คมู่ ือมนษุ ย์ เร่อื งท่ี ๖ คนเราติดอะไร เบญจขนั ธ์
คนเราตดิ อะไร (เบญจขนั ธ)์ อะไรเป็นท่ีตงั้ ท่ียึด ท่ีเกาะเก่ียวของอปุ าทาน ท่ีตั้งของอุปาทาน ก็คือ โลกนีเ้ อง คาว่า “โลก ในทางพระพทุ ธศาสนามีความหมายกวา้ งกว่า ความหมายตามธรรมดา คือหมายถึงสงิ่ ทงั้ ปวง ทงั้ สิน้ กนั ทีเดยี ว ไมว่ ่า จะเก่ียวกบั มนษุ ย์ เทวดา พรหม สตั วเ์ ดรจั ฉาน สตั วน์ รก ปี ศาจ เปรต อสรุ กาย อะไรก็สดุ แทแ้ ตท่ ่ีจะมี รวมแลว้ ก็เรยี กวา่ “โลก”
การรู้จักโลก มคี วามยากอยู่ตรงทวี่ ่า มันมคี วามลกึ ลับ เป็ นชัน้ ๆ เรารู้จักกันแตช่ ัน้ นอกๆ ทเ่ี รียกว่า “ชนสมมต”ิ นีห้ มายถงึ ตามสตปิ ัญญาของคนท่วั ๆไป พระพทุ ธศาสนา จงึ มี การสอนใหด้ ูโลกกนั หลายๆ ชัน้ ทา่ นมวี ิธีแนะใหด้ ูการจาแนก โลกออกเป็ นฝ่ ายวัตถุ ซงึ่ เรียกกนั ว่า รูปธรรม อยา่ งหน่ึง ฝ่ ายจติ ใจ เรียกว่า นามธรรม อกี ฝ่ ายหน่ึง ยงิ่ กว่านั้นทา่ นไดแ้ บง่ ส่วนทเี่ ป็ นนามธรรมหรือจติ ใจนีอ้ อกเป็ น ๔ ส่วน เมอ่ื เอารูปธรรม ๑ ส่วน มารวมเข้ากับนามธรรม กไ็ ด้เป็ น ๕ ส่วน ทา่ นเลย เรียกว่า เบญจขันธห์ รือขันธห์ า้ แปลว่า ส่วน ๕ ส่วน ประกอบ กันขึน้ เป็ นโลก คอื สัตว์ เป็ นคนเราน่ีเอง การดโู ลก กห็ มายถงึ การดสู ัตวโ์ ลก ซง่ึ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กค็ อื คน เพราะปัญหาอยทู่ เี่ ร่ืองของคน แล้วเผอญิ ส่วน ๕ ส่วน นีก้ พ็ ร้อมอย่ใู นคน ร่างกาย เป็ นวัตถุทเ่ี รียกว่า รูป หรือรูปขันธ์ (ส่วนทเ่ี ป็ นรูป) ส่วนทเ่ี ป็ นจติ ใจอกี .
“เวทนา” “สัญญา” “สังขาร” “วญิ ญาณ”
“เวทนา” ส่วนท่ี ๑ เรียกวา่ “เวทนา” หมายถงึ ความรู้สึก ๓ ประการ คอื สุขหรือพอใจอยา่ งหน่ึง ทุกขห์ รือไม่พอใจอย่างหน่ึง อกี อย่างหนึ่ง อยใู่ นลักษณะทไ่ี ม่อาจจะเรียกไดว้ ่า สุขหรือทุกข์ คอื เป็ นเรื่องทยี่ งั เฉยๆ อยู่ แตก่ ็เป็ นความรู้สึกเหมอื นกัน ความรู้สึกนีม้ ปี ระจาอยู่ในตวั เราเป็ นปกติ วันหนึ่งๆ ยอ่ มเตม็ ไปดว้ ยความรู้สึก ทา่ นจงึ ถอื ว่า ส่วนหน่ึงทป่ี ระกอบกันเป็ นคน และเรียกส่วนนีว้ ่า เวทนา หรือ เวทนาขันธ์
“สัญญา” ส่วนที่ ๒ เรียกว่า “สัญญา” แปลว่า รู้ตวั เป็ นความรู้สึกตวั อยเู่ หมอื นอย่างว่าเรา กาลังตน่ื อยู่ คอื ไม่หลับ ไม่สลบ ไม่ตาย หรือเรียกว่า มีสตสิ มปฤดี โดยท่วั ๆ ไปมักจะ อธิบายกันว่า เป็ นความจาไดห้ มายรู้ ก็ถกู เหมือนกัน เพราะว่า เรายงั ไม่เมา ไม่สลบ ไม่หลับ ไม่ตาย ดงั ทก่ี ล่าวแล้ว เมื่อ กระทบอะไรทางตา หู จมูก ลิน้ กาย กร็ ู้สึกหรือจาไดว้ า เป็ น อะไร เช่น รู้ว่า เขียว แดง สั้น ยาว คน สัตว์ ฯลฯ ตาม แตท่ จี่ ะจาได้ น่ันแหละเป็ นความรู้สึกของสมปฤดี หรือ “สัญญา”
“สังขาร” ส่วนที่ ๓ เรียกว่า “สังขาร” มคี วามหมายมากจน มันยุ่งไปหมด เราถกู ถงึ สังขารทเ่ี ป็ นส่วนของนามธรรม นีก้ ันก่อน แปลว่า “ปรุง” คอื กริ ิยาอาการของสิ่งทเ่ี ป็ นอยูใ่ น คนหน่ึงๆ ไดแ้ ก่ การคดิ หรือความคดิ เช่นคดิ จะทา คดิ จะพดู คดิ อย่างนั้นอย่างนี้ คดิ ดี คดิ เลว คดิ ในทางไหนก็จัด เป็ นความคดิ ทงั้ นั้น ความรู้สึกทเี่ ป็ นความคดิ พลุ่งขนึ้ มาจากการปรุงแตง่ ภายในใจนีเ้ รียกว่าสังขาร คาว่า สังขาร ในทอ่ี นื่ นั้น หมายถงึ บุญกุศลทปี่ รุงแตง่ คนใหเ้ กดิ ก็มี หมายถงึ ร่างกายหรือโครงร่างทม่ี ีจติ ใจครองดงั นีก้ ม็ ี มีความหมายหลายทาง แตต่ รงกันโดยเหตุทมี่ ันมีความหมายไปในทาง การปรุงแตง่ ประกอบกันขนึ้ มา
“วญิ ญาณ” ส่วนท่ี ๔ เรียกวา่ “วิญญาณ” หมายถงึ ตวั จติ ทท่ี าหน้าท่ี รู้สึกทต่ี า ทห่ี ู ทจ่ี มูก ทล่ี ิน้ และทก่ี ายท่วั ๆไป ตลอดถงึ ทใ่ี จของตนเองดว้ ยไม่ใช่เจตภตู อย่างทคี่ นส่วนมากเข้าใจกัน
เบญจขนั ธ์ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ไม่เหน็ มสี ่วนไหนทเี่ ป็ นตัวตนของตนดงั นีแ้ ล้วกจ็ ะถอนความเข้าใจผิดเรื่องตัวตน เสยี ได้ ว่าไม่ใช่เป็ นตวั ตนของใครเลยถ้าไมเ่ กดิ ความอยาก ไม่เกดิ ความรัก หรือ เกลยี ดในสงิ่ ทัง้ หลายจงึ จะเรียกว่าเนแจ้งในสง่ิ ทงั้ ปวงว่าไม่ใช่ตัวตนการนึกคดิ ตามเหตุผลกพ็ อจะทาใหเ้ ชอ่ื ว่าไม่ใช่ตัวตนได้แต่มันกเ็ ป็ นเพยี งความเชอ่ื ไม่เป็ น การรู้แจ้งชนิดทจี่ ะตัดความยดึ ถอื ว่าเป็ นตวั เป็ นตนไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด เหตุนีจ้ งึ ตอ้ ง ศกึ ษาพจิ ารณกันตามหลักแหง่ สิกขา ๓ ประการ จงึ จะถงึ ขนาดทจี่ ะถอนการ ยดึ ถอื เรื่องนีไ้ ด้
หน้าทอี่ ันพงึ จะปฏบิ ัตใิ นเรื่องเบญจขนั ธ์ คอื ต้องทาให้ความรู้แจ้งเกิดขึน้ เพอ่ื ขจัดความโง่เสยี แล้วกจ็ ะเหน็ เองว่าไม่มสี ่วนไหนทเี่ ป็ น ตวั เป็ นตนอันน่ายดึ ถอื เม่อื นั้นการยดึ ถอื ก็แตกสลายลง ฉะนั้น เราจาเป็ นต้องศึกษาเรื่องเบญจขันธ์ ซ่ึงเป็ นที่ตั้งแห่งความหลงว่า เป็ นตัวตนนี้ให้ละเอียด พระพุทธเจ้าทรงสอนเร่ืองนี้มากกว่าเร่ือง ทั้งหลายมีใจความสรุ ปสั้นๆว่า “เบญจขันธ์ เป็ นอนัตตา” และถือว่าเป็ นคาสอนท่ีเป็ นตัว พระพุทธศาสนาแท้ เป็ นใจความสาคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะมองกันในแง่ปรัชญาหรือ วทิ ยาศาสตร์ หรือในฐานะเป็ นศาสนากต็ าม ถา้ เรารู้ตามทเ่ี ป็ นจริงคอื ความยดึ ถอื ด้วยการเข้าใจผิดก็ จะหายไปความอยากทุกชนิดจะไม่มที างเกดิ และความทุกขก์ จ็ ะไม่มี
หน้าทอ่ี ันจะพงึ ปฏบิ ตั ใิ นเร่ืองเบญจขันธ์ ตอ้ งทาใหค้ วามรู้แจ้งเกดิ ขนึ้ เพอื่ ขจัดความโง่เสยี แล้วกจ็ ะเหน็ เองว่าไม่มี ส่วนไหนท่ีเป็ นตัวเป็ นอันอันน่ายึดถือ เม่ือนั้นการยึดถือก็แตกสลายลง ฉะนั้น เรา จาเป็ นต้องศึกษาเรื่องเบญจขันธซ์ ่ึงเป็ นที่ตัง้ แห่งความหลงว่าเป็ นตัวตนนีใ้ ห้ละเอียด พระพุทธเจ้าทรงสอนเร่ืองนีม้ ากกว่าเรื่องทงั้ หลาย มใี จความสรุปนั้นๆ ว่า ”เบญจขันธอ์ นัตตา” และถอื ว่า เป็ นคาสอนทเี่ ป็ นตัวพระพุทธศาสนา เป็ นใจความสาคัญของพระพุทธศาสนาซง่ึ จะมองกันในแง่ปรัชญา หรือวิทยาศาสตร์ หรือในฐานะเป็ นศาสนาก็ตามถ้าเรารู้ตามท่ีเป็ นจริงความยึดถือด้วยการเข้าใจผิดก็ จะหายไปความอยากทกุ ชนิดจะไม่มที างเกดิ และความทุกขก์ จ็ ะไม่มี
สรปุ สรุปความว่า สง่ิ ทงั้ ปลายทัง้ ปวงในโลกนี้ รวมอยใู่ นคาว่า “เบญจขนั ธ”์ คอื รูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แต่ละส่วนเป็ นมายา ไร้ตัวตน แต่กม็ อี านาจล่อให้เกดิ ความ ยดึ ถอื จนคนท่วั ไปอยากมี อยากเป็ นอยากไม่ใหม้ ี อยากไม่ให้เป็ นซงึ่ ล้วนแต่ทาให้เกดิ ความทกุ ขไ์ ม่ อยากเปิ ดเผยกอ็ ย่างเร้นลับทุกคนจะต้องอาศัยข้อปฏบิ ตั ทิ เ่ี รียกว่า ไตรสกิ ขา (ศีล สมาธิ ปัญญา) ถอนความหลงตดิ ในเบญจขันธเ์ สยี ให้สนิ้ เชงิ จงึ จะไม่ตกอยู่ใตอ้ านาจของขันธท์ ัง้ ห้า แล้วจะไม่มี ความทุกขโ์ ลกจะอยู่ในลักษณะทอี่ านวยความผาสุกใจใหแ้ ก่ผู้นั้นไม่ตอ้ งร้อนใจเพราะสงิ่ ใดๆเป็ นผู้ มจี ติ ใจอยหู่ นือสง่ิ ทัง้ ปวง ไปจนตลอดชวี ติ นีเ้ ป็ นผลของการรู้แจง้ แทงตลอดในเร่ืองเบญจขันธ์ ตามคาสอนของพระพุทธเจ้า
จดั ทาโดยกลมุ่ กะทิ
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: