ท่องโลกประวัติศาสตร์ การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ Renaissance
หนั งสืออิเล็กทรอนิ กส์ เริ่อง ท่องโลกประวัติศาสตร์ การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ จัดทำโดย นายกฤษกร ศิริชล เลขที่ 15 นางสาวบัณฑิตา เอี่ยมสำอางค์ เลขที่ 37 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 เสนอ ครูแววดาว เลิกนุช รหัสวิชา ส33104 รายวิชาประวัติศาสตร์สากล เทอม 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม
การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ (RENAISSANCE) เกิดในช่วงเวลาระหว่างคริสต์ ศตวรรษที่ 14-16 คือ ปลายสมัยกลางถึงต้นสมัยใหม่ ถือว่าเป็นจุดเชื่อมต่อ (TRANSITIONAL PERIOD) ของ ประวัติศาสตร์สองยุค การฟื้ นฟูศิลปวิทยา การเริ่มขึ้นที่นครรัฐต่างๆ บนคาบสมุทรอิตาลี ซึ่งมีความ มั่งคั่งและร่ำรวยจาก การค้าขาย ต่อมาจึงแพร่หลายไปสู่บริเวณอื่นๆ ในยุโรป คำว่า RENAISSANCE แปลว่า เกิดใหม่ (REBIRTH) หมายถึง การนำเอา ศิลปวิทยาการของ กรีกและโรมันมาศึกษาใหม่ ทำให้ศิลปวิทยาการกรีก- โรมันเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง เป็นสมัยที่ ชาวยุโรปเกิดความกระตือรือร้น สนใจอารยธรรมกรีก-โรมัน จึงถือว่าเป็นยุคเจริญรุ่งเรืองที่ ชาวยุโรปมีสิทธิ และเสรีภาพ ช่วงเวลานี้จึงถือว่าเป็นขบวนการขั้นสุดท้ายที่จะปลดปล่อยยุโรป จาก สังคมในยุคกลางที่เคยถูกจำกัดโดยกฏเกณฑ์และข้อบังคับของคริสต์ ศาสนาสาเหตุและความเป็นมาของการฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ สาเหตุและความเป็นมาของการฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ มีดังนี้ 1. การขยายตัวทางการค้า ทำให้พ่อค้าชาวยุโรปและบรรดาเจ้าผู้ครองนคร ในนครรัฐ อิตาลีมีความมั่งคั่งขึ้น เช่น เมืองฟลอเรนซ์ เมืองมิลาน หันมาสนใจ ศิลปะและวิทยาการความ เจริญในด้านต่างๆ ประกอบกับที่ตั้งของนครรัฐใน อิตาลีเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันตะวันตก มาก่อน ทำให้นักปราชญ์ และศิลปินต่างๆ ในอิตาลีจึงให้ความสนใจศิลปะและวิทยาการของโรมัน 2. ความเจริญทางเศรษฐกิจและการเกิดรัฐชาติในปลายยุคกลาง ทำให้ เกิดการ เปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งด้านองค์กรทางการเมือง องค์กรทาง เศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ความรู้ความ สามารถมาบริหารจัดการ แต่การศึกษาแบบ เดิมเน้นปรัชญาทางศาสนาและสังคมในระบบฟิวดัล จึงไม่สามารถตอบสนอง ความต้องการของสังคมได้ ดังนั้นนักปราชญ์สาขาต่างๆ จึงหันมาศึกษา อารยธรรมกรีกและโรมัน เช่น นักกฎหมายศึกษากฎหมายโรมันโบราณเพื่อนำ มาใช้พิพากษาคดี ทางการค้า นักรัฐศาสตร์ศึกษาตำราทางการเมือง เพื่อนำมา ใช้ในการทูตและความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ รวมทั้งนักประวัติศาสตร์ นัก วิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ก็ค้นหาความจริงและสนใจ ศึกษาอารยธรรม กรีก-โรมันเช่นกัน เป็นต้น
3. ทัศนคติของชาวยุโรปในช่วงปลายสมัยกลางต่อการดำเนินชีวิต เปลี่ยนแปลงไป จากเดิม จากการที่เคร่งครัดต่อคำสั่งสอนทางคริสต์ศาสนา มุ่งแสวงหาความสุขในโลกหน้า ใฝ่ใจ ที่จะหาทางพ้นจากบาป และปฏิบัติทุก อย่างเพื่อเสริมสร้างกุศลให้แก่ตนเอง ได้เปลี่ยนมาเป็นการ มองโลกในแง่ดี และเบื่อหน่ายกับระเบียบสังคมที่เข้มงวดกวดขันของคริสตจักร รวมทั้งมีอคติ ต่อ การกระทำมิชอบของพวกพระ จึงหันไปสนใจผลงานสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ของมนุษยชาติ และเห็น ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาชีวิตตนเองให้ดีและมีคุณค่า ขึ้นได้ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นที่มาของแนวคิด แบบมนุษยนิยม (HUMANISM) ที่สนใจโลกปัจจุบันมากกว่าหนทางมุ่งหน้ าไปสู่สวรรค์ดังเช่นเคย 4. การล่มสลายของจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือจักรวรรดิโรมันตะวันออก เพราะถูกพวก มุสลิมเติร์กยึดครองใน ค.ศ. 1453 ทำให้วิทยาการแขนงต่างๆ ที่จักรวรรดิไบแซนไทน์สืบทอดไว้ หลั่งไหลคืนสู่ยุโรปตะวันตก ความเจริญในสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ การฟื้ นฟูศิลปวิทยาการเป็นการศึกษาอารยธรรมกรีก-โรมัน ทั้งด้านวรรณกรรม ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และวิทยาการด้านต่างๆ โดยให้ความสำคัญของมนุษย์กับ การดำเนิน- ชีวิตในโลกปัจจุบัน ที่เรียกว่า มนุษยนิยม (HUMANISM) โดยผู้ที่มีความ คิดความเชื่อเช่นนี้เรียก ตนเองว่า นักมนุษยนิยม (HUMANISTS) ซึ่งได้พยายาม ปลดเปลื้องตนเองจากการครอบงำของ คริสตจักรและระบบฟิวดัล ลักษณะที่ให้ ความสำคัญของความเจริญในสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ คือ ถึงแม้จะเป็นความสนใจ ศึกษาความรู้จากอารยธรรมกรีก-โรมัน แต่มิใช่การลอกเลียนแบบ จุดมุ่งหมาย สำคัญ คือ การศึกษาความรู้เพื่อประโยชน์ต่อสังคมและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา ผลงานสำคัญ ได้แก่ 1. วรรณคดีประเภทคลาสสิก นักมนุษยนิยมที่กระตุ้น จินตนาการของชาว ยุโรปให้มาสนใจงานวรรณคดีและปรัชญา ได้รับการ ยกย่องว่าเป็นบิดาแห่ง มนุษยนิยม คือ ฟรานเซสโก เพทราร์ก (FRANCESCO PETRARCA : ค.ศ. 1304- 1374) ชาวอิตาลี ผู้ซึ่งชี้ความ งดงามของภาษาละตินและการใช้ภาษาละตินให้ถูก ต้อง ผู้ที่สนใจและ นิยมงานเขียนวรรณคดีประเภทคลาสสิกจะค้นคว้าศึกษา งานของ ปราชญ์สมัยโรมันตามห้องสมุดของวัดและโบสถ์วิหารในยุโรป แล้วนำ มาคัดลอกรวมทั้งนำวรรณคดีและแนวคิดของปรัชญากรีกมาแปลเป็น ภาษา ละตินเผยแพร่ทั่วไป นอกจากนี้ยังมีผลงานของนิคโคโล มา- เคียเวลลี (NICCOLO MACHIAVELLI : ค.ศ. 1469-1527) เรื่องเจ้าผู้ครอง นคร (THE PRINCE)
กล่าวถึงลักษณะการเป็นผู้ปกครองรัฐที่ดี และ เซอร์ธอมัส มอร์ (SIR THOMAS MORE : ค.ศ. 1478-1536) เขียนเรื่อง ยูโทเปีย (UTOPIA) กล่าวถึงเมืองใน อุดมคติที่ปราศจากความเลวร้าย ซึ่งผลงานของนักมนุษยนิยมเหล่านี้นำไปสู่ การต่อต้านการปกครองและ วิธีปฏิบัติของคริสตจักรที่ขัดต่อคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งส่งผลทำให้เกิดการ ปฏิรูปศาสนาขึ้นใน ค.ศ. 1517 ส่วนงานวรรณกรรมที่ เป็นบทละคร นักประพันธ์ที่สำคัญ คือ วิลเลียม เช็กสเปียร์ (WILLIAM SHAKESPEARE: ค.ศ. 1564-1616) ซึ่งเขียนบทละครที่มีชื่อเสียง คือ โรมิโอและ จูเลียต (ROMEO AND JULIET) และเวนิสวาณิช (THE MARCHANT OF VENICE) ยูโทเปีย (UTOPIA) เวนิ สวาณิช (THE MARCHANT OF VENICE) โรมิโอและจูเลียต (ROMEO AND JULIET)
2. ศิลปกรรม ในยุคกลางศิลปกรรมเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคริสต์ศาสนา โดยเฉพาะ ทำให้ ไม่สามารถถ่ายทอดจินตนาการอย่างเสรีได้ ผลงานส่วน ใหญ่จึงขาดชีวิตชีวา แต่ศิลปกรรมในสมัย ฟื้ นฟูศิลปวิทยานิยมงานศิลปะของ กรีก-โรมันที่เป็นธรรมชาติ จึงให้ความสนใจความสวยงามใน สรีระของมนุษย์ มิติของภาพ สี และแสงในงานประติมากรรมและจิตรกรรมให้สมจริง สมดุล และกลมกลืนสอดคล้องมากขึ้น ศิลปินที่สำคัญ เช่น – ไมเคิลแอนเจโล บูโอนาร์โรตี (MICHELANGELO BUONARROTI : ค.ศ. 1475-1564) เป็นศิลปินที่มีผลงานทั้งด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และ สถาปัตยกรรม ผลงานประติมากรรมที่ สำคัญและมีชื่อเสียง คือ รูปสลักเดวิด (DAVID) เป็นชายหนุ่มเปลือยกาย และปิเอตา (PIETA) เป็นรูปสลักพระมารดา กำลังประคองพระเยซูในอ้อมพระกร ส่วน ผลงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียง คือ จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนไว้บน เพดานและฝาผนังของโบสถ์ซีสติน (SISTINE CHAPEL) ในมหาวิ หารเซนต์ปีเตอร์ ที่กรุงโรม ที่มีลักษณะงดงามมาก รูปแกะสลักเดวิดประติมากรรมที่มีชื่อเสียงของ ไมเคิลแอนเจโล
– เลโอนาร์โด ดา วินชี (LEONARDO DA VINCI : ค.ศ. 1452-1519) เป็น ศิลปินที่มี ผลงานเป็นเลิศในสาขาต่างๆ ภาพเขียนที่มีชื่อเสียง คือ ภาพอาหาร มื้อสุดท้าย (THE LAST SUPPER) ซึ่งเป็นภาพพระเยซูกับสาวกนั่งที่โต๊ะอาหาร ก่อนที่พระเยซูจะถูกนำไปตรึงไม้กางเขน และภาพโมนาลิซ่า (MONALISA) เป็น ภาพหญิงสาวที่มีรอยยิ้มปริศนากับบรรยากาศของธรรมชาติ ภาพวาดโมนาลิซ่า งานจิตรกรรมของเลโอนาร์โด ดา วินชี ภาพวาดอาหารค่ำมื้อสุดท้าย งานจิตรกรรมของเลโอนาร์โด ดา วินชี
– อเลสซานโดร ดี มาริอาโน ดี วานนี ฟิลิเปปิ หรือ ซานโดร บอตติเชลลี หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า บอตติเชลลี (อิตาลี: Alessandro di Mariano di Vanni Filipepi หรือ Sandro Botticelli เรียกย่อว่า Il Botticello; 1 มีนาคม ค.ศ. 1444 (พ.ศ. 1987/88) - 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1510(พ.ศ. 2053) เป็นจิตรกรชาวอิตาลี แห่งตระกูลการเขียนแบบฟลอเรนซ์ระหว่างยุคเรอเนสซองซ์ตอนต้น เพียงไม่ ถึงร้อยปึต่อมาวิธีการเขียนตระกูลนี้ (ภายใต้การอุปถัมภ์ของลอเรนโซ เดอ เมดิชิ) ก็ถูกจัดโดยจอร์โจ วาซารีให้เป็น “ยุคทอง” ในบทนำของหนังสือ “ชีวิต ศิลปิน” ของชีวประวัติของบอตติเชลลี ชื่อเสียงของบอตติเชลลีได้รับความเสีย หายหลังจากที่เสียชีวิตไปแล้วมาจนกระทั่งปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แต่ ตั้งแต่บัดนั้ นเป็นต้นมาบอตติเชลลีก็ได้รับความนั บถือว่าเป็นจิตรกรฝีมือดี ของสมัยเรอเนสซองซ์ตอนต้นของอิตาลีหรือสมัยที่เรียกกันในภาษาอิตาลีว่า “ควัตโตรเชนโต” ผลงานที่เป็นที่รู้จักกันว่าเป็นงานชิ้นเอกของงานเขียนแบบ ฟลอเรนซ์ก็ได้แก่ “กำเนิดวีนัส” และ “ฤดูใบไม้ผลิ” ภาพวาดฤดูใบไม้ผลิ งานจิตรกรรมของบอตติเชลลี ภาพวาดกำเนิ ดวีนั ส งานจิตรกรรมของบอตติเชลลี
– ราฟาเอล (RAPHAEL : ค.ศ. 1483-1520) เป็นจิตรกรที่วาดภาพเหมือนจริง ภาพที่มี ชื่อเสียง คือ ภาพพระมารดาและพระบุตร พร้อมด้วยนักบุญจอห์น (MADONNA AND CHILD WITH ST. JOHN) ภาพวาดพระมารดาและพระบุตร งานจิตรกรรมของราฟาเอล 3. ด้านวิทยาการความเจริญอื่นๆ ได้แก่ – ด้านดาราศาสตร์ เป็นสาขาวิชาที่ชาวยุโรปสนใจกันมากในช่วงเวลานี้ นัก ดาราศาสตร์ที่สำคัญ คือ คอเปอร์นิคัส (ค.ศ. 1473-1543) ได้เสนอทฤษฎีที่ ขัดแย้งกับคำสอนของ คริสต์ศาสนา โดยระบุว่าโลกไม่ได้แบนและไม่ได้เป็น ศูนย์กลางของจักรวาล แต่เป็นบริวารที่โคจร รอบดวงอาทิตย์ นิ โคเลาส์ โคเปอร์นิ คัส
–ด้านการพิมพ์ ในช่วงสมัยนี้ ได้มีการคิดค้นการพิมพ์ที่ใช้วิธีการเรียงตัว อักษรได้ สำเร็จเป็นครั้งแรก โดยโยฮัน กูเตนเบิร์ก ( JOHANNES GUTENBURG : ค.ศ. 1400-1468) ชาว เมืองไมนซ์ (MAINZ) ในเยอรมนี ทำให้ ราคาหนั งสือถูกลงและเผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวาง โยฮันเนิ ส กูเทินแบร์ค ผลของการฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ ในสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ ศิลปกรรมและวิทยาการต่างๆ ได้เจริญก้าวหน้า มากขึ้นส่งผล ให้คนยุโรปมีลักษณะ ดังนี้ 1. ความสนใจในโลกปัจจุบัน ในสมัยฟื้ นฟูศิลปวิทยาการ ชาวยุโรปยัง คงนับถือศรัทธาใน พระเจ้า แต่จากการได้รับอิทธิพลจากแนวคิดแบบมนุษย นิยม ทำให้ชาวยุโรปมีแนวคิดในการ ดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันให้ดีและสร้าง สิ่งต่างๆ เพื่อความสุขและความมั่นคงให้แก่ตน ทั้งหมดนี้ สะท้อนในงาน ศิลปกรรมต่างๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อนสนองความพึงพอใจของตนเอง เช่น สร้าง บ้าน เรือนอย่างวิจิตรสวยงาม การมีรูปปั้ นประดับอาคารบ้านเรือน การวาด ภาพเหมือนของมนุษย์ เป็นต้น
2. ความต้องการแสวงหาความรู้ การที่มนุษย์ต้องการหาความรู้และความ สะดวกสบาย ให้แก่ชีวิต ทำให้ต้องมีการคิดสร้างสรรค์ผลงานและวิทยาการ ต่างๆ ดังนั้นมนุษย์ในสมัยฟื้ นฟู ศิลปวิทยาการ จึงมีการส่งเสริมและ สนับสนุนการศึกษา การคิคค้น การทดลอง การพิพากษ์ วิจารณ์อย่างมี เหตุผล เป็นผลให้วิทยาการด้านต่างๆ พัฒนามากขึ้น สภาพสังคมของมนุษย์ ในสมัย นี้คือการตื่นตัวในการค้นหาความจริงของโลก ทำให้มนุษย์ต้องการ แสวงหาความรู้และสำรวจดิน แดนต่างๆ อันนำไปสู่การปฏิรูปศาสนา การ สำรวจทางทะเล และการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ใน เวลาต่อมา สแกนเพื่อทำแบบทดสอบ
Search
Read the Text Version
- 1 - 11
Pages: