เรอื่ งที่ 1 เวลาและยุคสมัยของประวัติศาสตร์โลก ความหมาย ความสาคัญของประวัตศิ าสตร์ ประวัติศาสตร์ (อังกฤษ: history; รากศัพทภ์ าษากรีก หมายถึง “การสอบถาม ความร้ทู ี่ได้มาโดยการ สอบสวน,ไตถ่ าม”) เป็นการค้นพบ รวบรวม จัดระเบียบและนาเสนอขอ้ มลู เก่ียวกบั เหตุการณ์ในอดีต ประวัตศิ าสตร์ยังอาจหมายถงึ ชว่ งเวลาหลังมีการประดษิ ฐ์ตัวอักษรข้นึ ประวตั ศิ าสตร์เปน็ สาขาการวจิ ัยซึ่งใชก้ าร บรรยายเพ่ือพิจารณาและวเิ คราะห์ลาดบั ของเหตุการณ์ เหตุการณใ์ นอดีตกอ่ นมบี นั ทึกลายลกั ษณ์อกั ษรเรยี กวา่ ยุคก่อนประวตั ิศาสตร์ ในบรรดานกั วิชาการ นกั ประวัตศิ าสตร์ชาวกรีกในศตวรรษที่ 5 ก่อนครสิ ตกาล เฮโรโดตัส ถูกพิจารณาวา่ เปน็ “บิดาแห่งประวัติศาสตร์” ไดเ้ ขียนหนังสือชอ่ื The Histories เล่าเรื่องกรีกช่วงท่ีทาสงครามกบั จักรวรรดิ เปอร์เซีย ทั้งไดเ้ ล่าเร่ืองผู้คนและสถานท่ีที่ได้พบเหน็ รวมทัง้ เรื่องราวและตานานที่สาคัญไว้อยา่ งละเอียด เขาร่วมกบั ธูซดิ ดดิ ีส นักประวัติศาสตรร์ ว่ มสมยั ก่อตัง้ รากฐานของการศึกษาประวตั ิศาสตร์สมยั ใหม่ อิทธิพลของ พวกเขา รว่ มกบั แบบแผนทางประวตั ศิ าสตรอ์ ่นื ในสว่ นอน่ื ของโลก ได้ก่อใหเ้ กิดการตคี วามธรรมชาตขิ อง ประวัตศิ าสตร์ไปต่างๆ นานา ซงึ่ ได้ววิ ฒั นามาเป็นเวลาหลายศตวรรษและยังมกี ารเปลยี่ นแปลงอยู่ในปัจจุบนั อี. เอช. คาร์ เจ้าของผลงาน What is History? “ประวตั ศิ าสตร์” เป็นคาท่ีมีความหมายหลากหลาย แตค่ วามหมายท่ีสาคัญทใี่ ชโ้ ดยท่วั ไปคือ 1) เหตกุ ารณ์ในอดีตทง้ั หมดของมนุษย์ หรืออดีตท้ังหมดของมนษุ ย์ตัง้ แตม่ มี นุษย์เกดิ ขน้ึ มาในโลกจนถึง วินาทที ่ีพง่ึ ผ่านมา 2) หมายถึงเรื่องราวของบางเหตุการณ์ที่เคยเกิดขน้ึ มาในอดตี ทเี่ รารู้หรอื เข้าใจ น่ันคือสิง่ ทน่ี ัก ประวตั ศิ าสตรส์ รา้ งขน้ึ มาเก่ียวกบั อดตี ทผ่ี า่ นพ้นไป นกั ปรัชญาประวตั ิศาสตร์ท่ีมชี ื่อเสียงใหค้ าอธิบายถึงคาว่า “ประวัติศาสตร์” ไว้ เชน่ 1. เซอร์ ชาร์ลส์ โอมนั (Sir Charles Oman) มีความเหน็ ว่า ประวตั ศิ าสตร์ คือ “การตรวจสอบหลักฐาน ท้งั ประเภทเอกสารและวตั ถุ เพ่ือวเิ คราะห์เหตุการณท์ ี่เกดิ ต่อเน่ืองกันแล้วหาข้อสรปุ เปน็ ไปไม่ไดท้ ี่เราจะสามารถ ได้ข้อเทจ็ จรงิ ที่สมบูรณข์ องเหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ท่ีเกดิ ข้นึ ในอดีตได้ แตเ่ ราอาจจะสามารถอธิบายขอ้ เท็จจรงิ บางอยา่ ง ทไ่ี ด้จากการตรวจสอบ และวเิ คราะหห์ ลักฐานเหล่านัน้ ซง่ึ เปน็ ขอ้ เท็จจริงที่พอจะยอมรับกนั ได้”
2 2. ลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) กลา่ ววา่ “ประวัติศาสตรห์ รอื เรื่องราวของ ชวี ติ ของประเทศชาตแิ ละมนุษยชาตซิ ึ่งจะมองโดยตรงและสรุปรวมเป็นคาพูดไวว้ ่า การ บรรยายชวี ติ ของผ้คู นเพียงกลุ่มเดยี วโดยมไิ ดร้ วมถึงมนุษยชาติน้นั ดจู ะเป็นไปไม่ได้” (มี งานเขียนทเี่ ปน็ อมตะ คือเรื่อง War and Peace (สงครามและสันตภิ าพ) 3. อาร.์ จี. คอลลิงวูด (R. G. Collingwood) อธิบายวา่ ประวัตศิ าสตร์คือ วธิ กี ารวิจยั หรือการไต่สวน ... โดยมจี ดุ มงุ่ หมายจะศึกษาเกีย่ วกบั ... พฤติการณ์ของ มนษุ ยชาติที่เกิดข้นึ ในอดตี 4. อี. เอช. คาร์ (E. H. Carr) อธบิ ายว่า “ประวตั ศิ าสตร์ คือ เรือ่ งราวอันต่อเนื่องกันระหวา่ งการโต้ตอบ ระหวา่ งนักประวัติศาสตร์กับหลักฐานข้อเท็จจริง เปน็ การถกเถยี งระหวา่ งปัจจุบันกับอดีตทไี่ ม่มีที่สนิ้ สุด เปน็ การ ถกเถียงระหว่างสงั คมในวันน้ีกับสงั คมเมอื่ วานน้ี เราจะเข้าใจปจั จุบันได้สมบรู ณ์กต็ ่อเมื่อมองผ่านจาก ปัจจุบนั เทา่ นั้น และเราจะเขา้ ใจปัจจุบันไดส้ มบรู ณ์กเ็ พราะอดีตชว่ ยส่องทางให้ ดังนั้นบทบาทควบคู่กันของประวัติศาสตร์ ก็คือช่วยใหม้ นุษย์เขา้ ใจสงั คมในอดีต และชว่ ยให้มนุษยค์ วบคมุ สังคมในปจั จุบันได้ดขี ึ้น” 5. อี.จ.ี คอลลิงวูด (E.G. Collingwood) ไดใ้ หค้ าจากดั ความ “ประวัติศาสตร์ คอื การค้นควา้ หาความรู้ อย่างหนงึ่ ซ่ึงมีทีม่ าจากคาวา่ การสืบสวนหรือค้นคว้า (inquire) หรือการค้นคว้าหาความรู้ ประวัตศิ าสตรจ์ งึ ถือวา่ เป็นวิทยาศาสตรแ์ ขนงหน่ึง ทั้งนี้เน่ืองจาก วชิ าวิทยาศาสตร์กค็ ือ กระบวนการค้นควา้ หาความรู้ โดยการตง้ั ปญั หา ขน้ึ กอ่ นแล้วจงึ ค้นหาคาตอบ ประวัตศิ าสตรก์ เ็ ชน่ กัน จงึ อาจเปน็ วชิ าในแขนงวิทยาศาสตรไ์ ด้ ทั้งน้เี พราะเป็น การศกึ ษาโดยมกี ารหยิบยกปัญหาในทางประวัตศิ าสตรข์ นึ้ พจิ ารณาแลว้ จงึ พยายามคน้ หาเหตุผลซง่ึ อาจทาได้จาก การค้นคว้ารวบรวมหลกั ฐานต่างๆ มาเปน็ ข้อยุติหรือตอบปญั หาทเี่ ราได้กาหนดข้ึนนั่นเอง” 6. จติ ร ภูมศิ ักด์ิ “การศกึ ษาประวตั ิศาสตร์จึงเปน็ หวั ใจแห่งการศึกษาความเป็นมาของสังคม เปน็ กุญแจ ดอกสาคญั ท่ีจะไขไปสู่การปฏิบัตอิ นั ถูกตอ้ ง” 7. ดร.สืบแสง พรหมบญุ ไดใ้ ห้แนวคดิ เก่ยี วกบั ความหมายของประวัตศิ าสตร์อยา่ งกว้างๆ เป็น 2 ประการคือ 1. ประสบการณ์ทั้งมวลในอดีตของมนษุ ย์ทเ่ี กิดขึน้ ตามความเปน็ จริง 2. การสร้างประสบการณ์ในอดตี ในอัตราทเ่ี ห็นว่ามีคุณค่าขึ้นมาใหม่ โดยอาศัยหลักฐานต่างๆ ประกอบกับความคดิ และการตคี วามของนักประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ยงั กลา่ ววา่ “ประวตั คิ วามเปน็ มาและววิ ัฒนาการของมนุษย์ในอดีต มคี วามสาคัญ ต่อมนุษย์ในปัจจุบนั และอนาคตอยา่ งมาก เพราะประสบการณ์ของมนษุ ยเ์ ปน็ บอ่ เกดิ แห่งความรู้ทส่ี าคัญยิง่ เป็นบทเรยี นทีม่ ีคณุ ค่าต่อมนุษยใ์ นสงั คม ชว่ ยให้มนุษยม์ ีวิวัฒนาการตามแนวทางอันเหมาะสม และชว่ ยรกั ษาความ ตอ่ เน่อื งระหวา่ งอดตี ปจั จบุ ัน และอนาคต” 8. ดร.วจิ ิตร สินสริ ิ ใหค้ วามเห็นว่า “ประวัตศิ าสตร์ คือ บันทกึ เหตุการณต์ า่ งๆ ในอดีต เก่ียวดว้ ยเรอ่ื ง เหตกุ ารณท์ างสงั คม เศรษฐกิจ การเมอื ง วฒั นธรรม ปรัชญา ที่มนษุ ย์ได้คิด ไดส้ รา้ งไว้” 9. โรเบิรต์ วี. แดเนียลส์ กล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ คอื ความทรงจา วา่ ด้วยประสบการณ์ของมนษุ ย์ ซง่ึ ถา้ ถูกลืมหรอื ละเลย ก็เท่ากบั วา่ เราได้ยุตแิ นวทางอันบ่งชวี้ า่ เราคอื มนษุ ย์ หากไม่มปี ระวัติศาสตร์เสียแล้ว เราจะ ไม่รเู้ ลยว่า เราคือใคร เป็นมาอยา่ งไร” 10. ศ.ดร.ธงชยั วินจิ จะกลู อธิบายคาวา่ ประวัติศาสตร์ หมายถงึ “การเขา้ ใจอดตี นนั้ คือประวตั ศิ าสตร์ ... เราต้องเขา้ ใจวา่ ความรเู้ กี่ยวกับอดตี นนั้ สร้างใหม่ได้เร่ือย ๆ เพราะทศั นะมมุ มองของสมัยท่เี ขยี นประวัติศาสตรน์ ้ัน เปลยี่ นอยู่เสมอ ...”
3 ประวตั ศิ าสตร์สาคญั อยา่ งไร เยาวหราล เนห์รู อดตี นายกรัฐมนตรีของอินเดีย กล่าวถงึ คุณค่า และความสาคัญของ ประวตั ศิ าสตรไ์ วว้ า่ “ศกึ ษาอดตี เพ่ือรปู้ จั จบุ นั เข้าใจปัจจุบัน เพื่อหยั่งการณ์อนาคต” กลา่ วโดยสรุป ประวตั ศิ าสตร์มคี ณุ ค่า และประโยชน์มากมายแกผ่ ู้ศึกษา กลา่ วคอื 1. ทาใหร้ ูจ้ ักพิจารณาส่งิ ตา่ งๆ ทไี่ ดเ้ หน็ ได้ยิน ไดฟ้ ัง ทาใหร้ ู้อะไรได้กวา้ งขวาง มีความเข้าใจและ กลา้ ตัดสนิ สง่ิ ตา่ งๆ และรับฟงั สิง่ ตา่ งๆ โดยรู้จกั ลาดบั ใจความสาคัญ 2. ทาให้รจู้ กั ศึกษาท่ีมาของความสมั พันธ์ โดยต้องคานึงอยู่เสมอวา่ อดีตต้องสัมพันธก์ ับปจั จบุ นั และปัจจบุ นั ต้องสมั พนั ธ์กับอนาคต 3. ประวัติศาสตรส์ อนให้รู้จักประกอบกรรมดี กล้าหาญ อดทน ละเวน้ ความช่ัวอันเป็นบทเรียน 4. ทาให้มีความรักชาตบิ า้ นเมืองของตน ภาคภูมใิ จในเอกราชของชาติ รจู้ กั เสียสละสว่ นตนเพือ่ สว่ นรวม รู้จกั เคารพยกย่องเกียรตคิ ุณของบรรพบุรุษ 5. ทาให้เขา้ ใจเหตุการณต์ ่างๆ ที่เกดิ ข้นึ ได้ดี แกไ้ ขปญั หาตา่ งๆ ได้ และหลกี เล่ียงส่ิงผดิ พลาด ที่ผ่านมา แก้ไขสงั คมให้ดีขนึ้ 6. ทาให้มีความรู้ ความคดิ กวา้ งขวาง เฉลยี วฉลาด มไี หวพรบิ ทนั เหตุการณ์ ทนั สมยั และทนั คน 7.ทาใหเ้ ห็นตวั อย่างทด่ี ีงามในประวตั ิศาสตร์ เกดิ ความเข้าใจมรดกของมนุษยชาติ 8. ทาใหเ้ ข้าใจและแสดงออกอย่างถูกต้องดา้ นวินยั ปญั ญา และรจู้ กั แยกแยะความผดิ พลาด ออกจากความสาคญั 9. สามารถวดั คณุ ค่าของสิง่ ต่างๆ ชว่ ยเสรมิ กาลงั ใจ ความเข้าใจ ประจกั ษแ์ ละระมดั ระวัง ในปัญหาตา่ งๆ ทีเ่ กดิ ในชมุ ชนปัจจุบนั 10. ช่วยฝึกอบรมให้สามารถเผชิญกบั ปญั หาความขัดแย้งต่างๆ ดว้ ยจติ ใจท่ีมุง่ ม่นั ความต่อเน่อื งของเวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ มนุษยใ์ นแต่ละอารยธรรม พยายามอธิบายจดุ เร่ิมตน้ และจุดสิ้นสดุ ของกาลเวลาแตกต่างกัน ขึน้ อยู่กบั คติ ความเชอื่ เกย่ี วกับกาเนดิ ของพภิ พและมนุษย์ องิ อยู่กับศาสนาของตน มนุษย์เรียนร้จู ากประสบการณ์วา่ กาลเวลา ทผี่ ่านไปนาความเปลยี่ นแปลงมาสสู่ งั คมมนษุ ย์ และความเปลี่ยนแปลงนนั้ สอดคล้องกับความเปล่ียนแปลงของ ปรากฏการณ์ธรรมชาติและสรรพส่งิ ทาให้มนษุ ยต์ ้องสร้างแบบแผนหรอื ระบบการนบั กาลเวลา และเมอ่ื การ กาหนดชว่ งเวลาแบบตา่ งๆ เปน็ ท่ียอมรับของสังคม ยอ่ มมีการนามาใชเ้ กี่ยวข้องกบั พิธีกรรม ความเช่ือเร่ือง ความ อุดมสมบรู ณ์ ความผกู พันกับกาลเวลาไดป้ รากฏอยูใ่ นการเลา่ เรอ่ื งหรือการบนั ทึกอดีตอย่างชดั เจน ความต่อเน่ือง ของเวลาเปน็ ท่ียอมรบั ในประเดน็ ว่า เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ข้ึนก่อน มีอิทธพิ ลต่อเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขน้ึ ภายหลงั เพราะเหตนุ ี้ การกาหนดช่วงเวลาจงึ เปน็ วิธีการทช่ี ว่ ยให้มนษุ ยส์ ามารถลาดบั เหตกุ ารณ์ได้ ว่าเหตุการณ์ใดเกิดขนึ้ ก่อน และ เหตุการณใ์ ดเกิดขึ้นทหี ลงั และมคี วามสัมพนั ธก์ ันอย่างไร เน่อื งจากมนษุ ย์ในทกุ สงั คมต่างผกู พนั กับอดตี และมองว่า เหตุการณ์สาคัญในอดีต เหตุการณป์ จั จบุ ันและเหตกุ ารณ์ที่จะเกิดข้ึนมีความสัมพนั ธ์กัน อกี ทง้ั กาลเวลาเปน็ ผูน้ า ความเปล่ยี นแปลงมาให้ จึงมีการอา้ งอิงถึงกาลเวลาดว้ ยคา เชน่ ยุค (epoch) สมัย (period) ศักราช (era)
4 พรอ้ มทั้งคาบ่งบอกคติความเชือ่ เชน่ ยคุ “มืด” หรือ “สมัย ทรราชย์”จึงเปน็ เครื่องมือท่จี ะทาความเข้าใจในการ เช่อื มโยงอดีต ปจั จุบัน และอนาคตเข้าดว้ ยกนั เหน็ ได้วา่ ส่งิ ท่เี ราเห็นว่าเปน็ อดตี ครงั้ หนงึ่ ก็เคยเปน็ อนาคตและ ปัจจบุ ันมาก่อน นักประวัติศาสตร์ศึกษาอดีตด้วยความเชอ่ื ทว่ี ่า เหตกุ ารณห์ รือปรากฏการณท์ เ่ี กดิ ขึ้น ณ ช่วงเวลาหนง่ึ ส่งผลกระทบถึงเหตุการณ์และปรากฏการณท์ ตี่ ิดตามมา นักประวัตศิ าสตรม์ องความแตกต่าง ระหวา่ งเหตกุ ารณท์ ีเ่ กิดขึ้นได้เพราะอาศยั ความเข้าใจรว่ มกันเกีย่ วกับเวลา ระบบปฏิทินเพื่อกาหนดชว่ งเวลาจึง จาเปน็ สาหรบั ใหน้ กั ประวตั ิศาสตรศ์ ึกษาเร่ืองราวในอดตี โดยอ้างองิ ปฏทิ นิ และระบบการนับชว่ งเวลาอืน่ ๆ ซ่ึงยอมรับกันในแตล่ ะสังคม เกณฑ์กาหนดสมัยก่อนประวัติศาสตรแ์ ละสมยั ประวตั ิศาสตร์ ยุคหรือสมัยเปน็ คาที่ใช้บอกช่วงเวลาของเหตุการณ์ เพ่ือกาหนดขอบเขตของเวลาท่ีมีความหมายและเป็นที่ เขา้ ใจร่วมกันไดง้ ่ายขน้ึ และส่ือสารกันไดอ้ ย่างถกู ต้องตรงกัน นกั วชิ าการทางด้านโบราณคดแี ละประวัติศาสตร์นยิ ม กาหนดพฒั นาการทางประวตั ิศาสตร์ของมนุษยชาติออกเป็น 2 ยุค หรือสมยั ด้วยกัน คือ สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ กับ สมัยประวตั ศิ าสตร์ โดยแต่ละสมัยยงั มีการแบง่ ออกเป็นสมยั ยอ่ ยอีก สมยั ก่อนประวัตศิ าสตร์ (Pre-historical Period) คือ ช่วงเวลาท่ีมนุษย์ยังไมม่ ีตัวอักษรจดบันทึก เรอ่ื งราวของสังคม นักโบราณคดเี ป็นผู้ศึกษาเร่ืองราวของสมัยกอ่ นประวัตศิ าสตร์เป็นหลักโดยศึกษาจากซากพิมพ์ ดกึ ดาบรรพห์ รือพิมพห์ นิ โบราณสถาน โบราณวัตถุ โครงกระดูก สงิ่ ของเครอื่ งใช้ ภาพวาดตามผนังหรือบนส่ิงของ ต่างๆ เปน็ ต้น โดยสมยั ก่อนประวตั ิศาสตร์มีการแบง่ เป็นยุคย่อย คือ ยคุ หนิ กบั ยคุ โลหะ ทงั้ น้ยี ุคหนิ ยงั มีการแบ่ง ออกเปน็ ยคุ หนิ เกา่ ยุคหนิ กลาง และยุคหินใหม่ สว่ นยคุ โลหะก็มีการแบ่งเปน็ ยคุ สาริดกับยคุ เหล็ก สมยั ประวตั ิศาสตร์ (Historical Period) คอื ชว่ งเวลาท่ีมีหลกั ฐานทเ่ี ปน็ ลายลักษณอ์ ักษรบอกเลา่ เรอ่ื งราวของสังคมน้นั ๆ อักษรนน้ั อาจเป็นตวั อักษร ของชนชาติอืน่ ก็ได้แตน่ ามาใชบ้ ันทึกคาพูด เป็นเรอ่ื งราวของ สงั คมตน โดยสมยั ประวตั ิศาสตร์มกี ารแบง่ เปน็ สมัยยอ่ ย คือ สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ และสมัยปจั จุบัน ตามเหตผุ ลการจาแนกยุคสมยั ดงั นี้ สมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์ และสมยั ประวัตศิ าสตรข์ องสังคมแต่ละสังคม (หรอื ประเทศ) จะเร่ิมต้นไมต่ รงกนั ขน้ึ อยู่กบั เง่ือนไขการมีตัวอักษรบนั ทกึ เรื่องราวของแต่ละสังคม นอกจากน้ัน การแบง่ และกาหนดสมัยยอ่ ยในสมัยก่อนประวตั ศิ าสตร์กย็ ังมคี วามแตกต่างกนั เนื่องจากแต่ละภูมภิ าคตา่ งก็มี พัฒนาการแตกตา่ งกนั ไป สมัยก่อนประวัตศิ าสตร์ เน่อื งจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ยังไม่มีตวั อกั ษรใชบ้ นั ทึกเร่ืองราว นักโบราณคดีจะศึกษาเรื่องราว สมัยกอ่ นประวตั ิศาสตรโ์ ดยอาศัยหลกั ฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูกมนุษย์ เคร่ืองมือเครื่องใช้ อาวุธตา่ งๆ เครอื่ งมือหนิ เคร่ืองป้นั ดินเผา เคร่ืองประดับ ตลอดจนถ้า เพงิ พา ภาพวาดทมี่ นุษย์อยู่อาศยั และวาดไว้ เปน็ ต้น และ เน่ืองจากสมยั ก่อนประวตั ศิ าสตรม์ อี ายุยาวนานมาก นกั โบราณคดีจึงต้องมีการแบ่งเปน็ สมัยยอ่ ย โดยใชห้ ลักเกณฑ์ สาคัญ คือ ความกา้ วหนา้ ทางดา้ นเทคโนโลยีการทาเคร่ืองมือเคร่ืองใชเ้ ปน็ หลักในการแบง่ ซึง่ สามารถแบง่ ออกเปน็ 2 ยุคใหญ่ๆ คือ ยคุ หิน กับ ยุคโลหะ
5 1. ยคุ หิน (Stone Age) เป็นยุคทม่ี นุษยเ์ ร่ิมรู้จกั นาหนิ มาปรบั ใช้เป็นเครื่องมือเคร่ืองใชห้ รอื อุปกรณ์และอาวธุ นกั โบราณคดี กาหนดใหย้ ุคหินของมนษุ ย์สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ (สากล) อยู่ระหวา่ ง 2.5 ลา้ นปี ถึงประมาณ 4,000 ปมี าแล้ว แต่ เนื่องจากสิง่ ทีเ่ หลอื เป็นหลักฐานอยูจ่ นถึงปัจจบุ ันมเี พยี งชนดิ เดยี วคือหนิ ดังนน้ั เราจึงเรียกยุคน้ีวา่ ยุคหนิ ทงั้ นี้ ยุคหนิ ตามพัฒนาการเทคโนโลยกี ารทาเครื่องมือเครื่องใช้ยังแบ่งออกเป็น 3 ยคุ ย่อย คือ ยุคหินเกา่ ยุคหนิ กลาง และ ยุคหนิ ใหม่ ดังน้ี 1.1 ยุคหนิ เกา่ (Paleolithic Period หรือ Stone Age) อยูร่ ะหว่าง 2,500,000 – 10,000 ปมี าแล้ว มนษุ ย์ในยุคนี้อาศัยอย่ใู นถ้าหรือเพิงผา ยังไม่มีความคดิ สรา้ งทอ่ี ยู่อาศยั โดยใช้วสั ดธุ รรมชาตหิ รือตัง้ รกรากถาวร ดารงชีวติ ดว้ ยการลา่ สตั ว์ หาปลา และเก็บหาผลไมใ้ นป่า เมือ่ อาหารตามธรรมชาติหมดก็อพยพไปหาแหล่งอาหารที่ อืน่ ตอ่ ไป มนุษย์ยคุ หนิ เก่ารู้จักประดิษฐเ์ คร่ืองมืออย่างหยาบๆ เครื่องมือทใ่ี ชท้ ่วั ไป คือ เครื่องมอื หนิ กะเทาะ ท่ีมี ลักษณะหยาบ ใหญ่ หนากะเทาะเพียงดา้ นเดยี วหรือสองด้าน ไม่มีการฝนใหเ้ รียบ มนุษยย์ ุคหินเก่ารจู้ กั นาหนังสัตว์ มาทาเปน็ เครือ่ งนุ่งหม่ รจู้ ักใช้ไฟเพ่อื ให้ความอบอ่นุ แกร่ ่างกาย ให้แสงสว่าง ใหค้ วามปลอดภยั และหุงหาอาหาร มี การฝงั ศพ ทาพิธกี รรมเก่ียวกับการตาย และมีการนาเคร่ืองมอื เครอื่ งใช้และอาวุธต่างๆ ของผู้ตายฝงั ไวใ้ นหลุมดว้ ย นอกจากนมี้ นษุ ยย์ ุคหินเก่ายังรจู้ กั สรา้ งสรรค์งานศิลปะ ซึ่งพบภาพวาดตามผนงั ถา้ ท่ใี ช้สฝี ุ่นสีตา่ งๆ ไดแ้ ก่ สีดา นา้ ตาล สม้ แดงออ่ น และเหลือง ภาพทวี่ าดส่วนใหญเ่ ป็นภาพสตั ว์ เช่น ววั กระทงิ มา้ ป่า กวางแดง เป็นตน้ ภาพวาด ท่มี ชี อื่ เสียงของมนุษยย์ คุ หนิ เก่าอยู่ที่ ถา้ ลาสโก ประเทศฝร่ังเศส หลักฐานเคร่ืองมอื หนิ ท่นี ักโบราณคดีพบตามทตี่ า่ งๆ เชน่ ทวปี ยุโรป เอเชยี ออสเตรเลีย และทวีปอเมริกา ทาให้มีการตงั้ ชอ่ื มนษุ ย์ยคุ นีต้ ามสถานทที่ ี่พบหลกั ฐาน เช่น มนษุ ยช์ วา พบท่เี กาะชวา ประเทศอนิ โดนเี ซยี มนษุ ย์ ปักกงิ่ พบทีถ่ ้าใกล้กรงุ ปกั ก่งิ ประเทศจนี มนุษย์นแี อนเดอร์ธัล พบทห่ี บุ เขาแอนเดอร์ ประเทศเยอรมนี มนุษย์ โครมนั ยองพบท่ีถ้าโครมนั ยอง ประเทศฝร่งั เศส มนษุ ยโ์ ครมันยอง เป็นมนุษย์ยุคหนิ เก่ารุน่ สดุ ทา้ ย (อายุระหวา่ ง 30,000-17,000 ปีมาแลว้ ) ที่คน้ พบและมลี กั ษณะเหมือนมนุษย์ปจั จุบัน
6 1.2 ยคุ หินกลาง (Mesolithic Period หรอื Middle Stone Age) อยู่ระหวา่ ง 10,000-6,000 ปีมาแล้ว มนุษยย์ ุคนร้ี จู้ ักทาเคร่ืองมอื หินที่มีความประณีตมากขนึ้ ดว้ ยการกระเทาะผวิ ดา้ นใดด้านหนงึ่ หรือทงั้ สองดา้ นออกให้ เกิดความคม ทาให้เครืองมือหินในยคุ น้ีมีรูปทรงท่เี หมาะแก่การใชง้ านมากข้ึนกว่าเดมิ เครื่องมือยุคหนิ กลางท่ีพบ มีทง้ั เคร่ืองมือสบั ตัด ขดุ และทุบ หลกั ฐานเครอ่ื งมือหนิ ของมนุษย์ในยุคหนิ กลางพบในทวปี ยุโรปและทวปี เอเชีย โดยพบคร้ังแรกในเวยี ดนาม เรยี กว่า วัฒนธรรมฮัวบิเนยี น จดั เป็นวฒั นธรรมยุคหินกลางของประเทศในเอเชีย ตะวนั ออกเฉียงใต้ รวมทัง้ ประเทศไทยด้วย 1.3 ยคุ หินใหม่ (Neolithic Period หรือ New Stone Age) อย่รู ะหว่าง 6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว มนุษยย์ ุคนม้ี ีความเจริญทางวัตถมุ ากกว่ายคุ หินกลาง รู้จักควบคุมธรรมชาติมากขน้ึ ร้จู ักพัฒนาการทาเคร่ืองมือหนิ อยา่ งประณตี โดยมีการขัดฝนหนิ ท้ังชน้ิ ให้เปน็ รูปร่างลกั ษณะต่างๆ เพือ่ ใหเ้ คร่ืองมือมีประสิทธภิ าพในการใช้สอย มากข้ึนกว่าเคร่ืองมือรนุ่ ก่อนหนา้ น้ี เช่น มีดหินทีส่ ามารถตดั เฉอื นไดแ้ บบมีดโลหะ มีการต่อดา้ มยาวเพ่ือใช้แผน่ หิน ลับคมเปน็ เสียมขุดดิน หรือต่อด้ามไม้สาหรับจบั เป็นขวานหิน สามารถปน้ั หม้อดนิ และใชไ้ ฟเผา สามารถทอผ้าจาก เสน้ ใยพืชและทอเปน็ เชือกทาเป็นแหหรอื อวนจบั ปลา ลกั ษณะสาคญั อีกประการหนึง่ ท่จี าแนกมนษุ ย์ยุคหนิ ใหม่ ออกจากมนษุ ย์ยคุ หินกลางก็คือการท่ีมนุษยย์ ุคน้รี ูจ้ ักการเพาะปลกู และเล้ยี งสตั วใ์ นระดบั ทซ่ี ับซอ้ นมากขึน้ เชน่ มี การปลกู ขา้ วและพืชอนื่ ๆ เชน่ ถ่วั ฟกั บวบ และเลี้ยงสตั ว์หลายชนดิ มากข้นึ เชน่ แพะ แกะ และ วัว ซ่ึงก็คงท้ังไว้ใช้ งานและเป็นอาหาร วัฒนธรรมยุคหินใหม่พบอยูท่ ่ัวโลก แต่หลักฐานสาคญั ทม่ี ีลักษณะโดดเดน่ คอื การสร้างอนสุ าวรยี ์หิน (Megalithic) ท่มี ีชอื่ เสยี ง คอื สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) ในประเทศองั กฤษสนั นษิ ฐานวา่ สรา้ งขึ้นเพื่อใชค้ านวณ เวลาทางดาราศาสตร์ เพือ่ พธิ ีกรรม เพื่อบวงสรวงดวงอาทิตย์เพอื่ ผลผลติ ทางการเพาะปลูก
7 การทีม่ นุษย์ยุคนี้ร้จู ักทาการเพาะปลูกและผลิตอาหารได้ ทาใหพ้ วกเขาสามารถอยรู่ วมกนั เปน็ หลักแหลง่ ไมต่ ้องเที่ยวเร่ร่อนหาอาหารดังแตก่ ่อน จึงทาใหเ้ กดิ เป็นสงั คมหม่บู า้ นข้ึน มีการสรา้ งกฎเกณฑ์ขอ้ บังคบั มาใชใ้ นการ ปกครองเพื่อความสงบสุขของสงั คม มีการแบ่งแยกหนา้ ทกี่ ารงานและรจู้ กั รว่ มมือช่วยเหลือกันและกัน ทาให้พวก เขามเี วลาวา่ งทีจ่ ะใชไ้ ปเพอื่ การสร้างสรรค์ศลิ ปวฒั นธรรมมากขึ้น ตวั อย่างก็คือการขุดคน้ พบซากหมูบ่ า้ น สมยั หินใหมใ่ นประเทศสวิตเซอรแ์ ลนด์ท่ีสร้างด้วยไมแ้ ละดินเหนียวบนเสาท่ปี ักอยู่ในพน้ื ทะเลสาบหรือบนทลี่ ุม่ ซง่ึ แสดงใหเ้ ห็นการก่อสรา้ งทีใ่ ชเ้ สาทับคานอนั เป็นแบบแผนการกอ่ สรา้ งพ้ืนฐานท่ใี ช้อยู่จนถึงปัจจุบนั และการรู้จัก ประดับลวดลายบนเครือ่ งปน้ั ดนิ เผาทีม่ ีหลายแบบ เช่น ลายเลขาคณติ ลายก้นหอย เป็นตน้ 2. ยุคโลหะ (Metal Age) เร่มิ เมอื่ ประมาณ 4,000ปีมาแลว้ มนษุ ย์ยุคนม้ี ีความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยขี นึ้ อยา่ งเหน็ ได้ชดั อันแสดงถงึ การพฒั นาความสามารถทางความคดิ ด้วยการมคี วามสามารถนาโลหะมาทาเปน็ เครื่องมือเครื่องใชน้ น่ั เอง ในระยะแรกของยุคโลหะจะพบวา่ พวกเขาร้จู ักหลอมทองแดงและดบี ุกซึ่งเปน็ โลหะท่ใี ช้อุณหภมู ิไม่สูงนักในการ หลอม ต่อมาจึงพฒั นาความร้แู ละเทคโนโลยีขน้ึ มาจนสามารถหลอมเหล็กได้ ซึ่งการหลอมเหล็กต้องใช้อณุ หภูมสิ งู นกั โบราณคดจี ึงแบ่งยุคโลหะออกเป็น 2 ยุคตามความแตกต่างของระดับเทคโนโลยแี ละวสั ดทุ น่ี ามาใช้ทาเคร่ืองมือ เครื่องใช้ ดงั น้ี 2.1 ยคุ สารดิ (Bronze Age) การเริ่มตน้ ของยคุ สารดิ ในแต่ละภมู ิภาคจะต่างกนั ไปแตส่ ่วนใหญจ่ ะเริม่ ระหวา่ งประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว ในชว่ งเวลานม้ี นุษยร์ ้จู กั นาทองแดงผสมกบั ดบี กุ หลอมรวมกันกลายเป็นโลหะ ผสมที่เราเรียกว่า สาริด มาใช้ทาเป็นเคร่ืองมือเคร่ืองใช้และอาวธุ ที่มีคณุ ภาพดกี ว่าทที่ าจากหินขัดมาก การ ดารงชวี ิตของมนุษย์ยุคนี้ก็เปลย่ี นไปจากการเป็นชมุ ชนเกษตรกรรมเลก็ ๆ กลายเปน็ ชมุ ชนขนาดใหญท่ ี่เราเรยี กว่า ชุมชนเมอื ง มีการจัดแบ่งความสัมพนั ธ์ของคนในสังคมตามความสมั พนั ธแ์ ละความสามารถ ซึ่งพฒั นาการนที้ าให้ สงั คมมคี วามมนั่ คงและมีการสง่ั สมอารยธรรมได้อย่างรวดเรว็ กว่าท่ีผ่านมา แหลง่ อารยธรรมสาคญั ท่ีมีพฒั นาการ จากสังคมสมยั หนิ ใหม่ สู่สมยั สารดิ เชน่ แหลง่ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ในภมู ิภาคเอเชียตะวันตก แหล่งอารยธรรม ลุม่ แมน่ า้ ไนล์ ในประเทศอียิปต์ แหล่งอารยธรรมลมุ่ แมน่ ้าสนิ ธุ ในประเทศอินเดยี และแหล่งอารยธรรมลุม่ แม่นา้ ฮวงเหอ ในประเทศจีน เปน็ ต้น 2.2 ยคุ เหล็ก (Iron Age) เริ่มเม่อื ประมาณ 3,200 ปมี าแลว้ เป็นช่วงของการพัฒนาการทางเทคโนโลยี ท่ีต่อเนื่องจากยุคสาริด หลังจากท่มี นุษยส์ ามารถนาทองแดงมาผสมกับดบี ุกและหลอมเป็นโลหะผสมไดแ้ ล้ว มนุษย์ กค็ ิดคน้ หาวธิ ีนาเหลก็ ซึ่งเปน็ โลหะท่มี ีความแขง็ และทนทานกว่าสาริดมาทาเปน็ เครอ่ื งมือเคร่ืองใชแ้ ละอาวุธ ดว้ ยการใช้อุณหภูมิในการหลอมที่สงู กว่าการหลอมสาริด แล้วจงึ ตีโลหะเหล็กในขณะทยี่ งั ร้อนอย่ใู หเ้ ปน็ รูปทรง
8 ทต่ี ้องการ เน่อื งจากเหล็กใชท้ าเครื่องมือเคร่ืองใชม้ ีความเหมาะสมกับงานการเกษตรทต่ี ้องใช้ความแข็งแรงมากกว่า สาริดและมีความทนทานกวา่ ดว้ ย จึงทาใหม้ นุษย์ยุคเหล็กสามารถทาการเกษตรไดผ้ ลผลิตเพ่ิมมากขน้ึ นอกจากนี้ เหลก็ ยงั ใชท้ าอาวุธท่มี ีความแขง็ แกรง่ และทนทานกว่าสารดิ จึงทาใหส้ ังคมมนุษยย์ ุคน้ที ่ีพัฒนาเข้าสยู่ ุคเหล็กและเข้า สู่ความเปน็ รัฐได้ดว้ ยการมีกองทพั ท่ีมปี ระสิทธิภาพกวา่ สามารถปกป้องเขตแดนของตนเองได้ดกี วา่ ทาใหส้ ังคม เมอื งของตนมีความมน่ั คงปลอดภัย และในที่สดุ กส็ ามารถขยายอิทธิพลไปยังดนิ แดนอน่ื ๆ ได้ในเวลาตอ่ มา สมัยประวัติศาสตร์ สมัยประวัติศาสตร์ของสังคมใดสังคมหน่งึ จะเรมิ่ เม่ือสงั คมน้ันมตี วั อักษรใช้ การมีตัวอักษรใชท้ าใหม้ ีการ สื่อสารท่มี ีประสิทธภิ าพมากขึ้น กลา่ วคือสามารถส่งข้อความสอ่ื สารกันได้เป็นระยะทางไกล สามารถบันทกึ เร่ืองราว ตา่ งๆทาให้คนรุ่นหลังเข้าใจเรือ่ งราวของคนในอดีตได้ และสามารถถ่ายทอดความรู้จากคนรนุ่ หนงึ่ ไปยังคนอีกรุ่น หนง่ึ ได้ สงั คมมนษุ ย์ที่มีตวั อักษรใช้เปน็ สังคมท่ีมีการจัดระบบซับซ้อนขึน้ จากการท่มี นุษย์มกี ารสะสมความรู้ และมีพฒั นาการทางความคดิ ท่ีซบั ซอ้ นขน้ึ นนั่ เอง เน่ืองจากแต่ละสังคมมีพัฒนาการทางความรู้ความคดิ และ เทคโนโลยีทตี่ า่ งกนั สมัยประวตั ศิ าสตร์ของแต่ละประเทศจึงเรม่ิ ตา่ งกัน เช่นเดียวกับการทส่ี งั คมแตล่ ะสังคม มพี ัฒนาการผ่านสมัยก่อนประวัตศิ าสตร์มาต่างกนั นนั่ เอง เนื่องจากบทเรียนน้ีเป็นเร่ืองของประวตั ิศาสตรส์ ากล ซึ่งหมายถึง ประวัติศาสตร์โลกตะวันตกน่ันเอง การกาหนดยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตรส์ ากลจงึ ใช้เกณฑ์ ทน่ี กั ประวัติศาสตร์ ตะวันตกนยิ มใช้ ซงึ่ ก็แบ่งเป็นสมยั โบราณ สมยั กลาง สมัยใหม่ และสมยั ปจั จุบนั ศิลาโรเซตตา ศิลาจารึก 2 ภาษา คอื ภาษาอยี ิปต์ และภาษากรีก
9 ประวตั ิศาสตร์สากล (ตะวนั ตก) 1. ประวตั ิศาสตร์สมยั โบราณ (3,500 ปีกอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช – ค.ศ. 476) เรมิ่ เกิดขึน้ เปน็ คร้งั แรกบรเิ วณ ดนิ แดนเมโสโปเตเมียแถบลุ่มแม่น้าไทกริส-ยูเฟรทีสและดินแดน อียิปตแ์ ถบลมุ่ แม่นา้ ไนล์ ท่ีชาวเมโสโปเตเมียและชาวอยี ิปตร์ จู้ กั ประดิษฐ์ตัวอกั ษรไดเ้ ม่ือ 3,500 ปกี ่อนคริสต์- ศักราช จากน้ันอิทธิพลของความเจริญของสองอารยธรรมกไ็ ด้แพรห่ ลายไปยังทางใตข้ องยุโรปสเู่ กาะครตี ต่อมา กรกี ได้รับเอาความเจรญิ จากเกาะครตี และความเจริญของอยี ิปตม์ าสรา้ งสมเปน็ อารยกธรรมกรีกขน้ึ และเมื่อ ชาวโรมันในแหลมอติ าลียึดครองกรีกได้ ชาวโรมันกน็ าอารยธรรมกรกี กลับไปยังโรม และสรา้ งสมอารยธรรมโรมนั ขน้ึ ตอ่ มาเม่ือชาวโรมันสถาปนาจกั รวรรดโิ รมนั พร้อมกับขยายอาณาเขตของตนไปอยา่ งกวา้ งขวาง อารยธรรม โรมันจึงแพรข่ ยายออกไป จนกระท่ังจักรวรรดโิ รมนั ลม่ สลายลงเม่ือพวกอนารยชนเผา่ เยอรมนั เข้ายึดกรุงโรมได้ ใน ค.ศ. 476 ประวัติศาสตรส์ มัยโบราณของชาติตะวนั ตกจึงส้ินสุดลง แหล่งอารยธรรมโบราณเริ่มแรกทีส่ าคญั ได้แก่ เมโสโปเตเมยี เรม่ิ ต้งั แต่ 3,500 ปกี อ่ นครสิ ตก์ าล ลมุ่ แม่น้าไทกรีสและยเู ฟรตสิ เรมิ่ ใช้ตัวอักษรเรยี กว่า คิวนฟิ อร์ม มกี ษตั รยิ ท์ ีส่ าคัญ เช่น พระเจา้ ฮัมมรู าบี ในท่สี ุดจกั รวรรดเิ ปอร์เซียไดเ้ ขา้ มาครองครองราว 539 ปี กอ่ นคริสต์กาล อียปิ ต์ เร่ิมต้งั แต่ 3,100 ปีก่อนคริสตก์ าล ประดิษฐต์ ัวอักษรเฮียโรกลิฟฟิค (Hieroglyphic) ในชว่ งเวลา ใกล้เคยี งกับเมโสโปเตเมยี อียิปต์เจรญิ ต่อเนื่อง จนถงึ สมยั โรมัน เมือ่ สนิ้ สุดสมัยพระนางคลโี อพัตรา ราชวงศ์ ปโตเลมี อียิปตจ์ งึ ตกเป็นส่วนหนึง่ ของจักรวรรดิโรมัน กรีก พัฒนาจากอารยธรรมไมนวลท่ีเกาะครีตราว 3,000 ปีกอ่ นคริสต์กาล กรีกปกครองเปน็ นครรัฐ เรยี กตนเองวา่ เฮเลน และสรา้ งอารยธรรมเฮเลนนิค (Helenic) ในสมยั พระเจ้าอเล็กซานเดอรม์ หาราชแห่งนครรฐั มาซิโดเนีย ได้ขยายอิทธิพลอารยธรรมกรีก ทมี่ ีรูปแบบเฉพาะ เรียกวา่ เฮเลนนสิ ตคิ (Helenistic) ไปส่ดู ินแดนต่างๆ รวมอียิปตแ์ ละเปอร์เซยี เมอื่ จักรวรรดิโรมันย้ายศูนย์กลางความเจริญไปท่ีไบเซ็นไทต์ กรีกยังคงเป็นส่วนหนง่ึ ของ อาณาจักรโรมัน จน ค.ศ. 600 จึงไดต้ กอยู่ใต้อานาจของจักรวรรดิออตโตมนั (Ottoman Empire) โรมัน เริม่ ตน้ เม่อื ราว 1,000 ปกี อ่ นครสิ ต์กาล และพัฒนาเป็นจกั รวรรดยิ ิ่งใหญ่ สิน้ สุดความเจรญิ เพราะ ถกู อนารยชนเยอรมนั นิคเขา้ มารุกรานหลายครัง้ ใน ค.ศ. 476 ถอื เปน็ การสน้ิ สดุ สมัยโบราณ และยา้ ยศนู ยก์ ลาง ไปอยู่ที่อาณาจกั รโรมันตะวนั ออก เมืองหลวงคอื กรุงคอนสแตนติโนเปลิ ในเอเชยี ไดแ้ ก่ อารยธรรมลุ่มแมน่ ้าสนิ ธุ (ปากสี ถานในปัจจุบนั ) บริเวณเมอื งฮารปั ปาและโมเฮน็ โจดาโร ปรากฏหลักฐานอารยธรรมตง้ั แต่ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสตก์ าล รว่ มสมยั กับอารยธรรมเมโสโปเตเมยี และอยี ิปต์ ต่อมาชาวอารยันได้อพยพเขา้ มาครองครองดนิ แดนลุ่มแมน่ ้าสินธแุ ละแมน่ า้ คงคา สว่ นจนี ได้แก่ อารยธรรมลุ่มแมน่ า้ ฮวงโหหรอื แม่นา้ เหลือง ได้พบหลักฐานอักษรภาพ ใช้จารกึ คาทานาย บนกระดองเตา่ ในสมัยราชวงศ์ชาง ประมาณ 1,700 ปกี ่อนครสิ ต์กาล จีนมกี ารรวมดนิ แดนตา่ งๆ ตง้ั เป็นอาณาจกั ร ตงั้ แต่สมยั จกั รพรรดิจ๋ินซีฮอ่ งเต้ เป็นต้นมา 2. ประวตั ศิ าสตร์สมัยกลาง (ค.ศ. 476-ค.ศ. 1453) เรม่ิ ตง้ั แต่การส้ินสดุ ของจกั รวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 เมื่อถูกพวกอนารยชนเยอรมันเผา่ วิสกิ อธ (Visigoth) โจมตี ซง่ึ เหตกุ ารณ์นี้ถือเปน็ จุดสนิ้ สดุ ของจกั รวรรดิโรมันตะวันตก เมื่อจกั รวรรดิโรมันตะวนั ตก ล่มสลายลงสภาพทั่วไปของกรงุ โรมเต็มไปด้วยความวนุ่ วาย การเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมออ่ นแอประชาชน อดอยาก ขาดท่ีพ่ึง มปี ญั หาเร่ืองโจรผ้รู า้ ย เน่อื งจากช่วงเวลานีย้ ุโรปตะวันตกไมม่ ีจกั รวรรดทิ ่ีย่ิงใหญป่ กครอง ดังเช่น จักรวรรดิโรมนั นอกจากน้ียังถกู พวกอนารยชนเผา่ ตา่ งๆ เข้ามารุกราน สง่ ผลให้อารยธรรมกรกี และโรมนั
10 อนั เจริญรุ่งเรืองในยโุ รปตะวนั ตกได้หยุดชะงักลง นกั ประวตั ิศาสตรส์ มัยก่อนจึงเรียกชว่ งสมัยนีอ้ กี ชื่อหนึง่ วา่ ยุคมืด (Dark Ages) หลงั จากนน้ั ศนู ย์กลางของอานาจยุโรปได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไบแซนติอุม (Byzantium) ซึ่งอยู่ใน ประเทศตรุ กีปจั จุบนั โดยจักรพรรดิคอนสแตนตนิ (Constantion) เป็นผสู้ ถาปนาจักรวรรดแิ หง่ ใหมท่ ี่มีความ เจริญรุ่งเรืองซึ่งต่อมาเปน็ ท่รี จู้ ักกนั ในชอ่ื คอนสแตนตโิ นเปลิ (Constantinople) ประวัตศิ าสตรส์ มยั กลางนเี้ ปน็ ชว่ งเวลาทม่ี กี ารเปล่ียนแปลงอารยธรรมตะวนั ตกจากอารยธรรม โรมันไปสู่ อารยธรรมครสิ ต์ศาสนา เป็นสมยั ทต่ี ะวนั ตกได้รบั อทิ ธพิ ลอย่างมากจากครสิ ต์ศาสนา ทั้งทางดา้ น การเมือง เศรษฐกิจ สงั คม และศิลปวฒั นธรรม นอกจากนส้ี งั คมสมยั กลางยงั มลี ักษณะเป็นสงั คมในระบบฟวิ ดลั (Feudalism) หรือสงั คมระบบศักดินาสวามิภักด์ิ ทีข่ นุ นางมีอานาจครอบครองพื้นท่ี โดยประชาชนส่วนใหญม่ ีฐานะ เป็นข้าตดิ ทด่ี ิน (sert) และดารงชวี ติ อย่ใู นเขตแมเนอร์ (Manor) ของขนุ นาง ซ่ึงเป็นลักษณะพิเศษของสงั คมสมัย กลาง นอกจากน้ีในสมยั กลางน้ีได้เกิดเหตุการณ์สาคัญ คือ สงครามครูเสด ซึ่งเป็นสงครามความขดั แย้งระหวา่ ง ครสิ ตศ์ าสนากับศาสนาอิสลาม ทก่ี นิ เวลาเกือบ 200 ปี เป็นผลให้เกดิ การคน้ หาเสน้ ทางการค้าทางทะเลและ วทิ ยาการดา้ นอน่ื ๆ ตามมา สมยั กลางสน้ิ สดุ ใน ค.ศ. 1453 เม่อื พวกออตโตมนั เตอร์กสามารถยดึ กรงุ คอนสแตน- ตโิ นเปิล ของจักรวรรดโิ รมันตะวนั ตกได้ 3. ประวตั ศิ าสตร์สมยั ใหม่ (ค.ศ. 1453-1945) ประวัติศาสตร์ตะวนั ตกสมยั ใหมถ่ อื ว่าเร่มิ ต้นใน ค.ศ. 1453 เป็นปที ่ชี นเผ่าเติรก์ โจมตีและสามารถ ยึดกรงุ คอนสแตนติโนเปลิ ได้ เป็นผลใหศ้ นู ย์กลางความเจรญิ รุ่งเรืองกลับมาอยู่ในยุโรปตะวันตกอีกคร้ัง ในระหวา่ งน้ี ในยุโรปตะวนั ตกเองกาลังมีความเจรญิ ก้าวหน้าทางด้านความคิดและศลิ ปวิทยาการต่างๆ จากพัฒนาการของการ ฟ้ืนฟูศิลปวทิ ยาการทดี่ าเนินมา ยุโรปจงึ กลบั มารงุ่ เรืองอีกคร้ัง ในครงั้ น้ีได้มีการสารวจและขยายดนิ แดนออกไป กวา้ งไกลจนเกดิ เป็นยุคล่าอาณานิคม ซ่ึงต่อมานาไปสู่ความขดั แย้งระหว่างประเทศ กลายเป็นสงครามใหญท่ ่ีเรียก กนั วา่ สงครามโลกถึงสองคร้งั ภายในเวลาหา่ งกนั เพียง 20 ปี ในชว่ งเวลาเกือบห้าร้อยปีของประวตั ิศาสตรส์ มัยใหม่ มี เหตุการณส์ าคัญเกิดข้ึนมากมายทโี่ ดดเด่นและมีผลกระทบยาวไกลต่อเนื่องมาจนถงึ โลกปจั จบุ นั ไดแ้ ก่ การสารวจ ทางทะเล การปฏิวัตทิ างวิทยาศาสตร์ การปฏวิ ัตอิ ุตสาหกรรม การกาเนดิ แนวคิดทางการเมืองใหม่ (เสรีนยิ ม ชาตินิยม และประชาธิปไตย) การขยายดินแดนหรอื การล่าอาณานิคม (จักรวรรดนิ ยิ ม) และสงครามโลกสองคร้ัง เหตกุ ารณส์ าคัญๆ หลายประการในช่วงเวลาของประวตั ิศาสตร์โลกสมยั ใหม่ ไดส้ ่งผลสืบเนอื่ งตอ่ พฒั นาการของ ประวตั ิศาสตรโ์ ลกสมัยปจั จุบันอย่างมากมาย 4. ประวตั ศิ าสตรส์ มยั ปจั จบุ ัน (ค.ศ. 1945-ปัจจุบัน) หรือเรียกกันวา่ ประวตั ศิ าสตรร์ ่วมสมัย เรมิ่ ตง้ั แต่สงครามโลกคร้งั ท่ี 2 ส้นิ สดุ ลง ซ่งึ มีผลกระทบอย่างรนุ แรงทว่ั โลกและก่อใหเ้ กิดการ เปล่ยี นแปลงท้งั ทางดา้ นเศรษฐกิจ สังคม การเมอื งการปกครองของสังคมโลกในปจั จบุ ันโดยชว่ งประวัติศาสตรส์ มัย ปัจจุบนั มเี หตุการณ์ ดังน้ี 4.1 สมัยสงครามเย็น (ค.ศ. 1945-1991) เม่ือสงครามโลกคร้งั ท่ี 2 สิ้นสุดลงไดเ้ กิดการขดั แยง้ ทางดา้ นอดุ มการณ์ทางการเมืองของสองอภมิ หาอานาจ คอื สหรฐั อเมริกาผ้นู าค่ายประชาธิปไตยและสหภาพ โซเวียตผู้นาคา่ ยคอมมวิ นิสต์ เพ่อื แข่งขนั เกี่ยวกับลัทธคิ วามเช่ือทางการเมืองและผลประโยชนท์ างเศรษฐกจิ โดย ไม่ได้ทาสงครามเหมือนสงครามโลกท่ผี า่ นมา แตใ่ ช้วิธกี ารโฆษณาชวนเชอ่ื เป็นหลักในการหาพันธมติ รและประเทศ ใต้อิทธิพล ประเทศเล็กๆ จงึ จาเปน็ ตอ้ งเขา้ ขา้ งและรับการสนับสนุนจากฝ่ายใดฝา่ ยหนง่ึ สงครามเย็นสิ้นสดุ ลงเม่อื ผูน้ าประเทศสหภาพโซเวียตไดป้ รบั นโยบายการเมืองทงั้ ภายในและภายนอกประเทศทีเ่ น้นการรว่ มมอื กบั นานา ประเทศในการแกป้ ัญหาต่างๆ และปฏริ ูปประเทศให้เปน็ ประชาธปิ ไตยมากข้นึ ต่อมาเม่ือประเทศยุโรปตะวันออก ซงึ่ เป็นพันธมิตรของสหภาพโซเวียตไดแ้ ยกตัวออกจากสหภาพโซเวยี ต สง่ ผลให้พรรคคอมมิวนสิ ตใ์ นประเทศยโุ รป ตะวันออกส้นิ สุดอานาจลง ต่อมาใน ค.ศ. 1989 สหรัฐอเมริกากบั สหภาพโซเวยี ตตกลงลงนามร่วมกนั ทเี่ กาะมอลตา
11 ประกาศการส้ินสดุ ภาวะสงครามเยน็ บรรยากาศสันตภิ าพจึงแพรก่ ระจายไปท่ัวภูมภิ าคต่างๆของโลก ใน ค.ศ. 1990 กาแพงเบอรล์ ิน ซงึ่ เป็นสญั ลกั ษณ์ของสงครามเยน็ ก็ถูกทาลายลง และปีตอ่ มาเยอรมนตี ะวนั ตกและเยอรมนี ตะวนั ออกกร็ วมตัวเปน็ ประเทศเดยี วกัน และในปลาย ค.ศ. 1991 สหภาพโซเวยี ตกล็ ม่ สลาย สงครามเยน็ จงึ สนิ้ สดุ อย่างเป็นทางการ 4.2 สมยั โลกาภิวัตน์ ต้งั แตช่ ่วงคร้ังหลงั ของครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 20 เป็นชว่ งเวลาท่ีโลกมีความ เจรญิ กา้ วหนา้ ทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทัง้ วิทยาการแขนงต่างๆ ทาให้สภาพความเปน็ อย่ขู องมนุษย์ โดยท่ัวไปเจรญิ ขนึ้ มนุษยส์ ามารถเดนิ ทางไปสารวจอวกาศและดาวเคราะห์ดวงอืน่ ๆ ร้จู ักประดษิ ฐ์คดิ ค้นเคร่ืองมือที่ ทาให้สะดวกสบาย ความเจริญทางด้านการแพทย์ทาใหม้ นุษยม์ ชี ีวติ ยืนยาวและมีคุณภาพ การคมนาคมขนส่งขา้ ม ทวปี เปน็ ไปอย่างรวดเรว็ หรอื การสื่อสารขอ้ มลู แพรห่ ลายท่ีสอื่ ภาพและเสยี งโดยผ่านทางดาวเทียม อินเทอร์เนต็ โทรศพั ท์มือถืออยา่ งรวดเรว็ ภายในเวลาไมก่ ีว่ ินาที อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางด้านวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอยา่ งไม่หยุดยั้งได้ ส่งผลตอ่ มนษุ ย์และเกิดปัญหาใหมๆ่ ตามมาอยา่ งรวดเรว็ การเพ่ิมขึน้ อย่างรวดเร็วของจานวนประชากร การใช้ พลังงานนิวเคลยี ร์ การเกดิ สภาวะท่ีอุณหภูมิของโลกร้อนข้นึ จนมผี ลทาให้น้าแขง็ ขวั้ โลกและยอดเขาสูงละลาย ที่ เรยี กว่า ภาวะเรอื นกระจก เป็นตน้ ดังน้นั ในยุคโลกาภิวตั นน์ อกจากจะทาใหช้ วี ติ มนษุ ย์สุขสบายข้ึน แต่ก็สง่ ผลให้ เกดิ ปัญหาใหม่ๆ ตามมาดว้ ยเชน่ กัน การแบ่งยุคสมัยประวัตศิ าสตรต์ ะวนั ออก การแบ่งยคุ สมยั ประวตั ศิ าสตรต์ ะวนั ออกจะแบ่งยุคสมยั ทางประวตั ิศาสตรต์ ามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ หรอื ศนู ย์กลางอานาจเป็นเกณฑ์ การแบ่งยคุ สมัยทางประวัตศิ าสตรจ์ นี สามารถแบ่งออกไดเ้ ป็นประวัติศาสตร์จนี สมัยโบราณ (2200 ปีกอ่ นคริสต์ศกั ราช – ค.ศ. 220) ประวตั ิศาสตรจ์ ีนสมยั กลาง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 1368) ประวตั ศิ าสตรจ์ ีนสมยั ใหม่ (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1911) และประวัตศิ าสตร์จนี สมยั ปจั จบุ นั (ค.ศ. 1911 – ปัจจุบัน) การแบ่งยุคสมัยประวตั ิศาสตร์จีน ประวัตศิ าสตรจ์ นี สมัยโบราณ ชว่ งเวลาการเร่มิ ตน้ จากรากฐานอารยธรรมจีน ตัง้ แต่สมยั ประวัตศิ าสตร์ทม่ี ีการสรา้ งสรรคว์ ัฒนธรรม หยางเซา (Yang Shao) วฒั นธรรมหลงซาน (Lung Shan) อนั เป็นวัฒนธรรมเครอื่ งปัน้ ดินเผาและโลหะสาริด ต่อมา เข้าสู่สมัยประวตั ศิ าสตร์ ราชวงศต์ า่ ง ๆ ได้ปกครองประเทศ ไดแ้ ก่ ราชวงศเ์ ซียะ ประมาณ 2,205 – 1,766 ปีก่อน ครสิ ต์ศักราช และราชวงศ์ชางประมาณ 1,767 – 1,122 ปกี ่อนครสิ ต์ศักราช ชว่ งเวลาท่ีจนี เร่ิมก่อตวั เป็นรฐั ทม่ี ี รากฐานการปกครอง เศรษฐกิจ และสงั คม ราชวงศ์โจว ประมาณ 1,122 – 256 ปีก่อนคริสต์ศกั ราช ซ่ึงแบ่งออกเปน็ ราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศโ์ จวตะวันออก เม่อื ราชวงศ์โจวตะวนั ออกเสื่อมลง เกดิ สงครามระหวา่ ง
12 เจา้ ผคู้ รองรัฐต่าง ๆ ในท่สี ุดราชวงศ์ฉิน รวบรวมด่อตัง้ ราชวงศ์ชว่ งเวลา 221 – 206 ปีก่อนคริสต์ศกั ราช และสมยั ราชวงศ์ฮั่น 206 ปกี ่อนคริสตศ์ ักราช – ค.ศง 220) เปน็ สมยั ที่รวมศนู ย์อานาจจนเป็นจักรพรรดิ ประวัตศิ าสตร์จนี สมัยกลาง อารยธรรมมีการปรบั ตัวเพ่ือรับอิทธิพลต่างชาตเิ ขา้ มาผสมผสานในสงั คมจีน ท่สี าคัญคือพระพุทธศาสนา แระวัตศิ าสตร์จนี สมยั กลางเร่ิมสมัยดว้ ยความวุ่นวายจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮัน่ เรยี กวา่ สมัยความแตกแยก ทางการเมือง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 589) เป็นชว่ งเวลาการยึดครอบของชาวตา่ งชาติ การแบง่ แยกดินแดน ก่อนทีจ่ ะมี การรวมประเทศในสมยั ราชวงศส์ ยุ (ค.ศ. 581 – ค.ศ. 618) สมัยราชวงศ์ถงั (ค.ศ. 618 – ค.ศ. 907) ชว่ งเวลานี้ ประเทศจนี เจรญิ รุ่งเรอื งสงู สดุ ก่อนทีจ่ ะแตกแยกอีกครงั้ ในสมัยห้าราชวงศ์กับสิบรัฐ (ค.ศ. 907 – ค.ศ. 979) ตอ่ มา สมยั ราชวงศซ์ ง่ (ค.ศ. 960 – ค.ศ. 1279) สามารถรวบรวมประเทศจีนได้อีกครั้ง และมีความเจริญรุ่งเรืองทาง ศลิ ปวฒั นธรรม จนกระท่ังชาวมองโกลสามารถยึดครองประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1260 – ค.ศ.1368) ประวตั ศิ าสตร์จนี สมัยใหม่ ประวตั ิศาสตร์จีนสมัยใหม่เรมิ่ ใน ค.ศ. 1368 เม่ือชาวจีนขบั ไล่พวกมองโกลออกไป แลว้ สถาปนาราชวงศ์ หมิง (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1644) ขน้ึ ปกครองประเทศจีน และถูกโค่นล้มอีกคร้งั โดยราชวงศ์ซงิ (ค.ศ. 1664 – ค.ศ. 1911) ในชว่ งปลายสมยั ราชวงศช์ ิงเปน็ เวลาทป่ี ระเทศจนี ถกู คุกคามจากชาติตะวนั ตก และจีนพา่ ยแพแ้ ก่ องั กฤษในสงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839 – ค.ศ. 1842) จนสนิ้ สุดราชวงศใ์ น ค.ศ. 1911 ประวัติศาสตร์จนี สมัยปัจจบุ ัน ประวตั ศิ าสตรจ์ นี สมัยปจั จบุ นั เร่มิ ตน้ ใน ค.ศ. 1911 เมื่อจีนปฏิวัติเปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบรู ณาญาสิทธริ าชยม์ าเปน็ ระบอบสาธารณรฐั โดย ดร.ซุน ยตั เซน (ค.ศ. 1911 – ค.ศ. 1949) ต่อมาพรรค คอมมิวนิสต์ได้ปฏิวตั แิ ละได้ปกครองจีน จงึ เปล่ียนแปลงการปกครองระบอบคอมมิวนสิ ต์ ตัง้ แต่ ค.ศ. 1949 จนถึง ปัจจุบนั การแบ่งยุคสมัยทางประวตั ิศาสตรอ์ นิ เดีย การแบ่งยคุ สมัยทางประวัตศิ าสตรอ์ ินเดยี แบง่ อกเป็น สมยั โบราณ สมยั กลาง และสมัยใหม่ แต่ละยคุ สมยั จามกี ารแบ่งเป็นยุคสมยั ย่อยตามชว่ งเวลาของแต่ละราชวงศ์ทมี่ ีอทิ ธิพลเหนืออนิ เดยี ขณะนนั้ ประวัตศิ าสตรอ์ นิ เดียโบราณ ประวัตศิ าสตร์อนิ เดียโบราณต้ังแตส่ มยั อารยธรรมลุ่มแมน่ า้ สินธุ โดยมพี วกดราวิเดยี น เม่ือ 2,500 ปกี ่อน ครสิ ตศ์ กั ราชจนกระทั่งอารยธรรมแหง่ นีล้ ม่ สลายลงเมื่อ 1,500 ปกี ่อนครสิ ต์สักราชเมือ่ ชนชาวอารยันอพยพเข้ามา ตั้งถน่ิ ฐานและก่อตงั้ อาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอนิ เดยี นับว่าเปน็ ช่วงเวลาที่การเร่ิมสรา้ งสรรค์ อารยธรรมอินเดียทแ่ี ท้จริง มีการก่อต้งั ศาสนาตา่ ง ๆ เรียกวา่ สมยั พระเวท (1,500 – 900 ปกี อ่ นครสิ ต์ศักราช) สมยั มหากาพย์ (900 – 600 ปกี ่อนคริสต์ศักราช) ต่อมาอินเดียรวมตัวกันในสมยั ราชวงศ์มคธ (600 – 300 ปีก่อน คริสต์ศกั ราช) และมีการรวมตัวอยา่ งแท้จรงิ ในสมยั ราชวงศ์เมารยะ (321 - 184 ปีก่อนครสิ ต์ศกั ราช) ระยะเวลาน้ี เป็นเวลาทีอ่ นิ เดียเปดิ เผยแผ่พระพทุ ธศาสนาไปยงั ดนิ แดนต่าง ๆ ตอ่ มาราชวงศ์เมารยะล่มสลายอินเดยี ก็เข้าสู่สมัย แห่งการแตกแยกและการรกุ รานจากภายนอก จากพวกกรกี และพวกกุษาณะ รยะเวลานเ้ี ป็นสมัยการผสมผสาน ทางวฒั นธรรมกอ่ นทีจ่ ะรวมเป็นจกั รวรรดิไดอ้ ีกคร้ังใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศค์ ปุ ตะ (สมัยคปุ ตะ ค.ศ. 320 – ค.ศ. 535)
13 ประวตั ศิ าสตรอ์ ินเดยี สมัยกลาง อนิ เดยี เข้าสสู่ มัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมยั นเี้ ปน็ ชว่ งเวลาของความวุ่นวายทางการเมอื ง และการ รกุ รานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลมิ สมยั กลางจงึ เปน็ สมัยทีอ่ ารยธรรมมสุ ลิมเข้ามามีอิทธิพลในอนิ เดยี สมัย กลาง แบ่งได้เป็นสมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1200) และสมยั สุลตา่ นแห่งเดลลี (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1526) ประวัติศาสตรอ์ ินเดยี สมยั ใหม่ พวกโมกลุ ไดต้ ้งั ราชวงศโ์ มกลุ ถอื วา่ สมยั โมกลุ (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1857) เป็นการเรมิ่ ตน้ สมยั ใหม่จนกระทง่ั อังกฤษเข้าปกครองอนิ เดียโดยตรงใน ค.ศ. 1585 จนถงึ ค.ศ. 1947 อินเดยี จึงได้รบั เอกราชจากรปะเทศอังกฤษ ภายหลังไดร้ ับเอกราชและถูกแบง่ ออกเปน็ ประเทศต่าง ๆ ได้แก่ อินเดีย ปากสี ถาน และบังคลาเทศ (ค.ศ.1971) ประวัติศาสตรอ์ นิ เดียสมัยใหม่ เป็นชว่ งเวลาท่ีวัฒนธรรมเปอรเ์ ซียและวฒั นธรรมตะวันตกเขา้ มา มอี ทิ ธิพลในสงั คมอินเดีย ขณะที่ชาวอินเดยี ที่นบั ถือศาสนาฮินดไู ด้ยึดมน่ั ในศาสนาของตนเองมากข้นึ และเกิดความ แตกแยกในสังคมอินเดีย ดังน้ันประวตั ศิ าสตรอ์ นิ เดียสมัยใหม่ สามารถแบ่งได้เป็นสมยั ราชวงศ์โมกุล (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1858) สมยั องั กฤษปกครองอนิ เดีย (ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1947) อยา่ งไรก็ตามสมัยท่วี ัฒนธรรมมุสลิมเขา้ มามี อทิ ธพิ ลในอารยธรรมอินเดียเรยี กรวมว่า สมยั มุสลมิ (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1858) หมายถงึ รวมสมัยสลุ ต่านแหง่ เดลฮี กบั สมัยราชวงศโ์ มกุล เวลาและยคุ สมัยทางประวัติศาสตรไ์ ทย ประวัติศาสตรไ์ ทยเป็นการศึกษาเรื่องราวในอดีตของมนุษยน์ ักประวตั ิศาสตร์ได้กาหนดเวลาและยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตร์ขึ้นมา เชน่ กาหนดเวลาเป็นปีศกั ราช หรือกาหนดเป็นสหัสวรรษ ศตวรรษ และทศวรรษ ในการกาหนดยคุ สมยั นักประวตั ศิ าสตรไ์ ด้ถือเอาลกั ษณะเด่นของเหตุการณ์เป็นเกณฑเ์ พ่ือให้สามารถ เขา้ ใจและจดจายุคสมัยนน้ั ๆ ได้ ประวัติศาสตรจ์ งึ มีความสาคญั ซึ่งจะชว่ ยให้ผูศ้ ึกษาเกดิ ความเข้าใจง่ายและ ตรงกนั 1. ความสาคญั ของเวลาและยคุ สมัยทางประวตั ิศาสตร์ ในการศึกษาประวตั ศิ าสตรจ์ ะมีความเกย่ี วขอ้ งกับเวลา เพราะประวัติศาสตร์เป็นการศึกษา เรอ่ื งราวในอดตี ของมนุษย์ โดยศึกษาว่ามนุษยม์ ีวิถีชวี ิตอย่างไร มีความคิดอะไร มีผลงานใดบ้าง และการ สร้างสรรคผ์ ลงานน้ันไดม้ ผี ลกระทบต่อพฒั นาการของมนุษย์ในอดตี และปจั จุบนั อย่างไร จึงอาจกลา่ วได้ว่าการ ดาเนินชวี ติ ด้านต่าง ๆ ของมนุษยอ์ ยู่ภายใต้เงื่อนไขของเวลามาโดยตลอด แตก่ ารที่มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ เรอื่ งเวลาก็เพราะมนษุ ย์มีความเขา้ ใจพื้นฐานเกย่ี วกับระบบการบอกเวลาตรงกัน ในสมยั ประวัติศาสตร์ไทยท่ีมีระยะเวลาหลายรอ้ ยปี และเกิดเหตกุ ารณ์ทางประวัตศิ าสตร์ที่สาคญั มากมาย นกั ประวัติศาสตร์จึงได้กาหนดชว่ งเวลาและยุคสมัยทางประวตั ศิ าสตร์ขนึ้ เพื่อให้ง่ายแกก่ ารจดจา เพ่ือให้ เขา้ ใจเหตกุ ารณต์ รงกัน และเพื่อให้รลู้ ักษณะเด่นของยุคสมัยทางประวตั ิศาสตรน์ ัน้ ๆ ตลอดจนให้ความสาคญั ต่อ ปีศกั ราช โดยกาหนดเวลาเป็นพทุ ธศกั ราช (พ.ศ.) จุลศกั ราช (จ.ศ.) เปน็ ต้น สาหรบั การกาหนดยคุ สมัยทางประวัตศิ าสตร์จะกาหนดตามลกั ษณะเดน่ ของเหตุการณ์ เช่น เม่อื กลา่ วถึงช่วงเวลาทมี่ นุษย์ยังไมม่ ตี วั หนังสือใช้บันทึกก็กาหนดยุคสมยั ทางประวัตศิ าสตร์เป็น “สมยั กอ่ น ประวัติศาสตร์” เม่อื กลา่ วถงึ ชว่ งเวลาท่มี นุษยเ์ รม่ิ มีตัวหนังสอื ใช้ก็กาหนดเวลาเป็น “สมัยประวตั ิศาสตร์” ส่วน การแบ่งสมัยประวตั ศิ าสตรใ์ นดินแดนไทยนิยมใชเ้ กณฑ์การแบง่ ตามอาณาจักรหรอื ราชธานี หรือแบง่ ตามสมยั ของ ราชวงศ์ และแบง่ ตามลักษณะสาคัญของประวตั ศิ าสตร์
14 2. การนบั และการเทียบศกั ราชในประวัตศิ าสตร์ไทย การนับศกั ราชแบบไทยมีอยู่หลายแบบ ซ่ึงสามารถแบ่งได้ดงั นี้ - พุทธศกั ราช (พ.ศ.) พ.ศ. ใชก้ ันแพร่หลายในประเทศทีป่ ระชาชนนับถอื พระพุทธศาสนา เชน่ ไทย ลาว พมา่ และกัมพูชา โดยไทยเร่ิมใช้ พ.ศ. มาต้งั แต่สมัยอยุธยาในสมยั สมเด็จ พระนารายณ์มหาราชและใช้อยา่ งเปน็ ทางการในสมัยรัชกาลท่ี 6 เปน็ ตน้ มาจนถึงปจั จุบัน ประเทศไทยเร่ิมนับ พ.ศ. 1 เมื่อพระพทุ ธเจ้าเสด็จดบั ขนั ธป์ รนิ พิ พานไปแล้ว 1 ปี - มหาศักราช (ม.ศ.) ม.ศ. เปน็ ศักราชท่เี ริ่มใช้ในอนิ เดียโดยพระเจา้ กนิษกะแห่งราชวงศ์ กุษาณะทรงตง้ั ข้ึน และตอ่ มาได้แพร่หลายไปยงั ดนิ แดนท่ีไดร้ ับอารยธรรมอินเดียมหาศักราชพบมากในจารึกสมัย สุโขทัยและจารกึ ในดินแดนไทยร่นุ แรก ๆ การเทยี บมหาศักราชเปน็ พ.ศ. ให้บวกดว้ ย 621 - จลุ ศักราช (จ.ศ.) จ.ศ. เปน็ ศักราชของพม่าสมยั พกุ ามก่อนแพรเ่ ขา้ มาในดินแดน ประเทศไทยา นยิ มใช้ในหลักฐานทางประวตั ศิ าสตร์ไทยสมัยต่าง ๆ ท้งั สมยั สโุ ขทยั อยุธยา รัตนโกสินทร์ ตอนตน้ และลา้ นนา การเทยี บจลุ ศกั ราชเป็น พ.ศ. ให้บวกด้วย 1181 - รตั นโกสนิ ทร์ (ร.ศ.) ร.ศ. เป็นศักราชท่ีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลา้ เจา้ อย่หู วั ทรง มพี ระราชดารขิ ้ันใชใ้ นกลางรัชสมัยของพระองค์ โดยเริ่มนับ ร.ศ. 1 ในปีท่ีสถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์เป็นราชธานี คือ พ.ศ. 2325 การเทียบรตั นโกสินทร์ศกเปน็ พ.ศ. ให้บวกด้วย 2324 นอกจากการนับศักราชที่กลา่ วมา ในบางกรณีบางเหตกุ ารณ์ทีเ่ ราไม่ต้องนบั เวลาอย่างละเอียดโดยการ ระบศุ กั ราช ก็อาจนับเวลาอย่างกว้าง ๆ ได้อกี เชน่ สหัสวรรษ หมายถึง เวลาในรอบ 1,000 ปี ศตวรรษ หมายถึง เวลาในรอบ 100 ปี ทศวรรษ หมายถงึ เวลาในรอบ 10 ปี เปน็ ต้น 3. การแบง่ ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ไทย การแบ่งยุคสมัยทางประวัตศิ าสตร์ไทยนิยมแบ่งหลายแบบ ท่ใี ชก้ ันในปจั จุบนั มกั เป็นการผสม ระหว่างหลักเกณฑ์การแบ่งยุคสมยั ของประวัติศาสตร์สากลกับหลักเกณฑก์ ารแบง่ ยุคสมัยของประวัติศาสตร์ไทย โดยในประวตั ศิ าสตรไ์ ทยมีการแบง่ ยุคสมยั ทางประวัติศาสตร์คล้ายกับประวัตศิ าสตร์สากล คือ แบง่ ออกเป็น สมยั ก่อนประวตั ิศาสตรแ์ ละสมัยประวัตศิ าสตร์ และในแต่ละยคุ สมยั ไดถ้ กู แบ่งเปน็ ยุคสมัยยอ่ ย ๆ ลงไปอีกเพ่ือใหม้ ี ความชดั เจนมากข้นึ ดังน้ี 3.1 สมัยก่อนประวัตศิ าสตร์ สมยั ก่อนประวัตศิ าสตร์เปน็ สมยั ทยี่ ังไมป่ รากฏหลักฐานลายลักษณ์อักษร การแบ่งยุคสมัยจึงนิยม แบง่ ตามนักโบราณคดี ซึง่ กาหนดยคุ สมยั จงึ นยิ มแบ่งตามนักโบราณคดี ซึ่งกาหนดยคุ สมยั ตามหลกั ฐานเคร่อื งมอื เครือ่ งใช้ของมนุษย์ สมัยก่อนประวัตศิ าสตร์นิยมแบ่งช่วงเวลาออกเป็นยุคหินกบั ยุคโลหะ 1) ยคุ หนิ แบ่งย่อยออกเป็นยุคต่าง ๆ ดงั น้ี 1.1 ยุคหนิ เก่า มีอายุประมาณ 700,000 ปมี าแล้ว ดงั พบหลกั ฐานประเภท เครอื่ งมือหนิ กรวดกะเทาะหนา้ เดียวเพ่ือใชส้ บั ตดั ขดุ แหล่งที่พบ เช่น บ้านแมท่ ะ จงั หวัดลาปาง มนุษยย์ ุคนี้ เปน็ พวกเร่รอ่ น เก็บหาของป่า ลา่ สัตว์ อยู่รวมกนั เปน็ กลุม่ เลก็ ๆ 1.2 ยุคหินกลาง มอี ายปุ ระมาณ 10,000 - 4,300 ปมี าแล้ว มนุษย์ยคุ นีท้ า เครื่องมือเครือ่ งใชท้ มี่ ีความประณตี ขนึ้ สามารถทาภาชนะดินเผาใชใ้ นชวี ติ ประจาวันโดยมีทงั้ ภาชนะแบบผิวเกล้ียง และมีลวดลายที่เกิดจากการใช้เชอื กทาบ แหล่งท่ีพบหลักฐานยคุ หนิ กลาง เช่น ทถี่ ้าไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี
15 1.3 ยคุ หนิ ใหม่ มอี ายุประมาณ 4,300 ปีมาแล้ว มนษุ ย์ยคุ นี้รูจ้ ักการตั้งถน่ิ ฐานทาเกษตรกรรม เลยี้ งสัตว์ ทาเครื่องมือหินขัดท่ีมีความคม มผี วิ เรยี บ ทาเครอ่ื งปนั้ ดินเผาแบบ สามขา เชน่ ทีบ่ า้ นเชยี ง จังหวดั อบุ ลราชธานี บา้ นเก่า จงั หวดั กาญจนบรุ ี 2) ยุคโลหะ แบง่ ออกได้ดงั น้ี 2.1 ยุคสาริด มีอายุประมาณ 3,500 ปมี าแล้ว ดงั พบหลักฐานเคร่ืองมือสาริด ท่ีเป็นอาวุธ เครอ่ื งประดับ เครื่องมือเคร่ืองใช้ กลองสารดิ เคร่ืองปนั้ ดนิ เผาลายเขยี นสี เช่น ทีบ่ า้ นเชยี ง จงั หวดั อดุ รธานี 2.2 ยุคเหล็ก มอี ายปุ ระมาณ 2,500 ปีมาแลว้ ดงั พบเครื่องมือเหล็กทท่ี นทาน และใช้ประโยชน์ได้มากกวา่ เครอ่ื งมือสาริด เช่น ท่ีบา้ นดอนตาเพชร จงั หวดั กาญจนบรุ ี สงั คมยุคนีม้ คี วาม ซบั ซอ้ นมากข้นึ มกี ารติดต่อกับต่างถ่นิ มีชนชัน้ ดังจะเห็นไดจ้ ากการฝงั ศพ ทบ่ี างศพมขี ้าวของเคร่ืองใช้ และเคร่ืองประดบั มากมาย แสดงถงึ การเปน็ บุคคลสาคัญ 3.2 สมยั ประวตั ศิ าสตร์ สมัยประวตั ิศาสตรเ์ ป็นสมัยท่ปี รากฏหลกั ฐานลายลักษณ์อักษร หลักฐานสมัยประวตั ิศาสตรท์ ี่ เก่าแก่ทสี่ ุดในดินแดนไทย คือ ศิลาจารึก ในหลายพื้นท่พี บศิลาจารึกท่ีอยูใ่ นช่วงเวลาเดียวกนั เช่น ท่ีศรีเทพ จงั หวัดเพชรบรู ณ์ ทีซ่ บั จาปา จังหวัดลพบุรี ส่วนจารึกทีป่ รากฏศักราชชัดเจนทสี่ ดุ คือ จารกึ อักษรปัลลวะ เปน็ ภาษาสันสกฤตและเขมร พบที่ปราสาทเขาน้อย จังหวัดปราจนี บุรี ระบมุ หาศักราช 559 หรือตรงกับ พ.ศ. 1180 สาหรบั การแบง่ สมยั ประวตั ศิ าสตร์ในดนิ แดนไทยโดยละเอยี ดมีดังน้ี 1) สมัยอาณาจักรรนุ่ แรก ๆ นบั ช่วงเวลาก่อนการตงั้ อาณาจักร สโุ ขทยั เช่น อาณาจักรทวารวดี (พทุ ธศตวรรษท่ี 11-16) อาณาจกั รละโว้ (พุทธศตวรรษที่ 12-18) หลักฐานทาง ประวตั ิศาสตรท์ ส่ี าคัญ เช่น ศลิ าจารกึ เหรียญจารึก รัฐโบราณเหลา่ นมี้ ีการสรา้ งสรรค์อารยธรรมภายใน และ มกี ารรบั และแลกเปลย่ี นอารยธรรมจากภายนอก เชน่ การรบั พระพุทธศาสนา ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู การ ติดต่อค้าขายกับพ่อค้าตา่ งแดน เปน็ ต้น 2) สมยั สุโขทยั ตง้ั แตก่ ารสถาปนากรุงสุโขทยั เม่ือ พ.ศ. 1792 จนสุโขทัยถูกรวมเขา้ กับ กรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2006 สมยั สโุ ขทัยเปน็ ชว่ งทม่ี ีการสร้างสรรคว์ ฒั นธรรมไทยหลายประการ เชน่ ตัวหนงั สอื การนบั ถือพระพุทธศาสนา การสร้างสรรคศ์ ิลปะท่มี ีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตนเอง เชน่ เจดยี ท์ รงดอก บัวตมู หรือทรงพุม่ ข้าวบิณฑ์ พระพุทธรปู ปางลลี า เปน็ ตน้ 3) สมยั อยธุ ยา ตั้งแต่ พ.ศ. 1893 - 2310 สามารถแบง่ ออกเป็นสมัยย่อยได้อีก โดยแบง่ ตามสมัยของราชวงศ์และแบ่งตามลักษณะสาคัญของประวัติศาสตร์ 3.1 แบ่งตามราชวงศ์ที่ปกครอง ไดแ้ ก่ ราชวงศ์อ่ทู อง (พ.ศ. 1893-1913 และ พ.ศ. 1931-1952) ราชวงศ์สพุ รรณภมู ิ (พ.ศ. 1913-1931 และ พ.ศ. 1952-2112) ราชวงศส์ ุโขทัย (พ.ศ. 2112-2173) ราชวงศป์ ราสาททอง (พ.ศ. 2173-2231) ราชวงศ์บา้ นพลูหลวง (พ.ศ. 2231-2310) 3.2 แบ่งตามลักษณะสาคัญของประวตั ศิ าสตร์ ได้แก่ (1) สมยั การวางรากฐานและการสรา้ งความม่ันคง เรม่ิ ตงั้ แต่การตงั้ อาณาจักรเป็นสมยั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีท่ี 1 (อู่ทอง) ใน พ.ศ. 1893 จนถงึ สมัยสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ในพ.ศ. 1991 เป็นชว่ งท่ีอาณาจักรยังมขี นาดเล็ก ต่อมาได้ขยายอานาจไปโจมตีอาณาจักร ขอม ทาใหร้ าชสานกั อยธุ ยาไดร้ ับวฒั นธรรมขอมเข้ามา รวมทงั้ การทาการคา้ กับตา่ งชาติ เชน่ จนี
16 (2) สมยั แห่งความมน่ั คงทางการเมืองและเจริญรุง่ เรอื งทางเศรษฐกจิ เรมิ่ ตั้งแต่ พ.ศ. 1991 ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถถึงสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ใน พ.ศ. 2231 เป็นชว่ งทีร่ ะบบการปกครองมีระเบยี บแบบแผน มีความมน่ั คง มกี ารติดต่อค้าขายกับตา่ งชาตอิ ยา่ งกวา้ งขวาง (3) สมัยเสือ่ มอานาจ ตั้งแต่ พ.ศ. 2231-2310 เปน็ สมัยทีม่ ีกบฏ ภายใน มกี ารแยง่ ชิงอานาจกันเองหลายครง้ั สง่ ผลใหร้ าชสานกั อ่อนแอและเสยี กรงุ ใน พ.ศ. 2310 (4) สมัยธนบุรี ตง้ั แต่ พ.ศ. 2310-2325 เปน็ สมยั ของการฟนื้ ฟู บ้านเมืองหลงั เสยี กรุงศรีอยุธยา มกี ารทาสงครามเกือบตลอดเวลา (5) สมยั รตั นโกสนิ ทร์ ตัง้ แต่ พ.ศ. 2325-ปัจจุบนั มกี ารแบ่งเปน็ สมยั ยอ่ ยโดยยึดตามการเปลยี่ นแปลงของบ้านเมืองและการปกครองร่วมกนั โดยแบ่งไดด้ ังนี้ 5.1 สมัยรัตนโกสินทรต์ อนตน้ ตงั้ แต่ พ.ศ. 2325- 2394 อยใู่ นชว่ งสมยั รัชกาลที่ 1-รัชกาลท่ี 3 เป็นช่วงการฟนื้ ฟูอาณาจักรในทุกดา้ นต่อจากสมัยธนบุรี 5.2 สมยั รัตนโกสนิ ทร์ยุคกลางปรับปรุงประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ. 2394-2495 อยใู่ นช่วงสมยั รชั กาลที่ 4-รชั กาลท่ี 7 เป็นช่วงทม่ี ีการตดิ ต่อกับต่างชาติ มกี ารปรบั ปรุง ประเทศให้ทนั สมยั ตามแบบตะวันตก จนถงึ การเปลยี่ นแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย 5.3 สมัยประชาธิปไตย ตัง้ แต่ พ.ศ. 2475 จนถึง ปจั จบุ ัน เปน็ ชว่ งทมี่ กี ารปกครองแบบประชาธิปไตย มีรฐั ธรรมนญู เป็นกฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ ประชาชนมีสทิ ธเิ สรีภาพทางการเมือง บ้านเมอื งขยายตวั อย่างรวดเร็ว ตารางเปรยี บเทยี บประวัตศิ าสตรไ์ ทยกบั ประวัตศิ าสตร์สากล
17 เปรยี บเทยี บเวลาและยุคสมัย เหตุการณ์สาคญั ของโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
18
19
20
21 บรรณานุกรม กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2546). วนั วาร กาลเวลา นานาศักราช. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พ์ครุ ุสภา ลาดพรา้ ว จินตนา มัธยมบุรษุ . (2535). เทคนคิ การสอนวชิ าประวัตศิ าสตร์. เชยี งใหม่: คณะวชิ ามนุษยศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ วิทยาลยั ครเู ชียงใหม่. เฉลมิ มลิลา. (2523). เทคนิควธิ กี ารสอนประวตั ิศาสตร์. กรุงเทพฯ: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั รามคาแหง. ชาญวทิ ย์ เกษตรศิรแิ ละคณะ. (2527). ปรชั ญาประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: มลู นิธโิ ครงการตารา สงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตร์. ดนยั ไชยโยธา. (2527). ประวตั ศิ าสตร์นพิ นธ์ 1. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. ดนัย ไชยโยธา. (2537). พฒั นาการวิธีการเขยี นประวตั ิศาสตร์กบั ปรชั ญาประวตั ิศาสตร์. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร์. ราชบัณฑติ ยสถาน. (2539). พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. ธติ มิ า พิทักษ์ไพรวนั . (2507). ประวัตศิ าสตร์ท่วั ไป. ไทยวัฒนาพานชิ : กรงุ เทพมหานคร วทิ ยา ปานะบุตร. (2534). คู่มือสังคมศกึ ษา ม. 6 ฉบบั สมบรู ณ์. กรุงเทพฯ: มิตรสัมพันธ์ กราฟฟคิ อารต์ . สืบแสง พรหมบญุ . (2524). หนังสอื เรยี น สังคมศกึ ษา รายวชิ า ส 605. กรุงเทพฯ: อักษรเจริญทัศน์. https://yuttasin090.wordpress.com/category https://yuttasin090.wordpress.com/category/
Search
Read the Text Version
- 1 - 21
Pages: