142 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๑ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานเุ บกษา แสดงเหตผุ ลในการพจิ ารณาส่ังการดว ย เม่อื ผูสงั่ แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยส่ังการอยางใดแลว ใหแ จง ใหผูถ กู กลาวหาทราบและสง เร่ืองใหป ระธานกรรมการรวมไวใ นสํานวนการสอบสวน ในกรณีทีเ่ ห็นวาการคดั คา นมเี หตผุ ลรับฟง ได ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนส่ังใหผูถูก คัดคานพน จากการเปน กรรมการสอบสวน และสั่งแตงต้งั กรรมการสอบสวนขึ้นใหมแทน ทั้งนี้ ใหนําขอ ๓ และขอ ๕ มาใชบังคับโดยอนุโลม แตถาเห็นวาการคัดคานไมมีเหตุผลพอที่จะรับฟงได ใหส่ัง ยกการคัดคานนน้ั การสง่ั ยกการคัดคา นใหเ ปนทส่ี ุด ในกรณที ผ่ี สู ่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนไมพิจารณาสงั่ การอยา งหนึ่งอยางใดภายในสบิ หา วัน ทําการตามวรรคสาม ใหถ ือวา กรรมการสอบสวนที่ถูกคัดคานพนจากการเปนกรรมการสอบสวน และให ประธานกรรมการรายงานไปยังผูส่ังแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเพอ่ื ดาํ เนินการตามขอ ๖ ตอไป การพน จากการเปนกรรมการสอบสวนไมก ระทบถงึ การสอบสวนที่ไดดาํ เนินการไปแลว ขอ ๙ ผถู กู กลา วหามีสทิ ธคิ ัดคานผสู ั่งแตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวน ถาผูน้ันมีเหตุอยางหน่ึง อยางใดตามขอ ๘ วรรคหนึ่ง การคัดคานตามวรรคหนึ่งใหกระทําไดภายในเจ็ดวันทําการนับแตวันรับทราบคําส่ังแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวน โดยทําเปนหนังสือยื่นตอผูบังคับบัญชาชั้นเหนือข้ึนไปหน่ึงชั้นของผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ในการพิจารณาเรื่องการคัดคาน ใหผูบังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไปหน่ึงชั้นของผูส่ังแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวนมีอํานาจตรวจสอบขอ เทจ็ จรงิ ไดตามความเหมาะสม และใหสั่งการภายในสิบหา วนั ทําการนับแตวันท่ีไดรับหนังสือคัดคาน พรอมท้ังแสดงเหตุผลในการพิจารณาสั่งการดวย เมื่อผูบังคับ บัญชาช้ันเหนือขึ้นไปหน่ึงช้ันของผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนวินิจฉัยส่ังการอยางใดแลว ใหแ จง ใหผถู กู กลา วหาทราบและสงเรอ่ื งใหประธานกรรมการรวมไวในสํานวนการสอบสวน ในกรณีทเี่ ห็นวาการคัดคานมีเหตุผลรับฟงได ใหส่ังใหผูน้ันพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณา สาํ นวนการสอบสวนตามขอ ๔๐ และขอ ๔๑ รวมท้ังการพจิ ารณาส่ังการตามผลการสอบสวนที่เสร็จสิ้นแลว และใหผูบังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปหน่ึงช้ันของผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือผูท่ีไดรับ มอบหมายจากผูบังคับบัญชาดังกลาวเปนผูมีอํานาจพิจารณาหรือส่ังการแทน ถาเห็นวาการคัดคานไมมี เหตุผลพอทจี่ ะรับฟงได ใหส่งั ยกการคดั คา นนั้น ทงั้ น้ี การสง่ั ยกการคดั คา นใหเ ปน ทีส่ ุด ในกรณีท่ีผพู ิจารณาการคัดคานไมพิจารณาส่ังการอยางหน่ึงอยางใดภายในสิบหาวันทําการตาม วรรคสาม ใหถือวาผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนท่ีถูกคัดคานพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณา
143 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๒ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานเุ บกษา สาํ นวนการสอบสวนตามขอ ๔๐ และขอ ๔๑ รวมท้งั การพจิ ารณาส่ังการตามผลการสอบสวนท่ีเสร็จสิ้นแลว และใหผูบังคับบัญชาช้ันเหนือข้ึนไปหนึ่งชั้นของผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือผูท่ีไดรับ มอบหมายจากผูบงั คบั บัญชาดงั กลาว เปนผูมีอํานาจพิจารณาหรอื ส่งั การแทน การพนจากการเปนผูมีอํานาจพิจารณาสํานวนการสอบสวนหรือสั่งการตามผลการสอบสวนท่ี เสรจ็ ส้ินแลว ตามวรรคสี่และวรรคหา ไมก ระทบถงึ การแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือการสอบสวนท่ีได ดาํ เนินการไปแลว ขอ ๑๐ ในการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนตองใหผูถูกกลาวหามีโอกาสไดทราบ ขอเท็จจริงอยางเพียงพอ และมีโอกาสไดโตแยงและแสดงพยานหลักฐานของตน เวนแตจะมีผลทําให ระยะเวลาท่กี ฎหมายหรอื กฎ ก.ค.ศ. นก้ี าํ หนดตอ งลา ชาออกไป หรือปรากฏโดยสภาพเห็นไดชัดวาการให โอกาสดังกลาวไมอาจกระทําได รวมท้ังมีสิทธิขอตรวจดูเอกสารท่ีจําเปนตองรูเพ่ือการโตแยงหรือชี้แจง หรือปอ งกนั สทิ ธขิ องตนได การอางพยานหลักฐานแกขอกลาวหา ผูถูกกลาวหาจะนําพยานหลักฐานมาเองหรือจะอาง พยานหลกั ฐานแลวขอใหค ณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานหลกั ฐานนนั้ มากไ็ ด ขอ ๑๑ ในการสอบสวนวินัยอยางรายแรง ผูถูกกลาวหามีสิทธินําทนายความหรือที่ปรึกษา ของตนเขามารวมฟงการสอบสวนก็ได แตจะใหถอยคําหรือตอบคําถามแทนผูถูกกลาวหา หรือเสนอ ความเห็นใดแกคณะกรรมการสอบสวนไมไ ด ขอ ๑๒ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเรียกบุคคลใดมาเปนพยาน ใหบุคคลน้ันมาชี้แจง หรือใหถอยคาํ ตามวนั เวลา และสถานที่ทีค่ ณะกรรมการสอบสวนกาํ หนด ขอ ๑๓ ในการสอบสวน ถามีการอางเจาหนาที่ของรัฐเปนพยาน ใหถือเปนหนาท่ีของ ผบู ังคับบัญชาทุกระดับช้ันทจ่ี ะตองอาํ นวยความสะดวก ใหค วามคุมครองพยานจากการถูกกลั่นแกลงหรือ การปฏิบตั ิที่ไมเ ปนธรรมจากการปฏิบัติหนาท่ีของพยานนั้น และประสานงานกับสํานักงานอัยการสูงสุด เพ่ือเปน ทนายแกต างในกรณีท่ถี ูกฟองรอ งในคดีแพงหรอื คดอี าญา เจาหนา ทข่ี องรฐั ทีไ่ ปใหถอ ยคําตอคณะกรรมการสอบสวนในฐานะพยาน ใหถอื วา เปน การปฏิบัติ หนา ท่ีราชการ ในกรณที พ่ี ยานมใิ ชเ จาหนาท่ขี องรัฐ ใหคณะกรรมการสอบสวนหรือผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ สอบสวน อาํ นวยความสะดวกและใหความคุม ครองแกพ ยานผใู หข อมลู ที่เปนประโยชนต อ ทางราชการอยา ง เหมาะสมตามควรแกก รณี
144 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๓ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา หมวด ๓ อาํ นาจหนาที่ของคณะกรรมการสอบสวน ขอ ๑๔ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่สอบสวนตามหลักเกณฑ วิธีการ และระยะเวลาท่ี กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ เพื่อแสวงหาความจริงในเรื่องท่ีกลาวหา โดยใหเร่ิมการสอบสวนและดําเนิน กระบวนการพิจารณาอยางรวดเรว็ และเปน ธรรม ทั้งนี้ ในการพิจารณาใชดุลพินจิ จะตองกระทําอยางอิสระ และเปน กลาง โดยปราศจากอคติอยางใด ๆ ตอผถู กู กลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนรวบรวมประวตั แิ ละความประพฤติของผูถกู กลา วหาทเ่ี กี่ยวของกับเรอื่ ง ที่กลาวหาเทาทจี่ ําเปน รวมทงั้ ขอเทจ็ จรงิ ที่ไดจากการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง เพือ่ ประกอบการพจิ ารณา ใหคณะกรรมการสอบสวนจัดทาํ บันทกึ ประจําวันท่มี ีการสอบสวนไวท กุ ครงั้ ขอ ๑๕ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่รวบรวมพยานหลักฐานท่ีเห็นวาจําเปน เพื่อท่ีจะ พสิ จู นใหเหน็ ความผิดหรือความบรสิ ทุ ธขิ์ องผถู ูกกลา วหา ในการนี้ ใหรวมถึงการดาํ เนินการดงั ตอ ไปน้ีดว ย (๑) การแสวงหาพยานหลกั ฐานทกุ อยางท่ีเกี่ยวขอ ง (๒) รับฟงพยานหลักฐาน คําช้ีแจง หรือความเห็นของผูถูกกลาวหา พยานบุคคลหรือพยาน ผูเช่ยี วชาญ เวน แตกรณที ่ีเหน็ วา เปนการกลาวอา งท่ไี มจาํ เปน ฟมุ เฟอย หรอื เพ่อื ประวงิ เวลา (๓) ขอขอ เท็จจริงหรอื ความเห็นจากคูกรณี พยานบุคคล หรอื พยานผเู ชย่ี วชาญ ทัง้ ทเ่ี ปน คณุ และ เปน โทษแกผ ถู กู กลาวหา (๔) ขอใหผ ูครอบครองเอกสารสง เอกสารทเ่ี กย่ี วขอ ง (๕) ออกไปตรวจสถานท่ี ขอ ๑๖ เมือ่ ประธานกรรมการไดรบั เรอ่ื งตามขอ ๕ (๒) แลว ใหประธานกรรมการดาํ เนนิ การ ประชมุ คณะกรรมการสอบสวนเพือ่ พจิ ารณาวางแนวทางการสอบสวนตอ ไป ขอ ๑๗ การประชุมคณะกรรมการสอบสวนตองมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมนอยกวา กงึ่ หนงึ่ ของจาํ นวนกรรมการสอบสวนทั้งหมดจึงจะเปนองคประชุม เวนแตการประชุมตามขอ ๒๔ และ ขอ ๓๘ ตองมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมนอยกวาสามคนและไมนอยกวากึ่งหน่ึงของจํานวน กรรมการสอบสวนทั้งหมด
145 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๔ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานเุ บกษา การประชมุ คณะกรรมการสอบสวนตองมปี ระธานกรรมการอยูรวมประชุมดว ย แตใ นกรณีจําเปน ท่ีประธานกรรมการไมส ามารถเขาประชุมได ใหกรรมการสอบสวนท่ีมาประชุมเลือกกรรมการสอบสวน คนหน่งึ ทาํ หนา ท่แี ทน การนัดประชมุ คณะกรรมการสอบสวนตองทําเปนหนังสือและแจงใหกรรมการสอบสวนทุกคน ทราบลว งหนา ไมน อ ยกวา สามวนั ทาํ การ เวน แตก รรมการสอบสวนนัน้ จะไดทราบการนัดในท่ีประชุมแลว หรอื มเี หตุจําเปนเรง ดว นซึง่ ประธานกรรมการจะนดั ประชมุ เปนอยางอน่ื ได การลงมติของที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนใหถือเสียงขางมาก ถาคะแนนเสียงเทากัน ใหป ระธานกรรมการในทป่ี ระชมุ ออกเสยี งเพิ่มขึน้ อีกเสยี งหนงึ่ เปนเสยี งชีข้ าด ในการประชมุ ตองมีรายงานการประชุมเปนหนังสือ ถามีความเห็นแยงใหบันทึกความเห็นแยง พรอ มท้ังเหตุผลไวในรายงานการประชมุ ขอ ๑๘ คณะกรรมการสอบสวนมีหนาที่ตองแจงสิทธิและหนาที่ของผูถูกกลาวหาตามขอ ๘ ขอ ๙ ขอ ๑๐ และขอ ๑๑ ใหผ ถู กู กลาวหาทราบกอนสอบปากคาํ ผูถ ูกกลาวหา ในกรณีท่ีคาํ ขอหรือคาํ ชี้แจงมีขอ บกพรอ งหรือมีขอความที่อานไมเขาใจหรือผิดหลง อันเห็นได ชัดวาเกิดจากความไมรู หรือความเลินเลอของผูกลาวหา ผูถูกกลาวหา หรือพยาน แลวแตกรณี ใหค ณะกรรมการสอบสวนแนะนาํ ใหบคุ คลดงั กลา วแกไ ขเพ่ิมเตมิ ใหถ กู ตอง ขอ ๑๙ ในกรณที ีผ่ ไู ดร ับแตง ตัง้ เปนกรรมการสอบสวนเหน็ วาตนมเี หตุอันอาจถูกคัดคานตาม ขอ ๘ วรรคหนง่ึ ใหผูนัน้ รายงานตอผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อพิจารณาวาจะใหผูนั้นเปน กรรมการสอบสวนตามคาํ ส่ังตอไปอกี หรอื ไม หมวด ๔ วิธีการสอบสวน ขอ ๒๐ การสอบสวนกรณีท่ีถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนนิ การสอบสวนใหแ ลวเสรจ็ โดยใหดาํ เนนิ การดังตอ ไปนี้ (๑) ดาํ เนินการประชุมตามขอ ๑๖ โดยแจงและอธบิ ายขอกลา วหาตามขอ ๒๓ ใหผูถูกกลาวหา ทราบภายในสบิ หาวนั นับแตวนั ทปี่ ระธานกรรมการไดรบั ทราบคาํ สั่งแตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน (๒) รวบรวมพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของกับเร่ืองท่ีกลาวหาภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีได ดําเนนิ การตาม (๑) แลว เสร็จ
146 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๕ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา (๓) แจงขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาตามขอ ๒๔ ใหผูถูก กลาวหาทราบภายในสิบหา วันนบั แตว นั ทไ่ี ดด าํ เนินการตาม (๒) แลวเสรจ็ (๔) รวบรวมพยานหลักฐานท่ีผูถูกกลาวหาอาง ใหแลวเสร็จภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีได ดําเนินการตาม (๓) แลว เสรจ็ (๕) ประชุมพิจารณาลงมติและทํารายงานการสอบสวนเสนอตอผูส่ังแตงตั้งคณะกรรมการ สอบสวนภายในสามสิบวนั นบั แตว นั ทไี่ ดด ําเนนิ การตาม (๔) แลวเสรจ็ ในกรณีทีค่ ณะกรรมการสอบสวนไมส ามารถดาํ เนนิ การใหแลว เสรจ็ ภายในกําหนดระยะเวลาตาม (๑) (๒) (๓) (๔) หรือ (๕) ได ใหประธานกรรมการรายงานเหตทุ ีท่ าํ ใหการสอบสวนไมแลวเสร็จตอ ผสู ง่ั แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ในกรณีเชนนี้ ใหผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวนสง่ั ขยายระยะเวลาดําเนนิ การไดตามความจาํ เปนครัง้ ละไมเกนิ หกสบิ วัน การสอบสวนเร่ืองใดที่คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการไมแลวเสร็จภายในสองรอยสี่สิบวัน ใหประธานกรรมการรายงานเหตุใหผสู ง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนเพ่ือรายงานให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตัง้ หรือ ก.ค.ศ. แลว แตกรณี เพ่ือมีมติใหเรงรัดการสอบสวนใหแลวเสร็จ ภายในระยะเวลาท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรอื ก.ค.ศ. กําหนด ตามเหตุผล และความจาํ เปน ขอ ๒๑ การสอบสวนกรณีที่ถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัยไมรายแรง ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนนิ การสอบสวนใหแ ลว เสร็จภายในเกา สิบวันนบั แตวนั ทป่ี ระธานกรรมการไดรับทราบคําส่ัง แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน ทั้งนี้ ใหน ําขนั้ ตอนการสอบสวนตามขอ ๒๐ (๑) (๒) (๓) (๔) และ (๕) มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม ในกรณที ีค่ ณะกรรมการสอบสวนไมสามารถดาํ เนนิ การใหแลวเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาตาม วรรคหนึง่ ใหป ระธานกรรมการรายงานเหตุทที่ ําใหก ารสอบสวนไมแ ลวเสรจ็ ตอผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวนเพอื่ ขอขยายระยะเวลาการสอบสวน ในกรณเี ชน น้ี ใหผ สู ัง่ แตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวนสง่ั ขยาย ระยะเวลาดาํ เนนิ การไดตามความจาํ เปนแตไ มเกนิ สามสบิ วัน และเรง รัดการสอบสวนใหแ ลว เสรจ็ ตอไป ขอ ๒๒ การนาํ เอกสารหรอื วตั ถมุ าใชเปน พยานหลักฐานในสาํ นวนการสอบสวนใหกรรมการ สอบสวนบันทกึ ไวดว ยวา ไดมาอยางไร จากผใู ด และเมอ่ื ใด เอกสารท่ีใชเ ปนพยานหลกั ฐานในสาํ นวนการสอบสวนใหใชตน ฉบับ แตถ าไมอาจนําตนฉบบั มา ไดจะใชส าํ เนาท่ีกรรมการสอบสวนหรือผมู หี นาท่ีรับผิดชอบรับรองวา เปนสําเนาถูกตองก็ได
147 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๖ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ถาหาตน ฉบับเอกสารไมไดเพราะสญู หายหรอื ถูกทําลาย หรอื โดยเหตปุ ระการอ่นื จะใหนําสําเนา หรือพยานบคุ คลมาสบื ก็ได เมื่อมีการอางพยานหลักฐานใดในการพิสูจนความผิดหรือความบริสุทธิ์ของผูถูกกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนอา นหรือสง ตน ฉบบั หรอื พยานหลักฐานนั้นใหผถู กู กลาวหาตรวจดู ถาผถู กู กลาวหา ตองการสําเนาใหคณะกรรมการสอบสวนสงสาํ เนาใหแ กผ ูถกู กลาวหาตามท่เี หน็ สมควร คณะกรรมการสอบสวนอาจขอใหพยานผูเช่ียวชาญในเร่ืองน้ันมาใหความเห็นหรือทําความเห็น เปน หนงั สือประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนกไ็ ด ขอ ๒๓ เมื่อไดพิจารณาเร่ืองท่ีกลาวหาและวางแนวทางการสอบสวนตามขอ ๑๖ แลว ใหค ณะกรรมการสอบสวนเรยี กผถู กู กลา วหามาเพอื่ แจง และอธิบายขอกลาวหาที่ปรากฏตามเรื่องที่กลาวหา ใหท ราบวาผถู กู กลา วหาไดกระทําการใด เม่ือใด อยางไร ในการนี้ ใหคณะกรรมการสอบสวนแจงสิทธิ และหนา ทีข่ องผูถกู กลา วหาตามขอ ๑๘ วรรคหนงึ่ และแจง ดว ยวา ผูถูกกลาวหามีสิทธิที่จะไดรับแจงสรุป พยานหลกั ฐานทส่ี นับสนุนขอกลาวหา และมีสิทธิที่จะใหถอยคําหรือชี้แจงแกขอกลาวหา ตลอดจนอาง พยานหลักฐานหรอื นาํ พยานหลกั ฐานมาสบื แกขอ กลาวหาไดต ามขอ ๒๔ การแจงและอธิบายขอกลาวหาตามวรรคหน่ึง ใหแจงเฉพาะพฤติการณเทาท่ีปรากฏตามเรื่องท่ี กลาวหาและตามพยานหลกั ฐาน โดยไมตอ งแจงกรณแี ละมาตราความผิด ทั้งน้ี ใหทําเปนบันทึกสองฉบับ ซ่งึ มีสาระสาํ คัญตามแบบ สว. ๒ ท่ี ก.ค.ศ. กําหนด เพ่ือมอบใหผูถูกกลาวหาหนึ่งฉบับ และเก็บไวใน สํานวนการสอบสวนหน่ึงฉบับโดยใหผูถูกกลาวหาลงลายมือช่ือ และวัน เดือน ปที่รับทราบไวเปน หลักฐานดวย เมอื่ ไดดําเนินการตามวรรคหน่ึงและวรรคสองแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนถามผูถูกกลา วหาวา ไดก ระทําการตามท่ีถูกกลาวหาหรอื ไม อยางไร ในกรณที ผี่ ถู ูกกลา วหาใหถ อ ยคาํ รับสารภาพวาไดกระทาํ การตามที่ถูกกลาวหา ใหคณะกรรมการ สอบสวนแจงใหผูถูกกลาวหาทราบวาการกระทําตามท่ีถูกกลาวหาดังกลาวเปนความผิดวินัยกรณีใด หากผถู ูกกลา วหายงั คงยนื ยันตามที่รับสารภาพ ใหบันทึกถอยคํารับสารภาพรวมทั้งเหตุผลในการรับสารภาพ และสาเหตแุ หง การกระทําไวดว ย ในกรณีเชนนี้ คณะกรรมการสอบสวนจะไมทําการสอบสวนตอไปก็ได หรือถา เห็นเปนการสมควรท่ีจะไดทราบขอเท็จจริงและพฤติการณอันเก่ียวกับเรื่องท่ีกลาวหาโดยละเอียด จะทาํ การสอบสวนตอไปตามควรแกก รณีกไ็ ด แลวดาํ เนินการตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป
148 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๗ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ในกรณีที่ผูถูกกลาวหามิไดใหถอยคํารับสารภาพหรือรับสารภาพบางสวน ใหคณะกรรมการ สอบสวนดําเนินการสอบสวนเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของกับขอกลาวหาแลวดําเนินการตาม ขอ ๒๔ ตอไป ในกรณีที่ผูถูกกลาวหามา แตไมยอมลงลายมือช่ือรับทราบขอกลาวหา หรือไมมารับทราบ ขอกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนสงบันทึกซ่ึงมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๒ ทางไปรษณีย ลงทะเบียนตอบรบั ไปใหผถู กู กลา วหา ณ ที่อยูของผูถูกกลาวหา ซึ่งปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ หรอื สถานที่ติดตอ ทีผ่ ูถ กู กลาวหาแจงใหทราบ พรอมท้ังมีหนังสือสอบถามผูถูกกลาวหาวาไดกระทําการ ตามที่ถูกกลาวหาหรือไม ในกรณีเชนนี้ ใหทําบันทึกซึ่งมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๒ เปนสามฉบับ เพือ่ เก็บไวใ นสาํ นวนการสอบสวนหน่ึงฉบบั และสงใหผูถูกกลาวหาสองฉบบั โดยใหผูถูกกลาวหาเก็บไว หน่ึงฉบับและใหผูถูกกลาวหาลงลายมือช่ือ และวัน เดือน ปท่ีรับทราบสงกลับคืนมารวมไวในสํานวน การสอบสวนหน่ึงฉบบั เมื่อลวงพน สิบหาวันนับแตวนั ทไ่ี ดด ําเนนิ การดังกลาว หากไมไดรับแบบ สว. ๒ คืนมา ใหถือวาผูถูกกลาวหาไดทราบขอกลาวหาแลว และใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการตาม วรรคหา ตอ ไป ขอ ๒๔ เมอื่ ไดดําเนินการตามขอ ๒๓ แลว ใหค ณะกรรมการสอบสวนดําเนินการประชุมเพ่ือ พิจารณาวามีพยานหลกั ฐานใดสนับสนนุ ขอ กลา วหาวา ผูถ กู กลาวหาไดกระทําการใด เม่ือใด อยางไร และ ถาเห็นวายังฟง ไมไ ดวาผถู กู กลา วหากระทําการตามท่ีถูกกลาวหา ก็ใหมีความเห็นยุติเร่ือง แลวดําเนินการ ตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ โดยอนุโลม ถา เห็นวาเปนความผดิ วนิ ยั กรณใี ด ตามมาตราใด กใ็ หคณะกรรมการสอบสวนเรียกผูถูกกลาวหา มาพบเพ่ือแจงขอกลาวหา โดยระบุขอกลาวหาท่ีปรากฏตามพยานหลักฐานวาเปนความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และสรปุ พยานหลกั ฐานท่สี นบั สนนุ ขอ กลาวหาเทาท่ีมใี หท ราบ โดยระบุวนั เวลา สถานที่ และ การกระทําทม่ี ลี ักษณะเปน การสนบั สนนุ ขอกลาวหา สาํ หรบั พยานบุคคลจะระบุหรือไมระบุชื่อพยานก็ได โดยคํานึงถึงหลักการคุมครองพยาน ท้ังน้ี การแจงสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา ใหแจง พยานหลักฐานฝา ยกลาวหาเทา ทม่ี ตี ามที่ปรากฏไวใ นสาํ นวนใหผูถกู กลาวหาทราบ แมพ ยานหลักฐานจะฟง ไดเพียงวา เปนการกระทําผดิ วินัยไมรายแรง การแจง ขอกลาวหาและสรปุ พยานหลักฐานทสี่ นบั สนุนขอ กลา วหาตามวรรคสอง ใหทําบันทึกซง่ึ มสี าระสําคญั ตามแบบ สว. ๓ ท่ี ก.ค.ศ. กําหนด โดยทําเปน สองฉบับมอบใหผ ถู ูกกลา วหาหนงึ่ ฉบบั และ
149 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๓๘ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา เกบ็ ไวในสํานวนการสอบสวนหน่งึ ฉบับ โดยใหผ ถู กู กลา วหาลงลายมอื ชอื่ และวัน เดือน ปที่รับทราบไว เปน หลักฐานดว ย เมื่อไดดําเนนิ การดงั กลาวแลว ใหคณะกรรมการสอบสวนถามผูถกู กลาวหาวา จะยืน่ คําชแ้ี จงแกข อ กลา วหาเปน หนังสือหรือไม ถาผูถ กู กลาวหาประสงคจ ะย่นื คาํ ชีแ้ จงเปน หนงั สือ ใหคณะกรรมการสอบสวน ใหโ อกาสผถู ูกกลาวหายื่นคาํ ชแ้ี จงภายในเวลาอันสมควร แตอ ยา งชา ไมเ กนิ สบิ หา วนั นับแตวนั ทไี่ ดร บั ทราบ ขอกลาวหาและสรปุ พยานหลักฐานทสี่ นับสนนุ ขอ กลาวหา และตอ งใหโอกาสผูถูกกลาวหาท่ีจะใหถอยคํา เพิ่มเติมรวมทั้งนําสืบแกขอกลาวหาดวย ในกรณีที่ผูถูกกลาวหาไมประสงคจะยื่นคําชี้แจงเปนหนังสือ ใหค ณะกรรมการสอบสวนดาํ เนนิ การเพ่อื ใหผูถกู กลา วหาใหถ อยคาํ และนาํ สืบแกขอ กลา วหาโดยเรว็ เมือ่ คณะกรรมการสอบสวนไดร วบรวมพยานหลกั ฐานตาง ๆ เสร็จแลว ใหดําเนินการตามขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป ในกรณที ี่ผถู กู กลา วหามา แตไมยอมลงลายมือชื่อรับทราบ หรือไมมารับทราบขอกลาวหาและ สรุปพยานหลกั ฐานท่ีสนบั สนนุ ขอ กลาวหา ใหค ณะกรรมการสอบสวนสงบันทึก ซ่งึ มสี าระสาํ คญั ตามแบบ สว. ๓ ทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปใหผูถูกกลาวหา ณ ที่อยูของผูถูกกลาวหา ซึ่งปรากฏตาม หลักฐานของทางราชการหรือสถานท่ีติดตอท่ีผูถูกกลาวหาแจงใหทราบ พรอมท้ังมีหนังสือขอใหผูถูก กลาวหาช้ีแจง นัดมาใหถอยคําและนาํ สืบแกข อ กลาวหา ในกรณีเชนนี้ ใหทําบันทึกซ่ึงมีสาระสําคัญตาม แบบ สว. ๓ เปน สามฉบบั เพือ่ เกบ็ ไวใ นสาํ นวนการสอบสวนหน่งึ ฉบับ และสง ใหผ ถู กู กลา วหาสองฉบับ โดยใหผ ถู กู กลา วหาเก็บไวหน่ึงฉบบั และใหผถู ูกกลาวหาลงลายมอื ชื่อ และวัน เดือน ปที่รับทราบสงกลับ คืนมารวมไวในสํานวนการสอบสวนหน่ึงฉบับ เม่ือลวงพนสิบหาวันนับแตวันท่ีไดดําเนินการดังกลาว หากไมไ ดรับแบบ สว. ๓ คืนหรอื ไมไดรับคําชี้แจงจากผูถูกกลาวหา หรือผูถูกกลาวหาไมมาใหถอยคําตามนัด ใหถือวาผูถูกกลาวหาไดทราบขอกลาวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหาแลว และไม ประสงคท ีจ่ ะแกข อกลาวหา ในกรณเี ชนนี้ คณะกรรมการสอบสวนจะไมสอบสวนตอไปก็ได หรือถาเห็น เปนการสมควรทจ่ี ะไดท ราบขอ เท็จจรงิ เพิม่ เติมจะสอบสวนตอไปตามควรแกกรณกี ็ได แลวดําเนินการตาม ขอ ๓๘ และขอ ๓๙ ตอ ไป แตถ าผถู ูกกลา วหามาขอใหถ อยคาํ ยืน่ คาํ ชแ้ี จงแกข อกลาวหา หรือขอนําสืบ แกขอกลาวหากอนที่คณะกรรมการสอบสวนจะเสนอสํานวนการสอบสวนตามขอ ๓๙ โดยมีเหตุผล อนั สมควร ใหคณะกรรมการสอบสวนใหโอกาสแกผ ถู ูกกลาวหาตามทผ่ี ูถกู กลา วหารองขอ ขอ ๒๕ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวมพยานหลักฐานตามขอ ๒๔ เสร็จแลว กอ นเสนอสาํ นวนการสอบสวนตอ ผูส่ังแตงตงั้ คณะกรรมการสอบสวนตามขอ ๓๙ ถาคณะกรรมการสอบสวน
150 เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก หนา ๓๙ ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา เห็นวา จาํ เปน จะตอ งรวบรวมพยานหลกั ฐานเพิ่มเติมก็ใหดําเนินการได ถาพยานหลักฐานที่ไดเพิ่มเติมมา น้ันเปนพยานหลักฐานที่สนับสนุนขอกลาวหา ใหคณะกรรมการสอบสวนสรุปพยานหลักฐานดังกลาว ใหผถู กู กลาวหาทราบ และใหโอกาสผถู ูกกลาวหาที่จะใหถอยคําหรอื นําสบื แกเ ฉพาะพยานหลักฐานเพ่ิมเติมท่ี สนับสนนุ ขอกลา วหานัน้ ทั้งน้ี ใหน ําขอ ๒๔ มาใชบ งั คบั โดยอนุโลม ขอ ๒๖ ผถู กู กลาวหาซึ่งไดยื่นคาํ ชี้แจงหรอื ใหถอ ยคาํ แกข อ กลา วหาไวแลว มีสิทธิยื่นคําช้ีแจง เพม่ิ เตมิ หรอื ขอใหถ อ ยคาํ หรอื นําสืบแกขอ กลา วหาเพิ่มเติมตอคณะกรรมการสอบสวนกอนการสอบสวน แลวเสร็จ หากคณะกรรมการสอบสวนเห็นวามเี หตผุ ลอนั สมควรก็ใหร ับไวพจิ ารณาตอ ไป เม่อื การสอบสวนแลวเสร็จและยังอยรู ะหวางการพจิ ารณาของผสู ง่ั แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน หรอื ผูบังคบั บญั ชาคนใหมตามขอ ๓๗ ผูถูกกลาวหาจะย่ืนคําช้ีแจงตอบุคคลดังกลาวก็ได ในกรณีเชนนี้ ใหร ับคําช้ีแจงน้ันรวมไวใ นสาํ นวนการสอบสวนเพ่อื ประกอบการพิจารณาดวย ขอ ๒๗ ในการสอบปากคําผูถูกกลาวหาและพยาน ตองมีกรรมการสอบสวนไมนอยกวา ก่ึงหน่งึ ของจาํ นวนกรรมการสอบสวนท้งั หมดจงึ จะสอบสวนได ขอ ๒๘ กอ นเรมิ่ สอบปากคาํ พยาน ใหคณะกรรมการสอบสวนแจง ใหพ ยานทราบวากรรมการ สอบสวนมีฐานะเปนเจาพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา การใหถอยคําอันเปนเท็จตอกรรมการ สอบสวนอาจเปนความผดิ ตามกฎหมาย ในการสอบปากคาํ ผเู สยี หายหรอื พยานซ่งึ เปนเดก็ ใหสอบสวนในสถานท่ีท่ีเหมาะสมสําหรับเด็ก และใหมีขาราชการครูที่เปนกลางและเช่ือถือได และบุคคลท่ีเด็กรองขอหรือไววางใจเขารวมในการ สอบปากคาํ นั้นดว ย หากผเู สยี หายหรอื พยานซ่ึงเปนเดก็ ตัง้ รังเกียจขาราชการครูดงั กลา วขา งตนใหเปลย่ี นตัว บคุ คลนน้ั ในกรณผี เู สยี หายหรือพยานเปนคนหูหนวกหรอื เปน ใบ หรอื ท้งั หหู นวกและเปนใบ หรือมีความ พิการทางกาย หรอื ไมเขาใจภาษาไทยและจําเปนตองใชลาม ใหคณะกรรมการสอบสวนจัดหาลามท่ีเปน กลางและเช่ือถือไดใ หแกบ ุคคลดงั กลา ว ขอ ๒๙ ในการสอบปากคําผูถูกกลาวหาและพยาน หามมิใหกรรมการสอบสวนกระทําหรือ จัดใหกระทําการใด ๆ ซ่ึงเปนการใหคําม่ันสัญญา ขูเข็ญ หลอกลวง หรือกระทําโดยมิชอบดวยประการใด ๆ เพ่ือจูงใจใหบุคคลนั้นใหถ อยคําอยา งใด ๆ หรือกระทาํ ใหทอ ใจ หรือใชก ลอุบายอนื่ เพอ่ื ปอ งกนั มิใหบ ุคคล ใดใหถอ ยคาํ หรือไมใ หถอยคาํ ซ่งึ อยากจะใหดว ยความเต็มใจในเรอ่ื งท่ีถกู กลา วหาน้นั
151 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๐ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกิจจานุเบกษา ขอ ๓๐ ในการสอบปากคําผูถกู กลาวหาและพยาน ใหค ณะกรรมการสอบสวนเรียกผูซ่ึงจะถูก สอบปากคําเขามาในที่สอบสวนคราวละหนึ่งคน และหามมิใหบุคคลอื่นอยูในท่ีสอบสวน เวนแต ทนายความหรือที่ปรกึ ษาของผถู ูกกลา วหา หรอื บคุ คลตามขอ ๒๘ วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือบุคคล ซงึ่ คณะกรรมการสอบสวนอนุญาตใหอ ยใู นทส่ี อบสวนเพ่ือประโยชนแหง การสอบสวน การสอบปากคําผถู ูกกลาวหาและพยาน ใหบันทึกถอยคําซง่ึ มสี าระสําคัญตามแบบ สว. ๔ หรือ แบบ สว. ๕ ที่ ก.ค.ศ. กําหนด แลว แตกรณี เมอ่ื ไดบ นั ทกึ ถอ ยคําเสร็จแลวใหอา นใหผูใหถอยคําฟงหรือ จะใหผูใหถ อ ยคาํ อานเองกไ็ ด ถา มีการแกไข ทกั ทวง หรือเพม่ิ เตมิ กใ็ หแกไ ขใหถกู ตอง หรือมิฉะนั้นก็ให บนั ทึกไว เม่ือผูใ หถ อยคาํ รบั วา ถูกตอ งแลว ใหผใู หถอยคาํ ผเู ขารวมฟงตามวรรคหนึ่งที่อยูในท่ีสอบสวน และผูบันทึกถอยคําลงลายมือช่ือไวเปนหลักฐาน และใหกรรมการสอบสวนทุกคนซ่ึงรวมสอบสวน ลงลายมือชื่อรับรองไวใ นบนั ทกึ ถอยคํานน้ั ดวยถาบันทึกถอยคํามีหลายหนาใหก รรมการสอบสวนอยางนอ ย หน่ึงคนกบั ผใู หถอ ยคําลงลายมอื ช่อื กํากับไวทกุ หนา ในการบนั ทกึ ถอ ยคาํ หา มมใิ หขดู ลบหรอื บนั ทึกขอความทับ ถาจะตอ งแกไ ขขอ ความท่ีไดบนั ทึก ไวแลว ใหใชวิธีขีดฆาหรือตกเติม และใหกรรมการสอบสวนผูรวมสอบสวนอยางนอยหน่ึงคนกับผูให ถอ ยคําลงลายมอื ช่ือกํากบั ไวท ุกแหงทข่ี ีดฆา หรอื ตกเตมิ ในกรณีท่ีผูใหถอยคําหรือผูเขารวมฟงตามวรรคหน่ึงท่ีอยูในที่สอบสวนไมยอมลงลายมือชื่อ ใหบนั ทกึ เหตุนั้นไวในบนั ทกึ ถอยคํานั้น และใหกรรมการสอบสวนทุกคนซึ่งรวมสอบสวนลงลายมือช่ือ รับรองไวดวย ในกรณีทผ่ี ใู หถอยคําไมสามารถลงลายมือช่ือได ใหนํามาตรา ๙ แหงประมวลกฎหมายแพงและ พาณิชยม าใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ในกรณีท่ีพยานไมมาหรือมาแตไมใหถ อ ยคํา หรือคณะกรรมการสอบสวนเรยี กพยานไมไ ดภ ายใน เวลาอันสมควร คณะกรรมการสอบสวนจะไมสอบสวนพยานนั้นก็ได แตตองบันทึกเหตุน้ันไวในบันทึก ประจาํ วนั ทมี่ ีการสอบสวนตามขอ ๑๔ วรรคสาม และรายงานการสอบสวนตามขอ ๓๙ ขอ ๓๑ ในกรณีท่ีคณะกรรมการสอบสวนเห็นวา การสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทําให การสอบสวนลาชา โดยไมจ าํ เปน หรือมใิ ชพยานหลักฐานในประเดน็ สาํ คญั จะงดการสอบสวนพยานหลักฐาน นนั้ ก็ได แตตองบันทึกเหตุนนั้ ไวในบันทึกประจําวนั ท่มี กี ารสอบสวนตามขอ ๑๔ วรรคสาม และรายงาน การสอบสวนตามขอ ๓๙
152 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๑ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา ขอ ๓๒ ในกรณีท่ีจะตองสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งอยูตางทองที่ ประธาน กรรมการจะรายงานตอผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพ่ือดําเนินการมอบหมายใหหัวหนา สวนราชการ ผบู ริหารสถานศึกษา หรือผูบรหิ ารหนวยงานการศึกษา ในทองท่ีนั้นสอบสวนหรือรวบรวม พยานหลักฐานแทนก็ได โดยกําหนดประเด็นหรือขอสําคัญที่จะตองสอบสวนไปให ในกรณีเชนน้ี ใหหัวหนาสวนราชการ ผูบริหารสถานศึกษา หรือผูบริหารหนวยงานการศึกษาที่ไดรับมอบหมาย เลอื กขา ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษาหรือขาราชการฝา ยพลเรอื นที่เห็นสมควรอยางนอยอีกสองคน มารว มเปน คณะทาํ การสอบสวน ในการปฏิบตั หิ นาทตี่ ามวรรคหนึ่ง ใหค ณะทําการสอบสวนมีฐานะเปนคณะกรรมการสอบสวน ตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี และใหน าํ ขอ ๒๗ ขอ ๒๘ ขอ ๒๙ และขอ ๓๐ มาใชบังคับโดยอนโุ ลม ขอ ๓๓ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นวา กรณีมีมูลวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัย ไมรายแรงหรืออยา งรา ยแรง หรอื หยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาท่ีราชการ บกพรองในหนาท่ี ราชการ หรือประพฤติตนไมเหมาะสมกับตําแหนงในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่ราชการในเรื่องอ่ืนนอกจากที่ ระบไุ วใ นคําสง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวน ใหประธานกรรมการรายงานไปยงั ผูส่งั แตง ตง้ั คณะกรรมการ สอบสวนโดยเร็ว ถาผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัย ไมร า ยแรงหรืออยา งรายแรง หรือหยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการ บกพรองในหนาท่ี ราชการ หรอื ประพฤตติ นไมเหมาะสมกับตําแหนงในอันท่ีจะปฏิบัติหนาที่ราชการตามท่ีรายงาน ก็ใหส่ัง แตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน โดยจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเปนผูทําการสอบสวน หรือแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหมก ไ็ ด ขอ ๓๔ ในกรณที ่กี ารสอบสวนพาดพงิ ไปถงึ ขา ราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาผูอื่นวามี สวนรวมในการกระทําการในเร่ืองที่ทําการสอบสวนน้ันดวย ใหคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาใน เบ้ืองตนวา ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผูน้ันมีสวนรวมกระทําการในเรื่องท่ีสอบสวนดวย หรือไม ถา เห็นวา ผนู ัน้ มีสว นรว มกระทําการในเร่ืองท่ีสอบสวนนั้นอยูดวย ใหประธานกรรมการรายงาน ไปยังผสู ง่ั แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาดาํ เนนิ การตามควรแกก รณีโดยเรว็ ในกรณีท่ีผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนเห็นวากรณีมีมูลที่ควรกลาวหาวากระทําผิดวินัย อยางรา ยแรง หรอื เปน ความผิดกรณอี ่ืนตามทีร่ ายงาน ก็ใหส ่งั แตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวน โดยจะแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเปนผูสอบสวน หรือจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหมก็ได ทั้งน้ี
เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก 153 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๒ ราชกิจจานุเบกษา ใหด าํ เนินการตามหลักเกณฑและวิธกี ารทกี่ ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ในกรณีเชน น้ี ใหใ ชพ ยานหลักฐานทไ่ี ด สอบสวนมาแลว ประกอบการพิจารณาได ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนโดยแยกเปนสํานวนการสอบสวนใหม ใหนําสําเนาพยานหลักฐานท่ีเกี่ยวของในสํานวนการสอบสวนเดิมรวมไวในสํานวนการสอบสวนใหม หรอื บันทึกใหปรากฏดวยวานําพยานหลักฐานใดจากสาํ นวนการสอบสวนเดมิ มาประกอบการพิจารณาใน สาํ นวนการสอบสวนใหมด ว ย ขอ ๓๕ ในกรณที ีผ่ บู ังคับบัญชาไดแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อสอบสวนขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาผูใด ในเรื่องที่ผูน้ันหยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาท่ีราชการ บกพรอ งในหนา ที่ราชการ หรอื ประพฤติตนไมเหมาะสมกบั ตําแหนงหนาท่ีราชการตามมาตรา ๑๑๑ และ ผูบังคับบัญชาเห็นวาการสอบสวนเร่ืองน้ันมีมูลวาเปนการกระทําผิดวินัยอยางรายแรงซึ่งผูบังคับบัญชา เห็นควรแตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเพ่อื ทําการสอบสวนผนู นั้ ตามมาตรา ๙๘ ใหด าํ เนนิ การตามหลักเกณฑ และวธิ ีการทก่ี าํ หนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ในกรณีเชนนค้ี ณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๙๘ จะนําสํานวน การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๑๑๑ มาประกอบการพิจารณาดวยก็ได ขอ ๓๖ ในกรณีที่มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดวาผูถูกกลาวหากระทําผิดหรือตองรับผิดในคดีที่ เก่ียวกับเร่ืองที่กลาวหา ถาคณะกรรมการสอบสวนเห็นวาขอเท็จจริงที่ปรากฏตามคําพิพากษาไดความ ประจักษชัดอยูแลว ใหถือเอาคําพิพากษาน้ันเปนพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหา โดยไมตอง สอบสวนพยานหลักฐานอืน่ ทีเ่ ก่ยี วของกบั ขอ กลา วหา แตต อ งแจง ใหผ ถู กู กลา วหาทราบและแจงขอ กลา วหา พรอมท้งั สรุปพยานหลักฐานทีส่ นับสนุนขอ กลา วหาตามท่ีปรากฏในคําพพิ ากษาใหผถู กู กลาวหาทราบ ทง้ั น้ี ใหนาํ ขอ ๒๔ มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ขอ ๓๗ ในระหวางการสอบสวน แมจะมีการสั่งใหผูถูกกลาวหาไปอยูนอกบังคับบัญชาของ ผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน ใหคณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนตอไปจนเสร็จ แลวทํา รายงานการสอบสวนและเสนอสาํ นวนการสอบสวนตอ ผสู ั่งแตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพ่ือตรวจสอบ ความถกู ตองตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ และใหผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนสง เรือ่ งใหผบู งั คบั บัญชาคนใหมข องผถู กู กลา วหา เพอ่ื ดําเนนิ การตามขอ ๔๐ ตอไป ท้ังนี้ ใหผูบังคับบัญชา คนใหมมอี าํ นาจตรวจสอบความถกู ตองตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ ดว ย
เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 154 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๓ ราชกจิ จานุเบกษา หมวด ๕ การทํารายงานการสอบสวน ขอ ๓๘ เมื่อคณะกรรมการสอบสวนไดรวบรวมพยานหลักฐานตาง ๆ เสร็จแลว ใหประชุม เพ่ือพจิ ารณาสาํ นวนการสอบสวน โดยชง่ั นํา้ หนักพยานหลกั ฐานทั้งปวง ทั้งขอเท็จจริงอันเปนสาระสําคัญ ของการกระทํา ขอ กฎหมายทยี่ กข้นึ อางองิ วนิ จิ ฉยั ขอ พจิ ารณา และขอ เสนอในการใชดุลพนิ จิ ในการพจิ ารณาลงมติ ใหประธานกรรมการถามกรรมการสอบสวนทลี ะคน เพ่ือใหอ อกความเห็น ทุกคนในทกุ ประเดน็ ทพี่ ิจารณา ดงั ตอ ไปนี้ (๑) ในกรณีที่เห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัย ก็ใหระบุดวยวาการกระทําของผูถูกกลาวหา เปน ความผิดวนิ ัยกรณใี ด ตามมาตราใด และสมควรไดรับโทษสถานใด (๒) ในกรณีท่ีเหน็ วา ผูถูกกลาวหามิไดกระทําผิดวินัย หรือการกระทําของผูถูกกลาวหาไมเปน ความผดิ วนิ ยั ก็ใหม ีความเหน็ ยตุ เิ ร่อื ง (๓) ผถู กู กลาวหาหยอ นความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนา ท่รี าชการ บกพรองในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤตติ นไมเหมาะสมกับหนาท่รี าชการตามมาตรา ๑๑๑ หรือไมอ ยางไร (๔) ในกรณที ม่ี เี หตุอนั ควรสงสยั อยางยิ่งวา ผูถูกกลาวหาไดก ระทําผิดวินัยอยางรายแรง แตการ สอบสวนไมไดค วามแนชัดพอที่จะรับฟงลงโทษปลดออกหรือไลออก ถาใหรับราชการตอไปจะเปนการ เสยี หายแกราชการตามมาตรา ๑๑๒ หรือไม อยา งไร กใ็ หมีความเห็นไปตามน้นั ขอ ๓๙ เมือ่ ไดป ระชมุ พจิ ารณาลงมตติ ามขอ ๓๘ แลว ใหคณะกรรมการสอบสวนทํารายงาน การสอบสวนซ่ึงมีสาระสําคัญตามแบบ สว. ๖ ที่ ก.ค.ศ. กําหนด เสนอตอผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวน หากกรรมการสอบสวนผใู ดมีความเห็นแยง ใหทาํ ความเหน็ แยงแนบไวก บั รายงานการสอบสวน โดยถอื เปน สวนหนง่ึ ของรายงานการสอบสวนดวย รายงานการสอบสวนอยางนอ ยตองมีสาระสําคัญ ดังตอ ไปน้ี (๑) สรปุ ขอ เทจ็ จรงิ อันเปนสาระสําคญั และพยานหลักฐาน ในกรณีท่ีไมไดสอบสวนพยานตาม ขอ ๓๐ วรรคหก และขอ ๓๑ ใหร ายงานเหตุท่ไี มไ ดส อบสวนนน้ั ใหปรากฏไว ในกรณที ผ่ี ูถูกกลาวหาให ถอ ยคาํ รับสารภาพใหบ ันทึกเหตผุ ลในการรบั สารภาพไวด วย (๒) วินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหากับพยานหลักฐานที่หักลาง ขอกลาวหา
155 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๔ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา (๓) ความเห็นของคณะกรรมการสอบสวนวา ผูถูกกลาวหาไดกระทําผิดวินัยหรือไม อยางไร ถาไมผิดใหเ สนอความเห็นยตุ ิเรื่อง ถา ผิดใหระบุวา เปน ความผดิ วนิ ัยกรณีใด ตามมาตราใด และสมควรไดรับ โทษสถานใด หรอื มีเหตุอันควรสงสยั วา หยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการ บกพรองใน หนา ท่ีราชการ หรอื ประพฤติตนไมเ หมาะสมกับตาํ แหนง หนาทรี่ าชการตามมาตรา ๑๑๑ หรือไม อยางไร หรือมเี หตอุ ันควรสงสยั อยางยิง่ วา ผถู กู กลา วหาไดกระทําผิดวนิ ัยอยางรายแรง แตการสอบสวนไมไดความ แนชัดพอที่จะรับฟงลงโทษปลดออกหรือไลออก ถาใหรับราชการตอไปจะเปนการเสียหายแกราชการ และสมควรใหอ อกจากราชการตามมาตรา ๑๑๒ หรอื ไม อยา งไร พรอ มทง้ั ขอสนบั สนุนการใชดลุ พนิ จิ เม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดทํารายงานการสอบสวนแลว ใหเสนอสํานวนการสอบสวน พรอ มทัง้ สารบาญตอ ผสู ัง่ แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน และใหถือวา การสอบสวนแลวเสรจ็ หมวด ๖ การพิจารณาสั่งสํานวนการสอบสวน ขอ ๔๐ เม่ือคณะกรรมการสอบสวนไดเสนอสํานวนการสอบสวนมาแลว ใหผูสั่งแตงตั้ง คณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบความถูกตองของสํานวนการสอบสวนตามขอ ๔๓ ขอ ๔๔ ขอ ๔๕ และขอ ๔๖ แลวดาํ เนินการ ดงั ตอ ไปน้ี (๑) ในกรณีทีค่ ณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผูถูกกลาวหาไมไดกระทําผิดหรือไมมีเหตุท่ีจะให ออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๒ สมควรยุตเิ รือ่ ง หรอื กระทําผดิ ท่ียังไมถ ึงขน้ั เปนการกระทําผิดวินัยอยาง รา ยแรง ใหผ ูสง่ั แตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวนพจิ ารณาส่งั การตามทเี่ ห็นสมควรโดยเร็ว ทั้งนี้ ตองไมเกิน หกสิบวนั นบั แตว นั ไดรบั สํานวนการสอบสวน (๒) ในกรณีท่คี ณะกรรมการสอบสวนเห็นวาผถู กู กลาวหาหยอ นความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติ หนา ทีร่ าชการ บกพรอ งในหนา ทรี่ าชการ หรอื ประพฤติตนไมเ หมาะสมกบั หนา ทีร่ าชการตามมาตรา ๑๑๑ ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนพิจารณาสํานวนการสอบสวนดังกลาว หากเห็นวามีเหตุตามท่ี คณะกรรมการสอบสวนมคี วามเห็นมา ใหผูส งั่ แตง ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนดาํ เนนิ การตามมาตรา ๑๑๑ (๓) ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนมีความเห็นวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยอยางรายแรง สมควรลงโทษปลดออกหรือไลออกซ่งึ จะตองสงเรื่องให อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั หรอื ก.ค.ศ. พิจารณาตามมาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ (๑) หรอื (๒) หรือเปนกรณีตามมาตรา ๑๑๒ ใหผูมี อํานาจตามมาตราดังกลาวดําเนินการโดยไมชักชา ทั้งน้ี ตองไมเกินหกสิบวันนับแตวันไดรับสํานวน
156 เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก หนา ๔๕ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา การสอบสวน และให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ท่ีการศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั หรอื ก.ค.ศ. แลวแตก รณี พจิ ารณา ใหแ ลวเสรจ็ และมีมตโิ ดยเรว็ และใหผ ูม อี ํานาจสงั่ การตามมตภิ ายในหกสบิ วันนบั แตวนั ทมี่ มี ตดิ ังกลาว ขอ ๔๑ ในกรณที ี่ผสู ่ังแตง ต้งั คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ทก่ี ารศกึ ษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี เห็นสมควรให สอบสวนเพิ่มเติมประการใด ใหกําหนดประเด็นพรอมท้ังสงเอกสารท่ีเกี่ยวของไปใหคณะกรรมการ สอบสวนคณะเดมิ เพอ่ื ดําเนินการสอบสวนเพ่ิมเติมไดต ามความจาํ เปน ในกรณีท่คี ณะกรรมการสอบสวนคณะเดมิ ไมอาจทาํ การสอบสวนได หรือผูสั่งสอบสวนเพิ่มเติม เหน็ เปนการสมควรจะแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนคณะใหมขึ้นทําการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได ในกรณี เชน นี้ ใหนําขอ ๓ และขอ ๔ มาใชบ ังคบั โดยอนโุ ลม ใหค ณะกรรมการสอบสวนทําการสอบสวนเพ่ิมเติมใหแลวเสร็จโดยเร็ว เมื่อสอบสวนเสร็จแลว ใหส ง พยานหลักฐานและเอกสารทเี่ กีย่ วของทไ่ี ดจากการสอบสวนเพิ่มเตมิ ไปใหผ ูส่ังสอบสวนเพิ่มเติมโดย จดั ทําความเห็นเฉพาะที่ไดจ ากการสอบสวนเพม่ิ เติมประกอบไปดว ยกไ็ ด เมื่อไดด าํ เนนิ การตามวรรคสามแลว ใหนําขอ ๔๐ มาใชบ งั คับโดยอนโุ ลม ขอ ๔๒ การพิจารณาพยานหลักฐานวาผูถูกกลาวหากระทําผิดวินัยหรือไม อยางไร ใหพิจารณาจากพยานหลักฐานในสํานวนการสอบสวน และตองเปนพยานหลักฐานท่ีไดสรุปแจงใหผูถูก กลา วหาทราบแลวเทานั้น หมวด ๗ การสอบสวนทม่ี ชิ อบและบกพรอ ง ขอ ๔๓ ในกรณีที่ปรากฏวาการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนไมถูกตองตามขอ ๓ ใหการ สอบสวนทัง้ หมดเสยี ไป ในกรณีเชน น้ี ใหผ ูส่ังแตง ตัง้ คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรอื มาตรา ๑๐๔ (๑) แตงตง้ั คณะกรรมการสอบสวนใหมใ หถูกตอ ง ขอ ๔๔ ในกรณีทป่ี รากฏวาการสอบสวนตอนใดทาํ ไมถ ูกตอ ง ใหก ารสอบสวนตอนนน้ั เสยี ไป เฉพาะในกรณีดงั ตอไปน้ี (๑) การประชุมของคณะกรรมการสอบสวน มีกรรมการสอบสวนมาประชุมไมครบตามท่ี กาํ หนดไวใ นขอ ๑๗ วรรคหน่งึ
เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 157 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๖ ราชกิจจานุเบกษา (๒) การสอบปากคําบุคคลดําเนินการไมถูกตองตามท่ีกําหนดไวในขอ ๑๑ ขอ ๒๗ ขอ ๒๘ วรรคสอง ขอ ๒๙ ขอ ๓๐ วรรคหน่งึ หรือขอ ๓๒ วรรคหน่ึง ในกรณีเชนน้ี ใหผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี สั่งให คณะกรรมการสอบสวนดําเนนิ การตามกรณีดังกลา วใหมใ หถูกตองโดยเร็ว ขอ ๔๕ ในกรณีที่ปรากฏวาคณะกรรมการสอบสวนไมเรียกผูถูกกลาวหามารับทราบ ขอกลา วหาและสรุปพยานหลกั ฐานท่สี นบั สนนุ ขอกลา วหา หรอื ไมสงบันทึกการแจงขอกลาวหาและสรุป พยานหลักฐานท่ีสนับสนุนขอกลาวหาทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปใหผูถูกกลาวหา หรือไมมี หนงั สือขอใหผ ูถ ูกกลาวหาชแ้ี จงหรอื นัดมาใหถอ ยคําหรือนาํ สบื แกข อกลา วหาตามขอ ๒๔ ใหผูสั่งแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ผูมีอํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี สั่งใหคณะกรรมการสอบสวนดําเนินการใหถูกตอง โดยเร็ว และตองใหโอกาสผถู กู กลาวหาที่จะช้แี จง ใหถ อยคําและนําสืบแกขอกลาวหาตามที่กําหนดไวใน ขอ ๒๔ ดวย ในกรณีท่ีการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนแตกตางจากขอกลาวหาที่คณะกรรมการ สอบสวนไดแจง ใหผ ถู กู กลา วหาทราบ แตใ นการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนน้นั ถา ผูถ ูกกลา วหา ไมไดหลงขอตอสูโดยไดแกขอกลาวหาในความผิดน้ันแลวซึ่งไมทําใหเสียความเปนธรรม ใหถือวาการ สอบสวนและพจิ ารณานน้ั ใชได และใหลงโทษผถู กู กลาวหาไดต ามบทมาตราหรอื กรณีความผิดท่ีถกู ตอ ง ขอ ๔๖ ในกรณีทีป่ รากฏวาการสอบสวนตอนใดทําไมถูกตองตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี นอกจากท่ี กําหนดไวใ นขอ ๔๓ ขอ ๔๔ และขอ ๔๕ ถาการสอบสวนตอนนัน้ เปน สาระสําคัญอนั จะทาํ ใหเสยี ความ เปน ธรรม ใหผ ูส ่งั แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวน ผูมอี ํานาจตามมาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ (๑) อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ส่ังใหคณะกรรมการสอบสวน แกไ ขหรือดําเนินการตอนน้ันใหถูกตอ งโดยเร็ว แตถาการสอบสวนตอนนน้ั มิใชสาระสําคญั อันจะทาํ ใหเ สยี ความเปนธรรม ผมู ีอาํ นาจดงั กลาวจะสง่ั ใหแ กไ ขหรือดําเนินการใหถกู ตอ งหรอื ไมกไ็ ด
เลม ๑๒๔ ตอนท่ี ๕๓ ก 158 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๗ ราชกจิ จานุเบกษา หมวด ๘ การนับระยะเวลา ขอ ๔๗ การนบั ระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี สําหรับเวลาเริ่มตนใหนับวันถัดจากวันแรกแหง เวลาน้ันเปน วนั เริ่มนบั ระยะเวลา แตถ าเปน กรณีขยายเวลาใหน ับวนั ตอจากวันสุดทา ยแหงระยะเวลาเดิมเปน วันเร่ิมระยะเวลาท่ีขยายออกไป สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ใหนับวันเรม่ิ เปด ทําการใหมเ ปนวนั สุดทา ยแหง ระยะเวลา บทเฉพาะกาล ขอ ๔๘ การดําเนินการสอบสวนกอนที่กฎ ก.ค.ศ. น้ีใชบังคับ ใหคณะกรรมการสอบสวน ดาํ เนินการตามหลกั เกณฑและวิธกี ารที่ใชอ ยูในขณะนน้ั จนกวา จะแลวเสร็จ สว นการพจิ ารณาสั่งการของผมู ี อาํ นาจตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๙๘ หรือมาตรา ๑๐๔ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้ง หรือ ก.ค.ศ. แลว แตกรณี ใหด าํ เนนิ การตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ ใหไ ว ณ วนั ที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ วิจติ ร ศรีสอาน รฐั มนตรวี า การกระทรวงศึกษาธิการ ประธาน ก.ค.ศ.
เลม ๑๒๔ ตอนที่ ๕๓ ก 159 ๑๒ กนั ยายน ๒๕๕๐ หนา ๔๘ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตผุ ลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบบั นี้ คอื โดยท่กี ารดําเนินการทางวินัยแกขาราชการครู และบุคลากรทางการศึกษาซึ่งมีกรณีอันมีมูลท่ีควรกลาวหาวากระทําผิดวินัยนั้น ตองดําเนินกระบวนการ สอบสวนพิจารณาโดยมชิ ักชา มคี วามยุตธิ รรม และคุม ครองสิทธิแกข า ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาที่ ถกู กลา วหาหรือเปน ผูเ สียหาย ตลอดจนพยานท่ใี หถ อ ยคาํ ในการสอบสวน อันจะทําใหกระบวนการสอบสวน ไดค วามจริงและมคี วามยตุ ิธรรม ประกอบกบั มาตรา ๙๘ วรรคหก แหงพระราชบญั ญัติระเบียบขา ราชการครู และบุคลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญตั วิ า การสอบสวนพิจารณาขา ราชการครแู ละบุคลากรทางการ ศึกษาซ่ึงถูกกลาวหาวากระทําผิดวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จงึ จาํ เปน ตอ งออกกฎ ก.ค.ศ. น้ี
เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก 160 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๓ ราชกิจจานุเบกษา กฎ ก.ค.ศ. วา ดวยการอุทธรณและการพิจารณาอทุ ธรณ พ.ศ. ๒๕๕๐ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว ดงั ตอ ไปน้ี ขอ ๑ ในกฎ ก.ค.ศ. น้ี เวนแตข อ ความจะแสดงใหเ ห็นเปน อยางอนื่ “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา” หมายความรวมถงึ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้งดวย “ปลัดกระทรวง” หมายความวา ปลัดกระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวง วัฒนธรรม หรือปลัดกระทรวงอ่ืนท่ีมีขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสังกัดตามที่กําหนด ในพระราชกฤษฎกี า ทงั้ นี้ ไมร วมถงึ ปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ ขอ ๒ การอุทธรณและการพิจารณาอุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑ และวิธีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ขอ ๓ การอุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัย ใหอุทธรณภายในสามสิบวันนับแตวันที่ไดรับ แจง คําสงั่ เพ่ือประโยชนใ นการนบั ระยะเวลาอุทธรณ ใหถ อื วนั ที่ผูถกู ลงโทษลงลายมือช่ือรับทราบคําสั่ง ลงโทษทางวินยั เปนวันท่ไี ดร ับแจงคาํ ส่งั ในกรณีท่ผี ถู ูกลงโทษไมย อมลงลายมือชอื่ รบั ทราบคําสั่งลงโทษทางวนิ ยั แตไดมีการแจงคําส่ัง ลงโทษทางวินัยใหผถู กู ลงโทษทราบพรอมกับมอบสําเนาคําสั่งลงโทษทางวินัยใหผูถูกลงโทษ รวมทั้ง
เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 161 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๔ ราชกจิ จานเุ บกษา ทําบันทึกลงวันเดือนป เวลา และสถานที่ที่แจง และลงลายมือชื่อผูแจง พรอมทั้งพยานรูเห็นไวเปน หลักฐานแลว ใหถ อื วันท่ีแจง นั้นเปนวนั ที่ผถู ูกลงโทษไดรบั แจง คาํ สัง่ ในกรณีที่ไมอาจแจงใหผูถูกลงโทษลงลายมือช่ือรับทราบคําส่ังลงโทษทางวินัยไดโดยตรง แตไดมีการแจงเปนหนังสือโดยสงสําเนาคําส่ังลงโทษทางวินัยทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปให ผูถูกลงโทษ ณ ท่ีอยูของผูถูกลงโทษ ซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ โดยสงสําเนาคําสั่ง ลงโทษทางวินัยไปใหสองฉบับเพื่อใหผูถูกลงโทษเก็บไวหนึ่งฉบับ และใหผูถูกลงโทษลงลายมือชื่อ และวันเดอื นปท่รี บั ทราบคําสั่งลงโทษทางวินัยสงกลบั คนื มาเพ่ือเกบ็ ไวเปนหลักฐานหนึ่งฉบับ ในกรณี เชนนี้ เมอ่ื ลว งพน ระยะเวลาสิบหาวันนับแตวันที่ปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณียลงทะเบียนวาผูถูก ลงโทษไดรบั เอกสารดังกลาวหรือมผี ูรบั แทนแลว แมยังไมไดรับสําเนาคําสั่งลงโทษทางวินัยฉบับที่ให ผูถกู ลงโทษลงลายมอื ชอื่ และวนั เดือนปทีร่ บั ทราบคําส่งั ลงโทษทางวนิ ัยกลับคืนมา ใหถ ือวา ผูถูกลงโทษ ไดร ับแจง คาํ ส่งั แลว ขอ ๔ การอทุ ธรณคาํ ส่ังลงโทษทางวินัย ใหอุทธรณไดสําหรับตนเองเทาน้ัน จะอุทธรณ แทนผูอ่นื หรือมอบหมายใหผ อู ่นื อทุ ธรณแทนไมได การอุทธรณตองทําเปนหนังสือแสดงขอเท็จจริงและเหตุผลในการอุทธรณใหเห็นวาไดถูก ลงโทษโดยไมถูกตอ ง ไมเหมาะสม หรอื ไมเ ปนธรรมอยา งไร และลงลายมอื ชือ่ และที่อยูข องผอู ทุ ธรณ ในการอุทธรณ ถาผูอุทธรณประสงคจะแถลงการณดวยวาจาในช้ันพิจารณาของ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ใหแสดงความประสงคไวในหนังสืออุทธรณตามวรรคสอง หรอื จะทาํ เปนหนังสอื ตางหากก็ได แตตอ งยื่นหรือสงหนังสือขอแถลงการณดวยวาจาน้ันตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. โดยตรงภายในสามสิบวันนบั แตว นั ทไี่ ดย่นื หรือสง หนงั สืออุทธรณ ขอ ๕ เพ่ือประโยชนในการอุทธรณ ผูจะอุทธรณมีสิทธิขอตรวจหรือคัดรายงาน การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนหรือของผูสอบสวนได สวนการขอตรวจหรือคัดบันทึก ถอยคําบุคคล พยานหลักฐานอ่ืน หรือเอกสารท่ีเกี่ยวของ ใหอยูในดุลพินิจของผูบังคับบัญชาผูส่ัง ลงโทษท่ีจะอนุญาตหรือไม โดยใหพิจารณาถึงประโยชนในการรักษาวินัยของขาราชการ ตลอดจน เหตผุ ลและความจําเปนเปน เรือ่ ง ๆ ไป ขอ ๖ ผูอุทธรณมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาอุทธรณ ถาผูนั้นมี เหตอุ ยา งหนง่ึ อยางใด ดงั ตอไปน้ี
162 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก หนา ๔๕ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา (๑) รเู หน็ เหตกุ ารณใ นการกระทาํ ผดิ วินัยทผี่ อู ทุ ธรณถูกลงโทษ (๒) มีสวนไดเสยี ในการกระทําผิดวินัยทีผ่ ูอ ทุ ธรณถูกลงโทษ (๓) มีสาเหตุโกรธเคืองผอู ุทธรณ (๔) เปน ผบู ังคับบญั ชาผสู ง่ั ลงโทษ (๕) เปนผกู ลาวหา หรือเปนคูสมรส บุพการี ผูสืบสันดาน หรือพี่นองรวมบิดามารดาหรือ รวมบิดาหรอื มารดากบั ผูกลา วหา การคดั คา นอนกุ รรมการ หรอื กรรมการผูพิจารณาอุทธรณนน้ั ตองแสดงขอเท็จจริงที่เปนเหตุ แหงการคดั คานไวในหนังสืออุทธรณ หรือแจงเพม่ิ เตมิ เปนหนงั สอื กอ นที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรอื ก.ค.ศ. เริม่ พิจารณาอทุ ธรณ เม่ือมีเหตุหรือมีการคัดคานตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง อนุกรรมการหรือกรรมการผูน้ัน จะขอถอนตัวไมรวมพิจารณาอุทธรณก็ได ถาอนุกรรมการหรือกรรมการดังกลาวมิไดขอถอนตัว ใหอนุกรรมการหรือกรรมการท่ีเหลืออยูนอกจากอนุกรรมการหรือกรรมการผูถูกคัดคานพิจารณา ขอเท็จจรงิ ท่ีคัดคา น หากเหน็ วาขอเทจ็ จริงนัน้ นา เช่ือถือ ใหแจงอนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นทราบ และมิใหรวมพิจารณาอุทธรณ เวนแตจะพิจารณาเห็นวา การใหอนุกรรมการ หรือกรรมการผูนั้น รว มพิจารณาอทุ ธรณดงั กลา วจะเปน ประโยชนยงิ่ กวา เพราะจะทําใหไดความจริงและเปนธรรม จะให อนกุ รรมการหรอื กรรมการผนู น้ั รวมพิจารณาอทุ ธรณกไ็ ด ขอ ๗ การอุทธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ทีส่ ังกดั เขตพนื้ ท่ีการศึกษา ใหด ําเนนิ การดังตอไปน้ี (๑) การอทุ ธรณคาํ สั่งลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ ใหอุทธรณตอ ก.ค.ศ. และ ให ก.ค.ศ. เปน ผูพ ิจารณา (๒) การอุทธรณค ําส่งั ลงโทษภาคทณั ฑ ตัดเงนิ เดอื น หรือลดข้นั เงินเดือนของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซ่ึงส่ัง ตามมตขิ อง อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา ใหอ ทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพจิ ารณา (๓) การอุทธรณคําสั่งลงโทษภาคทัณฑ ตัดเงินเดือน หรือลดข้ันเงินเดือนของผูอํานวยการ สาํ นักงานเขตพื้นทีก่ ารศึกษา หรอื ผอู าํ นวยการสถานศกึ ษา ใหอทุ ธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ทกี่ ารศกึ ษา และให อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ที่การศกึ ษา เปนผูพิจารณา ขอ ๘ การอทุ ธรณคําสั่งลงโทษทางวินัยของขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิได สังกัดเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา ใหด าํ เนนิ การดงั ตอไปน้ี
เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 163 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๔๖ ราชกจิ จานุเบกษา (๑) การอทุ ธรณคาํ สั่งลงโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการ ใหอุทธรณตอ ก.ค.ศ. และ ให ก.ค.ศ. เปน ผพู จิ ารณา (๒) การอุทธรณค ําสง่ั ลงโทษภาคทณั ฑ ตดั เงนิ เดือน หรือลดขั้นเงินเดือนของนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวงหรือคําสั่งของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตั้งใหอ ทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปนผพู จิ ารณา (๓) การอทุ ธรณคาํ สัง่ ลงโทษภาคทณั ฑ ตดั เงินเดอื น หรือลดข้ันเงินเดือนของปลัดกระทรวง ศกึ ษาธกิ าร เลขาธกิ าร อธิบดีหรือตาํ แหนง ทีเ่ รยี กชอ่ื อยางอ่ืนทม่ี ีฐานะเทียบเทาอธิการบดีหรือตําแหนง ท่เี รียกชื่ออยางอื่นท่ีมีฐานะเทียบเทาผูอํานวยการสถานศึกษาหรือตําแหนงที่เรียกชื่ออยางอื่นที่มีฐานะ เทียบเทา ใหอ ุทธรณต อ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตงั้ และให อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตัง้ เปน ผพู จิ ารณา ขอ ๙ การอุทธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา ใหทําหนังสืออุทธรณถึงประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ที่การศกึ ษา หรอื ผอู าํ นวยการสํานักงานเขตพื้นทก่ี ารศกึ ษา การอทุ ธรณต อ ก.ค.ศ. ใหท าํ หนงั สืออทุ ธรณถ ึงประธาน ก.ค.ศ. หรอื เลขาธกิ าร ก.ค.ศ. และ ยน่ื ทสี่ ํานักงาน ก.ค.ศ. การยื่นหรือสงหนังสืออุทธรณ ผูอุทธรณจะย่ืนหรือสงผานผูบังคับบัญชาก็ได โดยให ผูบังคับบัญชาน้นั สง หนังสืออทุ ธรณไ ปยังผอู ํานวยการสํานกั งานเขตพืน้ ทก่ี ารศึกษา หรอื หนวยงานหรือ สวนราชการที่ทําหนาท่ีเลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตั้ง หรือเลขาธิการ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในสามวันทาํ การนบั แตวันท่ีผบู ังคบั บัญชาดังกลาวไดรับหนังสอื อทุ ธรณ ในกรณที นี่ ําหนังสอื อุทธรณม ายื่นเอง ใหผ รู ับออกใบรบั ประทับตรารบั และลงทะเบียนไวเปน หลักฐานในวนั ท่รี บั ตามระเบยี บวา ดวยงานสารบรรณ และใหถือวันที่รับหนังสือตามหลักฐานดังกลาว เปน วันยน่ื หนงั สืออทุ ธรณ ในกรณีที่สงหนังสืออุทธรณทางไปรษณีย ใหถือวันที่ท่ีทําการไปรษณียตนทางออกใบรับฝาก เปนหลักฐานฝากสง หรือวันทท่ี ่ีทาํ การไปรษณียตน ทางประทับตรารับท่ีซองหนังสือเปนวันสงหนังสือ อทุ ธรณ เม่ือไดย่ืนหรือสงหนังสืออุทธรณไวแลว ผูอุทธรณจะย่ืนหรือสงคําแถลงการณหรือเอกสาร หลกั ฐานเพ่มิ เตมิ กอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. เร่ิมพิจารณาอุทธรณก็ได โดยย่ืน หรอื สงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ที่การศึกษา หรอื ก.ค.ศ. แลว แตก รณี
164 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๗ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ขอ ๑๐ อุทธรณท่ีจะรับไวพิจารณาไดตองเปนอุทธรณท่ีถูกตองในสาระสําคัญตามขอ ๔ และขอ ๙ และไดอทุ ธรณภายในกาํ หนดเวลาตามขอ ๓ ในกรณีท่ีมีปญหาวาอุทธรณรายใดเปนอุทธรณท่ีจะรับไวพิจารณาไดหรือไม ให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตก รณี เปนผพู จิ ารณาวนิ จิ ฉยั ในกรณีที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. มีมติไมรับอุทธรณคําสั่งลงโทษไว พิจารณา ใหเปนที่สดุ และแจง มตนิ ้ันพรอ มสทิ ธิในการฟองศาลปกครองใหผูอุทธรณทราบเปนหนังสือ โดยเรว็ ขอ ๑๑ ผูอุทธรณจะขอถอนอุทธรณกอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณเสร็จสิ้นก็ได โดยทําเปนหนังสือยื่นหรือสงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทกี่ ารศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. เมอ่ื ไดถ อนอทุ ธรณแลว การพิจารณาอทุ ธรณใหเปนอันระงบั ขอ ๑๒ ในกรณที ผ่ี ูถ ูกลงโทษไดย า ยหรือโอนไปสงั กดั เขตพ้นื ที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น ใหย่ืนอุทธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ท่กี ารศกึ ษาที่ผูอ ุทธรณไ ดยา ยหรือโอนไปสงั กัดน้ัน ในกรณที ีผ่ อู ทุ ธรณไดย ายหรือโอนไปสงั กัดเขตพื้นที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น หลังจาก ท่ีไดย นื่ อทุ ธรณตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษาสังกัดเดิมไวแลว และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา สังกัดเดิมน้ันยังมิไดมีมติตามขอ ๑๔ ใหสงเรื่องอุทธรณและเอกสารหลักฐานตามขอ ๑๓ ไปให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาตามวรรคหนง่ึ เปนผูพจิ ารณาวินจิ ฉัยอทุ ธรณตอไป ในกรณที ีผ่ ูอ ุทธรณไ ดยา ยหรือโอนไปสังกัดเขตพ้ืนที่การศึกษาหรือสวนราชการอื่น หลังจาก ที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาสังกัดเดิมไดมีมติตามขอ ๑๔ แลว แตผูบังคับบัญชายังมิไดสั่งหรือ ปฏิบัติใหเปนไปตามมตินั้น ใหสงเรื่องอุทธรณและเอกสารหลักฐานท่ีเก่ียวของพรอมท้ังรายงาน การประชุมและมติ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้นื ท่ีการศึกษาไปใหผบู งั คบั บัญชาใหมเปน ผสู ่ังหรือปฏิบัติใหเปนไป ตามมตนิ ัน้ ขอ ๑๓ การพิจารณาอทุ ธรณค าํ ส่ังลงโทษทางวินัย ให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาจากสํานวนการสืบสวนหรือการพิจารณาในเบ้ืองตนตามมาตรา ๙๕ และสํานวน การดําเนินการทางวินัยตามมาตรา ๙๘ หรือสํานวนการไตสวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือ ตามกฎหมายอ่ืนท่ีบัญญัติใหฟงขอเท็จจริงตามนั้น และในกรณีจําเปนและสมควรอาจขอเอกสารและ หลักฐานที่เก่ียวของเพิ่มเติม รวมท้ังคําชี้แจงจากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสว น บริษัท หรอื บุคคลใด ๆ หรอื ขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกจิ หนวยงานอน่ื ของรฐั
165 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๘ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา หางหุนสวน บริษัท ขาราชการหรือบุคคลใด ๆ มาใหถอยคําหรือชี้แจงขอเท็จจริงเพ่ือประกอบการ พจิ ารณาได ในกรณที ่ผี อู ุทธรณขอแถลงการณด วยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นวาการแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ จะใหงดการ แถลงการณด ว ยวาจาก็ได ในกรณีทนี่ ัดใหผอู ุทธรณม าแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูดํารงตําแหนงที่ส่ัง ลงโทษหรือเพิ่มโทษทราบดวยวา ถาประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลงดวยตนเองหรือมอบหมาย เปนหนังสือใหข า ราชการทเี่ กี่ยวของเปน ผูแทนมาแถลงแกตอที่ประชุมครง้ั นั้นได ท้งั นี้ ใหแ จง ลว งหนา ตามควรแกกรณี และเพ่ือประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูดํารงตําแหนงท่ีส่ังลงโทษหรือเพ่ิมโทษ หรอื ผูแทนเขาฟง คําแถลงการณดว ยวาจาของผอู ทุ ธรณได ในการพิจารณาอทุ ธรณ ถา อ.ก.ค.ศ. เขตพืน้ ท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. เห็นสมควรท่ีจะตอง สอบสวนใหมหรอื สอบสวนเพม่ิ เติมเพ่ือประโยชนแหงความถูกตองและเหมาะสมตามความเปนธรรม ใหม อี าํ นาจสอบสวนใหมห รอื สอบสวนเพิ่มเตมิ ในเร่ืองนน้ั ไดตามความจาํ เปน โดยจะสอบสวนเองหรือ แตง ต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหส อบสวนใหมหรือสอบสวนเพิ่มเติมแทนก็ได หรือกําหนดประเด็น หรอื ขอสําคัญทีต่ อ งการทราบสงไปใหผ สู อบสวนเดมิ ทาํ การสอบสวนเพมิ่ เติมได ในการสอบสวนใหมหรือสอบสวนเพิ่มเติม ถา อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. หรือคณะกรรมการสอบสวนที่ไดรับแตงต้ังตามวรรคสี่ เห็นสมควรสงประเด็นหรือขอสําคัญใด ที่ตองการทราบไปสอบสวนพยานหลักฐานซ่ึงอยูตางทองท่ีหรือตางเขตพ้ืนท่ีการศึกษา ใหมีอํานาจ กาํ หนดประเดน็ หรอื ขอสาํ คัญน้ันสงไปเพ่ือใหห วั หนาสว นราชการหรือหัวหนาหนวยงานในทองที่หรือ เขตพ้นื ที่การศกึ ษานั้นทาํ การสอบสวนแทนได การสอบสวนใหมห รือสอบสวนเพมิ่ เติม หรือสงประเด็นหรือขอสําคัญไปเพื่อใหผูสอบสวน เดิมหรือหัวหนาสวนราชการหรือหัวหนาหนวยงานซ่ึงอยูตางทองที่หรือตางเขตพื้นท่ีการศึกษา ดําเนินการตามวรรคสี่และวรรคหา ในเรื่องเก่ียวกับกรณีกลาวหาวากระทําผิดวินัยอยางรายแรง ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง หรือกรณกี ลาวหาตามมาตรา ๑๑๐ (๔) หรอื มาตรา ๑๑๑ ใหน าํ หลักเกณฑ และวิธีการเกี่ยวกับการสอบสวนพิจารณาตามมาตรา ๙๘ วรรคหก หรือมาตรา ๑๑๑ วรรคหน่ึง และวรรคสาม แลวแตกรณี มาใชบงั คับโดยอนโุ ลม
166 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก หนา ๔๙ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา ขอ ๑๔ เมอ่ื อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ไดพิจารณาวินิจฉัย อุทธรณคําส่ังลงโทษทางวินัยไมรายแรงที่อุทธรณตามขอ ๗ (๒) หรือ (๓) หรือตามขอ ๘ (๒) หรอื (๓) แลว (๑) ถา เหน็ วาการสั่งลงโทษถูกตอ งและเหมาะสมกบั ความผดิ แลว ใหม มี ตใิ หย กอุทธรณ (๒) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง แตควรไดรับโทษหนักขึ้น ใหมีมติใหเพิ่มโทษเปนสถานโทษหรืออัตราโทษ ท่หี นกั ขึน้ (๓) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดกระทําผิดวินัยไมรายแรง ควรไดรับโทษเบาลง ใหมีมติใหลดโทษเปนสถานโทษหรืออัตราโทษ ท่เี บาลง (๔) ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวาผูอุทธรณ ไดก ระทําผิดวินัยไมรายแรง ซ่ึงเปนการกระทําผิดวินัยเล็กนอย และมีเหตุอันควรงดโทษ ใหมีมติให ส่ังงดโทษโดยใหทําทัณฑบนเปนหนงั สือหรือวากลาวตักเตอื นกไ็ ด (๕) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตอง และเห็นวาการกระทําของผูอุทธรณไมเปนความผิด วนิ ัยหรือพยานหลกั ฐานยงั ฟงไมไ ดว า ผูอุทธรณก ระทาํ ผิดวินัย ใหมีมตใิ หย กโทษ (๖) ถาเห็นวา ขอ ความในคาํ สงั่ ลงโทษไมถูกตอ งหรอื ไมเหมาะสม ใหมมี ติใหแกไ ขเปล่ียนแปลง ขอความใหเ ปน การถกู ตอ งเหมาะสม (๗) ถาเห็นวาการส่ังลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิด และเห็นวากรณีมีมูล ทีค่ วรกลาวหาวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรง ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงต้ังคณะกรรมการ สอบสวนตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง และดําเนินการตามกฎหมายตอ ไป (๘) ในกรณที ่ีเหน็ วา เปนความผดิ วนิ ัยอยางรา ยแรงกรณคี วามผดิ ทป่ี รากฏชดั แจง ตามทกี่ ําหนด ในกฎ ก.ค.ศ. หรือเห็นวาผูอุทธรณกระทําผิดวินัยอยางรายแรงและไดมีการดําเนินการทางวินัย ตามมาตรา ๙๘ วรรคสอง แลว ใหม ีมติใหเพมิ่ โทษเปนปลดออกหรอื ไลอ อกจากราชการ (๙) ถาเห็นวาการสั่งลงโทษไมถูกตองหรือไมเหมาะสมกับความผิดและเห็นวาผูอุทธรณ มีกรณีท่ีสมควรแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือใหออกจากราชการตามมาตรา ๑๑๐ (๔) มาตรา ๑๑๑ หรือมาตรา ๑๑๒ ใหมีมติใหผูบังคับบัญชาแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน และดําเนินการ ตามกฎหมายตอไป
เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 167 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๐ ราชกจิ จานุเบกษา (๑๐) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอ่ืนใด เพื่อใหมีความถูกตองตามกฎหมายและมี ความเปนธรรม ใหมมี ติใหด าํ เนินการไดต ามควรแกกรณี การออกจากราชการของผูอ ุทธรณไมเปนเหตุทีจ่ ะยุติการพิจารณาอุทธรณ แตจ ะมีมติตาม (๒) หรอื (๙) มิได หรอื ถา เปนการออกจากราชการเพราะตายจะมีมติตาม (๗) หรือ (๘) มไิ ด ในกรณีที่มีผูถูกลงโทษทางวินัยในความผิดที่ไดกระทํารวมกัน และเปนความผิดในเร่ือง เดียวกันโดยมีพฤติการณแหงการกระทําอยางเดียวกัน เม่ือผูถูกลงโทษคนใดคนหน่ึงใชสิทธิอุทธรณ คําสัง่ ลงโทษดังกลาว และผลการพิจารณาเปนคุณแกผูอุทธรณ แมผูถูกลงโทษคนอื่นจะไมไดใชสิทธิ อทุ ธรณ หากพฤติการณข องผไู มไดใ ชสิทธิอทุ ธรณเปนเหตุในลักษณะคดีอันเปนเหตุเดียวกับกรณีของ ผอู ทุ ธรณแ ลว ใหมีมติใหผ ูท่ไี มไ ดใชสิทธิอุทธรณไ ดร ับการพิจารณาการลงโทษใหม ีผลในทางที่เปน คุณ เชน เดยี วกบั ผูอ ุทธรณดวย ขอ ๑๕ เมือ่ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ไดมีมติตามขอ ๑๔ แลว ใหผูมี อาํ นาจตามมาตรา ๕๓ สั่งหรือปฏบิ ตั ใิ หเปน ไปตามมตินนั้ และเม่ือไดสั่งหรือปฏิบัติตามมติดังกลาวแลว ใหแจง ใหผ อู ทุ ธรณท ราบดว ย ขอ ๑๖ ในกรณที ี่ผมู ีอาํ นาจตามมาตรา ๕๓ ไดส่ังตามขอ ๑๕ แลว ผูอุทธรณจะอุทธรณ ตอไปอีกมิได เวนแตผูมีอํานาจดังกลาวสั่งเพิ่มโทษเปนโทษปลดออกหรือไลออกจากราชการตาม ขอ ๑๔ (๘) หรือสั่งใหออกจากราชการตามขอ ๑๔ (๙) ผูอุทธรณมีสิทธิอุทธรณหรือรองทุกขตาม มาตรา ๑๒๒ ไดอ กี ชั้นหนึง่ ขอ ๑๗ การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณในกรณีท่ีอุทธรณตอ ก.ค.ศ. ตามขอ ๗ (๑) และ ขอ ๘ (๑) ใหนาํ ขอ ๑๓ และขอ ๑๔ มาใชบ งั คับโดยอนุโลม เมื่อ ก.ค.ศ. มีมตเิ ปนประการใด ผอู ุทธรณจ ะอุทธรณหรอื รองทกุ ขต อ ไปอีกมิได และใหแจง ผูอุทธรณทราบพรอมทั้งแจงสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง และใหแจงสวนราชการที่เก่ียวของทราบ เปน หนงั สอื หรือดาํ เนินการใหเ ปนไปตามมติ ก.ค.ศ. โดยเรว็
เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๑๑ ก 168 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา ขอ ๑๘ การนบั ระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ สําหรับเวลาเริ่มตน ใหนับวันถัดจากวันแรก แหงเวลาน้ันเปนวันเริ่มนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับ วันหยุดราชการใหนับวันเริ่มเปดทําการใหมเปนวนั สดุ ทา ยแหงระยะเวลา ใหไว ณ วนั ที่ ๒๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ วิจิตร ศรีสอา น รัฐมนตรวี าการกระทรวงศกึ ษาธิการ ประธาน ก.ค.ศ.
เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๑๑ ก 169 ๑๕ มกราคม ๒๕๕๑ หนา ๕๒ ราชกิจจานเุ บกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบับน้ี คือ โดยท่ีมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติ ระเบียบขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติใหหลักเกณฑและวิธีการในเรื่อง ท่เี ก่ียวกับการอทุ ธรณและการพิจารณาอทุ ธรณ กรณีทขี่ าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกสั่งลงโทษ ทางวินัยหรอื ถูกสั่งใหออกจากราชการ ใหเ ปน ไปตามทกี่ ําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จึงจําเปน ตองออกกฎ ก.ค.ศ. นี้
เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 170 ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ หนา ๗ ราชกจิ จานุเบกษา กฎ ก.ค.ศ. วา ดวยการรอ งทุกขแ ละการพจิ ารณารองทุกข พ.ศ. ๒๕๕๑ อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติระเบียบ ขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยไดรับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว ดงั ตอ ไปนี้ ขอ ๑ ในกฎ ก.ค.ศ. น้ี เวน แตข อความจะแสดงใหเ หน็ เปน อยา งอ่ืน “อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่กี ารศึกษา” หมายความรวมถึง อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ตัง้ ดวย “ปลัดกระทรวง” หมายความวา ปลัดกระทรวงการทองเที่ยวและกีฬา ปลัดกระทรวง วัฒนธรรม หรือปลัดกระทรวงอืน่ ท่มี ขี า ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษาในสังกัดตามท่ีกําหนดใน พระราชกฤษฎีกา แตไ มรวมถงึ ปลัดกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ขอ ๒ การรอ งทกุ ขคําสงั่ ใหออกจากราชการ ใหรอ งทกุ ขตอ ก.ค.ศ. ภายในสามสิบวันนับ แตว ันไดรบั แจงคําสัง่ โดยใหน าํ หลักเกณฑและวธิ กี ารท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. วาดวยการอุทธรณและ การพิจารณาอทุ ธรณมาใชบ ังคับโดยอนโุ ลม ขอ ๓ การรอ งทกุ ขและการพิจารณารอ งทุกข ในกรณที ี่ขาราชการครูและบุคลากรทางการ ศึกษาเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจเนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ใหเปนไปตามหลักเกณฑและวิธีการที่กําหนดใน กฎ ก.ค.ศ. น้ี
171 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๘ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา ขอ ๔ เมื่อผูอยูใตบังคับบัญชามีกรณีรองทุกขตามขอ ๓ และแสดงความประสงคที่จะ ปรึกษาหารือ รับฟงหรือสอบถามกับผูบังคับบัญชา ใหผูบังคับบัญชาน้ันใหโอกาสและรับฟงหรือ สอบถามเกย่ี วกบั ปญ หาดังกลา วเพอื่ ทาํ ความเขา ใจและแกปญหาทีเ่ กดิ ขน้ึ ในชั้นตน ถา ผอู ยใู ตบังคับบัญชาไมป ระสงคจ ะปรึกษาหารอื หรือปรกึ ษาหารือแลวไมไดรับคาํ ช้ีแจงหรือ ไดร บั คําชีแ้ จงไมเปน ทพ่ี อใจ หรือผูบังคับบัญชามิไดดําเนินการใด ๆ หรือดําเนินการแลวแตไมเปนท่ี พอใจ ก็ใหร องทุกขต ามขอ ๕ ขอ ๕ การรองทุกข ใหทําเปนหนังสือยื่นหรือสงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในสามสิบวันนับแตวันทราบเร่ืองอันเปนเหตุแหงการรองทุกข และให รองทุกขไดสําหรับตนเองเทา น้ัน จะรองทกุ ขแ ทนผูอน่ื หรือมอบหมายใหผอู น่ื รอ งทุกขแทนไมไ ด หนงั สือรองทกุ ขตองลงลายมือช่ือ ท่ีอยู และตําแหนงของผูรองทุกข และตองประกอบดวย สาระสําคัญที่แสดงขอเท็จจริงและเหตุผลใหเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจ เนื่องจากการกระทําของผูบังคับบัญชา หรือการแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอยางใด และความประสงคของการรองทุกข ถาผรู อ งทกุ ขประสงคจ ะแถลงการณด ว ยวาจาในช้นั การพิจารณา ใหแสดงความประสงคไวใน หนังสือรองทุกข หรือจะทําเปนหนังสือตางหากก็ได โดยย่ืนหรือสงตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. กอ นเรม่ิ พจิ ารณาเรื่องรอ งทกุ ข ขอ ๖ การรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา ใหทําหนังสือรองทุกขถึงประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ทก่ี ารศึกษา พรอ มกับสาํ เนารับรองถูกตองหนึ่งฉบับ ย่ืนหรือสงท่ีสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศกึ ษา หรือสว นราชการทีท่ ําหนา ทเี่ ลขานกุ ารของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ตงั้ การรองทุกขตอ ก.ค.ศ. ใหทําหนังสือรองทุกขถึงประธาน ก.ค.ศ. หรือเลขาธิการ ก.ค.ศ. พรอมกบั สาํ เนารับรองถูกตองหนง่ึ ฉบบั โดยย่นื หรือสง ท่ีสํานกั งาน ก.ค.ศ. ผู ร อ ง ทุ ก ข จ ะ ย่ื น ห รื อ ส ง ห นั ง สื อ ร อ ง ทุ ก ข พ ร อ ม กั บ สํ า เ น า รั บ ร อ ง ถู ก ต อ ง ห นึ่ ง ฉ บั บ ผานผูบังคับบัญชาหรือผานผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขก็ได และใหผูบังคับบัญชาน้ัน ดําเนินการตามขอ ๑๑ ในกรณีท่ีมีผูนําหนังสือรองทุกขมายื่นเอง ใหผูรับออกใบรับ พรอมท้ังประทับตรารับและ ลงทะเบียนไวเปนหลักฐานในวันท่ีรับตามระเบียบวาดวยงานสารบรรณ และใหถือวันที่รับหนังสือ ตามหลกั ฐานดงั กลาวเปนวนั ย่นื หนังสือรอ งทกุ ข
172 เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก หนา ๙ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานุเบกษา ในกรณีทีส่ งหนังสือรองทกุ ขท างไปรษณีย ใหถอื วันทท่ี ่ที าํ การไปรษณยี ตน ทางออกใบรับฝาก เปนหลักฐานฝากสง หรือวันท่ีที่ทําการไปรษณียตนทางประทับตรารับที่ซองหนังสือ เปนวันสง หนังสอื รองทุกข เม่ือไดย่ืนหรือสงหนังสือรองทุกขไวแลว ผูรองทุกขจะยื่นหรือสงหนังสือรองทุกขหรือ เอกสารและหลกั ฐานเพมิ่ เตมิ กอนที่ อ.ก.ค.ศ. เขตพนื้ ทกี่ ารศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. เริ่มพิจารณาเรื่องรองทุกขก็ได โดยยืน่ หรอื สง ตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนทก่ี ารศึกษา หรอื ก.ค.ศ. แลวแตก รณี ขอ ๗ การรองทุกขสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสังกัดเขตพื้นที่ การศึกษาใหด าํ เนนิ การดงั ตอ ไปน้ี (๑) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี เลขาธิการ หรือคําส่ัง ของผบู ังคับบัญชาซึ่งสั่งการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา หรือกรณีเหตุรองทุกขเกิดจาก การถูกสง่ั พักราชการตามมาตรา ๑๐๓ ใหร องทุกขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผูพจิ ารณา (๒) ในกรณีที่เหตุรองทุกขเกิดจากผูบังคับบัญชาต้ังแตผูอํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนท่ี การศึกษาลงมา ใหรองทุกขตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนท่ีการศึกษา และให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เปน ผพู จิ ารณา ขอ ๘ การรองทุกขสําหรับขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีมิไดสังกัดเขตพ้ืนท่ี การศึกษาใหด ําเนนิ การดงั ตอ ไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีเหตุรองทุกขเกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจาสังกัด ปลัดกระทรวง หรือคําส่ังของผูบังคับบัญชาซึ่งส่ังการตามมติของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือกรณีเหตุรองทุกข เกิดจากการถูกสั่งพกั ราชการตามมาตรา ๑๐๓ ใหร อ งทกุ ขตอ ก.ค.ศ. และให ก.ค.ศ. เปน ผพู ิจารณา (๒) ในกรณีทีเ่ หตุรองทุกขเกิดจากปลดั กระทรวงศกึ ษาธิการ เลขาธิการ อธิบดีหรือตําแหนง ท่ีเรียกชื่ออยางอื่นท่ีมีฐานะเทียบเทา อธิการบดีหรือตําแหนงท่ีเรียกช่ืออยางอื่นที่มีฐานะเทียบเทา ผอู ํานวยการสํานกั ผอู าํ นวยการกอง ผูอ าํ นวยการสถานศึกษาหรือตําแหนงที่เรียกช่ืออยางอื่นท่ีมีฐานะ เทยี บเทา ใหรอ งทุกขต อ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้งั และให อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้งั เปนผพู ิจารณา ขอ ๙ ผูรองทุกขมีสิทธิคัดคานอนุกรรมการ หรือกรรมการผูพิจารณาเรื่องรองทุกข ถา ผนู ั้นมีเหตอุ ยา งหนง่ึ อยา งใด ดงั ตอ ไปนี้ (๑) เปน ผบู งั คับบญั ชาผเู ปนเหตุแหงการรองทุกข (๒) มีสว นไดเสียในเรื่องทร่ี อ งทกุ ข
173 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๑๐ ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ ราชกิจจานเุ บกษา (๓) มีสาเหตโุ กรธเคืองผรู องทุกข (๔) เปนคูสมรส บุพการี ผูสืบสันดาน หรือพี่นองรวมบิดามารดาหรือรวมบิดาหรือมารดา กบั ผบู งั คับบญั ชาผูเปนเหตุแหง การรองทุกข การคดั คา นอนกุ รรมการหรือกรรมการผพู ิจารณาเรอื่ งรองทุกขน้ัน ตองแสดงขอเท็จจริงท่ีเปน เหตุแหงการคัดคานไวในหนังสือรองทุกข หรือแจงเพิ่มเติมเปนหนังสือกอนท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่ การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. แลว แตก รณี เร่ิมพจิ ารณาเรื่องรองทกุ ข เม่ือมีเหตุหรือมีการคัดคานตามวรรคหน่ึง อนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นจะขอถอนตัว ไมรวมพิจารณาเรื่องรองทุกขน้ันก็ได ถาอนุกรรมการหรือกรรมการผูน้ันมิไดขอถอนตัว ใหอนุกรรมการหรือกรรมการท่ีเหลืออยูนอกจากผูถูกคัดคานพิจารณาขอเท็จจริงที่เปนเหตุแหงการ คัดคา น หากเห็นวาขอเทจ็ จริงนน้ั นาเช่ือถือใหแจงอนุกรรมการหรือกรรมการผูนั้นทราบและมิใหรวม พิจารณาเรอ่ื งรอ งทกุ ขนนั้ เวนแตจ ะพจิ ารณาเหน็ วาการใหอนุกรรมการหรอื กรรมการผนู น้ั รวมพิจารณา เร่ืองรองทุกขดังกลาวจะเปนประโยชนยิ่งกวา เพราะจะทําใหไดความจริงและเปนธรรม จะให อนุกรรมการหรอื กรรมการผูนั้นรวมพิจารณาเร่อื งรองทุกขน ัน้ กไ็ ด ขอ ๑๐ ในกรณีท่ผี รู อ งทุกขไมป ระสงคจะใหม กี ารพิจารณาเร่ืองรองทุกขตอไป จะขอถอน เรื่องรองทุกขกอนท่ี อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเรื่องรองทุกขเสร็จส้ินก็ได โดยทําเปนหนงั สอื ยน่ื หรือสง ตรงตอ อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. และเมื่อไดถอนเรื่อง รองทกุ ขแลว การพจิ ารณาเรอื่ งรอ งทกุ ขใหเปน อันระงบั ขอ ๑๑ เมื่อไดรับหนังสือรองทุกขตามขอ ๖ วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ใหสํานักงานเขต พื้นที่การศึกษา หรือสวนราชการท่ีทําหนาที่เลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ท่ี ก.ค.ศ. ต้ัง หรือสํานักงาน ก.ค.ศ. แลวแตกรณี มีหนังสือแจงพรอมทั้งสงสําเนาหนังสือรองทุกขใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุ แหงการรองทุกขทราบโดยเร็ว และใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขนั้นสงเอกสารหรือ หลกั ฐานที่เกย่ี วขอ งโดยใหม ีคําชี้แจงประกอบดว ย เพอื่ ประกอบการพจิ ารณาภายในเจ็ดวันทําการนับแต วันไดร บั หนงั สอื ในกรณีท่ีผูบังคับบัญชาไดรับหนังสือรองทุกขที่ไดย่ืนหรือสงตามขอ ๖ วรรคสาม ใหผูบังคับบัญชาน้ันสงหนังสือรองทุกขพรอมทั้งสําเนาตอไปยังผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการ รอ งทกุ ขภ ายในสามวันทาํ การนับแตว นั ทีไ่ ดร บั หนังสือรอ งทกุ ข
เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 174 ๑๕ สงิ หาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๑ ราชกจิ จานเุ บกษา เมื่อผบู ังคับบญั ชาผูเปนเหตุแหงการรอ งทกุ ขไดร ับหนังสือรอ งทุกขแลว หรอื กรณีที่ผูรองทุกข ไดยน่ื หรือสงหนงั สือรองทุกขผานผูบงั คับบญั ชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขโดยตรงตามขอ ๖ วรรคสาม ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขน้ันจัดสงหนังสือรองทุกขพรอมทั้งสําเนาและเอกสาร หรอื หลักฐานที่เกยี่ วขอ ง โดยใหมีคําช้ีแจงประกอบดวย ไปยังประธาน อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือหัวหนาสวนราชการที่ทําหนาที่เลขานุการของ อ.ก.ค.ศ. ที่ ก.ค.ศ. ต้ัง หรือประธาน ก.ค.ศ. แลวแตกรณี ภายในเจ็ดวันทาํ การนบั แตไ ดรบั หนังสือรองทกุ ข ขอ ๑๒ การพจิ ารณาเรอ่ื งรอ งทุกข ให อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. พิจารณา ถึงเหตุแหงการไมไดรับความเปนธรรมหรือเหตุแหงความคับของใจเน่ืองจากการกระทําของ ผูบังคบั บญั ชาหรือเหตุแหงการแตงตัง้ คณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และในกรณีจําเปนและสมควร อาจขอเอกสารหรือหลักฐานที่เก่ียวของเพิ่มเติม รวมท้ังคําช้ีแจงจากหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอ่ืนของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ หรือขอใหผูแทนหนวยราชการ รัฐวิสาหกิจ หนวยงานอื่นของรัฐ หางหุนสวน บริษัท หรือบุคคลใด ๆ มาใหถอยคําหรือช้ีแจง ขอ เทจ็ จริงเพ่ือประกอบการพจิ ารณาได ในกรณีที่ผรู อ งทุกขขอแถลงการณดว ยวาจา หาก อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาเห็นวา การแถลงการณดวยวาจาไมจําเปนแกการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องรองทุกข จะให งดแถลงการณดวยวาจาก็ได ในกรณที ี่นดั ใหผ รู อ งทกุ ขม าแถลงการณดวยวาจาตอท่ีประชุม ใหแจงใหผูบังคับบัญชาผูเปน เหตแุ หง การรอ งทกุ ขท ราบดว ยวา ถา ประสงคจะแถลงแกก็ใหมาแถลง หรือมอบหมายเปนหนังสือให ขา ราชการที่เกีย่ วขอ งเปนผแู ทนมาแถลงตอ ท่ีประชุมคร้ังน้นั กไ็ ด ทงั้ น้ี ใหแ จงลว งหนาตามควรแกกรณี และเพื่อประโยชนในการแถลงแกดังกลาว ใหผูบังคับบัญชาผูเปนเหตุแหงการรองทุกขหรือผูแทน เขา ฟงคําแถลงการณด ว ยวาจาของผรู อ งทุกขไ ด ขอ ๑๓ ให อ.ก.ค.ศ. เขตพ้ืนที่การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. พิจารณาวินิจฉัยเร่ืองรองทุกข ใหแลวเสร็จภายในสามสิบวันนับแตวันไดรับหนังสือรองทุกขและเอกสารหรือหลักฐานตามขอ ๑๑
เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก 175 ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๒ ราชกจิ จานเุ บกษา หรือขอ ๑๒ แลวแตก รณี แตถา มีความจําเปน ไมอ าจพิจารณาใหแลว เสรจ็ ภายในเวลาดงั กลา ว ใหขยาย เวลาพจิ ารณาไดอ กี ไมเ กนิ สามสบิ วันและใหบ นั ทึกแสดงเหตผุ ลความจาํ เปนท่ตี องขยายเวลาไวด ว ย ในกรณีท่ีขยายเวลาตามวรรคหน่ึงแลวการพิจารณายังไมแลวเสร็จ ให อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ี การศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ขยายเวลาพิจารณาไดอีกไมเกินสามสิบวัน แตทั้งนี้ใหพิจารณากําหนด มาตรการทีจ่ ะทําใหการพิจารณาแลว เสร็จโดยเร็วและบันทึกไวเปนหลักฐานในรายงานการประชุม ขอ ๑๔ เม่อื อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. ไดพ ิจารณาวนิ จิ ฉยั เรอื่ งรองทุกขแลว (๑) ถาเห็นวาเหตุท่ีทําใหไมไดรับความเปนธรรม หรือเหตุแหงความคับของใจ หรือการ แตงต้งั คณะกรรมการสอบสวนทางวินัยน้ัน ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีหรือปฏิบัติตอผูรองทุกข โดยชอบดว ยกฎหมายแลว ใหม ีมติยกคาํ รองทุกข (๒) ถาเหน็ วาเหตทุ ี่ทําใหไมไ ดรบั ความเปน ธรรมหรอื เหตุแหง ความคบั ของใจหรือการแตงต้ัง คณะกรรมการสอบสวนทางวนิ ัยนน้ั ผูบังคับบัญชาไดใชอํานาจหนาท่ีหรือปฏิบัติตอผูรองทุกขโดยไม ชอบดว ยกฎหมาย ใหมีมติเพิกถอนหรือยกเลิกการปฏิบัติ หรือใหขอแนะนําตามที่เห็นสมควรเพ่ือให ผูบ ังคับบญั ชาปฏบิ ตั ใิ หถูกตอ งตามระเบียบและแบบธรรมเนยี มของทางราชการ (๓) ถาเห็นสมควรดําเนินการโดยประการอื่นใด เพ่ือใหมีความถูกตองตามกฎหมายและมี ความเปน ธรรม ใหม ีมติใหด ําเนนิ การไดตามควรแกก รณี (๔) ถาเห็นวาการรองทุกขไมเปนไปตามหลักเกณฑในขอ ๕ วรรคหน่ึงหรือวรรคสอง ขอ ๗ หรอื ขอ ๘ ใหม มี ติไมรบั คํารองทุกข การพิจารณามีมติตามวรรคหนึ่ง ใหบันทึกเหตุผลของการพิจารณาวินิจฉัยไวในรายงาน การประชมุ ดว ย ขอ ๑๕ มตขิ อง อ.ก.ค.ศ. เขตพน้ื ที่การศกึ ษา หรือ ก.ค.ศ. ตามขอ ๑๔ ใหเปนทีส่ ดุ ขอ ๑๖ เมือ่ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นทีก่ ารศึกษา หรือ ก.ค.ศ. ไดม มี ติเปนประการใดแลว ใหผูมี อํานาจตามมาตรา ๕๓ ส่ังหรือปฏิบัติใหเปนไปตามมติน้ันในโอกาสแรกท่ีทําได ในกรณีที่มีเหตุผล
เลม ๑๒๕ ตอนที่ ๙๔ ก 176 ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ หนา ๑๓ ราชกิจจานเุ บกษา ความจําเปนจะใหมีการรับรองรายงานการประชุมเสียกอนก็ได และเมื่อไดส่ังหรือปฏิบัติตามมติ ดงั กลาวแลว ใหแ จงใหผูรองทกุ ขท ราบเปนหนงั สือโดยเรว็ ขอ ๑๗ การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ค.ศ. นี้ สําหรับเวลาเริ่มตน ใหนับวันถัดจากวันแรก แหงเวลาน้ันเปนวันเร่ิมนับระยะเวลา สวนเวลาส้ินสุด ถาวันสุดทายแหงระยะเวลาตรงกับ วนั หยดุ ราชการ ใหน บั วันเร่ิมเปด ทําการใหมเ ปนวนั สุดทา ยแหง ระยะเวลา ใหไว ณ วนั ท่ี ๓๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ สมชาย วงศส วสั ด์ิ รฐั มนตรวี าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประธาน ก.ค.ศ.
177 เลม ๑๒๕ ตอนท่ี ๙๔ ก หนา ๑๔ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๑ ราชกจิ จานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใชกฎ ก.ค.ศ. ฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา ๑๒๔ แหงพระราชบัญญัติ ระเบยี บขา ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติใหหลักเกณฑและวิธีการในเรื่องที่ เกย่ี วกับการรอ งทุกขแ ละการพิจารณารอ งทุกข กรณที ่ีขาราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาถูกส่ังใหออก จากราชการ หรือเห็นวาตนไมไดรับความเปนธรรมหรือมีความคับของใจ เน่ืองจากการกระทําของ ผูบังคับบัญชาหรือการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย ใหเปนไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จงึ จําเปน ตองออกกฎ ก.ค.ศ. นี้
เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก 178 ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ หน้า ๑๒ ราชกจิ จานเุ บกษา กฎ ก.ค.ศ. วา่ ด้วยการส่ังพกั ราชการและการสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น พ.ศ. ๒๕๕๕ อาศัยอาํ นาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) มาตรา ๑๐๓ วรรคห้า และมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบียบขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยได้รบั อนุมตั ิ จากคณะรัฐมนตรอี อกกฎ ก.ค.ศ. ไว้ ดงั ต่อไปน้ี ขอ้ ๑ การสัง่ ใหข้ ้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพกั ราชการหรือให้ออกจากราชการ ไวก้ อ่ นกรณรี อฟงั ผลการสอบสวนพิจารณา และกรณีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย วา่ ด้วยสภาครูและบคุ ลากรทางการศึกษา ใหเ้ ป็นไปตามหลกั เกณฑ์และวธิ ีการทกี่ าํ หนดในกฎ ก.ค.ศ. นี้ ข้อ ๒ ให้ผู้มอี าํ นาจตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๙๘ วรรคสอง วรรคส่ี และวรรคห้า มาตรา ๑๐๐ วรรคหก และผ้บู ังคบั บญั ชาท่ีได้รับรายงานตามมาตรา ๑๐๔ แล้วแต่กรณี เป็นผู้สั่งพักราชการหรือส่ังให้ ออกจากราชการไวก้ ่อน ขอ้ ๓ เม่อื ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย อย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ จะสั่งให้ผู้น้ัน พกั ราชการไดต้ ่อเมื่อมีเหตอุ ย่างหนึ่งอยา่ งใด ดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่า กระทาํ ความผดิ อาญาในเร่อื งเกี่ยวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเก่ียวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์ อนั ไม่น่าไวว้ างใจ และผู้ทถี่ ูกฟอ้ งนั้นพนกั งานอยั การมไิ ด้รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ พิจารณาเหน็ วา่ ถา้ ใหผ้ นู้ ัน้ คงอยู่ในหนา้ ที่ราชการอาจเกดิ ความเสยี หายแกร่ าชการ (๒) ผ้นู นั้ มีพฤตกิ ารณ์ทแี่ สดงว่าถ้าคงอยู่ในหน้าท่ีราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา หรือจะก่อให้เกิดความไมส่ งบเรียบร้อยขึ้น (๓) ผนู้ ั้นอย่ใู นระหว่างถกู ควบคมุ หรือขังโดยเปน็ ผถู้ ูกจบั ในคดีอาญา หรือต้องจาํ คุกโดยคําพิพากษา และไดถ้ กู ควบคุม ขงั หรอื ต้องจาํ คกุ เป็นเวลาตดิ ตอ่ กันเกนิ สบิ ห้าวนั แลว้
179 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๓ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา (๔) ผู้น้ันถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงและต่อมามีคําพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็น ผู้กระทาํ ความผดิ อาญาในเรอื่ งท่สี อบสวน หรอื ผู้นั้นถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงภายหลัง ที่มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดว่าเป็นผู้กระทําความผิดอาญาในเร่ืองท่ีสอบสวนนั้น และผู้มีอํานาจตามข้อ ๒ พจิ ารณาเห็นวา่ ข้อเท็จจริงท่ีปรากฏตามคําพิพากษาถึงท่ีสุด ได้ความประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าการกระทํา ความผดิ อาญาของผู้น้นั เป็นความผดิ วนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง ขอ้ ๔ การสง่ั พักราชการตามข้อ ๓ ให้ส่ังพักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา เว้นแต่กรณี ทีผ่ ู้ถกู ส่งั พักราชการเพ่ือรอฟงั ผลการสอบสวนพิจารณาได้ร้องทุกข์คําส่ังพักราชการและผู้มีอํานาจพิจารณา เหน็ ว่าคําร้องทกุ ข์ฟงั ข้ึน และสมควรสงั่ ให้ผูน้ ั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการก่อนการสอบสวนพิจารณา เสร็จสิ้นเนื่องจากพฤตกิ ารณ์ของผู้ถูกสัง่ พักราชการไม่เป็นอุปสรรคต่อการสอบสวนพิจารณา และไม่ก่อให้เกิด ความไมส่ งบเรียบรอ้ ยตอ่ ไป หรอื เนอ่ื งจากการดําเนินการทางวินัยได้ล่วงพ้นหนึ่งปีนับแต่วันพักราชการ ยังไม่แล้วเสร็จ และผู้ถูกส่ังพักราชการไม่มีพฤติกรรมดังกล่าว ให้ผู้มีอํานาจส่ังพักราชการสั่งให้ผู้นั้น กลับเข้าปฏิบตั ิหนา้ ทีร่ าชการกอ่ นการสอบสวนพจิ ารณาเสร็จสิ้นได้ ขอ้ ๕ เมื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษาผใู้ ดมีกรณีถูกพกั ใชใ้ บอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถ้าภายในสามสิบวนั นบั แต่วันทหี่ น่วยงานการศึกษาของผู้ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพปฏิบัติงานอยู่ ได้รับหนังสือแจ้งการพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และผู้บังคับบัญชาหน่วยงานการศึกษานั้น พจิ ารณาเห็นวา่ ผ้นู ัน้ ไม่เหมาะสมทจี่ ะเปล่ียนตําแหน่งหรือย้ายไปดํารงตําแหน่งอื่นที่ไม่ต้องมีใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพ หรือผู้นั้นมีความเหมาะสม แต่ไม่อาจเปล่ียนตําแหน่งหรือย้ายไปดํารงตําแหน่งอ่ืนได้ หรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นท่ีการศกึ ษา หรอื ก.ค.ศ. แล้วแต่กรณี ไม่อนุมัติ ก็ให้ผู้มีอํานาจตามมาตรา ๕๓ สง่ั ใหผ้ ้นู ั้นพักราชการ ขอ้ ๖ การส่ังพักราชการตามข้อ ๕ ให้สั่งพักตลอดเวลาที่ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เว้นแต่กรณีท่ีผู้ถูกสั่งพักราชการเนื่องจากเหตุ ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาได้ร้องทุกข์ คําส่ังพักราชการและผู้มีอํานาจพิจารณาเห็นว่าคําร้องทุกข์ฟังขึ้นและสมควรสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติ หน้าทร่ี าชการกอ่ นกาํ หนดเวลาทถี่ ูกพกั ใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ เนื่องจากมีตําแหน่งอื่นท่ีไม่ต้องมี ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานการศึกษาพิจารณาเห็นว่าผู้น้ันมีความเหมาะสม ท่ีจะบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งดังกล่าว ผู้มีอํานาจสั่งพักราชการอาจสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติ หน้าที่ราชการก่อนกาํ หนดเวลาทถี่ กู พักใช้ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชพี ได้ ขอ้ ๗ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัย อย่างร้ายแรงจนถูกต้ังกรรมการสอบสวนหลายสํานวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําผิดอาญา หลายคดี เว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้น พนักงานอยั การรบั เป็นทนายแกต้ า่ งให้ ถา้ จะสั่งพกั ราชการใหส้ ั่งพักทุกสํานวนและทกุ คดี
180 เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๔ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกจิ จานเุ บกษา ในกรณีที่ไดส้ ่งั พกั ราชการในสาํ นวนใดหรือคดใี ดไว้แล้ว ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการนั้น มกี รณถี ูกกล่าวหาว่ากระทําผดิ วินัยอยา่ งร้ายแรงจนถกู ต้งั กรรมการสอบสวนในสํานวนอืน่ หรือถูกฟอ้ งคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญาในคดีอื่นเพ่ิมข้ึนอีกเว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทําโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการรับเป็นทนายแก้ต่างให้ ก็ให้สั่งพักราชการ ในสาํ นวนหรอื คดอี ืน่ ที่เพ่ิมขึ้นนนั้ ด้วย ขอ้ ๘ ข้าราชการครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาผู้ใดมีเหตุพักราชการตามข้อ ๓ และพักใช้ ใบอนุญาตประกอบวชิ าชพี ตามขอ้ ๕ ถา้ จะส่งั พักราชการใหส้ งั่ พักทกุ สํานวนและทกุ คดี ในกรณที ี่ได้สัง่ พักราชการในสํานวนใดหรอื คดีใดไว้แลว้ ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการน้ัน มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาํ ผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวนในสํานวนอื่น หรือถูกฟ้อง คดอี าญา หรือตอ้ งหาว่ากระทําความผิดอาญาในคดีอื่นเพ่ิมข้ึนอีก เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทําโดย ประมาท หรอื ความผดิ ลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟ้องนั้นพนักงานอัยการรับเป็นทนายแก้ต่างให้ หรือมีกรณี ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ก็ให้สั่งพักราชการ ในสาํ นวนหรอื คดีอืน่ ทเ่ี พิม่ ขึ้นนน้ั ด้วย ข้อ ๙ การสงั่ พักราชการหรือการส่งั ให้ออกจากราชการไว้ก่อน ห้ามมิให้ส่ังย้อนหลังไปก่อน วันออกคําส่ัง เวน้ แต่ (๑) ผู้ซ่งึ จะถูกส่ังพักราชการหรือจะถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนอยู่ในระหว่างถูกควบคุม หรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญา หรือต้องจําคุกโดยคําพิพากษา การสั่งพักราชการหรือการส่ัง ให้ออกจากราชการไว้ก่อนในเรือ่ งนัน้ ให้สง่ั ย้อนหลังไปถึงวนั ทีถ่ กู ควบคุม ขงั หรอื ตอ้ งจาํ คกุ (๒) ในกรณีท่ีได้มีการสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนแล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่ เพราะคําสั่งเดิมไม่ชอบหรือไม่ถูกต้อง ให้สั่งพักหรือส่ังให้ออกต้ังแต่วันให้พักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ นตามคําสง่ั เดิม หรือตามวนั ท่คี วรต้องพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนในขณะท่ี ออกคําส่งั เดิม ขอ้ ๑๐ คําสั่งพักราชการหรือส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องระบุช่ือและตําแหน่งของ ผถู้ กู สงั่ พกั หรอื สงั่ ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น ตลอดจนกรณแี ละเหตุท่ีสั่งใหพ้ กั ราชการหรือส่ังให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ น เม่ือได้มีคําส่ังให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือส่ังให้ออกจาก ราชการไว้กอ่ นแล้ว ให้แจง้ คาํ สั่งใหผ้ นู้ ัน้ ทราบพร้อมทัง้ สง่ สาํ เนาคาํ สง่ั ใหด้ ้วยโดยพลัน ในกรณีที่ผู้ถูกพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ยอมลงลายมือช่ือรับทราบคําสั่ง แต่ได้มีการแจ้งคําส่ังให้ผู้น้ันทราบพร้อมกับมอบสําเนาคําสั่งให้ผู้น้ัน รวมท้ังทําบันทึกลงวัน เดือน ปี เวลาและสถานท่ที ีแ่ จ้ง และลงลายมอื ช่ือผแู้ จ้งพร้อมทัง้ พยานรู้เห็นไว้เป็นหลักฐานแล้ว ให้ถือวันท่ีแจ้งนั้น เป็นวนั ทผี่ นู้ ั้นไดร้ ับทราบคาํ ส่ัง
181 เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๕ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานเุ บกษา ในกรณีที่ไม่อาจแจ้งให้ผู้ถูกพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนลงลายมือช่ือรับทราบคําส่ัง ไดโ้ ดยตรง แต่ไดม้ กี ารแจ้งเปน็ หนงั สอื ส่งสําเนาคําสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้น้ัน ณ ที่อยู่ ของผู้น้นั ซ่งึ ปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ โดยส่งสําเนาคําสั่งไปให้สองฉบับเพื่อให้ผู้น้ันเก็บไว้ หน่ึงฉบับ และให้ผู้นั้นลงลายมือชื่อและวัน เดือน ปีที่รับทราบคําส่ังส่งกลับคืนมาเพ่ือเก็บไว้เป็น หลักฐานหนึ่งฉบับ ในกรณีเช่นน้ีเม่ือล่วงพ้นสิบห้าวันนับแต่วันท่ีปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณีย์ ลงทะเบียนว่าผู้น้ันได้รับเอกสารดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้ว แม้ยังไม่ได้รับสําเนาคําสั่งฉบับที่ให้ผู้นั้น ลงลายมือช่ือและวนั เดอื น ปีท่ีรับทราบคําสั่งกลับคืนมา ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับทราบคําส่ังให้พักราชการ หรือคําสั่งให้ออกจากราชการไวก้ ่อนน้ันแลว้ ขอ้ ๑๑ เมื่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดมีเหตุท่ีอาจถูกส่ังพักราชการ และผ้มู ีอาํ นาจตามข้อ ๒ พิจารณาเห็นว่าการสอบสวนพิจารณา หรือการพิจารณาคดีที่เป็นเหตุท่ีอาจ ถกู สั่งพักราชการตามข้อ ๓ นนั้ จะไม่แลว้ เสรจ็ โดยเรว็ ผู้มอี ํานาจดงั กล่าวจะส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการ ไวก้ อ่ นกไ็ ด้ ขอ้ ๑๒ เมื่อข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาผใู้ ดมีเหตทุ ี่อาจถูกส่ังพักราชการตามข้อ ๕ เปน็ เวลาเกนิ หนึง่ ปี ผมู้ ีอํานาจตามขอ้ ๒ อาจสง่ั ใหผ้ นู้ ั้นออกจากราชการไว้ก่อนกไ็ ด้ ข้อ ๑๓ ใหน้ าํ ความในข้อ ๔ ข้อ ๖ ข้อ ๗ และข้อ ๘ มาใช้บังคับกับการสั่งให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนโดยอนุโลม ข้อ ๑๔ เมอื่ ได้สัง่ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการไว้แล้ว หากผู้มี อํานาจตามข้อ ๒ พิจารณาเห็นว่ามีเหตุตามข้อ ๑๑ หรือข้อ ๑๒ จะส่ังให้ผู้น้ันออกจากราชการไว้ก่อน อกี ชั้นหนึ่งกไ็ ด้ ขอ้ ๑๕ ในกรณที ่จี ะสงั่ ให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามข้อ ๑๔ ให้ส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตัง้ แตว่ นั พักราชการเป็นต้นไป ขอ้ ๑๖ การสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ดํารงตําแหน่งซึ่งมีวิทยฐานะ เชยี่ วชาญพิเศษ ผดู้ าํ รงตําแหน่งศาสตราจารย์ ผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดีหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่เรียกชื่อ อย่างอ่ืนท่ีมีฐานะเทียบเท่าออกจากราชการไว้ก่อน ให้ดําเนินการนําความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมี พระบรมราชโองการใหพ้ ้นจากตําแหน่งนับแตว่ นั ออกจากราชการไว้ก่อน ขอ้ ๑๗ เม่ือไดส้ งั่ ให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนเพ่ือรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณา เปน็ ประการใดแลว้ ใหด้ ําเนินการดังต่อไปนี้ (๑) ในกรณีท่ีปรากฏวา่ ผนู้ ั้นกระทาํ ผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ดําเนินการตามมาตรา ๑๐๐ วรรคสี่ หรอื มาตรา ๑๓๔ แลว้ แต่กรณี
182 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หน้า ๑๖ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา (๒) ในกรณที ปี่ รากฏว่าผู้นั้นกระทําผิดวินยั ไม่ร้ายแรง และไมม่ ีกรณีที่จะต้องถูกส่ังให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือกลับเข้ารับราชการ แล้วแต่กรณี ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับท่ีผู้น้ันมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับ ตาํ แหน่งและวทิ ยฐานะ แล้วให้ผู้บังคับบัญชาดําเนินการตามมาตรา ๑๐๐ วรรคหนึ่ง หรือวรรคสอง หรอื มาตรา ๑๓๔ แลว้ แต่กรณี (๓) ในกรณีทป่ี รากฏวา่ ผูน้ ั้นกระทําผิดวินัยไมร่ า้ ยแรง และไมม่ ีกรณีทีจ่ ะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น แตไ่ มอ่ าจสั่งใหผ้ นู้ ้นั กลับเข้าปฏบิ ตั ิหนา้ ทรี่ าชการหรอื กลับเขา้ รับราชการไดเ้ น่ืองจาก ผถู้ ูกส่งั พักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และไดพ้ น้ จากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญ ข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ซ่ึงจะต้องพ้นจาก ราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณน้ัน แล้วแต่กรณี ก็ให้ผู้บังคับบัญชาส่ังงดโทษตามมาตรา ๑๐๒ โดยไม่ต้องส่ัง ใหก้ ลบั เขา้ ปฏิบัติหนา้ ทรี่ าชการหรอื กลบั เข้ารับราชการ และสําหรับผู้ท่ีถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้มีคําส่ังยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็นผู้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย บาํ เหน็จบํานาญขา้ ราชการ (๔) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้น้ันกระทําผิดวินัยไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอ่ืน ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งงดโทษตามมาตรา ๑๐๒ แล้วสั่งให้ผู้น้ันออกจากราชการ ตามเหตนุ ัน้ โดยไม่ต้องสัง่ ให้กลับเข้าปฏิบตั ิหนา้ ท่ีราชการหรือกลับเข้ารบั ราชการ (๕) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย และไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกสั่งให้ออกจาก ราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ก็ให้สงั่ ยตุ เิ รื่อง และส่ังให้ผูน้ ัน้ กลบั เข้าปฏบิ ัติหน้าทร่ี าชการหรือกลับเข้ารับราชการ ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับท่ีผู้น้ันมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสําหรับ ตําแหนง่ และวทิ ยฐานะ (๖) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทําผิดวินัย และไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกส่ังให้ออกจาก ราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจสั่งให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการได้ เนื่องจากผู้ถูกส่ังพักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย บําเหน็จบํานาญข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ ซ่ึงจะต้องพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณน้ัน แล้วแต่กรณี ก็ให้สั่งยุติเรื่อง และสําหรับผู้ท่ีถูกสั่ง ให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้มีคําส่ังยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็นผู้พ้นจาก ราชการตามกฎหมายว่าดว้ ยบาํ เหนจ็ บาํ นาญข้าราชการ (๗) ในกรณีทป่ี รากฏว่าผู้นั้นมิได้กระทําผิดวินัย แต่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไม่ต้องส่ังให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือกลบั เข้ารับราชการ
183 เล่ม ๑๒๙ ตอนที่ ๒๒ ก หนา้ ๑๗ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา ขอ้ ๑๘ เมื่อได้สั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจาก ราชการไว้ก่อนตามข้อ ๕ หรือข้อ ๑๒ ถ้าภายหลังปรากฏผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นประการใด หรือพ้นกําหนดเวลาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาต ประกอบวิชาชีพแลว้ ให้ดําเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้น้ันไม่เป็นผู้ถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และไม่มีกรณี ท่จี ะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการ แล้วแต่กรณี ในตําแหน่งและวิทยฐานะเดิมหรือตําแหน่งเดียวกับที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตาม คณุ สมบตั เิ ฉพาะสาํ หรับตาํ แหน่งและวิทยฐานะ (๒) ในกรณีทปี่ รากฏว่าผนู้ น้ั ยังคงเปน็ ผู้ถกู พักใชใ้ บอนญุ าตประกอบวิชาชีพต่อไปและไม่มีกรณี ทจี่ ะต้องออกจากราชการดว้ ยเหตุอนื่ ก็ให้เป็นไปตามข้อ ๕ หรอื ขอ้ ๑๒ แล้วแต่กรณี (๓) ในกรณีท่ีปรากฏว่าพ้นกําหนดเวลาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพแล้ว และไม่มี กรณีที่จะต้องออกจากราชการดว้ ยเหตุอนื่ กใ็ หส้ ั่งใหผ้ ู้น้ันกลับเขา้ ปฏบิ ัตหิ น้าทรี่ าชการหรอื กลับเข้ารบั ราชการ (๔) ในกรณที ่ีปรากฏว่าผู้นัน้ ไม่เปน็ ผูถ้ ูกพกั ใชห้ รอื พ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบ วิชาชีพแล้ว และไม่มีกรณีท่ีจะต้องออกจากราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจส่ังให้ผู้น้ันกลับเข้าปฏิบัติ หน้าทร่ี าชการหรือกลับเขา้ รบั ราชการได้ เน่ืองจากผู้ถูกสั่งพักราชการมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และได้ พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการแล้ว หรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการ ไว้ก่อนมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ซึ่งจะต้องพ้นจากราชการเมื่อส้ินปีงบประมาณนั้น แล้วแต่กรณี ก็ให้ผู้บังคับบัญชาส่ังให้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ สําหรับกรณี ผู้ที่ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้มีคําสั่งยกเลิกคําส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อให้ผู้น้ันเป็น ผพู้ น้ จากราชการตามกฎหมายวา่ ด้วยบาํ เหน็จบาํ นาญขา้ ราชการ (๕) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้นั้นไม่เป็นผู้ถูกพักใช้ หรือพ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาต ประกอบวิชาชพี แล้ว แตม่ ีกรณีต้องออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน ก็ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ผู้น้ันออกจาก ราชการตามเหตุนนั้ โดยไมต่ ้องสง่ั ใหก้ ลบั เขา้ ปฏบิ ตั หิ น้าท่รี าชการหรอื กลับเขา้ รับราชการ ขอ้ ๑๙ คําสง่ั พกั ราชการ คําสั่งให้ออกจากราชการไว้กอ่ น หรอื คาํ สง่ั ให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือกลับเข้ารับราชการ ต้องทําเป็นหนังสือระบุช่ือ ตําแหน่ง และวิทยฐานะของผู้ถูกสั่งพักราชการ ผู้ถูกสัง่ ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น หรือผูก้ ลับเขา้ ปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ราชการหรือกลับเข้ารับราชการ ตลอดจน กรณแี ละเหตุท่สี ง่ั ดงั กลา่ ว โดยให้มีสาระสําคัญตามแบบ พ. ๑ พ. ๒ พ. ๓ พ. ๔ หรือ พ. ๕ แล้วแต่กรณี ท้ายกฎ ก.ค.ศ. นี้ ใหไ้ ว้ ณ วนั ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๕ ศาสตราจารยส์ ุชาติ ธาดาธาํ รงเวช รฐั มนตรวี ่าการกระทรวงศกึ ษาธกิ าร ประธาน ก.ค.ศ.
184 แบบ พ. ๑ (ให้พกั ราชการ) คาํ สัง่ (ระบชุ ื่อส่วนราชการที่ออกคาํ สงั่ ) ที่ ....../............. เรือ่ ง ให้ขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษาพกั ราชการ ด้วย (นาย,นาง,นางสาว) ................................................................... ข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาตาํ แหน่ง/วทิ ยฐานะ......................................................................โรงเรยี น/ หน่วยงานการศึกษา ............................................. สังกดั ........................................... ตําแหน่งเลขที่ ...................... รับเงนิ เดือนในอันดับ ....................... ขั้น ..................... บาท มีกรณี ................................................................................ (ถกู กลา่ วหาวา่ กระทาํ ผดิ วินยั อย่างร้ายแรง จนถกู ตั้งคณะกรรมการสอบสวน/ถูกฟ้องในคดีอาญาหรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา/ถูกพักใช้ ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา) ในเรื่อง .............................................................................................................................................. .................................................................................................................................. และมีเหตุให้พักราชการ ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการส่ังพักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการ ไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ขอ้ ........ คือ ......................................................................................................... ................................................................................................................................................................ ฉะน้นั อาศยั อาํ นาจตามความในมาตรา ๑๐๓ / มาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว ข้อ .... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ....................................................................... พกั ราชการ ท้งั น้ี ตั้งแต่ ............................................................. เป็นต้นไป ส่งั ณ วนั ท่ี ................................................ พ.ศ. .... (ลงชอื่ ) (...................ชื่อผ้สู ่งั ..........................) (...................ตําแหนง่ ........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชอ่ื และตําแหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุช่ือตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถ้าม)ี ๒. ใหร้ ะบเุ ร่ืองท่ีถกู ต้งั กรรมการสอบสวน หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทํา ความผิดอาญา หรือถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา ๓. การระบเุ หตุการณพ์ กั ราชการตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี ถ้ามีหลายเหตุใหร้ ะบทุ กุ เหตุ ๔. ขอ้ ความใดหากไมใ่ ช้ใหต้ ัดออก
185 แบบ พ. ๒ (ใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ น) คาํ สัง่ (ระบชุ อื่ สว่ นราชการท่ีออกคําสงั่ ) ท่ี ....../............. เรอ่ื ง ใหข้ า้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาออกจากราชการไวก้ ่อน ดว้ ย (นาย,นาง,นางสาว) ...................................................................... ข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาตําแหนง่ /วทิ ยฐานะ..................................................................... โรงเรยี น/ หน่วยงานการศกึ ษา สงั กัด ................................................................................ ตาํ แหนง่ เลขที่ ..................... รับเงนิ เดือนในอันดบั ....................... ข้ัน ...................... บาท มีกรณี .................................................................... (ถูกกล่าวหาว่ากระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกต้ัง คณะกรรมการสอบสวน/ถูกฟ้องในคดีอาญา/ต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา ) ในเรื่อง ................................................................................................................................................. ........................................................................................................................................... และมีเหตุให้พักราชการ ตามกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการส่ังพักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการ ไวก้ อ่ น พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ........ คอื ................................................................................................. .................................................................................................................................. และได้พจิ ารณาแล้วเหน็ ว่า การสอบสวนพจิ ารณา หรอื การพจิ ารณาคดที ี่เปน็ เหตใุ ห้สัง่ พกั ราชการนั้น จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว เน่ืองจาก ................................................................ (ระบุเหตุผลให้ ชัดเจน)........................ /ถูกพกั ใช้ใบอนญุ าตประกอบวชิ าชีพเปน็ เวลาเกนิ กวา่ หน่ึงปี ฉะน้ัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓/มาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ดังกล่าว ขอ้ .... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ......................................................... ออกจากราชการไวก้ อ่ น ท้งั น้ี ตัง้ แต่ ............................................................. เป็นตน้ ไป สง่ั ณ วนั ที่ ................................................ พ.ศ. .... (ลงชอื่ ) (...................ชื่อผสู้ ัง่ ..........................) (...................ตําแหน่ง........................) หมายเหตุ ๑. การระบชุ ื่อและตําแหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุชื่อตัว ชื่อสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถา้ ม)ี ๒. ให้ระบเุ ร่อื งทีถ่ กู ต้งั กรรมการสอบสวน หรอื ถกู ฟอ้ งคดอี าญา หรือต้องหาว่ากระทาํ ความผดิ อาญา หรอื ถกู พกั ใชใ้ บอนญุ าตปร๒ะกอบวิชาชพี เกนิ หนง่ึ ปี
186 ๒ ๓. การระบุเหตกุ ารพักราชการตามกฎ ก.ค.ศ. น้ี ถา้ มหี ลายเหตใุ ห้ระบุทุกเหตุ ๔. สําหรบั กรณกี ารสั่งใหอ้ อกจากราชการไว้กอ่ นเพ่อื รอฟังผลการสอบสวนพิจารณาให้ ระบเุ หตผุ ลท่ีอาจทําให้เหน็ ได้วา่ การสอบสวนพิจารณาหรือการพิจารณาคดีนั้นจะไม่ แลว้ เสรจ็ โดยเรว็ ๕. ขอ้ ความใดหากไม่ใช้ให้ตดั ออก
187 แบบ พ. ๓ (การสั่งกลบั กรณไี ม่มคี วามผดิ วินยั ) คําสง่ั (ระบุชอื่ สว่ นราชการท่อี อกคาํ สงั่ ) ท่ี ....../............. เรอื่ ง ใหข้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา กลบั เขา้ ปฏิบตั หิ น้าทีร่ าชการหรอื กลับเขา้ รบั ราชการ ตามคาํ สง่ั ......................................... (ระบชุ อื่ ส่วนราชการที่ออกคาํ สั่ง) ................... ท่ี ................./................. ลงวันที่ .............................. พ.ศ. .... ส่ังให้ (นาย,นาง,นางสาว) ........................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ...................................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ..................... ................................ สังกดั ................................................. ตําแหนง่ เลขท่ี............... รับเงินเดือนใน อนั ดบั ............... ขน้ั .............. บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนตงั้ แต่ ................................... เปน็ ต้นไป น้ัน บัดน้ี ผลการสอบสวนพจิ ารณาปรากฏว่า (นาย,นาง,นางสาว) .............................. ................................................. มไิ ด้กระทาํ ผิดวินัย และไม่มกี รณที ่ีจะตอ้ งออกจากราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ....................................................... กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ/กลับเข้ารับราชการในตําแหน่ง/ วิทยฐานะ ................................. โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา .......................................... สงั กดั ...................................................... ตําแหน่งเลขท่ี .................. โดยให้ได้รับเงินเดือนในอันดับ ............................... ขัน้ ................... บาท ทง้ั น้ี ต้งั แต่ ............................................................. เปน็ ต้นไป ส่งั ณ วันท่ี ................................................ พ.ศ. .... (ลงช่ือ) (...................ช่ือผู้ส่งั ..........................) (...................ตาํ แหน่ง........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชอื่ และตาํ แหน่งของผู้ถูกสั่งให้ระบุชื่อตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือวิทยฐานะ (ถ้าม)ี ๒. ข้อความใดหากไมใ่ ช้ให้ตัดออก
188 แบบ พ. ๔ (การส่ังกลับกรณีมคี วามผิดวินยั ไม่ร้ายแรง) คําส่งั (ระบุชอื่ สว่ นราชการทอ่ี อกคําสงั่ ) ที่ ....../............. เรื่อง ใหข้ ้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศกึ ษา กลับเข้าปฏบิ ัตหิ น้าท่ีราชการหรือกลบั เขา้ รบั ราชการ ตามคําส่ัง ................................... (ระบุชื่อส่วนราชการที่ออกคําสั่ง) ........... ท่ี ................./................. ลงวันท่ี .............................. พ.ศ. .... สั่งให้ (นาย,นาง,นางสาว) ........................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ........................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ............................... ............................ สังกัด .......................................... ตําแหน่งเลขที่ ............... รับเงินเดือนในอันดับ ....... ข้ัน ......... บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนตั้งแต่ ................................... เป็นตน้ ไป นั้น บัดนี้ ผลการสอบสวนพจิ ารณาปรากฏว่า (นาย ,นาง,นางสาว) ................................. ........................................ กระทาํ ผิดวินยั ไม่ร้ายแรงและไม่มกี รณที จี่ ะตอ้ งออกจากราชการดว้ ยเหตอุ น่ื ฉะนั้น อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ............................................................................................... กลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ/ กลบั เขา้ รับราชการในตาํ แหนง่ /วิทยฐานะ ............................................. โรงเรียน/หนว่ ยงานการศกึ ษา .............................................. สงั กดั ................................................ ตําแหน่งเลขที่ ........................ โดยให้ได้รับเงินเดอื นในอนั ดบั ............................... ขน้ั ................... บาท ทง้ั น้ี ต้ังแต่.............................................................เป็นตน้ ไป สั่ง ณ วนั ท.่ี ...............................................พ.ศ. .... (ลงช่อื ) (...................ชอื่ ผสู้ งั่ ..........................) (...................ตาํ แหนง่ ........................) หมายเหตุ ๑. การระบุชื่อและตําแหน่งของผู้ถูกส่ังให้ระบุช่ือตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือ วิทยฐานะ (ถ้ามี) ๒. ข้อความใดหากไม่ใชใ้ หต้ ดั ออก
189 แบบ พ. ๕ (การสงั่ กลบั กรณไี มเ่ ป็นผถู้ กู พกั ใช้/พน้ กําหนดเวลาถูกพกั ใช)้ คําสั่ง (ระบุช่อื ส่วนราชการทีอ่ อกคําสงั่ ) ท่ี ....../............. เร่อื ง ให้ขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา กลับเขา้ ปฏิบัตหิ น้าที่ราชการหรือกลับเขา้ รบั ราชการ ตามคําส่ัง ................................. (ระบุช่ือส่วนราชการที่ออกคําสั่ง) ............. ท่ี ................./................. ลงวันท่ี .............................. พ.ศ. .... สั่งให้ (นาย,นาง,นางสาว) ................................................ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตําแหน่ง/วิทยฐานะ ..................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา ............................. .............................. สังกัด .......................................... ตําแหน่งเลขที่ ............... รับเงินเดือนในอันดับ ....... ขั้น ......... บาท พักราชการ/ออกจากราชการไว้ก่อนต้ังแต่ ................................... เปน็ ต้นไป นน้ั บัดน้ี ผลการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎหมายว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการ ศึกษาปรากฏว่า (นาย,นาง,นางสาว) ................................................................... ................................... (มิได้เปน็ ผ้ถู ูกพักใช)้ /หรือพ้นกําหนดเวลาถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และไม่มกี รณีที่จะต้องออกจากราชการด้วยเหตอุ น่ื ฉะน้ัน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่ง พักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๕๕ ข้อ ...... จึงให้ (นาย,นาง,นางสาว) ................................................... ............ กลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการ/กลับเข้ารับราชการ ในตําแหน่ง/วิทยฐานะ ......................................................... โรงเรียน/หน่วยงานการศึกษา .............................................. สังกัด ................................................ ตําแหน่งเลขท่ี ........................ โดยใหไ้ ดร้ บั เงนิ เดอื นในอันดบั ............................... ข้ัน ................... บาท ท้งั น้ี ตง้ั แต่.............................................................เป็นต้นไป ส่งั ณ วนั ที่................................................พ.ศ. .... หมายเหตุ (ลงช่อื ) (...................ชือ่ ผสู้ ่งั ..........................) (...................ตําแหนง่ ........................) ๑. การระบุช่ือและตําแหน่งของผู้ถูกส่ังให้ระบุชื่อตัว ช่ือสกุล ตําแหน่ง หรือ วทิ ยฐานะ (ถา้ มี) ๒. ข้อความใดหากไม่ใชใ้ ห้ตัดออก
190 เล่ม ๑๒๙ ตอนท่ี ๒๒ ก หนา้ ๑๘ ๒ มนี าคม ๒๕๕๕ ราชกิจจานุเบกษา หมายเหตุ :- เหตุผลในการประกาศใช้กฎ ก.ค.ศ. ฉบับน้ี คือ โดยที่มาตรา ๑๐๓ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติให้หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับ การสัง่ พักราชการ การสง่ั ใหอ้ อกจากราชการไว้ก่อน ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้ก่อน และการดําเนินการเพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวนพิจารณา ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. และมาตรา ๑๑๙ บญั ญตั ิใหภ้ ายใตบ้ งั คบั หมวด ๗ และหมวด ๙ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา อาจถูกสั่งพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนในกรณีอ่ืนตามที่กําหนดในกฎ ก.ค.ศ. ซึ่งได้ กําหนดให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาท่ีถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามกฎหมาย ว่าด้วยสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาอาจถูกสั่งพักราชการหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้ จงึ จาํ เป็นต้องออกกฎ ก.ค.ศ. นี้
เล่ม ๑๓๕ ตอนที่ ๖๑ ก 191 ๒o สงิ หาคม ๒๕๖๑ หน้า ๑ ราชกจิ จานเุ บกษา กฎ ก.ค.ศ. ว่าดว้ ยอานาจการลงโทษภาคทณั ฑ์ ตดั เงินเดือน หรอื ลดเงนิ เดือน พ.ศ. 2561 อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๑๙ (๔) และมาตรา ๑๐๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติ ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ค.ศ. โดยได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี ออกกฎ ก.ค.ศ. ไว้ ดังตอ่ ไปนี้ ข้อ ๑ ให้ยกเลิกกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยอานาจการลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงนิ เดือน หรือลดขั้นเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๙ ขอ้ ๒ ให้ผู้อานวยการสถานศึกษาหรือตาแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ซ่ึงเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้กระทาผิดวินัยไม่ร้ายแรง มีอานาจ สั่งลงโทษได้ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ภาคทณั ฑ์ (๒) ตดั เงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรอื ร้อยละสี่ของเงินเดือนท่ีผู้นั้นได้รับในวนั ท่ี มีคาสัง่ ลงโทษเป็นเวลาหนึง่ เดือน สองเดอื น หรือสามเดอื น ขอ้ ๓ ให้นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล รัฐมนตรีเจ้าสังกัด ปลัดกระทรวง เลขาธิการ อธิบดีหรือตาแหน่งท่ีเรียกช่ืออย่างอื่นท่ีมีฐานะเทียบเท่า อธิการบดีหรือตาแหน่งที่เรียกชื่อ อย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่า ศึกษาธิการภาคหรือตาแหน่งท่ีเรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะ เทียบเท่า ศึกษาธิการจังหวัดหรือตาแหน่งท่ีเรียกชื่ออย่างอื่นท่ีมีฐานะเทียบเท่า หรือผู้อานวยการสานักงาน เขตพ้ืนทีก่ ารศึกษาหรอื ตาแหน่งทเ่ี รียกชื่ออย่างอนื่ ที่มฐี านะเทยี บเท่า ซง่ึ เป็นผบู้ ังคบั บัญชาของข้าราชการครู และบคุ ลากรทางการศกึ ษาผู้กระทาผดิ วินยั ไมร่ ้ายแรง มอี านาจส่ังลงโทษได้ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ภาคทัณฑ์ (๒) ตดั เงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรอื ร้อยละส่ีของเงินเดือนท่ีผู้นั้นได้รับในวันที่ มคี าสั่งลงโทษเปน็ เวลาหน่งึ เดอื น สองเดอื น หรอื สามเดอื น (๓) ลดเงินเดือนได้คร้ังหน่ึงในอัตราร้อยละสองหรือรอ้ ยละส่ีของเงินเดือนที่ผู้น้ันได้รับในวันท่ี มคี าสั่งลงโทษ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216