1 “เทคนิคการตง้ั คาถามและการจดั กิจกรรมการสอนแบบ Critical Thinking” โดย คณะกรรมการดาเนนิ การจดั การความรู้ ดา้ นการผลติ บณั ฑิต ปี 2561 1. เทคนิคการตงั้ คาถาม ในโลกแหง่ ศตวรรษที่ 21 มนุษย์เราได้รับขอ้ มลู ขา่ วสารมากมายในสงั คมแห่งการเรียนรู้ (Knowledge Base Learning) บุคคลจงึ ต้องรจู้ ักคิดเพอื่ คัดกรองขอ้ มลู ข่าวสาร ดงั น้ันผสู้ อนจงึ ต้องฝึกฝน ผู้เรยี นให้เป็นนกั คิดโดยการใช้คาถามเป็นตวั กระต้นุ ซ่ึงการใชค้ าถามสามารถทาไดต้ ัง้ แตค่ าถามง่ายๆ จนใช้ ความคดิ ขน้ั สูง การใช้คาถามมีความสาคัญมากในการชว่ ยกระตุ้นให้ผเู้ รยี นเกดิ การพฒั นาทางความคิด คาถามจะทาใหผ้ เู้ รยี นมแี งม่ มุ ความคิดทแ่ี ปลกใหม่ เกดิ การอภปิ รายอยา่ งกวา้ งขวางนาไปสคู่ วามเขา้ ใจและ เกดิ การเรียนรูต้ ามจุดมงุ่ หมายท่ีกาหนดไว้ การใชค้ าถามในการสอนเพ่ือใหน้ ักศึกษาคดิ เชิงวิพากษไ์ ดน้ ั้น ครจู ะตอ้ งเตรยี มพรอ้ มสาหรับ การออกแบบคาถามมาเป็นอย่างดี โดยยึดจดุ มุ่งหมายหรือวัตถปุ ระสงคข์ องบทเรยี น เชน่ การตั้งคาถามชวนให้ เปรยี บเทียบเพ่อื ทวนสอบความเขา้ ใจในเนือ้ หาของแตล่ ะบทเรยี น ใช้คาถามช่วงไหนของการสอน : 1. ช่วงนาเข้าสบู่ ทเรียน : คาถามใชเ้ ปน็ ส่อื สาหรบั สารวจและทบทวนพน้ื ความรเู้ ดมิ และประสบการณเ์ ดิมของผู้เรยี น คาตอบของผเู้ รียนจะเปน็ สอ่ื นาไปสูก่ ารเรียนการสอนบทเรียนใหมแ่ ละประสบการณใ์ หม่ เช่น ตง้ั คาถามจากขา่ วสารปจั จุบนั เนน้ ประเด็นทีน่ า่ สนใจ โดยพยายามโยงเข้าสูเ่ น้อื หาที่จะ สอน ซึง่ เทคนิคการตง้ั คาถามเข้าสูบ่ ทเรียนในแตล่ ะครง้ั ขึน้ อย่กู ับหวั ขอ้ บริบทของเนื้อหาและประเด็นตา่ งๆ ใน หัวขอ้ นน้ั ๆ 2. ชว่ งกจิ กรรมการเรยี นการสอน : คาถามใช้กระต้นุ ความสนใจของผเู้ รยี น ผสู้ อนอาจใช้คาถามเพอ่ื เร้าความสนใจของผเู้ รยี นได้ ทกุ ข้นั ตอนในการเรียนการสอน คาถามจะใชเ้ ป็นสงิ่ เชอ่ื มโยงหรอื เรมิ่ ตน้ การสนทนาระหวา่ งผูส้ อนกบั ผู้เรียน เพราะผู้เรียนจะตอบคาถามผู้สอนได้ หากสนใจเรียนตลอดเวลา เช่น วิชาภาษาอังกฤษ การใชค้ าถามกระตนุ้ ให้นกั ศึกษากล้าทีจ่ ะพูดใหม้ ากท่สี ดุ เพราะ ความกล้าคอื จุดเรม่ิ ต้นของการกลา้ พูดแสดงความคดิ เหน็ คาถามใช้เสรมิ สร้างความสามารถทางความคิดให้แก่ผู้เรยี น ชว่ ยให้ผเู้ รียนฝกึ คิดหาคาตอบ หาเหตผุ ล และหาความรู้ได้ดว้ ยตนเอง
2 เชน่ วิชาการออกเสียงภาษาจนี จะต้ังคาถามให้นักศึกษาคิด เช่น ทาอย่างไรจึงจะออกเสียง ไดง้ ่ายข้นึ และให้นักศกึ ษาเปรียบเทียบโดยวเิ คราะหถ์ ึงจุดทค่ี ลา้ ยและจดุ ทม่ี คี วามแตกตา่ งกนั ซ่ึงการตัง้ คาถาม ลกั ษณะนี้ คอื การฝึกใหน้ กั ศกึ ษามีความละเอียดลออและช่างสังเกตเกีย่ วกับระบบการออกเสยี งอีกดว้ ย คาถามทด่ี จี ะชว่ ยใหม้ ีการอภิปรายตอ่ เน่อื ง เป็นการขยายความคิดและแนวทางในการเรยี นรู้ และขอ้ สรุปหลักเกณฑ์ใหม่ๆ เชน่ วิชา อาเซียนศึกษา ภายหลังให้นกั ศกึ ษาชมสารคดีเรือ่ งเก่ยี วกับการจัดการเรยี นการ สอนของประเทศสมาชกิ อาเซียน แบ่งกลุ่มทากิจกรรมระดมสมอง เพ่ือหาคาตอบร่วมกัน ซึ่งคาตอบจะไม่มี ถูกหรอื ผดิ ตวั อย่างคาถาม เชน่ ในฐานะท่คี ณุ เป็นประชากรวยั แรงงานคนหน่ึงของประชาคมอาเซยี น จงบอก ปัญหาทค่ี ุณวติ กกงั วลในชีวิตการทางานในอนาคต และบอกวิธีการเตรียมตัวพร้อมเผชิญกับปัญหาดังกล่าว อย่างไร คาถามชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมสี ว่ นรว่ มในการเรยี นการสอน เชน่ ทาใหผ้ ู้เรียนมีโอกาสตอบคาถาม เสนอความคิดเหน็ และต้งั คาถาม รวมทง้ั ได้ร่วมกจิ กรรมอ่ืนๆ ด้วย เชน่ รายวชิ าออกแบบคอมพวิ เตอร์ จะให้โจทยก์ ับนกั ศกึ ษาเพือ่ คดิ จินตนาการและออกแบบ ผลิตภัณฑ์ของตน หลังจากนั้นจะให้นักศึกษานาเสนอผลงานโดยครูและเพื่อน ๆ จะช่วยกัน ตง้ั คาถามและให้ขอ้ เสนอแนะตา่ ง ๆ ต่อกัน เพอื่ นาไปปรับปรงุ และพฒั นาผลงานให้ดขี น้ึ คาถามชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นพยายามค้นควา้ หาความรใู้ หม่เพิม่ เติม เพื่อท่จี ะนามาตอบคาถามของ ผสู้ อน 3. ชว่ งสรปุ บทเรยี น : คาถามใช้ช่วยทบทวนหรือสรปุ บทเรียนให้เปน็ ท่เี ขา้ ใจตรงกนั เชน่ ในการสรุปบทเรียน ครูอาจต้งั คาถาม เชน่ นกั ศึกษาสามารถนาความร้ทู ไ่ี ดไ้ ปปรับใช้ใน การดาเนินชีวิตด้านใดบ้าง หรอื นักศกึ ษามีข้อเสนอแนะอย่างไรบ้าง หลังจากน้ันครูและนักศึกษาร่วมกันสรุป บทเรียนจากชนิ้ งานของนักศึกษาท่ีได้วพิ ากษไ์ ปแลว้ คาถามใช้ช่วยประเมนิ ผลการเรียน ทัง้ ของผู้เรียนและการสอนของผ้สู อน เชน่ นักศึกษาไดเ้ รยี นร้อู ะไรบ้างจากกิจกรรมน้ี บทบาทผู้สอนในการใช้คาถาม 1. ผูส้ อนคอยอานวยความสะดวก โดยฟังการต้งั คาถามของผู้เรียน และการอภปิ ราย โดย พยายามชกั จงู กระตุ้นให้ผู้เรยี นคนอืน่ ๆ เขา้ มามีส่วนรว่ มในการอภปิ ราย 2. ผสู้ อนสง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดใ้ ช้จินตนาการ และเนน้ ย้ากับผู้เรียนว่า ไม่มีคาตอบท่ีผิดหรือ ถูกทีสุด 3. ผสู้ อนควรหลกี เลยี่ งการถามและตอบทช่ี ี้นา แตค่ วรถามคาถามใหเ้ กิดการอภปิ รายเกียว กบั ปญั หาภายในกลุ่มผู้เรียน การอภิปรายจะแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในมโนทัศน์ทีถ่ ูกหรอื ผิดของผู้เรียน
3 4. ผู้สอนต้องคิดตามไปดว้ ยในแต่ละคาถาม เพื่อให้พร้อมในการสนับสนุนและเสนอแนะ การแก้ปัญหานนั้ ๆ หรอื กระตนุ้ ให้คิดแก้ปัญหาในขัน้ ตอนตอ่ ๆ ไป 5. ฝึกการใช้ศิลปะในการถาม การใช้คาถามเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ผู้สอนจึงต้องมี การศกึ ษาลักษณะของคาถามทด่ี ี ฝกึ การใช้ศลิ ปะในการถาม และฝกึ ฝนเพื่อใหเ้ กิดทักษะในการใช้คาถามท่ีดี เทคนิคการใชค้ าถาม การใชค้ าถามมีประโยชนต์ อ่ ผู้เยนอยา่ งมาก ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรู้ได้ดีหรือไม่ มากน้อย เพยี งใดข้นึ อยู่กับการถามคาถามของผูส้ อนเปน็ สาคัญประการหนง่ึ ถา้ ผ้สู อนมเี ทคนคิ ในการใช้คาถามจะทาให้ การเรยี นการสอนมคี ุณค่า ซง่ึ เทคนิคในการใชค้ าถามสรุปได้ดงั น้ี 1.ไม่เจาะจงผ้ตู อบ ในการถามไม่ควรเจาะจงผู้ตอบหรือถามผู้เรียนตามลาดับ เพราะการ รู้ตัวมาก่อนว่าจะตอบเมื่อใดนนั้ จะทาให้ผตู้ อบไม่สนใจคาถามอื่นๆ การเรียนร้จู งึ ไม่เกิดขนึ้ 2. ถามให้ท่ัวถึง ในการใช้คาถามไม่ควรถามซ้าผู้เรียนคนเดิมบ่อยคร้ัง เพราะการปฏิบัติ ดงั นีผ้ เู้ รียนคนอ่ืนๆ จะเกิดความน้อยใจท่ีผู้สอนไม่เห็นความสาคัญของตน จึงทาให้ไม่สนใจบทเรียน ควรมี การถามทงั้ รายบุคคล ถามทงั้ ชน้ั และถามผ้เู รยี นให้ทวั่ ถึง 3. ให้โอกาสคดิ ในการตง้ั คาถามไมค่ วรเร่งรัดคาตอบจากผเู้ รียนมากเกินไป เมอ่ื ถามคาถาม ไปแล้วควรเปิดโอกาสให้เด็กหยุดคดิ คน้ หาคาตอบบา้ ง 4. ใช้ภาษาง่ายแต่เร้าความสนใจ การใช้คาถามควรใช้ภาษาพูดง่ายๆ แล้วใช้น้าเสียง ทา่ ทางประกอบเพอื่ เร้าความสนใจของผตู้ อบ เนน้ เสียงในจดุ สาคญั ของคาถาม ใช้ท่าทางถามแทนคาพูด มี การกวาดสายตาไปรอบๆ ชน้ั เรยี นในขณะถาม รับคาตอบด้วยสหี นา้ แววตา หรือคาพดู ซึง่ จะเป็นการกระตุ้น ให้ผู้เรียนอยากตอบมากขึ้น 5. ให้กาลังใจ ขณะท่ผี ูต้ อบหยดุ คิดหรือลังเลในการท่จี ะตอบออกไป ผู้สอนควรให้กาลังใจ ไมค่ วรคาดค้ันคาตอบหรอื แสดงความเบ่อื หนา่ ย หรอื เรยี กผู้อนื่ ตอบแทน เพราะจะทาให้ผเู้ รียนเสียกาลังใจ 6. เปดิ โอกาสให้ตอบ ในการตอบคาถามหนึ่ง ผู้สอนไม่ควรคิดว่าต้องให้เด็กคนเดียวตอบ คาถามนัน้ ควรเปดิ โอกาสให้ผเู้ รยี นหลายๆ คนได้ตอบ เพราะจะเป็นการกระจายความคดิ และทาให้มขี ้อสรุป ท่ดี ี 7. ใหต้ อบตรงประเดน็ ในการตอบคาถามของผู้เรียนอาจได้คาตอบที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง หรือไมค่ ่อยมีเหตุผลนกั ผสู้ อนควรหาวิธที จ่ี ะทาให้ผเู้ รียนเขา้ ใจ และสามารถหาคาตอบที่ถูกต้องได้ ไม่ควร ปลอ่ ยใหผ้ เู้ รยี นเข้าใจอยา่ งผิดๆ ตอ่ ไป โดยอาจถามคาถามหใหม่หรอื อธบิ ายเพิ่มเติม 8. ชื่นชม ทบทวน หากผู้เรียนตอบถูก ผู้สอนควรแสดงความชื่นชม หากตอบผิดผู้สอน ควรให้กาลงั ใจและอาจให้เพอ่ื นช่วยตอบ หากไมต่ อบเลยผ้สู อนควรทวนคาถามหรืออธิบายคาถามซา้ อีกครัง 9. ไมถ่ ามเองตอบเอง คณุ ค่าของการสอนโดยใช้คาถามจะหมดไปถ้าครูเป็นผู้ถามเองตอบ เองหรือถามคาถามในลักษณะท่ีทบทวนความจาผูเ้ รียนมากเกินไป
4 10. เปน็ กนั เอง สร้างบรรยากาศท่ีเป็นกันเองในห้องเรียน เพื่อให้ผู้เรียนรู้สึกอยากมีส่วน รว่ มในการตอบคาถาม 11. หลากหลายคาตอบ ในการตอบคาถามหนง่ึ ๆ ควรใหผ้ ้เู รียนช่วยกันหาคาตอบในหลายๆ แนว ไม่ควรจากดั เฉพาะคาตอบเดยี ว 12. ถามให้สมั พนั ธก์ ับประสบการณ์ ใช้คาถามท่ผี เู้ รียนมคี วามรู้และประสบการณ์เพียงพอ 13. ไม่ถามคนขาดเรียน ไมค่ วรเลือกถามผ้เู รียนที่ขาดเรียนตอบหรือเป็นบุคคลท่ีบกพร่อง ทางการพูด 14. ทบทวนคาถามตนเอง ควรวิเคราะห์คาถามที่เคยใช้ถามไปแล้ว เพ่ือนามาปรับปรุง แก้ไขไวใ้ ช้ในโอกาสตอ่ ไป 2. การจดั กจิ กรรมการสอนแบบ Critical Thinking การใชค้ าถามสง่ เสริมการคิดวิเคราะห์ การใช้คาถามเพ่อื พัฒนาใหเ้ ดก็ มีความสามารถในการคดิ วิเคราะห์สามารถกระทาได้ โดยใช้ ลักษณะการคดิ วิเคราะห์ของบลูม (Bloom,1956 อา้ งองิ ใน ชยั วัฒน์ สทุ ธริ ัตน์. 2555: 48-59) ท้ัง 3 ลักษณะ ดงั นี้ 1. วิเคราะหค์ วามสาคัญ เชน่ วิชา ภาษาไทยเพ่อื การส่ือสาร 2. วเิ คราะห์ความสัมพันธ์ เชน่ วชิ า เศรษฐกิจพอเพยี งเพื่อการดาเนินชวี ิต 3. วิเคราะห์หลักการ เช่น วิชา พทุ ธศาสนาและประติมานวิทยา มาเปน็ กรอบการตั้งคาถามให้เด็กคดิ ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ 1. วเิ คราะห์ความสาคัญ หมายถึง การแยกแยะสง่ิ ทก่ี าหนดมาให้วา่ อะไรสาคญั หรือ จาเปน็ หรอื มบี ทบาทมากที่สุด ส่ิงไหนเป็นเหตุ ส่งิ ไหนเป็นผล ดังตัวอย่าง 3 ลกั ษณะต่อไปนี้ 1.1 วิเคราะห์ชนดิ เป็นการตั้งคาถามให้ผู้เรยี นวินจิ ฉยั ว่า สง่ิ นั้นๆ เหตุการณ์น้นั ๆ จดั เป็นชนิดใด ลกั ษณะใด เพราะเหตุใด เชน่ - “ภาวะโลกรอ้ น” เปน็ ปญั หาดา้ นใด ? - “อยา่ ชงิ สุกก่อนหา่ ม” เป็นขอ้ ความชนดิ ใด ? - คนเป็นโรคเอดส์มากขึน้ เพราะเหตใุ ด ? 1.2 วิเคราะห์ส่งิ สาคัญ เป็นการวนิ จิ ฉยั ว่าสิ่งใดสาคัญ ส่ิงใดไม่สาคญั เป็นการ คน้ หาสาระสาคัญ ข้อความหลกั ข้อสรปุ จดุ เดน่ จุดดอ้ ยของสง่ิ ต่างๆ เชน่ - สาระสาคัญของเรอื่ งทอ่ี า่ นคืออะไร ? - ควรตงั้ ชื่อเร่อื งน้ีวา่ อยา่ งไร ? - บคุ คลใดมบี ทบาทสาคญั ตอ่ การเปลยี่ นแปลงด้านเทคโนโลยี สารสนเทศของโลก ?
5 1.3 วเิ คราะห์เลศนัย เป็นการม่งุ คน้ หาสิง่ ที่แอบแฝงซ่อนเรน้ หรืออย่เู บื้องหลงั จากส่งิ ท่เี ห็น ซ่ึงมิไดบ้ ่งบอกตรงๆ แตม่ รี ่องรอยของความจริงซอ่ นเรน้ อยู่ เช่น - จากเหตุการณน์ ี้ได้ใหบ้ ทเรยี นอะไร ? - ภาพน้หี มายถงึ ใคร ? - น้าทว่ มปี 2554 ควรตาหนใิ คร ?
6 แนวการสอนวชิ า ภาษาไทยเพอื่ การสอ่ื สาร รหัสวิชา 111-01-02 ช่ือหน่วย การรับสาร บทเรยี นท่ี 6 เวลา 3 คาบ ผสู้ อน : อาจารยจ์ ีรรตั น์ เพชรรัตนโมรา ช่อื บทเรียน 6 การฟังเพ่ือการสือ่ สาร 6.1 ความรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกบั การฟงั 6.1.1 ความหมายของการฟัง 6.1.2 จุดมุ่งหมายของการฟัง 6.1.3 กระบวนการฟัง 6.1.4 มารยาทในการฟัง 6.2 การพัฒนาทกั ษะการฟัง 6.2.1 การฟงั สารให้ความรู้ 6.2.2 การฟงั สารโนม้ นา้ วใจ 6.2.3 การฟังสารจรรโลงใจ จุดประสงค์การสอน 6.1 เข้าใจความรู้พนื้ ฐานเก่ยี วกับการฟงั 6.1.1 อธบิ ายความหมายของการฟงั ได้ 6.1.2 บอกจุดมงุ่ หมายของการฟงั ได้ 6.1.3 อธบิ ายถึงกระบวนการฟงั ได้ 6.1.4 อธิบายมารยาทในการฟงั ได้ 6.2 เขา้ ใจแนวทางการพฒั นาทักษะการฟัง 6.2.1 อธิบายแนวทางการพฒั นาทักษะการฟังสารให้ความรู้ได้ 6.2.2 อธบิ ายแนวทางการพัฒนาทกั ษะการฟังสารโน้มนา้ วใจได้ 6.2.3 อธบิ ายแนวทางการพัฒนาทักษะการฟังสารจรรโลงใจได้ เน้ือหาสาระ 6. การฟงั เพื่อการสอ่ื สาร การฟังนั้นเก่ียวข้องกับการสอื่ สารโดยตรง เพราะการฟงั คอื การรบั สารวิธหี นง่ึ ที่มีมากอ่ นการอ่าน เปน็ ทักษะการรับสารทใี่ ช้มากทีส่ ดุ ในชีวติ ประจาวัน การพัฒนาทกั ษะการฟังจึงเป็นสิ่งจาเป็นในโลกยุคข้อมูล ข่าวสาร เพราะนอกจากจะทาให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลแล้ว ผู้ท่ีรับสารด้วยการฟังย่อมจะได้รับประโยชน์ โดยตรง หากพัฒนาทักษะการฟังจนสามารถฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ย่อมสามารถนาสารน้ัน มาพัฒนา
7 ความรู้ ความคดิ และความสามารถของตน ให้เกิดประโยชน์ได้ ท้ังในชีวิตประจาวัน การศึกษา ตลอดจนการ ประกอบอาชพี 6.1 ความรู้พ้ืนฐานเกีย่ วกับการฟัง 6.1.1 ความหมายของการฟัง การฟัง หมายถึง การรับสารวิธีหน่ึง โดยหูทาหน้าที่รับเสียงที่ได้ยิน และส่งให้สมองแปล ความหมาย คิดวเิ คราะห์และประมวลผล จนเกดิ การรับสารและสามารถตอบสนองได้ เร่มิ จากการได้ยินเสียง แลว้ เชอื่ มโยงเสยี งท่ไี ด้ยินกับประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับความหมายของถ้อยคา แปลความหมายหรือ ตคี วามจนเข้าใจสารท่ีฟัง อาจมกี ารคดิ วเิ คราะห์หรือประเมนิ คา่ สาร ขึน้ อยกู่ ับประเภทของสารและจดุ มงุ่ หมาย ของผูฟ้ งั ก่อนทจ่ี ะทาใหเ้ กิดการตัดสนิ ใจและการตอบสนอง การฟังน้ันต่างจากการได้ยิน เพราะการได้ยินเป็นเพียงข้ันตอนแรกของการฟัง หากว่าหูได้ยิน เสียงแตไ่ มส่ นใจที่จะรับสาร สมองไม่ได้คดิ อะไร ไมไ่ ด้ทาหน้าที่แปลความหมายหรอื ประมวลผล ไมส่ ามารถรับ สารใดใดได้กเ็ ป็นแต่เพยี งการได้ยิน โดยไม่ไดฟ้ งั ย่อมจะไม่เกดิ ประโยชนใ์ ดใดในการสอ่ื สาร ในการฟังสว่ นใหญ่ ผฟู้ งั มักจะดูไปดว้ ย ท้งั ดภู าพและฟังเสียง ปัจจุบนั เมือ่ กล่าวถึงการฟัง จึงมัก รวมถึงการดูไปพรอ้ มกันดว้ ย 6.1.2 จุดมงุ่ หมายของการฟงั 1. การฟังสารให้ความรู้ 2. การฟังสารโนม้ นา้ วใจ 3. การฟังสารจรรโลงใจ 6.1.3 ทกั ษะการฟัง 1. การฟงั จับใจความ ใจความคือสาระสาคัญของเนื้อหา การฟังจับใจความ จึงหมายถึงฟงั แลว้ สามารถบอกได้ว่าสาระสาคัญของสารคอื อะไร ผพู้ ดู มปี ระเด็นสาคัญอะไรบ้าง 2. การฟังสรปุ ความ หมายถึงการฟังเนอื้ หาสาระท้งั หมดจนเข้าใจ จับใจความ ได้ และเรียบเรียงสิ่งทีไ่ ด้ฟงั ข้ึนใหมอ่ ยา่ งเปน็ ระบบดว้ ยภาษาของตนเองได้ เพื่อเกบ็ เนื้อหาสาระที่สาคัญและมี ประโยชน์ไปใช้ ผู้ฟงั จาเปน็ ตอ้ งจดบนั ทกึ ในขณะทฟี่ งั และนามาทบทวนเรียบเรียงใหม่อกี คร้งั 3. การฟงั วิเคราะหส์ าร หมายถงึ ฟังแลว้ พิจารณาแยกเปน็ สว่ นๆอยา่ งละเอียด เชน่ จุดมงุ่ หมายของผสู้ ง่ สาร เนอื้ หา แนวคิด กลวิธีการนาเสนอ การใชภ้ าษา และคณุ คา่ ของสารน้ัน 4. การฟังวนิ ิจสาร คอื การฟงั สารทม่ี ีความซับซอ้ นใหต้ อ้ งตคี วาม ไม่สามารภ แปลความหมายอย่างตรงไปตรงมา สารชนิดน้ีมักไม่บอกความหมายโดยตรงหรือไม่บอกทั้งหมด อาจใช้ส่ิงท่ี เปน็ สญั ลักษณ์ หรือการเสนอเรอ่ื งราว แล้วให้ผฟู้ ังตคี วามเองว่าความหมาย หรอื แนวคิด หรือจุดมุ่งหมายของ สารนัน้ คอื อะไร 5. การฟงั ประเมนิ คา่ ผู้ฟังทมี่ ที กั ษะการฟงั ในระดบั สงู จะสามารถประเมินค่า ได้ว่าส่ิงที่ฟังนั้น ดีหรือไม่ดี น่าเชื่อถือหรือไม่ มีคุณค่ามากน้อยเพียงใด โดยใช้ความรู้ความคิด และ
8 ประสบการณ์ ตัดสนิ สารและผสู้ ่งสารอยา่ งมีเหตผุ ล การฟงั ประเมนิ ค่า ได้ จะทาให้ผู้ฟังสามารถกลน่ั กรองสาร เลือกฟังและรับสารทีด่ มี ีประโยชน์ ไปใชใ้ นการปฏบิ ตั ติ น ใช้ในการทางาน หรอื ในชีวติ ประจาวันได้ 6.1.4 มารยาทในการฟงั ในสถานการณ์ที่ผู้พูดและผู้ฟังอยู่ในสถานที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นการสนทนาหรือ การพูดในทีป่ ระชมุ ชน มารยาทในการฟงั จะทาใหก้ ารส่อื สารเปน็ ไปอยา่ งราบร่ืน มีบรรยากาศท่ดี รี ะหว่างผู้พูด กบั ผู้ฟงั มารยาทในการฟังอาจกล่าวได้พอสงั เขปดงั น้ี 1. มีท่าทางเหมาะสมในการฟังเพื่อแสดงความสนใจต่อผู้พูด เช่นน่ังตัวตรง หรือโน้มตัวไปทางผ้พู ูด มองสบตาผู้พูดเสมอ มีสหี นา้ เป็นมิตรยม้ิ แยม้ แจ่มใส ไม่ทากจิ กรรมอ่นื ในขณะทฟี่ ัง 2. แสดงปฏิกริ ยิ าตอบสนองต่อผูพ้ ดู เช่น พยักหน้ารับเพื่อแสดงว่าเข้าใจหรือ เหน็ ด้วย ปรบมอื เมื่อมีการแนะนาผพู้ ดู หวั เราะบา้ งตามสมควร 3. ตั้งใจฟังและมีความอดทนท่ีจะฟังจนจบโดยไม่ลุกออกไปกลางคันโดยไม่ จาเป็น 4. ฟงั ดว้ ยใจท่ีเปน็ กลาง ไมค่ ดิ แตจ่ ะคัดคา้ นผ้พู ูดอยูต่ ลอดเวลา ไม่แสดงกิริยา เบ่อื หนา่ ย หงุดหงิด หรอื กา้ วรา้ ว 5. ไม่สนทนากบั ผู้อืน่ หรือทากิจกรรมอนื่ 6.2 การพฒั นาทกั ษะการฟัง 6.2.1 การฟงั สารใหค้ วามรู้ ได้แก่ฟังการบรรยายทางวิชาการ การอภิปราย การฟังข่าวสารทางวิทยุ จุดมุ่งหมายของผู้ฟงั คอื การนาสารนน้ั มาพัฒนาความรู้ของตน มีแนวทางในการพฒั นาทักษะการฟัง ดงั น้ี 1. เตรยี มความพร้อมก่อนฟงั 2. ฟงั อย่างมสี มาธิ 3. ซกั ถาม 4. จดบนั ทกึ และสรปุ ความ 6.2.2 การฟงั สารโนม้ นา้ วใจ หมายถึงการฟังสารที่ผู้พูดมีเจตนาที่จะโน้มน้าว หรือชักจูงใจ ให้เชื่อตาม คิดตาม หรอื ปฏิบตั ิตาม ไดแ้ ก่ โฆษณา การปราศรยั หาเสียง การโตว้ าที คาเชิญชวนขอร้อง ชักจูงต่างๆ มีแนวทางใน การพฒั นาทักษะการฟัง ดงั น้ี 1. รับสารรอบด้าน 2. ปราศจากอคติ 3. ใช้วิจารณญาณในการฟงั 4. หาจดุ มงุ่ หมาย 5. พจิ ารณากลวธิ ี
9 6.2.3 การฟังสารจรรโลงใจ คือการฟังสารเพื่อพัฒนาจิตใจ อารมณ์ และคุณธรรม จรรโลงใจหมายถงึ ยกระดับจติ ใจให้สงู สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ จินตนาการและความซาบซึง้ และยังใหค้ วามเพลิดเพลิน ผ่อนคลาย ได้แก่ การฟงั พระธรรมเทศนา ฟงั เพลง ฟังและดรู ายการบันเทงิ ต่างๆ มแี นวทางในการพัฒนาทักษะการฟงั ดงั นี้ 1. ฟงั ดว้ ยจติ ใจสบาย ผูฟ้ ังควรฟงั ดว้ ยจติ ใจสบายไม่เคร่งเครียด เลือกสารที่มี คณุ คา่ เหมาะกบั ตนเอง อาจพจิ ารณาว่าวา่ สารน้ันใหค้ วามจรรโลงใจในแง่ใด อย่างไร และเพยี งใด 2. ขยายจินตนาการ ในขณะท่ีฟังสารจรรโลงใจ เช่นเพลง ภาพยนตร์ บทกวี ควรปลอ่ ยใจให้อิสระ สรา้ งจนิ ตนาการไปตามลกั ษณะของสารนั้นๆ 3. เขา้ ใจสาระสาคัญ แม้ว่าสารจรรโลงใจจะเป็นการฟังเพ่ือความผ่อนคลาย สบายใจ แต่ในสารยอ่ มจะกลอ่ มเกลาจติ ใจและเปน็ ประโยชน์ ดงั นัน้ ผู้ฟังควรฟังอย่างเข้าใจและจบั สาระสาคญั ใหไ้ ด้ วิธีการสอนและกจิ กรรม 1. ผสู้ อนบรรยาย 6.1.1-6.1.3 พร้อมทัง้ ให้นักศกึ ษาซักถาม และยกตัวอยา่ งประกอบ วิธีการบรรยายจะเริ่มจากการตั้งคาถามนักศึกษาเพื่อระดมความคิด ก่อนจะช่วยกันสรุปเป็น หลกั การ หรอื ทฤษฎี 2. นกั ศึกษาชว่ ยกันสรุปสารให้ความร้ทู ่ไี ด้รับ 6.1.1-6.1.3 3. คาถามปลายเปิดให้นักศึกษาร่วมอภิปราย บอกลักษณะของผู้ฟังที่นักศึกษาชอบ และบอก ลกั ษณะของผ้ฟู ังทนี่ ักศกึ ษาไมช่ อบ แล้วสรปุ เป็น 6.1.4 มารยาทในการฟัง 4. ผู้สอนให้ฟังเพลงท่ีกาหนดไว้ โดยเปิดจาก Youtube และนักศึกษาร่วมวิเคราะห์ และแสดง ความคดิ เห็นในหัวข้อต่อไปนี้ จุดมงุ่ หมาย เน้ือหา กอ้ นหนิ กอ้ นนัน้ ก่อนมะลิบาน ฤดูทแ่ี ตกตา่ ง ฯลฯ ภาษา เรือรกั กระดาษ ของขวญั จากกอ้ นดิน ฯลฯ กลวธิ ีการนาเสนอ ไม้ขีดไฟกับทานตะวัน จอมยุทธ์ ฯลฯ คุณค่าทางดนตรี แนวเพลง ทานอง จงั หวะ การขบั รอ้ ง ทกุ เพลงทีเ่ ลือกมา 5. นักศึกษาวเิ คราะห์เพลงที่นักศกึ ษาเลอื กเอง สอื่ การสอน เอกสารอา้ งองิ เอกสารประกอบ โสตทศั นวสั ดุ Power point youtube งานท่มี อบหมาย 1. นักศึกษาเลอื กฟงั เพลงทช่ี อบและคิดว่ามคี ุณคา่ 1เพลง แลว้ วเิ คราะห์ในประเด็นตอ่ ไปน้ี จดุ มุง่ หมาย เนื้อหา การใชภ้ าษา องค์ประกอบอ่นื ๆ การวัดผลและประเมนิ ผล
10 1. จากการเขา้ ชน้ั เรียน 2. สงั เกตจากความตัง้ ใจเรยี น 3. ซกั ถามและแสดงความคดิ เห็น 4. จากผลงานวิเคราะหเ์ พลงของนกั ศกึ ษา สะทอ้ นผลการเรยี นรู้ของนักศึกษา 1. จากการสังเกต พบวา่ วธิ ีสอนโดยใช้การตงั้ คาถามเพอื่ ระดมความคิดนาไปสู่ข้อสรุป หรอื หลกั การ ทาให้นักศึกษาต่นื ตัว กระตือรอื รน้ มสี ่วนรว่ มในการเรียนรมู้ ากกว่าท่ผี สู้ อนอธิบายหลกั การเองตงั้ แต่ต้น นอกจากน้ียงั เป็นการกระตุ้นใหน้ กั ศึกษาคดิ ตลอดเวลา ไม่นง่ั ใจลอยหรอื เฉ่ือยชา ในช่วงแรกๆ นักศึกษายังไม่กล้าแสดงความคดิ เหน็ อาจเปน็ เพราะกลัวตอบผิด แต่เม่ือผสู้ อนเปดิ โอกาสให้ แสดงความคิดเห็นไดอ้ ยา่ งอิสระ โดยไม่ตัดสนิ ผิดถูกในขณะนัน้ นกั ศึกษาก็ไวว้ างใจทจี่ ะแสดงความคดิ เหน็ กนั มากขนึ้ ช่วงวเิ คราะห์เพลง นักศกึ ษากระตอื รอื ร้นมากขึ้น การใชเ้ พลงเป็นสื่อ ทาให้นกั ศกึ ษารูส้ กึ ผ่อน คลาย สนุกสนาน การแสดงความคิดเหน็ วเิ คราะหว์ จิ ารณเ์ พลง นอกจากฝกึ การรับสารแลว้ ยังพัฒนาการคิด วิเคราะห์อยา่ งมเี หตผุ ล พบว่า นกั ศกึ ษาหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์วิจารณเ์ พลงได้อย่าง น่าสนใจ หากมคี วามคดิ เห็นทีข่ ดั แยง้ กันบ้าง ผสู้ อนกค็ อยควบคุมดูแล ใหโ้ ตแ้ ยง้ กนั ด้วยเหตผุ ล นอกจากน้ียงั เป็นโอกาสแลกเปลยี่ น ทาความเขา้ ใจทรรศนะของคนต่างรนุ่ อกี ดว้ ยผู้สอนสามารถสอดแทรกคณุ ธรรม วฒั นธรรมไปพรอ้ มกนั 2. จากผลงานวิเคราะหเ์ พลงทมี่ อบหมาย พบว่านกั ศกึ ษาสว่ นใหญส่ ามารถวิเคราะหไ์ ด้อย่างมเี หตผุ ล ครบถว้ นตามหวั ข้อท่กี าหนด แตจ่ ะสมบูรณ์ หรือดี มากนอ้ ยตา่ งกันไป อาจขึ้นอยกู่ บั ประสบการณ์ เวลาและ ความต้ังใจของแตล่ ะคน นอกจากความสามารถในการคิดวเิ คราะห์แลว้ คุณภาพของงาน ยงั ข้ึนอยู่กับทกั ษะการเขียนของ นกั ศกึ ษาดว้ ย จะมีนกั ศกึ ษาเพยี ง 3-4 คน ในแต่ละห้อง เขยี น เรยี บเรยี งความคดิ ออกมาไดอ้ ย่างสละสลวย เปน็ บทความวเิ คราะหว์ ิจารณเ์ พลงท่นี ่าอ่าน แตส่ ่วนใหญ่วิเคราะห์วจิ ารณไ์ ด้ แต่กลับเขียนถ่ายทอดได้ไมด่ นี ัก แมว้ า่ จะบรรลจุ ดุ มงุ่ หมายพฒั นาทกั ษะการฟงั แล้ว ผู้สอนยงั อาจใช้งานชิน้ นี้เพอ่ื พฒั นาทักษะการเขยี นของ นกั ศึกษาต่อไป ขอ้ เสนอแนะ 1.ผูส้ อนควรดูแลให้นกั ศึกษาได้มีส่วนรว่ ม ตอบคาถาม แสดงความคดิ เหน็ อยา่ งทัว่ ถึง 2. การสอนโดยใชค้ าถาม ใหค้ ิด วิเคราะห์ ใช้เวลานานกวา่ ท่ผี สู้ อนบรรยายเอง ดังนั้นผูส้ อนควร ระมัดระวังระวงั บรหิ ารเวลา หรืออาจปรบั ปรงุ มคอ 3 โดยเพ่ิมจาก 3 ชวั่ โมงเปน็ 6 ช่ัวโมง 3. นักศึกษาเสนอแนะ ให้ใชเ้ พลงใหมๆ่ ทนั สมัยบ้าง
11 2. วิเคราะหค์ วามสัมพันธ์ หมายถึง การคน้ หาว่าความสมั พนั ธย์ ่อยของเรอื่ งราวหรือ เหตกุ ารณ์นั้นเกี่ยวพนั อย่างไร สอดคลอ้ งหรอื ขัดแยง้ กนั อยา่ งไร ได้แก่ 2.1 วิเคราะหจ์ ุดประสงค์และวิธกี าร เปน็ การคิดท่มี งุ่ ชวนให้คิดและค้นว่าการ กระทาหรอื พฤตกิ รรมน้ันมีเปาู หมายอะไร หรือมงุ่ ใหบ้ รรลผุ ลอะไร - การวิง่ ของตูน บอดสี้ แลมจากใตส้ ดุ จรดเหนือสุด มจี ดุ มงุ่ หมายเพื่ออะไร ? - ตนู บอดส้ี แลมมีการเตรยี มตัวเพอื่ การว่งิ คร้งั น้ีอยา่ งไร ? - จากปรากฏการณ์วงิ่ ของตนู บอดสี้ แลมนกี้ ่อใหเ้ กดิ สงิ่ ใดในสงั คมไทยบ้าง ? แนวการสอนวิชา เศรษฐกจิ พอเพยี งเพื่อการดาเนินชวี ติ ช่ือหน่วย เศรษฐกิจพอเพยี งตามแนวพระราชดาริ รหสั วิชา 1-122-004 บทเรยี นท่ี 2.1 เวลา 3 คาบ ผสู้ อน : ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ประภาพร นันทการัตน์ ช่อื บทเรียน แนะนาการเรียนการสอน 1.1 หลักการทรงงานในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอย่หู วั รัชกาลที่ 9 จุดประสงคก์ ารสอน 1.1 เขา้ ใจเกย่ี วกบั หลกั การทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัวรัชกาลท่ี 9 1.1.1 บอกความหมายหลกั การทรงงานได้ 1.1.2 อธบิ ายการประยุกตใ์ ชห้ ลกั การทรงงานเพอ่ื การดาเนินชีวติ ได้ 1.1.3 อธิบายการประยกุ ตใ์ ช้หลักการทรงงานเพ่ือการทางานได้ 1.1.4 อธบิ ายการประยุกต์ใช้หลักการทรงงานเพอ่ื การพัฒนาประเทศได้
12 เนือ้ หาสาระ หลักการทรงงานในพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตลอดระยะเวลา 70 ปีทพ่ี ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงครองราชย์ พระราชกรณียกิจที่พระองค์ ทรงปฏิบัติล้วนเพื่อบาบัดทุกข์บารุงสุขให้แก่ประชาชนชาวไทยได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีข้ึน ทรงเข้าไป ช่วยเหลือราษฎรทั้งด้านสาธารณสุข การศึกษา สาธารณูปโภคข้ันพ้ืนฐาน การเกษตร การฟ้ืนฟู ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม ทงั้ ดนิ นา้ ปาุ ไม้ และพลังงาน แม้กระทัง่ การจราจร การทรงงานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรง เป็นการดาเนินงานในลักษณะทางสายกลางที่ สอดคลอ้ งกบั วถิ ชี ีวติ ของสังคมไทย และสามารถปฏิบตั ไิ ดจ้ ริง โดยทรงเน้นการพัฒนาคนเป็นตัวต้ัง และยึด หลักผลประโยชน์ของปวงชน และการมีส่วนร่วมตัดสินใจของประชาชน ตลอดจนภูมิสังคมท่ีคานึงความ แตกต่างกันในแต่ละพ้ืนที่ และการพ่ึงตนเอง โดยรู้จักประมาณตนและดาเนินการด้วยความรอบคอบ ระมดั ระวงั และทาตามข้ันตอนอยา่ งบูรณาการ ซึง่ อาศยั ความ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และการ “รู้ รัก สามัคคี” ของทุกฝุาย ส่งผลให้ประชาชนสามารถพ่ึงตนเองได้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ สังคม มีเทคโนโลยีท่ี เหมาะสม ดาเนินการไดอ้ ย่างประหยัด และใช้ทรัพยากรอย่างยงั่ ยืน อันนาไปสชู่ ุมชนและสังคมทีเ่ ขม้ แข็ง สานักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ (กปร.) ได้ รวบรวมหลักการทรงงานไว้มคี วามหลากหลายถึง 23 หลักการ (สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ. 2551: 3-39) ท่ปี ระชาชนสามารถนาไปใชด้ ้านการดาเนินชีวิตในสังคมและการทางานได้ ตามความเหมาะสม ดงั น้ี 1. ศกึ ษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ การทจ่ี ะพระราชทานโครงการใดโครงการหนึ่ง จะทรงศกึ ษาข้อมูลรายละเอียดอย่างเปน็ ระบบ ทง้ั ขอ้ มลู เบ้ืองต้นจากเอกสาร แผนที่ สอบถามจากเจ้าหน้าที่ นกั วิชาการ และราษฎรในพืน้ ท่ี ให้ได้ รายละเอียดทีถ่ ูกตอ้ ง เพอื่ ทจ่ี ะพระราชทานความชว่ ยเหลอื ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง รวดเร็ว ตรงตามความตอ้ งการ ของประชาชน 2. ระเบดิ จากขา้ งใน พระองค์ทรงมุ่งเนน้ เรื่องการพฒั นาคน ระเบดิ จากขา้ งใน หมายความวา่ ตอ้ งสร้างความเขม้ แข็ง ให้กับคนในชุมชนท่ีเราเข้าไปพัฒนามีสภาพพร้อมท่ีจะรับการพัฒนาเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกมาสู่สังคม ภายนอก มิใชก่ ารนาเอาความเจริญหรือบุคคลจากสงั คมภายนอกเข้าไปหาชุมชนสังคมที่ยังไม่ทันได้มีโอกาส เตรียมตวั 3. แก้ปญั หาทจ่ี ุดเลก็ ในการแก้ปัญหาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมองปัญหาในภาพรวม (Macro) ก่อน เสมอแต่การแก้ปัญหาของพระองค์จะเร่ิมจากจุดเล็กๆ (Micro) คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าท่ีคนมักจะ มองขา้ ม 4. ทาตามลาดบั ขน้ั ในการทรงงาน พระองค์จะทรงเริ่มตน้ จากสิ่งท่จี าเป็นของประชาชนทส่ี ดุ กอ่ น ได้แก่ สาธารณสขุ เมื่อ
13 ประชาชนมรี า่ งกายสมบรู ณแ์ ขง็ แรงแลว้ กจ็ ะสามารถทาประโยชน์ด้านอืน่ ๆ ตอ่ ไปได้ จากนน้ั จะเปน็ เร่อื ง สาธารณูปโภคข้นั พ้ืนฐานและสง่ิ จาเปน็ ในการประกอบอาชพี อาทิ ถนน แหลง่ นา้ เพื่อการเกษตร การ อุปโภคบรโิ ภค ทเ่ี ออื้ ประโยชนต์ อ่ ประชาชนโดยไม่ทาลายทรัพยากรธรรมชาติ รวมถงึ การใช้ความรู้ทาง วิชาการและเทคโนโลยที ่ีเรียบง่าย เนน้ การปรับใชภ้ ูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินทรี่ าษฎรสามารถนาไปปฏิบตั ิไดแ้ ละเกิด ประโยชนส์ ูงสุด 5. ภมู ิสังคม การพัฒนาใดๆ ตอ้ งคานึงถงึ สภาพภมู ปิ ระเทศของบรเิ วณนั้นวา่ เปน็ อย่างไร และสงั คมวิทยาเกยี่ วกบั นิสัยใจคอของคน ตลอดจนวฒั นธรรมประเพณใี นแตล่ ะท้องถ่ินทีม่ ีความแตกต่างกนั 6. องคร์ วม ทรงมวี ธิ ีคิดอย่างองค์รวม (Holistic) หรือมองอย่างครบวงจร ในการท่จี ะพระราชทานพระราชดาริ เกยี่ วกับโครงการหนึ่งนน้ั จะทรงมองเหตกุ ารณท์ ่ีจะเกิดขน้ึ และแนวทางแก้ไขอย่างเชื่อมโยง เช่น กรณีของ “ทฤษฎใี หม่” เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพแนวทางหนงึ่ ทพ่ี ระองค์ทรงมองอยา่ งองค์รวม ตั้งแต่การถือ ครองท่ดี นิ โดยเฉล่ียประมาณ 10-15 ไร่ การบริหารจัดการท่ีดินและแหล่งน้า เมื่อมีน้าในการทาเกษตรแล้ว จะส่งผลให้ผลผลิตดีขึ้นและหากมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น เกษตรกรจะต้องรู้จักวิธีการจัดการและการตลาด รวมถึงการรวมกลมุ่ รวมพลงั ชมุ ชนใหม้ คี วามเขม้ แข็ง เพอื่ พรอ้ มท่ีจะออกส่กู ารเปล่ยี นแปลงของสงั คมภายนอก ไดอ้ ย่างครบวงจร นน่ั กค็ ือ ทฤษฎใี หมข่ ั้นที่ 1 2 และ 3 7. ไม่ตดิ ตารา การพฒั นาตามแนวพระราชดารใิ นพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั มลี กั ษณะของการพฒั นาที่ อนโุ ลมและรอมชอมกับสภาพธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสภาพของสงั คมจติ วทิ ยาแหง่ ชุมชน คือ “ไม่ติด ตารา” ไม่ผกู มดั ตดิ กบั วิชาการและเทคโนโลยที ่ไี มเ่ หมาะสมกับสภาพชีวติ ความเปน็ อยทู่ ี่แท้จริงของคนไทย 8. ประหยัด เรียบงา่ ย ได้ประโยชน์สงู สุด การพฒั นาและการชว่ ยเหลือราษฎรทรงใชห้ ลักในการแก้ปัญหาด้วยความเรยี บงา่ ย และประหยดั ราษฎรสามารถทาเองได้และหาไดใ้ นท้องถ่นิ และประยกุ ตใ์ ชส้ งิ่ ทมี่ ีอยใู่ นภมู ิภาคนน้ั ๆ มาแกป้ ญั หาโดยไม่ตอ้ ง ลงทุนสูงหรอื ใช้เทคโนโลยีทีไ่ มย่ งุ่ ยากนัก 9. ทาให้ง่าย ดว้ ยพระอัจฉริยภาพ และพระปรชี าสามารถในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว ทาใหก้ ารคดิ คน้ ดัดแปลง ปรับปรุง และแก้ไขงานการพัฒนาประเทศตามแนวพระราชดาริดาเนินไปได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ซับซ้อน และทส่ี าคญั อย่างยิ่ง คอื สอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็นอยู่และระบบนิเวศโดยส่วนรวม ตลอดจน สภาพทางสงั คมของชุมชนนน้ั ๆ ทรงโปรดทจ่ี ะทาสงิ่ ที่ยากให้กลายเป็นง่าย ทาส่ิงที่สลับซับซ้อมให้เข้าใจง่าย เป็นการแก้ปญั หาดว้ ยการใชก้ ฎของธรรมชาติเป็นแนวทางนั่นเอง แต่การทาสิ่งยากให้กลายเป็นง่ายนั้นเป็น ของยาก ฉะนั้น “การทาใหง้ ่าย” จงึ เป็นหลกั คิดสาคญั ทสี่ ุดของการพฒั นาประเทศในรูปแบบของโครงการอัน เนื่องมาจากพระราชดาริ 10. การมีส่วนรว่ ม
14 พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ทรงนา “ประชาพจิ ารณ์” มาใช้ในการบรหิ าร เพอื่ เปิดโอกาสให้ ประชาชนและเจา้ หน้าที่ทกุ ระดบั ได้มารว่ มกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับเร่ืองท่ีจะต้องคานึงถึงความคิดเห็น ของประชาชนหรอื ความต้องการของสาธารณชน 11. ประโยชนส์ ว่ นรวม การปฏบิ ตั พิ ระราชกรณียกจิ และการพระราชทานพระราชดาริในการพฒั นา และช่วยเหลือพสก นิกร พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวระลึกถงึ ประโยชน์ของสว่ นรวมเปน็ สาคัญ 12. บรกิ ารรวมท่ีจุดเดยี ว การบริการรวมท่จี ุดเดยี วเปน็ รูปแบบการบรกิ ารแบบเบ็ดเสร็จหรอื One Stop Services ทเี่ กดิ ขน้ึ เป็นครัง้ แรกในระบบบรหิ ารราชการแผน่ ดินของประเทศไทย โดยทรงให้ศนู ยศ์ กึ ษาการพฒั นาอันเน่ืองมาจาก พระราชดาริเป็นต้นแบบในการบริการรวมที่จุดเดียว เพ่ือประโยชน์ของประชาชนที่มาขอใช้บริการ จะ ประหยัดเวลาและค่าใช้จา่ ย โดยมีหนว่ ยงานราชการต่างๆ มาร่วมดาเนินการและให้บริการประชาชน ณ ที่ แหง่ เดยี ว 13. ทรงใช้ธรรมชาติ ช่วยธรรมชาติ ทรงเขา้ ใจถงึ ธรรมชาติ และตอ้ งการให้ประชาชนใกลช้ ิดกับธรรมชาติ ทรงมองอย่างละเอียดถึง ปัญหาธรรมชาติ หากเราต้องการแก้ไขธรรมชาติจะต้องใช้ธรรมชาติเข้าช่วยเหลือ เช่น การแก้ปัญหาปุา เสือ่ มโทรมไดพ้ ระราชทานพระราชดาริ การปลกู ปาุ โดยไมต่ ้องปลกู โดยปล่อยให้ธรรมชาติช่วยฟื้นฟูธรรมชาติ หรือ การปลูกปุา 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง ได้แก่ ปลูกไม้เศรษฐกิจ ไม้ผล และไม้ฟืน นอกจากได้ ประโยชน์ตามชอื่ ของไม้แล้วยงั ช่วยรักษาความชมุ่ ชน้ื ให้แกพ่ นื้ ดินดว้ ย 14. ใช้อธรรมปราบอธรรม ทรงนาความจรงิ ในเรอ่ื งความเป็นไปแห่งธรรมชาติ และกฎเกณฑข์ องธรรมชาติมาเปน็ หลกั การ แนวปฏบิ ัตทิ ่ีสาคัญในการแก้ปัญหาและปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงสภาวะท่ีไมป่ กติเขา้ สรู่ ะบบท่เี ป็นปกติ เช่น การ นานา้ ดขี บั ไล่นา้ เสยี หรอื เจือจางนา้ เสยี ใหก้ ลบั เป็นนา้ ดีตามจังหวะการข้ึนลงตามธรรมชาตขิ องนา้ การบาบดั นา้ เน่าเสียโดยใช้ผักตบชวาซงึ่ มตี ามธรรมชาติให้ดดู ซมึ สงิ่ สกปรกทีป่ นเปอ้ื นในนา้ 15. ปลูกปา่ ในใจคน เป็นการปลูกปุาดว้ ยความตอ้ งการอยรู่ อดของมนษุ ย์ ทาให้ต้องมีการบริโภคและใช้ทรัพยากร อยา่ งสิ้นเปลอื ง เพื่อประโยชน์ของตนเองและสร้างความเสียหายให้แก่สิ่งแวดล้อม ปัญหาความไม่สมดุลจึง เกดิ ขน้ึ ดงั นน้ั ในการทจ่ี ะฟืน้ ฟทู รพั ยากรธรรมชาติให้กลบั คนื มาจะต้องปลูกจิตสานึกในการรักผืนปุาให้แก่คน เสียก่อน 16. ขาดทนุ คอื กาไร หลักการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ที่มีต่อประชาชนชาวไทย “การให้” และ “เสยี สละ” เปน็ การกระทาอนั มีผลเป็นกาไรคอื ความอยดู่ กี ินดีของราษฎร 17. การพ่ึงตนเอง การพฒั นาตามแนวพระราชดารัส เพอ่ื แกไ้ ขปัญหาในเบือ้ งตน้ ด้วยการแกไ้ ขปญั หาเฉพาะหน้า
15 เพ่ือให้มีความแข็งแรงพอทจี่ ะดารงชีวติ ไดต้ อ่ ไป แลว้ ขัน้ ตอ่ ไปก็คือการพัฒนาใหป้ ระชาชนสามารถอยใู่ นสังคม ได้ตามสภาพแวดล้อมและสามารถ “พงึ่ ตนเอง” ไดใ้ นท่ีสดุ 18. พออยพู่ อกิน การพฒั นาประเทศ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรงเขา้ พระราชหฤทัยในสภาพปญั หาทท่ี าให้ ราษฎรต้องตกอยู่ในวงจรแหง่ ความยากจน จากนน้ั ไดพ้ ระราชทานความช่วยเหลือให้ราษฎรมคี วามกินดีอยดู่ มี ี ชวี ิตอยู่ในข้นั “พออยพู่ อกนิ ” ก่อน แลว้ จงึ ขยบั ขยายใหม้ ขี ีดสมรรถนะทีก่ ้าวหนา้ ตอ่ ไป 19. เศรษฐกิจพอเพยี ง ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี งเป็นปรัชญาที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวพระราชทานแกป่ ระชาชน ชาวไทยมานานกวา่ 40 ปี ตั้งแต่กอ่ นเกิดวกิ ฤตการณท์ างเศรษฐกิจ และเมอ่ื ภายหลังได้ทรงย้าแนวทางแก้ไข เพ่อื ให้รอดพ้นและสามารถดารงอยไู่ ด้อย่างม่ันคงและย่ังยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความเปลี่ยนแปลง ต่างๆ 20. ความซื่อสัตย์ สจุ รติ จริงใจตอ่ กัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ทรงเนน้ ยา้ ให้คนไทยทกุ คนได้ร่วมมือกนั ชว่ ยชาติ ดว้ ยการพฒั นา ชาติดว้ ยความซื่อสัตย์ สุจริต จรงิ ใจตอ่ กันแล้ว ประเทศไทยจะเจริญก้าวหนา้ อย่างมาก 21. ทางานอยา่ งมคี วามสขุ พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ทรงพระเกษมสาราญ และทรงมคี วามสขุ ทกุ คร้ังท่จี ะชว่ ยเหลือ ราษฎร 22. ความเพียร : พระมหาชนก จากพระราชนิพนธ์ “พระมหาชนก” กษตั ริย์ผ้มู ีความเพยี รพยายามแม้ไม่เห็นฝงั่ ก็ยงั วา่ ยน้าต่อไป เพราะถ้าไม่เพียรว่ายก็จะตกเป็นอาหารปู ปลา และไม่ได้พบเทวดาท่ีจะมาช่วยเหลือมิให้จมน้าไป เพ่ือให้ ประชาชนได้ศึกษา เหน็ ประโยชน์ของความเพียรและปฏบิ ัติตามรอยพระมหาชนก 23. รู้ รัก สามคั คี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ ัวทรงมีพระราชดารสั ในเร่อื ง “รู้ รัก สามคั คี” มาอย่างต่อเนือ่ ง ซง่ึ เป็นสามคาที่มีความหมายลกึ ซึง้ สามารถปรับใชไ้ ด้กับทกุ ยคุ สมยั รู้ : การที่เราจะลงมอื ทาสงิ่ ใดนนั้ จะต้องรูเ้ สียกอ่ น รู้ถงึ ปจั จยั ทัง้ หมด รถู้ ึงปญั หา และรู้ถงึ วิธีการ แก้ปญั หา รกั : คอื ความรกั เมอ่ื เรารู้ครบถว้ นกระบวนความแลว้ จะต้องมีความรักการพิจารณาทจี่ ะเขา้ ไปลงมือปฏิบัตแิ ก้ไขปญั หานั้นๆ สามคั คี : การท่ีจะลงมอื ปฏิบตั นิ ้ัน ควรคานงึ เสมอว่า เราจะทางานคนเดยี วไมไ่ ด้ ต้องทางาน รว่ มมือรว่ มใจเปน็ องคก์ ารเปน็ หมูค่ ณะ จงึ จะมีพลังเข้าไปแกป้ ัญหาใหล้ ลุ ่วงไปได้ด้วยดี
16 วิธีการสอนและกิจกรรม 1. ผ้สู อนอธิบายเนอื้ หาหลกั การทรงงานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 แก่นักศึกษา โดยสังเขป 2. ผูส้ อนมอบหมายงานใหน้ ักศกึ ษาทากิจกรรมกลุ่ม โดยแบ่งกลุ่มๆ ละ 4-5 คน จานวน 6 กลมุ่ 3. ผู้สอนใหน้ กั ศึกษาแต่ละกลุม่ รับผดิ ชอบในการอภิปรายในหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้ กลมุ่ 1,2 จงบอกหลกั การทรงงานทสี่ ามารถนามาใช้เป็นแนวทางการดาเนินชวี ติ ของนักศึกษาได้แก่อะไรบา้ ง กลมุ่ 3,4 จงบอกหลกั การทรงงานทีส่ ามารถนามาใช้เป็นแนวทางการทางานของนักศกึ ษาไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง กลุม่ 5,6 จงบอกหลกั การทรงงานทสี่ ามารถนามาใชเ้ ป็นหลกั การพฒั นาประเทศได้แก่อะไรบา้ ง 4. ผูส้ อนให้ตัวแทนนักศกึ ษาแต่ละกลุม่ นาเสนอผลงานหน้าชัน้ เรียน 5. ผสู้ อนสรุปความหมายและการประยุกต์ใชห้ ลักการทรงงาน พร้อมทั้งสรุปผลการเรยี นรใู้ นการ ทางานกล่มุ ร่วมกัน ส่ือการสอน เอกสารอ้างองิ หมายเลข 12 17 31 เอกสารประกอบ หมายเลข 1-1 1-3 โสตทศั นวสั ดุ หมายเลข 1-2 งานทมี่ อบหมาย 2. ทาบนั ทึกบัญชรี ายรับรายจา่ ยประจาวัน การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. จากการเขา้ ชนั้ เรยี น 2. สังเกตจากความตัง้ ใจเรียน 3. ซกั ถาม 4. จากผลงาน สะทอ้ นผลการเรยี นรขู้ องนักศึกษา ผลการร่วมกนั อภิปรายภายในกลมุ่ ต่อหวั ขอ้ ท่ไี ด้รบั มอบหมาย นกั ศึกษาได้สรุปผลการเรียนรู้ได้ ดงั น้ี 1. เขา้ ใจหลกั การทรงงานและสามารถนาไปปรบั ใช้ในชวี ิตประจาวนั ไดจ้ ริง 2. สามารถนาความรนู้ ไี้ ปเผยแพรแ่ กผ่ ูอ้ ืน่ ได้ 3. ได้แลกเปลี่ยนความคิดเหน็ ในการทางานกลมุ่ ร่วมกัน รู้จักการรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผ้อู ่นื 4. มีความกลา้ แสดงความคดิ เหน็ สว่ นตัวมากข้ึน และได้คดิ นอกกรอบ 5. ทาให้กลา้ แสดงออกมากขนึ้ และไมน่ ่าเบื่อ 6. ไดท้ างานเปน็ กล่มุ
17 3. วิเคราะห์หลกั การ หมายถงึ การค้นหาโครงสร้างของระบบและสงิ่ ของ เรอื่ งราว และ การกระทาตา่ งๆ ว่าส่ิงเหลา่ น้นั รวมกันจนดารงสภาพเช่นนน้ั อย่ไู ดเ้ นื่องด้วยอะไร โดยยึดอะไรเปน็ หลกั เปน็ แกนกลางมหี ลักการอย่างไร มีเทคนิคหรอื ยดึ ถือคติหรือหลกั การใด มสี ง่ิ ใดเป็นตัวเชือ่ มโยง การวิเคราะห์ หลกั การเป็นการวิเคราะห์ทีถ่ ือว่ามีความสาคญั มากทีส่ ุด การจะวเิ คราะห์ได้ดจี ะตอ้ งมีความรคู้ วามสามารถใน การวเิ คราะห์องคป์ ระกอบและวเิ คราะหค์ วามสัมพันธ์ได้ดีเสยี กอ่ น จึงจะทาใหส้ ามารถสรปุ เปน็ หลกั การได้ ดังตวั อย่างการตงั้ คาถามตอ่ ไปนี้ 3.1 วิเคราะห์โครงสร้าง เปน็ การคน้ หาโครงสร้างของส่ิงตา่ งๆ - การทาวจิ ัยในชน้ั เรียนมกี ระบวนการอย่างไร ? - คณุ ลักษณะสาคญั ของการเป็นแพทยท์ ่ดี ีมีอะไรบา้ ง ? - การนาเสนอเร่อื งราวแบบน้ีบ่งบอกถงึ เจตนนาอะไร ? เป็นคาตอบหลกั ได้ 3.2 วิเคราะหห์ ลักการ เปน็ การแยกแยะเพอื่ คน้ หาความจริงของสงิ่ ต่างๆ แลว้ สรุป - นกั เรยี นทเ่ี รยี นเกง่ เขามเี ทคนคิ การเรียนอย่างไร ? - หลกั การสอนท่ีดีควรเปน็ อยา่ งไร ? - หลกั การของการฝึกปฏิบตั ิครัง้ น้ีคอื อะไร ?
18 แนวการสอนวิชา พุทธศาสนาและประตมิ านวิทยา รหสั วชิ า 1-251-306 ชอ่ื หน่วย หลกั คาสอนและคมั ภีรใ์ นพทุ ธศาสนา บทเรยี นท่ี 2 เวลา 3 คาบ ผสู้ อน : อาจารยพ์ จนีย์ ศกั ดเ์ิ ดชากลุ ชอื่ บทเรียน 5.1 หลกั คาสอน 5.1.1 คาสอนปรัชญา 5.1.2 คาสอนท่ีเกีย่ วกบั ศีลธรรมและหลกั ปฏบิ ัติ จดุ ประสงค์การสอน 5.1 เข้าใจเก่ียวกับหลักคาสอนของพุทธศาสนา 5.1.1 อธิบายหลกั คาสอนท่ีเปน็ ปรัชญาได้ 5.1.2 อธบิ ายคาสอนท่ีเก่ียวกบั ศีลธรรมและหลักปฏิบัตไิ ด้ เนอื้ หาสาระ หลกั คาสอน แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท 1.หลกั คาสอนปรชั ญา 2. หลักคาสอนทเี่ กย่ี วกับศีลธรรมและหลักปฏบิ ตั ิ 1. หลักคาสอนปรชั ญา ผาสกุ อนิ ทราวธุ (2531: 30-33) กลา่ วว่า หลักสาคัญของพทุ ธปรัชญาคือ อริยสัจ 4, มรรคมีองค์ 8 และปฏิจจสมุปบาท 1.1 อรยิ สัจ 4 คือความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการไดแ้ ก่ ทุกข์ สมทุ ัย นโิ รธ มรรค - ทกุ ข์ หมายถึง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ - สมทุ ยั คือ เหตุให้เกดิ ทุกข์ - นิโรธ ความดับทุกข์ - มรรค คอื ทางปฏิบตั ใิ หบ้ รรลุความดบั ทกุ ข์ 1.2 มรรค 8 คือ อรยิ สัจขอ้ ที่ 4 เป็นทางสายกลาง ซงึ่ จะนาไปส่กู ารดบั ทุกข์ มี 8 ประการดังนี้ - สัมมาทฏิ ฐิ (ความเห็นชอบ) ไมเ่ ช่อื ในส่งิ ท่ีเหลวไหล งมงาย เชือ่ ในสงิ่ ท่ีมเี หตุผล
19 - สัมมาสงั กปั ปะ (ความดารชิ อบ) เป็นรากฐานให้เกิดความสาเรจ็ - สัมมาวาจา (การเจรจาชอบ) เว้นจากการพูดเท็จ คาหยาบคาย พูดเพอ้ เจ้อ - สมั มากัมมันตะ (การงานชอบ) เว้นการลักขโมย การด่ืมน้าเมา มเี มตตา กรณุ า วาจาสัตย์ ไม่ ประพฤติผิดในกาม ไม่ประมาท - สัมมาอาชีวะ (การเลีย้ งชพี ชอบ) ประกอบอาชพี สุจริตทไ่ี ม่กอ่ ความเดอื ดรอ้ นแกผ่ ูอ้ ่ืน เช่น ไม่ คา้ ยาเสพตดิ ไม่คา้ มนษุ ย์ เปน็ ตน้ - สมั มาวายามะ (ความเพยี รชอบ) ความพยายามที่จะผูกจิตข้ึนสู่ธรรมข้ันสูง ต้องละความช่ัว บาเพ็ญความดีให้เกิดขึ้น ในท่ีน้ีพระพุทธองค์ทรงเน้นถึงบารมี 10 ประการ การท่ีพระ โพธิสตั ว์ ต้องบาเพ็ญก่อนตรสั รู้เป็นพระพทุ ะเจ้า - สัมมาสติ (ความระลกึ ชอบ) การท่ีมีสตพิ จิ ารณาร่างการและจิตใจว่าเปน็ อย่างไร - สัมมาสมาธิ (การตง้ั ใจชอบ) การทาใจให้เป็นสมาธิ ไม่ฟูุงซ่าน ทาใจให้แน่วแน่อยู่ในอารมณ์ เดียว ซ่งึ จะเป็นผลดีในการปฏบิ ตั ิกิจทุกประการใหล้ ลุ ่วงไปดว้ ยดี สรุป มรรคมอี งค์ 8 หรอื ทางสายกลาง ท่ีพระพุทธองค์กล่าวไว้ คือการไม่ทาบาปทั้งปวง การทา กศุ ลให้ถงึ พร้อม การทาจติ ใหผ้ ่องใส 1.3 ปฏิจจสมุปบาท เป็นทฤษฎีว่าด้วยการสืบต่อภพชาติของสัตว์โลก ซ่ึงเปรียบเทียบกับกงล้อแห่ง เหตแุ ละผล คือความจรงิ 2 ประการในอริยสัจ 4 คือ ประการที่ 2 (สมุทัย)เหตุท่ีทาให้เกิดทุกข์ และประการท่ี 3 (นิโรธ) ทางไปสู่ความดับทุกข์ ในท่ีน้ี อธิบายว่า เหตุแห่งทุกข์คือสังขาร(การ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ) สว่ นทางไปสกู่ ารดับทกุ ข์ คอื นิพพาน(Nirvana) คอื การสืบภพชาตขิ องสัตวโ์ ลก ได้ส้ินสุดลง น่ันคือการสิ้นสุดของความทุกข์ เพราะการสืบภพชาติ(การเวียนว่ายตายเกิด)คือ สาเหตุแหง่ ทุกข์นน่ั เอง ทฤษฎวี า่ ดว้ ยการสบื ภพชาติของสตั ว์โลกมี 12 ข้อ ดว้ ยกนั - อวิชชา ความไม่รู้ (ปจั จยั ให้เกดิ สงั ขาร) - สงั ขาร ทาให้เกดิ วิญญาน - วิญญาน ทาใหเ้ กิดนามรูป - นามรูป ทาให้เกิดอายตนะ - อายตนะ 6 ทาให้เกดิ ผสั สะ - ผัสสะ ทาให้เกดิ การเวทนา - เวทนา ทาให้เกดิ ตณั หา - ตัณหา ทาใหเ้ กิดอปุ าทาน - อุปาทาน ทาให้เกดิ ภพ - ภพ ทาใหเ้ กดิ ชาติ - ชาติ ทาให้เกิดทุกข์ - ทกุ ข์ คอื ความชราและมรณะ
20 ท้ัง 12 ขอ้ เป็นหลกั ความจริง เปรียบเหมือนวงล้อแห่งเหตุและผล ซึ่งจะหมุนอยู่เช่นนี้ ไม่มีการ หยดุ เรยี กวา่ ภพ-จักร หรือ ธรรม-จกั ร หรือปฏิจจสมุปบาท เป็นแก่นของพุทธศาสนา วิธที ่ีจะทา ใหห้ ลุดพน้ คอื การกาจดั ต้นตอ คอื อวชิ ชา(ความไม่รู้) ใหห้ มดสนิ้ 2. หลกั คาสอนทเี่ กีย่ วกบั ศลี ธรรมและหลักปฏบิ ัติ ปฏจิ จสมปุ บาท เปน็ แก่นของพุทธศาสนา คาสอนต่างๆเป็นองคป์ ระกอบ ซ่ึงมคี วามเกย่ี วกันกบั หลกั นี้ พุทธศาสนาไม่ใชศ่ าสนาแหง่ พธิ ีกรรม ไม่สอนให้ออ้ นวอนเทพเจ้า พระพุทธเจ้าทรงคัดค้านพิธีไสยศาสตร์และ การบูชายญั พระองคท์ รงพยายามขจดั ความเหลื่อมลา้ ต่าสงู และชนั้ วรรณะในสังคมใหห้ มดไป พระธรรมในพุทธศาสนาสว่ นใหญ่เปน็ พุทธดารสั ซงึ่ พระพุทธองค์เคยตรสั ว่า ธรรมเป็นของเกา่ เปน็ ของ ทมี่ ปี ระจาโลก เพียงแต่ไม่มีใครตรัสรแู้ ลว้ นามาแสดงเทา่ น้นั ศีล คอื ข้อปฏบิ ัติตนข้นั พนื้ ฐานในทางพทุ ธศาสนา เพื่อควบคมุ ความประพฤติทางกายและวาจาใหต้ งั้ อยู่ ในความดีงามมีความปกตสิ ุข เพื่อใหเ้ ปน็ กติกาขอ้ ห้ามที่ใชแ้ ก้ปัญหาข้ันพน้ื ฐาน 5 ปญั หาหลกั ซ่งึ ทาใหเ้ กิด ความสงบสขุ และ ไมม่ กี ารเบยี ดเบยี นซงึ่ กันและกันในสงั คม ประโยชนข์ องศลี ในข้ันพื้นฐานคอื ทาใหก้ าย วาจา ใจ สงบไม่เบียดเบยี นตนเองและผอู้ ื่น ทาใหส้ ามารถที่จะทาให้จิตสงบไดง้ า่ ยในการทาสมาธิ ในระดบั ของ บรรพชติ ศลี จะมจี านวนมาก เพือ่ กากบั ใหพ้ ระภกิ ษสุ งฆส์ ามเณรสามารถครองตนในสมณภาวะได้อย่างสมบรู ณ์ และเออื้ ตอ่ การประพฤตพิ รหมจรรย์ในขัน้ สงู ต่อไปได้ ศลี ของภกิ ษแุ ละภิกษณุ รี วมอยใู่ นพระวนิ ยั ปิฎก อดุ มคติ ของภกิ ษแุ ละภิกษณุ ีคือการบรรลนุ พิ พาน ส่วนอดุ มคตขิ องอบุ าสก อบุ าสกิ า คอื การไปเกิดในสวรรค์ ระดับศลี ในทางพทุ ธศาสนา พระธรรมปฎิ ก (ประยทุ ธ์ ปยุตฺโต) (2559 : 238-260) กลา่ ว่า ศีล แบง่ เปน็ 3 ระดับ คือจลุ ศลี (ศลี อย่างน้อย) ไดแ้ ก่ คหัฏฐศีลท้ัง 2 คือ ศีล5 และอาชีวฏั ฐมกศลี มชั ฌิมศีล (ศลี อยา่ งกลาง) ได้แก่ บรรพชาศีลท้งั 2 คอื ได้แกอ่ ัฏฐศีล และทสศลี มหาศลี (ศลี อย่างสงู ) ได้แก่ อุปสมบททง้ั 2 คอื ภิกษุณีวนิ ัย และภกิ ษุวนิ ัย - ปัญจศลี (ศีล 5) หรือเรยี กวา่ นจิ จศลี (คอื ถือเนื่องนจิ จ)์ - อาชวี ฏั ฐมกศลี (ศีลกศุ ลกรรมบท 10) หรือเรยี กวา่ อาทพิ รหมจริยาศลี (หรือเรียกอกี อย่างวา่ นวศีล) - อัฏฐศลี (ศลี 8) หรือเรียกว่าอโุ บสถศีล (ศีลอุโบสถ) - ทสศลี (ศีล 10) - ภกิ ษุณีวนิ ยั (ศลี 311) - ภิกษวุ นิ ยั (ศีล 227) ระดับแหง่ ศีลทต่ี า่ งกนั เพราะระดับของสมั มาอาชีวะต่างกนั คอื ระดับของศลี คือระดบั ข้นั ของการใชป้ จั จัย บรโิ ภค เทา่ ทจ่ี าเป็นในการดาเนินชวี ิต - ศลี 5 คอื เสพโดยไมเ่ บยี ดเบียน - อาชวี ฏั ฐมกศีล แสวงหาทรพั ยอ์ ย่างไม่เป็นเหตใุ หผ้ ู้อืน่ เดือดรอ้ นจากการแสวงหาทรัพยน์ ั้น - อโุ บสถศลี คอื การไม่เสพกามคุณ เพราะมนุษยไ์ มเ่ สพกามคณุ กไ็ ม่เสยี ชีวิตเพราะอดตาย
21 - ทสศีล คอื การดารงชีวติ อย่างนักบวชแทจ้ ริง คอื ไมส่ ะสมลาภมีเงินและทอง ดจุ ฆราวาส แต่ ดารงชีวิตไดด้ ้วยการขอ อันเป็นเหตใุ หร้ ะวังการปฏิพฤติให้ดี ให้สมกบั ทีช่ าวบา้ นให้ - ภกิ ษณุ ีวินยั และภกิ ษวุ นิ ยั คอื การดารงค์ชวี ติ ท่ปี ระหยดั เหมาะสม คมุ้ ค่า ไมเ่ ดือดรอ้ นทายก ผู้ให้ รักษาปัจจัยที่ทายกให้แล้ว พอเพยี งเทา่ ทมี่ ี มีระเบยี บทไี่ ม่หนักใจผู้ให้ - ธดุ งค์ แมจ้ ะไมจ่ ดั เปน็ ศลี หรอื วนิ ัย เพราะไมใ่ ช่สงิ่ ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงบงั คับใหท้ า แตก่ ็ไม่ทรง ห้าม เพราะเปน็ สง่ิ ทปี่ ฏบิ ัตไิ ด้ยากและลาบาก ทรงสรรเสริญผูป้ ฏบิ ัติ จัดเป็นการควบคุมการ ใช้ปัจจยั สีง่ ทอ่ี กุ ฤตทส่ี ุด วิธกี ารสอนและกิจกรรม 1. ผ้สู อนบรรยายเรอ่ื ง หลักคาสอนในพุทธศาสนา 2. ผู้สอนมอบหมายงานใหน้ ักศกึ ษาออกมาทาแผนภมู ิ...หนทางสู่นพิ พาน... โดยแบง่ กลุ่มนักศกึ ษาเป็น ตามความสมัครใจจานวนเท่าๆกัน ระดมความคิดเห็นและนาเสนอหน้าชั้นในรูปแบบแผนภูมิ โดยมีการ ถกเถียงอภปิ รายกัน 3. ผู้สอน สรปุ พร้อมทั้งให้นักศกึ ษาซกั ถาม ส่ือการสอน เอกสารอา้ งองิ หมายเลข 12 17 31 เอกสารประกอบ หมายเลข 1-1 1-3 โสตทัศนวัสดุ หมายเลข 1-2 งานที่มอบหมาย - การวัดผลและประเมินผล 1. จากการเข้าชนั้ เรียน 2. สงั เกตจากความตั้งใจเรียนซักถาม 3. จากการนาเสนอแบบกลุม่ สะทอ้ นผลการเรยี นรู้ของนักศึกษา 1. นกั ศกึ ษาได้แลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ กบั ผอู้ ื่น 2. ทาใหร้ จู้ ักรบั ฟงั ความคดิ เห็นของผ้อู นื่ 3. นักศกึ ษาได้ฝึกการทางานเป็นกลุ่ม 4. ชว่ ยให้เขา้ ใจบทเรยี นได้ชดั เจนขน้ึ จากการแลกเปล่ียนความคิดเหน็ กัน 5. ทาใหก้ ล้าแสดงความคดิ เห็นและกล้าแสดงออกมากขึน้ 6. ชว่ ยให้เขา้ ใจมมุ มองของผอู้ ืน่ ไดม้ ากข้นึ
22 เอกสารอา้ งองิ คณะกรรมการดาเนนิ งาน ก.พ.ร. ตัวชีว้ ัดท่ี 17, มหาวิทยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลกรุงเทพ. 2552. คูม่ ือการ จดั การสอนท่เี น้นผู้เรยี นเป็นสาคัญ. ม.ป.ท. คณะอนุกรรมการสง่ เสรมิ การเรยี นการสอนเนน้ การพฒั นาความคดิ วิเคราะห์วิจารณ์, มหาวิทยาลยั ขอนแกน่ . 2543. คู่มือการเรยี นการสอนการคดิ วิเคราะหว์ จิ ารณ์. ขอนแกน่ การพิมพ.์ ขอนแกน่ . ชัยวัฒน์ สุทธิรตั น์. 2555. เทคนคิ การใชค้ าถามพัฒนาการคิด. บรษิ ทั วพี รินท์ (1991) จากดั . กรงุ เทพฯ. วลั ลี สตั ยาศัย. 2547. การเรยี นร้โู ดยใช้ปญั หาเป็นหลักรูปแบบการเรยี นรูโ้ ดยผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. บริษทั บุค๊ เน็ท จากดั . กรงุ เทพฯ.
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: