Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หน่วยที่ 9 การวิจัยในชั้นเรียน

หน่วยที่ 9 การวิจัยในชั้นเรียน

Published by Pawaris saramono, 2022-05-20 04:06:33

Description: หน่วยที่ 9 การวิจัยในชั้นเรียน

Search

Read the Text Version

LOGO การวิจยั ในชนั เรียน ดร.ปวริศ สารมะโน

เนอื หา(Content) 1 ครูกบั การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน 2 การวิเคราะหป์ ัญหาในชนั เรียน 3 การออกแบบการทดลองการใชน้ วตั กรรมในการแกป้ ัญหา 4 แนวทางการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลในชนั เรียน 5 แนวทางในการวเิ คราะห์ข้อมูลในชันเรียน 6 การเขยี นรายงานการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารในชันเรียน

9.1 ครูกบั การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน ครูหรือผูส้ อนเป็ นบุคลทีมีความสําคญั มากทีสุดใน กระบวนการจัดการศึกษา ครูจะตอ้ งเรียนรูแ้ ละพฒั นา ตนเองอย่างต่อเนือง เพือพฒั นาผูเ้ รียนให้มีคุณภาพได้ ตอ้ งปรบั บทบาทใหม่เป็ น 2 บทบาท คือ  ครูในฐานะผูป้ ฏิบตั ิการสอนเป็ นหลกั  ครูในฐานะนกั วิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียนซึง เป็ นบทบาทเสริม

9.1 ครูกบั การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน ครูกบั บทบาทเชิงปฏิรูป การจัดการเรียนรู้ โดยยึดผูเ้ รียนเป็ นศูนยก์ ลาง จัด บรรยากาศและสภาพแวดลอ้ มทีเอือต่อการเรียน ใชก้ าร วิจยั เป็ นส่วนหนงึ ของกระบวนการเรียนรู้ ผูส้ อนและผูเ้ รียน เรียนไปพรอ้ มกนั จากแหล่งทรพั ยากรการเรียนรูต้ ่างๆ เปลียนจากครูผูส้ อนหนงั สือ มาเป็ นครูผูส้ อนวิธีการเรียนรู้ และทกั ษะในการแสวงหาความรู้

9.1 ครูกบั การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน โลกทศั นเ์ ดมิ ของครู โลกทศั นใ์ หม่ ของครู

9.1 ครูกบั การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน การวิจัยทีดําเนินการโดยครูในระหว่างการสอนนนั ย่อมไม่ใช่ การวิจัยในระดบั หลกั การและทฤษฎี โดยมากจะจัดเป็ นการวิจัย ชนดิ “การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการ (Action Research)” นยิ มเรียก 1 การวิจยั ในชนั เรียน หรือ การวิจยั ใน หอ้ งเรียน (Classroom research) 2 การวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน (Classroom action research ,CAR) 3 การวิจยั ของครู (Teacher research, Teacher-based research)

9.2 การวิเคราะหป์ ัญหาในชนั เรียน ปัญหาวิจยั หมายถงึ ประเด็น ขอ้ สงสยั หรือ คําถามทีครูนกั วิจัยตอ้ งการดําเนินการเพือหาคําตอบให้ ถูกตอ้ ง ตรงกบั ความเป็ นจริงดว้ ยกระบวนการวิจัย ปัญหาวิจัยจะมีลกั ษณะเป็ นขอ้ สงสยั ของครูนกั วิจัยต่อ สภาพการณต์ ่าง ๆ ทงั ทีเป็ นความแตกต่างระหว่างสภาพ ทีคาดหวงั กบั สภาพทีเป็ นจริง

9.2 การวิเคราะหป์ ัญหาในชนั เรียน นิยามปัญหา แยกปัจจยั ทเี กยี วข้อง เลอื กประเดน็ ทจี ะศึกษา  การทําความเข้าใจกบั ปัญหา  ปัญหามคี วามซับซ้อนมากๆ  มีองคป์ ระกอบใดหรือมีปัจจยั ใด  การตคี วาม  แยกให้เห็นองค์ประกอบ  มีความสําคญั อย่างไร  สกดั ประเดน็ ของปัญหา  มองปัญหาภาพรวมทุกแง่มุม  มีความเหมาะสมเพยี งไร  ชีสถานะของปัญหาให้กระจ่าง  ปัญหาวิจยั (Research problem)

9.2 การวิเคราะหป์ ัญหาในชนั เรียน การวิเคราะห์สภาพปัญหาในห้องเรียน ฉนั สามารถทาํ อะไรไดบ้ า้ ง ทําไมจึงไม่เป็ นไปตามทีควรจะเป็ น ทาํ ไมจึงเป็ นเช่นนนั สิงนนั ก่อใหเ้ กิดปัญหาอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึน

ประเด็นในการวิเคราะหส์ ภาพปัญหา • ปัญหาทีเกิดขึนคืออะไร การ • ปัญหาทีเกิดขึนเป็ นปัญหาของใคร • ปัญหาทีเกิดขึนส่งผลกระทบต่อใครและอะไรบา้ ง วเิ คราะห์ • ปัญหาทีเกิดขึนมคี วามสาํ คญั ในระดบั ใด เมือเทียบกบั ปัญหาอืน ปัญหาใด สาํ คญั กว่ากนั • ปัญหาทีเกิดขึนเกียวขอ้ งสมั พนั ธก์ บั ปัญหาหรือเหตุการณอ์ ืน ๆ อะไรบา้ ง อย่างไร สภาพปัญหา • ใครคือผูร้ บั ผิดชอบหลกั ในการแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าว และการแกไ้ ข ปัญหานนั ตอ้ งเกียวขอ้ งกบั ใครหรือไม่ อย่างไร

การใชป้ ระโยชนจ์ ากผลการวิเคราะหส์ ภาพปัญหา  ทราบว่าคําถามวิจยั ใดมคี วามสําคญั ทีสุดหรือเร่งด่วน ทีสุดทีตอ้ งนาํ มาหา คําตอบก่อน  ผูว้ ิจยั ตดั สินใจไดว้ ่ากล่มุ เป้ าหมายของการศึกษาครงั นนั คือใคร  มีขอ้ มูลตดั สินว่าในการวิจยั นนั สมควรใชร้ ูปแบบการ วิจยั ใดในการทําวิจยั  คําถามวิจยั บางครงั จําเป็ นตอ้ งแกไ้ ขในระดบั กวา้ ง หรือทําในระดบั โรงเรียนไม่ใช่เป็ นปัญหาทีแกไ้ ขไดใ้ น ชนั เรียนนนั หรือหอ้ งเรียนนนั

วิธีวิเคราะหป์ ัญหา เทคนิคการเขยี นแผนผงั ความคิด

เกณฑก์ ารคดั เลือกปัญหาการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน 123  ความสนใจในปัญหาที  สามารถดาํ เนนิ การ  คุณค่าของการวจิ ัย จะดาํ เนินการวิจยั ได้โดยการจดั  แตกต่างจากเกณฑ์ กระบวนการเรียน  ผู้วจิ ัยสามารถทาํ งานได้ การสอน ด้านคุณค่าของการ อย่างมีประสทิ ธภิ าพ วิจัยทางการศกึ ษา มากขนึ  พิจารณาในเรืองของ นาํ ไปประยุกตใ์ ช้กบั เวลาและงบประมาณที ประชากรเฉพาะกลุ่ม ใช้ในการดาํ เนินการ เท่านนั

9.3 การออกแบบการทดลองการใชน้ วตั กรรมใน การแกป้ ัญหา น วั ต ก ร ร ม ก า ร เ รี ย น รู ้ห รื อ น วั ต ก ร ร ม ก า ร ส อ น หมายถึง แนวคิด วิธีการ กระบวนการหรือสิงประดิษฐ์ ใหม่ ๆ ทีนํามาใชแ้ กป้ ัญหา หรือพฒั นาการเรียนรู้ หรือ การพฒั นา การเรียนการสอนใหม้ ีประสิทธิภาพและพฒั นา ผูเ้ รียนใหม้ ีคุณภาพ ซึงอาจแสดงไดด้ งั แผนภาพ

9.5 แนวทางในการวเิ คราะห์ข้อมูลในชันเรียน นวตั กรรม การเรียนรู้  แนวคิดใหม่ แกป้ ัญหาหรือพฒั นา แกป้ ัญหาหรือพฒั นา  วิธีการใหม่ การเรียนรู/้ การสอน การเรียนรู/้ การสอน  กระบวนการใหม่  สงิ ประดิษฐใ์ หม่

9.4 แนวทางการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในชนั เรียน แบบแผนการทดลอง การดําเนินงานทดลองใช้นวัตกรรมทีสร้างขึน ซึงเป็ นการ ดําเนินงานภายใตส้ ภาพการณท์ างการศึกษาทีเป็ นไปตามปกติหรือ การดําเนนิ งานในภาคสนาม มวี ตั ถุประสงคท์ ีสาํ คญั ๆ ไดแ้ ก่  เพือทีจะตรวจสอบยืนยนั ผลการประเมินประสิทธิภาพของ นวตั กรรมในขนั ตอนทีผ่านมา  เพอื ทีจะคน้ หาพจิ ารณาว่ามปี ัญหาใดๆ เกิดขึนบา้ งในการบริหาร จดั การรวมทงั การใชว้ สั ดุอุปกรณป์ ระกอบนวตั กรรมทีสรา้ งขึน  เพอื จะพจิ ารณาว่านวตั กรรมทีพฒั นาขึนนีจะสามารถนาํ ไปใชไ้ ด้ อย่างแทจ้ ริงและบงั เกิดผลดีกบั กลุ่มเป้ าหมายเมือมีการใชก้ บั กลุ่มเป้ าหมายทีมีขนาดใหญ่ขึนหรือไม่

ชนดิ ของขอ้ มูลและวิธีการเก็บขอ้ มูลในชนั เรียน 1 2 3 4 ความรู้ ความคิดเห็น ขอ้ มูล ดา้ นปฏิสมั พนั ธ์ ความสามารถ ความรูส้ กึ ดา้ นพฤติกรรม ในชนั เรียน  ความรูค้ วามคิด  ความคิดเห็น  ขณะเรียน  ระหว่างนกั เรียน  ทกั ษะปฏิบตั ิงาน  ความรูส้ ึก นสิ ยั ในการเรียน  ระหว่างครูกบั  เจตคติ  การทํางาน  ค่านยิ ม กิจนสิ ยั ในการทํางาน นกั เรียน

วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในชนั เรียน จําแนกเป็ น 3 ประเภท ดงั นี 123 1. การถาม 2. การดู การสงั เกต 3. การตรวจสอบ ไดแ้ ก่ การสนทนา การ ไดแ้ ก่ การสงั เกตท่าทีและ ได้แก่ การใช้ข้อมูลจากแหล่ง อภิปราย การสมั ภาษณ์ พฤติกรรม (แบบมี ทมี อี ยู่แล้ว เช่น ระเบียนข้อมูล รายบุคคล การสมั ภาษณ์ โครงสรา้ ง-ไม่มโี ครงสรา้ ง, ของโรงเรียน, ภาพถ่าย, เทป กล่มุ การใชแ้ บบสอบถาม แบบเป็ นทางการ–ไม่เป็ น บนั ทกึ เสยี ง, เทปบันทกึ ภาพ การสอบ การใชแ้ บบวดั ทางการ, แบบมสี ่วนร่วม – บนั ทกึ ทมี แี ล้ว. การสะทอ้ นความรูส้ ึกนกึ คิด ไม่มีส่วนร่วม)

วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ มูลดา้ นความรู้  การสอบความรูเ้ ชิงทฤษฎี ความสามารถ  การสอบความรูเ้ ชิงปฏิบตั ิ  การประเมนิ ทกั ษะและ พฤติกรรมการทํางาน  การประเมินผลงาน

วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ มูลดา้ นความ  การใชแ้ บบสอบถาม คิดเห็น ความรูส้ ึก  การใชแ้ บบวดั  การสะทอ้ นความรูส้ ึกนกึ คิด  การสมั ภาษณร์ ายบุคคล  การสมั ภาษณก์ ล่มุ  การสงั เกต

วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ มูลดา้ นพฤติกรรม  การสงั เกต  การตรวจสอบประวตั ิ  การสอบถาม การสมั ภาษณ์ (บุคคลนนั และผูเ้ กียวขอ้ ง)

วิธีการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ข้อมูลด้านปฏสิ มั พันธ์  เทคนคิ สงั คมมติ ิ  การสงั เกต  การวิเคราะหป์ ฏิสมั พนั ธ์

9.4 แนวทางการเก็บรวบรวมขอ้ มูลในชนั เรียน ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ข้อมูลเชิงคุณภาพ  ตวั เลขนาํ มาวิเคราะหใ์ นเชิงเปรียบเทียบ  เป็ นขอ้ มูลทีสะทอ้ นความคิด ความรูส้ กึ และ สภาพการไดล้ ่มุ ลึกและครอบคลมุ ไม่ผิวเผนิ จุดเกหดารรือ่นตหีคาควาวมามขอส้ มาํ พูลนจั ะธชไ์ ดดั เ้ จนต่างตวั เลข  การเก็บขอ้ มูลใชว้ ิธีการทีเป็ นธรรมชาติไม่ การเกบ็ ขอ้ มูลทําไดร้ วดเร็วและสะดวก โจ่งแจง้ (unobtrusive) จึงกลมกลนื เป็ น สาํ หรบั ครู ส่วนหนงึ ของการเรียนการสอน  บางครงั ตวั เลขอาจเชือถอื ไม่ได้ (มีความ  การบนั ทึก การวิเคราะห์ และการตีความ ไวต่อความคลาดเคลือนในการวดั ) ขอ้ มูลขึนอยู่กบั ผูว้ ิจยั ไม่อาจใชร้ ูปแบบ จุดดโขอด้ อ้ยยมเฉูลพอาาจะขเปอ้็ นมเูลพทยี ีไงดขจ้ อ้ ามกูลกผาิวรถเผาินมโดยตรง ตายตวั ชดั แจง้ ได้  การเก็บขอ้ มูล ตอ้ งใชเ้ วลานานจึงจะไดร้ บั  วิธีการเกบ็ ขอ้ มูลไม่เป็ นธรรมชาติจึง ขอ้ มูลทีลึกเพยี งพอและการวิเคราะหใ์ ช้ อาจจะไดข้ อ้ มูลทีเชือถอื ไดน้ อ้ ย เวลานานและทําไดย้ าก

9.5 แนวทางในการวเิ คราะห์ข้อมูลในชันเรียน ลกั ษณะของข้อมูล วธิ กี ารวิเคราะห์ข้อมูล 1. ข้อมูลเชงิ ปริมาณ โดยใช้วธิ กี ารทางสถติ ิ  คะแนนจากการทดสอบ  ความถี  ร้อยละ  คะแนนจากการสงั เกต  ค่าเฉลีย ( X )  คะแนนจากการปฏบิ ตั งิ านหรือตรวจผลงาน  ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน (S.D.)  คะแนนจากการประเมนิ พฤตกิ รรม  สหสมั พันธ์  จาํ นวนครัง/ จาํ นวนคน/ จาํ นวนเสอื ฯลฯ  สมั ประสทิ ธกิ ารกระจาย (C.V.) ฯลฯ 2. ข้อมูลเชิงคุณภาพหรือเชิงคุณลักษณะ โดยไม่ใช้วธิ กี ารทางสถติ ิ การวเิ คราะห์ข้อมลู จะใช้การวเิ คราะห์เนือหา (Content analysis)  ข้อมูลทรี วบรวมจากเอกสาร บนั ทกึ ต่าง ๆ  ข้อมูลทไี ด้จากการบันทกึ การสงั เกต การ โดยนาํ เอาข้อมูลทอี ยู่ในประเดน็ หรือเรืองราว เดยี วกนั มาพิจารณาแยกแยะหาความสาํ คัญ สงิ ที สมั ภาษณ์ แตกต่างกนั สงิ ทคี ล้ายคลึงกนั หรือหาส่วนที  ข้อมูลทเี ป็นบันทกึ เหตกุ ารณต์ ่าง ๆ เกยี วข้องสมั พันธก์ นั แล้วจงึ สรุปเป็นผลการ  ข้อมูลจากคาํ ถามปลายเปิ ด ฯลฯ วเิ คราะห์ในแต่ละประเดน็ หรือแต่ละเรือง

9.6 การเขียนรายงานการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน ความถูกตอ้ ง ความชัดเจน 7 1 ความครบถว้ น ความตรงประเดน็ 6 2 สมบูรณ์ การเขียน รายงาน 3 ความเป็ นเอกภาพ การวิจยั ใน ชนั เรียน ความคงเส้นคงวา 5 4 ความสอดคล้อง เชือมโยงสัมพนั ธ์กนั

9.6 การเขียนรายงานการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน 1. ความถูกตอ้ ง เนือหาสาระทุกรายการทีเขียน รวบรวมหรือ นํามาเรียบเรียงจะตอ้ งมีความถูกตอ้ งตามหลกั วิชา ตาม หลกั การใชภ้ าษา 2. ความครบถว้ นสมบูรณ์ เนอื หาสาระทีเรียบเรียงตอ้ งมีความ ครบถว้ นสมบูรณต์ ามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั ตามกรอบ โครงสรา้ งหรือส่วนประกอบของรายงานทีควรจะเป็ นหรือ ตาม รูปแบบทีกําหนดไว้ 3. ความเป็ นเอกภาพ เนอื หาสาระในแต่ละบท แต่ละตอนหรือ แต่ละเรืองจะตอ้ งมีความเป็ นเอกภาพเป็ นเรืองเดียวกนั

9.6 การเขียนรายงานการวิจยั เชิงปฏิบตั ิการในชนั เรียน 4. ความสอดคลอ้ งเชือมโยงสมั พนั ธก์ นั เนือหาสาระ ระหว่างหวั ขอ้ ระหว่างตอน จะตอ้ งมีความสอดคลอ้ ง เชือมโยงสมั พนั ธก์ นั 5. ความคงเสน้ คงวา การใชค้ ํา วลี หรือขอ้ ความใน รายงานการวิจัยจะตอ้ งเป็ นแบบเดียวกนั หรือมีความ สมาํ เสมอทงั ฉบบั 6. ความตรงประเด็น เขียนเนอื หาสาระใหม้ ุ่งตอบปัญหา การวิจัยหรือวตั ถุประสงคก์ ารวิจัยทีกําหนดไวเ้ ป็ นหลกั หลีกเลียงการเขียนวกวนหรือยืดยาวทีมีสาระไม่ตรง 7. ปครวะาเมดช็นดั เจน ใชภ้ าษาในการเขียนใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจง่าย ไม่กาํ กวมหรือคลมุ เครือ

การบรรยายขอ้ มูล - บรรยายขอ้ มูลทวั ไปของกล่มุ ตวั อย่างเช่น เพศ ระดับชัน ระดบั สตปิ ัญญา - บรรยายขอ้ มลู พนื ฐานเกียวกับตวั แปรหลกั เช่น ผลสัมฤทธิ เจตคติ ทกั ษะ ตวั อย่างสถติ ิ : ค่ารอ้ ยละ ค่าเฉลีย ค่าเบยี งเบนมาตรฐาน (เสริมดว้ ย graph) การเปรียบเทียบความแตกต่าง การวิเคราะหค์ วามสมั พนั ธ์ ทดสอบความแตกต่างโดยเปรียบเทียบ วิเคราะหร์ ะดบั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างคู่ ระหว่างกลุ่มหรือในกลุ่มเดียว เช่น ตวั แปรของกล่มุ ตวั อย่างหนึง ๆ และ “เปรียบเทียบ” ทกั ษะการปฏิบตั ิงาน ทดสอบความสมั พนั ธ์ เช่น วิเคราะห์ ระหว่าง นกั เรียนในกลุ่มทดลองและ ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง “ค่านิยมในการ กลุ่มควบคุม ตัวอย่างสถิติทดสอบ : ทาํ งาน” และ “ทกั ษะการปฏบิ ตั งิ าน” นํ า ค่ า เ ฉ ลี ย ข อ ง ค ะ แ น น ส อ ง ก ลุ่ ม ม า ของนักเรียนระดับชนั ม.3 ตัวอยา่ ง เปรียบเทียบกนั สถติ ิ สมั ประสิทธิสหสมั พนั ธ์ ( rxy ) และสถติ ิทดสอบความสมั พนั ธ์

รูปแบบของรายงานการวิจยั เชิงวิชาการ ส่วนนาํ ส่วนเนอื หา ส่วนอา้ งอิง ประกอบดว้ ย ประกอบด้วยเนือหา 5 บท ประกอบด้วย - ปกหน้า บทที 1 บทนาํ - บรรณานุกรม - ปกใน - ความเป็นมาและความสาํ คัญของปัญหา - ภาคผนวก - บทคัดย่อ - วัตถุประสงค์ของการวจิ ัย - กติ ตกิ รรมประกาศ - ขอบเขตของการวจิ ัย - ตัวอย่างเครืองมอื - สารบญั - สมมติฐานการวจิ ัย (ถ้าม)ี เกบ็ รวบรวมข้อมูล - สารบัญตาราง - นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ - สารบญั ภาพ - ประโยชน์ทคี าดว่าจะได้รับ - ตวั อย่างการ บทที 2 เอกสารและงานวิจัยทเี กยี วข้อง วเิ คราะห์ข้อมลู บทที 3 วิธดี าํ เนินการวจิ ัย บทที 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล - รายนามผู้ทรงคุณ บทที 5 สรปุ อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วุฒิทชี ่วยตรวจสอบ คุณภาพเครืองมอื วจิ ัย ฯลฯ รูปแบบของรายงานการวิจยั เชิงวิชาการ

รูปแบบการเขียนรายงานการวิจยั ในชนั เรียน รูปแบบไม่เนน้ วิชาการ รูปแบบกึงวิชาการ รูปแบบเชิงวิชาการ - เป็นรปู แบบทยี ืดหยุ่น รูปแบบทีนาํ เสนอการสะทอ้ น รูปแบบที ก.ค. เสนอแนะ - ประกอบด้วยส่วนนาํ ส่วนเนือหา - นาํ เสนอเนือหาโดยสรปุ สนั ๆ ผลการวิจัย นาํ เสนอสาระสาํ คญั นาํ เสนอสาระสาํ คญั ตามหวั ขอ้ และส่วนอ้างองิ ตามหัวข้อ ต่อไปนี เพียง 1 – 2 หน้าโดยนาํ เสนอ ต่อไปนี - เนือหา มี 5 บท คือ ปัญหาทตี ้องแก้ไขหรือ 1. ชือเรืองวิจัย 1. คุณภาพทจี ะต้องพัฒนา บทที 1 บทนาํ 2. ความสาํ คัญของปัญหาวิจยั 2. กระบวนการ / เทคนิค / บทที 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที พัฒนา 3. ปัญหาวิจัย เกยี วข้อง วิธแี ก้ไขหรือพัฒนา 4. วัตถุประสงค์ของการวิจัย วิธกี ารพัฒนาผู้เรียน บทที 3 วิธดี าํ เนินการวิจยั ผลการแก้ไขหรือผลการวิจยั 5. ประโยชน์ทคี าดว่าจะได้รับ 3. ผลทเี กดิ ขนึ จริง บทที 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมลู 6. วิธดี าํ เนินการวจิ ยั 4. แนวทางการพัฒนาอย่าง บทที 5 สรปุ อภปิ รายและ 7. ผลการวิจัย ข้อเสนอแนะ 8. การสะท้อนผลการวจิ ยั ต่อเนือง - ส่วนอ้างองิ คอื บรรณานุกรม แผนภาพแสดงรูปแบบการเขียนรายงานการวิจยั ในชนั เรียน

LOGO


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook