Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการดำเนินการทางวินัย สำนักงาน ก.ค.ศ.

คู่มือการดำเนินการทางวินัย สำนักงาน ก.ค.ศ.

Published by Tawesak Nasok, 2022-08-05 03:38:41

Description: คู่มือการดำเนินการทางวินัย สำนักงาน ก.ค.ศ.

Search

Read the Text Version

~ 235 ~   2. การพจิ ารณาวนิ ิจฉยั อุทธรณโ ทษไมรายแรง การพิจารณาวินจิ ฉยั อทุ ธรณโทษไมร ายแรง มหี ลักเกณฑในการพจิ ารณา ดังนี้ 2.1 ถา เห็นวา การส่งั ลงโทษถูกตองและเหมาะสมกบั ความผิดแลวใหมมี ติยกอุทธรณ 2.2 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา ผูอ ุทธรณไดก ระทาํ ผิดวนิ ัยไมร ายแรง แตค วรไดรับโทษหนักข้ึน ใหมีมติใหเพิ่มโทษเปนสถานโทษ หรืออตั ราโทษที่หนักขึ้น 2.3 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา ผูอุทธรณไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ควรไดรับโทษเบาลง ใหมีมติใหลดโทษเปนสถานโทษ หรืออตั ราโทษทเี่ บาลง 2.4 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา ผูอุทธรณไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ซึ่งเปนการกระทําผิดวินัยเล็กนอยและมีเหตุอันควร งดโทษ ใหม มี ตใิ หส ัง่ งดโทษโดยทาํ เปนทณั ฑบนเปน หนงั สือหรือวา กลา วตกั เตอื นกไ็ ด 2.5 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตอง และเห็นวาการกระทําของผูอุทธรณไมเปน ความผิดวินยั หรือพยานหลักฐานยงั ฟง ไมไดวาผูอทุ ธรณกระทาํ ผดิ วนิ ัย ใหมีมตใิ หยกโทษ 2.6 ถาเห็นวาขอความในคําสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสม ใหมีมติใหแกไข เปลีย่ นแปลงขอความใหเปนการถกู ตองเหมาะสม 2.7 ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวากรณี มีมูลท่ีควรกลาวหาวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวนวินยั อยา งรา ยแรง ตามมาตรา 98 วรรคสอง และดําเนินการตามกฎหมาย ตอไป 2.8 ในกรณีท่ีเห็นวาเปนความผิดวินัยอยางรายแรงกรณีความผิดท่ีปรากฏชัดแจง ตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. หรือเห็นวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดมีการ ดําเนินการทางวินัยตามมาตรา 98 วรรคสองแลว ใหมีมติเพ่ิมโทษเปนปลดออกหรือไลออก จากราชการ

~ 236 ~   2.9 ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวา ผูอุทธรณมีกรณีที่สมควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออกจากราชการ กรณี ไมเล่ือมใสในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยทรงเปนประมุข ตามรัฐธรรมนูญแหง ราชอาณาจักรไทย ตามมาตรา 110 (4) หรือกรณีหยอนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่ ราชการ บกพรองในหนาที่ราชการ หรือประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาท่ีราชการ ตามมาตรา 111 หรือกรณีมีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวน ตามมาตรา 112 ใหม ีมติใหผบู ังคับบัญชาแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน และดําเนินการตามกฎหมายตอไป 2.10 ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอื่นใด เพ่ือใหมีความถูกตองตามกฎหมาย และมีความเปนธรรม ใหมมี ติใหด าํ เนินการไดต ามควรแกกรณี การออกจากราชการของผูอุทธรณไมเปนเหตุท่ีจะยุติการพิจารณาอุทธรณ แตจะมีมติใหเพ่ิมโทษ ตาม 2.2 หรือใหแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออก ตาม 2.9 ไมได และถาเปนการออกจากราชการเพราะตาย จะมีมติใหแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย อยางรา ยแรง ตาม 2.7 หรือจะมีมติเพม่ิ โทษเปนปลดออกหรือไลอ อก ตาม 2.8 ไมไดเ ชนเดยี วกนั ในกรณีที่มีผูถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ไดกระทํารวมกัน และเปนความผิด ในเรื่องเดียวกัน โดยมีพฤติการณแหงการกระทําอยางเดียวกัน เมื่อผูถูกลงโทษคนใดคนหน่ึง ใชสิทธิอุทธรณคําสั่งลงโทษดังกลาว และผลการพิจารณาเปนคุณแกผูอุทธรณ แมผูถูกลงโทษ คนอื่นจะไมไดใชสิทธิอุทธรณหากพฤติการณของผูไมไดใชสิทธิอุทธรณเปนเหตุในลักษณะคดี อนั เปน เหตุเดยี วกบั กรณีของผูอุทธรณแลว ใหมีมติใหผูที่ไมไดใชสิทธิอุทธรณไดรับการพิจารณา การลงโทษใหม ผี ลในทางทเ่ี ปนคุณเชนเดยี วกับผูอุทธรณด วย 3. การพจิ ารณาวินจิ ฉัยอุทธรณโ ทษรายแรง การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณโทษวินัยรายแรง ใหนําหลักเกณฑในการพิจารณา วินิจฉัยโทษไมร า ยแรงมาใชโดยอนุโลม

~ 237 ~   4. การสง่ั การตามมติ เม่ือ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ไดมีมติแลว ผูมีอํานาจตามมาตรา 53 ตองสั่งหรือปฏิบัติใหเปนไปตามนั้น และผูอุทธรณ จะอุทธรณตอไปอีกไมได เมื่อผูบังคับบัญชาไดสั่งหรือปฏิบัติตามมติดังกลาวแลว ตองมีหนังสือ แจงใหผ อู ทุ ธรณท ราบ พรอ มท้ังแจงสิทธิการฟองคดีตอศาลปกครองภายใน 90 วัน ใหผูอุทธรณ ทราบดวย เวนแตกรณีท่ีเปนการพิจารณาอุทธรณโทษวินัยไมรายแรง แลวเพ่ิมโทษจาก ภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน เปนโทษปลดออกหรือไลออก หรือใหออก ท่ีไมใชโทษ ใหแจงสิทธิการอุทธรณ หรือรองทุกขแลวแตกรณี ตอ ก.ค.ศ.ไดอีกคร้ังหน่ึง ภายใน 30 วัน นบั แตว นั ไดรับแจง ผลการพจิ ารณาอุทธรณ 5. รปู แบบการวินจิ ฉยั การจัดทํารายงานการประชุมและการจัดทํามติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือมติ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ใหดําเนินการจัดใหมีเหตุผลไวในคําวินิจฉัยดวย ตามนยั พระราชบัญญตั วิ ธิ ปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 6. สิทธิของผอู ทุ ธรณกรณียกอทุ ธรณหรือเปลีย่ นแปลงโทษ 6.1 ในกรณีท่ี อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. มีมติ ใหยกอุทธรณ หรือเพ่ิมโทษ หรือลดโทษ ผูอุทธรณจะอุทธรณตอไปไมได เวนแตกรณีมีมติให เพ่ิมโทษจากโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน เปนโทษปลดออกหรือไลออก จากราชการ หรือมีมติใหส่ังใหออกจากราชการ ผูอุทธรณมีสิทธิท่ีจะอุทธรณหรือรองทุกข แลว แตกรณี ตอ ก.ค.ศ. ตามมาตรา 122 ไดอีกครง้ั หนง่ึ 6.2 กรณีการพิจารณาอุทธรณคําส่ังลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ เม่อื ก.ค.ศ. มีมตเิ ปน ประการใดแลว ผูอทุ ธรณจะอทุ ธรณหรอื รอ งทกุ ขตอ ไปอกี ไมไ ด 6.3 เมื่อ ก.ค.ศ. มีมติใหยกโทษ หรือใหลดโทษจากโทษวินัยรายแรงเปนภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน และใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการตามเดิม ก็ใหผูมีอํานาจ

~ 238 ~   ตามมาตรา 53 สั่งใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการในตําแหนงและวิทยฐานะเดิม หรือตําแหนง ในระดับเดียวกันท่ีตองใชคุณสมบัติเฉพาะที่ผูนั้นมีอยู แนวทางปฏิบัติผูบังคับบัญชาตองยกเลิก คําสั่งเดิม และส่ังใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ ในการส่ังใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ ตอ งสง่ั เปนปจจบุ ัน เมอ่ื สั่งกลับเขา รับราชการแลวในกรณที มี่ โี ทษจึงสั่งลงโทษไปตามมติ 6.4 ในกรณีท่ีสั่งใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ มาตรา 124 บัญญัติวา ใหนํามาตรา 103 มาใชบังคับโดยอนุโลม กลาวคือ กฎหมายรับรองใหผูอุทธรณมีสถานภาพเปนขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาตลอดระยะเวลาท่ีถูกปลดออกหรือไลออกจากราชการ เสมือนเปน ผูถูกสั่งพักราชการ และไมมีกรณีท่ีจะตองออกจากราชการดวยเหตุอื่น ผูอุทธรณจึงมีสิทธิ นับอายุราชการตอเนื่อง และมีสิทธิไดรับเงินเดือนในระหวางถูกปลดออกหรือไลออกจากราชการ 32 ทั้งนี้ มขี อ สงั เกตวา ตองเปนกรณถี งึ ที่สดุ แลว เทานน้ั 6.5 ในกรณีท่ีอุทธรณฟงขึ้นในประเด็นขอกฎหมาย เน่ืองจากการลงโทษไมเปนไป ตามกระบวนการขั้นตอน ที่กฎหมายกําหนด ทําใหคาํ สงั่ ลงโทษเปนคําสัง่ ทไี่ มชอบดวยกฎหมาย ผูบังคับบัญชา จึงตองยกเลิกคําสั่งและสั่งใหผูอุทธรณกลับเขารับราชการ ( เวนแตเปนกรณี ถกู พักราชการหรอื ใหอ อกจากราชการไวกอ น) แลวดําเนนิ การทางวินัยแกผูอุทธรณใ หม คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ท่ี อ. 315/2549 หนวยงานจะเบิกจายเงินเดือน ในระหวางที่มิไดมาปฏิบัติราชการใหแกขาราชการซ่ึงถูกส่ังปลดออกหรือไลออกจากราชการ โดยไมชอบดวยกฎหมายไดก ็ตอ เม่ือการดําเนินการทางวินัยถึงท่ีสดุ แลว หากภายหลงั จากมีคําส่ัง เพิกถอนคําส่ังปลดออกหรือไลออกจากราชการแลว ยังมีการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ทางวนิ ัยในขอหาเดมิ อกี ไมว า จะเปน ความผิดวนิ ยั อยางรายแรงหรอื ไมก ็ตาม ถอื ไดวา กระบวนการ ดาํ เนินการทางวนิ ัยยังไมถ งึ ทสี่ ดุ หนว ยงานจงึ ยังไมม หี นาที่เบกิ จายเงนิ เดือนดังกลา ว                                                             32  ระเบยี บกรมบัญชีกลาง วา ดวยการจายเงินเดอื นใหแ กข าราชการซ่ึงออกจากราชการโดยคาํ สัง่ ลงโทษทางวินยั หรอื คําสัง่ ใหอ อกจากราชการแลว ไดรบั การพิจารณายกเลกิ เพกิ ถอน หรอื เปลี่ยนแปลงคําส่ังเปนอยา งอื่น พ.ศ. 2551

~ 239 ~   7. ผลของคาํ วินิจฉัยอทุ ธรณ ผลของคาํ วนิ จิ ฉยั อุทธรณ หรือมติขององคคณะผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณมีผลผูกพัน หนวยงานและผูบังคบั บัญชาใหตอ งปฏิบตั ิใหเ ปนไปตามคําวินจิ ฉัย หรือตามมตนิ ั้น 7.1 ในกรณีส่ังยกอทุ ธรณ มีผลเทา กับผูอุทธรณไดรับโทษตามคาํ ส่งั เดิมของผบู งั คับบญั ชา 7.2 ในกรณีสั่งเพ่ิมโทษ คําส่ังเพ่ิมโทษมีผลลบลางคําสั่งลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา และถอื วาผูอุทธรณถ กู ลงโทษตามคําสงั่ เพม่ิ โทษนนั้ 7.3 ในกรณีสั่งลดโทษ คําสั่งลดโทษมีผลลบลางคําสั่งลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา และถอื วา ผูอทุ ธรณถ กู ลงโทษตามคาํ ส่ังลดโทษนนั้ 7.4 ในกรณีส่ังยกโทษ คําส่ังยกโทษมีผลลบลางคําส่ังลงโทษเดิมของผูบังคับบัญชา และถือวา ผูอทุ ธรณไ มเ คยถกู ลงโทษในกรณนี นั้ อนง่ึ คาํ สั่งลงโทษเดิมน้นั ตองเก็บรวมไวในสาํ นวนเพื่อเปน หลกั ฐานดวย 8. อุทธรณที่ไมอาจรบั ไวพ จิ ารณาได อทุ ธรณท ่ไี มอาจรบั ไวพ ิจารณาไดตามกฎหมาย คือ 8.1 อทุ ธรณท ยี่ ่ืนเกนิ 30 วนั 8.2 อทุ ธรณท ผ่ี อู ุทธรณไมล งลายมอื ชื่อในหนังสอื อุทธรณ 8.3 อทุ ธรณที่เปนการอทุ ธรณแทนผูอนื่ 8.4 อุทธรณทไี่ มม ีสาระ  

บทที่ 8 การรอ งทุกข การจัดใหมีหลักประกันเพ่ือความเปนธรรมสําหรับขาราชการ เปนหลักการที่สําคัญ ประการหนึ่งในการบริหารงานบุคคล อันเปนการเสริมสรางขวัญกําลังใจและประสิทธิภาพ ในการปฏิบัติงานของขาราชการ โดยมีจุดมุงหมายที่สําคัญเพ่ือคุมครองปองกันมิใหขาราชการ ถูกกล่ันแกลง หรอื ไดร บั การปฏบิ ตั โิ ดยไมเปนธรรม ความหมาย การรองทุกข หมายถึง การที่ขาราชการรองขอความเปนธรรมขอใหแกไขปญหาที่เห็นวา ตนไมไ ดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจเนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา ในเร่ือง เก่ียวกับการบริหารงานบุคคล ไมวาการกระทําน้ันจะเปนการใชอํานาจตามกฎหมาย หรือ เปน การใชดลุ พนิ จิ ของผูบงั คับบัญชา ผูอยูใตบ งั คบั บญั ชายอมมีสทิ ธิรองทุกขไ ดโ ดยชอบ ความสําคญั การรองทุกข เปนวิธีการหนึ่งที่เปดโอกาสใหผูอยูใตบังคับบัญชาไดระบายความคับของใจ ในการปฏิบัติของผูบังคับบัญชาเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลที่ไดปฏิบัติตอตนวา เปนการกระทํา ที่ไมถูกตอง ทั้งน้ี เพื่อผูบังคับบัญชาจะไดทบทวนการปฏิบัติตอผูอยูใตบังคับบัญชา และแกไข ในส่ิงที่ไมถูกตอง หรือชี้แจงเหตุผลความถูกตองที่ไดปฏิบัติไปใหผูรองทุกขทราบและเขาใจ หรือใหผูบังคับบัญชาเหนือข้ึนไปไดพิจารณาใหความเปนธรรมตามสมควร ซึ่งจะกอใหเกิด ความสัมพันธอันดีระหวางผูบังคับบัญชากับผูอยูใตบังคับบัญชา โดยกระบวนการรองทุกข กาํ หนดใหมีการรองทุกขดวยวาจาเพื่อไดทําความเขาใจกันกอน หากไมเปนที่พอใจจึงใหรองทุกข เปนหนังสือ นอกจากนั้นการรองทุกขยังเปนชองทางใหมีการตรวจสอบและถวงดุลการใชอํานาจ ของผูบ งั คับบญั ชาใหเปนไปโดยถูกตอ งและเปน ธรรมดว ย

~ 241 ~   ข้ันตอนและวธิ ีการรองทกุ ข 1. ผูมีสทิ ธริ อ งทุกข 1.1 เปนขา ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา 1.2 ถูกกระทบสิทธิหรือไมไดร บั ความเปน ธรรมจากการปฏิบตั ขิ องผบู งั คบั บัญชา 2. เหตทุ ีจ่ ะรองทกุ ข 2.1 ไมไดรับความเปนธรรม หรือคับของใจจากการกระทําของผูบังคับบัญชา เชน การชว ยราชการ, การยาย, การเลือ่ นขัน้ เงินเดอื น, การบรรจุและแตงตั้ง ฯลฯ 2.2 ถูกตง้ั คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัย ตามมาตรา 98 2.3 ถูกสั่งพักราชการ ตามมาตรา 103 กรณีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง จนถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรือถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทําความผิดอาญา เวนแตเปนความผดิ ที่ไดกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ 2.4 ถูกส่ังใหออกจากราชการไวกอน ตามมาตรา 103 และเปนกรณีเขาเหตุตาม ขอ 2.3 2.5 ถูกสงั่ ใหอ อกจากราชการ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจถูกสั่งใหออกจากราชการไดหลายกรณี ตามมาตรา 107 แหงพระราชบัญญัติระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 เชน (1) ถูกส่งั ใหอ อกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติท่ัวไป หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะ สําหรบั ตาํ แหนงอยกู อ นบรรจุ (มาตรา 49) (2) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะทดลองปฏิบัติหนาท่ีราชการ หรือเตรียม ความพรอมและพัฒนาอยางเขม แลวปรากฏวาไมเหมาะสมที่จะใหรับราชการตอไป เน่ืองจาก ผลการประเมินการปฏิบัติหนาท่ีราชการ หรือเตรียมความพรอมและพัฒนาอยางเขม ต่ํากวา เกณฑที่ ก.ค.ศ. กําหนด (มาตรา 56)

~ 242 ~   (3) ถูกส่ังใหอ อกจากราชการไวก อ น เพอื่ รอฟงการสอบสวนพิจารณา (มาตรา 103) (4) ถูกส่งั ใหอ อกจากราชการเพราะเหตรุ ับราชการนาน (มาตรา 110) (5) ถูกส่งั ใหอ อกจากราชการเพอื่ รับบําเหน็จบาํ นาญเหตุทดแทน (มาตรา 110) (6) ถกู สง่ั ใหอ อกจากราชการเพราะเหตเุ จ็บปวยไมอาจปฏิบตั ิหนา ท่ีราชการได (7) ถูกส่ังใหออกจากราชการ เพราะสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค ของทางราชการ (8) ถูกส่ังใหออกจากราชการเพราะขาดคุณสมบัติท่ัวไปตามมาตรา 30 (1) (4) (5) (7) (8) หรือ (9) (9) ถกู สั่งใหอ อกจากราชการเพราะเหตุทางราชการเลกิ หรอื ยุบตําแหนง (10) ถกู สัง่ ใหอ อกตามมาตรา 30 (3) (11) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะหยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ ราชการ หรอื บกพรอ งในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงหนาท่ีราชการ (มาตรา 111) (12) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะมีมลทินมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวน (มาตรา 112) (13) ถูกส่ังใหออกจากราชการเพราะตองรับโทษจําคุกโดยคําสั่งศาล หรือ โดยคําพิพากษา ถึงที่สุดใหจําคุก โดยศาลไมรอการลงโทษในความผิดท่ีไดกระทําโดยประมาท หรือความผิด ลหุโทษ ซ่ึงยังไมถึงกับจะตองถูกลงโทษปลดออกหรือไลออก ซ่ึงผูบังคับบัญชา จะสงั่ ใหผนู ัน้ ออกจากราชการเพอ่ื รบั บาํ เหน็จบํานาญเหตุทดแทนได (มาตรา 113) (14) ถูกส่งั ใหออกจากราชการเพ่ือไปรบั ราชการทหาร (มาตรา 114) (15) ถกู สั่งใหอ อกจากราชการเพราะมีเหตสุ มควรใหออกอยูกอนวันโอนมาบรรจุ (มาตรา 118) (16) ถูกสั่งใหออกจากราชการเพราะถูกเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามมาตรา 109

~ 243 ~   3. วิธกี ารรอ งทุกข ถาผูรองทุกขไมประสงคจะปรึกษาหารือ หรือปรึกษาหารือแลวไมเปนท่ีพอใจก็อาจ ดาํ เนนิ การตอไปได ดงั นี้ 3.1 ทาํ หนังสือรอ งทุกขลงลายมือช่ือพรอ มทอ่ี ยขู องผรู องทกุ ข 3.2 หนังสือรองทุกขตองมีสาระสําคัญท่ีแสดงขอเท็จจริงและเหตุผลใหเห็นวา ไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจอยางไร และแจงความประสงคของการรองทุกข พรอ มพยานหลกั ฐานท่มี ี 3.3 ยน่ื ภายใน 30 วัน นบั แตวนั ทไ่ี ดท ราบหรอื ควรทราบเหตแุ หง การรอ งทกุ ข 3.4 รองทุกขไ ดสาํ หรับตนเองเทาน้ัน จะรองทกุ ขแ ทนผอู ่นื หรือใหผูอื่นรองทุกขแทน ไมได 3.5 การยื่นหนังสือรองทุกข ผูรองทุกขอาจนําไปยื่นเองหรือสงทางไปรษณียก็ได โดยถือวนั ท่ที ่ไี ปรษณยี ประทับตรารับที่ซองเปน วนั สงหนงั สือรอ งทุกข 3.6 ผรู องทุกขจะย่ืนหรือสง หนังสือรองทุกข พรอมกบั สาํ เนารับรองถูกตอ งหน่ึงฉบับ ผานผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขก็ได และใหผูบังคับบัญชานั้นสงหนังสือรองทุกข พรอมท้ังเอกสารหลักฐานท่ีเกี่ยวของ โดยใหมีคําชี้แจงประกอบดวย เพ่ือประกอบการพิจารณา ของผูมอี ํานาจพิจารณารองทุกข ภายใน 7 วันทําการ นับแตวันท่ีไดร บั หนงั สือรอ งทกุ ข สิทธขิ องผรู อ งทุกข 1. สทิ ธทิ จ่ี ะขอแถลงการณด ว ยวาจา ในการรองทุกข ถาผูรองทุกขประสงคจะขอแถลงการณดวยวาจา ใหแจงความ ประสงคไวในหนังสือรองทุกขดวย หรือจะทําเปนหนังสือตางหากก็ได โดยยื่นหรือสงตรงตอ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา หรอื อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตง้ั หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี กอ นเริ่มพจิ ารณา เรอื่ งรอ งทุกข

~ 244 ~   2. สิทธทิ จ่ี ะรองทุกขห รือสงเอกสารเพม่ิ เตมิ เม่ือไดย่ืนหนังสือรองทุกขไวแลว ผูรองทุกขจะย่ืนหรือสงหนังสือรองทุกข หรือ เอกสารเพ่ิมเติมกอนที่ผมู อี าํ นาจพจิ ารณาเรอ่ื งรอ งทกุ ขจะเร่มิ พจิ ารณาเร่ืองรอ งทกุ ขกไ็ ด 3. สทิ ธิท่ีจะคดั คานอนุกรรมการหรือกรรมการผูพ ิจารณารอ งทกุ ข ผูรองทุกขมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาเร่ืองรองทุกข ถาผูนั้น มีเหตอุ ยางหนงึ่ อยา งใด ดงั ตอไปน้ี (1) เปน ผบู งั คับบัญชาผเู ปนเหตุแหง การรองทกุ ข (2) มสี ว นไดเ สยี ในเรื่องท่รี องทกุ ข (3) มสี าเหตุโกรธเคืองผูร องทุกข (4) เปนคูสมรส บพุ การี ผูสืบสันดาน หรือพ่ีนองรวมบิดามารดา หรือรวมบิดาหรือ มารดากบั ผูบ งั คับบัญชาผูเ ปนเหตุแหงการรองทกุ ข 4. สิทธิที่จะขอถอนเรื่องรองทกุ ข ในกรณีที่ผูรองทุกขไมประสงคจะใหมีการพิจารณาเร่ืองรองทุกขตอไป จะขอถอน เร่ืองรองทุกขกอนที่ผูมีอํานาจพิจารณารองทุกขจะพิจารณาเสร็จสิ้นก็ได โดยทําเปนหนังสือยื่น หรือสงตอผูมีอํานาจพิจารณารองทุกข เมื่อไดถอนเรื่องรองทุกขแลว การพิจารณาเรื่องรองทุกข น้นั เปน อนั ระงับ 5. สิทธทิ จี่ ะฟองคดตี อ ศาลปกครอง ในกรณที ผ่ี ูรอ งทุกขไ มพ อใจคําวนิ จิ ฉัยรองทุกข ผูรองทุกขมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง ไดต ามหลักเกณฑทีก่ าํ หนดในกฎหมายวาดว ยการจดั ต้งั ศาลปกครองและวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง ผูมอี าํ นาจพิจารณารอ งทุกข 1. ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีสังกัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ใหรองทุกขได ดังน้ี

~ 245 ~   (1) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ หรือคําส่ังของ ผบู งั คับบัญชาซึ่งสั่งการตามมติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา หรือกรณีเหตุรองทุกข เกิดจาก การถกู ส่งั พักราชการตามมาตรา 103 ใหร องทุกขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปนผูพิจารณา (2) ในกรณที ่เี หตรุ องทุกขเกิดจากผูบังคับบัญชาตั้งแตผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาลงมา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ.เขตพ้ืนท่ีการศึกษา และให อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา เปน ผูพิจารณา 2. ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มิไดสังกัดเขตพื้นท่ีการศึกษา ใหรองทุกขได ดงั นี้ (1) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวง หรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือกรณีเหตุรองทุกข เกดิ จากการถูกสง่ั พกั ราชการตามมาตรา 103 ใหร องทุกขต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพจิ ารณา (2) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการ อธิบดีหรือ ตําแหนงที่เรียกชื่ออยางอื่นที่มีฐานะเทียบเทา อธิบดีการบดีหรือตําแหนงท่ีเรียกช่ืออยางอ่ืน ท่ีมีฐานะเทียบเทาผูอํานวยการสํานัก ผูอํานวยกอง ผูอํานวยการสถานศึกษา หรือตําแหนง ที่เรียกชื่ออยางอ่ืนท่ีมีฐานะเทียบเทา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง และให อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง เปน ผพู ิจารณา ขัน้ ตอนการดําเนินการ 1. เมื่อไดรับหนังสือรองทุกขแลว ใหสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา หนวยงานหรือ สวนราชการที่ทําหนาที่เลขานุการ แลวแตกรณี มีหนังสือแจงพรอมทั้งสงสําเนาหนังสือรองทุกข ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาสงเอกสาร หลักฐานที่เกยี่ วของพรอมคาํ ชีแ้ จงไปเพอื่ ประกอบการพิจารณา ภายใน 7 วันทําการ นับแตวันท่ี ไดรับหนงั สือ

~ 246 ~   2. เจาหนาที่ผูรับผิดชอบการพิจารณาเร่ืองรองทุกข ตองตรวจสอบขอเท็จจริงและ ขอ กฎหมาย รวบรวมเอกสารหลกั ฐานทเ่ี ก่ียวของ สรปุ และทาํ ความเห็นเสนอท่ีประชุมพิจารณา 3. ในกรณีท่ีผูรองทุกขขอแถลงการณดวยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. เห็นวาการแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัย เร่อื งรอ งทุกข จะใหง ดการแถลงการณด ว ยวาจาเสียก็ได 4. ในกรณที น่ี ัดใหผ ูร อ งทกุ ขมาแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูบังคับบัญชา ผูเปนเหตุแหงการรองทุกขทราบดวยวา ถาประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลงหรือมอบหมาย เปนหนังสือใหเจาหนาท่ีท่ีเกี่ยวของเปนผูแทนมาแถลงตอท่ีประชุมครั้งนั้นก็ได ทั้งน้ี ใหแจง ลวงหนาตามควรแกกรณี และเพื่อประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุ แหงการรอ งทุกขหรือผแู ทนเขา ฟง คําแถลงการณด ว ยวาจาของผูรองทกุ ขไ ด การพจิ ารณาวนิ จิ ฉัยเรอื่ งรอ งทกุ ข 1. ให อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัย เรื่องรอ งทุกขใ หแ ลวเสรจ็ ภายใน 30 วัน นับแตว ันไดรับหนังสือรองทุกข และเอกสารหลักฐาน คําชี้แจงจากผูบังคับบัญชาแลว แตถามีความจําเปนไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จภายในเวลา ดังกลาว ใหขยายเวลาพิจารณาไดอีกไมเกิน 30 วัน และใหบันทึกแสดงเหตุผลความจําเปน ที่ตอ งขยายเวลาไวดวย 2. เมื่อครบกําหนดขยายเวลา 30 วันแลว การพิจารณายังไมแลวเสร็จใหขยายเวลา พิจารณาไดอกี ไมเ กนิ 30 วัน แตทั้งนี้ใหพิจารณากําหนดมาตรการท่ีจะทําใหการพิจารณาแลวเสร็จ โดยเร็ว และบันทึกไวเ ปน หลักฐานในรายงานการประชมุ ดว ย 3. การพิจารณาเรื่องรองทุกข ให อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาถึงเหตุแหงการไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ เนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือเหตุแหงการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน และ ในกรณีจําเปนและสมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานท่ีเก่ียวของเพ่ิมเติม รวมท้ังคําชี้แจง

~ 247 ~   จากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ หรือขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือ บุคคลใด ๆ มาใหถ อยคําหรอื ชีแ้ จงขอ เท็จจรงิ เพื่อประกอบการพิจารณาได 4. เม่ือ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ไดพิจารณา วินจิ ฉยั เรอื่ งรอ งทกุ ขแ ลว (1) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือ การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีปฏิบัติตอ ผูรอ งทุกขช อบดวยกฎหมายแลว ใหม มี ติยกคํารองทกุ ข (2) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือ การแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยนั้น ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีปฏิบัติตอ ผูรองทุกขโดยไมชอบดวยกฎหมาย ใหมีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติหรือใหขอแนะนํา ตามท่ีเห็นสมควร เพ่ือใหผูบังคับบัญชาปฏิบัติใหถูกตองตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของ ทางราชการ (3) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอื่นใด เพ่ือใหมีความถูกตองตามกฎหมาย และมีความเปนธรรม ใหม ีมตใิ หด าํ เนนิ การไดต ามควรแกกรณี (4) ถาเห็นวาการรองทุกขไมเปนไปตามหลักเกณฑ กลาวคือ การรองทุกขตองทําเปน หนังสือลงลายมือชื่อย่ืนภายในเวลา 30 วัน ย่ืนตอผูมีอํานาจพิจารณาตามที่กฎหมายกําหนด ใหมีมตไิ มรับคํารอ งทกุ ข กรณีผูรองทุกขไมลงลายมือชื่อในหนังสือรองทุกข อ.ก.ค.ศ.วิสามัญเกี่ยวกับ การอุทธรณและการรองทุกข (ทท่ี ําการแทน ก.ค.ศ.) ในคราวประชุมคร้ังที่ 7/2552 เมื่อวันท่ี 24 เมษายน 2552 เห็นวาเปนคํารองทุกขที่ไมชอบดวยกฎหมายที่จะรับไวพิจารณาวินิจฉัย จึงมีมติ ไมร ับคํารอ งทุกขไวพ จิ ารณา

~ 248 ~   (5) มติของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. ใหเปนทีส่ ุด หากผูรองทุกขยังไมพอใจอาจใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองไดภายใน 90 วัน นับแตวันไดรับ แจงคาํ วินจิ ฉัยรองทุกข 5. การพิจารณามีมติขางตน ใหบันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัยไวในรายงาน การประชมุ ดว ย 6. เม่ือไดมีมติดังกลาวแลว ใหผูบังคับบัญชาส่ังหรือปฏิบัติใหเปนไปตามมตินั้น ในโอกาสแรกท่ีทําได ในกรณีที่มีเหตุผลความจําเปนจะใหมีการรับรองรายงานการประชุม เสยี กอนก็ได และเมื่อไดสัง่ หรอื ปฏิบตั ติ ามมติดงั กลาวแลว ใหแจงใหผูรองทุกขทราบเปนหนังสือ โดยเรว็ การนับระยะเวลา การนับระยะเวลา 30 วัน สําหรับเวลาเร่ิมตนใหนับวันถัดจากวันแรกแหงเวลาน้ัน เปนวันเริ่มนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ใหน บั วนั เรม่ิ เปดทําการใหมเ ปนวนั สุดทายแหง ระยะเวลา

บรรณานุกรม สาํ นกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. รวมกฎหมาย กฎ ระเบียบการบรหิ ารงานบุคคล ดา นกฎหมายของขา ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา : โรงพิมพคุรสุ ภา, 2549 สํานักงานศาลปกครอง. แนวคําวนิ จิ ฉัยคดีปกครองเกีย่ วกับวินัยขาราชการ : กรงุ เทพฯ, 2551 สํานกั งานศาลปกครอง. บทวเิ คราะหเ หตุแหง การฟองคดปี กครองเกีย่ วกบั วินัยขาราชการ, 2549 มลู นิธวิ จิ ยั และพฒั นากระบวนการยุติธรรมทางปกครอง. สรปุ แนวทางการปฏบิ ัติ ราชการ จากคําวนิ ิจฉัยของศาลปกครองสูงสดุ เร่ือง การบรหิ ารงานบคุ คลภาครฐั : บรษิ ทั บพธิ การพิมพ จาํ กัด, 2551 สํานกั งานศาลปกครอง. สรุปหลักปฏิบตั ริ าชการจากคาํ วินิจฉยั ของศาลปกครองสงู สุด พ.ศ. 2548 : บรษิ ัทยูเน่ียนอุลตรา ไวโอเรต็ จํากดั , 2550 อนันต จินดารตั น. คาํ อธิบายวินยั ขา ราชการครแู ละการออกจากราชการ : โรงพมิ พการศาสนา, 2542 สถาบนั วิจัยและใหคําปรกึ ษาแหงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. รายงานการศึกษาวจิ ยั เรื่อง การพัฒนามาตรฐานโทษทางวินยั สาํ หรบั ขา ราชการครแู ละบคุ ลากร ทางการศึกษา : กรุงเทพฯ, 2551 อนันต จินดารัตน. คูม ือการดําเนนิ การทางวินยั สาํ หรบั ขาราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา : โรงพิมพก ารศาสนา, 2541 สํานักงานศาลปกครอง. รายงานการปฏบิ ตั ิงานศาลปกครองและสํานกั งานศาลปกครอง ประจาํ ป 2547 ประวีณ ณ นคร. พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บขา ราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 สรุปสาระสําคญั และคาํ อธบิ ายรายมาตรา : สวัสดิการสาํ นกั งาน ก.พ., 2551

~ 250 ~   อําพล เจรญิ ชวี นิ ทร. หลกั กฎหมายจากคาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ พ.ศ. 2544 : สาํ นกั พิมพ นิติธรรม, 2544 เอกศักด์ิ คงตระกลู . การบริหารงานบคุ คลขาราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา : วารสารวชิ าการศาลปกครอง ปท ี่ 6 ฉบับที่ 2 (พฤษภาคม – สิงหาคม), 2549 สพุ จน แสงครุธ. ศกึ ษากรณกี ารกระทาํ ผดิ วินยั ของขาราชการครู สังกดั สาํ นกั งานคณะกรรมการ การศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน ระหวา งป พ.ศ. 2535 – 2538 วทิ ยานพิ นธก ารศกึ ษาหาบัณฑติ : มหาวทิ ยาลยั บูรพา, 2541 กาํ พล วนั ทา. อํานาจในการออกคําส่ังลงโทษทางวินยั ขาราชการครู : วทิ ยานพิ นธนิติศาสตร มหาบัณฑติ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร, 2543 สติธร ธนานิธิโชต.ิ พฤตกิ รรมนิยม (Behavioralism) และสถาบันนิยม (Institutionalism) ในการเมืองเรือ่ งการเลือกตงั้ ของไทย : วารสารสถาบันพระปกเกลา ปท ่ี 5 ฉบบั ท่ี 3 กนั ยายน – ธนั วาคม 2550 สํานักงาน ก.ค. รายงานการศึกษาแนวทางการพัฒนาครูตามแนวพระราชดาํ รขิ อง พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยหู ัว : 2544 สาํ นกั งาน ก.พ. คมู อื การดําเนนิ การทางวินัย : กลมุ โรงพิมพส าํ นักบรหิ ารกลาง สาํ นักงาน ก.พ., 2549 สํานกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศกึ ษาธิการ. คมู ือการบรหิ ารงานบุคคลของขา ราชการครแู ละ บคุ ลากรทางการศกึ ษา : โรงพมิ พ สกสค. ลาดพราว, 2552 สํานกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธิการ. คูมือการดาํ เนินการทางวินัยสําหรับขา ราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา : โรงพิมพองคการคาของ สกสค. , 2550 ราชบัณฑติ ยสถาน. พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 : นานมบี ุคสพ ับลเิ คช่นั ส กรุงเทพมหานคร, 2546

~ 251 ~   ไพโรจน สติ ปรีชา. การบรหิ ารงานบคุ คลในราชการพลเรือนไทย : บรษิ ัทสาํ นกั พิมพ ไทยวฒั นาพานิช จํากัด กรุงเทพฯ, 2523 สาํ นักงานศาลปกครอง. สรุปแนวทางปฏบิ ตั ริ าชการจากคาํ วนิ จิ ฉยั ของศาลปกครองสูงสดุ เรื่อง การบรหิ ารงานบคุ คลภาครัฐ : บรษิ ทั บพี ิธการพิมพ จาํ กัด, 2551 มนญู สะมาลา. ปญ หาเก่ยี วกับการพจิ ารณาวนิ ัยขา ราชการ : วทิ ยานพิ นธนิตศิ าสตรมหาบัณฑิต บัณฑิตวทิ ยาลัย จุฬาลงกรณม หาวิทยาลยั , 2539 สุวรรณ ชนะสงคราม. การทํารายงานการสอบสวน, เอกสารอัดสําเนาประกอบการบรรยาย, 2550 สาํ นกั งานปฏริ ูปการศึกษา. ขอ วเิ คราะหเ กี่ยวกับการจัดระบบองคกรกลางบริหารงานบคุ คล ในหนว ยงานทางการศึกษา : กลุม งานกฎหมาย กรงุ เทพฯ, 2545 สาํ นกั งาน ก.ค.ศ. กระทรวงศึกษาธกิ าร, รายงานการวจิ ัยการศกึ ษาสภาพและความคาดหวัง ในการปฏบิ ตั ิงานของคณะอนกุ รรมการขาราชการครู, 2552 สถาบันวิจัยและใหค ําปรกึ ษาแหงมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. รายงานการศกึ ษาวิจัย เรือ่ ง การพฒั นามาตรฐานโทษทางวินัยสาํ หรบั ขา ราชการครแู ละบุคลากร ทางการศกึ ษา, 2551 สถาบันวิจยั และใหค าํ ปรึกษาแหง มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร. รายงานการศกึ ษาวิจัย เร่อื ง การพฒั นากฎหมายวา ดวยการบรหิ ารงานบคุ คลของขา ราชการครแู ละบุคลากร ทางการศกึ ษา, 2552 สํานกั งานกิจการสตรแี ละครอบครวั กระทรวงพฒั นาสงั คมและความม่ันคงของมนุษย www.women family.go.th 2 women2/Gender New. 8 มนี าคม 2553

~ 252 ~        
































































Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook