104การจดั การเรียนการสอนทเ่ี นน้ ผูเ้ รียนเป็นสำาคัญ : วธิ ีการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลัก Student Center : Problem- Based Learning ศริ ิพันธ์ุ ศริ ิพันธ์ุ พย.ม. (Siriphan Siriphan, M.N.S.)1 ยุพาวรรณ ศรีสวัสด์ิ พย.ม.(Yupawan Srisawat, M.N.S.)2 การจัดการเรยี นการสอนทีเ่ น้นผเู้ รยี นเป็นสาำ คญั (Student - Centered) เปน็ การจัดการเรียนการสอนทีย่ ึดผ้เู รียนเปน็ ตัวตั้ง โดยคาำ นงึ ถงึ ความเหมาะสมกบั ผเู้ รยี นและประโยชนส์ งู สดุ ทผ่ี เู้ รยี นควรจะไดร้ บั และมกี ารจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ เ่ี ปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นมบี ทบาทสาำ คญั ในการเรยี นรู้ ไดม้ สี ว่ นรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรู้อยา่ งตน่ื ตวั หรอื การลงมอื ปฏบิ ตั จิ รงิ (Active Learning) และไดใ้ ชก้ ระบวนการเรยี นรตู้ า่ งๆ อนั จะนาำ ผเู้ รยี นไปสู่การเกดิ การเรยี นรทู้ แ่ี ทจ้ รงิ วธิ กี ารจดั การเรยี นการสอนแบบน้ี เชอ่ื วา่ จะสามารถพฒั นาผเู้ รยี นใหม้ คี วามสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ มคี วามคดิ สรา้ งสรรค์ ตลอดจนมที กั ษะในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง เปน็ ผทู้ ม่ี คี ณุ ภาพเปน็ คนดี คนเกง่ และมคี วามสขุ การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาำ คญั มใิ ชก่ ารเรยี นแบบใหม่ ถา้ มองยอ้ นกลบั ไปจะเหน็ วา่ เมอ่ื มกี ารเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รระดบั ประถมศกึ ษา พทุ ธศกั ราช 2503 เปน็ หลกั สตู ร พทุ ธศกั ราช 2521 แนวคดิ เรอ่ื งการจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาำ คญั นบั เปน็ แนวคดิ หลกั ของการเปลย่ี นแปลงหลกั สตู รฉบบั ดงั กลา่ วไดม้ กี ารสง่ เสรมิ ใหค้ รผู สู้ อนเปลย่ี นแนวการจดั การเรยี นการสอน จากการสอนแบบบรรยายบอกเลา่ เปน็ การสอนแบบจดั กจิ กรรมตา่ งๆ โดยใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มและเรยี นรรู้ ว่ มกนั เปน็ กลมุ่ แมว้ า่ ตอ่ มาจะมกี ารมกี ารปรบั ปรงุหลกั สตู รในปี พ.ศ.2533 แลว้ กต็ าม แตแ่ นวคดิ ในเรอ่ื งการจดั การเรยี นการสอนโดยเนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาำ คญั กย็ งั คงอยเู่ ชน่ เดมิ ในชว่ งปี พ.ศ. 2538 ไดม้ กี ารปฏริ ปู การเมอื งเกดิ ขน้ึ วงการศกึ ษามกี ารเคลอ่ื นไหวใหม้ กี ารปฏริ ปูการศกึ ษาอกี ครง้ั หนง่ึ ซง่ึ สง่ ผลใหม้ พี ระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาเกดิ ขน้ึ จากพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติพ.ศ.2542 ไดบ้ ญั ญตั สิ าระแนวทางการปฏริ ปู การศกึ ษาไทยไวใ้ นหมวดความมงุ่ หมาย (หมวด 1) และแนวทางการจดั การศกึ ษา (หมวด 4) วา่ การศกึ ษาตอ้ งเปน็ ไปเพอ่ื พฒั นาคนไทยใหเ้ ปน็ มนษุ ยท์ ส่ี มบรู ณ์ ทง้ั รา่ งกาย จติ ใจสตปิ ญั ญา ความรู้ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม และวฒั นธรรมในการดาำ รงชวี ติ สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผูอ้ ืน่ ได้อย่างมคี วาม1 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นราธวิ าสราชนครนิ ทร์2 ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั นราธวิ าสราชนครนิ ทร์
105ในการจดั การศึกษา จะตอ้ งยดึ หลักวา่ ผู้เรยี นทกุ คนมีความสามารถเรยี นรูแ้ ละพฒั นาตนเองได้ และถือวา่ ผู้เรียนมคี วามสำาคญั ทสี่ ดุ กระบวนการจัดการศกึ ษาตอ้ งส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นสามารถพฒั นาตามธรรมชาติ และเตม็ตามศักยภาพ (สำานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาต,ิ 2545) จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้บัญญัติแนวทางการจัดการศึกษาดังกล่าวข้างต้น ทำาให้ผู้เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบในการจัดการศึกษา ต่างพยายามที่จะทำาออกมาให้เป็นรูปธรรมเพื่อนำาไปสู่การปฏิบัติ ทั้งการปรับปรุงหลักสูตรและการปรับปรุงวิธีการสอน ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบันมีวิธีการสอนหลากหลายวิธีที่เน้นผู้เรียนเป็นสำาคัญ (ทิศนา แขมมณี , 2550) เช่น การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ ( Concept – Based Intruction) การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic Learning )การจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงการ (Project Based Instruction) และ การจัดการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นหลัก ( Problem- Based Learning ) เป็นต้นการเรยี นการสอนแบบใชป้ ัญหาเปน็ หลกั ( Problem- Based Learning : PBL ) ความหมาย การเรยี นการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลัก (PBL) การเรียนการสอนแบบใชป้ ัญหาเปน็ หลัก ( Problem- Based Learning : PBL ) มชี ื่อเรยี กในภาษาไทยไดห้ ลายคาำ เช่น การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก การเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นหลัก การเรียนรู้โดยใช้ปัญหา การเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเป็นฐาน การเรียนแบบใชป้ ญั หาเป็นฐาน เป็นตน้ นักการศึกษาและนักวชิ าการหลายท่านได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลักไว้ ดงั น้ี เบน ( Bene , 2000) ให้ความหมายของ PBL หมายถึง การเรยี นร้ทู ี่เกดิ จากผลของการประยกุ ต์ใช้กระบวนการหาเหตุผลเชิงตรรกวทิ ยาในการสร้างความเข้าใจและหาทางออกของปัญหา ดัช ( Duch ,1995) ใหค้ วามหมาย ของ PBL หมายถึง วิธกี ารสอนทใ่ี ชป้ ญั หาจากชีวติ จรงิ เป็นบรบิ ทเพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรู้ เกิดการคดิ อย่างมีวจิ ารณญาณ มีทกั ษะในการแกป้ ัญหาและแสวงหาความร้ทู ี่จำาเป็นตามหลักสูตร กลา่ วโดยสรปุ PBL เป็นนวตั กรรมทางการศึกษา ทสี่ ามารถนาำ ไปใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนให้เกดิ ประสิทธิภาพ โดยมหี ลกั ท่ีสาำ คญั คือ ผสู้ อนจะตอ้ งเลือกใชส้ ถานการณป์ ัญหาทเ่ี หมาะสมเปน็ ตัวกระตุน้ ให้ผู้เรียนแสวงหาความร้เู พอื่ นำามาเป็นแนวทางแกไ้ ขปัญหา โดยผ้เู รียนเปน็ ผู้กำาหนดทศิ ทางในการเรียนรู้ของตนเอง(Self-directed learning) ซึ่งปรบั เปลยี่ นไปจากการสอนแบบเดิมๆท่ีครูเปน็ ศนู ยก์ ลาง เน้นการสอนแบบบรรยายอย่างเดยี ว ผสู้ อนมักยึดติดกบั การสอนเน้อื หา (Content) มากกว่าการฝึกทกั ษะการคดิ แก้ปัญหาปัจจบุ ันได้มกี ารปฏริ ูปการจดั การเรยี นการสอน ได้นาำ การสอนแบบ PBL มาใชม้ ากขึ้น ผสู้ อนจะตอ้ งนาำ ปญั หามาให้ผ้เู รยี นได้ศึกษาก่อน แล้วจึงมอบหมายให้ผเู้ รียน ไปคน้ คว้าหาความรู้เพ่มิ เติม เพื่อหาแนวทางแกไ้ ขปญั หาทาำ ใหผ้ ู้เรียนได้ฝึกกระบวนการคดิ และแก้ปญั หา ผเู้ รียนก็จะได้ท้งั การฝกึ การคิด การคน้ ควา้ และได้ความรู้
106ด้วยเหตุน้ี PBL จึงเปน็ ยทุ ธศาสตร์การสอนทีส่ ่งเสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ กระบวนการคดิ อย่างเปน็ ระบบ ทาำ ให้ผู้เรียนไดค้ วามรทู้ ีเ่ กิดจากการลงมือปฏิบัติจรงิ (Active learning) โดยครูเป็นผู้ให้การสนบั สนุนและอำานวยความสะดวกในการเรยี น (สภุ าวดี ดอนเมอื ง , 2544)ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ ่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลกั แนวคิดเรื่องการเรียนรู้ที่นักการศึกษานำามาอภิปรายโต้แย้งกัน ส่วนใหญ่จะมุ่งไปที่แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของนักจิตวิทยา 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ได้แก่ ทฤษฎีการเรยี นรู้เชงิ พฤติกรรมนิยม (Behaviorist learning Theory) ซง่ึ เชอื่ ว่า โลกของเรามีความร้อู ยู่มากมาย แต่ความรู้ที่สามารถถ่ายโยงมายังผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรมมีเพียงจำานวนเล็กน้อยเท่านั้นการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง นักจิตวิทยาในกลุ่มทไี่ ด้รบัการยอมรบั มากทส่ี ุด ได้แก่ สกินเนอร์ (Skinner) ทฤษฎีการเรยี นรู้เชงิ พุทธินยิ ม (Cognitive learning Theory) ซึง่ เชื่อวา่ ความรู้เกิดจากปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งโครงสร้างทีม่ ลี กั ษณะเฉพาะ (Particular structure) กบั ส่งิ แวดล้อมทางจติ วทิ ยา (psychologicalenvironment) ของผเู้ รยี นแต่ละคน การเรียนรูจ้ ะเกดิ ข้นึ ก็ต่อเม่ือผู้เรียนได้ปรับเปล่ียนโลกภายในของตนโดยอาศัยกระบวนการปฏิสมั พันธท์ เ่ี กดิ จากการรบั ความรใู้ หมเ่ ขา้ ไปในสมอง หรอื จากการปรบั เปลี่ยนความรู้เก่าให้เขา้ กับความร้ใู หม่ นักจิตวทิ ยาในกลมุ่ น้ที ี่ได้รบั การยอมรับมากทส่ี ุดไดแ้ ก่ เพยี เจท์ (Piaget) ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) ของนักจิตวิทยา คือบรุนเนอร์ (Bruner) สอดคล้องกับการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลัก เพราะบรุนเนอรม์ คี วามคดิ วา่ การเรยี นรู้ท่ีดีควรมีทั้งการเรียนแบบให้สังเคราะห์ และเรยี นรแู้ บบหยงั่ เหน็ เชน่ ในการแกป้ ัญหากม็ ีการตั้งสมมติฐาน หรอืเดาคะเนสาเหตขุ องเหตุการณ์ และทดลองสาเหตุท้งั หมดทอี่ าจเป็นไปได้ โดยทาำ อยา่ งมรี ะบบตามระเบียบวิธีวทิ ยาศาสตร์ (เป็นแบบสงั เคราะห์) (วงพกั ตร์ พู่พันธศ์ รี, 2532)วิธีการเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หาเป็นหลัก วธิ กี ารสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลกั เปน็ เทคนคิ การสอน เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรใู้ นกระบวนการแกป้ ญั หากลไกพน้ื ฐานในการเรยี นรู้ 3 ประการ (ทองจนั ทร์ หงสล์ ดารมภ,์ 2538) คอื 1. การเรียนรู้โดยใช้ปญั หาเปน็ หลกั ( Problem – based learning ) 2. การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self – directed learning ) 3. การเรยี นรู้เป็นกลุ่มย่อย(Small – group learning ) ขน้ั ตอนการดาำ เนนิ การแกป้ ญั หาของ “ผเู้ รยี น” ในกระบวนการเรยี นการสอนแบบ Problem – basedlearning กระบวนการเรยี นรโู้ ดยใชป้ ญั หาเปน็ หลกั จะเรม่ิ ปอ้ น “ปญั หา” ซง่ึ ผเู้ รยี นจะใชเ้ ปน็ หลกั ในการดาำ เนนิ การแก้ปญั หาจนกระทง่ั เกดิ การเรยี นรอู้ ยา่ งสมบรู ณ์ โดยมขี น้ั ตอนการดาำ เนนิ การดงั น้ี ( ทองจนั ทร์ หงสล์ ดารมภ,์ 2538 )
107 1. Clarify terms and concepts ทาำ ความเขา้ ใจกบั ปญั หาและแนวคดิ กลมุ่ ผเู้ รยี นตอ้ งพยายามทาำ ความเขา้ ใจกบั ปญั หาทไ่ี ดร้ บั จากครู 2. Define the problem ระบปุ ระเดน็ ปญั หา กลมุ่ ผเู้ รยี นสามารถระบปุ ระเดน็ ปญั หาได้ 3. Analyze the problem วเิ คราะหป์ ระเดน็ ปญั หา ซง่ึ จะไดม้ าจากแนวคดิ อยา่ งมเี หตผุ ลในกลมุ่ 4. Formulate hypotheses ตง้ั สมมตฐิ าน กลมุ่ ผเู้ รยี นพยายามตง้ั สมมตฐิ านทส่ี มเหตสุ มผล 5. Identify the priority of hypotheses จดั ลาำ ดบั ความสาำ คญั ของสมมตฐิ าน กลมุ่ ตอ้ งจดั อกี ครง้ั โดยอาศยั ขอ้ มลู สนบั สนนุ จากขอ้ มลู ในโจทยป์ ญั หา และจากความรสู้ มาชกิ ในกลมุ่ แลว้ นาำ มาคดั เลอื กสมมตฐิ านทต่ี อ้ งแสวงหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ 6. Formulate learning สรา้ งวตั ถปุ ระสงคข์ องการเรยี นรู้ ผเู้ รยี นสรา้ งวตั ถปุ ระสงคข์ องการเรยี นรเู้ อง ถา้ผเู้ รยี นสรา้ งไดจ้ ะเกดิ แรงจงู ใจใหอ้ ยากเรยี นดว้ ยตนเอง 7. Collect additional outside the group แสวงหาความรู้ และข้อมลู สมาชกิ ในกลุ่มจะแบง่ กันไปคน้ หาความรู้ จากแหลง่ เรยี นรตู้ า่ งๆ 8. Synthesize and test newly acquired information รวบรวมความรทู้ ไ่ี ดม้ านาำ เสนอตอ่ สมาชกิ ในกลมุ่ เพอ่ื ทดสอบสมมตฐิ าน 9. Identify generalizations and principles derived from studying this problem สรปุ ผลเรยี นรทู้ ไ่ี ดม้ าจากการศกึ ษาปญั หาการสอนแบบใช้ PBL ตา่ งจากการสอนรปู แบบอน่ื อยา่ งไร? วดู ส (Woods ,1985) ไดแ้ บง่ การสอนออกเปน็ 3 กลมุ่ ใหญ่ ๆ คอื การสอนโดยใชค้ รเู ปน็ ฐาน (Teacher- based) ใชต้ าำ ราหรอื สอ่ื การสอนเปน็ ฐาน (Text or media based) และ ใชป้ ญั หาเปน็ ฐาน (Problem- based)หากนาำ PBL ไปเปรยี บเทยี บกบั วธิ สี อนกลมุ่ อน่ื ทใ่ี ชฐ้ านในการสอนตา่ งกนั จะเหน็ ถงึ ความรบั ผดิ ชอบในการเรยี นรู้(Learning responsibility) ของครแู ละผเู้ รยี นทแ่ี ตกตา่ งกนั ดงั เปรยี บเทยี บในตารางท่ี 1
108ตารางที่ 1 เปรียบเทียบวิธีสอนทใี่ ช้ครเู ป็นฐาน (Teacher - based) ใช้ตาำ ราหรอื สือ่ การสอนเปน็ ฐาน (Text ormedia based) และใช้ปญั หาเป็นฐาน (Problem- based)ปจั จัยการเรยี นรู้ การสอนโดย การสอนโดย การสอนโดย ใช้ครูเปน็ ฐาน ใชต้ ำาราเป็นฐาน ใช้ปญั หาเป็นฐานการจดั เตรียมสภาพ ครเู ปน็ ผเู้ ตรียมการและเปน็ ครูเปน็ ผเู้ ตรียมการและเปน็ - ครูเป็นผนู้ ำาเสนอแวดล้อมในการเรียนรูแ้ ละ ผู้นำาเสนอ ผู้นาำ เสนอ สถานการณ์การเรียนรู้สอ่ื การสอน - นกั เรียนเปน็ ผู้เลอื กส่อื การเรยี นรู้การจัดลาำ ดับการเรียนรู้ ครูเปน็ ผ้กู าำ หนด นกั เรียนเปน็ ผู้กาำ หนด นกั เรยี นเป็นผูก้ าำ หนดการจดั เวลาในการทำาแบบ ครูใหแ้ บบฝกึ หดั หลงั จาก ครนู าำ เสนอสอื่ การสอน ครนู ำาเสนอปญั หากอ่ นเสนอฝึก/ปัญหา เสรจ็ สน้ิ การสอน ต้งั แตต่ น้ แต่จะใชส้ ือ่ ตาม สอ่ื การสอนอนื่ ๆ ลาำ ดับของเนื้อหาความรับผดิ ชอบตอ่ การ ครเู ปน็ ผ้รู บั ผิดชอบ นกั เรยี นเปน็ ผู้รบั ผิดชอบ นักเรียนเปน็ ผู้รับผิดชอบ เรียนรู้ (เรียนร้ดู ้วยตนเอง)ความเป็นมอื อาชีพ ครูแสดงภาพลกั ษณ์ความ ครแู สดงภาพลกั ษณค์ วาม ครูไมแ่ สดงภาพลักษณ์ เป็นมืออาชีพ เปน็ มอื อาชีพไดไ้ มเ่ ต็มที่ ความเป็นมืออาชพีการประเมินผล ครจู ัดทำาแบบประเมิน และ ครูอาจให้นักเรยี นประเมิน นกั เรยี นเปน็ ผู้ประเมนิ เปน็ ผู้ประเมนิ ตนเองสว่ นหน่งึ ตนเองการควบคุม ครคู วบคุมนักเรยี น นกั เรียนควบคมุ ตนเอง นกั เรียนควบคมุ ตนเองการประเมินผลการเรยี นรูใ้ นกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปัญหาเป็นหลัก การประเมนิ ผลการเรยี นรู้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลกั ตอ้ งประเมินหลายๆ ดา้ น สรปุ ได้ดงั นี้ 1) การประเมินความก้าวหน้า เป็นการประเมินผลผู้เรียนขณะเรียนโดยดูข้อมูลที่นักศึกษาหามาว่าสอดคล้องกับปัญหาเพียงไร และการประยุกต์ความรู้ที่หามาได้ในการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้อง 2) การประเมินผลสรุป จะประเมินผู้เรียนเมื่อเสร็จสิ้นการเรียนรู้ในชุดการเรียนนั้น โดยประเมินความรู้ในด้านเนื้อหา กระบวนการเรียนรู้ เจตคติ และทักษะ
109ขอ้ ดี ข้อเสีย ของการสอนแบบใช้ปญั หาเป็นหลกั การนาำ การสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ หลัก ไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอนพบวา่ มที งั้ ขอ้ ดีและข้อเสียดงัต่อไปนี้ ข้อดี 1. การเรยี นแบบศกึ ษาดว้ ยตนเอง เปน็ การสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รยี นมคี วามตระหนกั ถงึ บทบาทความรบั ผดิ ชอบตอ่ แผนการเรยี นของตน ผเู้ รยี นจะนาำ การวางแผนและกาำ หนดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เลอื กแหลง่ ขอ้ มลู เลอื กวธิ กี ารเรยี นรแู้ ละประเมนิ ผลดว้ ยตนเอง (ศริ พิ นั ธ์ุ ศริ พิ นั ธ์ุ และวนิ กี าญจน์ คงสวุ รรณ, 2546 ; วภิ าภรณ์ บญุ ทา, 2541) 2. การเรียนจะใชก้ ระบวนการกลุม่ ทำาใหเ้ กดิ ขอ้ ดมี ากมาย เชน่ 2.1 พัฒนาผู้เรยี นให้มคี วามเข็งแกร่งทางอารมณ์ โดยผเู้ รียนจะมโี อกาสเผชิญกับความรสู้ กึทร่ี นุ แรง ความขดั แยง้ และทศั นคตทิ ีแ่ ตกต่างกันในกลมุ่ 2.2 กระตุ้นใหผ้ ้เู รียนได้ใชป้ ระสบการณ์ของตนเองและของกลมุ่ มาแก้ปญั หา 2.3 เกิดการช่วยเหลือกนั ระหว่างเพื่อนในกลุ่ม ในการแสดงความรู้สกึ ประสบการณ์ และส่ิงแวดล้อม การปฏิบตั ติ ่าง ๆ มาใช้ตั้งคำาถามและนำามาเป็นประเด็นปญั หา 2.4 เปดิ โอกาสให้มกี ารอภิปรายเพอ่ื ใหเ้ กิดคณุ ค่าและเปา้ หมายในทางบวก 2.5 ทำาใหเ้ กิดความร่วมมอื ในการทาำ งาน มีโอกาสเรยี นร้ซู ึง่ กันและกัน ยอมรบั กติกากลุ่ม 3. การเรียนจะใช้ปญั หาเปน็ หลกั ทำาให้เกิดขอ้ ดี เชน่ 3.1 ทำาให้ผเู้ รียนเกดิ ความค้นุ เคยในการคน้ คว้าหาความรูอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื งและแสวงหาความรู้จากแหล่งความรู้ต่างๆ ซึ่งต้องอาศัยความสามารถในการแยกแยะและวิเคราะห์ข้อมูล การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ การให้เหตุผล การศึกษาที่ละเอียดรอบคอบ รวมกับการสรุปที่ได้ประเด็นและสาระที่สำาคัญ 3.2 ไดฝ้ ึกทกั ษะการแก้ปัญหาเพื่อนำาไปส่กู ารปฏบิ ตั แิ ละการใหเ้ หตุผล ตอ้ งผา่ นกระบวนการคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณแบบบูรณาการ ข้อเสีย/ ปญั หาอปุ สรรค จากการศึกษาวิจัย สอบถามความพงึ พอใจตอ่ การเรยี นการสอนแบบใช้ปญั หาเปน็ หลกั ของนกั ศกึ ษาพยาบาลและอาจารยพ์ ยาบาลพบวา่ ผลการวจิ ยั สามารถแยกประเดน็ ของปญั หาได้ 3 ดา้ น ดงั น้ี (จริ าจนั ทร์ คณฑาและระพพี รรณ วบิ ลู ยว์ ฒั นกจิ , 2550; เสรมิ ศรี เวชชะ และทศั นยี ์ เกรกิ กลุ ธร, 2544) ดา้ นผสู้ อน 1. การสอนวธิ นี ้ี ตอ้ งใชอ้ าจารยป์ ระจาำ กลมุ่ จาำ นวนมาก 1:8 – 1:10 ทาำ ใหพ้ บปญั หาคอื จาำ นวนอาจารยม์ นี อ้ ย ไมเ่ พยี งพอตอ่ การทาำ กลมุ่ 2. อาจารยย์ งั ไมเ่ ขา้ ใจวธิ กี ารเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลกั บทบาทอาจารยป์ ระจาำ กลมุ่การประเมนิ ผล และการแกป้ ญั หา บางรายไมย่ อมรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื อาจารยแ์ ตล่ ะกลมุ่ คดิ ไมเ่ หมอื นกนัทาำ ใหน้ กั ศกึ ษาสบั สน
110 3. อาจารยไ์ ม่ยอมรบั การเปลี่ยนแปลงบทเรียนใหม่ มเี จตคติไมด่ ีต่อวธิ ีสอนแบบนแี้ ละขาดความสามารถในการกระตุ้นใหน้ ักศึกษาคดิ ดา้ นผเู้ รียน 1. ต้องใช้เวลาในการเรียนมาก หากเรียนไม่เสรจ็ ในเวลาตอ้ งเรียนนอกเวลา ซึ่งบางคร้ังไม่มีเวลาเขา้ ประชมุ กลุ่มได้ เพราะมีงานวิชาอน่ื ทต่ี ้องทาำ อีกมาก 2. กว่าจะไปถึงประเด็นเนื้อหาทำาให้ผู้เรียนคิดมากเกินไปจนทำาให้หลงทางและระหว่างการเข้ากลมุ่ เมอื่ เกิดความขดั แยง้ ทำาให้กจิ กรรมกลมุ่ ชะงกั 3. ต้องศกึ ษาหาข้อมลู เองบางคร้งั ไมร่ ้วู า่ ความคดิ นั้นถูกหรอื ไม่ และร้สู กึ ว่าจะไดร้ ับเนอื้ หาทฤษฎีน้อย เพราะศึกษาไม่ละเอยี ดจาำ ไม่ได้ จะรู้เฉพาะสว่ นที่ได้รับมอบหมายใหไ้ ปค้นคว้าเทา่ นน้ั 4. บางคร้ังทาำ ใหเ้ กิดภาวะเครยี ด น่าเบื่อ เพราะหาข้อสรุปของกลุม่ ไมไ่ ด้ 5. การประเมนิ ผลไมเ่ ท่ียงตรง บางคร้ังมกี ารให้คะแนนเฉพาะคนท่ีแสดงความคดิ เหน็ส่วนคนทไี่ มแ่ สดงความคิดเห็นเพราะพูดไม่ทันเพอ่ื น คดิ อะไรช้ากว่าคนอืน่ สอ่ื สารให้คนอ่นื ไม่เข้าใจ จะไมไ่ ด้คะแนน ดา้ นส่อื อปุ กรณ์ สิง่ อาำ นวยความสะดวก 1. ห้องเรียนไมเ่ พียงพอ ไม่เหมาะกับการเรยี นแบบกลุ่มย่อย 2. จาำ นวนหนงั สือในหอ้ งสมดุ มไี ม่เพยี งพอกับจำานวนนักศกึ ษา 3. มีจาำ นวนฐานขอ้ มูลทีใ่ ช้ในการคน้ ควา้ ไมเ่ พยี งพอ เช่น คอมพิวเตอร์ 4. โสตทศั นปู กรณ์ สอ่ื มจี าำ กดั ไมเ่ พยี งพอ เชน่ projector, overhead, visual, presentation,CAI มนี อ้ ย VDO บางเรอ่ื งอาจจะไมท่ นั สมยั เปน็ ตน้ สาำ หรบั ในประเทศไทยการสอนโดยใชร้ ปู แบบ PBL ยงั ไมแ่ พรห่ ลาย มมี หาวทิ ยาลยั บางแหง่ ทส่ี ง่ เสรมิ และไดท้ ดลองนาำ ไปใชบ้ า้ งแลว้ เชน่ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สงขลานครนิ ทร์ มหาวทิ ยาลยั วลยั ลกั ษณ์มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแกน่ และมหาวทิ ยาลยั เชยี งใหมไ่ ดม้ กี ารพฒั นารปู แบบ PBL ในการสอนรว่ มกบั ผสู้ อนจากมหาวทิ ยาลยั Stanford และ Vanderbuilt มผี ลงานวจิ ยั และบทความจากประสบการณ์ในการสอนแบบ PBL ของผสู้ อนในโรงเรยี นและมหาวทิ ยาลยั ทง้ั ในและตา่ งประเทศมใี หผ้ สู้ นใจการสอนแบบ PBLไดศ้ กึ ษาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ ประกอบกบั ขอ้ ดี ขอ้ เสยี ของการสอนแบบใชป้ ญั หาเปน็ หลกั ดงั ทไ่ี ดก้ ลา่ วไวข้ า้ งตน้ ผสู้ อนทม่ี คี วามเชอ่ื และตอ้ งการนาำ การสอนแบบPBL ไปใชก้ ส็ ามารถทาำ ไดห้ ากเกดิ ขอ้ สงสยั ไมม่ น่ั ใจ และมคี าำ ถามหลายประการเกย่ี วกบั ผลการเรยี นรโู้ ดยวธิ นี ว้ี า่ เปน็ ไปตามทฤษฎที างการศกึ ษาหรอื ไม่ การนาำ การเรยี นการสอนแบบ PBLมาใชเ้ พอ่ื เนน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาำ คญั ไดจ้ รงิ หรอื ไม่ อาจหาคาำ ตอบไดจ้ ากการสบื คน้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ และจากประสบการณ์ผเู้ ขยี นทไ่ี ดน้ าำ การสอนแบบPBL มาใชเ้ ปน็ เวลาประมาณ 10 ปี วธิ กี ารสอนดงั กลา่ วน้ี ยงั สามารถใชก้ ระตนุ้ การคดิของผเู้ รยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี เพียงแต่ต้องมีนโยบายที่ต้องผลักดันให้มีการสอนแบบPBL เกิดขึ้นได้จริง มีระบบสนับสนุนที่ดีได้แก่อาจารย์ผู้สอนประจำา มีอาจารย์ประจำากลุ่มที่เพียงพอ มผี เู้ ชยี วชาญทค่ี อยเปน็ ทป่ี รกึ ษา
111เมอ่ื มปี ญั หา มกี ารจดั สรรทรพั ยากรทเ่ี กย่ี วขอ้ งใหเ้ พยี งพอไดแ้ ก่ หอ้ งเรยี นกลมุ่ ยอ่ ย แหลง่ การเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ บคุ ลากรแหลง่ การเรยี นรทู้ เ่ี ปน็ สอ่ื งบประมาณตามความเหมาะสมและความจาำ เปน็ และหวั ใจสาำ คญั ของความสาำ เรจ็ จะเกดิขน้ึ ไดน้ น้ั ครผู สู้ อนตอ้ งเอาชนะอปุ สรรคทกุ ๆอยา่ งทเ่ี กดิ ขน้ึ ใหไ้ ด้ ไมเ่ กดิ ความทอ้ ถอย พรอ้ มทจ่ี ะแกไ้ ขปญั หาท่ีเกดิ ขน้ึ ทกุ รปู แบบ เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั ประโยชน์ อยากใหค้ รผู สู้ อนทกุ ทา่ นไดน้ าำ แนวการสอนดงั กลา่ วไปทดลองใช้เพอ่ื การจดั การเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สาำ คญัรายการอ้างอิงจริ าจันทร์ คณฑา และ ระพพี รรณ วบิ ลู ยว์ ฒั นกิจ. (2550). ความพงึ พอใจต่อการเรยี นการสอน โดยใช้ปัญหา เปน็ หลกั ของนักศกึ ษา วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สวรรค์ประชารักษ.์ วารสารวทิ ยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี สวรรคป์ ระชารกั ษ์ นครสวรรค์ , 47( 2) (มกราคม – มถิ ุนายน), 6-7.ทองจนั ทร์ หงสล์ ดารมภ.์ (2538). การเรยี นการสอนแบบตวิ เตอรเ์ รยี นกลมุ่ ยอ่ ย. กรงุ เทพฯ : คณะแพทยศ์ าสตร.์ทิศนา แขมมณ.ี (2550). ศาสตร์การสอน : องค์ความรเู้ พอื่ การจัดกระบวนการเรยี นรทู้ ี่มปี ระสทิ ธิภาพ. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 5. กรุงเทพฯ : สำานกั พิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั .วงพกั ตร์ พู่พันธศ์ รี. (2532). จิตวทิ ยาพฒั นาการและการศกึ ษา. พิมพ์ครง้ั ท่ี 7. กรงุ เทพฯ : หา้ งหุน้ ส่วนโรง พิมพอ์ กั ษรไทย.วิภาภรณ์ บญุ ทา. (2541). การศกึ ษาสภาพการจดั การเรยี นการสอนโดยใชป้ ญั หาเปน็ หลกั ในวทิ ยาลยั พยาบาล สงั กดั กระทรวงสาธารณสขุ . วทิ ยานพิ นธ์หลักสูตรปริญญาพยาบาลศาสตรบณั ฑติ สาขาวิชาการ พยาบาลศึกษา บณั ฑิตวิทยาลยั จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย.ศริ พิ นั ธ์ุ ศริ พิ นั ธ์ุ และวนิ กี าญจน์ คงสวุ รรณ. (2546) ความสามารถในการคดิ วจิ ารณญานของนกั ศกึ ษาพยาบาล ทีเ่ รยี นโดยวธิ กี ารจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเปน็ หลัก. รายงานการวิจยั วิทยาลยั พยาบาล บรมราชชนนี นราธวิ าส. นราธวิ าส.สภุ าวดี ดอนเมอื ง. (2544 ). ประสิทธิผลการเรียนการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นหลกั วิชาเคหพยาบาลโรงเรียน อายรุ เวท. กรงุ เทพฯ: วิทยานพิ นธ์หลักสตู ร ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต (สาธารณสขุ ศาสตร)์ สาขาวชิ าเอกสขุ ศกึ ษาและพฤติกรรมศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวิทยาลยั มหดิ ล.เสรมิ ศรี เวชชะ และทศั นยี ์ เกรกิ กลุ ธร. (2544). เจตคตแิ ละสมรรถนะในการจดั การเรยี นการสอนแบบใชป้ ญั หา เปน็ หลกั ของอาจารยพ์ ยาบาล วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ในเขตจงั หวดั สระบรุ .ี สระบรุ ี : วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สระบรุ .ีสำานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ. (2545). พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหง่ ชาติฉบับที่ 2 (แก้ไข) พ.ศ. 2545. สาำ นักนายกรฐั มนตรี พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแห่งชาต.ิ กรุงเทพฯ.
112Bene,V.D. (2000). Problem-based Learning [On-line] . musc.edu/MED/confM3PC-folder/cofM- Pcurricurum.html.Duch, Babera J. (1995). About teaching (On -line) Available from: http://www.ude.edu/ Pbl/ cte/Jan 95-what.htm [2010May18]Duch, Babera J. and other. (2001). The Power of Problem – based Learning. Sterling Virginia : a Stylus. Publishing LLC. P. 71.Woods (1985). Problem-based learning and problem solving. , AUBEA conference, University of Technology Sydney, New South Wales.
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: