Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore อาหารเช้า

อาหารเช้า

Published by saiyibo, 2020-08-30 10:51:25

Description: อาหารเช้า

Search

Read the Text Version

รายงานการศึกษาปัญหาพเิ ศษ เรอ่ื ง พฤติกรรมการรับประทานอาหารเชา้ ของนสิ ิตปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ นาย พภิ พ ทองจันทร์ รหสั นิสิต 5410600967 รายงานน้ีเป็นสว่ นหนง่ึ ของหลักสตู รศกึ ษาศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาสุขศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2558

ก กิตตกิ รรมประกาศ รายงานการศึกษาฉบับนี้ สาเรจ็ ลุล่วงไปได้ด้วยความกรุณาอยา่ งยง่ิ จาก ผศ.ดร.กรณั ฑรตั น์ บุญช่วย ธนาสิทธ์ิ อาจารย์ที่ปรึกษาปัญหาพิเศษ ทไี่ ด้กรณุ าให้คาแนะนา ข้อเสนอแนะท่ีเปน็ ประโยชน์ ตลอดจนการ ตรวจแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ งต่างๆ ผศู้ ึกษาขอกราบขอบพระคุณอย่างสูงไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณผ้เู ชี่ยวชาญทงั้ สามทา่ นเป็นอย่างสูง ที่ให้การตรวจสอบเคร่ืองมือ ไดแ้ ก่ อาจารย์ นนั ท์นภสั เกตน์โกศลั ย์ ดร.อัจฉรยิ ะ เอนก และอาจารย์ ภเู บศร์ นภัทรพิทยาธร ทม่ี ีความอนเุ คราะห์ในการ ตรวจสอบเครือ่ งมือก่อนการสารวจ ขอขอบคุณนิสติ สาขาวชิ าสุขศกึ ษา ภาควิชาพลศกึ ษาคณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขนในการให้ความร่วมมอื ในการตอบแบบสอบถาม เร่อื ง พฤตกิ รรม การรบั ประทานอาหารเชา้ ของนิสติ สาขาสขุ ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์อยา่ งดีย่ิง สุดท้ายนผ้ี ู้ศกึ ษาขอขอบพระคณุ ทกุ ทา่ นที่มิได้เอย่ นาม ณ ทีน่ ี้ ที่ใหค้ วามห่วงใย ชว่ ยเหลอื และให้ กาลังใจจนการศกึ ษาครั้งน้สี าเรจ็ ลุล่วงไปดว้ ยดี คณุ ค่าและคุณประโยชนท์ ีไ่ ด้จากศึกษา ฉบับนี้ ผู้ศึกษาขอมอบ ให้แก่บุพการี คณาจารยผ์ ูป้ ระสทิ ธปิ ระสาทวทิ ยาการ และทุกทา่ นท่ีมีส่วนเกี่ยวข้อง พภิ พ ทองจนั ทร์ พฤษภาคม 2558

ข พิภพ ทองจนั ทร์ 2558. พฤตกิ รรมการรับประทานอาหารเช้าของนิสิตปริญญาตรี สาขาสุขศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. ปริญญาศกึ ษาศาสตรบัณฑติ สาขาวิชาสุขศึกษา, คณะ ศึกษาศาสตร์, มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. อาจารย์ทป่ี รึกษา: ผศ.ดร.กรัณฑรตั น์ บญุ ชว่ ยธนาสทิ ธ์ิ. 39 หนา้ . บทคดั ยอ่ การรายงานการศกึ ษานม้ี ีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื ศึกษาพฤตกิ รรมการรับประทานอาหารเช้าของนิสิตสาขา สขุ ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ เปน็ การศึกษาด้วยรูปแบบการวิจยั เชิงพรรณนา กลุ่มตัวอยา่ ง คอื จานวน 50 คน เก็บรวบรวมข้อมลู โดยแบบสอบถาม วิเคราะหข์ ้อมลู ด้วยสถติ ิเชงิ พรรณนา ได้แก่ ร้อยละ คา่ เฉลีย่ และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นิสิตปริญญาตรี สาขาสขุ ศึกษา ภาควิชาพลศกึ ษาคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์วิทยาเขตบางเขนมีระดับความร้เู รอ่ื งการรบั ประทานอาหารเช้าทม่ี ผี ลกระทบต่อ สุขภาพของนิสิตสาขาวิชาสุขศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ อยู่ในระดับ สงู จานวน 48 คน คิดเป็นร้อยละ 96 รองลงมา คือ ระดับปานกลาง จานวน 42 คน คดิ เป็นร้อยละ 84 และอนั ดบั สาม คือ ระดับต่า จานวน 14 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 28 ตามลาดับ มที ศั คติส่วนมากอยู่ในเกณฑ์ เหน็ ด้วยอย่าย่งิ คือ คะแนนเฉลย่ี ( X ) มคี ่าระหว่าง 2.54 – 3.72 โดยมที ศั นคติที่ถกู ต้อง ในเรื่องการตระหนักถึงความสาคญั ของ รบั ประทานอาหารเช้า สว่ นเร่อื งที่กลุ่มตวั อยา่ งยงั มีทัศนคติทไี่ ม่ถูกต้อง คือเร่ืองของการไม่รโู้ อกาสเสยี่ งของ การไมร่ ับประทานอาหารเช้าของตนเอง และไม่รู้ถงึ ความรุนแรง และทัศนคตใิ นบางเรื่องเก่ยี วกับการ รับประทานอาหารเช้าทุกวนั และพฤตกิ รรมเกยี่ วกบั การรับประทานอาหารเช้าส่วนมากอยใู่ นเกณฑ์ มาก คือ คะแนนเฉลี่ย( X ) มคี ่าระหวา่ ง 2.54 – 3.72 โดยกลมุ่ ตัวอย่างมีการปฏิบัตสิ ่วนมากถูกต้องเกย่ี วกับการ ปอ้ งกันผลกระทบทางกายจากการรบั ประทานอาหารเชา้ แต่ยังมกี ารปฏิบตั ไิ ม่ถกู ต้องคือ ในเร่ืองการ รับประทานเช้าอยา่ งเปน็ ประจา

สารบญั ค กติ ตกิ รรมประกาศ บทคดั ย่อ ก สารบญั ข สารบญั ตาราง ค บทที่ 1 บทนา ง 1 1.1 ความสาคัญและทีม่ าของปญั หา 1 1.2 วัตถปุ ระสงค์ 2 1.3 ประโยชนท์ ่ีคาดว่าจะไดร้ ับ 2 1.4 ขอบเขตการศึกษา 2 1.5 นยิ ามศัพท์ 3 บทท่ี 2 เอกสารและรายงานวจิ ัยท่เี กีย่ วข้อง 4 2.1 แนวคิด และทฤษฎีเกีย่ วกับสขุ ภาพ 4 2.2 ความรูเ้ กย่ี วกับอาหารเชา้ 4 2.3 ประโยชน์ของอาหารเช้า 6 2.4 ความสาคัญของอาหารเช้า 6 2.5 ผลกระทบต่อสขุ ภาพกายจากการไมร่ บั ประทานอาหารเช้า 7 2.6 ปัจจัยท่มี ีผลกระทบต่อสขุ ภาพบรโิ ภคอาหารเช้า 7 งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้อง 8 บทท่ี 3 วธิ ดี าเนินการศกึ ษา 10 3.1 รูปแบบการวิจัย 10 3.2 ประชากรและกล่มุ ตัวอยา่ ง 10

3.3 เครื่องมือในการศึกษา ง 3.4 การสร้างเคร่อื งมือท่ีใช้ในการศึกษา 3.5 การเก็บรวมรวมขอ้ มลู 10 3.6 การวเิ คราะหข์ ้อมลู 13 บทที่ 4 ผลการศกึ ษาและอภิปรายผล 17 4.1 ผลการศึกษา และอภิปรายผล 17 บทท่ี 5 สรุปและขอ้ เสนอแนะ 18 5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา 18 5.2 ข้อเสนอแนะ 25 เอกสารอา้ งองิ 25 ภาคผนวก 26 27 29

สารบัญตาราง จ ตารางท่ี 1 การตรวจสอบเครอ่ื งมือด้าน ความรู้เร่ืองการรบั ประทานอาหารเช้า 14 ตารางท่ี 2 การตรวจสอบเครือ่ งมือด้าน ทัศนคติตอ่ การรบั ประทานอาหารเชา้ 15 ตารางท่ี 3 การตรวจสอบเครือ่ งมือด้าน พฤติกรรมการรับประทานอาหารเชา้ 16 ตารางท่ี 4 แสดงจานวนและค่าร้อยละของขอ้ มลู ทวั่ ไป 18 ตารางที่ 5 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างด้านความรู้เรอ่ื งการรบั ประทานอาหารเชา้ 20 ตารางที่ 6 ผลการแบ่งระดับความรู้เรือ่ งการรับประทานอาหารเช้า 21 ตารางที่ 7 ผลการเปรยี บเทยี บความแตกต่างด้านทัศนคตติ อ่ การรับประทานอาหารเช้า 22 ตารางท่ี 8 ผลการเปรียบเทยี บความแตกต่างด้านการรับประทานอาหารเช้า 23

1 บทท่ี 1 บทนา 1.1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปญั หา อาหารเปน็ ปจั จัยท่สี าคัญอย่างหน่ึงของชวี ิตอาหารที่รบั ประทานเข้าสรู้ า่ งกายนนั้ จะใหป้ ระโยชน์ตอ่ ร่างกายในด้านต่างๆ ได้แก่ การสร้างเสริมทาใหร้ า่ งกายเจริญเติบโต เสรมิ สรา้ ง อวัยวะของรา่ งกายท่ีสึกหรอ ให้พลังงานและความอบอ่นุ แก่ร่างกาย ช่วยควบคุมการทางานของ อวยั วะตา่ งๆ ของร่างกายให้ทาหน้าท่ี ตามปกติ และช่วยให้รา่ งกายมีภูมิตา้ นทานโรค การรับประทานอาหารเพ่อื ให้ได้รบั พลังงานและสารอาหารท่ี เหมาะสมนนั้ ควรรบั ประทานอาหารให้ ครบวนั ละ 3 มื้อ แตใ่ นภาวะเศรษฐกจิ และสังคมในปจั จุบันท่ี เปลย่ี นแปลงไปจากเดมิ เกดิ การเร่งรีบทาให้หลายคนรบั ประทานอาหารไม่ครบ 3 ม้ือ โดยเฉพาะงดเวน้ มื้อเช้า ซึง่ เป็นมือ้ ทมี่ ีความสาคัญเพราะระหว่างการนอนหลบั 8-12 ชั่วโมงร่างกายจะไมไ่ ด้รบั อาหาร ในขณะเดียวกนั การใชส้ ารอาหารตา่ งๆ จะยังดาเนนิ ตอ่ ไป ทาให้ปริมาณสารอาหารตา่ งๆ โดยเฉพาะระดับ นา้ ตาลในเลอื ดลดลง ดงั นัน้ หลงั การนอนจงึ จาเปน็ ต้องได้รับอาหารเพ่ือเพิม่ ระดบั สารอาหารในรา่ งกาย ให้อยู่ ในสภาวะปกติ เพ่ือใหร้ ่างกายพร้อมทีจ่ ะทางานอย่างมีประสิทธภิ าพได้ตลอดวัน นอกจากน้ี การไม่ รับประทานอาหารเช้า ยงั ทาให้ระดับโคเลสเตอรอลเพ่ิมขึ้น และทาให้ฮอร์โมนอนิ ซูลินมีความไวต่อ ปฏิกริ ยิ าลดลง ดงั นัน้ การรับประทานอาหารเชา้ จงึ ชว่ ยลดอัตราเสย่ี งต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน และชว่ ยให้ลดน้าหนกั ได้อีกด้วย กรมอนามยั กระทรวงสาธารณสุขเผยไม่กินอาหารเชา้ อาจเสี่ยงเปน็ โรคเบาหวาน พบพฤติกรรมการ กินอาหารเช้าของกลุม่ วยั ทางาน รอ้ ยละ 59.55 กินอาหารเชา้ เป็นประจา และร้อยละ 24.09 กินอาหารเชา้ เกือบทกุ วนั ในขณะทีเ่ ด็กวัยเรยี นไม่กนิ อาหารเชา้ รอ้ ยละ 30 โดยเฉพาะเด็กนกั เรียนหญิงไม่กนิ อาหารเชา้ ถึงรอ้ ยละ 52 นายแพทย์เจษฎา โชคดารงสขุ อธิบดกี รมอนามยั เปดิ เผยว่าจากผลสารวจพฤติกรรมการกนิ อาหารเชา้ โดยสานักโภชนาการ กรมอนามัยในปี 2555 จานวน 220 ตัวอย่าง พบวา่ ร้อยละ 88.2 เป็นกลุ่ม วยั ทางานอายรุ ะหวา่ ง 20 -60 ปี ซ่ึงกนิ อาหารเชา้ เปน็ ประจา ร้อยละ 59.55 กนิ อาหารเช้าเกือบทุกวนั ร้อย ละ 24.09 เมือ่ เปรยี บเทยี บระหวา่ งเพศชายและเพศหญงิ พบว่าเพศชายกินอาหารเชา้ ทุกวนั มากกว่าเพศหญิง คอื รอ้ ยละ 64ในขณะท่เี พศหญงิ ร้อยละ 57.24 และส่วนใหญก่ ินขา้ วเป็นอาหารเช้าเปน็ ประจาร้อยละ 50.45 และด่มื ชา กาแฟ แทนข้าว ร้อยละ 25 รองลงมา คอื นมจืดพร่องมันเนย ร้อยละ 13.64 สาเหตสุ ว่ นหนึ่งที่กลุ่ม วัยทางานไม่ได้รับประทานอาหารเชา้ คอื การดาเนินชวี ติ ที่เร่งรบี สง่ ผลใหก้ ารเริม่ ตน้ ระบบเผาผลาญของ ร่างกายชา้ ลง รา่ งกายจงึ รู้สึกหิวตลอดเวลา และกนิ อาหารในมอื้ ถัดไปมากยิ่งขึน้ กินจบุ กินจิบ และมกั เลือก เมนอู าหารที่ให้พลังงานสูงทาใหน้ ้าหนกั ตัวเพ่ิมขึน้

2 1.2 วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1. เพ่ือศึกษาระดับความรู้เก่ียวกับการรับประทานอาหารเช้าที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของนิสิต สาขาสขุ ศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2. เพ่ือศึกษาเจตคติต่อสุขภาพจากการรับประทานอาหารเช้าของนิสิตสาขาสุขศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ 3. เพอ่ื ศกึ ษาพฤติกรรมการรบั ประทานอาหารเช้าท่สี ง่ ผลต่อสุขภาพของนิสิตสาขาสุขศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ 1.3 ประโยชนท์ คี่ าดวา่ จะไดร้ ับ นสิ ติ ปริญญาตรี มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2557 1. เกิดความรู้เกีย่ วกับการรับประทานอาหารเชา้ 2. เกดิ เจตคติทดี่ ีตอ่ การรบั ประทานอาหารเช้า 3. เกดิ พฤตกิ รรมทด่ี เี กีย่ วกับการรับประทานอาหารเชา้ 1.4 ขอบเขตการศึกษา ประชากร การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการศึกษาความรู้ เจตคติ พฤติกรรม ที่ถูกต้องเก่ียวกบั การรับประทานอาหารเช้าท่ี มีผลต่อสุขภาพของนิสิตระดับปริญญาตรี สาขาวิชาสุขศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2557 ระยะเวลา ระหว่างมกราคม – พฤษภาคม 2558 เป็นเวลา 17 สัปดาห์ ตัวแปร ตวั แปรท่ีศกึ ษา ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้าทม่ี ีผลกระทบต่อสขุ ภาพของนิสติ ระดับปริญญาตรี สาขาวชิ าสขุ ศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน ปีการศึกษา 2557

3 1.5 นิยามศัพท์เฉพาะ 1. อาหารเชา้ (breakfast ) หมายถึง เปน็ อาหารม้ือท่ีสาคัญที่สุด ทรี่ า่ งกายต้องการสารอาหารในชว่ งเวลา 07.00-09.00 น. ระหวา่ งเวลาน้ีสมองและใบหนา้ ของคนเราตอ้ งการเลือดและออกซเิ จน เป็นอาหารบารงุ ส่งไป เลี้ยงสมอง 2. สขุ ภาพ (Health) หมายถงึ สุขภาวะท\"ี่ สมบูรณ์\" ทั้งกาย จิตใจ สังคม และจติ วิญญาณ มดี ังน้ี องค์กรอนามัยโลก (WHO) : ได้ให้คานยิ ามคาว่า สุขภาพ หมายถงึ สุขภาวะทีส่ มบูรณ์ท้งั ทางกาย ทางจิต และทางสงั คม ตามรา่ งพระราชบัญญัติสขุ ภาพแหง่ ชาติ 2545 ให้ความหมายของคาวา่ สุขภาพคือภาวะที่มี ความพร้อมสมบูรณท์ ัง้ ทางรา่ งกาย คือ ร่างกายท่ีสมบูรณแ์ ขง็ แรง คล่องแคล่ว มีกาลัง ไม่เป็นโรค ไม่พิการ ไม่ มอี บุ ตั ิเหตุอันตราย มีส่ิงแวดล้อมท่สี ่งเสริมสุขภาพ ดงั น้นั สุขภาพ จงึ หมายถงึ การมีรา่ งกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจบ็ ในทุกสว่ นของร่างกาย มสี ขุ ภาพจิตดแี ละสามารถปรับตวั ให้อยูร่ ่วมกบั ผู้อ่นื ในสังคมได้อย่างปกติสุขผู้มสี ขุ ภาพดี ถอื ว่าเป็นกาไรของชวี ติ เพราะทาใหผ้ ้เู ป็นเจา้ ของชีวติ ดารงชีวติ อยอู่ ยา่ งเป็นสุขได้ นน่ั เอง 3. ความรู้ (Knowledge) หมายถงึ ความเขา้ ใจในเรื่องบางเรื่อง หรือส่ิงบางส่ิง ซึ่งอาจจะรวมไปถงึ ความสามารถในการนาส่ิงนนั้ ไปใชเ้ พ่ือเป้าหมายบางประการ 4. เจตคติ (Attitude)หมายถึง ความรู้สึกของบคุ คลทม่ี ตี ่อสงิ่ ใดๆ ซงึ่ แสดงออกมาเปน็ พฤติกรรมในลักษณะ ชอบ ไม่ชอบ อาจเหน็ ดว้ ย ไม่เห็นด้วย พอใจ ไม่พอใจ ตอ่ ส่งิ ใดๆ ในลกั ษณะเฉพาะตวั ตามทิศทางของ ทัศนคติทม่ี ีอยู่ และทาใหจ้ ะเป็นตวั กาหนดแนวทางของบุคคลในการทจ่ี ะมีปฏิกริ ยิ าตอบสนอง 5. พฤติกรรม (behavior) หมายถงึ การแสดงและกิริยาท่าทางซง่ึ สิ่งมีชวี ติ ระบบหรอื อตั ลักษณ์ประดษิ ฐ์ ทเ่ี กดิ ร่วมกนั กบั สงิ่ แวดลอ้ ม ซึ่งรวมระบบอื่นหรือสิ่งมีชีวติ โดยรวมเช่นเดยี วกับส่ิงแวดลอ้ มทางกายภาพ พฤติกรรมเป็นการตอบสนองของระบบหรือสง่ิ มชี วี ติ ตอ่ สิ่งเรา้ หรือการรบั เขา้ ท้งั หลาย ไม่ว่าจะเป็นภายในหรอื ภายนอก มสี ติหรอื ไม่มีสตริ ะลกึ ชัดเจนหรือแอบแฝง และโดยตงั้ ใจหรอื ไม่ได้ตั้งใจ

4 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่เี ก่ยี วขอ้ ง การวิจยั คร้ังนีเ้ ป็นการศกึ ษาถึงความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการไมร่ บั ประทานอาหารเชา้ ทม่ี ี ผลกระทบต่อสขุ ภาพของนิสติ สาขาวชิ าสุขศึกษาปีการศกึ ษา 2557 ของนิสิตปรญิ ญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปีการศกึ ษา 2557 ผู้วจิ ัยได้ศกึ ษาคน้ คว้าและรวบรวมทฤษฎี รวมถงึ งานวจิ ัยท่เี ก่ยี วข้องมาเปน็ แนวทางในการพิจารณาหาสาระสาคญั ท่ีสัมพันธ์กับประเด็นดงั กล่าว ดังน้ี 1. ความร้เู กย่ี วกบั อาหารเชา้ 2. ประโยชน์ของอาหารเชา้ 3. ความสาคญั ของอาหารม้ือเชา้ 4. ผลกระทบตอ่ สุขภาพกายจากการไมร่ บั ประทานอาหารเช้า 5. ปจั จยั ท่มี ีผลกระทบต่อสุขภาพบรโิ ภคอาหารเช้า 6. งานวจิ ยั ท่ีเกีย่ วข้อง 1.ความรเู้ กยี่ วกับอาหารเชา้ อาหารเป็นสง่ิ ท่ีเมื่อนาเขา้ สู่รา่ งกายแล้ว กอ่ ให้เกดิ ประโยชน์แก่รา่ งกาย อาหารมคี วามสาคญั และ จาเปน็ ต่อร่างกาย ในแต่ละวนั เราต้องนาพลังงานและสารอาหารตา่ งๆท่ีได้จากการทานอาหารไปใชใ้ น กระบวนการต่างๆ ของร่างกาย และการดาเนนิ กิจกรรมประจาวนั ของเรา อาหารในแต่ละม้ือมีความสาคัญตอ่ เราทั้งสน้ิ การทานอาหารทแี่ บ่งออกเป็น 3 มือ้ นั้นเกดิ ขนึ้ จาก ขนบธรรมเนยี มและความเคยชนิ ในการการทานอาหารของมนุษย์ ดงั นนั้ หากเราเคยทานอาหารที่เวลาใดเปน็ ประจาก็ตาม เราก็จะเกดิ ความรูส้ กึ หิวตามเวลานั้นๆ ในทุกๆ วัน ซงึ่ การแบ่งการทานอาหารออกเปน็ 3 มื้อน้นั เป็นการจัดแบ่งทเ่ี หมาะสมสาหรบั การตอบสนองความต้องการของร่างกาย แตอ่ าหารม้ือท่ีมีความสาคัญที่สดุ และมักถูกมองขา้ มไป ก็คอื “อาหารมื้อเชา้ ” ดว้ ยเหตุผลแตกตา่ งกันไปของแตล่ ะบุคคล บางคนอาจต้องเร่งรีบ ไปทางาน บางคนอาจจะคิดวา่ ไมร่ สู้ กึ หวิ ไมจ่ าเป็นต้องทานก็ยังทางานได้ หรอื บางคนอาจอยใู่ นชว่ งของการลด น้าหนกั จึงคดิ อดอาหารเชา้ แต่ในความเป็นจริงแลว้ เมื่อรา่ งกายกายไม่มพี ลังงานจากอาหารเช้าเพ่ือนาไปใช้ ร่างกายจะดึงสาร อาหารจากอวยั วะส่วนอืน่ ออกมา แต่ไม่ใชส่ ารอาหารจาพวกไขมันหรือส่วนเกินต่างๆ อย่างท่ี เราคิด แต่กลับทาให้รา่ งกายเกิดกระบวนการสรา้ งกรดชนดิ หนง่ึ ออกมา ซึง่ การท่เี ราคิดว่าแมไ้ ม่ทานอาหารเช้า ก็ยังสามารถทางานไดต้ ามปกติ ที่เป็นเช่นน้นั เนื่องจากรา่ งกายไดน้ าเอากรดที่เกดิ ขึ้นมาใช้แทนพลังงานทกุ วัน เราจึงทางานอยไู่ ดโ้ ดยใช้กรดแทนพลงั งาน เมื่อร่างกายของเราตอ้ งผลติ กรดออกมาบ่อยๆ จะทาให้ร่างกายเสยี สมดลุ ของสารเคมีภายในร่างกาย เกิดสารอนุมูลอิสระซึง่ เปรยี บเสมอื นกบั สารพิษมากขึ้น เมื่ออายมุ ากข้นึ โรคต่างๆ ก็จะตามมาหลายชนิด

5 นอกจากน้นั การขาดการทานอาหารเช้าอาจจะทาใหเ้ รารู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสยี งา่ ย ยิง่ เมือ่ ถึง เวลาใกล้เท่ยี งจะเกดิ อาการโมโหหิวไดง้ า่ ย เพราะอาหารเชา้ มีผลตอ่ การทางานของสมอง ตามทก่ี ลา่ วมาข้างตน้ หากร่างกายไม่ได้รบั สารอาหารจากอาหารเช้า รา่ งกายจะดึงสารอาหารจากอวยั วะส่วนอ่ืนออกมาซึ่งสว่ นที่ สาคญั ที่สุดส่วนหนงึ่ ก็คือ “สมอง” รา่ งกายจะดึงสารอาหารทใี่ ชใ้ นการทางานของสมองมาใช้ในการทางานของ ร่างกายแทน ทาให้สมองขาดสารอาหารทจ่ี ะนาไปใชใ้ นการทางาน จงึ เกิดผลกระทบกับสมอง อาจกลายเป็น คนสมองเลอะเลือน เปน็ คนข้ีหลงข้ีลืม หรอื ความจาเส่ือม เมื่อแกต่ วั ลง และอวัยวะอีกส่วนหนึ่งท่ีจะถูกดงึ สารอาหารออกไปก็คอื “ตบั ” ตับจะถูกดึงสารอาหารประเภทคารโ์ บไฮเดรตออกไป เพื่อไปใช้ในการรักษา ระดับนา้ ตาลในเลือดที่ต่า เน่ืองจากการไม่ทานอาหารเช้า จากผลงานการวิจัยหลายเร่ืองทาให้กลา่ วไดว้ ่า การทานอาหารเชา้ ท่ีมีคณุ คา่ มีความสาคัญต่อรา่ งกาย เป็นอย่างยงิ่ ยกตัวอย่างเชน่ คนท่ีทานอาหารเช้าจะมพี ลังงานในการทางานไดน้ านกวา่ และมีความออ่ นลา้ ในช่วงกลางวนั น้อยกว่าคนท่เี ริ่มอาหารเชา้ ดว้ ยการดื่มกาแฟเพยี งแกว้ เดียว ถา้ เราปล่อยใหร้ า่ งกายคอยนาน เกนิ ไปกว่าจะไดร้ บั อาหารม้ือแรกของวนั ระบบการยอ่ ยอาหารกจ็ ะมีความเฉื่อยชาในการทางาน การใชว้ ธิ กี าร อดอาหารเชา้ เพื่อลดนา้ หนกั นั้นเป็นความคดิ ทีผ่ ดิ เพราะอาหารเชา้ มสี ว่ นเช่อื มโยงทาใหม้ วลกายตา่ (หรอื นา้ หนกั ลด) ลงกว่าเดิม เม่ือเปรยี บเทียบกบั คนทอ่ี ดอาหารเช้า อาหารเช้ายังเป็นหนึ่งในหลายยุทธศาสตร์ ท่ี พิสจู นแ์ ลว้ ว่าช่วยควบคุมการลดน้าหนักไดใ้ นระยะยาว อาจเป็นเพราะการทานอาหารเช้าเป็นสว่ นหนึ่งทีช่ ว่ ย ลดปรมิ าณการทานอาหารวา่ ง อกี ทั้งอาหารเช้าสามารถช่วยลดปจั จัยเส่ยี งการเป็นโรคอ้วนลงพุงและภาวะ ตอบสนองต่ออินซลู ินลดลง นอกจากน้นั งานวจิ ยั ชิน้ หนึ่งยังพบวา่ เดก็ ที่ทานอาหารเช้ามีคะแนนเฉลี่ยสงู กว่า ให้ความร่วมมือดีกว่า และมสี มาธิในการเรยี นดีกว่าเด็กที่ไม่ไดท้ านอาหารเช้า อาจกลา่ วได้ว่า การทานอาหาร เชา้ มผี ลต่อผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี นของเด็ก จะเห็นได้วา่ อาหารเช้านนั้ มีความสาคญั เป็นอย่างยง่ิ ต่อรา่ งกายของเรา ดังน้ันเราจงึ ควรทานอาหารเชา้ ทีม่ ีคุณค่าทุกวัน สาหรบั คนท่ีไมม่ ีเวลาสาหรับทาอาหารในตอนเชา้ อาจจะซ้ือของสดสาเรจ็ รูปมาเกบ็ ไว้ในต้เู ย็น ไว้ก่อนเพื่อทานในตอนเชา้ และสาหรับคนทเ่ี รง่ รบี จรงิ ๆ อาจซื้ออาหารกง่ึ สาเร็จรปู พกติดกระเป๋าไว้ อาจจะ เป็นโจ๊ก หรอื ซปุ ท่สี ามารถเทใสถ่ ้วย เตมิ น้าร้อน กส็ ามารถทานไดเ้ ลย และท่สี าคัญไม่ควรทานอาหารซ้ากัน บอ่ ยๆ เช่น อาหารจานเดียว เพราะจะทาใหร้ า่ งกายไดร้ ับสารอาหารไมค่ รบถ้วน การทานอาหารใหค้ รบ 5 หมู่ นัน้ ทส่ี ดุ แต่ตอ้ งมีสัดสว่ นกบั ปริมาณท่ีเหมาะสม และมีความหลากหลาย เพ่ือใหร้ า่ งกายของเราไดร้ บั ประโยชน์ มากทส่ี ุด จากอาหารแตล่ ะม้ือ โดยเฉพาะมือ้ สาคัญอย่างมื้อเชา้ สว่ นชว่ งเวลาทคี่ วรทานอาหารเช้าคอื ช่วงเวลา ระหวา่ ง 07.00 – 09.00 น. เพราะเป็นช่วงการทางานของกระเพาะอาหาร จะทาให้กระเพาะอาหารแข็งแรง และระบบขับถา่ ยทางานได้เป็นอย่างดีอีกดว้ ย

6 2. ประโยชนข์ องอาหารเช้า ช่วยใหค้ วามจาดีมีการวจิ ยั พบว่า การรับประทานอาหารเช้ามสี ว่ นเพิม่ ประสิทธภิ าพการเรียน การทางาน ทา ใหร้ ะบบความจา ทกั ษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขน้ึ ดว้ ยแต่หากใครไม่ทานอาหารเช้าจะมีสมาธนิ อ้ ยลงและ สมองก็ทางานไดไ้ มเ่ ต็มที่ ช่วยลดความเสีย่ งในการเกิดโรคเบาหวานได้ โดยคนที่รบั ประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผดิ ปกตขิ องฮอร์โมนอนิ ซลู ิน หรือท่ีเรียกวา่ ภาวะดื้อตอ่ อนิ ซูลนิ ซงึ่ เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนน้ั ลดลงถงึ 35-50% ช่วยในการควบคุมนา้ หนักได้ อาหารเช้าชว่ ยควบคมุ โรคอว้ นและนา้ หนกั ได้เป็นอยา่ งดีค่ะ นนั่ เพราะจากมอื้ ดึกจนถงึ เช้าวันใหม่เราอดอาหาร มานานเกือบ 12 ชว่ั โมง และหากเราย่ิงไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอกี จะทาใหร้ ะดบั น้าตาลในเลอื ดตา่ ลง จนไปเพิ่มแนวโนม้ การรับประทานอาหารท่มี ีพลังงานและไขมันสงู ในมื้อเทย่ี งมากข้ึนและนกี่ เ็ ป็นสาเหตุใหม้ ี น้าหนักเกนิ และโรคอว้ นได้อย่างไม่ร้ตู ัวอกี ด้วยค่ะ ลดความเส่ียงท่ีจะก่อให้เกดิ โรคหวั ใจ ผลการวจิ ัยจากสมาคมแพทย์โรคหวั ใจในอเมรกิ าเม่ือปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสมา่ เสมอ อาจช่วยลดความเสย่ี งต่อการเกดิ โรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจไดด้ ้วย เพราะในตอนเชา้ เลอื ดของเรามีความ เข้มขน้ สูงและทาใหเ้ สน้ เลือดทสี่ ่งไปเล้ยี งสมอง หรือหัวใจอุดตนั ได้ แต่ถ้ารบั ประทานอาหารเช้าเขา้ ไปจะชว่ ย ใหร้ ะดบั ความเข้มขน้ ในเลือดเจอื จางลงดว้ ย ชว่ ยลดโอกาสเกิดโรคนวิ่ การไมร่ บั ประทานอาหารนานกว่า 14 ชว่ั โมงจะทาให้คอเลสเตอรอลในถุงน้าดีจับตัวกนั นาน หากนาน ๆ ไปสิง่ ทจ่ี บั ตัวกนั นัน้ จะกลายเปน็ ก้อนน่ิว แต่หากเราทานอาหารเช้าเขา้ ไปล่ะก็ มนั จะไปกระตุน้ ให้ตบั ปลอ่ ยน้าดี ออกมาละลายคอเลสเตอรอลท่จี ับตวั กนั อยู่ได้ ชว่ ยพัฒนาสมอง สาหรบั เดก็ ๆ การอดอาหารเชา้ เป็นประจา อาจทาใหร้ ่างกายได้รับสารอาหารไมเ่ พยี งพอส่งผลให้รา่ งกายไม่ แขง็ แรง การเจริญเติบโตไมเ่ ป็นไปตามเกณฑแ์ ละยังสง่ ผลตอ่ สตปิ ญั ญา ทาใหข้ าดสมาธิ ส่งผลเสยี ในระยะยาว อีกด้วย 3. ความสาคญั ของอาหารม้ือเชา้ ข้อมูลจากการสารวจของกระทรวงสาธารณสขุ พบวา่ เดก็ ไทยกินอาหารเช้ากันเพียง ร้อยละ 70.9 เทา่ น้ันและมแี นวโน้มลดลงเรื่อย ๆ นักเรียนหญงิ ช่วงอายุ 12 – 14 ปี กนิ อาหารเชา้ กันเพยี งร้อยละ 48.1 เด็ก ๆ ชอบกินอาหารพวกของขบเค้ยี วหรือกนิ อาหารเช้ากันเพียง รอ้ ยละ 32.8 ซึ่งของขบเคย้ี วพวกนี้ให้ คุณค่าหรือประโยชนต์ อ่ ร่างกายนอ้ ยมาก จงึ ทาใหเ้ ด็กไทยไดร้ บั สารอาหารไม่เพียงพอ โดยเฉพาะพวก วติ ามิน เอ วติ ามินซี แคลเซ่ียม เหล็ก คือจะได้รบั เพียงร้อยละ 46 เทา่ นนั้ เอง ท้ังนเี้ พราะไม่คอ่ ยจะเห็น

7 4. ผลกระทบต่อสขุ ภาพกายจากการไม่รบั ประทานอาหารเช้า 1.เดก็ ที่อดอาหารเช้าเป็นประจา จะทาให้ร่างกายได้รบั สารอาหารไมเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการของรา่ งกาย สง่ ผลใหร้ า่ งกายไมแ่ ขง็ แรง การเจริญเติบโตไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑ์2.เด็กวยั เรียนจะขาดสมาธงิ า่ ย ส่งผลตอ่ สตปิ ญั ญา การเรยี น เพราะอาหารเชา้ จะช่วยเตมิ พลังสมองท่เี กยี่ วข้องกบั ความจา การเรียนรู้ ความ กระตือรือร้น ทาใหก้ ารทากจิ กรรมในแตล่ ะวันมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น 3. คนไม่ทานอาหารเชา้ มีแนวโนม้ เปน็ โรคอ้วนมากกวา่ คนทานอาหารเช้าเปน็ ประจา เพราะการไม่ทานอาหาร เช้าจะทาให้ระบบเผาผลาญเร่ิมต้นช้าลง ระดับน้าตาลในเลือดตา่ ลง รา่ งกายจึงรสู้ กึ หิวอยู่ตลอดเวลา เมื่อเป็น แบบนเี้ ราก็ยง่ิ ทานมากข้นึ ในม้ือต่อไป 4. เสี่ยงโรคเส้นเลอื ดสมองและโรคหัวใจ เพราะในตอนเช้าเลือดมีความ เขม้ ข้นสงู ทาให้เสน้ เลอื ดทสี่ ่งไปเลย้ี งสมองหรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้าเราทานอาหารเชา้ จะชว่ ยเจือจางระดับ ความเข้มข้นในเลือดได้ 5. คนทร่ี บั ประทานอาหารเชา้ จะมีภาวะผดิ ปกตขิ องฮอร์โมนอนิ ซลู นิ หรอื ท่ีเรยี กว่า \"ภาวะดื้อตอ่ อนิ ซูลนิ \" ซง่ึ เป็นสาเหตุของโรคเบาหวานลดลงถึงร้อยละ 35-50 แต่ถ้าใครไม่ชอบทานอาหารเชา้ ก็ เท่ากับวา่ คณุ เสีย่ งตอ่ การเป็น \"โรคเบาหวาน\" เพิ่มข้ึน6. มโี อกาสเป็นโรคนิ่ว เพราะการไมท่ านอาหารนานกว่า 14 ชวั่ โมง จะทาให้คอเลสเตอรอลในถุงน้าดจี ับตวั กันนานเกินไป ย่งิ นานเข้าส่ิงที่จับตวั กนั น้นั จะกลายเป็นก้อน น่ิว แตถ่ า้ เรากินอาหารเช้าเขา้ ไป อาหารเชา้ จะไปกระตุ้นให้ตบั ปล่อยนา้ ดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลทีจ่ บั ตัว กนั ได้ด้วย 5. ปัจจยั ท่ีมีผลต่อการบริโภคอาหารเช้า การบริโภคอาหารเปน็ ผลมาจากความเกยี่ วเนื่องของพฤตกิ รรมหลายอยา่ ง เช่น การเลอื กอาหาร การเตรียมอาหาร การส่ังอาหาร การรบั ประทานอาหาร คนสว่ นใหญจ่ ะมีข้อมูลเกย่ี วกับชนิดอาหาร สถานทีซ่ ้ือ หรอื ที่รบั ประทานอาหาร รวมถงึ การรบั ประทานอาหารกับใคร พฤติกรรมเหล่านี้มีความซับซ้อนและสมั พันธ์ กัน ปจั จัยท่ีมผี ลตอ่ พฤติกรรมตามแนวคดิ ของกรีนและคณะ (อา้ งถึงในสุบนิ สนุ ันตะ๊ , 2551) สามารถจัดเปน็ 3 กล่มุ ได้แกป่ จั จยั นา(Predisposing Factors) คือปัจจัยท่ีมอี ยูใ่ นตวั บุคคลประกอบด้วยความรทู้ ศั นคตคิ วาม เชอ่ื ค่านยิ มการรบั รแู้ ละปจั จยั ด้านประชากรเปน็ ปัจจัยทีจ่ งู ใจและให้เหตุผลเพื่อการมีพฤติกรรมความรูเ้ ป็น ปจั จัยสาคัญตอ่ การแสดงพฤติกรรมและความร้จู ะมีความสัมพนั ธก์ บั พฤตกิ รรมแต่การเพิ่มความรเู้ พียงอยา่ ง เดยี วกไ็ มส่ ามารถเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมไดเ้ สมอไปการรับรเู้ ป็นสิ่งทเ่ี กิดขึน้ เม่ือร่างกายได้รบั สิ่งเรา้ และมีการ ตอบสนองทาให้เกิดภาวะจิตทผ่ี สมผสานระหว่างความคิดประสบการณ์และการทางานของประสาทสัมผสั ซง่ึ การรบั รจู้ ะเป็นตวั แปรทางจิตสังคมทเี่ ชื่อว่ามผี ลกระตุ้นพฤตกิ รรมของแต่ละคนคา่ นิยมเป็นความพึงพอใจในสิ่ง ตา่ งๆท่คี นยอมรับเมอื่ คนยอมรบั ในสงิ่ ท่ีเกดิ พฤติกรรมที่คล้อยตามความพึงพอใจนั้นเจตคติเปน็ ความรู้ท่ี ค่อนข้างคงท่ีตอ่ ส่งิ ต่างๆเชน่ บุคคลวัตถุการกระทาความคิดทัศนคติจะเปน็ ตัวกาหนดให้เกดิ ความเช่ือถือต่อ บุคคลวตั ถุหรือกระทาการน้ันๆจนเกิดพฤติกรรมตามความรู้สกึ ที่เกดิ ขน้ึ

8 ปัจจยั เสริม(Reinforcing Factors) คือปัจจยั ท่ที าใหพ้ ฤติกรรมของบคุ คลยนื ยาวต่อเนอื่ ง หรือไมต่ ่อเนื่องเป็นผลสบื เน่อื งดา้ นบวกของการปฏิบตั พิ ฤติกรรมนนั้ ๆเช่นการยอมรับของเพอ่ื น การได้รางวลั หรอื ผลสืบเน่ืองดา้ นลบเชน่ การไมย่ อมรับสงั คมไมเ่ ห็นด้วยการลงโทษโดยมีความ เกีย่ วขอ้ งกบั ทัศนคติและพฤติกรรมของคนรอบข้าง ปัจจัยเอ้ือ (Enabling Factors) คือสถานการณข์ องส่งิ แวดลอ้ มซ่งึ เอื้อให้เกิดพฤติกรรมข้ึนหรือขดั ขวางเป็น อุปสรรคต่อการเกิดพฤติกรรมเช่นรา้ นค้าสถานท่ีจาหนา่ ยซ่ึงมีผลทาใหส้ ามารถหาซื้อไดง้ า่ ย 6.งานวิจยั ทีเ่ กย่ี วข้อง (สมฤดี วรี ะพงษ์. 2535 : 28) กลา่ ววา่ จากการเปลีย่ นแปลงของสภาพสังคม เศรษฐกิจ การเมือง วฒั นธรรมและความเจริญกา้ วหน้าทางเทคโนโลยี ข้อมลู ขา่ วสารท่ที นั สมยั ทาใหป้ ระชาชนในปจั จบุ นั มีการ ปรับเปลีย่ นวิถชี วี ติ ของตนเองและบคุ คลภายในครอบครัว แตล่ ะครอบครวั จะต้องต่อสูก้ บั ชวี ิตและความเป็นอยู่ ภายในครอบครัวให้มีความเป็นอยทู่ ีด่ ี แต่บางครอบครวั อาจขาดการดูแลเอาใจใสต่ นเองและบุคคลภายใน ครอบครัว เพราะเน่ืองจากต้องออกหางาน ทางานแขง่ กับเวลา เพอ่ื หาเงนิ มาเลย้ี งบุคคลภายในครอบครวั ทาให้ไม่มีเวลาในการดูแลสขุ ภาพตนเอง ทาให้ตนเองมีพฤตกิ รรมการบรโิ ภคอาหารท่ีไม่ถกู ต้อง เชน่ การ บรโิ ภคอาหารสาเรจ็ รูปการบริโภคอาหารไม่ครบ 5 หมู่ บรโิ ภคอาหารมากเกนิ ไป และไม่รับประทานอาหาร เป็นเวลา ทาให้เกดิ การเจบ็ ป่วยด้วยโรคตา่ ง ๆ ทีส่ ามารถป้องกันได้ เชน่ โรคกระเพาะอาหาร โรคขาด สารอาหาร โรคอ้วน โรคภาวะโภชนาการเกนิ โรคเบาหวาน โรคความดนั โลหิตสูง เป็นต้นในปจั จุบันพบว่า วัยรุน่ มพี ฤติกรรมการบริโภคท่ีเปลีย่ นแปลงไปจากเดมิ อยา่ งมาก ทง้ั นี้เนอ่ื งจากวัยรุ่นไดร้ ับอิทธิพลจากความ เปล่ียนแปลงทางดา้ นสังคม วัฒนธรรม และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สภาพวถิ ีชวี ิตของครอบครวั เพ่ือน สังคม และสภาพแวดล้อม การแขง่ ขันกบั เวลาในการศึกษาหาความรู้ จึงทาให้วัยรนุ่ มีการปรบั เปลีย่ น พฤติกรรมการบริโภคอาหาร โดยหันมารับประทานอาหารจานด่วน หรืออาหารฟาสต์ฟู้ตทง้ั นี้เน่อื งจากอาหาร จานด่วน หรืออาหารฟาสตฟ์ ู้ดเป็นอาหารที่มกี ารเตรียมขน้ึ มาจาหนา่ ยแก่ผู้บริโภค เพ่ือความสะดวกและ รวดเรว็ ประหยัดเวลา สามารถรบั ประทานได้ทันทีซึ่งเหมาะกับสังคมในสภาพที่ตอ้ งเรง่ ด่วน เชน่ แฮมเบอร์เกอร์ สเตก็ แซนตว์ ชิ พาย พชิ ซา่ ไกท่ อด ไส้กรอก เปน็ ตน้ ส่วนประเภทขนม เช่น โดนทั พดุ ด้งิ เค้ก และไอศกรีม เป็นต้น (สมฤดี วรี ะพงษ.์ 2535 : 28) กลา่ วต่อว่า อาหารจานดว่ นจะเปน็ อาหารจาพวก แป้ง ไขมัน และน้าตาลมาก เม่ือรบั ประทานเข้าไปจะทาให้เกดิ ภาวะโภชนาการเกิน และโรคอ้วน และจะทาใหเ้ สี่ยงต่อการ เป็นโรคเบาหวาน ภาวะความดันโลหิตสูง ภาวะไขมนั ในเลือดสงู โรคหวั ใจขาดเลอื ด โรคหลอดเลือดสมองตีบ และพบว่ามีแนวโน้มสูงข้ึนเร่ือยๆจากที่ไดก้ ล่าวมาขา้ งตน้ พบว่า วัยรุ่นมพี ฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ไี ม่ ถูกต้องมภี าวะโภชนาการท่ีบกพร่อง ทงั้ น้ีเพราะวยั รุ่นมักจะอดอาหารเนื่องจากความเขา้ ใจผิดพยายามอด อาหารเพ่ือรักษาทรวดทรงให้มีรูปรา่ งบอบบาง เอวเล็ก ทรวดทรงเล็กคล้ายหนุ่ นางแบบ และตอ้ งการ เลยี นแบบเหมือนเพื่อน ในกลุ่ม วยั รนุ่ สว่ นใหญร่ ับประทานอาหารฟาสต์ฟ้ตู เพอ่ื ต้องการ

9 ประหยดั เวลาเพื่อตอ้ งการรีบเรง่ ในการเดนิ ทางไปเรยี น และเพ่ือต้องการให้อิ่มนาน ๆ จงึ จาเปน็ ตอ้ ง รับประทานอาหารฟาสตฟ์ ู้ตจาพวกแปง้ ไขมัน และนา้ ตาล เปน็ ต้น ซง่ึ พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารดงั กลา่ ว เป็นพฤติกรรมการบริโภคอาหารท่ีไม่ถูกต้องของวัยร่นุ สง่ ผลกระทบตอ่ สุขภาพร่างกาย ทาให้เกดิ การเจบ็ ปว่ ย ด้วยโรคตา่ งๆท่สี ามารถป้องกันได้ เชน่ โรคภาวะโภชนาการเกิน โรคอ้วน เปน็ ตน้ ( สทุ ธลิ กั ษณ์ , 2533 ) กลา่ ว่า พฤติกรรมการบรโิ ภคอาหาร เปน็ การแสดงออกของบุคคลทัง้ ท่ีสงั เกต ได้และสงั เกตไม่ไดเ้ กีย่ วกบั การรบั ประทานอาหาร โดยมีความสมั พันธ์กับส่ิงอื่นๆ ได้แก่ ความเชือ่ ในการบริโภค อาหาร ( Food belicf ) เป็นความเขา้ ใจ และประสบการณ์ทไี่ ดร้ ับถา่ ยทอดและสะสมกันมา โดยมกั จะมี เหตุผลหรอื ข้ออ้างอิงเปน็ คาอธิบายถงึ ผลความเชื่อนน้ั ๆ ซึ่งอาจเป็นจรงิ หรือไม่ก็ได้ ความนยิ มในการเลือก บริโภคอาหาร ( Food fad ) เป็นการกระทาท่ีเอาอยา่ งกัน เพ่อื แสดงความมสี ว่ นรว่ ม รกั ษาสถานะทางสงั คม หรือเพ่ือความจาเปน็ ทางเศรษฐกจิ โดยไมจ่ าเปน็ ต้องถกู ต้องและมเี หตุผลเสมอไป ข้อห้ามในการบริโภค ( Food taboo ) เปน็ เกณฑ์ทางสงั คมท่ีถือปฏบิ ตั ิ สืบทอดกันในสภาวะหรือสถานการณ์บางอยา่ ง บรโิ ภคนิสัย ( Food habits ) หมายถงึ ลักษณะและการกระทาซา้ ซาก ซึ่งบคุ คลใดบุคคลหนงึ่ ทาดว้ ยความต้ังใจ สบื ตอ่ เน่ืองกันมาเป็นเวลานาน เพอื่ ให้การรบั ประทานอาหารของเขา บรรลุถงึ ความประสงคท์ างอารมณ์และ สงั คม (วนิดา สทิ ธริ ณฤธ์ิ ( 2527) กล่าววา่ พฤติกรรมการบริโภคอาหาร หมายถึง การแสดงออกของบคุ คล ท้ังท่สี ังเกตเหน็ ได้และสงั เกตไมไ่ ด้เก่ียวกับการรบั ประทานอาหาร ได้แก่ การรับประทานอาหาร หรอื ไมร่ ับประทานอะไร รบั ประทานอย่างไร จานวนม้ือทรี่ ับประทานและใชอ้ ปุ กรณ์อะไรบา้ งในการ รับประทาน รวมทง้ั การปฏิบัตกิ ่อนการรับประทานอาหาร และขณะรบั ประทานอาหาร ตลอดจนชนิดของ อาหารทร่ี บั ประทาน นพ.ณรงค์ กล่าววา่ : พฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากรทัว่ ประเทศ พ.ศ. 2556 โดยสานักงานสถิติแหง่ ชาติ ที่ไดส้ ารวจจานวน 26,520 ครวั เรือน และพบวา่ ประชากรที่มีอายุ 6 ปีข้ึนไปทาน อาหารม้ือหลักครบ 3 ม้ือในแต่ละวัน รอ้ ยละ 88 โดยพบสงู สุดในกลมุ่ เดก็ อายุ 6 -14 ปี ร้อยละ 93 และตา่ สดุ ในกลุ่มเยาวชนอายุ 15 - 24 ปี คือ ร้อยละ 87 เมอื่ เปรียบเทยี บกับปี 2552 พบวา่ กลุ่มเยาวชนมีอตั ราการ บรโิ ภคอาหารครบ 3 ม้อื ลดลงร้อยละ 0.5 ในขณะทปี่ ระชากรกลุม่ อืน่ มีอตั ราเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเด็กท่ีมี อายุ 6-14 ปที เ่ี พมิ่ ข้ึนสูงถึงร้อยละ 13ซึ่งถอื ว่าเป็นเร่ืองดีคนทรี่ บั ประทานอาหารไม่ครบ3ม้ือส่วนใหญ่มักจะงด มอื้ เช้าดว้ ยเหตผุ ลต่างๆเชน่ ต้องตืน่ แตเ่ ช้าเร่งรีบไปเรยี นหรือทางาน ไมม่ เี วลาพอสาหรบั การเตรยี มอาหารเชา้ บางคนงดอาหารเช้าเพราะอยากลดน้าหนกั ซ่ึงจะพบมาในกล่มุ วัยรุ่น วัยทางาน ซึง่ เป็นความเชอื่ ท่ผี ิดและ เกดิ ผลเสียตามมาเนื่องจากการงดกนิ อาหารเชา้ จะทาให้ระดับนา้ ตาลในเลือดต่า และจะรสู้ กึ หิวในช่วงสาย มี อารมณห์ งดุ หงดิ สมองตอ้ื คิดอะไรไมอ่ อก ไม่มสี มาธใิ นการเรียนหรือทางาน

10 บทที่ 3 ระเบียบวธิ วี ิจัย 3.1 รปู แบบการศึกษา การศึกษาคร้ังนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนา เพ่ือศึกษาระดับความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมจาก การรับประทานอาหารเช้าที่มีผลต่อสุขภาพของนิสิตปริญญาตรี สาขาสุขศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2557 ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง ประชากร ประชากรทีใ่ ชใ้ นการศึกษาคร้ังนี้ คอื นสิ ิตปรญิ ญาตรี สาขาวิชาสุขศกึ ษา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ปกี ารศึกษา 2557 จานวน 120 คน กลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ ส่วนหนึ่งของประชากรที่กล่าวข้างต้น จานวน 50 คน โดยแบ่งเป็น เพศชาย 25 คน และ เพศหญงิ 25 คน ขนาดตัวอย่างได้จากการกาหนดขนั้ ตา่ และเลือกตวั อยา่ งโดยใช้วธิ กี ารเลอื กแบบโควต้า 3.3 เครอื่ งมือในการศกึ ษา การศึกษาคร้ังนี้ใชเ้ ครอื่ งมือในการศึกษา คือ แบบสอบถามเรอื่ งการรบั ประทานอาหารเช้าของนิสิต สาขาวิชาสุขศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ โดยแบบสอบถาม ประกอบดว้ ย 4 สว่ น สว่ นที่ 1 แบบสอบถามข้อมลู ทัว่ ไป เปน็ แบบสอบถามแบบตรวจสอบรายการ (Checklist) ได้แก่ เพศ, อายุ ,ช้นั ปี, คณะ, โรคประจาตวั สว่ นท่ี 2 แบบทดสอบความรู้เรื่องกบั อาหารเช้าเป็นแบบสองตัวเลือกใช่/ไม่ใช่/ไม่ทราบ

11 เกณฑ์ในการประเมนิ - ตอบใช่ หมายถึง มคี วามรู้ - ตอบไม่ใช่ หมายถึง ไมม่ ีความรู้ - ตอบไมท่ ราบ หมายถึง ไม่มีความรู้ สว่ นที่ 3 แบบวดั ทศั นคติต่อการไมร่ ับประทานอาหารเชา้ เป็นแบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) มี 4 ระดบั แบ่งเปน็ เหน็ ดว้ ยอยา่ งยง่ิ เห็นด้วย ไม่เหน็ ดว้ ย ไม่เหน็ ดว้ ยอยา่ งย่ิงเกณฑ์ในการประเมิน - เห็นดว้ ยอย่างยิ่ง หมายถึง ทา่ นมีความคดิ เหน็ ตรงกับข้อความนัน้ มากทส่ี ดุ - เห็นด้วย หมายถงึ ท่านมีความคดิ เห็นตรงกบั ข้อความนน้ั มาก - ไม่เห็นดว้ ย หมายถงึ ท่านมคี วามคดิ เห็นไม่ตรงกับข้อความนั้น - ไม่เหน็ ด้วยอยา่ งยง่ิ หมายถงึ ท่านมีความคิดเหน็ ไมต่ รงกบั ข้อความนนั้ มากท่ีสุด โดยใหค้ ะแนนแต่ละระดับ ดงั นี้ ระดับความสาคญั ระดับคะแนน เหน็ ดว้ ยอย่างยิ่ง 4 3 เหน็ ดว้ ย 2 ไม่เหน็ ด้วย 1 ไม่เหน็ ด้วยอย่างยงิ่ เกณฑ์ในการแปลความหมาย ดงั น้ี คะแนนเฉล่ีย ระดบั ความสาคัญของปัจจยั 3.51-4.00 เห็นด้วยอย่างย่ิง 2.51-3.50 เหน็ ด้วย 1.51-2.50 ไม่เหน็ ด้วย 1.00-1.50 ไมเ่ ห็นดว้ ยอยา่ งย่งิ

12 สว่ นที่ 4 แบบสอบถามพฤติกรรมการบรโิ ภคอาหารเช้าเป็นแบบมาตรประมาณคา่ (Rating Scale) มี 4 ระดบั แบง่ เป็น มากที่สุด มาก น้อย น้อยทีส่ ุด กาหนดเกณฑ์ในการประเมนิ - มากท่ีสดุ หมายถงึ ปฏบิ ตั ิเป็นประจาและสม่าเสมอ - มาก (ประมาณ 5-7 วัน ใน 1 สปั ดาห์) - น้อย หมายถงึ ปฏิบตั ิเปน็ ประจาแต่ไม่สม่าเสมอ - น้อยท่สี ดุ (ประมาณ 1-3 วนั ใน 1 สปั ดาห)์ โดยให้คะแนนแตล่ ะระดับดงั น้ี หมายถงึ ปฏบิ ัติเป็นบางคร้ัง (ประมาณ 1-2 วัน ใน 1 สัปดาห์) หมายถึง ปฏิบตั ินานๆ ครงั้ หรอื ไมป่ ฏบิ ัติเลย ระดับความสาคัญ ระดบั คะแนน มากท่ีสดุ 4 มาก 3 น้อย 2 นอ้ ยท่สี ุด 1 เกณฑ์ในการแปลความหมายดงั นี้ คะแนนเฉลีย่ ระดับความสาคญั ของปจั จยั 3.51-4.00 มากทีส่ ดุ 2.51-3.50 มาก 1.51-2.50 นอ้ ย 1.00-1.50 น้อยท่สี ดุ

13 3.4 การตรวจสอบเครอ่ื งมอื ผศู้ ึกษานาข้อมูลที่ไดม้ าสรา้ งเครือ่ งมือในการสารวจพฤติกรรมการไมร่ บั ประทานอาหารเช้าของนสิ ิต ปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยนาเครอ่ื งมอื ที่สรา้ งขึน้ ไปให้ ผเู้ ช่ียวชาญ 3 ทา่ น ตรวจประเมนิ คา่ ความสอดคล้องระหวา่ งข้อคาถามกับวัตถุประสงคห์ รอื เนอ้ื หา (IOC: Index of item Objective Congruence) หรือดัชนคี วามเหมาะสม โดยให้ผู้เชีย่ วชาญ ประเมินเน้อื หาของ ข้อคาถามเปน็ รายข้อว่าข้อคาถามแต่ละข้อสามารถวดั ได้ตรงกบั จุดประสงค์ที่กาหนดหรือไม่ โดยให้คะแนนตาม เกณฑ์ดงั น้ี ถา้ ข้อคาถามวัดได้ตรงจดุ ประสงค์ ได้ +1 คะแนน ถา้ ไม่แน่ใจวา่ ข้อคาถามนัน้ วัดตรงจดุ ประสงค์หรือไม่ ได้ 0 คะแนน ถ้าข้อคาถามวัดได้ไมต่ รงจุดประสงค์ ได้ -1 คะแนน หลงั จากนน้ั นาคะแนนของผูเ้ ช่ียวชาญทุกคนที่ประเมินมากรอกลงในแบบวิเคราะหค์ วามสอดคลอ้ ง ของข้อคาถามกบั จุดประสงค์เพือ่ หาค่าเฉล่ีย สาหรบั ข้อคาถามแต่ละขอ้ ใชส้ ูตรดงั นี้ IOC =  R IOC แทน คา่ ดชั นีความสอดคล้องระหว่างขอ้ สอบกบั จุดประสงค์ N  R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผเู้ ชีย่ วชาญ N แทน จานวนผู้เชี่ยวชาญผเู้ ชย่ี วชาญ 1.อาจารย์ นันท์นภสั เกตนโ์ กศลั ย์ 2.ดร. อจั ฉรยิ ะ เอนก 3.อาจารย์ ภเู บศรน์ ภทั รพทิ ยาธร เกณฑ์การคดั เลอื กขอ้ คาถาม 1. ขอ้ คาถามท่ีมคี า่ IOC ตั้งแต่ 0.5 – 1.00 คัดเลอื กไวใ้ ชไ้ ด้ 2. ขอ้ คาถามที่มคี า่ IOC ตา่ กว่า 0.5 ควรพจิ ารณาปรบั ปรงุ หรือตดั ท้งิ

ผลการประเมนิ ของ ผ้เู ช่ียวชาญ 3 ท่าน 14 ตารางที่ 1 การตรวจสอบเครื่องมือดา้ น ความรู้เร่ืองการรับประทานอาหารเชา้ IOC ผู้เช่ียวชาญ 1 ข้อคาถาม ท่านที่ 1 ท่านท่ี 2 ท่านที่ 3 1 1111 1 1 2111 1 1 31 1 1 1 1 41 1 1 1 51 1 1 1 61 1 1 71 1 1 81 1 1 91 1 1 10 1 1 1 จากตารางที่ 2 พบว่า แบบสอบถามดา้ นความรู้เร่ืองการรับประทานอาหารเช้า ขอ้ คาถามท้งั หมด ผ่านการตรวจสอบจากผูเ้ ช่ียวชาญท้งั สามท่าน โดยมีค่า IOC ท่ี 1 จานวน 10 ขอ้ ดงั น้ัน เคร่ืองมือชุดน้ี สามารถนาไปใชไ้ ด้

ตารางที่ 2 การตรวจสอบเครื่องมือดา้ น ทศั นคติต่อการรับประทานอาหารเชา้ 15 ผู้เชี่ยวชาญ IOC 1 ข้อคาถาม ท่านท่ี 1 ท่านท่ี 2 ท่านท่ี 3 1 1111 1 1 21 1 1 0.66 0.66 31 1 1 1 1 41 1 1 1 1 51 1 0 61 0 1 71 1 1 81 1 1 91 1 1 10 1 1 1 จากตารางที่ 3 พบว่า แบบสอบถามด้านทัศนคติต่อทัศนคติต่อการรับประทานอาหารเช้า ข้อคาถาม ทั้งหมดผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญทั้งสามท่าน โดยมีค่า IOC ที่ 0.66 จานวน 2 ข้อ และค่า IOC ท่ี 1 เปน็ จานวน 8 ขอ้ ดงั นนั้ เคร่ืองมอื ชดุ น้สี ามารถนาไปใชไ้ ด้

16 ตารางท่ี 3 การตรวจสอบเครื่องมือด้าน พฤตกิ รรมการรบั ประทานอาหารเช้า ข้อคาถาม ท่านท่ี 1 ผู้เชี่ยวชาญ ท่านท่ี 3 IOC 1 1 ท่านท่ี 2 1 1 2 3 1 1 1 1 4 1 1 1 5 1 1 1 1 6 1 1 1 1 7 1 1 1 1 8 1 1 1 1 9 1 1 1 1 10 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 จากตารางท่ี 4 พบวา่ แบบสอบถามด้านการพฤตกิ รรมการรับประทานอาหารเช้า ข้อคาถามทั้งหมดผ่านการตรวจสอบจากผูเ้ ชย่ี วชาญทั้งสามท่าน โดยมคี ่า IOC ที่ 1 จานวน 10 ข้อ ดงั น้ัน เครือ่ งมอื ชดุ น้ีสามารถนาไปใช้ได้

17 3.5 การเกบ็ รวมรวมข้อมลู เก็บรวบรวมข้อมูลกับนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ปีการศึกษา 2557 จานวน 50 คน โดยการใชแ้ บบสอบถาม ผศู้ ึกษาได้ดาเนินการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู โดยให้กลมุ่ ตวั อย่าง เปน็ ผตู้ อบแบบสอบถามลงในแบบสอบถามดว้ ยตนเอง 3.6 การวิเคราะหข์ ้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวเิ คราะห์ข้อมูลเชิงปรมิ าณ ได้แก่ ข้อมูลเชิงปรมิ าณ และ เชิงพรรณนา ในดา้ น ความรู้ ด้านทัศนคติ และด้านพฤติกรรม วเิ คราะห์ข้อมลู และสรปุ ผลการศกึ ษาเก็บแบบสอบถามและนามาแปรผล เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการด่ืมนา้ อดั ลมของกลุ่มตัวอย่าง โดยการแปรผลแบ่งออกเปน็ 2 สว่ น คือ 1. ขอ้ มลู ท่วั ไปของผทู้ ที่ าแบบสอบถาม นาเสนอโดยอธิบายเชงิ พรรณนา ดว้ ยสถติ ิแสดงเป็นรอ้ ยละ และความถ่ี 2. ทศั นคติ และพฤตกิ รรมการรับประทานอาหารเช้า นาเสนอโดยอธิบายเชิงพรรณนา ด้วยสถติ ิแสดงเปน็ รอ้ ยละและความถีแ่ ละการเรียงลาดับ

18 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 4.1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 4.1.1 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลทว่ั ไปของกลุ่มตัวอย่าง ตารางที่ 4 แสดงจานวนและค่าร้อยละของข้อมูลท่วั ไป ของนสิ ติ ระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน จานวน 50 คน ลกั ษณะ จานวน (คน) ร้อยละ เพศ 25 50 ชาย 25 50 หญิง 7 14 อายุ 15 30 19 ปี 17 34 20 ปี 8 16 21 ปี 3 6 22 ปี 23 ปี ช้ันปี 10 20 ช้นั ปี ที่ 1 14 28 ช้นั ปี ที่ 2 12 24 ช้นั ปี ท่ี 3 14 28 ช้นั ปี ท่ี 4

ลกั ษณะ (ต่อ) จานวน (คน) 19 นา้ หนัก 1 ร้อยละ 30-39 15 40-49 18 2 50-59 9 30 1.1.1 60-69 3 36 1.1.2 70-79 1 18 1.1.3 80-89 3 6 1.1.4 90-99 12 ส่ วนสู ง 15 6 1.1.5 150-159 26 1.1.6 160-169 9 30 1.1.7 170-179 52 โรคประจาตัว 1.1.9 40 18 1.1.8 ไมม่ ี 1.1.11 10 1.1.10 มี 1.1.12 (8) 80 1.1.13 (1) 20 - โรคภมู ิแพ้ 1.1.14 (1) (16) - โรคธาลสั ซีเมีย (2) - ไมเกรน 50 (2) 100 รวม จากตารางที่ 4 พบวา่ จากกล่มุ ตัวอยา่ งจานวน 50 คน เปน็ เพศชายจานวน 25 คน คดิ เป็นร้อยละ 50 และเพศหญงิ จานวน 25 คน คิดเป็นรอ้ ยละ 50 จดั อยใู่ นอายุ 19 ปี จานวน 7 คน คิดเป็นร้อยละ 14,อายุ 20 ปี จานวน 15 คน คดิ เป็นร้อยละ30 ,อายุ 21 ปี จานวน 17 คน คดิ เปน็ ร้อยละ34 , อายุ 22 ปี จานวน 8 คน คิดเป็นร้อยละ 16, ชว่ งและอายุ23ปี จานวน 3 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 6 ,เป็นนิสิตช้นั ปที ่ี1 จานวน 10 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 20, เป็นนิสิตช้นั ปที ่ี2 จานวน 14 คน คิดเปน็ ร้อยละ 28,เป็นนิสติ ชน้ั ปีที่3 จานวน 12 คน

20 คดิ เปน็ ร้อยละ 26, เป็นนสิ ิตชัน้ ปที ี่4 จานวน 14 คน คิดเปน็ ร้อยละ 28,ไมม่ โี รคประจาตวั จานวน 40 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ80, มโี รคประจาตวั โรคภมู แิ พ้ 8 คน คิดเปน็ ร้อยละ16 โรคธาลสั ซเี มีย 1 คน คิดเป็นร้อย ละ 2 ไมเกรน 1 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ2 1.1.2 ความร้เู กี่ยวกบั อาหารเช้า ตารางท่ี 5 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างดา้ นความรู้เร่ืองการรบั ประทานอาหารเช้าของนิสติ ระดับปริญญาตรี สาขาสุขศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน ขอ้ คาถาม ไม่มีความรู้ มีความรู้ 1.การรบั ประทานอาหารเช้า ช่วยควบคมุ โรคอว้ น และนา้ หนกั ได้ จานวน ร้อยละ จานวน ร้อยละ 16 32.0 34 68.0 2.การรับประทานอาหารเช้าอย่างสมา่ เสมอ ชว่ ยลดความเสยี่ งต่อการเกิด 9 18.0 41 82.0 โรคเส้นเลอื ดสมองและโรคหวั ใจ 3. การรบั ประทานอาหารเช้ามีส่วนเพ่ิมประสิทธภิ าพการเรียน 2 4.0 48 96.0 4. การรบั ประทานอาหารเช้า ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน 22 44.0 28 56.0 5. การรบั ประทานอาหารเช้าเป็นประจา ทาใหร้ ่างกายได้รับสารอาหารไม่ 11 22.0 39 78.0 เพยี งพอ 6. การรับประทานอาหารเช้าช่วยใหร้ ะดบั ความเข้มข้นในเลือดเจอื จางลง 31 62.0 19 38.0 7.การไม่รับประทานอาหารเช้า ทาให้คอเลสเตอรอลในถุงน้าดีจับตัวกัน 36 72.0 14 28.0 นาน 8. การไม่รับประทานอาหารเช้าจะทาให้เรารู้สึกหงุดหงิดและอารมณ์เสีย 14 72.0 36 72.0 ง่าย 9. อาหารเช้าสามารถช่วยลดปัจจัยเสี่ยงการเป็นโรคอ้วนลงพุงและทาให้ 17 4.0 33 66.0 ภาวะตอบสนองต่ออนิ ซลู ินลดลง 10. ช่วงเวลาท่ีควรทานอาหารเช้าคือ ช่วงเวลาระหว่าง 07.00 – 09.00น. 8 12.0 42 84.0 เพราะจะทาให้ระบบขบั ถ่ายทางานไดเ้ ป็นอย่างดี

21 จากตารางท่ี 5 พบว่า ขอ้ ความรทู้ กี่ ลุ่มตวั อย่างส่วนใหญ่ไมม่ ีความรู้คอื ข้อที่ 7 การไมร่ ับประทาน อาหารเช้า ทาให้คอเลสเตอรอลในถงุ น้าดจี ับตัวกันนาน จานวน 36 คน คิดเปน็ ร้อยละ 72 รองลงมา คือ ข้อ 6 การรับประทานอาหารเช้าช่วยให้ระดบั ความเข้มข้นในเลือดเจอื จางลง จานวน 31 คดิ เป็นร้อยละ 62 และ อันดับสามคือ ข้อ 4 การรับประทานอาหารเช้า ชว่ ยลดความเส่ียงในการเกิดโรคเบาหวาน จานวน 22 คน คดิ เปน็ รอ้ ยละ 44 ตามลาดับ ข้อความรู้ที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้คือข้อท่ี3 การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่ม ประสิทธภิ าพการเรียน จานวน 48 คิดเป็นร้อยละ 96 รองลงมาคือ ข้อที่ 10 ช่วงเวลาท่ีควรทานอาหารเช้าคือ ชว่ งเวลาระหวา่ ง 07.00 – 09.00น. เพราะจะทาใหร้ ะบบขบั ถ่ายทางานไดเ้ ป็นอย่างดี จานวน 42 คน คดิ เป็น รอ้ ยละ 84 และอับดบั สาม คอื ข้อที่ 2 การรับประทานอาหารเช้าอยา่ งสมา่ เสมอ ช่วยลดความเสย่ี งต่อการเกิด โรคเสน้ เลอื ดสมองและโรคหวั ใจ จานวน 41 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 82 ตามลาดบั ตารางท่ี 6 ผลการแบ่งระดับความรู้เรือ่ งการรบั ประทานอาหารเช้าของนิสติ ระดบั ปรญิ ญาตรี สาขาสขุ ศึกษา คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ตามเกณฑ์ ได้ดงั นี้ ระดบั สงู ระดบั ปานกลาง ระดบั ต่า จานวน ร้อยละ จานวน รอ้ ยละ จานวน รอ้ ยละ 38 76.0 10 20.0 2 4.0 จากตารางท่ี 6 พบว่า นิสิตกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้เร่ืองการรับประทานทานอาหารเช้า อยู่ใน ระดบั สูง จานวน 38 คน คดิ เป็นร้อยละ 76 รองลงมา คือ ระดับปานกลาง จานวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 20 และอนั ดับสาม คือ ระดบั ต่า จานวน 2 คน คดิ เป็นร้อยละ 4.0ตามลาดบั

22 4.1.3 ทศั นคติตอ่ การรบั ประทานอาหารเช้า ตารางท่ี 7 ผลการเปรยี บเทียบความแตกต่างด้านทัศนคติตอ่ การรับประทานอาหารเช้าของนิสิต สาขาวชิ าสุขศกึ ษา มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน ข้อคาถาม X (S.D.) แปลความ 1.การรับประทานอาหารเชา้ เปน็ เรอ่ื งท่ียงุ่ ยาก 3.04 0.70 เหน็ ดว้ ย 2.การรบั ประทานอาหารเช้าไมส่ ่งผลเสียตอ่ รา่ งกาย 2.94 1.15 เห็นด้วยอย่างยิง่ 3.คนสว่ นมากกไ็ มร่ ับประทานอาหารเชา้ กันทัง้ น้นั 4.อาหารเช้าเปน็ อาหารมือ้ หลกั และสาคัญตอ่ รา่ งกายเป็นอย่างมาก 2.54 0.84 เหน็ ด้วยอยา่ งยิ่ง 5.ฉนั ไม่ชอบรบั ประทานอาหารเช้าเพราะกลวั อ้วน 6.อาหารเชา้ หารบั ประทานไดง้ ่ายสาหรับฉัน 3.72 0.54 เห็นด้วยอยา่ งย่ิง 3.52 0.71 เหน็ ด้วยอยา่ งยิง่ 3.16 0.71 เหน็ ด้วย 7.ฉันชอบรบั ประทานอาหารเชา้ ท่หี ลากหลาย 3.24 0.66 เหน็ ดว้ ย 8.อาหารเชา้ ไมร่ บั ประทานก็ได้ 3.22 0.68 เหน็ ด้วย 9.อาหารเช้าควรรบั ประทานมากกว่ามอ้ื อ่ืนๆ 3.34 0.82 เหน็ ด้วย 10.การรับประทานอาหารเช้าทาให้ฉันเรียนอย่างมีประสิทธิภาพมาก 3.56 0.58 เห็นดว้ ยอยา่ งยิ่ง ย่งิ ขนึ้ จากตารางที่ 7 พบวา่ นสิ ิตกล่มุ ตัวอยา่ งมีทัศนคติตอ่ การรบั ประทานอาหารเชา้ ใน ข้อ 4. อาหารเช้า เป็นอาหารม้ือหลักและสาคัญต่อร่างกายเป็นอย่างมาก X = 3.72, S.D. =0.54) อยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างย่ิง เมื่อพิจารณาในรายข้อสามารถเรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อยได้ดังน้ี ข้อ 10.การรับประทานอาหารเช้าทา ให้ฉันเรียนอยา่ งมีประสิทธภิ าพมากยิ่งขึ้น ( X =3.56, S.D. =0.58) อยู่ในระดับเหน็ ดว้ ยอย่างย่งิ รองลงมา คือ ข้อ 5.ฉันไม่ชอบรับประทานอาหารเช้าเพราะกลัวอ้วน ( X = 3.52, S.D. = 0.71 ) อยู่ในระดับเห็นด้วย รองลงมา คือ ขอ้ 9.อาหารเชา้ ควรรับประทานมากกวา่ มอื้ อื่นๆ ( X = 3.34, S.D. = 0.82 ) อยู่ในระดับเห็นด้วย รองลงมา คือ ข้อ 7.ฉันชอบรับประทานอาหารเช้าท่ี หลากหลาย ( X =3.24, S.D. = 0.66 ) อยู่ในระดบั เห็นด้วย รองลงมา คือ ขอ้ 8.อาหารเช้าไม่รบั ประทานกไ็ ด้

23 ( X =3.22, S.D. = 0.68 ) อยู่ในระดับเห็นด้วย รองลงมา คือ ข้อ 6. .อาหารเช้าหารับประทานได้ง่ายสาหรับ ฉัน ( X =3.16, S.D. =0.71) อยู่ในระดับเห็นด้วย รองลงมา คือ ข้อ 1.การรับประทานอาหารเช้าเป็นเรื่องท่ี ยุ่งยาก ( X =3.04, S.D. =0.70) อยู่ในระดับเห็นด้วย รองลงมา คือ ข้อ2.การรับประทานอาหารเช้าไม่ส่งผล เสียต่อร่างกาย ( X =2.94, S.D. =1.15) อยู่ในระดับเห็นด้วย และลาดับสุดท้าย คือ ข้อ 3 .คนส่วนมากก็ไม่ รบั ประทานอาหารเช้ากนั ทง้ั นน้ั ( X =2.54, S.D. =0.84) อย่ใู นระดบั ไมเ่ หน็ ด้วย ตามลาดบั 4.1.4 พฤติกรรมการรบั ประทานอาหารเช้า ตารางท่ี 8 ผลการเปรียบเทียบความแตกต่างด้านการรับประทานอาหารเช้า ของนิสิตปริญญาตรี สาขาสขุ ศกึ ษา มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน จากตารางท่ี 8 พบวา่ นสิ ิตกลุ่มตัวอย่างมีพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้าโดยเรยี งจากค่าเฉลย่ี ข้อคาถาม X (S.D.) แปลความ 1.ท่านรบั ประทานอาหารเช้าเปน็ ประจาทุกวนั 3.04 0.75 มาก 2.ท่านเลือกรบั ประทานอาหารทีค่ านงึ ถึงการได้รบั 2.76 0.74 มาก สารอาหารครบ 5 หมู่ 2.16 3.ทา่ นรับประทานอาหารเช้าท่ปี รุงเองมากกวา่ ซ้ืออาหารมารับประทาน 0.96 นอ้ ย 0.84 นอ้ ย 4.ทา่ นรบั ประทานอาหารเชา้ ในปริมาณทีม่ ากกว่ามื้ออนื่ ๆ 2.5 0.86 มาก 5.ท่านรับประทานอาหารเช้าประเภท แฮมเบอร์เกอร์,สเต็ก แซนต์วิช, พาย 3.3 1.05 มาก ,พชิ ซ่า เป็นประจา 2.74 6.ทา่ นลมื รบั ประทานอาหารเช้าเป็นประจา 7.ท่านรับประทานอาหารเช้าในช่วงเวลา 7.00-9.00 น. เป็นประจา 2.6 0.86 น้อย 8. ท่านรับประทานอาหารเชา้ กอ่ นไปเรียนทุกวัน 2.88 0.90 มาก 9. ทา่ นรบั ประทานอาหารมื้ออนื่ ๆมากกว่ารับประทานอาหารม้ือเช้า 2.14 0.76 นอ้ ย 10. ท่านรับประทานอาหารเชา้ แบบง่ายๆเชน่ โจ๊กหมู, ขนมปงั ,ไข่ดาว 2.7 0.91 น้อย จากมากไปน้อย อยใู่ นระดับ มาก คือ ข้อ 5.ท่านรบั ประทานอาหารเชา้ ประเภท แฮมเบอรเ์ กอร์,สเต็ก แซนต์ วิช,พาย,พิชซ่า เป็นประจา( X = 3.3, S.D. =0.86 ) และรองลงมา คือ ข้อ 6.ท่านรบั ประทานอาหารเช้าเป็น

24 ประจาทกุ วัน ( X =3.04, S.D. =0.75) และพฤตกิ รรมท่ีอย่ใู นระดับ น้อย คือ ข้อ 8.ท่านรับประทานอาหาร เช้าก่อนไปเรียนทุกวัน ( X =2.88, S.D. =0.90) รองลงมา คอื ข้อ2.ท่านเลือกรับประทานอาหารที่คานงึ ถึงการ ไดร้ บั สารอาหารครบ 5 หมู่ ( X =2.76, S.D. = 0.74) รองลงมา คือ ข้อ 6.ทา่ นลืมรับประทานอาหารเช้าเปน็ ประจา( X =2.74, S.D. =1.05) รองลงมา คือ ข้อ3.ท่านรับประทานอาหารเช้าท่ีปรงุ เองมากกวา่ ซอ้ื อาหารมา รบั ประทาน ( X =2.16 ,S.D. =0.96) รองลงมา คือ ขอ้ 9.ทา่ นรับประทานอาหารมื้ออน่ื ๆมากกวา่ รบั ประทาน อาหารม้ือเช้า( X =2.14, S.D. =0.76) รองลงมา คือ ข้อ 10.ท่านรับประทานอาหารเชา้ แบบง่ายๆเช่น โจ๊กหมู, ขนมปงั ,ไขด่ าว( X = 2.7, S.D. = 0.91 ) รองลงมา คอื ข้อ 7.ท่านรบั ประทานอาหารเช้าในช่วงเวลา 7.00- 9.00 น. เปน็ ประจา( X =2.6 , S.D. =0.86) และขอ้ ทม่ี คี ่าเฉลี่ยน้อยทีส่ ุด คือ ข้อ 4.ทา่ นรับประทานอาหาร เชา้ ในปรมิ าณที่มากกว่ามื้ออื่นๆ( =2.5 , S.D. =0.84)

25 บทท่ี 5 สรุปผลการศึกษาและขอ้ เสนอแนะ 5.1 สรปุ ผลการศกึ ษา การทางานวิจัยในคร้ังน้ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาพฤติกรรมการ รับประทานอาหารเช้า ของนิสิต ปริญญาตรี สาขาสุขศึกษา ภาควิชาพลศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน เป็นการศึกษาด้วยรูปแบบการวิจัยเชิงพรรณนา กลุ่มตัวอย่าง คือ นิสิตสาขาวิชาสุขศึกษา ภาควิชาพลศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ท่ีกาลังศึกษาอยู่ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2557 จานวน 50 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉล่ีย และส่วน เบ่ียงเบนมาตรฐาน 5.2 สรุปผลการวิเคราะห์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลด้านความรู้ พบวา่ ข้อความรู้ท่ีกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ไม่มคี วามรู้คือ ข้อที่ 7. การไม่รับประทานอาหารเช้า ทาใหค้ อเลสเตอรอลในถงุ น้าดจี ับตัวกนั นาน มากเปน็ อันดับหน่ึง จานวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 72.0 รองลงมาคือ ข้อที่6.การรับประทานอาหารเช้าช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจาง ลง. จานวน 31 คดิ เป็นร้อยละ 62.0 และอันดบั สามคือ ขอ้ 4. จานวน 22 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 44.0 ตามลาดับ ส่วนข้อความรู้ที่กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้คือ ข้อท่ี 3.การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพ่ิม ประสิทธิภาพการเรียน มากเป็นอันดับหนึ่ง จานวน 48 คิดเป็นร้อยละ96.0 รองลงมาคือ ข้อที่10. ช่วงเวลาที่ ควรทานอาหารเช้าคือ ช่วงเวลาระหว่าง 07.00 – 09.00น. เพราะจะทาให้ระบบขับถ่ายทางานได้เป็นอย่างดี จานวน 42 คน คิดเป็นร้อยละ 84.0 รองลงมาคือ ข้อท่ี2.การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่าเสมอ ช่วยลด ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ จานวน 41 คน คิดเป็นร้อยละ 82.0 และอับดับสาม คือ ขอ้ ท5่ี .การรับประทานอาหารเช้าเป็นประจา ทาให้ร่างกายไดร้ ับสารอาหารไม่เพยี งพอ จานวน39 คน คิด เป็นร้อยละ78.0 ตามลาดบั การวเิ คราะหข์ ้อมูลด้านทศั นคติ พบวา่ กล่มุ ตัวอยา่ งมีทศั นคติท่ถี ูกตอ้ งเก่ียวกับการรับประทานอาหาร เช้า ในเร่ืองการตระหนักถึงความสาคัญของการรับประทานอาหารเช้าเพ่ือป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรค ต่างๆ ส่วนเรื่องท่ีกลุ่มตัวอย่างยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง คือเร่ืองของการรับประทานอาหารเช้าแบบไม่ถูกต้อง

26 และการไม่รโู้ อกาสเสี่ยงของการเกิดโรคจากการไมร่ ับประทานอาหารเชา้ ไมร่ ถู้ ึงความรนุ แรงของผลกระทบต่อ สุขภาพจากการไม่รับประทานอาหารเช้า ทัศนคติในบางเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติที่ยังไม่ถูกต้อง โดยส่วนมาก ยังคิดว่าการไม่รับประทานอาหารเช้ายังเป็นเร่ืองท่ีไม่สาคัญเท่าไหร่นัก ดังน้ันจึงต้องรีบปรับเปล่ียนทัศนคติใน ส่วนนใี้ หถ้ ูกตอ้ ง การวิเคราะหข์ ้อมลู ดา้ นการพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้า พบว่า กลมุ่ ตัวอย่างมีการพฤติกรรม การรับประทานอาหารเชา้ ทถ่ี กู ตอ้ งมากยิง่ ข้นึ 5.3 ขอ้ เสนอแนะสาหรบั การศึกษาในครงั้ นี้ จากการศึกษาพฤติกรรมการรับประทานอาหารเช้า ของนสิ ิตปริญญาตรี สาขาสุขศกึ ษา ภาควชิ าพลศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน ทกี่ าลงั ศึกษาอย่ใู น ภาคปลาย ปีการศึกษา 2557 จานวน 50 คน นิสิตทกุ คนใหค้ วามร่วมมือในการทาแบบสอบถามเปน็ อย่างดี ทาใหผ้ ทู้ าการวิจยั ได้รบั ข้อมูลท่เี ป็นประโยชนใ์ นการทาวิจัย แตใ่ นการวจิ ยั ครั้งนย้ี งั มขี ้อจากัดดา้ นเวลา ทที่ าให้ไมส่ ามารถดาเนินการวิจัยได้ทนั ภายใช่ช่วงเวลาที่กาหนด อีกทั้งประกอบกับกลุ่มตวั อยา่ งไม่สามารถให้ ข้อมูลได้พร้อมกัน เพราะวา่ นิสิตแตล่ ะชน้ั ปี มีเวลาเรียนที่ไม่ตรงกัน ทาใหเ้ กดิ การลา่ ช้าในการเก็บรวบรวม ขอ้ มูล แต่อยา่ งไรก็ดี การวจิ ัยในคร้ังน้ีก็ได้บรรลจุ ุดมงุ่ หมายตามวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ท่ตี ั้งไว้ 5.4 ข้อเสนอแนะในการทางานครั้งถัดไป ในการทาวิจัยครงั้ ต่อไปอาจมีการศึกษาเพอื่ หาสาเหตุของข้อความรู้ท่ีกลุ่มเป้าหมายไม่รู้/ไม่ทราบ การ มีทัศนคติท่ีไม่ถูกต้องในการรับประทานอาหารเช้า และการปรับเปล่ียนพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องเก่ียวกับการ รับประทานอาหารเชา้ อาจศึกษาถึงผลกระทบต่อสุขภาพในด้านอ่ืนๆได้ เช่น สุขภาพ/สังคม/อารมณ์/สติปัญญา เป็นต้น เพื่อเปน็ การตอ่ ยอดองค์ความรู้ของผทู้ าวิจยั

27 เอกสารอา้ งองิ ชนิดา ปโชติการ, ศลั ยา คงสมบรู ณ์เวช และอภิสิทธ์ิ ฉตั รทนานนท์ .(2529). อาหารกบั สุขภาพ สถาบนั วจิ ยั โภชนาการ.(2527).พฤติกรรมการกินของคนไทย. กรุงเทพฯ : สถาบนั วจิ ยั โภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. มนสั นนั ท์ หยกสกลุ (2525)การส่งเสริมการบริโภคอาหารเชา้ ท่ีมีคุณภาพ.กรุงเทพฯ :สถาบนั วจิ ยั โภชนา วทิ ยามหาวทิ ยาลยั มหิดล. ดร.ชนิดา ปโชติการ , อ.ศลั ยา คงสมบูรณ์เวช .(2548). บทบาทของอาหารและจา.กรุงเทพฯ :สถาบนั วจิ ยั โภชนาการ มหาวทิ ยาลยั มหิดล. บุญศิญา เรืองสมบูรณ์ . (2522).สุภาพดี หวั จรดเทา้ เชา้ เยน็ . กรุงเทพฯ :ดีไลทพ์ บั ลิชชิ่ง. รศ.ดร.เสาวพร เมืองแกว้ .การไมท่ านอาหารเชา้ น้นั ไม่ดีอยา่ งไร.เขา้ ถึงไดจ้ าก https://th.answers.yahoo.com/question/index?qid=20080511024117AA3eLMu (วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล: 22/10/57) น.พ.กฤษดา ศิรามพชุ . ขอ้ เสียเม่ืออดอาหารเชา้ .เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.bangkokvoice.com/2013/09/02/bv-health-53/ .(วนั ท่ีคน้ ขอ้ มลู : 22/10/57) (สมฤดี วรี ะพงษ.์ 2535 : 28).การบริโภคอาหาร.เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nmt.ac.th/product/web/1/food.html. (วนั ที่คน้ ขอ้ มูล: 12/12/57) (มาร์ติน อสั ติน อีเทิล 2514 : 4).ปัจจยั ที่มีอิทธิพลตอ่ การบริโภค.เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.nmt.ac.th/product/web/1/food4.html.(วนั ที่คน้ ขอ้ มูล: 12/12/57) Azahar M.Z. and Mohsin S.S.J. (2003).Effect of taking chicken essence on stress and cognition of human volunteers. Malays J Nutr , 9, 19-29. Elderly Dementia Linked to Homocysteine.(2003) American Journal of Clinical Nutrition , March

28 2003. In WebMD Medical News: http: // my.webmd.com/content/Article / 61 / 67550.htm Somer, E. (1999).Food and mood. 2nd edition. Henry Holt and Company, New York. Somer, E. ( 2003).Memory and mind. In Nutrition for woman. 2nd edition. Henry Holt and Company,New York. : 347-359. Ward, E. (2004). Boost brain and sharpen Mind by eating smart, keeping healthy. Environmental Nutrition.August: 1.

29 ภาคผนวก

30 แบบสอบถาม เรื่อง พฤติกรรมการรบั ประทานอาหารเช้าของนสิ ิตสาขาสขุ ศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน คาช้ีแจง การศึกษาครงั้ น้ี มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือศึกษา ความรู้ เจตคติ และพฤติกรรมการรับประทานอาหารเชา้ ของ นิสิตสาขาสุขศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปกี ารศึกษา 2557 โดยมรี ายละเอียดดังน้ี แบบสอบถาม ประกอบด้วยข้อมูล 4 ส่วน ได้แก่ สว่ นท่ี 1 ขอ้ มูลท่ัวไป จานวน 6 ขอ้ ส่วนที่ 2 ความรู้เก่ยี วกับอาหารเชา้ จานวน 10 ขอ้ ส่วนท่ี 3 ทศั นคติต่อการรบั ประทานอาหารเช้า จานวน 10 ข้อ ส่วนที่ 4 พฤตกิ รรมการรับประทานอาหารเชา้ จานวน 10 ขอ้ ขอให้ท่านกรอกขอ้ มูลแต่ละส่วนให้สมบูรณต์ รงตามความเป็นจรงิ เพื่อประโยชนใ์ นการนาไปวิเคราะห์ ในภาพรวมเพ่ือใชใ้ นการเรยี นของนิสิตสาขาวชิ าสขุ ศึกษา คาตอบทง้ั หมดจะเป็นความลับไมม่ ีผลใดๆต่อท่าน และขอขอบคุณลว่ งหน้ามา ณ โอกาสนี้ นายพภิ พ ทองจนั ทร์ นิสติ ชน้ั ปี4 สาขาวิชาสขุ ศกึ ษา ภาควิชาพลศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ วทิ ยาเขตบางเขน

31 ส่วนท่ี 1 ข้อมูลทัว่ ไป คาช้ีแจง: โปรดทาเครื่องหมาย  ลงในช่องว่าง หรอื เตมิ ข้อความทต่ี รงกับความเปน็ จรงิ เกี่ยวกบั ท่านให้มากทส่ี ดุ และโปรดตอบทกุ ข้อคาถาม 1. เพศ ( ) 2. หญิง ( ) 1. ชาย 2. อายุ …………ปี (จานวนเตม็ ปีบรบิ ูรณ์) 3. ชนั้ ปี ( ) ชัน้ ปีที่ 1 ( ) ชัน้ ปีที่ 2 ( ) ชน้ั ปีท่ี 3 ( ) ช้ันปที ี่ 4 4. น้าหนัก ..................... กโิ ลกรัม 5. สว่ นสูง ........................... เซนติเมตร 6. ทา่ นมีโรคประจาตัวหรอื ไม่ (โรคประจาตวั หมายถึง โรคทเ่ี ปน็ อย่ใู นอดีตจนถึงปัจจุบัน เชน่ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดนั โลหิตสูง วณั โรค โรคไต ภูมิแพ้ หอบ หืด มะเรง็ โรคเครียด ฯลฯ) ( ) 1. ไมม่ ี ( ) 2. มี (ระบุ) เป็นโรค…………………………

32 ส่วนท่ี 2 ความรูเ้ กย่ี วกับอาหารเชา้ คาชี้แจง : โปรดทาเครื่องหมาย ลงในช่องวา่ งด้านขวาท่ีตรงกบั ความรู้ของท่านมากท่ีสดุ เพยี งข้อเดียวและ โปรด ตอบทุกขอ้ คาถาม ขอ้ คาถาม คาตอบ 1. การรับประทานอาหารเช้า ช่วยควบคุมโรคอ้วน และน้าหนักได้ ใช่ ไม่ใช่ ไม่ทราบ 2. การรบั ประทานอาหารเชา้ อยา่ งสม่าเสมอ ช่วยลดความเสย่ี งตอ่ การเกิดโรคเส้น เลอื ดสมองและโรคหวั ใจ 3.การรบั ประทานอาหารเชา้ มีสว่ นเพ่มิ ประสิทธภิ าพการเรียน 4.การรบั ประทานอาหารเชา้ ชว่ ยลดความเสยี่ งในการเกดิ โรคเบาหวาน 5.การรบั ประทานอาหารเชา้ เป็นประจา ทาใหร้ า่ งกายได้รับสารอาหารทเ่ี พยี งพอ 6.การรบั ประทานอาหารเชา้ ช่วยให้ระดบั ความเข้มข้นในเลือดเจือจางลง 7.การไม่รบั ประทานอาหารเช้า ทาให้คอเลสเตอรอลในถุงน้าดีจับตัวกนั นาน 8.การไม่รับประทานอาหารเช้าจะทาให้เรารสู้ ึกหงุดหงิดและอารมณเ์ สียงา่ ย 9.อาหารเชา้ สามารถช่วยลดปัจจยั เส่ยี งการเปน็ โรคอ้วนลงพุงและทาให้ภาวะ ตอบสนองตอ่ อินซูลนิ ลดลง 10.ช่วงเวลาทค่ี วรทานอาหารเชา้ คอื ช่วงเวลาระหว่าง 07.00 – 09.00 น. เพราะจะทาให้ระบบขบั ถ่ายทางานได้เป็นอย่างดี

33 ส่วนท่ี 3 ทัศนคติต่อการไม่รับประทานอาหารเชา้ คาช้ีแจง : โปรดทาเครอ่ื งหมาย ลงในชอ่ งวา่ งดา้ นขวาที่ตรงกบั ความคดิ เหน็ ของท่านมากทสี่ ุดเพยี งข้อ เดยี วและโปรดตอบทุกข้อคาถาม โดยแตล่ ะข้อคาตอบมคี วามหมาย ดังนี้ เห็นด้วยอย่างย่งิ หมายถึง ท่านมคี วามคิดเห็นตรงกับข้อความน้ันมากทสี่ ุด เหน็ ดว้ ย หมายถึง ท่านมีความคิดเห็นตรงกับข้อความนน้ั มาก ไมเ่ หน็ ด้วย หมายถงึ ทา่ นมีความคิดเห็นไมต่ รงกบั ข้อความนน้ั ไม่เห็นดว้ ยอยา่ งย่ิง หมายถึงท่านมีความคิดเห็นไม่ตรงกบั ข้อความนน้ั มากที่สดุ ข้อคาถาม เห็นด้วย เหน็ ด้วย ไม่เหน็ ดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย 1. การรบั ประทานอาหารเช้าเป็นเร่อื งทยี่ ุ่งยาก อย่างยิง่ อย่างย่ิง 2. การรบั ประทานอาหารเชา้ ไมส่ ่งผลเสยี ตอ่ ร่างกาย 3. คนสว่ นมากก็ไมร่ ับประทานอาหารเช้ากนั ท้ังนั้น 4. อาหารเชา้ เปน็ อาหารมือ้ หลกั และสาคญั ต่อรา่ งกายเป็น อยา่ งมาก 5. ฉนั ไมช่ อบรับประทานอาหารเช้าเพราะกลัวอว้ น 6. อาหารเชา้ หารบั ประทานได้งา่ ยสาหรับฉนั 7. ฉันชอบรบั ประทานอาหารเช้าท่ีหลากหลาย 8. อาหารเช้าไม่รบั ประทานก็ได้ 9. อาหารเช้าควรรับประทานมากกวา่ ม้อื อน่ื ๆ 10. การรบั ประทานอาหารเช้าทาใหฉ้ นั เรียนอย่างมี ประสิทธภิ าพมากย่ิงข้ึน

34 ส่วนท่ี 4 พฤตกิ รรมการบริโภคอาหารเชา้ คาช้ีแจง : โปรดทาเคร่อื งหมาย ลงในช่องวา่ งด้านขวาท่ีตรงกับการปฏิบตั ิจรงิ ของทา่ นมากทีส่ ุดเพยี งข้อ เดยี วและโปรดตอบทุกข้อคาถาม โดยแต่ละข้อคาตอบมคี วามหมาย ดังน้ี มากท่สี ุด หมายถงึ ปฏบิ ัตเิ ป็นประจาและสมา่ เสมอ (ประมาณ 5-7 วัน ใน 1 สปั ดาห)์ มาก หมายถึง ปฏิบัตเิ ปน็ ประจาแตไ่ ม่สม่าเสมอ (ประมาณ 1-3 วนั ใน 1 สปั ดาห์) นอ้ ย หมายถึงปฏบิ ตั ิเปน็ บางครัง้ (ประมาณ 1-2 วัน ใน 1 สปั ดาห)์ น้อยทส่ี ดุ หมายถึง ปฏิบตั นิ านๆ ครง้ั หรือไม่ปฏบิ ตั เิ ลย ข้อคาถาม มากทส่ี ดุ มาก น้อย นอ้ ยทีส่ ุด 1. ทา่ นรับประทานอาหารเช้าเป็นประจาทุกวัน 2. .ทา่ นเลือกรบั ประทานอาหารทค่ี านึงถึงการได้รบั สารอาหารครบ 5 หมู่ 3. ท่านรบั ประทานอาหารเชา้ ท่ีปรุงเองมากกว่าซื้ออาหารมา รับประทาน 4. ทา่ นรับประทานอาหารเช้าในปริมาณที่มากกว่ามื้ออนื่ ๆ 5.ท่านรับประทานอาหารเช้าประเภท แฮมเบอร์เกอร์ ,สเต็ก แซนต์วชิ ,พาย, พิชซ่า เปน็ ประจา 6. ทา่ นลมื รบั ประทานอาหารเชา้ เปน็ ประจา 7. ทา่ นรับประทานอาหารเช้ากอ่ น 7.00-9.00 น. เป็นประจา 8. ทา่ นรบั ประทานอาหารเช้ากอ่ นไปเรียนทกุ วนั 9. ทา่ นรบั ประทานอาหารม้ืออื่นๆมากกว่ารับประทาน อาหารม้ือเชา้ 10. ท่านชอบรับประทานอาหารเชา้ แบบงา่ ยๆเช่น โจ๊กหมู, ขนมปงั ,ไขด่ าว


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook