. กะโหลก/กะโหล้ง (กลอ่ งเสยี ง) สะลอ้ ทาจากกะลามะพร้าว โดยเจาะรดู า้ นหลงั ใหเ้ ป็นทางออกของเสียง ด้านหนา้ ปดิ ด้วยแผ่นไม้บาง ๆ ซึ่งเรยี กวา่ ตาดสะล้อ ๒. หย่อง (ก๊อบสะล้อ) เปน็ ไม้ชิน้ เล็กๆ ใชส้ าหรับรองสายสะลอ้ สว่ นลา่ งให้ยกสูงจากตาดสะล้อ ๓. คนั ทวน (คนั สะล้อ) เปน็ ไม้เน้อื แข็งกลึงหรือเหลาให้กลมเสยี บทะลุกะลาใกลๆ้ ขอบท่ีปิดด้วยตาดสะลอ้ ๔. สายสะล้อ คือสายที่ทาใหเ้ กิดเสยี งขณะถูกสี ทาด้วยสายลวดโลหะ มี ๒ สาย คอื สายเอกและสายทุ้ม ๕. รดั อก เป็นเส้นกาหนดเสียง ใช้สายเอน็ หรือลวดเป็นหว่ งรดั สายสะลอ้ รวมเข้ากับคนั สะลอ้ ส่วนบน ๖. ลกู บิด (หลักสะล้อ) ทาดว้ ยไม้กลึงเรียวเลก็ ลง เสยี บตรงปลายคอคันทวน สาหรับขนั สายสะลอ้ ใหต้ งึ หรือหย่อน เพื่อปรบั เสียงตามความต้องการ ๗. คันชัก(ก๋งสะล้อ)ทาด้วยไมเ้ น้ือแขง็ หรอื ไม้ไผ่ โค้งงอคล้ายคันศร ขงึ ดว้ ยหางมา้ หรือเอน็ เส้นเล็กๆ
(๑๕) ระบบเสยี งของสะล้อ สะล้อ ต่างกับซึงท่ีไม่มีนมรองรับ สะล้อจึงไม่มีปัญหาเรื่องบันไดเสียงว่าจะอยู่ในระบบใดระบบหน่ึงเพียงระบบ เดียว การข้ึนสายสะล้อเหมือนกับการขึ้นสายซึงคือข้ึนแบบลูก ๓ และลูก ๔ ตามความถนัดและความต้องการของผู้ เล่น แตม่ กั จะมีหลักอยู่ว่าเมื่อจะมีการเล่นเป็นวงมีสะล้อหลายตัวน้ันมักจะมีการตั้งสะล้อใหญ่ให้เป็นลูก ๔ และตั้งสาย สะล้อเลก็ ใหเ้ ป็นลูก ๓ จึงจะทาใหม้ เี สียงออกมากลมกลนื กนั เป็นอยา่ งดี ประเภทของสะลอ้ และการตั้งเสียง การต้งั เสยี งสะลอ้ น้นั นกั ดนตรพี ้นื บ้านล้านนาหลายท่านนิยมตั้งเสียงให้เหมือนกับการต้ังเสียงซอด้วง ของวงดนตรี ไทยคือสายทุ้มเป็นเสียง ซอล และสายเอกเปน็ เสยี ง เร เนือ่ งดว้ ยเป็นการสะดวกที่เด็กนักเรียนท่ีเคยเล่นหรือไม่เคยเล่นซอ ดว้ งหรือสะลอ้ ก็สามารถจะเลน่ เคร่ืองดนตรีทั้งสองชิ้นได้ เพราะมีการวางตาแหน่งน้ิวที่จะกดเหมือนกัน แต่ความเป็นจริง แล้ว สะล้อที่เล่นประสมกับซึง และเครื่องประกอบจังหวะ ในวงดนตรีพื้นบ้านล้านนา จะตั้งเสียงไม่เหมือนกัน ซ่ึงพอจะ แบ่งได้เปน็ ๓ ประเภท เรียกตามขนาดดังน้ี ๑. สะลอ้ ใหญ่ หนา้ กะโหลกทาจากกะลามะพรา้ วกว้างประมาณ ๕.๕ นิ้ว คันทวน (คันสะล้อ) วัดจากกระโหลกถึงหลังสะ ล้อ ยาวประมาณ ๑๕ นิ้ว สะล้อใหญ่เวลาสี เสียงที่ออกมาทุ้มใหญ่มักตั้งเสียงเป็นแบบสะล้อลูกสาม (สายทุ้ม เสียงโด, สายเอก เสยี งซอล ) ๒. สะลอ้ กลาง หน้ากระโหลกกว้างประมาณ ๔.๕ น้ิว คันทวนวัดจากกระโหลกถึงหลักสะล้อ ยาวประมาณ ๑๓.๕ นิ้ว เสียงที่ได้เป็นเสียงทุ้มปานกลาง มักใช้สีควบคุมทานองหลัก นิยมตั้งเสียงแบบสะล้อลูกส่ี (สายทุ้ม เสียงซอล – สายเอก เสียงโด ) ๓. สะลอ้ เล็ก หนา้ กระโหลกกว้างประมาณ ๓.๕ น้วิ คนั ทวนวัดจากกระโหลกถึงหลักสะล้อยาว ๑๒ น้ิว ให้เสียงสูง กว่าสะลอ้ กลาง มกั ต้ังเสียงเป็นแบบลูกสาม(สายเอกเสียงซอลสูง-สายทุ้มเป็นเสียงโดสูง) นอกจากน้ี ยังมีสะล้อสามสาย อกี เป็นการวมเอาการต้งั เสียงแบบสะล้อลูกสามและลูกสอี่ ยู่ในตัวเดยี วกัน บทบาทและลลี าของสะลอ้ แตล่ ะประเภท ๑. สะล้อใหญ่ มลี กั ษณะรว่ มทางเสยี งระหว่างสะลอ้ เลก็ และสะลอ้ กลาง แต่เสียงทุ้มตา่ บทบาทคล้ายคนทมี่ ีอายุ ไม่ค่อย มีลลี าและลูกเล่นมากนัก ๒. สะลอ้ กลาง บทบาทคลา้ ยคนวัยกลางคน มลี ีลาสอดรับกับสะลอ้ ใหญแ่ ละสะล้อเล็ก ๓. สะล้อเล็ก คลา้ ยคนวยั คะนอง มีเสยี งแหลมเล็ก ลลี าโลดโผน ล้อและรบั กบั เสียงสะล้อกลาง ซงึ และขลยุ่ การตง้ั เสียงสะลอ้ ใช้พนื้ ฐานการอ่านโนต้ เพลงไทยเบ้ืองต้น ซ่ึงมตี ัวโนต้ อยู่ ๗ ช่ือ ซงึ่ จะใชอ้ กั ษรยอ่ แทนเสยี งแต่ละเสียง ดงั ต่อน้ี โด = ด, เร = ร, มี = ม, ฟา = ฟ, ซอล = ซ, ลา = ล, ที = ท การตง้ั เสียงสะล้อใชเ้ ทยี บกับขลุย่ พ้ืนเมืองซ่ึงเปน็ เคร่ืองดนตรีประเภทเคร่ืองเปุา มีระดับเสยี งเทา่ กบั ขลยุ่ หลิบของ ดนตรไี ทย ซ่งึ ปิดรูเสยี งทัง้ หมดจะได้เสียง ซอล ใชม้ ือข้างบนปิด 4 นิว้ และปดิ รคู า้ อีก ๑ น้วิ เม่อื เปาุ จะเปน็ เสียง โด และ ใชม้ อื ล่างอีกข้างหนงึ่ ปดิ อีก ๓ รู รวมเป็น ๗ รู (ถ้านับทัง้ นิว้ ค้า) จะเปน็ เสยี ง ซอล
(๑๖) ตาแหนง่ เสียง แบง่ ตามลักษณะการต้ังเสียงได้ ๒ ประเภท ๑. ประเภทของสะล้อลูกสาม จะมีการต้ังเสยี งสายเปล่า สายทุ้มกับสายเอก เป็นคู่เสยี งที่ ๕ คอื โด กับ ซอล นวิ้ สายทุ้ม สายเอก สายเปล่า ด ซ ร ล นิ้วช้ี ม ท นิ้วกลาง ฟ ดํ นิ้วนาง - รํ นิ้วกอ้ ย ๒. ประเภทสะล้อลูกส่ี จะตั้งเสียงสายเปล่า สายทุม้ กบั สายเอก เปน็ คเู่ สยี งท่ี ๔ เป็น ซอล กบั โด นวิ้ สายทุ้ม สายเอก สายเปล่า ซฺ ด ลฺ ร นิ้วช้ี ทฺ ม นิ้วกลาง - ฟ นิ้วนาง - ซ นิ้วกอ้ ย การจบั สะล้อ มือซา้ ยจบั คันสะล้อ ใช้โคนหัวแม่มือและร่องนิว้ ชค้ี ีบใตส้ ายรัดอกหรือรดั อกไว้เล็กน้อย(ประมาณ ๑-๒ ซม.) ให้ พอดีกบั ตาแหน่งทีจ่ ะใช้นว้ิ ท้งั ๔ กดลงบนตาแหนง่ เสยี งไดถ้ นัด และบังคบั คนั ซอไม่ให้โอนเอนหรอื ล้มได้ มอื ขวาจบั คัน สะลอ้ ให้มืออยู่ในลักษณะแบมือ สอดนว้ิ ก้อย นว้ิ นาง และน้วิ ช้ีไวใ้ ตค้ นั ชกั และหางมา้ หัวแมม่ อื อย่บู นคันชกั คล้ายกับจบั ปากกา แล้วหงายมอื บงั คบั ให้คนั ชักสะล้อวางและสีในแนวนอนขนานกบั พนื้
(๑๗) ลกั ษณะการจบั คนั ชัก สะล้อ การใชค้ นั ชกั สะล้อ การใช้คันชักในการสีสะล้อจะใช้หลักการ ชักออก – ชักเข้าและชักรวบ (ชักออกหนึ่งคร้ังได้โน้ตหน่ึงตัว ชักเข้า หน่ึงครั้งได้โน้ตหน่ึงตัว ชักรวบหน่ึงครั้ง ได้โน้ตสองหรือหลายตัว) แบบเดียวกับการสีซออู้ ซอด้วง แต่ตาแหน่งคัน ชักสะล้อจะอยู่ด้านนอก ไม่เหมือนของซอที่ตาแหน่องจะอยู่ด้านในสาย มือซ้ายจะคอยหมุน คันทวนสะล้อไปมา ให้ สายเอกและสายทุ้มมาตรงตาแหน่งทีจ่ ะใช้คนั ชกั สี ซึ่งในขณะเดียวกัน นว้ิ มือกจ็ ะคอยกดสายสะล้อ ตามตาแหน่งเสียงท่ี ต้องการเพือ่ บรรเลงเพลงไปดว้ ย จงึ เปน็ เสน่หเ์ ฉพาะตัวของสะลอ้ เวลาผู้เล่นสีสะล้อ นอกจากจะดูสวยงามแล้วยังทาให้ ทั้งผูช้ มเกิดความเพลดิ เพลนิ ไปด้วย การฝึกหัดสีสะลอ้ ลกู ๓ เสียงคู่ ๕ (สายทมุ้ โด - สายเอกซอล) ๑. ท่าทางในการบรรเลงสะล้อ
(๑8) ๒. การสีสายเปล่า ถ้าจะให้เกิดเสยี งชัดเจนและมเี สียงคณุ ภาพ ควรฝกึ หดั สีสายเปลา่ เสียก่อน โดยเรม่ิ ดงั นี้ ๒.๑ นวิ้ จับคันสะล้อและคนั ชัก (ก๋ง) ใหม้ น่ั คง ๒.๒ ใช้มอื ขวาลากคันชกั ออก (ใชก้ าลงั ข้อมือและแขน) ลากช้าๆ ก่อนให้สายกง๋ ถูกกับสายสะลอ้ เสน้ ใน (สายท้มุ ) ออกเสยี งพร้อมกบั มือสีเป็นเสยี งโด ลากคนั ชกั ออกจนสดุ คนั ชกั แล้วหยุด (เรียกวา่ หนึง่ คนั ชกั ) ๒.๓ กระชับนิว้ หัวแมม่ อื และนิว้ กลางให้มั่นคง และดันชกั ให้สายก๋งถูกกับสายเล็กที่อยดู่ า้ นนอก (สายเอก) โดยดันคันชกั เขา้ ชา้ ๆ พร้อมกบั ออกเสียงเป็น เสียงซอล ดันคันชกั เขา้ จนสุดคนั ชกั
(๑9) ๓. การกดนว้ิ ลงบนสายสะล้อ ชักคนั ออกสลบั กันชกั เข้า หนึง่ คนั ชกั ต่อหน่ึงเสียงแลว้ ใช้นวิ้ กดบนสาย เพอ่ื ให้เกิดเสียง ดงั นี้ สีสายเปลา่ สายท้มุ ได้เสียง โด กดนิ้วช้ลี งบนสายท้มุ ได้เสียง เร กดน้ิวกลางลงบนสายทุม้ ไดเ้ สยี ง มี กดนิว้ นางลงบนสายทมุ้ ได้เสยี ง ฟา สีสายเปลา่ สายเอกไดเ้ สียง ซอล กดนวิ้ ชล้ี งบนสายเอกไดเ้ สียง ลา
(๒๐) กดน้วิ กลางลงบนสายเอกได้เสยี ง ที กดนิ้วนางลงบนสายเอกได้เสยี ง โดสงู กดนิ้วก้อยลงบนสายเอกได้เสยี ง เรสูง การฝกึ หดั สสี ะล้อ ลกู ๔ เสยี งคู่ ๔ (สายทุ้ม เสยี งซอลต่า – สายเอก เสียงโด) การฝกึ หดั สสี ะล้อลกู สี่ การฝกึ หดั สใี ชว้ ิธีการเดียวกันกบั การฝกึ สะล้อลูก ๓ การกดนิ้วลงบนสายสะล้อ ชกั คนั ออก สลับกันชกั เข้า หน่ึงคนั ชกั ต่อหนึ่งเสียงแลว้ ใช้นิ้วกดบนสายเพอ่ื ให้เกิดเสยี ง ดงั นี้ สสี ายเปลา่ สายทุม้ ได้เสยี ง ซอลต่า กดน้ิวชีล้ งบนสายทมุ้ ได้เสยี ง ลาตา่ กดนิ้วกลางลงบนสายท้มุ ไดเ้ สยี ง ทีต่า
(๒๑) กดนว้ิ นางลงบนสายทุ้มไดเ้ สยี ง โด สสี ายเปลา่ สายเอกไดเ้ สียง โด กดนวิ้ ชีล้ งบนสายเอกไดเ้ สียง เร กดนวิ้ กลางลงบนสายเอกได้เสียง มี กดน้วิ นางลงบนสายเอกไดเ้ สยี ง ฟา กดนวิ้ ก้อยลงบนสายเอกไดเ้ สยี ง ซอล
(๒2) ขลยุ่ พน้ื เมือง ขลุ่ยที่ชาวพื้นเมอื งภาคเหนือใช้ ลักษณะโดยท่วั ไปคล้าย ขลุ่ยหลิบ ของทางภาคกลาง ที่มีขนาดเล็ก แต่เดิมทา จากไมไ้ ผ่ ภายหลังได้ประยุกตโ์ ดยการนาท่อพลาสติคมาเปน็ วสั ดทุ ดแทน ตัวเลาขลยุ่ มคี วามยาวประมาณ 33 ซม. เส้นผา่ ศูนย์กลางประมาณ 1.5 ซม. ท่ีปากเปุา อุดด้วยไม้ โดยเปิดเป็นช่องให้ลมเข้าเรียกว่า ดาก ด้านล่างใกล้ปากเปุาเจาะรูเป็นปากนกแก้ว ไม่มีรูเย่ือ และ รูนิ้วค้าเหมือน ขลุ่ยหลิบของภาคกลาง ที่เลาขลุ่ยเจาะรูกลมเพ่ือใช้เป็นรูปิด - เปิดด้วยน้ิว ช่วยให้เกิดเสียงต่างๆ ในขณะเปุา 7 รู ตอน ปลายเจาะรไู ว้สาหรบั รอ้ ยเชอื ก เพือ่ แขวนไวเ้ มือ่ ไม่ได้ใชง้ าน ขลุ่ยเมือง ภาษาถิ่นล้านนาอาจเรียกว่า ขลุ่ยตาด มีเสียงเล็กแหลม ลีลาการดาเนินทานอง จะคอย สอดประสานไปกบั เสียงเครื่องดนตรีชนดิ อนื่ ๆ ส่วนใหญ่นิยมเลน่ อย่ใู นวงสะลอ้ ซอ ซึง หรอื อาจจะใชบ้ รรเลงเด่ียวคนเดียว เวลาไปเก้ยี วสาวก็เคยมีคนนาไปเปาุ เหมือนกัน แตไ่ ม่พบหลกั ฐานว่ามีการนาไปประสม ในวงประเภทอ่ืนๆ โดยปกติเมื่อ มกี ารบรรเลงร่วมกันเป็นวง กจ็ ะนิยมใชข้ ล่ยุ เมืองเปน็ ตวั เทียบเสียงเครอ่ื งดนตรใี นวงน้นั ๆ ดว้ ย ภาพแสดงท่าทางในการจับขลุย่
(๒3) ตาแหน่งการวางนว้ิ ในการฝึกหัดขลุ่ยพื้นเมือง เสยี ง โด เสียง เร เสียง มี เปิด สามน้ิวลา่ ง เสยี ง ฟา
(๒๔) เสียง ซอล เสยี ง ลา เสียง ที กลองพ้นื เมอื ง (กลองโปง่ โปง้ ) กลองพ้ืนเมือง มีลักษณะคล้ายตะโพน แต่มีขนาดเล็กกว่า ขึงหนังสองหน้า ใช้บรรเลงให้จังหวะใน วงดนตรี พนื้ เมอื งภาคเหนอื กลองพ้ืนเมอื ง เรียกกนั ทั่วไปว่า กลองโปุงโปูง กลองโปงุ โปูง หนา้ หน่งึ เล็ก เสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางประมาณ ๖ นิ้วครงึ่ ด้านใหญ่ประมาณ ๘ น้ิวครึ่ง ยาวประมาณ ๑๖ นิ้ว กลองพนื้ เมืองสว่ นมากทาดว้ ยไมข้ นุน ไม้สักและไม้ซ้อ ส่วนหนังกลองใช้หนังวัว จังหวะหน้าทับ หรือจงั หวะการตีกลองทใี่ ชก้ บั การบรรเลงเพลงพนื้ เมืองนั้น ขึน้ อยู่กบั ลีลาและความชานาญของผู้ตี แต่ในท่ีนี้ได้นาตัวอย่าง ข้ันพ้นื ฐานแบบง่ายๆ เพ่ือใหผ้ ู้ทเ่ี ริม่ ฝึกหดั ใหมไ่ ดต้ เี ข้ากับจงั หวะเพลงพ้ืนเมืองได้
(๒๕) การตีกลองพนื้ เมอื ง จะนยิ มเอาหนา้ ใหญ่ไวท้ างขวามือ และตีให้เกิดเสียงดังนี้ ๑. เสียงติง คือการใช้ปลายนิ้วมอื ซ้ายตีท่ีขอบกลองหนา้ เล็ก แล้วเปดิ นวิ้ มือออกให้กลองมีเสียงกงั วาน ๒. เสยี งจ๊ะหรือป๊ะ คือการใชป้ ลายนิ้วมือขวาตปี ิดมอื จะเป็นเสียงจ๊ะ ๓. เสยี งท่ังหรือท่ัม คือการใช้ฝุามอื ขวาตหี น้าใหญใ่ ห้เตม็ ฝาุ มอื แลว้ เปิดมือจะเปน็ เสียงท่งั หรือเท่ง ในการเริ่มจังหวะตีกลอง มักรอให้สะล้อหรือซงึ ขึน้ นาก่อนแลว้ จึงเริม่ ตกี ลองใหเ้ สียงตกในหอ้ งท่ีสี่หรอื ตกท้ายวรรคแรก ของเพลง ตัวอย่างหน้าทับกลอง หน้าทบั ลาว - ตงิ -โจะ๊ - ตงิ - ตงิ - - ติง ท่งั - ติง - ท่งั - ติง -โจ๊ะ - ตงิ - ตงิ - - ตงิ ทง่ั - ติง - ทัง่ - - - โจะ๊ หนา้ ทบั พืน้ เมือง - ติง - - ตงิ –ตงิ ทั่ง -โจะ๊ ทงั่ ติง - - - โจะ๊ - ติง - - ตงิ -ตงิ ทั่ง -โจะ๊ ทง่ั ติง ฉ่ิง ฉ่ิง เป็นเคร่ืองดนตรีที่มีเล่นกันมาช้านานแล้ว ในราวสมัยสุโขทัย เป็นเครื่องดนตรีประเภทตี ทาด้วยทองเหลือง หล่อหนา ปากผายกลม ๑ ชุดมี ๒ ฝาเน่ืองจากการตีฉ่ิง ต้องเอาขอบของฝาข้างหน่ึงกระทบกับอีกฝากหนึ่ง แล้วยกขึ้น ก็ จะมีเสียงดังกังวานยาวดัง “ฉ่ิง” แต่ถ้าเอาท้ัง ๒ ฝานั้นกระทบและประกบกันไว้ จะได้ยินเสียงดังส้ันๆดัง “ฉับ” ดังน้ัน การเรียกช่อื เครอ่ื ง ดนตรีชนดิ น้ีวา่ ฉ่ิง กเ็ พราะเรียกตามเสียงที่เกดิ ขนึ้ นนั่ เอง
(๒๖) วิธีการตี ผู้ตนี ั่งขดั สมาธิ หรือพับเพียบลาตวั ตรง ใช้นว้ิ หวั แม่มือขวากับนิ้วช้ีจับเชือกผูกฉ่ิง ในลักษณะ เหมือนคีบแล้วคว่า มือลง ในขณะเดียวกนั ใหน้ ิ้วนาง กลาง ก้อย กรีดออกคุมฝาฉิ่ง ส่วนมือซ้ายจับเช่นเดียวกับ มือขวา แต่หงายฝาฉ่ิงข้ึน รบั ฝาบน มีวธิ ตี ีที่ทาใหเ้ กดิ เสยี งอยู่ 2 แบบคือ เสยี งฉ่ิง กับ เสียงฉบั แสวห่ รือสว่า รูปร่างลกั ษณะ : แสว่ เป็นฉาบขนาดกลาง เส้นผ่านศูนย์กลาง ๑๕ ซ.ม. สว่า เป็นฉาบขนาดใหญ่ เส้นผ่านศูนย์กลาง ๓๐ ซ.ม. ทั้งค่ทู าด้วยโลหะผสมทองเหลือง ทองแดง ตรงกลางร้อยสายหนงั สาหรบั จับตีใหถ้ นดั ประวัติ : มีใช้ในวงเครอ่ื งประโคม (วงตึง่ โนง) และวงสะล้อ ซึง การเทยี บเสยี ง : เลือกขนาดให้เหมาะสมกบั ตง่ึ โนงและวงท่ีใช้ การประสมวง : ประกอบในวงเครอ่ื งประโคม มตี ึง่ โนง, ตะหลดปด, ฆอ้ งโหย้ง, ฆ้องอยุ้ , แสว่, สวา่
(๒๗) วิธีการตี ใชม้ อื ขวาจบั ฉาบขา้ งหนึง่ ในลกั ษณะคีบ แลว้ ควา่ มือลง ให้นิว้ นาง กลาง ก้อย คอยเปิด ปิด ห้ามเสียงส่วนมือซ้าย จับฉาบอีกข้างหนึ่ง หงายข้ึนรับฉาบฝาบน เวลาตีเสียงจะดังเป็นเสียง \" แช่ \" อีกอย่าง หน่ึงเอาบริเวณตอนปลายฉาบตี กระทบกับ โดยใช้นิ้วแนบชิดติดกับขอบฝา เป็นการห้ามเสียง ซึ่งจะใช้ตีสอด สลับกับเสียงแช่ บางคร้ังมีเสียงดังเป็น แช่ และวับ สลับกัน การอ่านโน้ตเพลงเบื้องต้น โนต้ ดนตรไี ทย มีโครงสร้างดงั นี้ ๑. หอ้ งเพลง ๒. จงั หวะ ๓. ตัวโนต้ ๑. ห้องเพลง ใน ๑ บรรทดั กาหนดใหม้ ีห้องเพลงได้ทั้งหมด ๘ ห้อง ๒. จังหวะ ในแต่ละห้องเพลง จะมจี ังหวะหลักๆคงท่ี ๔ จังหวะ ใช้เครอ่ื งหมาย - แทนแตล่ ะ จงั หวะ โดยจังหวะท่ี ๒ ของห้องกาหนดใหเ้ ปน็ จงั หวะ ยก ส่วนจงั หวะที่ ๔ ของห้อง กาหนดให้เป็นจังหวะ ตก ๓. ตังโน้ต โด = ด, เร = ร, มี = ม, ฟา = ฟ, ซอล = ซ, ลา = ล, ที = ท การฝึกหัดอ่านโน้ต หลกั ง่ายๆ ๑. ภายใน ๑ หอ้ งเพลง จะมตี ัวโนต้ อยูท่ ้ังหมด ๔ ตัวโน้ต ๒. ภายใน ๑ หอ้ งเพลง จงั หวะจะตกทา้ ยห้องเพลง เสมอ ๓. แบ่งจังหวะท้งั หมดให้เท่าๆกนั โน้ตอยูต่ รงไหนกใ็ ห้อ่านตรงน้นั
(๒๘) 1234 1234 1234 1234 1234 1234 1234 1234 -234 -234 -234 -234 -234 -234 -234 -234 -2-4 -2-4 -2-4 -2-4 -2-4 -2-4 -2-4 -2–4 --34 --34 --34 --34 --34 --34 --34 --34 ---4 ---4 ---4 ---4 ---4 ---4 ---4 ---4 -2-- -2-- -2-- -2-- -2-- -2-- -2-- -2-- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ---- ศัพทส์ งั คตี ศัพท์สังคีต คือ คาศัพท์ที่ใช้ในการขับร้องหรือบรรเลงดนตรีซึ่งจะทาให้นักดนตรีหรือผู้ขับร้องสามารถ เข้าใจความหมายตามวัตถุประสงค์ของผูป้ ระพนั ธ์เพลงได้ เช่น ทานอง หมายถึง เสยี งสูง กลาง ตา่ สัน้ ยาว นามาเรียบเรียงกันจนทาให้เกิดเปน็ ทานองท่ีไพเราะ ทอ่ น หมายถึง วธิ ีการแบ่งเพลงออกเป็นออกเปน็ วรรคตอน ตามจุดประสงค์ของผ้แู ต่งเพลง ซึง่ แต่ละ เพลงจะมีจานวนทอ่ นทไ่ี ม่เทา่ กนั , เรียกตอนหนงึ่ ๆ ของ เพลงไทย กลับตน้ หมายถงึ บอกให้ทราบวา่ เมอื่ บรรเลงจนถึงบรรทดั น้นั ๆแล้วใหย้ ้อนกลบั ไปเล่นต้ังแต่แรกใหม่ จงั หวะ หมายถึง อะไรก็ตามท่ีเกิดขึ้นอย่างสม่าเสมออย่างมีระบบ โดยจังหวะในท่ีนี้ยกตัวอย่างให้เป็น จังหวะของ การปรบมอื จะสามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 จังหวะคอื จงั หวะยก หมายถงึ จังหวะเบา หรือยกมือออกจากกัน เป็นจังหวะท่ีไมเ่ กดิ เสียงใดๆ สัญลักษณแ์ ละองคป์ ระกอบท่ีใช้ในการอา่ นโนต้ ดนตรไี ทย การบนั ทึกโนต้ ดนตรไี ทย ในหนง่ึ บรรทัดมหี ้องท้งั หมด 8 ห้อง ในแตล่ ะหอ้ งสามารถบรรจุโนต้ ได้ 4 ตวั จังหวะตก หมายถึงจังหวะหนกั หรือจงั หวะทปี่ รบมอื แลว้ ทาใหเ้ กดิ เสียง ห้องเพลง หมายถงึ ตารางส่เี หลย่ี มผืนผ้า ภายในสามารถบรรจตุ ัวโน้ตได้ 4 ตวั 1 แถวมหี ้องเพลงได้ 8 ห้องเพลง สามารถใช้อา่ นโน้ตเพลง และยงั สามารถตรวจสอบตัวโนต้ เพลงทเี่ ขยี นผิดได้ หนา้ ทบั หมายถึง เสียงตีเครื่องดนตรีที่ขึงด้วยหนัง เช่น ตะโพน กลองแขก ที่เลียนเสียงมาจากทับ (โทน) หน้าทับมี บญั ญตั ิเป็นแบบแผนสาหรับตีประจาทานองเพลงตา่ ง ๆ ใชบ้ อกสัดส่วนและประโยคของเพลงน้ัน ๆ ส่วนเสียงตีเคร่ืองหนังซ่ึงไม่ได้เลียนเสียงจากทับ เช่น กลองทัด กลองมะริกัน จะเรียกว่า ไม้กลอง ซึ่งเป็นวิธีการตีกลองทัดตามแบบแผนที่บัญญัติไว้เช่นเดียวกัน คาว่าหน้าทับใช้เรียกการตีเคร่ือง ดนตรไี ทยขึงดว้ ยหนังไดท้ กุ ภาค
อัตราจังหวะ ๒ ชน้ั (29) หนา้ ทับลาว โนต้ เพลงพนื้ ฐาน เพลงเต้ยโขง (- - - - ---ล ---ซ -ม-ล ---ซ -ด-ล ---ซ - ม - ล) ---- -ซ-ม ---ร -ด-ม ---ร -ซ-ม ---ร -ด-ล ---ด -ร-ม -ร-ด -ซ-ล ---ด -ร-ม -ร-ด -ซ-ล กลบั ตน้ อัตราจังหวะ ๒ ชั้น เพลงลาวล่องนา่ น หนา้ ทบั ลาว - (ด) – (ด) - ม ร ด - - ล ซ ม ซ ล ด - ซ ล ซ ล ด - ล ด ล ซ ม ซ ร ม ซ - (ซ) – (ซ) - ด ร ม - - ซ ม ร ด ร ม - ด ร ม - ซ - ล - - ด ซ ม ซ ล ด กลับต้น อตั ราจงั หวะ ๒ ช้ัน เพลงล่องแม่ปงิ หนา้ ทับพนื้ เมอื ง (- ม ร ม ซ ล ซ ซ ) - ล-ด - (ด) – (ด) ซลซด ซลซด มรซม - - - ซ - ซซซ ลซมซ ร ด–ร - (ร) – (ร) ซ ดร ม รมซม ร ด–ร มรดล ซดรม -ซ-ล ซลดล ซม–ซ - (ม) – (ม) ซ ด ร ม ร ม ซ ม -มร ม ซลซซ ลซมซ - ล-ด - ซ– ล - ด–ร มรซร กลับต้น กลับตน้ เปลีย่ น ๔ ห้องบรรทัดแรกเปน็ หรอื ใช้แทนความหมายว่า รวบคนั ชกั สะลอ้ (๒ ตัวโนต้ ต่อการสีคันชกั สะล้อ ๑ คร้ัง) แทนความหมาย รวบ “คนั ชกั ออก” และ แทนความหมาย รวบ “คันชักเข้า”
(30) เพลง ลาวครวญ อัตราจังหวะ ๒ ช้ัน หนา้ ทบั ลาว ( --- ม ร ร ร ร ) ---- ---- -ซ–ม รดรม ---- ซลดร -ด -ม รรรร ---ซ -ซซซ ลซมซ - ล – ดํ - - - รํ ดํ ดํ ดํ ดํ รมซม รด–ร กลับต้น เพลง รำวงดำวพระศุกร์ อตั ราจังหวะ ๒ ชั้น หน้าทับ ลาว - - - (ด) ---ซ ---ซ ---ซ --ทซ -ฟ–ม --ดม -ฟ–ซ --ทซ -ฟ–ม --ดม -ฟ–ซ --ทซ -ฟ–ม ---ร ---ด ---- -ฟ–ด -ร–ด -ท–ด -ฟ–ฟ -ฟ–ด -ร–ด -ท–ด ---ม -ม-ม -ด– ม -ฟ–ซ -ท–ซ -ฟ–ม -ด–ม -ฟ–ซ -ซ-- -ซ–ล -ซ–ล -ฟ–ซ ---- -ด–ซ -ด–ซ -ด–ซ --ซฟ -ม–ฟ --มด -ท–ด -ซ-- -ซ–ฟ --มด -ท–ด
Search
Read the Text Version
- 1 - 37
Pages: