Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ศิลปะแห่ง ตำ นานอียิปต์โบราณ

ศิลปะแห่ง ตำ นานอียิปต์โบราณ

Description: สาธิดา

Search

Read the Text Version

ศิลปะแห่ง ตำนานอียิปต์โบราณ เรื่องราวของอียิปต์โบราณที่มีทั้งตำนานและนักโบราณคดีค้นพบน่าจะสนใจแค่ไหนลองเปิดอ่านดูนะคะ

คำนำ สมุดเล่นนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา สารสนเทศเพื่อการค้นคว้า ได้จัดทำขึ้นตามที่คูณครูได้มอบหมายสมุดเล่มนี้จัดทำเพื่อ ให้ความรู้เรื่องอียิปต์โบราณและประวัติอียิปต์ที่ยาวนาน ตามประวัติศาสตร์ของอียิปต์และตำนานที่ยาวนานเทพเจ้า ที่ชาวอียิปต์นับถือหรือความเชื่อของชาวอียิปต์ว่าได้ว่า อียิปต์มีสิ่งน่าสนใจที่ทุกคนอาจจะยังไม่รู้

สารบัญ ประวัติอียิปต์ หน้า3 ตำนานอียิปต์มัมมี่ หน้า8 สฟิงซ์ หน้า14 คำสาปฟาโรห์ หน้า17 แมว หน้า20

ประวัติอียิปต์

อียิปต์โบราณ หรือ ไอยคุปต์ เป็นหนึ่งใน อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทาง ตอนตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปตอารย ธรรมอียิปต์โบราณสืบเนื่องมาตั้งแต่ยุคก่อน ประวัติศาสตร์และเริ่มปรากฏชัดเมื่อประมาณ 3,150 ปีก่อนคริตศักราชจากการรวมอำนาจ ทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอน ใต้ ภายใต้ฟาโรห์นาร์เมอร์ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์ แรกแห่งอียิปประวัติศาสตร์ของอียิปต์ โบราณจำแนกตามยุคอาณาจักรที่มั่นคง หรือที่รู้จักกันในยุค \"ราอาณาจักร\" โดยมัก แบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง และยุคที่ ไม่มีความแน่นอนที่เรียกว่า \"ช่วงต่อ\" ยุคที่ สำคัญ ๆ ได้แก่ ราชอาณาจักรเก่า ในช่วงต้น ยุคสัมฤทธิ์, ราชอาณาจักรกลาง ในช่วง กลางยุคสัมฤทธิ์ และ ราชอาณาจักรใหม่ตาม ยุคอาณาจักรที่มั่นคง

หรือที่รู้จักกันในยุค \"ราชอาณาจักร\" โดยมัก แบ่งตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง และยุคที่ ไม่มีความแน่นอนที่เรียกว่า \"ช่วงต่อ\" ยุคที่ สำคัญ ๆ ได้แก่ ราชอาณาจักรเก่า ในช่วงต้น ยุคสัมฤทธิ์, ราชอาณาจักรกลาง ในช่วง กลางยุคสัมฤทธิ์ และ ราชอาณาจักรใหม่ ใน ช่วงปลายยุคสัมฤทธิ์ ซึ่งในยุคราชอาณาจักร ใหม่นี่เองที่อารยธรรมอียิปต์โบราณถึงจุด สูงสุด โดยได้ปกครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของ นูเบียและส่วนหนึ่งของตะวันออกใกล้ ก่อนที่ จะถดถอยไปอย่างช้าๆตลอดประวัติศาสตร์ อียิปต์ถูกรุกรานหรือยึดครองโดยต่างชาติ หลายต่อหลายครั้ง กล่าวคือ โดยฮิกซอส ลิเบีย นูเบีย อัสซีเรีย อคีเมนียะห์เปอร์เซีย และมาเกโดเนียภายใต้การยึดครองโดยพระ เจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชเมื่อ 332 ปีก่อน คริสต์ศักราช ซึ่งทำให้ความเป็นอาณาจักร อียิปต์โบราณล่มสลายลง และจัดอียิปต์เป็น เพียงจังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิมาเกโด เนีย[3] แม้กระนั้นเองความเป็นอารยธรรม อียิปต์โบราณก็ดำรงอยู่ต่อไปภายใต้ราชวงศ์ ทอเลมีเชื้อสายกรีกที่ตั้งขึ้นภายหลังการ

สวรรคตของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ และ ปกครองอียิปต์จนถึง 30 ปีก่อนคริสตกาล ภายใต้พระนางคลีโอพัตรา กระทั่งถูก จักรวรรดิโรมันเข้ายึดครองและกลายมาเป็น จังหวัดหนึ่งของจักรวรรดิโรมัน เกิดการ ผสมผสานเข้ากับอารยธรรมผู้ปกครองเรื่อย มาจนเลือนหายไปในที่สุดอารยธรรมอียิปต์ พัฒนาการมาจากสภาพของลุ่มแม่น้ำไนล์ การควบคุมระบบชลประทาน, การควบคุม การผลิตพืชผลทางการเกษตร พร้อมกับ พัฒนาอารยธรรมทางสังคม และวัฒนธรรม พื้นที่ของอียิปต์นั้นล้อมรอบด้วยทะเลทราย เสมือนปราการป้องกันการรุกรานจากศัตรู ภายนอก นอกจากนี้ยังมีการทำเหมืองแร่ และอียิปต์ยังเป็นชนชาติแรก ๆ ที่มีการ พัฒนาการด้วยการเขียนประดิษฐ์ตัวอักษร ขึ้นใช้, การบริหารเน้นไปที่สิ่งปลูกสร้างและ การเกษตรกรรม พร้อมกันนั้นก็มีการ พัฒนาการทางทหารของอียิปต์ที่เสริมสร้าง ความแข็งแกร่งแก่ราชอาณาจักรโดย ประชาชนจะให้ความ

เคารพกษัตริย์หรือฟาโรห์เสมือนหนึ่งเทพเจ้า ฟาโรห์ทรงมีอำนาจเด็ดขาดทำให้การบริหาร ราชการบ้านเมืองและการควบคุมอำนาจนั้น ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพชาวอียิปต์โบราณ ไม่ได้เป็นเพียงแต่เกษตรกรหรือช่างก่อสร้าง แต่ยังเป็นนักคิด, นักปรัชญา ผู้ได้มาซึ่ความ รู้ในศาสตร์ต่าง ๆ มากมายตลอดพัฒนาการ ของอารยธรรมกว่า 4,000 ปี ทั้คณิตศาสตร์ วิธีการสร้างพีระมิด วัด โอเบลิสก์ ตัวอักษร และเทคนิคโลยีด้านกระจก นอกจากนี้ยังมี การพัฒนาประสิทธิภาพทางด้านการแพทย์, ระบบชลประทานและการเกษตรกรรม สิ่งที่ อียิปต์ทิ้งไว้เป็นมรดกแก่อนุชนรุ่นหลัง คือ ศิลปะและสถาปัตยกรรม ซึ่งถูกคัดลอกนำไป ใช้ทั่วโลก อนุสรณ์สถานที่ต่าง ๆ ในอียิปต์ ต่างดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักประพันธ์ ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา ปัจจุบันมีการ ค้นพบวัตถุใหม่ ๆ ในอียิปต์มากมายซึ่งกำลัง ตรวจสอบถึงประวัติความเป็นมา เพื่อเป็น หลักฐานแก่อารยธรรมอียิปต์ และอารยธรรม ของโลกต่อไป

ตำนานอียิปต์ มัม มี่

ยุคทองแห่งการทำมัมมี่ อียิปต์ไม่ใช่ชาติแรกที่ทำมัมมี่แต่การทำ มัมมี่มีอยู่ในวัฒนธรรมความเชื่อเรื่องโลก หลัง8วามตายของหลายดินแดนเช่นในวฒน ธรรมของชาวประมงโบราณริมชายฝั่ งเปรู และชิลี ซึ่งมีการทำมัมมี่มาราว 3,000 ปีก่อน คริสตกาลรวมทั้งโคลัมเบียเอกวาดอร์แม้แต่ อินเดียแดงบนแผ่นดินอเมริกาบางเผ่าก็มี การทำมัมมี่

แต่ที่รุ่งเรืองสุดเห็นจะเป็นในดินแดนอินคำ สำหรับชาวอียิปต์โบราณนั้นมีการพัฒนา เทคนิคและความเชี่ยวชาญใน ขั้นตอนการทำ มัมมี่ มาโดยตลอด และเป็นระยะเวลายาวนาน ตั้งแต่ 2,800 ปี ก่อนคริสตกาล จนมาถึง ปี ค.ศ. 640 การทำมัมมี่จึงสิ้นสุดลงพร้อมกับ การล่มสลายของอาณาจักรอียิปต์หลังถูก ชาวอาหรับเข้ามายึดครอง

ช่วง 1,000-950 ปีก่อนคริสตกาล ถือเป็น ช่วงพัฒนาการสูงสุดของเทคนิคและ วิทยาการมัมมี่ ตรงกับยุคที่หัวหน้านักบวช แห่งอามุน (ราชาแห่งเทพเจ้า) มีอำนาจมาก เป็นยุคสมัยเดียวกับที่ฝั่ งอิสราเอลกำลัง รุ่งเรือง ซึ่งตรงกับสมัยกษัตริย์โซโลมอนและ กษัตริย์เดวิด

มัมมี่วัฒนธรรมที่บ่งชี้ความรุ่งเรืองด้านการ แพทย์ขยับมาช่วง 450 ปี ก่อนคริสตกาล มี หลักฐานบันทึกโดยนักประวัติศาสตร์ชาวกรีก ชื่อ เฮโรโดตุส เขียนเล่าวิธีการทำมัมมี่ของ ชาวอียิปต์ ที่ถือได้ว่าเป็นยุคท้ายๆ ของความ นิยมในการทำมัมมี่ อีกทั้งด้านพัฒนาการ เทคนิคต่างๆ ก็ผ่านพ้นยุครุ่งเรืองมาแล้ว จากบันทึกของเฮโรโดตุส กล่าวว่า ขั้นตอน การทำมัมมี่ ใช้เวลาทั้งหมด 70 วัน และการ ทำมัมมี่ก็มีถึง 3 แบบ 3 ราคาโดยมัมมี่ที่ดี ที่สุด และมีราคาในการทำแพงที่สุดจะใช้ เทคนิคการดูดเอาสมองคนตายออกมาทาง รูจมูกไม่ต่างจากการผ่าตัดในการแพทย์ยุค ใหม่และใช้มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟ กรีดข้าง ลำตัวเพื่อควักอวัยวะภายในออกมา เหลือไว้ แค่ก้อนเนื้อที่เป็นหัวใจ และจากนั้นจึงชำระ ช่องท้องให้สะอาดด้วยเหล้าไวน์ที่หมักจาก ปาล์ม ก่อนนำร่างไปตากแห้ง

ย้อนกลับไปไกลอีกหน่อยในราวพันปีก่อนคริสตกาล เมื่อ ครั้งทักษะการทำมัมมี่อยู่ในยุครุ่งเรือง มัมมี่ที่ดีจะต้องมี วัสดุประเภทขี้เลื่อย โคลน และผ้าลินิน ยัดเข้าไปแทนที่ อวัยวะภายในที่ถูกดูดออก การทำมัมมี่ยุคนั้นละเอียด ประณีตถึงขั้นที่มีการกรีดผิวหนังเป็นร่องเล็กๆ และยัด วัสดุดังกล่าวไว้ใต้ผิวหนังด้วย ส่วนมัมมี่แบบราคากลาง ย่อมเยา จะไม่มีการควักอวัยวะภายในออก แต่ใช้น้ำมันสน ซีดาร์ ฉีดเข้าไปในร่างก่อนตากแห้ง และมัมมี่ราคาถูกที่สุด ก็มีวิธีการแค่นำร่างไปตากให้แห้ง

สฟิงซ์

สฟิงซ์ คือ ชื่อสัตว์ประหลาดในตำนานไอย คุปต์วิทยา และมีในตำนานชนชาติอื่นด้วย มี ลักษณะต่างกันไป แต่จะมีตัวเป็นสิงโตเหมือน กันสฟิงซ์ใตำนานกรีกมีใบหน้าและช่วงอก เป็นหญิงสาว มีปีกแบบนกอินทรีย์ และ สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ สฟิงซ์จะคอยถาม คำถาม กับมนุษย์ที่หลงมาพบมันเข้า หาก ตอบคำถามไม่ได้ มนุษย์ผู้เคราะห์ร้ายนั้นก็จะ ถูกสังหารส่วนสฟิงซ์ของอียิปต์โบราณ ไม่มี ปีกมีหน้าเป็นมนุษย์ผู้ชาย ชาวอียิปต์โบราณ แกะสลักหินเป็นรูปสฟิงซ์ไว้เป็นจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ มหาสฟิงซ์แห่งกิซ่า นี้ เอง โดยนักโบราณคดีเชื่อว่า มหาสฟิงซ์แห่ งกิซ่าเป็นอนุสาวรีย์ของ ฟาโรห์คาเฟรหรือ คี เฟรนฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 ผู้สร้างพีระมิด

คาเฟร เมื่อประมาณ 2600 ปี ก่อนคริสต์กาล โดยเชื่อว่าใบหน้าของมหาสฟิงซ์ จำลองมา จากใบหน้า ของฟาโรห์คีเฟรน และสามารถ สังเกตว่าส่วนหัวของ มหาสฟิงซ์ มี สัญลักษณ์ของฟาโรห์อียิปต์ แสดงเอาไว้ อย่างชัดเจน คือมีเคราที่คาง มีงูจงอางแผ่ แม่เบี้ยที่หน้าผาก และยังมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบฟาโรห์ ประกอบเข้ากับผ้าคลุม ศีรษะ และคออีกด้วยจึงถือกันว่ามหาสฟิงซ์นี้ เป็นอนุสาวรีย์แกะสลักเก่าแก่ที่สุดที่รู้จักกัน อียิปต์โบราณถือกันว่าสฟิงซ์เป็นร่างจำแลง ภาคหนึ่งของเทพเจ้า การที่ฟาโรห์คาเฟร ให้ แกะสลักใบหน้าสฟิงซ์เป็นใบหน้าของ พระองค์ จึงเป็นการแสดงว่าพระองค์เปรียบ ดังเทพเจ้านั่นเอง

คำสาปฟาโรห์

คำสาปฟาโรห์ เป็นคำสาปที่กล่าวอ้างกันว่า ส่งผลต่อบุคคลใดก็ตามที่รบกวนมัมมี่ของ ชาวอียิปต์โบราณ โดยเฉพาะพระศพฟาโรห์ คำสาปนี้ไม่แยกแยะว่า ผู้รบกวนนั้นจะเป็น โจรหรือเป็นนักโบราณคดี เชื่อว่า จะนำมาซึ่ง โชคร้าย โรคภัย หรือความตาย และนับแต่ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา นัก เขียนและนักสารคดีหลายคนแย้งว่า คำสาปมี ผลจริงที่ใช้วิทยาศาสตร์อธิบายได้ เช่น อาศัย แบคทีเรียหรือการแผ่รังสี ถึงแม้ว่าเรื่องเล่า เกี่ยวกับคำสาปมัมมี่อียิปต์ แหล่งที่มาในสมัย ปัจจุบัน พัฒนาการซึ่งหลัก ๆ แล้วอยู่ใน วัฒนธรรมยุโรป การแปรจากเรื่องเวทมนตร์ ไปยังวิทยาศาสตร์ รวมถึงวัตถุประสงค์ที่ เปลี่ยนไปในการใช้งานคำสาป เช่น จากการ ลงโทษผู้รบกวนไปเป็นการสร้างความบันเทิง ในภาพยนตร์ เหล่านี้บ่งบอกว่า คำสาปเป็น ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรม มากกว่าทาง วิทยาศาสตร์โดยตรง

ในทางโบราณคดี ไม่เคยมีการค้นพบคำสาป ภายในตัวสุสานของฟาโรห์ดังที่เข้าใจกัน แต่ ตัวอย่างคำสาปจริง ๆ ก็มีอยู่ อย่างกรณี สุสานแมสตาบาของ ในช่วงราชวงศ์ที่ 6 ซึ่ง ดูจะมีไว้เพื่อกำกับให้นักบวชทำหน้าที่ให้ดี มากกว่าจะเพื่อเตือนผู้คิดบุกรุก การแพร่สะ พรัดเรื่องคำสาปย้อนหลังไปได้ถึงคริสต์ ศตวรรษที่ 19 แต่มาทวีขึ้นอย่างยิ่งหลังจาก เฮาเวิร์ด คาร์เทอร์ ค้นพบสุสานของทูเทินคา มูนเมื่อ ค.ศ. 1922

ให้ความรู้อีกนิดหนึ่งเกี่ยวกับแมว ในอียิปต์ 1.มีหลักฐานที่ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชาวอียิปต์ อาจจะเป็นชาติแรกที่นำแมวมาเลี้ยงตั้งแต่ ราว 1,000 ปีก่อนพุทธศักราช 2.เหตุที่ชาวอียิปต์บูชานับถือแมว เพราะชื่น ชอบความเก่ง ความฉลาด ความว่องไวใน การเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ 3.พิธีกรรมเกี่ยวกับแมวในสมัยอียิปต์ล้วน เกี่ยวเนื่องกับโลกหลังความตาย มีทั้งการทำ มัมมี่ สร้างสุสาน ทำหีบศพเฉพาะแมว ซึ่ง มัมมี่สัตว์ถือเป็นเครื่องบูชาทางศาสนาของ อียิปต์

บรรณานุกรม วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

อียิปต์มีเรื่องราวน่าสนใจ มากมายที่หลายคนยังไม่รู้ไม่ เคยไม่ลองสัมผัสกับอียิตป์ อยากให้ลองเรียนรู้อียีปต์ไป พร้อมๆกันถ้าศึกษาเรื่อยๆ เชื่อว่ายังมีเรื่องที่น่าสนใจอีก เพียบทั้งที่รู้แล้วแต่สามารถ เจาะลึกได้อีกสำหรับอียิปต์ เป็นประวัติศาตร์ที่มหัสจรรศ จริงๆ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook