สโตนเฮจน์ Stonehenge ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์และวฒั นธรรมเพื่อการศึกษารอ้ ยเอ็ด สานกั งานส่งเสรมิ การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศยั
สโตนเฮจน์ (Stonehenge) วงหนิ สโตนเฮจน์ อนุสรณ์สถานท่ีต้ังอยบู่ นท่ีราบซัลลสิ เบอร์รี (Salisbury Plain) ทางตอนใต้ของประเทศอังกฤษ สามารถมองเหน็ ไดอ้ ย่างชัดเจนเพราะบริเวณโดยรอบน้ันไม่มี สง่ิ ปลกู สรา้ งอ่ืนใดเลย นักโบราณคดเี ชอื่ ว่า วงหินสโตนเฮจนถ์ ูกสร้างข้นึ เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีกอ่ นคริสตศักราช โดยอาจเป็นท่ปี ระกอบพิธีกรรมบางอยา่ ง เช่น พธิ ีศพ แตใ่ นมมุ มองของนักดาราศาสตรเ์ ชื่อว่า วงหินสโตนเฮจน์ ถูกสรา้ งขน้ึ มาเพื่อใช้เปน็ ปฏทิ นิ หรืออาจ ใชเ้ พอ่ื คานวณทางดาราศาสตร์ เชน่ การคานวณตาแหนง่ การเกดิ สุรยิ ุปราคา และอาจเปน็ สถานท่ี สงั เกตการณ์ทางดาราศาสตร์ดว้ ย วงหนิ สโตนเฮจน์ประกอบด้วยแท่งหนิ ขนาดใหญจ่ านวน 112 กอ้ น วางเรียงกนั เปน็ วงกลม 3 วงถัดออกไปด้านนอก เปน็ คนู า้ ทข่ี ุดเป็นวงกลมลอ้ ม วงหนิ สโตนเฮจน์เอาไว้ การก่อสรา้ งสโตนเฮนจ์ ใช้เวลาสรา้ งต่อเน่อื งกันมาถึง 3-4 ระยะ ในช่วงเวลาประมาณ 1,500 ปี คานวณจากการที่หินแต่ละกอ้ น แตล่ ะช้นั มีอายุไมเ่ ทา่ กัน มาจาก ต่างยุคกัน ต้งั แตย่ คุ หนิ ตอนปลายจนถึงยคุ สาริดตอนตน้ สิ่งทีน่ า่ สงสัยคอื บรเิ วณที่ราบดังกล่าว ไมม่ ีกอ้ นหินขนาดมหึมานอ้ี ยเู่ ลย ท่ีน่าจะเป็นไปได้มากที่สดุ คอื มาจาก “ทุ่งมาร์ลโบโร” (Marlborough Downs) ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 40 กิโลเมตร และยังมหี นิ สีนา้ เงนิ หนกั สตี่ นั ซง่ึ พบไดบ้ รเิ วณภูเขาพรเี ซลที างตะวันตกเฉยี งใต้ของแควน้ เวลส์ (สนั นิษฐานว่า ใช้แพลาเลียงล่อง มาตามชายฝ่งั เวลสแ์ ละแมน่ า้ เอวอน แล้วชกั ลากตอ่ มาทางบก) เรือ่ งน่าพศิ วง คอื คนในยคุ นน้ั เขา เอาอะไรมายกแทง่ หนิ ที่มีน้าหนกั กว่า 30 ตนั แถมยงั ต้องลากมาจากสถานทอ่ี ื่นอนั ห่างไกล ดูแลว้ สมัยนั้นไมน่ า่ มีเครอื่ งท่นุ แรงอย่างทีเ่ ราใชก้ ันอยู่ในปัจจบุ นั ยงั ไม่รวมถงึ เรื่องที่ตอ้ งนาหนิ มาขัดแตง่ ให้มคี วามเหลี่ยม ความมน มีสลกั และเดือยซงึ่ จะทาให้หินพาดกันได้อยา่ งพอดี มีความมั่นคง กลา่ วกนั ว่าเปน็ ฝมี อื ของมนษุ ยต์ ่างดาวท่มี าเยอื นโลก โดยใช้เทคโนโลยลี า้ สมัยในการสรา้ ง บ้างก็ว่า เปน็ ผลงานศิลปะของยักษใ์ นยุคก่อน สุดท้ายกย็ งั ไม่มใี ครทราบวัตถุประสงคใ์ นการสรา้ ง มขี อ้ สันนิษฐานมากมาย ยกตวั อย่างที่มคี นพูดถงึ กนั มาก เชน่ 1. ผคู้ นในช่วงคริสตศ์ ตวรรษท่ี 18 และ 19 เช่ือว่าเปน็ วหิ ารซึ่งพวกลัทธดิ รูอดิ ใช้ประกอบ พธิ บี ชู าพระอาทิตย์และบชู ายญั มนษุ ย์ แค่แนวความคิดนไี้ มน่ า่ จะเป็นไปได้ เพราะสโตนเฮนจ์น้ัน สร้างเสร็จอย่างนอ้ ย 1,000 ปกี ่อนลทั ธดิ ังกล่าวจะเฟ่ืองฟู 2. ใชเ้ ป็นสถานทรี่ กั ษา ผู้เชี่ยวชาญดา้ นเสียงและดนตรีจากมหาวิทยาลัยฮดั เดอรฟ์ ลิ ด์ ค้นพบว่า แท่งหนิ มหึมาท่ีตงั้ ตระหงา่ นเป็นวงกลมเหนือเนินดนิ สามารถสะทอ้ นเสียงไดอ้ ย่างวิเศษ นักวจิ ยั คาดว่าดนตรีท่ีเล่นกนั บรเิ วณสโตนเฮนจ์ คงเป็นเพลงที่มีจงั หวะธรรมดาซา้ ๆ และใหส้ ะทอ้ น
ก้องอยู่ในบริเวณนัน้ ตรงกันกบั เทคโนโลยีกลศาสตร์นาโน ซ่งึ เป็นเทคโนโลยีชว่ ยปรบั ปรุงงานวิจัย ดา้ นการแพทย์ ด้านการผ่าตัด การผลิตอาหาร และเชื้อเพลิง 3. สร้างเพื่อศกึ ษาด้านดาราศาสตร์ สงั เกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกดิ ข้นึ บนทอ้ งฟา้ เช่น สุรยิ ุปราคา จนั ทรปุ ราคา เป็นเครอื่ งคานวณยุคก่อนประวตั ศิ าสตรซ์ ่งึ ใช้เป็นปฏทิ ินดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์ เพราะแนวของหินกลมุ่ ก้อนต่าง ๆ ลว้ นมีความสัมพนั ธก์ ับแนวการเคล่อื นของ ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และดาวพระเคราะหท์ ง้ั สิ้น ในหนงั สือ Megalith เปดิ เผยวา่ มกี าร ตรวจสอบลกั ษณะทางเรขาคณิตของสโตนเฮนจ์ แลว้ ได้ข้อสรุปทน่ี า่ สนใจยิง่ ว่ามันถูกสร้างขึ้นโดย นกั ดาราศาสตร์ผู้เช่ียวชาญทเี่ ข้าใจวงโคจรของดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และวฏั จกั รการเกดิ สุริยุปราคาเป็นอยา่ งดี และไดส้ ร้างปฏทิ นิ หนิ ขนาดใหญ่โดยใช้ความรทู้ างเรขาคณติ ข้นั สงู Robin Heath หนงึ่ ในผรู้ ่วมเขยี นหนังสือ ไดเ้ สนอว่ามีรูปสามเหลยี่ มพีทาโกรสั ในพ้นื ท่ีขององั กฤษ ทเ่ี กดิ จากการเชอ่ื มโยงของสถานทสี่ าคญั ยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ ไดแ้ ก่ สโตนเฮนจ์ทางตอนใต้ Preseli bluestones ในเวลส์ และเกาะ Lundy Island พที าโกรัสนกั คณิตศาสตร์ชาวกรีกโบราณ ผ้มู ชี ีวิตอยูใ่ นช่วงเวลาราว 500 ปกี อ่ นคริสต์ศักราช ได้ค้นพบทฤษฏีบทสาคญั ของเรขาคณิต เกยี่ วกบั รูปสามเหลีย่ มมุมฉาก ทีบ่ อกวา่ ผลรวมของค่า กาลังสองของความยาวดา้ นประกอบฉาก เท่ากบั ค่ากาลังสองของความยาวดา้ นตรงข้ามฉาก หรือ สูตรอนั โดง่ ดงั a² + b² = c² ซง่ึ ชว่ ยใหช้ ่างก่อสรา้ งใชใ้ นการสร้างมมุ ฉากที่สมบรู ณแ์ บบไดส้ าเร็จ
มานานนับพนั ปีมาแลว้ หนงั สอื เล่มใหมน่ ี้ ไดร้ ะบวุ ่าภายในสโตนเฮนจม์ รี ูปส่ีเหลี่ยมผนื ผา้ ที่เกิดจาก แทง่ หนิ 4 แทง่ ท่ีเมอื่ แบ่งด้วยเส้นทแยงมุม จะไดร้ ปู สามเหล่ยี มพีทาโกรสั ท่ีสมบรู ณแ์ บบดว้ ย อัตราสว่ นของความยาวด้านเทา่ กบั 5:12:13 เสน้ 8 เส้นท่ลี ากตอ่ จากรูปส่ีเหลย่ี มผืนผา้ และ สามเหลย่ี มยงั สอดคล้องอย่างแมน่ ยากับวันสาคญั ในปฏิทนิ ยุคหนิ ใหม่อย่างเช่น วนั ครษี มายัน (summer solstice) วนั ท่ีมกี ลางวนั ยาวนานทีส่ ดุ ในรอบปี, วันเหมายัน (winter solstice) วนั ที่มี กลางคนื ยาวนานท่ีสุดในรอบปี, วนั วสนั ตวษิ ุวตั (spring equinox) และวนั ศารทวษิ วุ ัต (autumnal equinox) ซง่ึ สองวนั หลงั น้ี คอื วนั ที่ดวงอาทติ ย์อยู่ในตาแหนง่ ตง้ั ฉากกับเสน้ ศูนย์สตู ร ของโลกพอดี นอกจากน้มี นั ยงั กาหนดวันสาคญั ในสมยั โบราณ ได้แก่ วัน Imbolc วนั เริ่มตน้ ฤดใู บไมผ้ ลิ, วนั Lammas วนั เรมิ่ ตน้ ฤดูเก็บเกีย่ ว และวัน Samhain ตรงกบั วนั ที่ 31 ตลุ าคม ซึง่ เปน็ ประเพณี ที่มกี ารนาสัตวเ์ ลย้ี งมาฆ่าบูชายัญที่ตอ่ มากลายเป็นวันฮาโลวนี “ผคู้ นมักคิดว่าบรรพบุรษุ ของเราเป็นมนุษยถ์ า้ ที่หยาบกรา้ น แตพ่ วกเขาเปน็ นักดาราศาสตร์ ผเู้ ช่ียวชาญ” John Matineau ผรู้ ่วมเขยี นหนังสอื อกี คนหน่ึงกล่าว “พวกเขาใช้ทฤษฏบี ท เรขาคณติ ของพที าโกรัสเมื่อกว่า 2,000 ปกี อ่ นท่พี ที าโกรัสจะเกดิ ” ใกล้ๆกบั สโตนเฮนจห์ า่ งออกไปทางตะวันออกเฉยี งเหนือราว 2 ไมล์ มสี ิ่งก่อสร้างยุคเดียวกันคือ Woodhenge ซ่ึงก็สรา้ งขึ้นโดยใช้สามเหล่ยี มมุมฉากดว้ ยเช่นกัน แตเ่ ปน็ สามเหลีย่ มทอี่ ตั ราส่วน
ความยาวดา้ นเท่ากับ 12:35:37 สามเหล่ยี มพีทาโกรัสยังถูกพบที่ Avebury ภายในวหิ าร Druid Temple ในสกอตแลนด,์ วงกลมหนิ แคสตเ์ ลอร์รกิ ก์ (Castlerigg Stone Circle) ทีเ่ มอื ง Keswick ทางตะวันตกเฉยี งเหนอื ขององั กฤษ, วงกลมหิน Borrowston Rig และ Daviot Stone Circle ใน สกอตแลนด์ แมว้ งกลมหินเหล่านจี้ ะไม่ได้เปน็ รปู วงกลมเต็มวง แต่มกี ารใช้เรขาคณติ ของ สามเหลี่ยมพที าโกรสั ซ่งึ มักจะใช้ในอัตราสว่ นของตัวเลขเตม็ จานวนหนว่ ยวดั ในสมัยน้นั โดยอาจจะ มกี ารใชเ้ ชอื กและหมุด “นเ่ี ปน็ การละเลยต่อประวตั ศิ าสตร์ของวิทยาศาสตรค์ ร้งั สาคัญที่เราไมไ่ ด้ มองเห็นอนสุ รณ์สถานเหล่าน้ีอยา่ งท่มี ันเป็น” Robin Heath กลา่ ว “ผคู้ นเหน็ ผสู้ รา้ งสโตนเฮนจ์ เป็นคนป่าเถ่ือน แมพ้ วกเขาเรียนรู้มากมาย แต่มนั ถูกลืมไปหมดแลว้ ” 4. เปน็ สถานที่ประกอบพิธีศพ และเปน็ อนุสรณส์ ถานแหง่ ความตายของกลุ่มชนช้นั สงู ในยุคกอ่ นประวัติศาสตร์ จากการขดุ พบโครงกระดูกของมนุษย์โบราณ ฝังอยู่ในบริเวณดังกลา่ ว ต้ังแตป่ ระมาณเม่ือ 3,000 ปีก่อนครสิ ต์ศักราช ซง่ึ เป็นชว่ งเวลาเดียวกันกับทสี่ โตนเฮนจเ์ ริ่มถกู สรา้ งข้ึน และคาดว่านา่ จะถูกใชเ้ ป็นสถานท่ีประกอบพธิ ีศพสาหรับชนชัน้ สูง ในสมยั ยุคหินยาวนาน ต่อเนอ่ื งกันไมต่ า่ กวา่ 500 ปี อยา่ งไรก็ดี แมผ้ ลการพิสูจนโ์ ครงกระดกู ทถี่ ูกขดุ มาจากบริเวณ สโตนเฮนจ์จะบ่งชวี้ ่า สโตนเฮนจถ์ ูกใช้เปน็ สุสาน กไ็ มไ่ ดห้ มายความวา่ นั่นคอื จุดประสงคแ์ รกมนุษย์ ยคุ กอ่ นสรา้ งสโตนเฮนจ์ขึ้นมา ถึงทฤษฎีทั้งหลายในปัจจบุ ัน จะสามารถพสิ จู นไ์ ดเ้ ป็นเหตุเปน็ ผล มีหลกั ฐาน มีตัวเลขสถิติ สนบั สนนุ วา่ เปน็ ความจริง แต่ก็ยงั ไมม่ ที ฤษฎไี หนเลยท่จี ะไขปรศิ นาอันลกึ ลับดามืดของ สโตนเฮนจ์ ได้อยา่ งกระจ่างสมบรู ณ์ ภาพจาก www.express.co.uk
อา้ งอิง http://travel.truelife.com/ https://travel.mthai.com/world-travel/96220.html https://telegraph.co.uk https://www.takieng.com/stories/10089
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: