Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ข้อกำหนดวินัยและการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

ข้อกำหนดวินัยและการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

Published by Tawesak Nasok, 2022-08-05 03:37:00

Description: ข้อกำหนดวินัยและการดำเนินการทางวินัย การอุทธรณ์และการร้องทุกข์ของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

Search

Read the Text Version

142 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๑ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานเุ บกษา แสดงเหตผุ ลในการพจิ ารณาส่ังการดว ย เม่อื ผูสงั่ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยส่ังการอยางใดแลว ใหแ จง ใหผูถ กู กลาวหาทราบและสง เร่ืองใหป ระธานกรรมการรวมไวใ นสํานวนการสอบสวน ในกรณีทีเ่ ห็นวาการคดั คา นมเี หตผุ ลรับฟง ได ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนส่ังใหผูถูก คัดคานพน จากการเปน กรรมการสอบสวน และสั่งแตงต้งั กรรมการสอบสวนขึ้นใหมแทน ทั้งนี้ ใหนําขอ ๓ และขอ ๕ มาใชบังคับโดยอนุโลม แตถาเห็นวาการคัดคานไมมีเหตุผลพอที่จะรับฟงได ใหส่ัง ยกการคัดคานนน้ั การสง่ั ยกการคัดคา นใหเ ปนทส่ี ุด ในกรณที ผ่ี สู ่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนไมพิจารณาสงั่ การอยา งหนึ่งอยางใดภายในสบิ หา วัน ทําการตามวรรคสาม ใหถ ือวา กรรมการสอบสวนที่ถูกคัดคานพนจากการเปนกรรมการสอบสวน และให ประธานกรรมการรายงานไปยังผูส่ังแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเพอ่ื ดาํ เนินการตามขอ ๖ ตอไป การพน จากการเปนกรรมการสอบสวนไมก ระทบถงึ การสอบสวนที่ไดดาํ เนินการไปแลว ขอ ๙ ผถู กู กลา วหามีสทิ ธคิ ัดคานผสู ั่งแตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวน ถาผูน้ันมีเหตุอยางหน่ึง อยางใดตามขอ ๘ วรรคหนึ่ง การคัดคานตามวรรคหนึ่งใหกระทําไดภายในเจ็ดวันทําการนับแตวันรับทราบคําส่ังแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวน โดยทําเปนหนังสือยื่นตอผูบังคับบัญชาชั้นเหนือข้ึนไปหน่ึงชั้นของผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ในการพิจารณาเรื่องการคัดคาน ใหผูบังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปหน่ึงชั้นของผูส่ังแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวนมีอํานาจตรวจสอบขอ เทจ็ จรงิ ไดตามความเหมาะสม และใหสั่งการภายในสิบหา วนั ทําการนับแตวันท่ีไดรับหนังสือคัดคาน พรอมท้ังแสดงเหตุผลในการพิจารณาสั่งการดวย เมื่อผูบังคับ บัญชาช้ันเหนือขึ้นไปหน่ึงช้ันของผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยส่ังการอยางใดแลว ใหแ จง ใหผถู กู กลา วหาทราบและสงเรอ่ื งใหประธานกรรมการรวมไวในสํานวนการสอบสวน ในกรณีทเี่ ห็นวาการคัดคานมีเหตุผลรับฟงได ใหส่ังใหผูน้ันพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณา สาํ นวนการสอบสวนตามขอ ๔๐ และขอ ๔๑ รวมท้ังการพจิ ารณาส่ังการตามผลการสอบสวนที่เสร็จสิ้นแลว และใหผูบังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปหน่ึงช้ันของผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือผูท่ีไดรับ มอบหมายจากผูบังคับบัญชาดังกลาวเปนผูมีอํานาจพิจารณาหรือส่ังการแทน ถาเห็นวาการคัดคานไมมี เหตุผลพอทจี่ ะรับฟงได ใหส่งั ยกการคดั คา นนั้น ทงั้ น้ี การสง่ั ยกการคดั คา นใหเ ปน ทีส่ ุด ในกรณีท่ีผพู ิจารณาการคัดคานไมพิจารณาส่ังการอยางหน่ึงอยางใดภายในสิบหาวันทําการตาม วรรคสาม ใหถือวาผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนท่ีถูกคัดคานพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณา

143 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๒ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานเุ บกษา สาํ นวนการสอบสวนตามขอ ๔๐ และขอ ๔๑ รวมท้งั การพจิ ารณาส่ังการตามผลการสอบสวนท่ีเสร็จสิ้นแลว และใหผูบังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปหนึ่งชั้นของผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือผูท่ีไดรับ มอบหมายจากผูบงั คบั บัญชาดงั กลาว เปนผูมีอํานาจพิจารณาหรอื ส่งั การแทน การพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณาสํานวนการสอบสวนหรือสั่งการตามผลการสอบสวนท่ี เสรจ็ ส้ินแลว ตามวรรคสี่และวรรคหา ไมก ระทบถงึ การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือการสอบสวนท่ีได ดาํ เนินการไปแลว ขอ ๑๐ ในการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนตองใหผูถูกกลาวหามีโอกาสไดทราบ ขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และมีโอกาสไดโตแยงและแสดงพยานหลักฐานของตน เวนแตจะมีผลทําให ระยะเวลาท่กี ฎหมายหรอื กฎ ก.ค.ศ. นก้ี าํ หนดตอ งลา ชาออกไป หรือปรากฏโดยสภาพเห็นไดชัดวาการให โอกาสดังกลาวไมอาจกระทําได รวมท้ังมีสิทธิขอตรวจดูเอกสารท่ีจําเปนตองรูเพ่ือการโตแยงหรือชี้แจง หรือปอ งกนั สทิ ธขิ องตนได การอางพยานหลักฐานแกขอกลาวหา ผูถูกกลาวหาจะนําพยานหลักฐานมาเองหรือจะอาง พยานหลกั ฐานแลวขอใหค ณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานหลกั ฐานนนั้ มากไ็ ด ขอ ๑๑ ในการสอบสวนวินัยอยางรายแรง ผูถูกกลาวหามีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษา ของตนเขามารวมฟงการสอบสวนก็ได แตจะใหถอยคําหรือตอบคําถามแทนผูถูกกลาวหา หรือเสนอ ความเห็นใดแกคณะกรรมการสอบสวนไมไ ด ขอ ๑๒ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเรียกบุคคลใดมาเปนพยาน ใหบุคคลน้ันมาชี้แจง หรือใหถอยคาํ ตามวนั เวลา และสถานที่ทีค่ ณะกรรมการสอบสวนกาํ หนด ขอ ๑๓ ในการสอบสวน ถามีการอางเจาหนาที่ของรัฐเปนพยาน ใหถือเปนหนาท่ีของ ผบู ังคับบัญชาทุกระดับช้ันทจ่ี ะตองอาํ นวยความสะดวก ใหค วามคุมครองพยานจากการถูกกลั่นแกลงหรือ การปฏิบตั ิที่ไมเ ปนธรรมจากการปฏิบัติหนาท่ีของพยานนั้น และประสานงานกับสํานักงานอัยการสูงสุด เพ่ือเปน ทนายแกต างในกรณีท่ถี ูกฟองรอ งในคดีแพงหรอื คดอี าญา เจาหนา ทข่ี องรฐั ทีไ่ ปใหถอ ยคําตอคณะกรรมการสอบสวนในฐานะพยาน ใหถอื วา เปน การปฏิบัติ หนา ท่ีราชการ ในกรณที พ่ี ยานมใิ ชเ จาหนาท่ขี องรัฐ ใหคณะกรรมการสอบสวนหรือผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ สอบสวน อาํ นวยความสะดวกและใหความคุม ครองแกพ ยานผใู หข อมลู ที่เปนประโยชนต อ ทางราชการอยา ง เหมาะสมตามควรแกก รณี

144 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๓ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา หมวด ๓ อาํ นาจหนาที่ของคณะกรรมการสอบสวน ขอ ๑๔ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่สอบสวนตามหลักเกณฑ วิธีการ และระยะเวลาท่ี กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ เพื่อแสวงหาความจริงในเรื่องท่ีกลาวหา โดยใหเร่ิมการสอบสวนและดําเนิน กระบวนการพิจารณาอยางรวดเรว็ และเปน ธรรม ทั้งนี้ ในการพิจารณาใชดุลพินจิ จะตองกระทําอยางอิสระ และเปน กลาง โดยปราศจากอคติอยางใด ๆ ตอผถู กู กลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนรวบรวมประวตั แิ ละความประพฤติของผูถกู กลา วหาทเ่ี กี่ยวของกับเรอื่ ง ที่กลาวหาเทาทจี่ ําเปน รวมทงั้ ขอเทจ็ จรงิ ที่ไดจากการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง เพือ่ ประกอบการพจิ ารณา ใหคณะกรรมการสอบสวนจัดทาํ บันทกึ ประจําวันท่มี ีการสอบสวนไวท กุ ครงั้ ขอ ๑๕ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่รวบรวมพยานหลักฐานท่ีเห็นวาจําเปน เพื่อท่ีจะ พสิ จู นใหเหน็ ความผิดหรือความบรสิ ทุ ธขิ์ องผถู ูกกลา วหา ในการนี้ ใหรวมถึงการดาํ เนินการดงั ตอ ไปน้ีดว ย (๑) การแสวงหาพยานหลกั ฐานทกุ อยางท่ีเกี่ยวขอ ง (๒) รับฟงพยานหลักฐาน คําช้ีแจง หรือความเห็นของผูถูกกลาวหา พยานบุคคลหรือพยาน ผูเช่ยี วชาญ เวน แตกรณที ่ีเหน็ วา เปนการกลาวอา งท่ไี มจาํ เปน ฟมุ เฟอย หรอื เพ่อื ประวงิ เวลา (๓) ขอขอ เท็จจริงหรอื ความเห็นจากคูกรณี พยานบุคคล หรอื พยานผเู ชย่ี วชาญ ทัง้ ทเ่ี ปน คณุ และ เปน โทษแกผ ถู กู กลาวหา (๔) ขอใหผ ูครอบครองเอกสารสง เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ ง (๕) ออกไปตรวจสถานท่ี ขอ ๑๖ เมือ่ ประธานกรรมการไดรบั เรอ่ื งตามขอ ๕ (๒) แลว ใหประธานกรรมการดาํ เนนิ การ ประชมุ คณะกรรมการสอบสวนเพือ่ พจิ ารณาวางแนวทางการสอบสวนตอ ไป ขอ ๑๗ การประชุมคณะกรรมการสอบสวนตองมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมนอยกวา กงึ่ หนงึ่ ของจาํ นวนกรรมการสอบสวนทั้งหมดจึงจะเปนองคประชุม เวนแตการประชุมตามขอ ๒๔ และ ขอ ๓๘ ตองมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมนอยกวาสามคนและไมนอยกวากึ่งหน่ึงของจํานวน กรรมการสอบสวนทั้งหมด

145 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๔ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานเุ บกษา การประชมุ คณะกรรมการสอบสวนตองมปี ระธานกรรมการอยูรวมประชุมดว ย แตใ นกรณีจําเปน ท่ีประธานกรรมการไมส ามารถเขาประชุมได ใหกรรมการสอบสวนท่ีมาประชุมเลือกกรรมการสอบสวน คนหน่งึ ทาํ หนา ท่แี ทน การนัดประชมุ คณะกรรมการสอบสวนตองทําเปนหนังสือและแจงใหกรรมการสอบสวนทุกคน ทราบลว งหนา ไมน อ ยกวา สามวนั ทาํ การ เวน แตก รรมการสอบสวนนัน้ จะไดทราบการนัดในท่ีประชุมแลว หรอื มเี หตุจําเปนเรง ดว นซึง่ ประธานกรรมการจะนดั ประชมุ เปนอยางอน่ื ได การลงมติของที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนใหถือเสียงขางมาก ถาคะแนนเสียงเทากัน ใหป ระธานกรรมการในทป่ี ระชมุ ออกเสยี งเพิ่มขึน้ อีกเสยี งหนงึ่ เปนเสยี งชีข้ าด ในการประชมุ ตองมีรายงานการประชุมเปนหนังสือ ถามีความเห็นแยงใหบันทึกความเห็นแยง พรอ มท้ังเหตุผลไวในรายงานการประชมุ ขอ ๑๘ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่ตองแจงสิทธิและหนาที่ของผูถูกกลาวหาตามขอ ๘ ขอ ๙ ขอ ๑๐ และขอ ๑๑ ใหผ ถู กู กลาวหาทราบกอนสอบปากคาํ ผูถ ูกกลาวหา ในกรณีท่ีคาํ ขอหรือคาํ ชี้แจงมีขอ บกพรอ งหรือมีขอความที่อานไมเขาใจหรือผิดหลง อันเห็นได ชัดวาเกิดจากความไมรู หรือความเลินเลอของผูกลาวหา ผูถูกกลาวหา หรือพยาน แลวแตกรณี ใหค ณะกรรมการสอบสวนแนะนาํ ใหบคุ คลดงั กลา วแกไ ขเพ่ิมเตมิ ใหถ กู ตอง ขอ ๑๙ ในกรณที ีผ่ ไู ดร ับแตง ตัง้ เปนกรรมการสอบสวนเหน็ วาตนมเี หตุอันอาจถูกคัดคานตาม ขอ ๘ วรรคหนง่ึ ใหผูนัน้ รายงานตอผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อพิจารณาวาจะใหผูนั้นเปน กรรมการสอบสวนตามคาํ ส่ังตอไปอกี หรอื ไม หมวด ๔ วิธีการสอบสวน ขอ ๒๐ การสอบสวนกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนนิ การสอบสวนใหแ ลวเสรจ็ โดยใหดาํ เนนิ การดังตอ ไปนี้ (๑) ดาํ เนินการประชุมตามขอ ๑๖ โดยแจงและอธบิ ายขอกลา วหาตามขอ ๒๓ ใหผูถูกกลาวหา ทราบภายในสบิ หาวนั นับแตวนั ทปี่ ระธานกรรมการไดรบั ทราบคาํ สั่งแตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน (๒) รวบรวมพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของกับเร่ืองท่ีกลาวหาภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีได ดําเนนิ การตาม (๑) แลว เสร็จ

146 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๕ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา (๓) แจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาตามขอ ๒๔ ใหผูถูก กลาวหาทราบภายในสิบหา วันนบั แตว นั ทไ่ี ดด าํ เนินการตาม (๒) แลวเสรจ็ (๔) รวบรวมพยานหลักฐานท่ีผูถูกกลาวหาอาง ใหแลวเสร็จภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีได ดําเนินการตาม (๓) แลว เสรจ็ (๕) ประชุมพิจารณาลงมติและทํารายงานการสอบสวนเสนอตอผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ สอบสวนภายในสามสิบวนั นบั แตว นั ทไี่ ดด ําเนนิ การตาม (๔) แลวเสรจ็ ในกรณีทีค่ ณะกรรมการสอบสวนไมส ามารถดาํ เนนิ การใหแลว เสรจ็ ภายในกําหนดระยะเวลาตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) ได ใหประธานกรรมการรายงานเหตทุ ีท่ าํ ใหการสอบสวนไมแลวเสร็จตอ ผสู ง่ั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ในกรณีเชนนี้ ใหผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวนสง่ั ขยายระยะเวลาดําเนนิ การไดตามความจาํ เปนครัง้ ละไมเกนิ หกสบิ วัน การสอบสวนเร่ืองใดที่คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการไมแลวเสร็จภายในสองรอยสี่สิบวัน ใหประธานกรรมการรายงานเหตุใหผสู ง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนเพ่ือรายงานให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตัง้ หรือ ก.ค.ศ. แลว แตกรณี เพ่ือมีมติใหเรงรัดการสอบสวนใหแลวเสร็จ ภายในระยะเวลาท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรอื ก.ค.ศ. กําหนด ตามเหตุผล และความจาํ เปน ขอ ๒๑ การสอบสวนกรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยไมรายแรง ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนนิ การสอบสวนใหแ ลว เสร็จภายในเกา สิบวันนบั แตวนั ทป่ี ระธานกรรมการไดรับทราบคําส่ัง แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน ทั้งนี้ ใหน ําขนั้ ตอนการสอบสวนตามขอ ๒๐ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม ในกรณที ีค่ ณะกรรมการสอบสวนไมสามารถดาํ เนนิ การใหแลวเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาตาม วรรคหนึง่ ใหป ระธานกรรมการรายงานเหตุทที่ ําใหก ารสอบสวนไมแ ลวเสรจ็ ตอผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวนเพอื่ ขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ในกรณเี ชน น้ี ใหผ สู ัง่ แตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวนสง่ั ขยาย ระยะเวลาดาํ เนนิ การไดตามความจาํ เปนแตไ มเกนิ สามสบิ วัน และเรง รัดการสอบสวนใหแ ลว เสรจ็ ตอไป ขอ ๒๒ การนาํ เอกสารหรอื วตั ถมุ าใชเปน พยานหลักฐานในสาํ นวนการสอบสวนใหกรรมการ สอบสวนบันทกึ ไวดว ยวา ไดมาอยางไร จากผใู ด และเมอ่ื ใด เอกสารท่ีใชเ ปนพยานหลกั ฐานในสาํ นวนการสอบสวนใหใชตน ฉบับ แตถ าไมอาจนําตนฉบบั มา ไดจะใชส าํ เนาท่ีกรรมการสอบสวนหรือผมู หี นาท่ีรับผิดชอบรับรองวา เปนสําเนาถูกตองก็ได

147 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๖ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ถาหาตน ฉบับเอกสารไมไดเพราะสญู หายหรอื ถูกทําลาย หรอื โดยเหตปุ ระการอ่นื จะใหนําสําเนา หรือพยานบคุ คลมาสบื ก็ได เมื่อมีการอางพยานหลักฐานใดในการพิสูจนความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผูถูกกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนอา นหรือสง ตน ฉบบั หรอื พยานหลักฐานนั้นใหผถู กู กลาวหาตรวจดู ถาผถู กู กลาวหา ตองการสําเนาใหคณะกรรมการสอบสวนสงสาํ เนาใหแ กผ ูถกู กลาวหาตามท่เี หน็ สมควร คณะกรรมการสอบสวนอาจขอใหพยานผูเช่ียวชาญในเร่ืองน้ันมาใหความเห็นหรือทําความเห็น เปน หนงั สือประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนกไ็ ด ขอ ๒๓ เมื่อไดพิจารณาเร่ืองท่ีกลาวหาและวางแนวทางการสอบสวนตามขอ ๑๖ แลว ใหค ณะกรรมการสอบสวนเรยี กผถู กู กลา วหามาเพอื่ แจง และอธิบายขอกลาวหาที่ปรากฏตามเรื่องที่กลาวหา ใหท ราบวาผถู กู กลา วหาไดกระทําการใด เม่ือใด อยางไร ในการนี้ ใหคณะกรรมการสอบสวนแจงสิทธิ และหนา ทีข่ องผูถกู กลา วหาตามขอ ๑๘ วรรคหนงึ่ และแจง ดว ยวา ผูถูกกลาวหามีสิทธิที่จะไดรับแจงสรุป พยานหลกั ฐานทส่ี นับสนุนขอกลาวหา และมีสิทธิที่จะใหถอยคําหรือชี้แจงแกขอกลาวหา ตลอดจนอาง พยานหลักฐานหรอื นาํ พยานหลกั ฐานมาสบื แกขอ กลาวหาไดต ามขอ ๒๔ การแจงและอธิบายขอกลาวหาตามวรรคหน่ึง ใหแจงเฉพาะพฤติการณเทาท่ีปรากฏตามเรื่องท่ี กลาวหาและตามพยานหลกั ฐาน โดยไมตอ งแจงกรณแี ละมาตราความผิด ทั้งน้ี ใหทําเปนบันทึกสองฉบับ ซ่งึ มีสาระสาํ คัญตามแบบ สว. ๒ ท่ี ก.ค.ศ. กําหนด เพ่ือมอบใหผูถูกกลาวหาหนึ่งฉบับ และเก็บไวใน สํานวนการสอบสวนหน่ึงฉบับโดยใหผูถูกกลาวหาลงลายมือช่ือ และวัน เดือน ปที่รับทราบไวเปน หลักฐานดวย เมอื่ ไดดําเนินการตามวรรคหน่ึงและวรรคสองแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนถามผูถูกกลา วหาวา ไดก ระทําการตามท่ีถูกกลาวหาหรอื ไม อยางไร ในกรณที ผี่ ถู ูกกลา วหาใหถ อ ยคาํ รับสารภาพวาไดกระทาํ การตามที่ถูกกลาวหา ใหคณะกรรมการ สอบสวนแจงใหผูถูกกลาวหาทราบวาการกระทําตามท่ีถูกกลาวหาดังกลาวเปนความผิดวินัยกรณีใด หากผถู ูกกลา วหายงั คงยนื ยันตามที่รับสารภาพ ใหบันทึกถอยคํารับสารภาพรวมทั้งเหตุผลในการรับสารภาพ และสาเหตแุ หง การกระทําไวดว ย ในกรณีเชนนี้ คณะกรรมการสอบสวนจะไมทําการสอบสวนตอไปก็ได หรือถา เห็นเปนการสมควรท่ีจะไดทราบขอเท็จจริงและพฤติการณอันเก่ียวกับเรื่องท่ีกลาวหาโดยละเอียด จะทาํ การสอบสวนตอไปตามควรแกก รณีกไ็ ด แลวดาํ เนินการตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป

148 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๗ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่ผูถูกกลาวหามิไดใหถอยคํารับสารภาพหรือรับสารภาพบางสวน ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนินการสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของกับขอกลาวหาแลวดําเนินการตาม ขอ ๒๔ ตอไป ในกรณีที่ผูถูกกลาวหามา แตไมยอมลงลายมือช่ือรับทราบขอกลาวหา หรือไมมารับทราบ ขอกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนสงบันทึกซ่ึงมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๒ ทางไปรษณีย ลงทะเบียนตอบรบั ไปใหผถู กู กลา วหา ณ ที่อยูของผูถูกกลาวหา ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ หรอื สถานที่ติดตอ ทีผ่ ูถ กู กลาวหาแจงใหทราบ พรอมท้ังมีหนังสือสอบถามผูถูกกลาวหาวาไดกระทําการ ตามที่ถูกกลาวหาหรือไม ในกรณีเชนนี้ ใหทําบันทึกซึ่งมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๒ เปนสามฉบับ เพือ่ เก็บไวใ นสาํ นวนการสอบสวนหน่ึงฉบบั และสงใหผูถูกกลาวหาสองฉบบั โดยใหผูถูกกลาวหาเก็บไว หน่ึงฉบับและใหผูถูกกลาวหาลงลายมือช่ือ และวัน เดือน ปท่ีรับทราบสงกลับคืนมารวมไวในสํานวน การสอบสวนหน่ึงฉบบั เมื่อลวงพน สิบหาวันนับแตวนั ทไ่ี ดด ําเนนิ การดังกลาว หากไมไดรับแบบ สว. ๒ คืนมา ใหถือวาผูถูกกลาวหาไดทราบขอกลาวหาแลว และใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการตาม วรรคหา ตอ ไป ขอ ๒๔ เมอื่ ไดดําเนินการตามขอ ๒๓ แลว ใหค ณะกรรมการสอบสวนดําเนินการประชุมเพ่ือ พิจารณาวามีพยานหลกั ฐานใดสนับสนนุ ขอ กลา วหาวา ผูถ กู กลาวหาไดกระทําการใด เม่ือใด อยางไร และ ถาเห็นวายังฟง ไมไ ดวาผถู กู กลา วหากระทําการตามท่ีถูกกลาวหา ก็ใหมีความเห็นยุติเร่ือง แลวดําเนินการ ตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ โดยอนุโลม ถา เห็นวาเปนความผดิ วนิ ยั กรณใี ด ตามมาตราใด กใ็ หคณะกรรมการสอบสวนเรียกผูถูกกลาวหา มาพบเพ่ือแจงขอกลาวหา โดยระบุขอกลาวหาท่ีปรากฏตามพยานหลักฐานวาเปนความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และสรปุ พยานหลกั ฐานท่สี นบั สนนุ ขอ กลาวหาเทาท่ีมใี หท ราบ โดยระบุวนั เวลา สถานที่ และ การกระทําทม่ี ลี ักษณะเปน การสนบั สนนุ ขอกลาวหา สาํ หรบั พยานบุคคลจะระบุหรือไมระบุชื่อพยานก็ได โดยคํานึงถึงหลักการคุมครองพยาน ท้ังน้ี การแจงสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ใหแจง พยานหลักฐานฝา ยกลาวหาเทา ทม่ี ตี ามที่ปรากฏไวใ นสาํ นวนใหผูถกู กลาวหาทราบ แมพ ยานหลักฐานจะฟง ไดเพียงวา เปนการกระทําผดิ วินัยไมรายแรง การแจง ขอกลาวหาและสรปุ พยานหลักฐานทสี่ นบั สนุนขอ กลา วหาตามวรรคสอง ใหทําบันทึกซง่ึ มสี าระสําคญั ตามแบบ สว. ๓ ท่ี ก.ค.ศ. กําหนด โดยทําเปน สองฉบับมอบใหผ ถู ูกกลา วหาหนงึ่ ฉบบั และ

149 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๘ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา เกบ็ ไวในสํานวนการสอบสวนหน่งึ ฉบับ โดยใหผ ถู กู กลา วหาลงลายมอื ชอื่ และวัน เดือน ปที่รับทราบไว เปน หลักฐานดว ย เมื่อไดดําเนนิ การดงั กลาวแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนถามผูถกู กลาวหาวา จะยืน่ คําชแ้ี จงแกข อ กลา วหาเปน หนังสือหรือไม ถาผูถ กู กลาวหาประสงคจ ะย่นื คาํ ชีแ้ จงเปน หนงั สือ ใหคณะกรรมการสอบสวน ใหโ อกาสผถู ูกกลาวหายื่นคาํ ชแ้ี จงภายในเวลาอันสมควร แตอ ยา งชา ไมเ กนิ สบิ หา วนั นับแตวนั ทไี่ ดร บั ทราบ ขอกลาวหาและสรปุ พยานหลักฐานทสี่ นับสนนุ ขอ กลาวหา และตอ งใหโอกาสผูถูกกลาวหาท่ีจะใหถอยคํา เพิ่มเติมรวมทั้งนําสืบแกขอกลาวหาดวย ในกรณีที่ผูถูกกลาวหาไมประสงคจะยื่นคําชี้แจงเปนหนังสือ ใหค ณะกรรมการสอบสวนดาํ เนนิ การเพ่อื ใหผูถกู กลา วหาใหถ อยคาํ และนาํ สืบแกขอ กลา วหาโดยเรว็ เมือ่ คณะกรรมการสอบสวนไดร วบรวมพยานหลกั ฐานตาง ๆ เสร็จแลว ใหดําเนินการตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป ในกรณที ี่ผถู กู กลา วหามา แตไมยอมลงลายมือชื่อรับทราบ หรือไมมารับทราบขอกลาวหาและ สรุปพยานหลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ ขอ กลาวหา ใหค ณะกรรมการสอบสวนสงบันทึก ซ่งึ มสี าระสาํ คญั ตามแบบ สว. ๓ ทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปใหผูถูกกลาวหา ณ ที่อยูของผูถูกกลาวหา ซึ่งปรากฏตาม หลักฐานของทางราชการหรือสถานท่ีติดตอท่ีผูถูกกลาวหาแจงใหทราบ พรอมท้ังมีหนังสือขอใหผูถูก กลาวหาช้ีแจง นัดมาใหถอยคําและนาํ สืบแกข อ กลาวหา ในกรณีเชนนี้ ใหทําบันทึกซ่ึงมีสาระสําคัญตาม แบบ สว. ๓ เปน สามฉบบั เพือ่ เกบ็ ไวใ นสาํ นวนการสอบสวนหน่งึ ฉบับ และสง ใหผ ถู กู กลา วหาสองฉบับ โดยใหผ ถู กู กลา วหาเก็บไวหน่ึงฉบบั และใหผถู ูกกลาวหาลงลายมอื ชื่อ และวัน เดือน ปที่รับทราบสงกลับ คืนมารวมไวในสํานวนการสอบสวนหน่ึงฉบับ เม่ือลวงพนสิบหาวันนับแตวันท่ีไดดําเนินการดังกลาว หากไมไ ดรับแบบ สว. ๓ คืนหรอื ไมไดรับคําชี้แจงจากผูถูกกลาวหา หรือผูถูกกลาวหาไมมาใหถอยคําตามนัด ใหถือวาผูถูกกลาวหาไดทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาแลว และไม ประสงคท ีจ่ ะแกข อกลาวหา ในกรณเี ชนนี้ คณะกรรมการสอบสวนจะไมสอบสวนตอไปก็ได หรือถาเห็น เปนการสมควรทจ่ี ะไดท ราบขอ เท็จจรงิ เพิม่ เติมจะสอบสวนตอไปตามควรแกกรณกี ็ได แลวดําเนินการตาม ขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป แตถ าผถู ูกกลา วหามาขอใหถ อยคาํ ยืน่ คาํ ชแ้ี จงแกข อกลาวหา หรือขอนําสืบ แกขอกลาวหากอนที่คณะกรรมการสอบสวนจะเสนอสํานวนการสอบสวนตามขอ ๓๙ โดยมีเหตุผล อนั สมควร ใหคณะกรรมการสอบสวนใหโอกาสแกผ ถู ูกกลาวหาตามทผ่ี ูถกู กลา วหารองขอ ขอ ๒๕ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวมพยานหลักฐานตามขอ ๒๔ เสร็จแลว กอ นเสนอสาํ นวนการสอบสวนตอ ผูส่ังแตงตงั้ คณะกรรมการสอบสวนตามขอ ๓๙ ถาคณะกรรมการสอบสวน

150 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๙ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา เห็นวา จาํ เปน จะตอ งรวบรวมพยานหลกั ฐานเพิ่มเติมก็ใหดําเนินการได ถาพยานหลักฐานที่ไดเพิ่มเติมมา น้ันเปนพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนสรุปพยานหลักฐานดังกลาว ใหผถู กู กลาวหาทราบ และใหโอกาสผถู ูกกลาวหาที่จะใหถอยคําหรอื นําสบื แกเ ฉพาะพยานหลักฐานเพ่ิมเติมท่ี สนับสนนุ ขอกลา วหานัน้ ทั้งน้ี ใหน ําขอ ๒๔ มาใชบ งั คบั โดยอนุโลม ขอ ๒๖ ผถู กู กลาวหาซึ่งไดยื่นคาํ ชี้แจงหรอื ใหถอ ยคาํ แกข อ กลา วหาไวแลว มีสิทธิยื่นคําช้ีแจง เพม่ิ เตมิ หรอื ขอใหถ อ ยคาํ หรอื นําสืบแกขอ กลา วหาเพิ่มเติมตอคณะกรรมการสอบสวนกอนการสอบสวน แลวเสร็จ หากคณะกรรมการสอบสวนเห็นวามเี หตผุ ลอนั สมควรก็ใหร ับไวพจิ ารณาตอ ไป เม่อื การสอบสวนแลวเสร็จและยังอยรู ะหวางการพจิ ารณาของผสู ง่ั แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรอื ผูบังคบั บญั ชาคนใหมตามขอ ๓๗ ผูถูกกลาวหาจะย่ืนคําช้ีแจงตอบุคคลดังกลาวก็ได ในกรณีเชนนี้ ใหร ับคําช้ีแจงน้ันรวมไวใ นสาํ นวนการสอบสวนเพ่อื ประกอบการพิจารณาดวย ขอ ๒๗ ในการสอบปากคําผูถูกกลาวหาและพยาน ตองมีกรรมการสอบสวนไมนอยกวา ก่ึงหน่งึ ของจาํ นวนกรรมการสอบสวนท้งั หมดจงึ จะสอบสวนได ขอ ๒๘ กอ นเรมิ่ สอบปากคาํ พยาน ใหคณะกรรมการสอบสวนแจง ใหพ ยานทราบวากรรมการ สอบสวนมีฐานะเปนเจาพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การใหถอยคําอันเปนเท็จตอกรรมการ สอบสวนอาจเปนความผดิ ตามกฎหมาย ในการสอบปากคาํ ผเู สยี หายหรอื พยานซ่งึ เปนเดก็ ใหสอบสวนในสถานท่ีท่ีเหมาะสมสําหรับเด็ก และใหมีขาราชการครูที่เปนกลางและเช่ือถือได และบุคคลท่ีเด็กรองขอหรือไววางใจเขารวมในการ สอบปากคาํ นั้นดว ย หากผเู สยี หายหรอื พยานซ่ึงเปนเดก็ ตัง้ รังเกียจขาราชการครูดงั กลา วขา งตนใหเปลย่ี นตัว บคุ คลนน้ั ในกรณผี เู สยี หายหรือพยานเปนคนหูหนวกหรอื เปน ใบ หรอื ท้งั หหู นวกและเปนใบ หรือมีความ พิการทางกาย หรอื ไมเขาใจภาษาไทยและจําเปนตองใชลาม ใหคณะกรรมการสอบสวนจัดหาลามท่ีเปน กลางและเช่ือถือไดใ หแกบ ุคคลดงั กลา ว ขอ ๒๙ ในการสอบปากคําผูถูกกลาวหาและพยาน หามมิใหกรรมการสอบสวนกระทําหรือ จัดใหกระทําการใด ๆ ซ่ึงเปนการใหคําม่ันสัญญา ขูเข็ญ หลอกลวง หรือกระทําโดยมิชอบดวยประการใด ๆ เพ่ือจูงใจใหบุคคลนั้นใหถ อยคําอยา งใด ๆ หรือกระทาํ ใหทอ ใจ หรือใชก ลอุบายอนื่ เพอ่ื ปอ งกนั มิใหบ ุคคล ใดใหถอ ยคาํ หรือไมใ หถอยคาํ ซ่งึ อยากจะใหดว ยความเต็มใจในเรอ่ื งท่ีถกู กลา วหาน้นั

151 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๐ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ขอ ๓๐ ในการสอบปากคําผูถกู กลาวหาและพยาน ใหค ณะกรรมการสอบสวนเรียกผูซ่ึงจะถูก สอบปากคําเขามาในที่สอบสวนคราวละหนึ่งคน และหามมิใหบุคคลอื่นอยูในท่ีสอบสวน เวนแต ทนายความหรือที่ปรกึ ษาของผถู ูกกลา วหา หรอื บคุ คลตามขอ ๒๘ วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือบุคคล ซงึ่ คณะกรรมการสอบสวนอนุญาตใหอ ยใู นทส่ี อบสวนเพ่ือประโยชนแหง การสอบสวน การสอบปากคําผถู ูกกลาวหาและพยาน ใหบันทึกถอยคําซง่ึ มสี าระสําคัญตามแบบ สว. ๔ หรือ แบบ สว. ๕ ที่ ก.ค.ศ. กําหนด แลว แตกรณี เมอ่ื ไดบ นั ทกึ ถอ ยคําเสร็จแลวใหอา นใหผูใหถอยคําฟงหรือ จะใหผูใหถ อ ยคาํ อานเองกไ็ ด ถา มีการแกไข ทกั ทวง หรือเพม่ิ เตมิ กใ็ หแกไ ขใหถกู ตอง หรือมิฉะนั้นก็ให บนั ทึกไว เม่ือผูใ หถ อยคาํ รบั วา ถูกตอ งแลว ใหผใู หถอยคาํ ผเู ขารวมฟงตามวรรคหนึ่งที่อยูในท่ีสอบสวน และผูบันทึกถอยคําลงลายมือช่ือไวเปนหลักฐาน และใหกรรมการสอบสวนทุกคนซ่ึงรวมสอบสวน ลงลายมือชื่อรับรองไวใ นบนั ทกึ ถอยคํานน้ั ดวยถาบันทึกถอยคํามีหลายหนาใหก รรมการสอบสวนอยางนอ ย หน่ึงคนกบั ผใู หถอ ยคําลงลายมอื ช่อื กํากับไวทกุ หนา ในการบนั ทกึ ถอ ยคาํ หา มมใิ หขดู ลบหรอื บนั ทึกขอความทับ ถาจะตอ งแกไ ขขอ ความท่ีไดบนั ทึก ไวแลว ใหใชวิธีขีดฆาหรือตกเติม และใหกรรมการสอบสวนผูรวมสอบสวนอยางนอยหน่ึงคนกับผูให ถอ ยคําลงลายมอื ช่ือกํากบั ไวท ุกแหงทข่ี ีดฆา หรอื ตกเตมิ ในกรณีท่ีผูใหถอยคําหรือผูเขารวมฟงตามวรรคหน่ึงท่ีอยูในที่สอบสวนไมยอมลงลายมือชื่อ ใหบนั ทกึ เหตุนั้นไวในบนั ทกึ ถอยคํานั้น และใหกรรมการสอบสวนทุกคนซึ่งรวมสอบสวนลงลายมือช่ือ รับรองไวดวย ในกรณีทผ่ี ใู หถอยคําไมสามารถลงลายมือช่ือได ใหนํามาตรา ๙ แหงประมวลกฎหมายแพงและ พาณิชยม าใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ในกรณีท่ีพยานไมมาหรือมาแตไมใหถ อ ยคํา หรือคณะกรรมการสอบสวนเรยี กพยานไมไ ดภ ายใน เวลาอันสมควร คณะกรรมการสอบสวนจะไมสอบสวนพยานนั้นก็ได แตตองบันทึกเหตุน้ันไวในบันทึก ประจาํ วนั ทมี่ ีการสอบสวนตามขอ ๑๔ วรรคสาม และรายงานการสอบสวนตามขอ ๓๙ ขอ ๓๑ ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนเห็นวา การสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทําให การสอบสวนลาชา โดยไมจ าํ เปน หรือมใิ ชพยานหลักฐานในประเดน็ สาํ คญั จะงดการสอบสวนพยานหลักฐาน นนั้ ก็ได แตตองบันทึกเหตุนนั้ ไวในบันทึกประจําวนั ท่มี กี ารสอบสวนตามขอ ๑๔ วรรคสาม และรายงาน การสอบสวนตามขอ ๓๙

152 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๑ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา ขอ ๓๒ ในกรณีท่ีจะตองสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งอยูตางทองที่ ประธาน กรรมการจะรายงานตอผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพ่ือดําเนินการมอบหมายใหหัวหนา สวนราชการ ผบู ริหารสถานศึกษา หรือผูบรหิ ารหนวยงานการศึกษา ในทองท่ีนั้นสอบสวนหรือรวบรวม พยานหลักฐานแทนก็ได โดยกําหนดประเด็นหรือขอสําคัญที่จะตองสอบสวนไปให ในกรณีเชนน้ี ใหหัวหนาสวนราชการ ผูบริหารสถานศึกษา หรือผูบริหารหนวยงานการศึกษาที่ไดรับมอบหมาย เลอื กขา ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาหรือขาราชการฝา ยพลเรอื นที่เห็นสมควรอยางนอยอีกสองคน มารว มเปน คณะทาํ การสอบสวน ในการปฏิบตั หิ นาทตี่ ามวรรคหนึ่ง ใหค ณะทําการสอบสวนมีฐานะเปนคณะกรรมการสอบสวน ตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี และใหน าํ ขอ ๒๗ ขอ ๒๘ ขอ ๒๙ และขอ ๓๐ มาใชบังคับโดยอนโุ ลม ขอ ๓๓ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา กรณีมีมูลวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัย ไมรายแรงหรืออยา งรา ยแรง หรอื หยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาท่ีราชการ บกพรองในหนาท่ี ราชการ หรือประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่ราชการในเรื่องอ่ืนนอกจากที่ ระบไุ วใ นคําสง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวน ใหประธานกรรมการรายงานไปยงั ผูส่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการ สอบสวนโดยเร็ว ถาผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัย ไมร า ยแรงหรืออยา งรายแรง หรือหยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการ บกพรองในหนาท่ี ราชการ หรอื ประพฤตติ นไมเหมาะสมกับตําแหนงในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่ราชการตามท่ีรายงาน ก็ใหส่ัง แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน โดยจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเปนผูทําการสอบสวน หรือแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหมก ไ็ ด ขอ ๓๔ ในกรณที ่กี ารสอบสวนพาดพงิ ไปถงึ ขา ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาผูอื่นวามี สวนรวมในการกระทําการในเร่ืองที่ทําการสอบสวนน้ันดวย ใหคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาใน เบ้ืองตนวา ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผูน้ันมีสวนรวมกระทําการในเรื่องท่ีสอบสวนดวย หรือไม ถา เห็นวา ผนู ัน้ มีสว นรว มกระทําการในเร่ืองท่ีสอบสวนนั้นอยูดวย ใหประธานกรรมการรายงาน ไปยังผสู ง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาดาํ เนนิ การตามควรแกก รณีโดยเรว็ ในกรณีท่ีผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัย อยางรา ยแรง หรอื เปน ความผิดกรณอี ่ืนตามทีร่ ายงาน ก็ใหส ่งั แตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวน โดยจะแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเปนผูสอบสวน หรือจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหมก็ได ทั้งน้ี

เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก 153 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๒ ราชกิจจานุเบกษา ใหด าํ เนินการตามหลักเกณฑและวิธกี ารทกี่ ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ในกรณีเชน น้ี ใหใ ชพ ยานหลักฐานทไ่ี ด สอบสวนมาแลว ประกอบการพิจารณาได ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนโดยแยกเปนสํานวนการสอบสวนใหม ใหนําสําเนาพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของในสํานวนการสอบสวนเดิมรวมไวในสํานวนการสอบสวนใหม หรอื บันทึกใหปรากฏดวยวานําพยานหลักฐานใดจากสาํ นวนการสอบสวนเดมิ มาประกอบการพิจารณาใน สาํ นวนการสอบสวนใหมด ว ย ขอ ๓๕ ในกรณที ีผ่ บู ังคับบัญชาไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อสอบสวนขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาผูใด ในเรื่องที่ผูน้ันหยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาท่ีราชการ บกพรอ งในหนา ที่ราชการ หรอื ประพฤติตนไมเหมาะสมกบั ตําแหนงหนาท่ีราชการตามมาตรา ๑๑๑ และ ผูบังคับบัญชาเห็นวาการสอบสวนเร่ืองน้ันมีมูลวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงซึ่งผูบังคับบัญชา เห็นควรแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเพ่อื ทําการสอบสวนผนู นั้ ตามมาตรา ๙๘ ใหด าํ เนนิ การตามหลักเกณฑ และวธิ ีการทก่ี าํ หนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ในกรณีเชนนค้ี ณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๘ จะนําสํานวน การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ มาประกอบการพิจารณาดวยก็ได ขอ ๓๖ ในกรณีที่มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดวาผูถูกกลาวหากระทําผิดหรือตองรับผิดในคดีที่ เก่ียวกับเร่ืองที่กลาวหา ถาคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาขอเท็จจริงที่ปรากฏตามคําพิพากษาไดความ ประจักษชัดอยูแลว ใหถือเอาคําพิพากษาน้ันเปนพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา โดยไมตอง สอบสวนพยานหลักฐานอืน่ ทีเ่ ก่ยี วของกบั ขอ กลา วหา แตต อ งแจง ใหผ ถู กู กลา วหาทราบและแจงขอ กลา วหา พรอมท้งั สรุปพยานหลักฐานทีส่ นับสนุนขอ กลา วหาตามท่ีปรากฏในคําพพิ ากษาใหผถู กู กลาวหาทราบ ทง้ั น้ี ใหนาํ ขอ ๒๔ มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ขอ ๓๗ ในระหวางการสอบสวน แมจะมีการสั่งใหผูถูกกลาวหาไปอยูนอกบังคับบัญชาของ ผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน ใหคณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนตอไปจนเสร็จ แลวทํา รายงานการสอบสวนและเสนอสาํ นวนการสอบสวนตอ ผสู ั่งแตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพ่ือตรวจสอบ ความถกู ตองตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ และใหผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนสง เรือ่ งใหผบู งั คบั บัญชาคนใหมข องผถู กู กลา วหา เพอ่ื ดําเนนิ การตามขอ ๔๐ ตอไป ท้ังนี้ ใหผูบังคับบัญชา คนใหมมอี าํ นาจตรวจสอบความถกู ตองตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ ดว ย

เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 154 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๓ ราชกจิ จานุเบกษา หมวด ๕ การทํารายงานการสอบสวน ขอ ๓๘ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวมพยานหลักฐานตาง ๆ เสร็จแลว ใหประชุม เพ่ือพจิ ารณาสาํ นวนการสอบสวน โดยชง่ั นํา้ หนักพยานหลกั ฐานทั้งปวง ทั้งขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญ ของการกระทํา ขอ กฎหมายทยี่ กข้นึ อางองิ วนิ จิ ฉยั ขอ พจิ ารณา และขอ เสนอในการใชดุลพนิ จิ ในการพจิ ารณาลงมติ ใหประธานกรรมการถามกรรมการสอบสวนทลี ะคน เพ่ือใหอ อกความเห็น ทุกคนในทกุ ประเดน็ ทพี่ ิจารณา ดงั ตอ ไปนี้ (๑) ในกรณีที่เห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัย ก็ใหระบุดวยวาการกระทําของผูถูกกลาวหา เปน ความผิดวนิ ัยกรณใี ด ตามมาตราใด และสมควรไดรับโทษสถานใด (๒) ในกรณีท่ีเหน็ วา ผูถูกกลาวหามิไดกระทําผิดวินัย หรือการกระทําของผูถูกกลาวหาไมเปน ความผดิ วนิ ยั ก็ใหม ีความเหน็ ยตุ เิ ร่อื ง (๓) ผถู กู กลาวหาหยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนา ท่รี าชการ บกพรองในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤตติ นไมเหมาะสมกับหนาท่รี าชการตามมาตรา ๑๑๑ หรือไมอ ยางไร (๔) ในกรณที ม่ี เี หตุอนั ควรสงสยั อยางยิ่งวา ผูถูกกลาวหาไดก ระทําผิดวินัยอยางรายแรง แตการ สอบสวนไมไดค วามแนชัดพอที่จะรับฟงลงโทษปลดออกหรือไลออก ถาใหรับราชการตอไปจะเปนการ เสยี หายแกราชการตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม อยา งไร กใ็ หมีความเห็นไปตามน้นั ขอ ๓๙ เมือ่ ไดป ระชมุ พจิ ารณาลงมตติ ามขอ ๓๘ แลว ใหคณะกรรมการสอบสวนทํารายงาน การสอบสวนซ่ึงมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๖ ที่ ก.ค.ศ. กําหนด เสนอตอผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวน หากกรรมการสอบสวนผใู ดมีความเห็นแยง ใหทาํ ความเหน็ แยงแนบไวก บั รายงานการสอบสวน โดยถอื เปน สวนหนง่ึ ของรายงานการสอบสวนดวย รายงานการสอบสวนอยางนอ ยตองมีสาระสําคัญ ดังตอ ไปน้ี (๑) สรปุ ขอ เทจ็ จรงิ อันเปนสาระสําคญั และพยานหลักฐาน ในกรณีท่ีไมไดสอบสวนพยานตาม ขอ ๓๐ วรรคหก และขอ ๓๑ ใหร ายงานเหตุท่ไี มไ ดส อบสวนนน้ั ใหปรากฏไว ในกรณที ผ่ี ูถูกกลาวหาให ถอ ยคาํ รับสารภาพใหบ ันทึกเหตผุ ลในการรบั สารภาพไวด วย (๒) วินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหากับพยานหลักฐานที่หักลาง ขอกลาวหา

155 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๔ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา (๓) ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนวา ผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดวินัยหรือไม อยางไร ถาไมผิดใหเ สนอความเห็นยตุ ิเรื่อง ถา ผิดใหระบุวา เปน ความผดิ วนิ ัยกรณีใด ตามมาตราใด และสมควรไดรับ โทษสถานใด หรอื มีเหตุอันควรสงสยั วา หยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการ บกพรองใน หนา ท่ีราชการ หรอื ประพฤติตนไมเ หมาะสมกับตาํ แหนง หนาทรี่ าชการตามมาตรา ๑๑๑ หรือไม อยางไร หรือมเี หตอุ ันควรสงสยั อยางยิง่ วา ผถู กู กลา วหาไดกระทําผิดวนิ ัยอยางรายแรง แตการสอบสวนไมไดความ แนชัดพอที่จะรับฟงลงโทษปลดออกหรือไลออก ถาใหรับราชการตอไปจะเปนการเสียหายแกราชการ และสมควรใหอ อกจากราชการตามมาตรา ๑๑๒ หรอื ไม อยา งไร พรอ มทง้ั ขอสนบั สนุนการใชดลุ พนิ จิ เม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดทํารายงานการสอบสวนแลว ใหเสนอสํานวนการสอบสวน พรอ มทัง้ สารบาญตอ ผสู ัง่ แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน และใหถือวา การสอบสวนแลวเสรจ็ หมวด ๖ การพิจารณาสั่งสํานวนการสอบสวน ขอ ๔๐ เม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดเสนอสํานวนการสอบสวนมาแลว ใหผูสั่งแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบความถูกตองของสํานวนการสอบสวนตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ แลวดาํ เนินการ ดงั ตอ ไปน้ี (๑) ในกรณีทีค่ ณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผูถูกกลาวหาไมไดกระทําผิดหรือไมมีเหตุท่ีจะให ออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๒ สมควรยุตเิ รือ่ ง หรอื กระทําผดิ ท่ียังไมถ ึงขน้ั เปนการกระทําผิดวินัยอยาง รา ยแรง ใหผ ูสง่ั แตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวนพจิ ารณาส่งั การตามทเี่ ห็นสมควรโดยเร็ว ทั้งนี้ ตองไมเกิน หกสิบวนั นบั แตว นั ไดรบั สํานวนการสอบสวน (๒) ในกรณีท่คี ณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผถู กู กลาวหาหยอ นความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติ หนา ทีร่ าชการ บกพรอ งในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤติตนไมเ หมาะสมกบั หนา ทีร่ าชการตามมาตรา ๑๑๑ ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาสํานวนการสอบสวนดังกลาว หากเห็นวามีเหตุตามท่ี คณะกรรมการสอบสวนมคี วามเห็นมา ใหผูส งั่ แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนดาํ เนนิ การตามมาตรา ๑๑๑ (๓) ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยอยางรายแรง สมควรลงโทษปลดออกหรือไลออกซ่งึ จะตองสงเรื่องให อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั หรอื ก.ค.ศ. พิจารณาตามมาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ (๑) หรอื (๒) หรือเปนกรณีตามมาตรา ๑๑๒ ใหผูมี อํานาจตามมาตราดังกลาวดําเนินการโดยไมชักชา ทั้งน้ี ตองไมเกินหกสิบวันนับแตวันไดรับสํานวน

156 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๕ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา การสอบสวน และให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั หรอื ก.ค.ศ. แลวแตก รณี พจิ ารณา ใหแ ลวเสรจ็ และมีมตโิ ดยเรว็ และใหผ ูม อี ํานาจสงั่ การตามมตภิ ายในหกสบิ วันนบั แตวนั ทมี่ มี ตดิ ังกลาว ขอ ๔๑ ในกรณที ี่ผสู ่ังแตง ต้งั คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี เห็นสมควรให สอบสวนเพิ่มเติมประการใด ใหกําหนดประเด็นพรอมท้ังสงเอกสารท่ีเกี่ยวของไปใหคณะกรรมการ สอบสวนคณะเดมิ เพอ่ื ดําเนินการสอบสวนเพ่ิมเติมไดต ามความจาํ เปน ในกรณีท่คี ณะกรรมการสอบสวนคณะเดมิ ไมอาจทาํ การสอบสวนได หรือผูสั่งสอบสวนเพิ่มเติม เหน็ เปนการสมควรจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนคณะใหมขึ้นทําการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได ในกรณี เชน นี้ ใหนําขอ ๓ และขอ ๔ มาใชบ ังคบั โดยอนโุ ลม ใหค ณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมใหแลวเสร็จโดยเร็ว เมื่อสอบสวนเสร็จแลว ใหส ง พยานหลักฐานและเอกสารทเี่ กีย่ วของทไ่ี ดจากการสอบสวนเพิ่มเตมิ ไปใหผ ูส่ังสอบสวนเพิ่มเติมโดย จดั ทําความเห็นเฉพาะที่ไดจ ากการสอบสวนเพม่ิ เติมประกอบไปดว ยกไ็ ด เมื่อไดด าํ เนนิ การตามวรรคสามแลว ใหนําขอ ๔๐ มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ขอ ๔๒ การพิจารณาพยานหลักฐานวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยหรือไม อยางไร ใหพิจารณาจากพยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวน และตองเปนพยานหลักฐานท่ีไดสรุปแจงใหผูถูก กลา วหาทราบแลวเทานั้น หมวด ๗ การสอบสวนทม่ี ชิ อบและบกพรอ ง ขอ ๔๓ ในกรณีที่ปรากฏวาการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนไมถูกตองตามขอ ๓ ใหการ สอบสวนทัง้ หมดเสยี ไป ในกรณีเชน น้ี ใหผ ูส่ังแตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรอื มาตรา ๑๐๔ (๑) แตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวนใหมใ หถูกตอ ง ขอ ๔๔ ในกรณีทป่ี รากฏวาการสอบสวนตอนใดทาํ ไมถ ูกตอ ง ใหก ารสอบสวนตอนนน้ั เสยี ไป เฉพาะในกรณีดงั ตอไปน้ี (๑) การประชุมของคณะกรรมการสอบสวน มีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมครบตามท่ี กาํ หนดไวใ นขอ ๑๗ วรรคหน่งึ

เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 157 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๖ ราชกิจจานุเบกษา (๒) การสอบปากคําบุคคลดําเนินการไมถูกตองตามท่ีกําหนดไวในขอ ๑๑ ขอ ๒๗ ขอ ๒๘ วรรคสอง ขอ ๒๙ ขอ ๓๐ วรรคหน่งึ หรือขอ ๓๒ วรรคหน่ึง ในกรณีเชนน้ี ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี สั่งให คณะกรรมการสอบสวนดําเนนิ การตามกรณีดังกลา วใหมใ หถูกตองโดยเร็ว ขอ ๔๕ ในกรณีที่ปรากฏวาคณะกรรมการสอบสวนไมเรียกผูถูกกลาวหามารับทราบ ขอกลา วหาและสรุปพยานหลกั ฐานท่สี นบั สนนุ ขอกลา วหา หรอื ไมสงบันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุป พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปใหผูถูกกลาวหา หรือไมมี หนงั สือขอใหผ ูถ ูกกลาวหาชแ้ี จงหรอื นัดมาใหถอ ยคําหรือนาํ สบื แกข อกลา วหาตามขอ ๒๔ ใหผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี สั่งใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการใหถูกตอง โดยเร็ว และตองใหโอกาสผถู กู กลาวหาที่จะช้แี จง ใหถ อยคําและนําสืบแกขอกลาวหาตามที่กําหนดไวใน ขอ ๒๔ ดวย ในกรณีท่ีการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนแตกตางจากขอกลาวหาที่คณะกรรมการ สอบสวนไดแจง ใหผ ถู กู กลา วหาทราบ แตใ นการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนน้นั ถา ผูถ ูกกลา วหา ไมไดหลงขอตอสูโดยไดแกขอกลาวหาในความผิดน้ันแลวซึ่งไมทําใหเสียความเปนธรรม ใหถือวาการ สอบสวนและพจิ ารณานน้ั ใชได และใหลงโทษผถู กู กลาวหาไดต ามบทมาตราหรอื กรณีความผิดท่ีถกู ตอ ง ขอ ๔๖ ในกรณีทีป่ รากฏวาการสอบสวนตอนใดทําไมถูกตองตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี นอกจากท่ี กําหนดไวใ นขอ ๔๓ ขอ ๔๔ และขอ ๔๕ ถาการสอบสวนตอนนัน้ เปน สาระสําคัญอนั จะทาํ ใหเสยี ความ เปน ธรรม ใหผ ูส ่งั แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน ผูมอี ํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ส่ังใหคณะกรรมการสอบสวน แกไ ขหรือดําเนินการตอนน้ันใหถูกตอ งโดยเร็ว แตถาการสอบสวนตอนนน้ั มิใชสาระสําคญั อันจะทาํ ใหเ สยี ความเปนธรรม ผมู ีอาํ นาจดงั กลาวจะสง่ั ใหแ กไ ขหรือดําเนินการใหถกู ตอ งหรอื ไมกไ็ ด

เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก 158 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๗ ราชกจิ จานุเบกษา หมวด ๘ การนับระยะเวลา ขอ ๔๗ การนบั ระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี สําหรับเวลาเริ่มตนใหนับวันถัดจากวันแรกแหง เวลาน้ันเปน วนั เริ่มนบั ระยะเวลา แตถ าเปน กรณีขยายเวลาใหน ับวนั ตอจากวันสุดทา ยแหงระยะเวลาเดิมเปน วันเร่ิมระยะเวลาท่ีขยายออกไป สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ใหนับวันเรม่ิ เปด ทําการใหมเ ปนวนั สุดทา ยแหง ระยะเวลา บทเฉพาะกาล ขอ ๔๘ การดําเนินการสอบสวนกอนที่กฎ ก.ค.ศ. น้ีใชบังคับ ใหคณะกรรมการสอบสวน ดาํ เนินการตามหลกั เกณฑและวิธกี ารที่ใชอ ยูในขณะนน้ั จนกวา จะแลวเสร็จ สว นการพจิ ารณาสั่งการของผมู ี อาํ นาจตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลว แตกรณี ใหด าํ เนนิ การตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ ใหไ ว ณ วนั ที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ วิจติ ร ศรีสอาน รฐั มนตรวี า การกระทรวงศึกษาธิการ ประธาน ก.ค.ศ.

เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 159 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๘ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบบั นี้ คอื โดยท่กี ารดําเนินการทางวินัยแกขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาซึ่งมีกรณีอันมีมูลท่ีควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยนั้น ตองดําเนินกระบวนการ สอบสวนพิจารณาโดยมชิ ักชา มคี วามยุตธิ รรม และคุม ครองสิทธิแกข า ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาที่ ถกู กลา วหาหรือเปน ผูเ สียหาย ตลอดจนพยานท่ใี หถ อ ยคาํ ในการสอบสวน อันจะทําใหกระบวนการสอบสวน ไดค วามจริงและมคี วามยตุ ิธรรม ประกอบกบั มาตรา ๙๘ วรรคหก แหงพระราชบญั ญัติระเบียบขา ราชการครู และบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญตั วิ า การสอบสวนพิจารณาขา ราชการครแู ละบุคลากรทางการ ศึกษาซ่ึงถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จงึ จาํ เปน ตอ งออกกฎ ก.ค.ศ. น้ี

เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก 160 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๓ ราชกิจจานุเบกษา กฎ ก.ค.ศ. วา ดวยการอุทธรณและการพิจารณาอทุ ธรณ พ.ศ. ๒๕๕๐ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว ดงั ตอ ไปน้ี ขอ ๑ ในกฎ ก.ค.ศ. น้ี เวนแตข อ ความจะแสดงใหเ ห็นเปน อยางอนื่ “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา” หมายความรวมถงึ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้งดวย “ปลัดกระทรวง” หมายความวา ปลัดกระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวง วัฒนธรรม หรือปลัดกระทรวงอ่ืนท่ีมีขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดตามที่กําหนด ในพระราชกฤษฎกี า ทงั้ นี้ ไมร วมถงึ ปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ ขอ ๒ การอุทธรณและการพิจารณาอุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑ และวิธีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ขอ ๓ การอุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัย ใหอุทธรณภายในสามสิบวันนับแตวันที่ไดรับ แจง คําสงั่ เพ่ือประโยชนใ นการนบั ระยะเวลาอุทธรณ ใหถ อื วนั ที่ผูถกู ลงโทษลงลายมือช่ือรับทราบคําสั่ง ลงโทษทางวินยั เปนวันท่ไี ดร ับแจงคาํ ส่งั ในกรณีท่ผี ถู ูกลงโทษไมย อมลงลายมือชอื่ รบั ทราบคําสั่งลงโทษทางวนิ ยั แตไดมีการแจงคําส่ัง ลงโทษทางวินัยใหผถู กู ลงโทษทราบพรอมกับมอบสําเนาคําสั่งลงโทษทางวินัยใหผูถูกลงโทษ รวมทั้ง

เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 161 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๔ ราชกจิ จานเุ บกษา ทําบันทึกลงวันเดือนป เวลา และสถานที่ที่แจง และลงลายมือชื่อผูแจง พรอมทั้งพยานรูเห็นไวเปน หลักฐานแลว ใหถ อื วันท่ีแจง นั้นเปนวนั ที่ผถู ูกลงโทษไดรบั แจง คาํ สัง่ ในกรณีที่ไมอาจแจงใหผูถูกลงโทษลงลายมือช่ือรับทราบคําส่ังลงโทษทางวินัยไดโดยตรง แตไดมีการแจงเปนหนังสือโดยสงสําเนาคําส่ังลงโทษทางวินัยทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปให ผูถูกลงโทษ ณ ท่ีอยูของผูถูกลงโทษ ซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ โดยสงสําเนาคําสั่ง ลงโทษทางวินัยไปใหสองฉบับเพื่อใหผูถูกลงโทษเก็บไวหนึ่งฉบับ และใหผูถูกลงโทษลงลายมือชื่อ และวันเดอื นปท่รี บั ทราบคําสั่งลงโทษทางวินัยสงกลบั คนื มาเพ่ือเกบ็ ไวเปนหลักฐานหนึ่งฉบับ ในกรณี เชนนี้ เมอ่ื ลว งพน ระยะเวลาสิบหาวันนับแตวันที่ปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณียลงทะเบียนวาผูถูก ลงโทษไดรบั เอกสารดังกลาวหรือมผี ูรบั แทนแลว แมยังไมไดรับสําเนาคําสั่งลงโทษทางวินัยฉบับที่ให ผูถกู ลงโทษลงลายมอื ชอื่ และวนั เดือนปทีร่ บั ทราบคําส่งั ลงโทษทางวนิ ัยกลับคืนมา ใหถ ือวา ผูถูกลงโทษ ไดร ับแจง คาํ ส่งั แลว ขอ ๔ การอทุ ธรณคาํ ส่ังลงโทษทางวินัย ใหอุทธรณไดสําหรับตนเองเทาน้ัน จะอุทธรณ แทนผูอ่นื หรือมอบหมายใหผ อู ่นื อทุ ธรณแทนไมได การอุทธรณตองทําเปนหนังสือแสดงขอเท็จจริงและเหตุผลในการอุทธรณใหเห็นวาไดถูก ลงโทษโดยไมถูกตอ ง ไมเหมาะสม หรอื ไมเ ปนธรรมอยา งไร และลงลายมอื ชือ่ และที่อยูข องผอู ทุ ธรณ ในการอุทธรณ ถาผูอุทธรณประสงคจะแถลงการณดวยวาจาในช้ันพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ใหแสดงความประสงคไวในหนังสืออุทธรณตามวรรคสอง หรอื จะทาํ เปนหนังสอื ตางหากก็ได แตตอ งยื่นหรือสงหนังสือขอแถลงการณดวยวาจาน้ันตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. โดยตรงภายในสามสิบวันนบั แตว นั ทไี่ ดย่นื หรือสง หนงั สืออุทธรณ ขอ ๕ เพ่ือประโยชนในการอุทธรณ ผูจะอุทธรณมีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงาน การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหรือของผูสอบสวนได สวนการขอตรวจหรือคัดบันทึก ถอยคําบุคคล พยานหลักฐานอ่ืน หรือเอกสารท่ีเกี่ยวของ ใหอยูในดุลพินิจของผูบังคับบัญชาผูส่ัง ลงโทษท่ีจะอนุญาตหรือไม โดยใหพิจารณาถึงประโยชนในการรักษาวินัยของขาราชการ ตลอดจน เหตผุ ลและความจําเปนเปน เรือ่ ง ๆ ไป ขอ ๖ ผูอุทธรณมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาอุทธรณ ถาผูนั้นมี เหตอุ ยา งหนง่ึ อยางใด ดงั ตอไปน้ี

162 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก หนา ๔๕ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา (๑) รเู หน็ เหตกุ ารณใ นการกระทาํ ผดิ วินัยทผี่ อู ทุ ธรณถูกลงโทษ (๒) มีสวนไดเสยี ในการกระทําผิดวินัยทีผ่ ูอ ทุ ธรณถูกลงโทษ (๓) มีสาเหตุโกรธเคืองผอู ุทธรณ (๔) เปน ผบู ังคับบญั ชาผสู ง่ั ลงโทษ (๕) เปนผกู ลาวหา หรือเปนคูสมรส บุพการี ผูสืบสันดาน หรือพี่นองรวมบิดามารดาหรือ รวมบิดาหรอื มารดากบั ผูกลา วหา การคดั คา นอนกุ รรมการ หรอื กรรมการผูพิจารณาอุทธรณนน้ั ตองแสดงขอเท็จจริงที่เปนเหตุ แหงการคดั คานไวในหนังสืออุทธรณ หรือแจงเพม่ิ เตมิ เปนหนงั สอื กอ นที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรอื ก.ค.ศ. เริม่ พิจารณาอทุ ธรณ เม่ือมีเหตุหรือมีการคัดคานตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง อนุกรรมการหรือกรรมการผูน้ัน จะขอถอนตัวไมรวมพิจารณาอุทธรณก็ได ถาอนุกรรมการหรือกรรมการดังกลาวมิไดขอถอนตัว ใหอนุกรรมการหรือกรรมการท่ีเหลืออยูนอกจากอนุกรรมการหรือกรรมการผูถูกคัดคานพิจารณา ขอเท็จจรงิ ท่ีคัดคา น หากเหน็ วาขอเทจ็ จริงนัน้ นา เช่ือถือ ใหแจงอนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นทราบ และมิใหรวมพิจารณาอุทธรณ เวนแตจะพิจารณาเห็นวา การใหอนุกรรมการ หรือกรรมการผูนั้น รว มพิจารณาอทุ ธรณดงั กลา วจะเปน ประโยชนยงิ่ กวา เพราะจะทําใหไดความจริงและเปนธรรม จะให อนกุ รรมการหรอื กรรมการผนู น้ั รวมพิจารณาอทุ ธรณกไ็ ด ขอ ๗ การอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทีส่ ังกดั เขตพนื้ ท่ีการศึกษา ใหด ําเนนิ การดังตอไปน้ี (๑) การอทุ ธรณคาํ สั่งลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ ใหอุทธรณตอ ก.ค.ศ. และ ให ก.ค.ศ. เปน ผูพ ิจารณา (๒) การอุทธรณค ําส่งั ลงโทษภาคทณั ฑ ตัดเงนิ เดอื น หรือลดข้นั เงินเดือนของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซ่ึงส่ัง ตามมตขิ อง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา ใหอ ทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพจิ ารณา (๓) การอุทธรณคําสั่งลงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือนของผูอํานวยการ สาํ นักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา หรอื ผอู าํ นวยการสถานศกึ ษา ใหอทุ ธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษา และให อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ที่การศกึ ษา เปนผูพิจารณา ขอ ๘ การอทุ ธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิได สังกัดเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา ใหด าํ เนนิ การดงั ตอไปน้ี

เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 163 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๖ ราชกจิ จานุเบกษา (๑) การอทุ ธรณคาํ สั่งลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ ใหอุทธรณตอ ก.ค.ศ. และ ให ก.ค.ศ. เปน ผพู จิ ารณา (๒) การอุทธรณค ําสง่ั ลงโทษภาคทณั ฑ ตดั เงนิ เดือน หรือลดขั้นเงินเดือนของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวงหรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้งใหอ ทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปนผพู จิ ารณา (๓) การอทุ ธรณคาํ สัง่ ลงโทษภาคทณั ฑ ตดั เงินเดอื น หรือลดข้ันเงินเดือนของปลัดกระทรวง ศกึ ษาธกิ าร เลขาธกิ าร อธิบดีหรือตาํ แหนง ทีเ่ รยี กชอ่ื อยางอ่ืนทม่ี ีฐานะเทียบเทาอธิการบดีหรือตําแหนง ท่เี รียกชื่ออยางอื่นท่ีมีฐานะเทียบเทาผูอํานวยการสถานศึกษาหรือตําแหนงที่เรียกชื่ออยางอื่นที่มีฐานะ เทียบเทา ใหอ ุทธรณต อ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตงั้ และให อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตัง้ เปน ผพู จิ ารณา ขอ ๙ การอุทธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา ใหทําหนังสืออุทธรณถึงประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ที่การศกึ ษา หรอื ผอู าํ นวยการสํานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา การอทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. ใหท าํ หนงั สืออทุ ธรณถ ึงประธาน ก.ค.ศ. หรอื เลขาธกิ าร ก.ค.ศ. และ ยน่ื ทสี่ ํานักงาน ก.ค.ศ. การยื่นหรือสงหนังสืออุทธรณ ผูอุทธรณจะย่ืนหรือสงผานผูบังคับบัญชาก็ได โดยให ผูบังคับบัญชาน้นั สง หนังสืออทุ ธรณไ ปยังผอู ํานวยการสํานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา หรอื หนวยงานหรือ สวนราชการที่ทําหนาท่ีเลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือเลขาธิการ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในสามวันทาํ การนบั แตวันท่ีผบู ังคบั บัญชาดังกลาวไดรับหนังสอื อทุ ธรณ ในกรณที นี่ ําหนังสอื อุทธรณม ายื่นเอง ใหผ รู ับออกใบรบั ประทับตรารบั และลงทะเบียนไวเปน หลักฐานในวนั ท่รี บั ตามระเบยี บวา ดวยงานสารบรรณ และใหถือวันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกลาว เปน วันยน่ื หนงั สืออทุ ธรณ ในกรณีที่สงหนังสืออุทธรณทางไปรษณีย ใหถือวันที่ท่ีทําการไปรษณียตนทางออกใบรับฝาก เปนหลักฐานฝากสง หรือวันทท่ี ่ีทาํ การไปรษณียตน ทางประทับตรารับท่ีซองหนังสือเปนวันสงหนังสือ อทุ ธรณ เม่ือไดย่ืนหรือสงหนังสืออุทธรณไวแลว ผูอุทธรณจะย่ืนหรือสงคําแถลงการณหรือเอกสาร หลกั ฐานเพ่มิ เตมิ กอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. เร่ิมพิจารณาอุทธรณก็ได โดยย่ืน หรอื สงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ที่การศึกษา หรอื ก.ค.ศ. แลว แตก รณี

164 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๗ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ขอ ๑๐ อุทธรณท่ีจะรับไวพิจารณาไดตองเปนอุทธรณท่ีถูกตองในสาระสําคัญตามขอ ๔ และขอ ๙ และไดอทุ ธรณภายในกาํ หนดเวลาตามขอ ๓ ในกรณีท่ีมีปญหาวาอุทธรณรายใดเปนอุทธรณท่ีจะรับไวพิจารณาไดหรือไม ให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตก รณี เปนผพู จิ ารณาวนิ จิ ฉยั ในกรณีที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. มีมติไมรับอุทธรณคําสั่งลงโทษไว พิจารณา ใหเปนที่สดุ และแจง มตนิ ้ันพรอ มสทิ ธิในการฟองศาลปกครองใหผูอุทธรณทราบเปนหนังสือ โดยเรว็ ขอ ๑๑ ผูอุทธรณจะขอถอนอุทธรณกอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณเสร็จสิ้นก็ได โดยทําเปนหนังสือยื่นหรือสงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. เมอ่ื ไดถ อนอทุ ธรณแลว การพิจารณาอทุ ธรณใหเปนอันระงบั ขอ ๑๒ ในกรณที ผ่ี ูถ ูกลงโทษไดย า ยหรือโอนไปสงั กดั เขตพ้นื ที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น ใหย่ืนอุทธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาที่ผูอ ุทธรณไ ดยา ยหรือโอนไปสงั กัดน้ัน ในกรณที ีผ่ อู ทุ ธรณไดย ายหรือโอนไปสงั กัดเขตพื้นที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น หลังจาก ท่ีไดย นื่ อทุ ธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษาสังกัดเดิมไวแลว และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา สังกัดเดิมน้ันยังมิไดมีมติตามขอ ๑๔ ใหสงเรื่องอุทธรณและเอกสารหลักฐานตามขอ ๑๓ ไปให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาตามวรรคหนง่ึ เปนผูพจิ ารณาวินจิ ฉัยอทุ ธรณตอไป ในกรณที ีผ่ ูอ ุทธรณไ ดยา ยหรือโอนไปสังกัดเขตพ้ืนที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น หลังจาก ที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสังกัดเดิมไดมีมติตามขอ ๑๔ แลว แตผูบังคับบัญชายังมิไดสั่งหรือ ปฏิบัติใหเปนไปตามมตินั้น ใหสงเรื่องอุทธรณและเอกสารหลักฐานท่ีเก่ียวของพรอมท้ังรายงาน การประชุมและมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ท่ีการศึกษาไปใหผบู งั คบั บัญชาใหมเปน ผสู ่ังหรือปฏิบัติใหเปนไป ตามมตนิ ัน้ ขอ ๑๓ การพิจารณาอทุ ธรณค าํ ส่ังลงโทษทางวินัย ให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาจากสํานวนการสืบสวนหรือการพิจารณาในเบ้ืองตนตามมาตรา ๙๕ และสํานวน การดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๘ หรือสํานวนการไตสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือ ตามกฎหมายอ่ืนท่ีบัญญัติใหฟงขอเท็จจริงตามนั้น และในกรณีจําเปนและสมควรอาจขอเอกสารและ หลักฐานที่เก่ียวของเพิ่มเติม รวมท้ังคําชี้แจงจากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสว น บริษัท หรอื บุคคลใด ๆ หรอื ขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกจิ หนวยงานอน่ื ของรฐั

165 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๘ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา หางหุนสวน บริษัท ขาราชการหรือบุคคลใด ๆ มาใหถอยคําหรือชี้แจงขอเท็จจริงเพ่ือประกอบการ พจิ ารณาได ในกรณที ่ผี อู ุทธรณขอแถลงการณด วยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นวาการแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ จะใหงดการ แถลงการณด ว ยวาจาก็ได ในกรณีทนี่ ัดใหผอู ุทธรณม าแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูดํารงตําแหนงที่ส่ัง ลงโทษหรือเพิ่มโทษทราบดวยวา ถาประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลงดวยตนเองหรือมอบหมาย เปนหนังสือใหข า ราชการทเี่ กี่ยวของเปน ผูแทนมาแถลงแกตอที่ประชุมครง้ั นั้นได ท้งั นี้ ใหแ จง ลว งหนา ตามควรแกกรณี และเพ่ือประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูดํารงตําแหนงท่ีส่ังลงโทษหรือเพ่ิมโทษ หรอื ผูแทนเขาฟง คําแถลงการณดว ยวาจาของผอู ทุ ธรณได ในการพิจารณาอทุ ธรณ ถา อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. เห็นสมควรท่ีจะตอง สอบสวนใหมหรอื สอบสวนเพม่ิ เติมเพ่ือประโยชนแหงความถูกตองและเหมาะสมตามความเปนธรรม ใหม อี าํ นาจสอบสวนใหมห รอื สอบสวนเพิ่มเตมิ ในเร่ืองนน้ั ไดตามความจาํ เปน โดยจะสอบสวนเองหรือ แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหส อบสวนใหมหรือสอบสวนเพิ่มเติมแทนก็ได หรือกําหนดประเด็น หรอื ขอสําคัญทีต่ อ งการทราบสงไปใหผ สู อบสวนเดมิ ทาํ การสอบสวนเพมิ่ เติมได ในการสอบสวนใหมหรือสอบสวนเพิ่มเติม ถา อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. หรือคณะกรรมการสอบสวนที่ไดรับแตงต้ังตามวรรคสี่ เห็นสมควรสงประเด็นหรือขอสําคัญใด ที่ตองการทราบไปสอบสวนพยานหลักฐานซ่ึงอยูตางทองท่ีหรือตางเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ใหมีอํานาจ กาํ หนดประเดน็ หรอื ขอสาํ คัญน้ันสงไปเพ่ือใหห วั หนาสว นราชการหรือหัวหนาหนวยงานในทองที่หรือ เขตพ้นื ที่การศกึ ษานั้นทาํ การสอบสวนแทนได การสอบสวนใหมห รือสอบสวนเพมิ่ เติม หรือสงประเด็นหรือขอสําคัญไปเพื่อใหผูสอบสวน เดิมหรือหัวหนาสวนราชการหรือหัวหนาหนวยงานซ่ึงอยูตางทองที่หรือตางเขตพื้นท่ีการศึกษา ดําเนินการตามวรรคสี่และวรรคหา ในเรื่องเก่ียวกับกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง หรือกรณกี ลาวหาตามมาตรา ๑๑๐ (๔) หรอื มาตรา ๑๑๑ ใหน าํ หลักเกณฑ และวิธีการเกี่ยวกับการสอบสวนพิจารณาตามมาตรา ๙๘ วรรคหก หรือมาตรา ๑๑๑ วรรคหน่ึง และวรรคสาม แลวแตกรณี มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม

166 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๙ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา ขอ ๑๔ เมอ่ื อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ไดพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัยไมรายแรงที่อุทธรณตามขอ ๗ (๒) หรือ (๓) หรือตามขอ ๘ (๒) หรอื (๓) แลว (๑) ถา เหน็ วาการสั่งลงโทษถูกตอ งและเหมาะสมกบั ความผดิ แลว ใหม มี ตใิ หย กอุทธรณ (๒) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง แตควรไดรับโทษหนักขึ้น ใหมีมติใหเพิ่มโทษเปนสถานโทษหรืออัตราโทษ ท่หี นกั ขึน้ (๓) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ควรไดรับโทษเบาลง ใหมีมติใหลดโทษเปนสถานโทษหรืออัตราโทษ ท่เี บาลง (๔) ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดก ระทําผิดวินัยไมรายแรง ซ่ึงเปนการกระทําผิดวินัยเล็กนอย และมีเหตุอันควรงดโทษ ใหมีมติให ส่ังงดโทษโดยใหทําทัณฑบนเปนหนงั สือหรือวากลาวตักเตอื นกไ็ ด (๕) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตอง และเห็นวาการกระทําของผูอุทธรณไมเปนความผิด วนิ ัยหรือพยานหลกั ฐานยงั ฟงไมไ ดว า ผูอุทธรณก ระทาํ ผิดวินัย ใหมีมตใิ หย กโทษ (๖) ถาเห็นวา ขอ ความในคาํ สงั่ ลงโทษไมถูกตอ งหรอื ไมเหมาะสม ใหมมี ติใหแกไ ขเปล่ียนแปลง ขอความใหเ ปน การถกู ตอ งเหมาะสม (๗) ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวากรณีมีมูล ทีค่ วรกลาวหาวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวนตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง และดําเนินการตามกฎหมายตอ ไป (๘) ในกรณที ่ีเหน็ วา เปนความผดิ วนิ ัยอยางรา ยแรงกรณคี วามผดิ ทป่ี รากฏชดั แจง ตามทกี่ ําหนด ในกฎ ก.ค.ศ. หรือเห็นวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดมีการดําเนินการทางวินัย ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แลว ใหม ีมติใหเพมิ่ โทษเปนปลดออกหรอื ไลอ อกจากราชการ (๙) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิดและเห็นวาผูอุทธรณ มีกรณีท่ีสมควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๐ (๔) มาตรา ๑๑๑ หรือมาตรา ๑๑๒ ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน และดําเนินการ ตามกฎหมายตอไป

เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 167 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา (๑๐) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอ่ืนใด เพื่อใหมีความถูกตองตามกฎหมายและมี ความเปนธรรม ใหมมี ติใหด าํ เนินการไดต ามควรแกกรณี การออกจากราชการของผูอ ุทธรณไมเปนเหตุทีจ่ ะยุติการพิจารณาอุทธรณ แตจ ะมีมติตาม (๒) หรอื (๙) มิได หรอื ถา เปนการออกจากราชการเพราะตายจะมีมติตาม (๗) หรือ (๘) มไิ ด ในกรณีที่มีผูถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ไดกระทํารวมกัน และเปนความผิดในเร่ือง เดียวกันโดยมีพฤติการณแหงการกระทําอยางเดียวกัน เม่ือผูถูกลงโทษคนใดคนหน่ึงใชสิทธิอุทธรณ คําสัง่ ลงโทษดังกลาว และผลการพิจารณาเปนคุณแกผูอุทธรณ แมผูถูกลงโทษคนอื่นจะไมไดใชสิทธิ อทุ ธรณ หากพฤติการณข องผไู มไดใ ชสิทธิอทุ ธรณเปนเหตุในลักษณะคดีอันเปนเหตุเดียวกับกรณีของ ผอู ทุ ธรณแ ลว ใหมีมติใหผ ูท่ไี มไ ดใชสิทธิอุทธรณไ ดร ับการพิจารณาการลงโทษใหม ีผลในทางที่เปน คุณ เชน เดยี วกบั ผูอ ุทธรณดวย ขอ ๑๕ เมือ่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ไดมีมติตามขอ ๑๔ แลว ใหผูมี อาํ นาจตามมาตรา ๕๓ สั่งหรือปฏบิ ตั ใิ หเปน ไปตามมตินนั้ และเม่ือไดสั่งหรือปฏิบัติตามมติดังกลาวแลว ใหแจง ใหผ อู ทุ ธรณท ราบดว ย ขอ ๑๖ ในกรณที ี่ผมู ีอาํ นาจตามมาตรา ๕๓ ไดส่ังตามขอ ๑๕ แลว ผูอุทธรณจะอุทธรณ ตอไปอีกมิได เวนแตผูมีอํานาจดังกลาวสั่งเพิ่มโทษเปนโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการตาม ขอ ๑๔ (๘) หรือสั่งใหออกจากราชการตามขอ ๑๔ (๙) ผูอุทธรณมีสิทธิอุทธรณหรือรองทุกขตาม มาตรา ๑๒๒ ไดอ กี ชั้นหนึง่ ขอ ๑๗ การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณในกรณีท่ีอุทธรณตอ ก.ค.ศ. ตามขอ ๗ (๑) และ ขอ ๘ (๑) ใหนาํ ขอ ๑๓ และขอ ๑๔ มาใชบ งั คับโดยอนุโลม เมื่อ ก.ค.ศ. มีมตเิ ปนประการใด ผอู ุทธรณจ ะอุทธรณหรอื รองทกุ ขต อ ไปอีกมิได และใหแจง ผูอุทธรณทราบพรอมทั้งแจงสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง และใหแจงสวนราชการที่เก่ียวของทราบ เปน หนงั สอื หรือดาํ เนินการใหเ ปนไปตามมติ ก.ค.ศ. โดยเรว็

เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 168 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา ขอ ๑๘ การนบั ระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ สําหรับเวลาเริ่มตน ใหนับวันถัดจากวันแรก แหงเวลาน้ันเปนวันเริ่มนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับ วันหยุดราชการใหนับวันเริ่มเปดทําการใหมเปนวนั สดุ ทา ยแหงระยะเวลา ใหไว ณ วนั ที่ ๒๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ วิจิตร ศรีสอา น รัฐมนตรวี าการกระทรวงศกึ ษาธิการ ประธาน ก.ค.ศ.

เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก 169 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๒ ราชกิจจานเุ บกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบับน้ี คือ โดยท่ีมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติใหหลักเกณฑและวิธีการในเรื่อง ท่เี ก่ียวกับการอทุ ธรณและการพิจารณาอทุ ธรณ กรณีทขี่ าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกสั่งลงโทษ ทางวินัยหรอื ถูกสั่งใหออกจากราชการ ใหเ ปน ไปตามทกี่ ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จึงจําเปน ตองออกกฎ ก.ค.ศ. นี้

เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 170 ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ หนา ๗ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ค.ศ. วา ดวยการรอ งทุกขแ ละการพจิ ารณารองทุกข พ.ศ. ๒๕๕๑ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว ดงั ตอ ไปนี้ ขอ ๑ ในกฎ ก.ค.ศ. น้ี เวน แตข อความจะแสดงใหเ หน็ เปน อยา งอ่ืน “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่กี ารศึกษา” หมายความรวมถึง อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตัง้ ดวย “ปลัดกระทรวง” หมายความวา ปลัดกระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวง วัฒนธรรม หรือปลัดกระทรวงอืน่ ท่มี ขี า ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาในสังกัดตามท่ีกําหนดใน พระราชกฤษฎีกา แตไ มรวมถงึ ปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขอ ๒ การรอ งทกุ ขคําสงั่ ใหออกจากราชการ ใหรอ งทกุ ขตอ ก.ค.ศ. ภายในสามสิบวันนับ แตว ันไดรบั แจงคําสัง่ โดยใหน าํ หลักเกณฑและวธิ กี ารท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. วาดวยการอุทธรณและ การพิจารณาอทุ ธรณมาใชบ ังคับโดยอนโุ ลม ขอ ๓ การรอ งทกุ ขและการพิจารณารอ งทุกข ในกรณที ี่ขาราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจเนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่กําหนดใน กฎ ก.ค.ศ. น้ี

171 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๘ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา ขอ ๔ เมื่อผูอยูใตบังคับบัญชามีกรณีรองทุกขตามขอ ๓ และแสดงความประสงคที่จะ ปรึกษาหารือ รับฟงหรือสอบถามกับผูบังคับบัญชา ใหผูบังคับบัญชาน้ันใหโอกาสและรับฟงหรือ สอบถามเกย่ี วกบั ปญ หาดังกลา วเพอื่ ทาํ ความเขา ใจและแกปญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ ในชั้นตน ถา ผอู ยใู ตบังคับบัญชาไมป ระสงคจ ะปรึกษาหารอื หรือปรกึ ษาหารือแลวไมไดรับคาํ ช้ีแจงหรือ ไดร บั คําชีแ้ จงไมเปน ทพ่ี อใจ หรือผูบังคับบัญชามิไดดําเนินการใด ๆ หรือดําเนินการแลวแตไมเปนท่ี พอใจ ก็ใหร องทุกขต ามขอ ๕ ขอ ๕ การรองทุกข ใหทําเปนหนังสือยื่นหรือสงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในสามสิบวันนับแตวันทราบเร่ืองอันเปนเหตุแหงการรองทุกข และให รองทุกขไดสําหรับตนเองเทา น้ัน จะรองทกุ ขแ ทนผูอน่ื หรือมอบหมายใหผอู น่ื รอ งทุกขแทนไมไ ด หนงั สือรองทกุ ขตองลงลายมือช่ือ ท่ีอยู และตําแหนงของผูรองทุกข และตองประกอบดวย สาระสําคัญที่แสดงขอเท็จจริงและเหตุผลใหเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจ เนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางใด และความประสงคของการรองทุกข ถาผรู อ งทกุ ขประสงคจ ะแถลงการณด ว ยวาจาในช้นั การพิจารณา ใหแสดงความประสงคไวใน หนังสือรองทุกข หรือจะทําเปนหนังสือตางหากก็ได โดยย่ืนหรือสงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. กอ นเรม่ิ พจิ ารณาเรื่องรอ งทกุ ข ขอ ๖ การรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา ใหทําหนังสือรองทุกขถึงประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา พรอ มกับสาํ เนารับรองถูกตองหนึ่งฉบับ ย่ืนหรือสงท่ีสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษา หรือสว นราชการทีท่ ําหนา ทเี่ ลขานกุ ารของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตงั้ การรองทุกขตอ ก.ค.ศ. ใหทําหนังสือรองทุกขถึงประธาน ก.ค.ศ. หรือเลขาธิการ ก.ค.ศ. พรอมกบั สาํ เนารับรองถูกตองหนง่ึ ฉบบั โดยย่นื หรือสง ท่ีสํานกั งาน ก.ค.ศ. ผู ร อ ง ทุ ก ข จ ะ ย่ื น ห รื อ ส ง ห นั ง สื อ ร อ ง ทุ ก ข พ ร อ ม กั บ สํ า เ น า รั บ ร อ ง ถู ก ต อ ง ห นึ่ ง ฉ บั บ ผานผูบังคับบัญชาหรือผานผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขก็ได และใหผูบังคับบัญชาน้ัน ดําเนินการตามขอ ๑๑ ในกรณีท่ีมีผูนําหนังสือรองทุกขมายื่นเอง ใหผูรับออกใบรับ พรอมท้ังประทับตรารับและ ลงทะเบียนไวเปนหลักฐานในวันท่ีรับตามระเบียบวาดวยงานสารบรรณ และใหถือวันที่รับหนังสือ ตามหลกั ฐานดงั กลาวเปนวนั ย่นื หนังสือรอ งทกุ ข

172 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก หนา ๙ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ในกรณีทีส่ งหนังสือรองทกุ ขท างไปรษณีย ใหถอื วันทท่ี ่ที าํ การไปรษณยี ตน ทางออกใบรับฝาก เปนหลักฐานฝากสง หรือวันท่ีที่ทําการไปรษณียตนทางประทับตรารับที่ซองหนังสือ เปนวันสง หนังสอื รองทุกข เม่ือไดย่ืนหรือสงหนังสือรองทุกขไวแลว ผูรองทุกขจะยื่นหรือสงหนังสือรองทุกขหรือ เอกสารและหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ กอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. เริ่มพิจารณาเรื่องรองทุกขก็ได โดยยืน่ หรอื สง ตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา หรอื ก.ค.ศ. แลวแตก รณี ขอ ๗ การรองทุกขสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดเขตพื้นที่ การศึกษาใหด าํ เนนิ การดงั ตอ ไปน้ี (๑) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ หรือคําส่ัง ของผบู ังคับบัญชาซึ่งสั่งการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือกรณีเหตุรองทุกขเกิดจาก การถูกสง่ั พักราชการตามมาตรา ๑๐๓ ใหร องทุกขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพจิ ารณา (๒) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากผูบังคับบัญชาต้ังแตผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาลงมา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา และให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เปน ผพู จิ ารณา ขอ ๘ การรองทุกขสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิไดสังกัดเขตพ้ืนท่ี การศึกษาใหด ําเนนิ การดงั ตอ ไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวง หรือคําส่ังของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือกรณีเหตุรองทุกข เกิดจากการถูกสั่งพกั ราชการตามมาตรา ๑๐๓ ใหร อ งทกุ ขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผพู ิจารณา (๒) ในกรณีทีเ่ หตุรองทุกขเกิดจากปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ เลขาธิการ อธิบดีหรือตําแหนง ท่ีเรียกชื่ออยางอื่นท่ีมีฐานะเทียบเทา อธิการบดีหรือตําแหนงท่ีเรียกช่ืออยางอื่นที่มีฐานะเทียบเทา ผอู ํานวยการสํานกั ผอู าํ นวยการกอง ผูอ าํ นวยการสถานศึกษาหรือตําแหนงที่เรียกช่ืออยางอื่นท่ีมีฐานะ เทยี บเทา ใหรอ งทุกขต อ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้งั และให อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั เปนผพู ิจารณา ขอ ๙ ผูรองทุกขมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาเรื่องรองทุกข ถา ผนู ั้นมีเหตอุ ยา งหนง่ึ อยา งใด ดงั ตอ ไปนี้ (๑) เปน ผบู งั คับบญั ชาผเู ปนเหตุแหงการรองทุกข (๒) มีสว นไดเสียในเรื่องทร่ี อ งทกุ ข

173 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๑๐ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา (๓) มีสาเหตโุ กรธเคืองผรู องทุกข (๔) เปนคูสมรส บุพการี ผูสืบสันดาน หรือพี่นองรวมบิดามารดาหรือรวมบิดาหรือมารดา กบั ผบู งั คับบญั ชาผูเปนเหตุแหง การรองทุกข การคดั คา นอนกุ รรมการหรือกรรมการผพู ิจารณาเรอื่ งรองทุกขน้ัน ตองแสดงขอเท็จจริงท่ีเปน เหตุแหงการคัดคานไวในหนังสือรองทุกข หรือแจงเพิ่มเติมเปนหนังสือกอนท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่ การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. แลว แตก รณี เร่ิมพจิ ารณาเรื่องรองทกุ ข เม่ือมีเหตุหรือมีการคัดคานตามวรรคหน่ึง อนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นจะขอถอนตัว ไมรวมพิจารณาเรื่องรองทุกขน้ันก็ได ถาอนุกรรมการหรือกรรมการผูน้ันมิไดขอถอนตัว ใหอนุกรรมการหรือกรรมการท่ีเหลืออยูนอกจากผูถูกคัดคานพิจารณาขอเท็จจริงที่เปนเหตุแหงการ คัดคา น หากเห็นวาขอเทจ็ จริงนน้ั นาเช่ือถือใหแจงอนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นทราบและมิใหรวม พิจารณาเรอ่ื งรอ งทกุ ขนนั้ เวนแตจ ะพจิ ารณาเหน็ วาการใหอนุกรรมการหรอื กรรมการผนู น้ั รวมพิจารณา เร่ืองรองทุกขดังกลาวจะเปนประโยชนยิ่งกวา เพราะจะทําใหไดความจริงและเปนธรรม จะให อนุกรรมการหรอื กรรมการผูนั้นรวมพิจารณาเร่อื งรองทุกขน ัน้ กไ็ ด ขอ ๑๐ ในกรณีท่ผี รู อ งทุกขไมป ระสงคจะใหม กี ารพิจารณาเร่ืองรองทุกขตอไป จะขอถอน เรื่องรองทุกขกอนท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเรื่องรองทุกขเสร็จส้ินก็ได โดยทําเปนหนงั สอื ยน่ื หรือสง ตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. และเมื่อไดถอนเรื่อง รองทกุ ขแลว การพจิ ารณาเรอื่ งรอ งทกุ ขใหเปน อันระงบั ขอ ๑๑ เมื่อไดรับหนังสือรองทุกขตามขอ ๖ วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ใหสํานักงานเขต พื้นที่การศึกษา หรือสวนราชการท่ีทําหนาที่เลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือสํานักงาน ก.ค.ศ. แลวแตกรณี มีหนังสือแจงพรอมทั้งสงสําเนาหนังสือรองทุกขใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุ แหงการรองทุกขทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขนั้นสงเอกสารหรือ หลกั ฐานที่เกย่ี วขอ งโดยใหม ีคําชี้แจงประกอบดว ย เพอื่ ประกอบการพจิ ารณาภายในเจ็ดวันทําการนับแต วันไดร บั หนงั สอื ในกรณีท่ีผูบังคับบัญชาไดรับหนังสือรองทุกขที่ไดย่ืนหรือสงตามขอ ๖ วรรคสาม ใหผูบังคับบัญชาน้ันสงหนังสือรองทุกขพรอมทั้งสําเนาตอไปยังผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการ รอ งทกุ ขภ ายในสามวันทาํ การนับแตว นั ทีไ่ ดร บั หนังสือรอ งทกุ ข

เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 174 ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๑ ราชกจิ จานเุ บกษา เมื่อผบู ังคับบญั ชาผูเปนเหตุแหงการรอ งทกุ ขไดร ับหนังสือรอ งทุกขแลว หรอื กรณีที่ผูรองทุกข ไดยน่ื หรือสงหนงั สือรองทุกขผานผูบงั คับบญั ชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขโดยตรงตามขอ ๖ วรรคสาม ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขน้ันจัดสงหนังสือรองทุกขพรอมทั้งสําเนาและเอกสาร หรอื หลักฐานที่เกยี่ วขอ ง โดยใหมีคําช้ีแจงประกอบดวย ไปยังประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือหัวหนาสวนราชการที่ทําหนาที่เลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือประธาน ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในเจ็ดวันทาํ การนบั แตไ ดรบั หนังสือรองทกุ ข ขอ ๑๒ การพจิ ารณาเรอ่ื งรอ งทุกข ให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. พิจารณา ถึงเหตุแหงการไมไดรับความเปนธรรมหรือเหตุแหงความคับของใจเน่ืองจากการกระทําของ ผูบังคบั บญั ชาหรือเหตุแหงการแตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และในกรณีจําเปนและสมควร อาจขอเอกสารหรือหลักฐานที่เก่ียวของเพิ่มเติม รวมท้ังคําช้ีแจงจากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ หรือขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอื่นของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ มาใหถอยคําหรือช้ีแจง ขอ เทจ็ จริงเพ่ือประกอบการพจิ ารณาได ในกรณีที่ผรู อ งทุกขขอแถลงการณดว ยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นวา การแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องรองทุกข จะให งดแถลงการณดวยวาจาก็ได ในกรณที ี่นดั ใหผ รู อ งทกุ ขม าแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูบังคับบัญชาผูเปน เหตแุ หง การรอ งทกุ ขท ราบดว ยวา ถา ประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลง หรือมอบหมายเปนหนังสือให ขา ราชการที่เกีย่ วขอ งเปนผแู ทนมาแถลงตอ ท่ีประชุมคร้ังน้นั กไ็ ด ทงั้ น้ี ใหแ จงลว งหนาตามควรแกกรณี และเพื่อประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขหรือผูแทน เขา ฟงคําแถลงการณด ว ยวาจาของผรู อ งทุกขไ ด ขอ ๑๓ ให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัยเร่ืองรองทุกข ใหแลวเสร็จภายในสามสิบวันนับแตวันไดรับหนังสือรองทุกขและเอกสารหรือหลักฐานตามขอ ๑๑

เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก 175 ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๒ ราชกจิ จานเุ บกษา หรือขอ ๑๒ แลวแตก รณี แตถา มีความจําเปน ไมอ าจพิจารณาใหแลว เสรจ็ ภายในเวลาดงั กลา ว ใหขยาย เวลาพจิ ารณาไดอ กี ไมเ กนิ สามสบิ วันและใหบ นั ทึกแสดงเหตผุ ลความจาํ เปนท่ตี องขยายเวลาไวด ว ย ในกรณีท่ีขยายเวลาตามวรรคหน่ึงแลวการพิจารณายังไมแลวเสร็จ ให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ขยายเวลาพิจารณาไดอีกไมเกินสามสิบวัน แตทั้งนี้ใหพิจารณากําหนด มาตรการทีจ่ ะทําใหการพิจารณาแลว เสร็จโดยเร็วและบันทึกไวเปนหลักฐานในรายงานการประชุม ขอ ๑๔ เม่อื อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. ไดพ ิจารณาวนิ จิ ฉยั เรอื่ งรองทุกขแลว (๑) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือการ แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยน้ัน ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีหรือปฏิบัติตอผูรองทุกข โดยชอบดว ยกฎหมายแลว ใหม ีมติยกคาํ รองทุกข (๒) ถาเหน็ วาเหตทุ ี่ทําใหไมไ ดรบั ความเปน ธรรมหรอื เหตุแหง ความคบั ของใจหรือการแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยนน้ั ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีหรือปฏิบัติตอผูรองทุกขโดยไม ชอบดว ยกฎหมาย ใหมีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติ หรือใหขอแนะนําตามที่เห็นสมควรเพ่ือให ผูบ ังคับบญั ชาปฏบิ ตั ใิ หถูกตอ งตามระเบียบและแบบธรรมเนยี มของทางราชการ (๓) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอื่นใด เพ่ือใหมีความถูกตองตามกฎหมายและมี ความเปน ธรรม ใหม ีมติใหด ําเนนิ การไดตามควรแกก รณี (๔) ถาเห็นวาการรองทุกขไมเปนไปตามหลักเกณฑในขอ ๕ วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ขอ ๗ หรอื ขอ ๘ ใหม มี ติไมรบั คํารองทุกข การพิจารณามีมติตามวรรคหนึ่ง ใหบันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัยไวในรายงาน การประชมุ ดว ย ขอ ๑๕ มตขิ อง อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ที่การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. ตามขอ ๑๔ ใหเปนทีส่ ดุ ขอ ๑๖ เมือ่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นทีก่ ารศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ไดม มี ติเปนประการใดแลว ใหผูมี อํานาจตามมาตรา ๕๓ ส่ังหรือปฏิบัติใหเปนไปตามมติน้ันในโอกาสแรกท่ีทําได ในกรณีที่มีเหตุผล

เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 176 ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๓ ราชกิจจานเุ บกษา ความจําเปนจะใหมีการรับรองรายงานการประชุมเสียกอนก็ได และเมื่อไดส่ังหรือปฏิบัติตามมติ ดงั กลาวแลว ใหแ จงใหผูรองทกุ ขท ราบเปนหนงั สือโดยเรว็ ขอ ๑๗ การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ สําหรับเวลาเริ่มตน ใหนับวันถัดจากวันแรก แหงเวลาน้ันเปนวันเร่ิมนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับ วนั หยดุ ราชการ ใหน บั วันเร่ิมเปด ทําการใหมเ ปนวนั สุดทา ยแหง ระยะเวลา ใหไว ณ วนั ท่ี ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สมชาย วงศส วสั ด์ิ รฐั มนตรวี าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประธาน ก.ค.ศ.

177 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๑๔ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติ ระเบยี บขา ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติใหหลักเกณฑและวิธีการในเรื่องที่ เกย่ี วกับการรอ งทุกขแ ละการพิจารณารอ งทุกข กรณที ่ีขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกส่ังใหออก จากราชการ หรือเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจ เน่ืองจากการกระทําของ ผูบังคับบัญชาหรือการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ใหเปนไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จงึ จําเปน ตองออกกฎ ก.ค.ศ. นี้

เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก 178 ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ หน้า ๑๒ ราชกจิ จานเุ บกษา กฎ ก.ค.ศ. วา่ ด้วยการส่ังพกั ราชการและการสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศัยอาํ นาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) มาตรา ๑๐๓ วรรคห้า และมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยได้รบั อนุมตั ิ จากคณะรัฐมนตรอี อกกฎ ก.ค.ศ. ไว้ ดงั ต่อไปน้ี ขอ้ ๑ การสัง่ ใหข้ ้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพกั ราชการหรือให้ออกจากราชการ ไวก้ อ่ นกรณรี อฟงั ผลการสอบสวนพิจารณา และกรณีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย วา่ ด้วยสภาครูและบคุ ลากรทางการศึกษา ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการทกี่ าํ หนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ข้อ ๒ ให้ผู้มอี าํ นาจตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๙๘ วรรคสอง วรรคส่ี และวรรคห้า มาตรา ๑๐๐ วรรคหก และผ้บู ังคบั บญั ชาท่ีได้รับรายงานตามมาตรา ๑๐๔ แล้วแต่กรณี เป็นผู้สั่งพักราชการหรือส่ังให้ ออกจากราชการไวก้ ่อน ขอ้ ๓ เม่อื ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย อย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ จะสั่งให้ผู้น้ัน พกั ราชการไดต้ ่อเมื่อมีเหตอุ ย่างหนึ่งอยา่ งใด ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่า กระทาํ ความผดิ อาญาในเร่อื งเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเก่ียวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์ อนั ไม่น่าไวว้ างใจ และผู้ทถี่ ูกฟอ้ งนั้นพนกั งานอยั การมไิ ด้รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ พิจารณาเหน็ วา่ ถา้ ใหผ้ นู้ ัน้ คงอยู่ในหนา้ ที่ราชการอาจเกดิ ความเสยี หายแกร่ าชการ (๒) ผ้นู นั้ มีพฤตกิ ารณ์ทแี่ สดงว่าถ้าคงอยู่ในหน้าท่ีราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือจะก่อให้เกิดความไมส่ งบเรียบร้อยขึ้น (๓) ผนู้ ั้นอย่ใู นระหว่างถกู ควบคมุ หรือขังโดยเปน็ ผถู้ ูกจบั ในคดีอาญา หรือต้องจาํ คุกโดยคําพิพากษา และไดถ้ กู ควบคุม ขงั หรอื ต้องจาํ คกุ เป็นเวลาตดิ ตอ่ กันเกนิ สบิ ห้าวนั แลว้

179 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๓ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา (๔) ผู้น้ันถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและต่อมามีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็น ผู้กระทาํ ความผดิ อาญาในเรอื่ งท่สี อบสวน หรอื ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงภายหลัง ที่มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดว่าเป็นผู้กระทําความผิดอาญาในเร่ืองท่ีสอบสวนนั้น และผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ พจิ ารณาเห็นวา่ ข้อเท็จจริงท่ีปรากฏตามคําพิพากษาถึงท่ีสุด ได้ความประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าการกระทํา ความผดิ อาญาของผู้น้นั เป็นความผดิ วนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง ขอ้ ๔ การสง่ั พักราชการตามข้อ ๓ ให้ส่ังพักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา เว้นแต่กรณี ทีผ่ ู้ถกู ส่งั พักราชการเพ่ือรอฟงั ผลการสอบสวนพิจารณาได้ร้องทุกข์คําส่ังพักราชการและผู้มีอํานาจพิจารณา เหน็ ว่าคําร้องทกุ ข์ฟงั ข้ึน และสมควรสงั่ ให้ผูน้ ั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการก่อนการสอบสวนพิจารณา เสร็จสิ้นเนื่องจากพฤตกิ ารณ์ของผู้ถูกสัง่ พักราชการไม่เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา และไม่ก่อให้เกิด ความไมส่ งบเรียบรอ้ ยตอ่ ไป หรอื เนอ่ื งจากการดําเนินการทางวินัยได้ล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่วันพักราชการ ยังไม่แล้วเสร็จ และผู้ถูกส่ังพักราชการไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจส่ังพักราชการสั่งให้ผู้นั้น กลับเข้าปฏิบตั ิหนา้ ทีร่ าชการกอ่ นการสอบสวนพจิ ารณาเสร็จสิ้นได้ ขอ้ ๕ เมื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาผใู้ ดมีกรณีถูกพกั ใชใ้ บอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถ้าภายในสามสิบวนั นบั แต่วันทหี่ น่วยงานการศึกษาของผู้ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพปฏิบัติงานอยู่ ได้รับหนังสือแจ้งการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และผู้บังคับบัญชาหน่วยงานการศึกษานั้น พจิ ารณาเห็นวา่ ผ้นู ัน้ ไม่เหมาะสมทจี่ ะเปล่ียนตําแหน่งหรือย้ายไปดํารงตําแหน่งอื่นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพ หรือผู้นั้นมีความเหมาะสม แต่ไม่อาจเปล่ียนตําแหน่งหรือย้ายไปดํารงตําแหน่งอ่ืนได้ หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี ไม่อนุมัติ ก็ให้ผู้มีอํานาจตามมาตรา ๕๓ สง่ั ใหผ้ ้นู ั้นพักราชการ ขอ้ ๖ การส่ังพักราชการตามข้อ ๕ ให้สั่งพักตลอดเวลาที่ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เว้นแต่กรณีท่ีผู้ถูกสั่งพักราชการเนื่องจากเหตุ ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ร้องทุกข์ คําส่ังพักราชการและผู้มีอํานาจพิจารณาเห็นว่าคําร้องทุกข์ฟังขึ้นและสมควรสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติ หน้าทร่ี าชการกอ่ นกาํ หนดเวลาทถี่ ูกพกั ใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เนื่องจากมีตําแหน่งอื่นท่ีไม่ต้องมี ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานการศึกษาพิจารณาเห็นว่าผู้น้ันมีความเหมาะสม ท่ีจะบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว ผู้มีอํานาจสั่งพักราชการอาจสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติ หน้าที่ราชการก่อนกาํ หนดเวลาทถี่ กู พักใช้ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ได้ ขอ้ ๗ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย อย่างร้ายแรงจนถูกต้ังกรรมการสอบสวนหลายสํานวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําผิดอาญา หลายคดี เว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้น พนักงานอยั การรบั เป็นทนายแกต้ า่ งให้ ถา้ จะสั่งพกั ราชการใหส้ ั่งพักทุกสํานวนและทกุ คดี

180 เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๔ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกจิ จานเุ บกษา ในกรณีที่ไดส้ ่งั พกั ราชการในสาํ นวนใดหรือคดใี ดไว้แล้ว ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการนั้น มกี รณถี ูกกล่าวหาว่ากระทําผดิ วินัยอยา่ งร้ายแรงจนถกู ต้งั กรรมการสอบสวนในสํานวนอืน่ หรือถูกฟอ้ งคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญาในคดีอื่นเพ่ิมข้ึนอีกเว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการรับเป็นทนายแก้ต่างให้ ก็ให้สั่งพักราชการ ในสาํ นวนหรอื คดอี ืน่ ที่เพ่ิมขึ้นนนั้ ด้วย ขอ้ ๘ ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาผู้ใดมีเหตุพักราชการตามข้อ ๓ และพักใช้ ใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ตามขอ้ ๕ ถา้ จะส่งั พักราชการใหส้ งั่ พักทกุ สํานวนและทกุ คดี ในกรณที ี่ได้สัง่ พักราชการในสํานวนใดหรอื คดีใดไว้แลว้ ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการน้ัน มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาํ ผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสํานวนอื่น หรือถูกฟ้อง คดอี าญา หรือตอ้ งหาว่ากระทําความผิดอาญาในคดีอื่นเพ่ิมข้ึนอีก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทําโดย ประมาท หรอื ความผดิ ลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการรับเป็นทนายแก้ต่างให้ หรือมีกรณี ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ก็ให้สั่งพักราชการ ในสาํ นวนหรอื คดีอืน่ ทเ่ี พิม่ ขึ้นนน้ั ด้วย ข้อ ๙ การสงั่ พักราชการหรือการส่งั ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ห้ามมิให้ส่ังย้อนหลังไปก่อน วันออกคําส่ัง เวน้ แต่ (๑) ผู้ซ่งึ จะถูกส่ังพักราชการหรือจะถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนอยู่ในระหว่างถูกควบคุม หรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญา หรือต้องจําคุกโดยคําพิพากษา การสั่งพักราชการหรือการส่ัง ให้ออกจากราชการไว้ก่อนในเรือ่ งนัน้ ให้สง่ั ย้อนหลังไปถึงวนั ทีถ่ กู ควบคุม ขงั หรอื ตอ้ งจาํ คกุ (๒) ในกรณีท่ีได้มีการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่ เพราะคําสั่งเดิมไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง ให้สั่งพักหรือส่ังให้ออกต้ังแต่วันให้พักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ นตามคําสง่ั เดิม หรือตามวนั ท่คี วรต้องพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนในขณะท่ี ออกคําส่งั เดิม ขอ้ ๑๐ คําสั่งพักราชการหรือส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องระบุช่ือและตําแหน่งของ ผถู้ กู สงั่ พกั หรอื สงั่ ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น ตลอดจนกรณแี ละเหตุท่ีสั่งใหพ้ กั ราชการหรือส่ังให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ น เม่ือได้มีคําส่ังให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือส่ังให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ นแล้ว ให้แจง้ คาํ สั่งใหผ้ นู้ ัน้ ทราบพร้อมทัง้ สง่ สาํ เนาคาํ สง่ั ใหด้ ้วยโดยพลัน ในกรณีที่ผู้ถูกพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ยอมลงลายมือช่ือรับทราบคําสั่ง แต่ได้มีการแจ้งคําส่ังให้ผู้น้ันทราบพร้อมกับมอบสําเนาคําสั่งให้ผู้น้ัน รวมท้ังทําบันทึกลงวัน เดือน ปี เวลาและสถานท่ที ีแ่ จ้ง และลงลายมอื ช่ือผแู้ จ้งพร้อมทัง้ พยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ถือวันท่ีแจ้งนั้น เป็นวนั ทผี่ นู้ ั้นไดร้ ับทราบคาํ ส่ัง

181 เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๕ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานเุ บกษา ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนลงลายมือช่ือรับทราบคําส่ัง ไดโ้ ดยตรง แต่ไดม้ กี ารแจ้งเปน็ หนงั สอื ส่งสําเนาคําสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้น้ัน ณ ที่อยู่ ของผู้น้นั ซ่งึ ปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ โดยส่งสําเนาคําสั่งไปให้สองฉบับเพื่อให้ผู้น้ันเก็บไว้ หน่ึงฉบับ และให้ผู้นั้นลงลายมือชื่อและวัน เดือน ปีที่รับทราบคําส่ังส่งกลับคืนมาเพ่ือเก็บไว้เป็น หลักฐานหนึ่งฉบับ ในกรณีเช่นน้ีเม่ือล่วงพ้นสิบห้าวันนับแต่วันท่ีปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนว่าผู้น้ันได้รับเอกสารดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้ว แม้ยังไม่ได้รับสําเนาคําสั่งฉบับที่ให้ผู้นั้น ลงลายมือช่ือและวนั เดอื น ปีท่ีรับทราบคําสั่งกลับคืนมา ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับทราบคําส่ังให้พักราชการ หรือคําสั่งให้ออกจากราชการไวก้ ่อนน้ันแลว้ ขอ้ ๑๑ เมื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีเหตุท่ีอาจถูกส่ังพักราชการ และผ้มู ีอาํ นาจตามข้อ ๒ พิจารณาเห็นว่าการสอบสวนพิจารณา หรือการพิจารณาคดีที่เป็นเหตุท่ีอาจ ถกู สั่งพักราชการตามข้อ ๓ นนั้ จะไม่แลว้ เสรจ็ โดยเรว็ ผู้มอี ํานาจดงั กล่าวจะส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการ ไวก้ อ่ นกไ็ ด้ ขอ้ ๑๒ เมื่อข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาผใู้ ดมีเหตทุ ี่อาจถูกส่ังพักราชการตามข้อ ๕ เปน็ เวลาเกนิ หนึง่ ปี ผมู้ ีอํานาจตามขอ้ ๒ อาจสง่ั ใหผ้ นู้ ั้นออกจากราชการไว้ก่อนกไ็ ด้ ข้อ ๑๓ ใหน้ าํ ความในข้อ ๔ ข้อ ๖ ข้อ ๗ และข้อ ๘ มาใช้บังคับกับการสั่งให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนโดยอนุโลม ข้อ ๑๔ เมอื่ ได้สัง่ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการไว้แล้ว หากผู้มี อํานาจตามข้อ ๒ พิจารณาเห็นว่ามีเหตุตามข้อ ๑๑ หรือข้อ ๑๒ จะส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการไว้ก่อน อกี ชั้นหนึ่งกไ็ ด้ ขอ้ ๑๕ ในกรณที ่จี ะสงั่ ให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามข้อ ๑๔ ให้ส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตัง้ แตว่ นั พักราชการเป็นต้นไป ขอ้ ๑๖ การสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ดํารงตําแหน่งซึ่งมีวิทยฐานะ เชยี่ วชาญพิเศษ ผดู้ าํ รงตําแหน่งศาสตราจารย์ ผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดีหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่เรียกชื่อ อย่างอ่ืนท่ีมีฐานะเทียบเท่าออกจากราชการไว้ก่อน ให้ดําเนินการนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมี พระบรมราชโองการใหพ้ ้นจากตําแหน่งนับแตว่ นั ออกจากราชการไว้ก่อน ขอ้ ๑๗ เม่ือไดส้ งั่ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนเพ่ือรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณา เปน็ ประการใดแลว้ ใหด้ ําเนินการดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีปรากฏวา่ ผนู้ ั้นกระทาํ ผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดําเนินการตามมาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ หรอื มาตรา ๑๓๔ แลว้ แต่กรณี

182 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หน้า ๑๖ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา (๒) ในกรณที ปี่ รากฏว่าผู้นั้นกระทําผิดวินยั ไม่ร้ายแรง และไมม่ ีกรณีที่จะต้องถูกส่ังให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือกลับเข้ารับราชการ แล้วแต่กรณี ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับท่ีผู้น้ันมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับ ตาํ แหน่งและวทิ ยฐานะ แล้วให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการตามมาตรา ๑๐๐ วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง หรอื มาตรา ๑๓๔ แลว้ แต่กรณี (๓) ในกรณีทป่ี รากฏวา่ ผูน้ ั้นกระทําผิดวินัยไมร่ า้ ยแรง และไมม่ ีกรณีทีจ่ ะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น แตไ่ มอ่ าจสั่งใหผ้ นู้ ้นั กลับเข้าปฏบิ ตั ิหนา้ ทรี่ าชการหรอื กลับเขา้ รับราชการไดเ้ น่ืองจาก ผถู้ ูกส่งั พักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และไดพ้ น้ จากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญ ข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ซ่ึงจะต้องพ้นจาก ราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณน้ัน แล้วแต่กรณี ก็ให้ผู้บังคับบัญชาส่ังงดโทษตามมาตรา ๑๐๒ โดยไม่ต้องส่ัง ใหก้ ลบั เขา้ ปฏิบัติหนา้ ทรี่ าชการหรอื กลบั เข้ารับราชการ และสําหรับผู้ท่ีถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้มีคําส่ังยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็นผู้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย บาํ เหน็จบํานาญขา้ ราชการ (๔) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้น้ันกระทําผิดวินัยไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอ่ืน ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งงดโทษตามมาตรา ๑๐๒ แล้วสั่งให้ผู้น้ันออกจากราชการ ตามเหตนุ ัน้ โดยไม่ต้องสัง่ ให้กลับเข้าปฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการหรือกลับเข้ารบั ราชการ (๕) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย และไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ก็ให้สงั่ ยตุ เิ รื่อง และส่ังให้ผูน้ ัน้ กลบั เข้าปฏบิ ัติหน้าทร่ี าชการหรือกลับเข้ารับราชการ ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับท่ีผู้น้ันมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับ ตําแหนง่ และวทิ ยฐานะ (๖) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย และไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกส่ังให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการได้ เนื่องจากผู้ถูกส่ังพักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย บําเหน็จบํานาญข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ซ่ึงจะต้องพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณน้ัน แล้วแต่กรณี ก็ให้สั่งยุติเรื่อง และสําหรับผู้ท่ีถูกสั่ง ให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้มีคําส่ังยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็นผู้พ้นจาก ราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบาํ เหนจ็ บาํ นาญข้าราชการ (๗) ในกรณีทป่ี รากฏว่าผู้นั้นมิได้กระทําผิดวินัย แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไม่ต้องส่ังให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือกลบั เข้ารับราชการ

183 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๗ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา ขอ้ ๑๘ เมื่อได้สั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนตามข้อ ๕ หรือข้อ ๑๒ ถ้าภายหลังปรากฏผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นประการใด หรือพ้นกําหนดเวลาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพแลว้ ให้ดําเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้น้ันไม่เป็นผู้ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และไม่มีกรณี ท่จี ะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการ แล้วแต่กรณี ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตาม คณุ สมบตั เิ ฉพาะสาํ หรับตาํ แหน่งและวิทยฐานะ (๒) ในกรณีทปี่ รากฏว่าผนู้ น้ั ยังคงเปน็ ผู้ถกู พักใชใ้ บอนญุ าตประกอบวิชาชีพต่อไปและไม่มีกรณี ทจี่ ะต้องออกจากราชการดว้ ยเหตุอนื่ ก็ให้เป็นไปตามข้อ ๕ หรอื ขอ้ ๑๒ แล้วแต่กรณี (๓) ในกรณีท่ีปรากฏว่าพ้นกําหนดเวลาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแล้ว และไม่มี กรณีที่จะต้องออกจากราชการดว้ ยเหตุอนื่ กใ็ หส้ ั่งใหผ้ ู้น้ันกลับเขา้ ปฏบิ ัตหิ น้าทรี่ าชการหรอื กลับเข้ารบั ราชการ (๔) ในกรณที ่ีปรากฏว่าผู้นัน้ ไม่เปน็ ผูถ้ ูกพกั ใชห้ รอื พ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพแล้ว และไม่มีกรณีท่ีจะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติ หน้าทร่ี าชการหรือกลับเขา้ รบั ราชการได้ เน่ืองจากผู้ถูกสั่งพักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และได้ พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการ ไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ซึ่งจะต้องพ้นจากราชการเมื่อส้ินปีงบประมาณนั้น แล้วแต่กรณี ก็ให้ผู้บังคับบัญชาส่ังให้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ สําหรับกรณี ผู้ที่ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้มีคําสั่งยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็น ผพู้ น้ จากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบาํ เหน็จบาํ นาญขา้ ราชการ (๕) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้นั้นไม่เป็นผู้ถูกพักใช้ หรือพ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาต ประกอบวิชาชพี แล้ว แตม่ ีกรณีต้องออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้น้ันออกจาก ราชการตามเหตุนนั้ โดยไมต่ ้องสง่ั ใหก้ ลบั เขา้ ปฏบิ ตั หิ น้าท่รี าชการหรอื กลับเขา้ รับราชการ ขอ้ ๑๙ คําสง่ั พกั ราชการ คําสั่งให้ออกจากราชการไว้กอ่ น หรอื คาํ สง่ั ให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือกลับเข้ารับราชการ ต้องทําเป็นหนังสือระบุช่ือ ตําแหน่ง และวิทยฐานะของผู้ถูกสั่งพักราชการ ผู้ถูกสัง่ ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น หรือผูก้ ลับเขา้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ราชการหรือกลับเข้ารับราชการ ตลอดจน กรณแี ละเหตุท่สี ง่ั ดงั กลา่ ว โดยให้มีสาระสําคัญตามแบบ พ. ๑ พ. ๒ พ. ๓ พ. ๔ หรือ พ. ๕ แล้วแต่กรณี ท้ายกฎ ก.ค.ศ. นี้ ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ ศาสตราจารยส์ ุชาติ ธาดาธาํ รงเวช รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประธาน ก.ค.ศ.

184 แบบ พ. ๑ (ให้พกั ราชการ) คาํ สัง่ (ระบชุ ื่อส่วนราชการที่ออกคาํ สงั่ ) ที่ ....../............. เรือ่ ง ให้ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาพกั ราชการ ด้วย (นาย,นาง,นางสาว) ................................................................... ข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาตาํ แหน่ง/วทิ ยฐานะ......................................................................โรงเรยี น/ หน่วยงานการศึกษา ............................................. สังกดั ........................................... ตําแหน่งเลขที่ ...................... รับเงนิ เดือนในอันดับ ....................... ขั้น ..................... บาท มีกรณี ................................................................................ (ถกู กลา่ วหาวา่ กระทาํ ผดิ วินยั อย่างร้ายแรง จนถกู ตั้งคณะกรรมการสอบสวน/ถูกฟ้องในคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา/ถูกพักใช้ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา) ในเรื่อง .............................................................................................................................................. .................................................................................................................................. และมีเหตุให้พักราชการ ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการส่ังพักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการ ไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ขอ้ ........ คือ ......................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ฉะน้นั อาศยั อาํ นาจตามความในมาตรา ๑๐๓ / มาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว ข้อ .... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ....................................................................... พกั ราชการ ท้งั น้ี ตั้งแต่ ............................................................. เป็นต้นไป ส่งั ณ วนั ท่ี ................................................ พ.ศ. .... (ลงชอื่ ) (...................ชื่อผ้สู ่งั ..........................) (...................ตําแหนง่ ........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชอ่ื และตําแหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุช่ือตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถ้าม)ี ๒. ใหร้ ะบเุ ร่ืองท่ีถกู ต้งั กรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทํา ความผิดอาญา หรือถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๓. การระบเุ หตุการณพ์ กั ราชการตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี ถ้ามีหลายเหตุใหร้ ะบทุ กุ เหตุ ๔. ขอ้ ความใดหากไมใ่ ช้ใหต้ ัดออก

185 แบบ พ. ๒ (ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น) คาํ สัง่ (ระบชุ อื่ สว่ นราชการท่ีออกคําสงั่ ) ท่ี ....../............. เรอ่ื ง ใหข้ า้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาออกจากราชการไวก้ ่อน ดว้ ย (นาย,นาง,นางสาว) ...................................................................... ข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาตําแหนง่ /วทิ ยฐานะ..................................................................... โรงเรยี น/ หน่วยงานการศกึ ษา สงั กัด ................................................................................ ตาํ แหนง่ เลขที่ ..................... รับเงนิ เดือนในอันดบั ....................... ข้ัน ...................... บาท มีกรณี .................................................................... (ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกต้ัง คณะกรรมการสอบสวน/ถูกฟ้องในคดีอาญา/ต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา ) ในเรื่อง ................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... และมีเหตุให้พักราชการ ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการส่ังพักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการ ไวก้ อ่ น พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ........ คอื ................................................................................................. .................................................................................................................................. และได้พจิ ารณาแล้วเหน็ ว่า การสอบสวนพจิ ารณา หรอื การพจิ ารณาคดที ี่เปน็ เหตใุ ห้สัง่ พกั ราชการนั้น จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว เน่ืองจาก ................................................................ (ระบุเหตุผลให้ ชัดเจน)........................ /ถูกพกั ใช้ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพเปน็ เวลาเกนิ กวา่ หน่ึงปี ฉะน้ัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓/มาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว ขอ้ .... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ......................................................... ออกจากราชการไวก้ อ่ น ท้งั น้ี ตัง้ แต่ ............................................................. เป็นตน้ ไป สง่ั ณ วนั ที่ ................................................ พ.ศ. .... (ลงชอื่ ) (...................ชื่อผสู้ ัง่ ..........................) (...................ตําแหน่ง........................) หมายเหตุ ๑. การระบชุ ื่อและตําแหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถา้ ม)ี ๒. ให้ระบเุ ร่อื งทีถ่ กู ต้งั กรรมการสอบสวน หรอื ถกู ฟอ้ งคดอี าญา หรือต้องหาว่ากระทาํ ความผดิ อาญา หรอื ถกู พกั ใชใ้ บอนญุ าตปร๒ะกอบวิชาชพี เกนิ หนง่ึ ปี

186 ๒ ๓. การระบุเหตกุ ารพักราชการตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี ถา้ มหี ลายเหตใุ ห้ระบุทุกเหตุ ๔. สําหรบั กรณกี ารสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ นเพ่อื รอฟังผลการสอบสวนพิจารณาให้ ระบเุ หตผุ ลท่ีอาจทําให้เหน็ ได้วา่ การสอบสวนพิจารณาหรือการพิจารณาคดีนั้นจะไม่ แลว้ เสรจ็ โดยเรว็ ๕. ขอ้ ความใดหากไม่ใช้ให้ตดั ออก

187 แบบ พ. ๓ (การสั่งกลบั กรณไี ม่มคี วามผดิ วินยั ) คําสง่ั (ระบุชอื่ สว่ นราชการท่อี อกคาํ สงั่ ) ท่ี ....../............. เรอื่ ง ใหข้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา กลบั เขา้ ปฏิบตั หิ น้าทีร่ าชการหรอื กลับเขา้ รบั ราชการ ตามคาํ สง่ั ......................................... (ระบชุ อื่ ส่วนราชการที่ออกคาํ สั่ง) ................... ท่ี ................./................. ลงวันที่ .............................. พ.ศ. .... ส่ังให้ (นาย,นาง,นางสาว) ........................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ...................................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ..................... ................................ สังกดั ................................................. ตําแหนง่ เลขท่ี............... รับเงินเดือนใน อนั ดบั ............... ขน้ั .............. บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนตงั้ แต่ ................................... เปน็ ต้นไป น้ัน บัดน้ี ผลการสอบสวนพจิ ารณาปรากฏว่า (นาย,นาง,นางสาว) .............................. ................................................. มไิ ด้กระทาํ ผิดวินัย และไม่มกี รณที ่ีจะตอ้ งออกจากราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ....................................................... กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ/กลับเข้ารับราชการในตําแหน่ง/ วิทยฐานะ ................................. โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา .......................................... สงั กดั ...................................................... ตําแหน่งเลขท่ี .................. โดยให้ได้รับเงินเดือนในอันดับ ............................... ขัน้ ................... บาท ทง้ั น้ี ต้งั แต่ ............................................................. เปน็ ต้นไป ส่งั ณ วันท่ี ................................................ พ.ศ. .... (ลงช่ือ) (...................ช่ือผู้ส่งั ..........................) (...................ตาํ แหน่ง........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชอื่ และตาํ แหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุชื่อตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถ้าม)ี ๒. ข้อความใดหากไมใ่ ช้ให้ตัดออก

188 แบบ พ. ๔ (การส่ังกลับกรณีมคี วามผิดวินยั ไม่ร้ายแรง) คําส่งั (ระบุชอื่ สว่ นราชการทอ่ี อกคําสงั่ ) ที่ ....../............. เรื่อง ใหข้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา กลับเข้าปฏบิ ัตหิ น้าท่ีราชการหรือกลบั เขา้ รบั ราชการ ตามคําส่ัง ................................... (ระบุชื่อส่วนราชการที่ออกคําสั่ง) ........... ท่ี ................./................. ลงวันท่ี .............................. พ.ศ. .... สั่งให้ (นาย,นาง,นางสาว) ........................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ........................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ............................... ............................ สังกัด .......................................... ตําแหน่งเลขที่ ............... รับเงินเดือนในอันดับ ....... ข้ัน ......... บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนตั้งแต่ ................................... เป็นตน้ ไป นั้น บัดนี้ ผลการสอบสวนพจิ ารณาปรากฏว่า (นาย ,นาง,นางสาว) ................................. ........................................ กระทาํ ผิดวินยั ไม่ร้ายแรงและไม่มกี รณที จี่ ะตอ้ งออกจากราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ............................................................................................... กลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ/ กลบั เขา้ รับราชการในตาํ แหนง่ /วิทยฐานะ ............................................. โรงเรียน/หนว่ ยงานการศกึ ษา .............................................. สงั กดั ................................................ ตําแหน่งเลขที่ ........................ โดยให้ได้รับเงินเดอื นในอนั ดบั ............................... ขน้ั ................... บาท ทง้ั น้ี ต้ังแต่.............................................................เป็นตน้ ไป สั่ง ณ วนั ท.่ี ...............................................พ.ศ. .... (ลงช่อื ) (...................ชอื่ ผสู้ งั่ ..........................) (...................ตาํ แหนง่ ........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชื่อและตําแหน่งของผู้ถูกส่ังให้ระบุช่ือตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือ วิทยฐานะ (ถ้ามี) ๒. ข้อความใดหากไม่ใชใ้ หต้ ดั ออก

189 แบบ พ. ๕ (การสงั่ กลบั กรณไี มเ่ ป็นผถู้ กู พกั ใช้/พน้ กําหนดเวลาถูกพกั ใช)้ คําสั่ง (ระบุช่อื ส่วนราชการทีอ่ อกคําสงั่ ) ท่ี ....../............. เร่อื ง ให้ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา กลับเขา้ ปฏิบัตหิ น้าที่ราชการหรือกลับเขา้ รบั ราชการ ตามคําส่ัง ................................. (ระบุช่ือส่วนราชการที่ออกคําสั่ง) ............. ท่ี ................./................. ลงวันท่ี .............................. พ.ศ. .... สั่งให้ (นาย,นาง,นางสาว) ................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ..................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ............................. .............................. สังกัด .......................................... ตําแหน่งเลขที่ ............... รับเงินเดือนในอันดับ ....... ขั้น ......... บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนต้ังแต่ ................................... เปน็ ต้นไป นน้ั บัดน้ี ผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการ ศึกษาปรากฏว่า (นาย,นาง,นางสาว) ................................................................... ................................... (มิได้เปน็ ผ้ถู ูกพักใช)้ /หรือพ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และไม่มกี รณีที่จะต้องออกจากราชการด้วยเหตอุ น่ื ฉะน้ัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ................................................... ............ กลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ/กลับเข้ารับราชการ ในตําแหน่ง/วิทยฐานะ ......................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา .............................................. สังกัด ................................................ ตําแหน่งเลขท่ี ........................ โดยใหไ้ ดร้ บั เงนิ เดอื นในอันดบั ............................... ข้ัน ................... บาท ท้งั น้ี ตง้ั แต่.............................................................เป็นต้นไป ส่งั ณ วนั ที่................................................พ.ศ. .... หมายเหตุ (ลงช่อื ) (...................ชือ่ ผสู้ ่งั ..........................) (...................ตําแหนง่ ........................) ๑. การระบุช่ือและตําแหน่งของผู้ถูกส่ังให้ระบุชื่อตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือ วทิ ยฐานะ (ถา้ มี) ๒. ข้อความใดหากไม่ใชใ้ ห้ตัดออก

190 เล่ม ๑๒๙ ตอนท่ี ๒๒ ก หนา้ ๑๘ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ค.ศ. ฉบับน้ี คือ โดยที่มาตรา ๑๐๓ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับ การสัง่ พักราชการ การสง่ั ใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อน ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน และการดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวนพิจารณา ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. และมาตรา ๑๑๙ บญั ญตั ิใหภ้ ายใตบ้ งั คบั หมวด ๗ และหมวด ๙ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจถูกสั่งพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีอ่ืนตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. ซึ่งได้ กําหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจถูกสั่งพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ จงึ จาํ เป็นต้องออกกฎ ก.ค.ศ. นี้

เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๖๑ ก 191 ๒o สงิ หาคม ๒๕๖๑ หน้า ๑ ราชกจิ จานเุ บกษา กฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยอานาจการลงโทษภาคทณั ฑ์ ตดั เงินเดือน หรอื ลดเงนิ เดือน พ.ศ. 2561 อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๐๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว้ ดังตอ่ ไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอานาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงนิ เดือน หรือลดขั้นเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ้ ๒ ให้ผู้อานวยการสถานศึกษาหรือตาแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้กระทาผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีอานาจ สั่งลงโทษได้ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ภาคทณั ฑ์ (๒) ตดั เงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรอื ร้อยละสี่ของเงินเดือนท่ีผู้นั้นได้รับในวนั ท่ี มีคาสัง่ ลงโทษเป็นเวลาหนึง่ เดือน สองเดอื น หรือสามเดอื น ขอ้ ๓ ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล รัฐมนตรีเจ้าสังกัด ปลัดกระทรวง เลขาธิการ อธิบดีหรือตาแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่างอื่นท่ีมีฐานะเทียบเท่า อธิการบดีหรือตาแหน่งที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ศึกษาธิการภาคหรือตาแหน่งท่ีเรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่า ศึกษาธิการจังหวัดหรือตาแหน่งท่ีเรียกชื่ออย่างอื่นท่ีมีฐานะเทียบเท่า หรือผู้อานวยการสานักงาน เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาหรอื ตาแหน่งทเ่ี รียกชื่ออย่างอนื่ ที่มฐี านะเทยี บเท่า ซง่ึ เป็นผบู้ ังคบั บัญชาของข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาผู้กระทาผดิ วินยั ไมร่ ้ายแรง มอี านาจส่ังลงโทษได้ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ภาคทัณฑ์ (๒) ตดั เงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรอื ร้อยละส่ีของเงินเดือนท่ีผู้นั้นได้รับในวันที่ มคี าสั่งลงโทษเปน็ เวลาหน่งึ เดอื น สองเดอื น หรอื สามเดอื น (๓) ลดเงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรือรอ้ ยละส่ีของเงินเดือนที่ผู้น้ันได้รับในวันท่ี มคี าสั่งลงโทษ