60 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
61 โครงสร๎างหลักสตู ร กลํุมสาระการเรียนรูว๎ ทิ ยาศาสตร์ ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย รายวิชาวทิ ยาศาสตร์พืน้ ฐาน (แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์) ระดับชน้ั รหัส ชอ่ื รายวชิ า เวลาเรียนรายภาค ม. 4 ว31101 ฟสิ ิกส์พ้นื ฐาน 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ภาคเรยี น ว31102 เคมีพ้นื ฐาน 3 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว31103 ชวี วิทยาพื้นฐาน 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ท่ี 1 ว31104 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.5 หนํวยกิต) รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์พนื้ ฐาน (แผนการเรยี น ทว่ั ไปไมํเนน๎ วทิ ยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ) ระดบั ชั้น รหัส ชอ่ื รายวิชา เวลาเรยี นรายภาค ม. 4 ม. 5 ว30105 ดลุ ยภาพของสิ่งมชี ีวิต 2 ชัว่ โมง/สัปดาห์ (1.0 หนํวยกติ ) ม. 6 ว30106 ว30107 สารและสมบัติของสาร 2 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.0 หนํวยกิต) ว30108 ว30109 โลกและดวงดาว 2 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.0 หนํวยกิต) ว30110 การเคล่อื นที่และแรงในธรรมชาติ 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (1.0 หนํวยกิต) พันธศ์ุ าสตรแ์ ละสิง่ แวดลอ๎ ม 2 ชัว่ โมง/สปั ดาห์ (1.0 หนํวยกติ ) พลงั งาน 2 ชวั่ โมง/สัปดาห์ (1.0 หนํวยกติ )
62 รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พม่ิ เตมิ (แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์ - คณติ ศาสตร์) ระดับชั้น รหสั ชอื่ รายวชิ า เวลาเรียนรายภาค ม. 4 ม. 5 - - - ว30201 ฟสิ ิกส์ 1 4 ชวั่ โมง/สัปดาห์ (2.0 หนํวยกติ ) ม. 6 ว30221 เคมี 1 3 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30241 ชีวทิ ยา 1 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30202 ฟิสิกส์ 2 4 ชวั่ โมง/สปั ดาห์ (2.0 หนํวยกิต) ว30222 เคมี 2 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30242 ชีวทิ ยา 2 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30261 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 1 3 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30203 ฟสิ กิ ส์ 3 4 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (2.0 หนํวยกติ ) ว30223 เคมี 3 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30243 ชีวิทยา 3 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30262 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 2 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30204 ฟสิ ิกส์ 4 4 ชั่วโมง/สัปดาห์ (2.0 หนํวยกิต) ว30224 เคมี 4 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30244 ชีวทิ ยา 4 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกติ ) ว30263 โลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ 3 3 ชั่วโมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30205 ฟสิ ิกส์ 5 4 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (2.0 หนํวยกติ ) ว30225 เคมี 5 3 ชว่ั โมง/สัปดาห์ (1.5 หนํวยกิต) ว30245 ชวี ิทยา 5 3 ชว่ั โมง/สปั ดาห์ (1.5 หนํวยกิต)
63 รายวิชาวิทยาศาสตรเ์ พม่ิ เติม (ไมํเนน๎ วิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ) ระดบั ชน้ั รหสั ช่อื รายวิชา เวลาเรียนรายภาค ม. 4 ม. 5 - - - ม. 6 ว30281 เส๎นใยและกระดาษ 2 ช่ัวโมง/สปั ดาห์ (1.0 หนํวยกติ ) ว30282 สยี อ๎ มจากวัสดธุ รรมชาติ 2 ช่วั โมง/สัปดาห์ (1.0 หนํวยกิต) - - - - - - - - -
64 คาอธบิ ายรายวชิ าฟสิ กิ ส์พืน้ ฐาน ว31101 ฟิสกิ ส์พน้ื ฐาน กลุมํ สาระการเรยี นร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หนํวยกิต ศึกษาความสัมพันธ์ระหวํางแรงกับการเคล่ือนท่ีของวัตถุในสนามโน๎มถํวง สนามไฟฟ้า สนามแมํเหล็ก แรงนิวเคลียร์และแรงไฟฟ้าระหวํางอนุภาคในนิวเคลียส ปริมาณตําง ๆ ที่เก่ียวกับการ เคล่อื นทใี่ นแนวตรง การเคลอ่ื นทีแ่ บบโพรเจกไทล์ การเคล่ือนท่ีเป็นวงกลม และการเคล่ือนที่แบบฮาร์ มอนกิ อยํางงําย คลน่ื กล ความสัมพนั ธ์ระหวาํ งอัตราเร็ว ความถี่ และ ความยาวคล่ืน การเกิดคลื่นเสียง บีตส์ ความเข๎มเสียง ระดับความเข๎มเสียง การได๎ยิน คุณภาพเสียง มลพิษทางเสียง คลื่นแมํเหล็กไฟฟ้า สเปกตรัมของคล่ืนแมํเหล็กไฟฟ้า ประโยชน์และการป้องกันอันตรายจากคล่ืนแมํเหล็กไฟฟ้า ปฏกิ ิรยิ านวิ เคลียร์ ความสัมพนั ธ์ระหวํางมวลกับพลงั งาน พลังงานที่ได๎จากปฏิกิริยานิวเคลียร์ และผล ตํอส่ิงมีชีวิตและส่ิงแวดล๎อม โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ชนิดและสมบัติ ของรังสีจากธาตุกัมมันตรังสี วิธี ตรวจสอบรงั สีในสงิ่ แวดล๎อม การใชป๎ ระโยชนแ์ ละผลกระทบตอํ สิง่ มีชีวิตและสํงแวดล๎อม โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบการ สืบค๎นข๎อมูล การบันทึก การจัดกลํุมข๎อมูล และการนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช๎ในการจัด กิจกรรม เพือ่ ใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความเข๎าใจ นาไปประยกุ ต์ใช๎ในชวี ติ ประจาวัน มีจิตวิทยาศาสตร์ และ เจตคติทีด่ ีตอํ วทิ ยาศาสตร์ และเพือ่ ให๎ผ๎ูเรยี นมีความร๎คู วามเข๎าใจ ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนร๎ู และตัวช้ีวัดช้นั ปีดังตํอไปนี้ รหัสตัวช้วี ดั ว 4.1 ม. 4-6/1-4 ว 4.2 ม. 4-6/1-3 ว 5.1 ม. 4-6/1-9 ว 8.1 ม. 4-6 /1-12 รวม 28 ตวั ช้ีวดั
65 คาอธิบายรายวิชาพน้ื ฐาน ว31102 เคมพี ื้นฐาน กลมํุ สาระการเรียนรว๎ู ิทยาศาสตร์ ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรยี นที่ 1 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หนํวยกติ ศึกษา วเิ คราะหแ์ นวคิดแบบจาลองอะตอม โครงสรา๎ งอะตอม และสัญลกั ษณ์นิวเคลียร์ ของธาตุ การจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม ความสมั พนั ธ์ระหวาํ งอิเล็กตรอนในระดับพลงั งานนอก สุดกบั สมบัตขิ องธาตุ และการเกิดปฏิกิริยา การจดั เรียงธาตแุ ละทานายแนวโนม๎ สมบัตขิ องธาตใุ น ตารางธาตุ การเกดิ พนั ธะเคมใี นโครงผลึกและในโมเลกุลของสาร ความสมั พนั ธ์ระหวาํ งจุดเดือด จดุ หลอมเหลว และสถานะของสารกบั แรงยดึ เหน่ยี วระหวํางอนุภาคของสาร เขียนสมการของปฏิกิริยา เคมีทั่วไปทีพ่ บในชวี ติ ประจาวนั ผลของสารเคมที ม่ี ตี ํอสง่ิ มชี ีวติ และสิ่งแวดล๎อม อัตราการ เกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี ปจั จัยท่ีมผี ลตอํ อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมแี ละนาความรไ๎ู ปใชป๎ ระโยชน์ การเกดิ ปโิ ตรเลยี ม กระบวนการแยกแก๏สธรรมชาติและการกลั่นลาดบั สํวนน้ามนั ดบิ การนาผลิตภัณฑท์ ่ีได๎ จากการแยกแกส๏ ธรรมชาติและการกลัน่ ลาดบั สํวนน้ามนั ดบิ ไปใช๎ประโยชน์ ผลติ ภณั ฑต์ ํอสิง่ มชี ีวิตและ สง่ิ แวดล๎อม การเกิดพอลิเมอร์ สมบตั ิของพอลเิ มอร์ การนาพอลิเมอร์ไปใชป๎ ระโยชน์ การผลิตและใช๎ พอลิเมอรต์ ํอสง่ิ มชี วี ติ และสงิ่ แวดล๎อม องคป์ ระกอบ ประโยชน์และปฏิกิริยาบางชนดิ ของ คาร์โบไฮเดรต องคป์ ระกอบ ประโยชน์และปฏิกิริยาบางชนิดของไขมันและน้ามนั องคป์ ระกอบ ประโยชนแ์ ละปฏิกริ ยิ าบางชนดิ ของโปรตีนและกรดนิวคลีอิก โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจิตวิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความร๎ู การ แก๎ปัญหา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื ค๎นขอ๎ มูล และการอภิปราย เพื่อใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสือ่ สารสิ่งทเี่ รยี นร๎ู และนาความรู๎ไปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวิตและดแู ลสง่ิ แวดลอ๎ ม มคี ุณธรรม จริยธรรม คาํ นยิ มทเ่ี หมาะสม และเข๎าใจ วําวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิ่งแวดลอ๎ มเก่ียวข๎องสมั พนั ธก์ นั รหสั ตวั ชวี้ ัด ว 3.1 ม.4-6/1-9 ว 8.1 ม.4-6/1-9 รวม 18 ตัวชี้วดั
66 คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน ว31103 ชวี วทิ ยาพ้นื ฐาน กลมํุ สาระการเรยี นร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 60 ชว่ั โมง จานวน 1.5 หนวํ ยกิต ศึกษา ทดลอง อธบิ าย สบื ค๎นขอ๎ มลู วิเคราะห์ การรักษาดุลยภาพของเซลล์สิ่งมีชีวิต กลไกการรักษาดุลยภาพของน้าในพืช กลไกการควบคุมดุลยภาพของน้า แรํธาตุและอุณหภูมิของ มนุษย์และสัตว์อื่นๆ ระบบภูมิค๎ุมกันของรํางกาย กระบวนการถํายทอดสารพันธุกรรม การแปรผัน ทางพันธุกรรม มิวเทชันและการเกิดความหลากหลายทางชีวภาพ ผลของ เทคโนโลยีชีวภาพท่ีมีตํอ มนุษย์และสิ่งแวดลอ๎ ม ผลของความหลากหลายทางชวี ภาพทมี่ ตี อํ มนุษย์และสิ่งแวดล๎อม กระบวนการ คัดเลือกตามธรรมชาติและผลของการคัดเลือกตามธรรมชาติตํอความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต ดุลย ภาพของระบบนเิ วศ กระบวนกา เปล่ียนแปลงแทนท่ีของส่ิงมีชีวิต ความสาคัญของความหลากหลาย ทางชีวภาพและเสนอแนะแนวทางในการดูแลและรักษา แนวทางในการป้องกันแก๎ไขปัญหา ส่ิงแวดล๎อมและทรัพยากรธรรมชาติ ดาเนินการเฝ้าระวังอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล๎อมและ ทรัพยากรธรรมชาติ โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู๎ การ แกป๎ ัญหา มคี วามสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบค๎นขอ๎ มูล และการอภิปราย เพ่ือให๎เกิดความรู๎ ความคิด ความเข๎าใจ สามารถสื่อสารสิ่งที่เรียนรู๎ และนาความรู๎ไป ใช๎ประโยชน์ในการดารงชีวิตและดูแลสิ่งแวดล๎อม มีคุณธรรม จริยธรรม คํานิยมท่ีเหมาะสม และ เขา๎ ใจวําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิ่งแวดลอ๎ มเก่ยี วข๎องสัมพนั ธก์ ัน รหัสตัวช้ีวัด ม.4 - 6/1-4 ว 1.1 ม.4 - 6/1-4 ว 1.2 ม.4 - 6/1-3 ว 2.1 ม.4 - 6/1-3 ว 2.2 ม.4 - 6/1-9 ว 8.1 รวม 23 ตัวช้วี ดั
67 คาอธิบายรายวิชาพ้ืนฐาน ว31104 โลก ดาราศาสตร์และอวกาศ กลุํมสาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ช่วั โมง จานวน 1.5 หนวํ ยกิต ศกึ ษา วิเคราะห์โครงสรา๎ งของโลก กระบวนการเปลยี่ นแปลงทางธรณภี าคของโลก กระบวนการเกิดภูเขา รอยเล่อื น รอยคดโค๎ง แผํนดนิ ไหว ภเู ขาไฟระเบิด ปรากฏการณท์ าง ธรณวี ทิ ยา การลาดับ ชั้นหิน การวางตัวของชั้นหิน ซากดึกดาบรรพ์ โครงสร๎างทางธรณีวิทยา ประวัติความเปน็ มาของพืน้ ที่ และข๎อมลู ทางธรณวี ทิ ยา การเกิดและวิวฒั นาการของระบบสุรยิ ะ กาแลก็ ซี เอกภพ ดาวฤกษ์ การโคจรของดาวเทียมรอบโลก ยานอวกาศ อวกาศและสถานีอวกาศ โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละ จิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความร๎ู การ แก๎ปัญหา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบค๎นขอ๎ มลู และการอภิปราย เพ่อื ให๎เกดิ ความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถส่อื สารส่ิงที่เรยี นร๎ู และนาความรู๎ไป ใช๎ประโยชน์ในการดารงชวี ิตและดแู ลสงิ่ แวดลอ๎ ม มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม คาํ นยิ มท่ีเหมาะสม และ เขา๎ ใจวาํ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดลอ๎ มเกี่ยวขอ๎ งสัมพันธ์กนั รหัสตวั ชี้วัด ว 6.1 ม.4-6/1-6 ว 7.1 ม.4-6/1-2 ว 7.2 ม.4-6/1 ว 8.1 ม.4-6/1-9 รวม 18 ตัวช้ีวดั
68 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน (ไมํเนน๎ วิทย์) ว31105 ดลุ ยภาพของสง่ิ มีชวี ิต กลมุํ สาระการเรียนรูว๎ ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ชวั่ โมง จานวน 1.0 หนวํ ยกติ ศกึ ษาวิเคราะห์ สงิ่ มชี วี ิต ชีววทิ ยา ชวี วิทยากบั การดารงชีวิต ชวี จริยธรรม การศกึ ษา ชีววทิ ยา กลอ๎ งจลุ ทรรศน์ สารอนินทรยี ์ สารอินทรยี ์ ปฏิกิรยิ าเคมีในเซลลข์ องสิ่งมชี ีวิต เซลลแ์ ละ ทฤษฎีของเซลล์ โครงสร๎างของเซลลท์ ศี่ กึ ษาดว๎ ยกลอ๎ งจุลทรรศนอ์ ิเล็คตรอน การรกั ษาดุลภาพของ เซลล์ การศึกษาระหวํางเซลล์ การแบงํ เซลล์ การเปลย่ี นแปลงสภาพของเซลล์ และการชราภาพของ เซลลเ์ นือ้ เยอ่ื อวัยวะ และระบบของราํ งกาย โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วเิ คราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสังเกต การสืบคน๎ ข๎อมลู การอภิปราย อธบิ ายสรุปผล การใช๎หลักเศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยกุ ตใ์ ชก๎ ับการจดั กจิ กรรม เพอ่ื ให๎เกดิ ความรู๎ ความคิด ความเข๎าใจ ส่อื สารสิง่ ที่เรียนรู๎ มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวันของตนเองได๎อยาํ งมีคุณธรรม จริยธรรม และ คํานยิ มท่เี หมาะสม รหสั ตัวชวี้ ัด ว 1.1 ม.4-6/1-3 รวม 3 ตวั ชวี้ ดั
69 คาอธิบายรายวชิ าพน้ื ฐาน (ไมํเนน๎ วทิ ย์) ว31106 สารและสมบัตขิ องสาร กลุมํ สาระการเรยี นรวู๎ ิทยาศาสตร์ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนํวยกิต ศึกษาข๎อมลู จากการศึกษาโครงสรา๎ งอะตอม สร๎างแบบจาลองอะตอมแบตาํ ง ๆ และตาราง ธาตทุ ีม่ ีการพัฒนาการอยํางตํอเนือง เลขอะตอม เลขมวล ไอโซโทป การจดั เรยี งอเิ ล็กตรอนในอะตอม ตารางธาตุและเวเลนซ์อิเลก็ ตรอน อธบิ ายและเขียนสมการของปฏิกิรยิ าเคมี พลังงานกับการเกดิ ปฏิกริยาเคมใี นชวติ ประจาวัน การวดั อตั ราการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ปจั จยั ท่มี ีผลตอํ อัตราการเกิดปฏิกรยิ า เคมีสบื ค๎นข๎อมลู และอธิบายการเกดิ ปิโตเลียม กระบวนการแยกก๏าซธรรมชาติ การกล่นั ลาดบั สวํ น นา้ มนั ดิบ การนาผลิตภัณฑ์ที่ได๎ไปใชป๎ ระโยชน์ ผลของผลิตภัณฑ์ทม่ี ีตอ๎ ส่ิงมชี ีวิตและสง่ิ แวดล๎อม ทดลองอธิบาย และอภปิ รายการเกดิ พอลเิ มอร์ สมบตั ขิ องพอลเิ มอร์ การนาพอลเิ มอร์ไปใชป๎ ระโยชน์ อบิ ายองค์ประกอบประโยชน์ของปฏกิ ิริยาเคมบี างชนิด ของคาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน และกรดอะ มิโน โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วิเคราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสังเกต การสบื คน๎ ข๎อมลู การอภิปราย อธิบายสรปุ ผล การใช๎หลักเศรษฐกิจ พอเพียงมาประยุกต์ใชก๎ บั การจดั กิจกรรม เพือ่ ให๎เกิดความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ สอื่ สารสิ่งทีเ่ รยี นร๎ู มคี วามสามารถในการ ตัดสินใจ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวันของตนเองได๎อยาํ งมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ คํานยิ มทีเ่ หมาะสม รหสั ตัวชี้วัด ว 3.1 ม.4-6/1-7 ว 3.2 ม.4-6/2-9 รวม 15 ตวั ชีว้ ดั
70 คาอธบิ ายรายวิชาพืน้ ฐาน (ไมํเน๎นวิทย์) ว31107 โลกและดวงดาว กลํมุ สาระการเรียนรูว๎ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนํวยกิต ศกึ ษาโครงสรา๎ งทางธรณีวิทยาของโลก แผนํ เปลือกโลก การเคล่ือนทขี่ องแผํนเปลอื ก โลก การเคลื่อนตวั ของแผํนเปลือกโลก ปรากฏการณ์ทางธรณวี ทิ ยา การหาอายขุ องหิน ลกั ษณะและ อายขุ องซากดึกดาบรรพ์ เปรียบเทียบลาดบั ชนั้ ของหนิ และอายุของหิน เพอ่ื ศกึ ษาความเป็นมาของโลก การเกดิ และวิวฒั นาการของระบบสุรยิ ะ กาแลคซแี ละเอกภพ พลงั งานของดาวฤกษ์ ปฏิกริ ยิ าฟวิ ช่นั ตาแหนํงของดวงดาวในระบบสรุ ยิ ะ กาแลคซีและเอกภพ เทคโนโลยอี วกาศ โดยใช๎กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ วิเคราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสังเกต การสบื คน๎ ข๎อมลู การอภิปราย อธบิ ายสรุปผล การใช๎หลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งมาประยกุ ต์ใช๎กบั การจัดกจิ กรรม เพื่อให๎เกิดความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ ส่อื สารสง่ิ ท่ีเรียนรู๎ มคี วามสามารถในการ ตดั สินใจ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ของตนเองไดอ๎ ยํางมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และ คํานิยมท่ีเหมาะสม รหสั ตวั ช้ีวดั ว 6.1 ม.4-6/1-6 ว 7.1 ม.4-6/1-2 ว 7.2 ม.4-6/2-3 รวม 10 ตวั ชวี้ ัด
71 คาอธิบายรายวชิ าพนื้ ฐาน (ไมเํ น๎นวิทย์) ว31108 การเคลอ่ื นท่ีและแรงในธรรมชาติ กลมุํ สาระการเรยี นร๎ูวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนวํ ยกิต ศึกษาวิเคราะห์ สังเกต สืบค๎นขอ๎ มูล อธิบาย ทดลอง อภปิ รายเกี่ยวกับความสัมพนั ธ์ ระหวํางแรงกับการเคล่ือนที่ของวตั ถุในสนามโนม๎ ถํวง แรงกับการเคลือ่ นทีข่ องอนุภาคในสนามไฟฟ้า แรงกบั การเคลื่อนทขี่ องอนุภาคในสนามแมํเหลก็ แรงนิวเคลียร์ และแรงไฟฟา้ ระหวํางอนภุ าคใน นวิ เคลยี ส ความสมั พันธร์ ะหวาํ งการกระจัดเวลา ความเร็ว ความเรงํ ของการเคลื่อนทีใ่ นแนวตรง การ เคลอ่ื นทแี่ บบโพรเจกไทล์ แบบวงกลม และแบบฮาร์มานิกอยํางงําย ประโยชนเ์ ก่ยี วกับการเคล่ือนที่ แบบโพรเจกไทล์ แบบวงกลม แบบฮารม์ อนกิ อยาํ งงาํ ย โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วเิ คราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสังเกต การสบื คน๎ ข๎อมลู การอภิปราย อธิบายสรุปผล การใช๎หลักเศรษฐกจิ พอเพียงมาประยุกต์ใชก๎ บั การจดั กจิ กรรม เพื่อให๎เกิดความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ ส่อื สารส่งิ ท่ีเรยี นร๎ู มีความสามารถในการ ตดั สินใจ สามารถนาไปใช๎ประโยชนใ์ นชีวิตประจาวนั ของตนเองไดอ๎ ยาํ งมีคณุ ธรรม จริยธรรม และ คาํ นยิ มท่เี หมาะสม รหัสตวั ชีว้ ดั ว 4.1 ม.4-6/1-4 ว 4.2 ม.4-6/1-3 รวม 7 ตัวชว้ี ดั
72 คาอธบิ ายรายวชิ าพืน้ ฐาน (ไมเํ น๎นวิทย์) ว31109 พันธุกรรมและสิง่ แวดลอ๎ ม กลมํุ สาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนวํ ยกิต ศึกษาลกั ษณะทางพนั ธกุ์ รรมของคน สตั ว์ และพืช การทลอง การถาํ ยทอดลักษณะบาง ประการ ประวัติ และงานของเมนเดลโครโมโซมของส่ิงมีชีวติ การทดลองการจัดเรียงโครโมโซมอยาํ ง งําย การแยกตวั และรวมตัวของยนี และการทดลอง หลกั การแบงํ ตัวของเซลลร์ าํ งกายและเซลลส์ บื พนั ธ์ หลกั การเกิดเพศ ผลของความผิดปกติบางชนิดท่ีเกดิ จากโครโมโซมราํ งกายและโครโมโซมเพศ ลกั ษณะพันธ์ุกรรมบางลักษณะในคน หมเํู ลอื ด ความสมั พันธท์ างพนั ธ์กุ รรม และสงิ่ แวดล๎อมการเกดิ การทาลาย และผลกระทบในสิ่งมีชวี ติ บางชนิด โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วเิ คราะห์ ทดลอง กระบวนการสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสงั เกต การสืบคน๎ ข๎อมูล การอภิปราย อธิบายสรุปผล การใช๎หลักเศรษฐกจิ พอเพียงมาประยุกตใ์ ชก๎ บั การจดั กิจกรรม เพ่อื ให๎เกิดความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจ สอ่ื สารสง่ิ ทีเ่ รยี นร๎ู มีความสามารถในการ ตดั สินใจ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ของตนเองไดอ๎ ยํางมีคุณธรรม จรยิ ธรรม และ คาํ นยิ มท่ีเหมาะสม รหัสตวั ชี้วัด ว 1.2 ม.4-6/1-4 ว 8.1 ม.4-6/1-12 รวม 16 ตัวชีว้ ัด
73 คาอธิบายรายวชิ าพืน้ ฐาน (ไมเํ น๎นวทิ ย์) ว31110 พลังงาน กลุมํ สาระการเรยี นร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หนํวยกิต ศึกษาวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหวาํ งงาน กาลงั พลังงาน เคร่ืองกล กฎการอนรุ ักษ์ พลงั งาน โมเมนตัม การดล แรงดล การชน การเคล่ือนท่ีแบบหมุน สภาพสมดลุ สภาพยืดหยํนุ และความทนแรงของวตั ถุ โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การสังเกต การสบื ค๎นข๎อมูล การอภิปราย อธิบายสรปุ ผล การใช๎หลกั เศรษฐกิจ พอเพียงมาประยุกต์ใช๎กับการจัดกจิ กรรม เพือ่ ให๎เกิดความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจ สื่อสารส่ิงทเี่ รียนร๎ู มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ สามารถนาไปใชป๎ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั ของตนเองได๎อยํางมีคณุ ธรรม จริยธรรม และ คาํ นยิ มที่เหมาะสม รหัสตวั ช้วี ัด ว 4.2 ม.4-6/1-3 ว 8.1 ม.4-6/1-12 รวม 15 ตวั ช้ีวัด
74 คาอธิบายรายวชิ าฟิสกิ ส์เพิ่มเติม ว30201 ฟิสกิ ส์ 1 กลมํุ สาระการเรยี นรู๎วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 4 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 80 ชว่ั โมง จานวน 2.0 หนวํ ยกติ ศกึ ษาวิเคราะหแ์ นวคิดเกี่ยวกับปรมิ าณทางกายภาพซ่ึงประกอบไปดว้ ยปรมิ าณ สเกลารแ์ ละ ปริมาณเวกเตอร์ การบอกตาแหน่ง การกระจดั การหาเวกเตอร์ลัพธโ์ ดยการเขยี นรปู และการคานวณ ศึกษาวิเคราะห์แนวคิดเกีย่ วกับการเคลอื่ นท่ีในหนึง่ มิติ ความเรว็ อัตราเรว็ ความเรง่ ความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งปรมิ าณต่าง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั การเคลื่อนท่ีในแนวตรง กฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน กฎแรงดงึ ดดู ระหวา่ งมวลของวัตถุ แรงเสียดทาน ศกึ ษาวิเคราะห์แนวคดิ เก่ียวกับการเคลอื่ นท่ใี นสองมติ ิ ไดแ้ ก่ การ เคลือ่ นที่แบบโพรเจกไทล์ การเคล่ือนที่แนววงกลม และการเคล่ือนทแี่ บบฮารม์ อนกิ อยา่ งงา่ ย โดยใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การสืบคน้ ขอ้ มลู และการอภปิ ราย เพ่อื ใหเ้ กดิ ความรู้ ความคดิ ความเข้าใจ สามารถสอื่ สารสิง่ ท่รี ู้ มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ นาความรู้ไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรมคุณธรรม และค่านยิ มที่ เหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. บอกความหมายและคานวณเก่ียวกับการกระจดั ระยะทาง ความเรว็ อตั ราเรว็ ของ วัตถุท่ี เคล่ือนทใ่ี นแนวตรงได๎ 2. ทดลองและคานวณหาความเร็วของวตั ถุท่ีเคล่อื นที่ในแนวตรงโดยใชเ๎ ครื่องเคาะ สัญญาณเวลาได๎ 3. อธบิ ายลักษณะการเคล่อื นที่และคานวณหาความเร็วของวตั ถทุ เี่ คลือ่ นที่ในแนวตรงจาก กราฟการกระจดั – เวลา ได๎ 4. บอกความหมายและคานวณหา ความเรงํ อัตราเรงํ ของวัตถุท่ีเคล่ือนทีใ่ นแนวตรง อธบิ ายลกั ษณะการเคล่ือนทีแ่ ละคานวณหาความเรํง การกระจัด จากกราฟความเร็ว – เวลา ได๎ 5. บอกความสมั พนั ธ์และคานวณการกระจดั ความเรว็ ต๎น ความเร็วปลาย ความเรํง และ เวลาของวัตถุที่เคล่ือนที่ในแนวตรงได๎ 6. อธบิ ายลักษณะการเคล่อื นท่แี ละคานวณเกยี่ วกบั การเคลื่อนทใี่ นแนวด่งิ ภายใต๎สนาม ความโนม๎ ถํวงของโลกได๎ 7. อธิบายและคานวณเกย่ี วกับกฎการเคลอื่ นทข่ี ๎อ 1 ของนวิ ตันได๎ 8. อธิบายและคานวณเก่ียวกบั กฎการเคลอ่ื นท่ีข๎อ 2 ของนิวตนั ได๎ 9. อธบิ ายและคานวณเกี่ยวกบั กฎการเคล่ือนที่ข๎อ 3 ของนวิ ตนั ได๎
75 10. อธิบายลักษณะการเคลอ่ื นท่ี คานวณหาปริมาณตําง ๆ ทีเ่ ก่ียวกบั การเคลื่อนท่แี นวตรง ดว๎ ยความเรงํ โดยใช๎ กฎการเคลือ่ นท่ีของนวิ ตัน 11. อธิบายและคานวณเกีย่ วกับกฎแรงดึงดูดระหวาํ งมวลได๎ 12. อธบิ ายและคานวณเก่ยี วกบั ความเรํงเน่ืองจากสนามความโนม๎ ถํวงได๎ 13.ทดลองและคานวณเกยี่ วกับสมั ประสิทธิ์ความเสยี ดทานได๎ 14. อธบิ ายลกั ษณะการเคล่อื นทแ่ี บบโพรเจกไทล์ พร๎อมทัง้ ยกตวั อยํางการเคลื่อนทแี่ บบ โพรเจกไทลค์ านวณหาปรมิ าณตาํ ง ๆ ไดแ๎ กํ การกระจัด ความเร็ว และเวลา ตามเสน๎ ทางการเคลือ่ นที่ และตาม แนวราบและแนวด่ิงได๎ 15. อธบิ ายความสัมพันธร์ ะหวํางการกระจัดตามแนวราบ ความเร็วต๎นและมมุ ที่ยิงของ โพรเจกไทลแ์ บบเตม็ รปู คานวณหาระยะการกระจัดมากสุด หรือการกระจัดใด ๆ โดยใช๎สมการ ความสมั พนั ธ์ได๎ 16. อธิบายลักษณะการเคล่ือนที่แบบวงกลมพร๎อมทง้ั ยกตัวอยํางการเคลื่อนทแ่ี บบวงกลม คานวณหาปริมาณตําง ๆ ได๎แกํ แรงสศํู นู ย์กลาง ความเรํงสํศู ูนย์กลาง มวล รศั มี อตั ราเรว็ เชิงเสน๎ อัตราเรว็ เชิงมุม คาบและความถไ่ี ด๎ 17. อธบิ ายลกั ษณะการเคลื่อนท่แี บบวงกลม กรณรี ถว่งิ เข๎าโค๎งถนนราบและรถวงิ่ เข๎าโค๎ง ถนนเอยี ง บอกไดว๎ าํ มีแรงใดเปน็ แรงสศูํ ูนย์กลาง พรอ๎ มทั้งคานวณหาปริมาณตําง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ๎ งได๎ 18. อธบิ ายลักษณะการเคลื่อนท่แี บบวงกลมกรณลี ูกตมุ๎ ถูกผกู ด๎วยเชือกแลว๎ แกวํงโดยมี ระนาบวงกลมอยํใู นแนวราบและในแนวดิง่ บอกได๎วาํ มแี รงใดทาหน๎าท่ีเป็นแรงสํูศูนย์กลาง พรอ๎ มทั้ง คานวณหาปริมาณตําง ๆ ท่เี ก่ียวข๎องได๎ 19. อธบิ ายลกั ษณะการเคลื่อนที่แบบวงกลม กรณีดาวเทยี มโคจรรอบโลกบอกได๎วํามแี รง ใดเปน็ แรงสูศํ ูนย์กลาง พรอ๎ มทง้ั คานวณหาปริมาณตาํ ง ๆ ทเี่ กยี่ วขอ๎ งได๎ 20. นกั เรียนทาการทดลองอธิบายและคานวณเก่ียวกับการเคล่อื นทแี่ บบฮารม์ อนิกอยาํ ง งาํ ยได๎ รวม 20 ผลการเรียนรู๎
76 คาอธบิ ายรายวชิ าฟสิ ิกสเ์ พมิ่ เติม ว30202 ฟิสกิ ส์ 2 กลมํุ สาระการเรยี นรู๎วทิ ยาศาสตร์ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 80 ช่ัวโมง จานวน 2.0 หนํวยกิต ศึกษาวเิ คราะห์ แนวคิดเกี่ยวกับงานและกาลงั ความสมั พนั ธร์ ะหว่างงานและพลังงาน พลังงานจลนแ์ ละพลงั งานศักย์ พลงั งานศกั ยโ์ นม้ ถว่ งละพลงั งานศกั ยย์ ดื หย่นุ กฎการอนุรกั ษ์พลงั งาน การถ่ายโอนพลังงาน ประสิทธิภาพของเครื่องกล โมเมนตัมและกฎการอนุรักษโ์ มเมนตัม การชนแบบ ต่าง ๆ และการระเบดิ ศกึ ษาวเิ คราะห์แนวคดิ เกีย่ วกับการเคลอ่ื นทแี่ บบหมุน การกระจดั เชิงมมุ โมเม นความเฉื่อยและความเร็วเชงิ มมุ ทอร์กและความเร่งเชงิ มมุ โมเมนตมั เชิงมมุ และกฎการอนรุ ักษ์ โมเมนตมั เชิงมุม และพลังงานจลน์ในการหมุน หลกั การพ้ืนฐานของสถิตศาสตร์ สมดุลของแรง เง่ือนไขของสมดลุ ตอ่ การเล่อื นทแ่ี ละสมดลุ ตอ่ การหมุน ศูนย์กลางมวลและศูนยถ์ ว่ งของวตั ถุ ความ ยืดหยุ่นของของแขง็ และการนาหลักสมดุลไปอธบิ ายการทางานของเคร่ืองกลบางอยา่ ง กฎข้อท่ี หนงึ่ ของอณุ หพลศาสตร์ หลกั การวัดความดันในของไหลและกฎของพาสคัล แรงลอยตวั และหลัก ของอารค์ ิมดี สิ ความตงึ ผิว ความหนืดและกฎของสโตกส์ และสมการของแบรน์ ลู ลี โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การ สบื ค้นข้อมูล และการอภปิ ราย เพอ่ื ใหเ้ กิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสอื่ สารส่ิงท่ีรู้ มีความสามารถในการ ตดั สินใจ นาความรไู้ ปใชใ้ นชีวติ ประจาวนั มีจิตวิทยาศาสตร์ จริยธรรมคณุ ธรรม และคา่ นิยมที่ เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. บอกความหมายและคานวณหาคําของงานได๎ 2. บอกความหมายและคานวณหาคําของพลังงานจลน์ ความสมั พนั ธ์ระหวาํ งงานกบั พลลัง งานจลนไ์ ด๎ 3. บอกความหมายและคานวณหาคําของพลังงานศักยโ์ นม๎ ถวํ ง ความสัมพันธร์ ะหวํางงาน กบั พลังงานศักยโ์ นม๎ ถํวงได๎ 4. บอกความหมายและคานวณหาคาํ ของพลังงานศักย์ยืดหยุํน ความสัมพันธ์ระหวํางงาน กบั พลังงานศักยย์ ืดหยนํุ ได๎ 5. อธิบายกฎอนุรกั ษพ์ ลังงานกลและนาไปอธบิ ายหรือคานวณเกี่ยวกับสถานการณ์ท่ี เกย่ี วขอ๎ งได๎ 6. อธิบายและคานวณเกี่ยวกบั หลกั การของงานกบั เคร่อื งกล ประสิทธภิ าพของเคร่ืองกล อยํางงําย ได๎แกํ รอก คาน ลอ๎ และเพลา พืน้ เอียงและสกรูได๎ 7. บอกแหลงํ พลงั งาน และอธิบายวิธกี ารใช๎พลังงานอยํางประหยดั และรักษาสงิ่ แวดลอ๎ ม
77 8. บอกความหมายและคานวณหาโมเมนตัม การดล และแรงดลได๎ 9. อธบิ ายและคานวณเก่ียวกับการชนใน 1 มิติ และกฎอนรุ ักษ์โมเมนตัมได๎ 10. อธิบายและคานวณเก่ยี วกับการชนใน 2 มติ ิ และกฎอนุรักษ์โมเมนตมั ได๎ 11. อธบิ ายและคานวณเกีย่ วกับการชนแบบยดื หยํุนและการชนแบบไมยํ ดื หยํุน การชนแบบ ระเบิดได๎ 12. อธิบายลักษณะการเคลื่อนที่แบบหมุน บอกความหมายและคานวณเก่ียวกบั การกระจดั เชงิ มุม ความเรว็ เชิงมมุ ความเรงํ เชิงมมุ พลงั งานจลน์จากการหมนุ และโมเมนต์ความเฉ่ือยได๎ 13. อธิบายผลของทอร์กตํอการเคลื่อนที่แบบหมุน คานวณหาคําทอรก์ ที่เก่ยี วขอ๎ งกับปริมาณตาํ ง ๆ ได๎ 14. บอกความหมายของโมเมนตมั เชิงมุม ใชก๎ ฎอนรุ ักษโ์ มเมนตัมเชงิ มมุ อธิบายและคานวณ เกย่ี วกบั สถานการณ์ทเ่ี กยี่ วข๎องได๎ 15. อธบิ ายลักษณะการเคล่อื นที่ทั้งแบบเลื่อนตาแหนํงและแบบหมุน คานวณหาพลังงานจลน์ และปรมิ าณท่ี เกย่ี วขอ๎ งได๎ 16. อธิบายความหมายของสมดุล และยกตัวอยาํ งสถานการณท์ ี่วัตถอุ ยใูํ นสภาพสมดุลกลได๎ 17. บอกเง่อื นไข อธิบายและคานวณเก่ียวกับสมดุลตอํ การเลื่อนทไ่ี ด๎ 18. บอกเง่ือนไข อธิบายและคานวณเกยี่ วกับสมดลุ ตํอการหมุนได๎ 19. อธิบายความหมายและคานวณเกีย่ วกบั สมดุลสมั บูรณไ์ ด๎ 20. อธบิ ายและคานวณเกย่ี วกับเคร่ืองกลโดยใชห๎ ลักการของสมดลุ กลได๎ 21. บอกความหมายและคานวณเกยี่ วกับสภาพยืดหยนุํ ของของแข็ง ความเค๎น ความเครยี ด มอดูลัสสภาพยืดหยุนํ พรอ๎ มทั้งทดลองศึกษาความสมั พันธ์ของปริมาณดงั กลาํ วได๎ 22. บอกความหมายอธิบายและคานวณเกยี่ วกบั ความดันในของเหลว เครื่องมอื วดั ความดัน และ ความดนั กบั ชวี ิตประจาวันได๎ 23. อธิบายและคานวณเกีย่ วกับกฎของพาสคัลและเคร่อื งไฮดรอลิกได๎ 24. อธิบายและคานวณเกี่ยวกับแรงลอยตวั และหลักของอาคิมีดิสได๎ 25. อธบิ ายคานวณและทดลองเก่ียวกบั แรงตงึ ผวิ ตลอดจนนาไปอธบิ ายปรากฏการณต์ ําง ๆ ที่ เกยี่ วกบั แรงตงึ ผวิ ได๎ 26. อธบิ ายเกย่ี วกบั แรงหนืด และกฎของสโตกส์ และนาความรูไ๎ ปอธิบายปรากฏการณ์ตาํ ง ๆ 27. บอก อธบิ ายและคานวณเก่ียวกบั พลศาสตรข์ องของไหลในประเด็นของไหลในอุดมคติ สมการความตํอเนื่อง สมการของแบรน์ ูลลี และการประยุกต์สมการของแบรน์ ูลลี รวม 27 ผลการเรยี นร๎ู
78 คาอธบิ ายรายวชิ าฟสิ กิ สเ์ พมิ่ เตมิ ว30203 ฟิสกิ ส์ 3 กลุํมสาระการเรียนร๎วู ิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 80 ชวั่ โมง จานวน 2.0 หนวํ ยกิต ศกึ ษาวิเคราะหแ์ นวคดิ เกี่ยวกับหลักการพ้ืนฐานของอุณหพลศาสตร์ ความร้อน สมบัติ ของแกส๊ การนาทฤษฎจี ลน์ของแกส๊ ไปอธบิ ายสมการของแก๊ส พลังงานในระบบของแก๊ส การ เคลือ่ นท่แี บบคลืน่ การเคล่ือนไหวของตวั กลางเมือ่ คลืน่ กลเคล่อื นท่ผี ่าน ความสมั พนั ธร์ ะหว่างความถ่ี คลน่ื ความยาวคลืน่ และอัตราเรว็ คลน่ื หลกั การซอ้ นทับของคลื่น สมบัตขิ องคลืน่ ธรรมชาตขิ อง เสยี งปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั สมบตั ิของเสียงการเกิดเสียงก้อง การเกดิ บีตสข์ องเสยี ง คล่ืนนงิ่ ของเสยี ง การส่ันพอ้ งของเสียง การได้ยินและปรากฏการณ์ตา่ ง ๆ ที่เกีย่ วข้องกับการได้ยนิ เชน่ ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ การเกิดคลน่ื กระแทก การนาความรูแ้ ละหลักการไปอธบิ ายปรากฏการณ์ หรือแกป้ ญั หาท่ีเกยี่ วข้องกับการประยกุ ตท์ างเสยี งในเทคโนโลยดี ้านตา่ งๆ ธรรมชาติของแสง สมบตั ิ เชิงฟิสกิ สล์ ะสมบัติเชงิ เรขาคณติ ของแสง หลักการทางานของทัศนอปุ กรณ์บางอย่าง การเลอื กใช้ ความสว่างทีเ่ หมาะสม การ กระจายแสง โพลาไรเซชนั ของแสง ตาและการมองเห็นสี โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การ สืบคน้ ขอ้ มูล และการอภปิ ราย เพือ่ ใหเ้ กิดความรู้ ความคิด ความเขา้ ใจ สามารถสือ่ สารส่งิ ท่ีรู้ มีความสามารถในการ ตดั สนิ ใจ นาความรู้ไปใช้ในชีวิตประจาวัน มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จรยิ ธรรม คุณธรรม และคา่ นยิ มที่ เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1. บอก อธิบายและ คานวณเก่ียวกับพลงั งานความรอ๎ นในประเดน็ ของอณุ หภมู ิ การ ขยายตวั ของวัตถุ เนื่องจากความร๎อน สถานะและการเปลี่ยนสถานะของสาร การถาํ ยโอนและการแผํ รงั สีความร๎อน 2. บอก อธิบาย และคานวณเก่ียวกับแก๏สอุดมคติ ในประเด็นของบอยส์ กฏของชารล์ สแ์ ละ กฎของแกส๏ 3. บอก อธบิ าย และคานวณเก่ียวกับทฤษฎจี ลน์ของแกส๏ ในประเด็นแบบจาลองของแก๏ส อดุ มคติ ความดันแกส๏ และพลงั งานจลน์เฉลี่ยของแกส๏ อัตราเรว็ ของโมเลกลุ ของแกส๏ 4. บอก อธิบาย และคานวณเก่ียวกับพลังงานภายในระบบ และนาไปอธิบายเกีย่ วกับ เครื่องยนต์ ไอนา้ ในอากาศและความดนั ไอ
79 5. อธิบายการเกดิ คล่ืนกล บอกความหมายของสนั คลื่น ท๎องคลืน่ หน๎าคลืน่ แอมปลจิ ูด ความยาวคลนื่ อตั ราเรว็ ความถ่ี คาบ เวลา เฟส และคานวณหาปรมิ าณตําง ๆ ทเี่ ก่ยี วข๎องได๎ 6. อธบิ ายการซ๎อนทบั ของคลื่น ทาการทดลองและสรปุ การสะทอ๎ นของคลน่ื น้าได๎ 7. ทากิจกรรมเพือ่ สรปุ การหักเหของคลน่ื ผิวนา้ และคานวณหาปริมาณท่ีเกยี่ วข๎องได๎ 8. ทากิจกรรมเพอ่ื อธบิ ายการแทรกสอด การเล้ยี วเบนของคลื่นนา้ และคานวณหาปริมาณ ตาํ ง ๆ ที่เกีย่ วข๎องได๎ 9. ทากิจกรรมและสรุปธรรมชาติของเสียง และสมบตั ิของเสยี งท่ีเกีย่ วข๎องกบั การแทรก สอดและการเลีย้ วเบน 10. อธบิ ายลกั ษณะการเคลอื่ นท่ีของตัวกลาง การเปลี่ยนแปลงการกระจดั และความดนั ของอากาศขณะทม่ี คี ลน่ื เสียงเคล่อื นทผี่ ํานอากาศ และคานวรหาอัตราเรว็ ของเสียงในอากาศทีอ่ ณุ หภมู ิ ตาํ ง ๆ ได๎ 11. อธบิ ายและยกตัวอยาํ งเพอ่ื แสดงวาํ เสียงมีสมบตั กิ ารสะทอ๎ นและการหกั เห พรอ๎ มท้ัง คานวณหาปริมาณตําง ๆ ที่เก่ียวขอ๎ งได๎ 12. ทากจิ กรรมและสรุปเกย่ี วกบั การเกิดบตี ส์ การเกดิ คล่ืนนงิ่ รวมท้ังคานวณหาปริมาณ ตําง ๆ ท่เี กย่ี วข๎องได๎ 13. ทากจิ กรรม ทดลอง และสรุปเก่ยี วกับการส่ันพอ๎ งของเสยี งในหลอดเรโซแนนซ์ พร๎อม ทัง้ คานวณหาปรมิ าณตําง ๆ ทเี่ ก่ียวข๎องได๎ 14. อธิบายลกั ษณะและเงอ่ื นไข การเกดิ ปรากฏการดอปเพลอร์และคล่ืนกระแทก และ ยกตัวอยาํ งอนั ตรายท่ี เกดิ จากคลนื่ กระแทกได๎ 15. อธบิ ายปรากฏการตาํ ง ๆ พร๎อมท้งั คานวณหาปริมาณตําง ๆ ที่เกีย่ วข๎องับการได๎ยิน เสียง ได๎แกํ ความเขม๎ เสยี ง ระดับความเข๎มเสียง มลภาวะของเสยี ง ระดบั เสยี ง คุณภาพเสยี ง และหู กับการได๎ยิน 16. บอกสมบตั ขิ องเสียงที่นามาประยกุ ตใ์ ชป๎ ระโยชน์ เก่ียวกบั การประมง การแพทย์ ธรณีวทิ ยา วิศวกรรมและอตุ สาหกรรม 17. อธิบายการเคลอื่ นท่ีและอัตราเรว็ ของแสงได๎ 18. ทดลองการแทรกสอดและการเล้ยี วเบนของแสง โดยใช๎สลิตคํู สลติ เดย่ี ว เกรตติ้ง และ คานวณหาปริมาณตําง ๆ ทเี่ กี่ยวขอ๎ งได๎ 19. อธบิ ายปรากฏการณโ์ พลาไรเซชัน การกระเจงิ แสง การกระจายแสงไปใช๎อธบิ าย ปรากฏการตาํ ง ๆ ได๎ 20. อธบิ ายสํวนประกอบของตา การมองเหน็ สี ตลลอดจนการถนอมสายตา พรอ๎ มทั้ง นาไปใชป๎ ระโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได๎
80 21. บอกความหมายของความสวาํ ง และคานวณหาปริมาณที่เก่ยี งข๎องได๎ 22. ทาการทดลองและสรุปการหักเหของแสง นาความรู๎ที่ไดไ๎ ปอธิบายปรากฏการณต์ าํ ง ๆ ตลอดจนการหักเหของแสงผํานเลนส์ และคานวณหาปริมาณทเ่ี กย่ี งขอ๎ งได๎ 23. นาความร๎ูเร่ืองการสะท๎อนแสง เรื่องเลนส์ ไปอธิบายการทางานของทศั นอุปกรณ์ บางอยาํ งได๎ รวม 23 ผลการเรยี นร๎ู
81 คาอธบิ ายรายวิชาฟิสิกส์เพม่ิ เตมิ ว30204 ฟิสิกส์ 4 กลํมุ สาระการเรยี นร๎ูวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 80 ชั่วโมง จานวน 2.0 หนวํ ยกิต ศึกษาวเิ คราะห์แนวคดิ เกยี่ วกับ หลักการพ้นื ฐานของไฟฟา้ ในเร่ือง กฎของคูลอมบ์ สนามไฟฟ้า พลงั งานศกั ยไ์ ฟฟ้า ศกั ยไ์ ฟฟ้า และการเกบ็ กกั ประจุไฟฟ้า กฎของโอหม์ สภาพ ตา้ นทานและสภาพนาไฟฟ้า วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยและอุปกรณไ์ ฟฟ้าท่เี กี่ยวข้อง พลังงานไฟฟ้าและ กาลงั ไฟฟ้า การหาค่าพลังงานไฟฟ้าทีใ่ ช้ในอปุ กรณแ์ ละเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้า การส่งกาลงั ไฟฟ้าและการนา หลักการพน้ื ฐานทางไฟฟา้ ไปใช้อธบิ ายการทางานของอุปกรณ์หรือเคร่ืองใชไ้ ฟฟา้ บางอยา่ ง ศกึ ษา วิเคราะห์แนวคดิ เก่ียวกับหลกั การแม่เหลก็ ไฟฟ้า สนามแมเ่ หลก็ แรงแม่เหล็ก ท่ีกระทาบนอนุภาค ไฟฟา้ ทีเ่ คล่ือนที่ผา่ นสนามแม่เหล็กและลวดตัวนาทีม่ ีสนามไฟฟ้าผ่าน หลักการทางานของมอเตอร์ กระสตรง กฎการเหนย่ี วนาไฟฟ้า การใช้กฎของเลนซ์หาทศิ ของแรงเคล่ือนไฟฟ้าเหน่ียวนา เคร่ืองกาเนิด ไฟฟา้ หลักการทางานของหมอ้ แปลง การแปลงไฟฟา้ กระแสสลบั ใหเ้ ปน็ ไฟฟ้ากระแสตรง ไฟฟ้า กระแสสลับ ความสมั พันธร์ ะหว่างความต่างศกั ยแ์ ละกระแสไฟฟ้าสลบั กับเวลา ค่ายงั ผล ความ ตา้ นทานเชิงเหน่ยี วนาและเชิงความจุ ความต้านทานเชิงซ้อน วงจรพื้นฐานของไฟฟ้ากระแสสลบั การกาทอนไฟฟา้ และวงจรรับสง่ คลืน่ วทิ ยุอย่างงา่ ย ทฤษฎีคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ของแมกซเ์ วลลล์ ะการ ทดลองของเฮริ ตซ์ สเปกตรัมคลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า โดยใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสารวจตรวจสอบ การ สบื คน้ ข้อมูล และการอภปิ ราย เพื่อให้เกดิ ความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถสอื่ สารส่ิงท่ีรู้ มีความสามารถในการ ตัดสนิ ใจ นาความรู้ไปใช้ในชวี ิตประจาวนั มีจิตวทิ ยาศาสตร์ จริยธรรมคุณธรรม และค่านิยมท่ี เหมาะสม ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายการทาใหว๎ ัตถมุ ีประจไุ ฟฟ้าโดยการขดั สีและการถูได๎ ตลอดจนโดยการเหนย่ี วนา การถํายเทประจุไฟฟ้า แลละทดสอบได๎วําวัตถุใดมปี ระจุไฟฟา้ หรอื มีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้า 2. บอกความสัมพนั ธ์ระหวําง ระยะหํางระหวาํ งประจไุ ฟฟา้ และปรมิ าณประจุไฟฟา้ นามา สรปุ เป็นกฎของคูลอมบไ์ ด๎ พรอ๎ มท้งั นากฎของคลู อมบ์ ไปคานวณหาปริมาณตําง ๆ ทเี่ กย่ี วขอ๎ งได๎ 3. เขียนรูปแสดงเสน๎ แรงไฟฟ้าจากจดุ ประจขุ องประจุบนตวั นาได๎ หาตาแหนํงของจุด สะเทนิ บนสนามไฟฟ้าได๎ ตลอดจนคานวณหาคําสนามไฟฟา้ และแรงกระทาตอํ ประจุทดสอบได๎
82 4. อธบิ ายและบอกความหมายของศกั ย์ไฟฟ้า ความตาํ งศกั ยไ์ ฟฟา้ งานในการเลอ่ื นประจุ ไฟฟา้ และแสดง การคานวณได๎ถกู ตอ๎ ง 5. บอกความหมายของความจไุ ฟฟา้ อธิบายการเปล่ยี นแปลงคําศกั ยไ์ ฟฟ้าท่เี กิดจากการ เก็บกกั ประจุของตัวนาใด ๆ และบอกไดว๎ ําความจุไฟฟา้ แปรผันตรงกับรศั มขี องตวั นาทรงกลม รวมท้ัง การประยกุ ต์ความรูเ๎ กย่ี วกับไฟฟา้ สถติ ไปใชป๎ ระโยชน์ 6. อธิบายการเกิดกระแสไฟฟ้าในตวั นา และการนาไฟฟา้ ในตวั นาชนิดตาํ ง ๆ สรุปและ คานวณหาคํากระแสไฟฟา้ ท่ีไหลในโลหะตวั นาได๎ ตลอดจนบอกหลกั การ การเปล่ียนรูปพลงั งาน ไฟฟา้ มาจากพลงั งานรูปอ่นื ๆ ได๎ 7. ทาการทดลองและสรุปกฎของโอหม์ ได๎วาํ เม่ืออุณหภมู ิคงที่ กระแสไฟฟ้าจะแปรผัน ตรงกบั ความตํางศกั ย์ระหวํางจดุ สองจุดบนตัวนาโลหะ และอํานคาํ ความตา๎ นทานจากแถบสไี ด๎ 8. อธิบายความหมายของสภาพต๎านทานไฟฟา้ สภาพนาไฟฟ้า และบอกวําอณุ หภมู ิมผี ลตอํ สภาพต๎านทานและสภาพนาไฟฟ้าของสาร 9. ทาการทดลองและสรุปความแตกตาํ งของการตํอความต๎านทานแบบอนุกรมและแบบ ขนานได๎ พร๎อมทัง้ คานวณหาคาํ ความตา๎ นทานรวมเมือ่ ตอํ ความตา๎ นทานแบบตาํ ง ๆ ได๎ 10. บอกความหมายของแรงเคลอื่ นไฟฟ้า ความตํางศกั ยไ์ ฟฟา้ ทีข่ ้วั เซลล์ ความตํางศกั ย์ ภายในเซลล์ อธิบายความสัมพันธร์ ะหวํางไฟฟา้ ในวงจรและแรงเคล่อื นไฟฟ้าของเซลล์ได๎ 11. อธบิ ายหลกั การสรา๎ งแอมมิเตอร์ โวลตม์ เิ ตอร์ โอห์มมิเตอร์ จากแกลแวนอร์มิเตอร์ได๎ 12. บอกความหมายและสรุปเก่ยี วกบั พลงั งานไฟฟ้า กาลังไฟฟ้าและแสดงการคานวณตาม สถานการณท์ ่ีกาหนดใหไ๎ ดถ๎ ูกตอ๎ ง 13. อธบิ ายวิธีการตํอวงจรไฟฟ้าภายในบ๎าน หลกั การทางานของอปุ กรณห์ รือ เครื่องใช๎ไฟฟ้าภายในบ๎านตลอดจนวิธกี ารใชไ๎ ฟฟ้าอยํางประหยัดและปลอดภัยได๎ และบอกความหมาย ของแหลงํ กาเนิดไฟฟ้า และวเิ คราะห์ความสมั พันธร์ ะหวาํ งพลังงานไฟฟ้ากบั พลงั งานรปู อ่ืนตลอดจนนา ความร๎ูทางไฟฟ้าไปประยุกต์ใช๎งานด๎านตําง ๆ ได๎ 14. บอกคณุ สมบัตขิ องแมเํ หลก็ สนามแมํเหลก็ และเขยี นเสน๎ แรงแมํเหล็กพรอ๎ มท้ังบอกได๎ วาํ เม่อื อนภุ าคทม่ี ีประจเุ คล่ือนเขา๎ ไปในสนามแมเํ หลก็ ทค่ี งท่ีจะมีแรงกระทากับอนุภาคทมี่ ปี ระจุนน้ั และ หาทิศทา ของแรงกระทาตํออนภุ าค รวมท้ังคานวณหาปริมาณตาํ ง ๆ ท่เี ก่ียวข๎องจากสถานการณท์ ่ี กาหนดให๎ได๎ 15. ทาการทดลองและสรุปได๎วาํ เม่ือผาํ นกระแสไฟฟ้าเขา๎ ไปในลวดตวั นาทีว่ างอยูใํ น สนามแมเํ หล็กคําคงทจ่ี ะเกดิ แรงกระทาตํอลวดตวั นาน้ัน ตลอดจนบอกความสมั พนั ธร์ ะหวํางแรง กระทานน้ั กับกระแสไฟฟา้ ความยาวของลวดตัวนา และความเขม๎ สนามแมํเหลก็ ได๎
83 16. บอกได๎วาํ ที่วางขดลวดรูปส่ีเหลย่ี มท่มี กี ระแสไฟฟา้ ไหลผาํ นในสนามแมํเหล็กจะเกดิ โมเมนตัมของแรงคํคู วบ ทาใหข๎ ดลวดหมนุ ได๎ อธิบายการทางานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงและ กลั ปแ์ วนอรม์ ิเตอร์ได๎ 17. ทาการทดลองและสรุปไดว๎ ํา เมอื่ ผํานกระแสไฟฟ้าเขาไปในลวดตวั นาจะเกิด สนามแมเํ หลก็ รอบ ๆ ลวดตัวนานนั้ สามารถหาขนาดและทศิ ของแรงกระทาระหวํางลวดตวั นาสองเส๎น ซึ่งวางขนานกันและ มีกระแสไฟฟ้าไหลผํานได๎ และเมอื่ เปล่ยี นแปลงฟลกั ซ์แมเํ หลก็ ท่ีพงํุ ผาํ นขดลวด จะเกิดกระแสไฟฟ้าเหนยี่ วนาในขดลวด และนาความรเ๎ู ร่ืองการเหนยี่ วนาไปอธบิ ายการทางานของ เครื่องใช๎ไฟฟา้ บางอยาํ งได๎ 18. ทากิจกรรมสรปุ ไดว๎ าํ กระแสไฟฟ้าจากเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ มีทั้งกระแสตรงและ กระแสสลบั อธบิ ายหลักการของหม๎อแปลงไฟฟา้ การเปลี่ยนไฟฟา้ กระแสสลบั เป็นไฟฟ้ากระแสตรง โดยใชไ๎ ดโอด เปน็ อุปกรณส์ าคญั และนาความรูท๎ างแมํเหลก็ ไปใชใ๎ ห๎เกดิ ประโยชนพ์ ร๎อมทง้ั อนุรักษ์ธรรมชาติ 19. บอกความสัมพนั ธร์ ะหวํางกระแสไฟฟา้ กบั ความตํางศักยท์ ี่สวํ นประกอบของวงจรได๎ 20. เขยี นแผนภาพเฟเซอรแ์ ล๎วนาไปแกป๎ ญั หาเกย่ี วกบั ไฟฟา้ กระแสสลบั อธบิ ายผลของ ไฟฟา้ กระแสสลับที่มตี อํ ตัวเหนยี่ วนา และบอกความหมายของคาํ รแี อกแทนซ์เชิงเหน่ียวนาได๎ 21. สามารถวัดคาํ ความตาํ งศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟา้ ของวงจร RLC ที่ตํอแบบอนกุ รม และขนานได๎ และคานวณความตา๎ นทานเชิงซ๎อนและวงจรไฟฟา้ ในวงจรกระแสสลับได๎ 22. อธบิ ายการเกิดคล่ืนแมํเหลก็ ไฟฟ้า ทฤษฎีคล่ืนแมเํ หล๎กไฟฟ้าของแมกซเ์ วลล์และการ ทดลองของเฮิรตซไ์ ด๎ 23. อธิบายการเกิดสเปกตรมั และชนดิ ของสเปกตรัมคลืน่ แมเํ หล็กไฟฟ้าได๎ รวม 23 ผลการเรยี นรู๎
84 คาอธิบายรายวชิ าฟสิ กิ สเ์ พ่ิมเตมิ ว30205 ฟสิ กิ ส์ 5 กลํมุ สาระการเรยี นร๎ูวทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 80 ชวั่ โมง จานวน 2.0 หนํวยกติ ศกึ ษาวิเคราะห์แนวคิดเกย่ี วกับแบบจาลองอะตอม โครงสรา๎ งของอะตอม ประวัติการ คน๎ พบอเิ ลก็ ตรอน ปรากฎการณ์โฟโตอิเล็กทรกิ ปรากฎการณค์ อมป์ตนั รังสเี อกซ์ ทวิภาพของ คลน่ื และอนุภาค แนวคิดพ้ืนฐานของกลศาสตรค์ วอนตัม หลักการสรา๎ งแสงเลเซอร์ ปรากฏการณ์ กัมมันตภาพรงั สี ความสมั พันธร์ ะหวํางมวลพรํองกบั พลงั งานยดึ เหนย่ี ว การสลายของธาตุ กัมมนั ตรังสี ปฏกิ ริ ิยานิวเคลียร์ การป้องกนั อนั ตรายและการใชป๎ ระโยชน์จากกมั มันตภาพรงั สี และ พลังงานนิวเคลยี ร์ ศกึ ษาวสั ดอุ เิ ลคโทรนิกส์ ใชส๎ าหรบั การรบั ร๎ู การวิเคราะหแ์ ละตดั สนิ ใจ ใชใ๎ นการ ควบคุมสญั ญาณตาํ ง ๆ และนาความรท๎ู างอเิ ลคโทรนิกส์ไปใชง๎ านทางวิทยาศาสตร์ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ การสบื เสาะหาความรู๎ การสารวจตรวจสอบ การ สบื ค๎นขอ๎ มูล และการอภิปราย เพอื่ ใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถส่อื สารสง่ิ ที่ร๎ู มคี วามสามารถในการ ตดั สนิ ใจ นาความร๎ูไปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวนั มีจิตวิทยาศาสตร์ จรยิ ธรรมคุณธรรม และคาํ นิยมท่ี เหมาะสม ผลการเรียนรู้ 1.บอก อธบิ าย และคานวณเก่ียวกบั แนวคิดของอะตอม การค๎นพบอิเลคตรอนของทอมสนั และประจขุ องอิเลคตรอนของมลิ ลิแกน ตลอดจนแบบจาลองอะตอมของทอมสันและรทั เทอรฟ์ อร์ด 2. อธิบาย และคานวณเก่ียวกับสเปกตรัมของแก๏สและการแผํรังสีของวัตถุดา 3. อธบิ าย และคานวณเก่ียวกับอธิบาย และคานวณเกย่ี วกับปรากฏการณ์โฟโตอิเลคตริก 4. อธบิ าย และคานวณเก่ียวกบั ทฤษฎอี ะตอมของโบร์ การทดลองของฟรังก์และเฮิรตซ์ การเกดิ รังสีเอกซ์ 5. อธิบาย และคานวณเกี่ยวกบั ทวภิ าคของคลนื่ และอนภุ าคและกลศาสตร์ควอนตัม 6. บอก อธิบาย เก่ยี วกบั กัมมนั ตภาพรังสี และการเปล่ียนสภาพนวิ เคลยี ส 7. บอก อธบิ าย และคานวณเก่ียวกับการสลายของนิวเคลียส กัมมันตรังสี และไอโซโทป 8. บอก อธบิ าย และคานวณเกย่ี วกับเสถยี รภาพของนิวเคลียสในประเดน็ ของแรงนวิ เคลียร์ และพลงั งานยดึ เหนีย่ ว 9. บอก อธบิ าย และคานวณเก่ยี วกับปฏกิ ิริยานวิ เคลยี ร์
85 10. บอก อธิบาย และคานวณเก่ยี วกับประโยชนข์ องกัมมันตภาพรังสีและพลังงานนิวเคลยี อันตรายจาก กมั มันตภาพรงั สแี ละการปอ้ งกนั 11. ทดลองและสรปุ ได๎วาํ LDR เปน็ ตัวรับรูเ๎ พื่อวัดความสวาํ งของแสง โดยความต๎านทาน ของ LDR จะมคี ํามากหรือน๎อยขึ้นอยูกํ บั ความสวํางของแสงท่ตี กกระทบ 12. ทดลองและสรปุ ไดว๎ าํ เทอรม์ สิ เตอรเ์ ป็นตัวรบั รู๎อณุ หภมู ิ โดยความต๎านทานของเทอร์ มิสเตอร์จะมคี ํามากหรือน๎อยข้ึนอยกํู บั อุณหภมู ิ 13. ทดลองและสรุปไดว๎ าํ รีดสวิตซ์เป็นตัวรับรสู๎ นามแมํเหลก็ โดยเมอ่ื มีแทงํ แมํเหลก็ เข๎า ใกล๎รีดสวิตซ์ รดี สวิตซ์จะทาให๎วงจรไฟฟา้ ครบวงจร 14. ทดลองและสรุปได๎วาํ IR โฟโตไดโอดเป็นตวั รบั รูร๎ งั สอี ินฟราเรด 15. บอกไดว๎ าํ สามารถใช๎วัสดอุ ิเลก็ ทรอนิกสเ์ ป็นตวั รบั รู๎เพอื่ นาไปวดั ปริมาณตาํ ง ๆ ทาง กายภาพ 16. ทดลองและสรุปการทางานของวงจรตรรกะแบบ NOT จากการทางานของ IC 7404 17. ทดลองและสรปุ การทางานของวงจรตรรกะแบบ AND จากการทางานของ IC 7408 18. ทดลองและสรุปการทางานของวงจรตรรกะแบบ OR จากการทางานของ IC 7432 19. อธิบายการใชว๎ ัสดอุ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ในการขยายสัญญาณและการควบคุม 20. อธิบายการใช๎วัสดอุ เิ ล็กทรอนกิ สใ์ นงานทางวทิ ยาศาสตร์ 21. สามารถนาวัสดอุ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ไปประยุกต์ใช๎ รวม 21 ผลการเรียนรู๎
86 คาอธบิ ายรายวิชาเคมีเพิ่มเตมิ ว30221 เคมี 1 กลํุมสาระการเรยี นร๎วู ิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หนํวยกติ ศึกษา ทดลอง วิเคราะห์โครงสร๎างและอนุภาคมลู ฐานของอะตอม แบบจาลองอะตอม ของดอลตัน ทอมสนั รทั เทอร์ฟอร์ด โบร์ แบบจาลองอะตอมแบบกลุํมหมอก สมบัตขิ องคลืน่ และสเปกตรัมของแสง สเปกตรัมของธาตแุ ละการแปลความหมาย การจัดอเิ ลก็ ตรอนในอะตอม ววิ ัฒนาการการสร๎างตารางธาตุ สมบตั ติ ํางๆ ของธาตุตามหมํูและตามคาบเกี่ยวกบั ขนาดของอะตอม และรศั มไี อออน พลงั งานไอออนไนเซชัน คําอิเล็กโทรเนกาตวิ ิตี สัมพรรคภาพอิเลก็ ตรอน จุด หลอมเหลวและจุดเดือสมบตั ิของธาตตุ ามตารางธาตุ เลขออกซเิ ดชัน พนั ธะไอออนิก พนั ธะโคเว เลนต์ พนั ธะโลหะ สมบตั ิของสารประกอบของธาตุตามคาบ ปฏกิ ิรยิ าของธาตแุ ละสารประกอบของ ธาตุตามหมูํ ตาแหนงํ ของธาตไุ ฮโดรเจนในตารางธาตุ สมบตั ิของธาตุทรานซชิ นั สารประกอบ เชงิ ซ๎อนของธาตทรานซชิ นั ธาตุกึง่ โลหะ ธาตกุ มั มนั ตรงั สแี ละปฏกิ ริ ิยานิวเคลยี ร์ การทานายสมบตั ิ ของธาตใุ นตารางธาตุ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์ในการสบื เสาะหาความร๎ู การ แก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื คน๎ ขอ๎ มูล และการอภปิ ราย เพ่อื ให๎เกดิ ความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ สามารถส่อื สารส่ิงทเี่ รียนร๎ู และนาความร๎ูไปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวิตและดูแลสงิ่ แวดลอ๎ ม มีคุณธรรม จรยิ ธรรม คาํ นิยมทีเ่ หมาะสม และเขา๎ ใจ วาํ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสง่ิ แวดลอ๎ มเก่ียวขอ๎ งสัมพันธ์กัน ผลการเรียนร๎ู 1.เปรียบเทยี บความแตกตํางของแบบจาลองอะตอมของดอลตนั ทอมสนั รัทเทอรฟ์ อรด์ โบรแ์ ละแบบจาลองอะตอมแบบกลํุมหมอก 2. อธิบายความสัมพันธ์ระหวํางความยาว ความถี่ และพลงั งานของคลื่นแมํเหลก็ ไฟฟ้า และการเกดิ ลักษณะของแถบสเปกตรัมของแสงขาว 3. วเิ คราะห์ เปรยี บเทียบการจดั เรียงอิเล็กตรอนในระดับพลังงานตํางๆ ในอะตอม 4. อธิบายแนวคดิ ในการจดั ธาตุเป็นหมวดหมขํู องนักเคมีในยคุ ตาํ งๆ 5. วเิ คราะห์และสรุปสมบัติตํางๆ ของธาตุตามหมแํู ละตามคาบเก่ยี วกับขนาดของอะตอม และรศั มีไอออน พลังงานไอออนไนเซชนั คําอิเล็กโทรเนกาตวิ ิตี สมั พรรคภาพอิเล็กตรอน จุด หลอมเหลวและจุดเดือด 6. คานวณหาเลขออกซิเดชนั ของธาตุในสารประกอบและไอออนตาํ งๆ 7. อธบิ ายการเกิดพันธะ โครงสร๎าง การเขยี นสตู ร การเรียกช่อื สมบัตแิ ละประโยชน์ ของสารประกอบไอออนิก
87 8. ทดลองและสรปุ เกยี่ วกบั การเปล่ยี นแปลงพลังงานของสารไอออนกิ เม่ือละลายน้า และ การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีของสารไอออนกิ 9. อธบิ ายการเกิดพันธะการเขยี นสตู ร การเรยี กชื่อ และระบุชนดิ ของพนั ธะโคเวเลนต์ใน โมเลกลุ ความยาวพนั ธะ พลังงานพนั ธะ โมเลกลุ มีข้ัวและไมํมีขัว้ 10. อธิบายโครงสรา๎ งของสารโคเวเลนต์ทม่ี ีโครงสรา๎ งเรโซแนนซ์ และทานายรูปราํ งของ โมเลกลุ โคเวเลนต์ 11. อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวํางแรงยดึ เหนี่ยวระหวาํ งโมเลกลุ โครงสร๎างกบั โครงรําง ผลึกตาขํายจุดเดือดและจดุ หลอมเหลว 12. อธบิ ายการเกิดพนั ธะโลหะ และใช๎ความรเ๎ู รื่องพันธะโลหะอธบิ ายสมบตั ขิ องโลหะ 13. เปรียบเทยี บสมบัตแิ ละบอกประโยชนข์ องสารประกอบคลอไรด์และสารประกอบ ออกไซดข์ องโลหะและอโลหะในชวี ิตประจาวัน 14. เปรียบเทียบสมบัติของธาตแุ ละสารประกอบของธาตุแทรนซชิ นั กบั ธาตุและ สารประกอบของธาตุหมํู IA , IIA และ VIIA 15. สบื ค๎นขอ๎ มูลเพ่อื อธิบายเกยี่ วกับสมบัติ ประโยชน์และโทษของธาตุกมั มันตรังสี 16. อธิบายเก่ียวกบั ปฏิกิรยิ าฟชิ ชนั ปฏิกิริยาฟิวชัน และเขยี นสมการแสดงการ เกิดปฏิกริ ยิ านวิ เคลยี ร์ 17. ทานายตาแหนํงของธาตุในตารางธาตุ เมอ่ื ทราบสมบัติของธาตุ 18. อธบิ ายเกยี่ วกับสมบัติ ประโยชนแ์ ละโทษของธาตแุ ละสารประกอบท่มี ีตํอสิ่งมีชีวิต และสิ่งแวดล๎อม รวม 18 ผลการเรยี นร๎ู
88 คาอธบิ ายรายวิชาเคมีเพ่ิมเติม ว30222 เคมี 2 กลุมํ สาระการเรยี นรูว๎ ทิ ยาศาสตร์ ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ช่ัวโมง จานวน 1.5 หนวํ ยกติ ศกึ ษา อธิบาย ทดลอง สืบคน๎ ขอ๎ มูล วิเคราะห์ สารวจตรวจสอบเกีย่ วกับมวล อะตอม มวลโมเลกุล มวล 1 อะตอม มวล 1 โมเลกลุ มวลอะตอมเฉล่ีย โมลและปรมิ าณตํอ โมล ความสัมพันธ์ ระหวาํ งจานวนโมลกบั อนุภาค มวลและปริมาตรก๏าซที่ STP หนํวยความ เขม๎ ขน๎ ของสารละลาย การเตรียมสารละลาย สมบัตเิ กีย่ วกับจุดเดือดและจุดเยอื กแข็งของสารละลาย ความสัมพนั ธข์ องปรมิ าณสารในสมการเคมี มวลสารในปฏิกริ ิยาเคมี การคานวณหาสูตรอยาํ งงําย และสตู รโมเลกุลของสาร การคานวณหามวลร๎อยละจากสตู ร สมการเคมี และการคานวณหา ปริมาณสารในสมการเคมี สมบัติของของแขง็ ของเหลว และกา๏ ซ การเปล่ยี นสถานะ การ จดั เรยี งอนุภาค การระเหย การระเหิด จุดเดือดกบั ความดนั ไอของของเหลว ทฤษฎีจลนข์ องก๏าซ การแพรขํ องกา๏ ซ เทคโนโลยีทเ่ี กย่ี วข๎องกับสมบตั ิของของแข็ง ของเหลวและกา๏ ซ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู๎ การ แกป๎ ัญหา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบค๎นข๎อมูล และการอภปิ ราย เพ่ือใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ สามารถสื่อสารส่งิ ทเี่ รยี นรู๎ และนาความร๎ูไป ใช๎ประโยชน์ในการดารงชวี ิตและดแู ลส่ิงแวดล๎อม มีคุณธรรม จรยิ ธรรม คํานิยมที่เหมาะสม และ เขา๎ ใจวําวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสง่ิ แวดล๎อมเก่ยี วข๎องสัมพนั ธก์ นั ผลการเรยี นร๎ู 1. อธิบายความหมายและคานวณหามวลอะตอมของธาตุ 1 อะตอม 2. อธิบายความหมายและคานวณหามวลโมเลกลุ ของสาร มวลของสาร 1 โมเลกลุ 3. บอกและคานวณความสัมพนั ธ์ระหวาํ งจานวนโมล จานวนอนภุ าค มวลของสาร และปริมาตรของก๏าซที่ STP 4. คานวณหาความเขม๎ ขน๎ ของสารละลาย และเตรียมสารละลายใหม๎ คี วามเขม๎ ข๎นหรือ ปรมิ าตรตามที่ต๎องการได๎ 5. บอกสมบตั ิบางประการของสารละลาย 6. จาแนกระบบของสารเป็นระบบปดิ ระบบเปิด ระบบอิสระ 7. คานวณหามวลในปฏกิ ริ ิยาท่เี ป็นไปตามกฎทรงมวล 8. หาอตั ราสวํ นโดยมวลของธาตุทร่ี วมกนั เป็นสารประกอบตามกฎสัดสวํ นคงท่ี 9. คานวณหาสตู รอยาํ งงาํ ยและสูตรโมเลกุลของสาร รวมทั้งคานวณหามวลเป็นร๎อยละ ของธาตอุ งคป์ ระกอบในสารประกอบ
89 10. คานวณหาจานวนโมล มวลของสาร ปรมิ าตรของก๏าซ จานวนอนภุ าคจากสมการ เคมี 11. บอกสมบตั บิ างประการของของแข็ง ของเหลว และก๏าซ 12. อธิบาผลของการเปลยี่ นแปลงพลงั งานตอํ การเปล่ยี นสถานะของสาร 13. อธบิ ายการจัดเรยี งอนภุ าคของของแข็ง 14. อธบิ ายสมบตั ิของของเหลวเก่ยี วกับการระเหย และความดนั ไอ 15. อธิบายความสมั พนั ธ์ระหวํางอุณหภูมิ ความดัน และปริมาตรของกา๏ ซ 16. คานวณหาปริมาตร ความดัน และอณุ หภมู ขิ องก๏าซโดยใชก๎ ฎตํางๆ ของก๏าซ 17. อธิบายเทคโนโลยที ี่เกย่ี วข๎องกับสมบัตขิ องของแข็ง ของเหลว และกา๏ ซ รวม 17 ผลการเรียนร๎ู
90 คาอธบิ ายรายวิชาเคมเี พ่มิ เตมิ ว30223 เคมี 3 กลุํมสาระการเรียนรู๎วทิ ยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 60 ชัว่ โมง จานวน 1.5 หนวํ ยกติ ศึกษา อธบิ าย ทดลอง สืบคน๎ ขอ๎ มลู วเิ คราะห์ สารวจตรวจสอบเก่ยี วกบั อัตราการเกิด ปฏิกิริยาเคมี ประเภทของอัตราการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี การเปล่ียนแปลงปริมาณของสารในระบบและ คานวณหาอัตราการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี ใชท๎ ฤษฎจี ลน์และทฤษฎกี ารชนกนั ของอนุภาคอธิบายอตั ราการ เกดิ ปฎิกริ ิยาเคมี การเปล่ยี นแปลงพลังงานกบั การดาเนนิ ไปของปฏิกริ ิยาเคมี ปัจจัยตํางๆ ที่มีผลตํอ อัตราการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี การเปลี่ยนแปลงท่ผี นั กลบั ไดก๎ ารเปลย่ี นสถานะ การละลายของสารใน สารละลายอิ่มตัว และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ภาวะสมดลุ สมดลุ ไดนามิก ความสัมพันธร์ ะหวาํ งความ เขม๎ ขน๎ ของสารตัง้ ตน๎ และผลติ ภัณฑ์ ณ ภาวะสมดลุ คานวณหาคําคงทีส่ มดุลของปฏิกริ ยิ าเคมี ผล ของการเปลีย่ นแปลงความเข๎มขน๎ ความดนั และอณุ หภูมิท่มี ตี อํ ภาวะสมดลุ ของระบบและตอํ คาํ คงที่ สมดลุ ของปฏกิ ิรยิ า การนาหลกั ของชาเตอลเิ อมาใช๎ในการทานายการปรบั ภาวะสมดุลของปฏิกิรยิ าและ การประยกุ ตใ์ ช๎ในอุตสาหกรรมสารละลายอเิ ลก็ โทรไลต์และนอนอิเล็กโทรไลต์ สารละลายกรดและ เบส ทฤาฎกี รด-เบส คํกู รด-เบสการแตกตวั ของกรดและเบส การแตกตัวเป็นไอออนของนา้ pH ของสารละลาย อนิ ดเิ คเตอร์ สารละลายกรด-เบสในชีวิตประจาวัน ปฏกิ ริ ยิ ากรด-เบส การไตเตรด และสารละลายบัฟฟเอร์ โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความร๎ู การ แก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื ค๎นขอ๎ มูล และการอภปิ ราย เพือ่ ให๎เกดิ ความรู๎ ความคิด ความเข๎าใจ สามารถสื่อสารส่งิ ทเ่ี รียนร๎ู และนาความรู๎ไปใช๎ ประโยชน์ในการดารงชีวติ และดแู ลส่ิงแวดล๎อม มีคุณธรรม จริยธรรม คํานยิ มท่เี หมาะสม และเขา๎ ใจ วาํ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิ่งแวดลอ๎ มเก่ียวขอ๎ งสมั พนั ธ์กนั ผลการเรียนรู๎ 1. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกับความหมายและประเภทของอัตราการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี 2. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกับการเปลยี่ นแปลงปรมิ าณของสารในระบบ 3. มีทักษะในการคานวณหาอตั ราการเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี 4. มคี วามรูค๎ วามเข๎าใจเก่ียวกับการใชท๎ ฤษฎจี ลนแ์ ละทฤษฎกี ารชนกันของอนุภาคอธบิ าย อตั ราการเกิดปฎิกริ ยิ าเคมี 5. มีความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับการเปลย่ี นแปลงพลงั งานกบั การดาเนินไปของปฏกิ ิรยิ าเคมี 6. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกย่ี วกับปจั จยั ท่ีมผี ลตอํ อัตราการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี
91 7. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเก่ยี วกับการเปลย่ี นแปลงท่ผี ันกลบั ได๎ ภาวะสมดุล และสมดุลได นามิก 8. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ยี วกับความสมั พันธ์ระหวํางความเขม๎ ขน๎ ของสารต้งั ต๎น และ ผลติ ภณั ฑ์ ณ ภาวะสมดลุ 9. มที ักษะในการคานวณหาคาํ คงที่สมดุล และความเขม๎ ข๎นของสารตําง ๆ ณ ภาวะสมดลุ 10. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกย่ี วกบั ปจั จยั ที่มผี ลตํอภาวะสมดุลของระบบ 11. มคี วามร๎คู วามเขา๎ ใจเก่ยี วกับปัจจยั ท่มี ผี ลตํอคาํ คงทีส่ มดุล และอธบิ ายเหตุผล ประกอบดว๎ ย 12. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั การนาหลกั ชาเตอลเิ อมาทานายการปรบั ภาวะสมดลุ ของ ปฏกิ ริ ยิ า 13. ตระหนกั ในการนาหลกั ชาเตอลิเอไปประยุกต์ใชใ๎ นอตุ สาหกรรม 14. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกีย่ วกบั สารละลายอิเล็กโทรไลตแ์ ละนอนอิเล็กโทรไลต์ 15. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับสารละลายกรด-เบส ทฤษฎกี รด-เบส และคูํกรด-เบส 16. มคี วามร๎คู วามเข๎าใจเกี่ยวกับการแตกตัวของกรดและเบส การแตกตัวเป็นไอออน ของน้า 17. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกับ pH ของสารละลาย 18. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกบั สารละลายกรด-เบสในชีวติ ประจาวันและส่ิงมชี ีวิต 19. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับอินดเิ คเตอร์ 20. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเก่ียวกับปฏกิ ริ ยิ ากรด-เบส 21. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ียวกบั การไทเทรต 22. มคี วามร๎คู วามเข๎าใจเกย่ี วกับสารละลายบฟั เฟอร์ รวม 22 ผลการเรยี นรู๎
92 คาอธบิ ายรายวิชาเคมเี พิม่ เตมิ ว30224 เคมี 4 กลํมุ สาระการเรียนร๎วู ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 6 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชัว่ โมง จานวน 1.5 หนํวยกติ ศึกษา อธิบาย ทดลอง สืบคน๎ ข๎อมลู วเิ คราะห์ สารวจตรวจสอบเกย่ี วกับการดุลสมการรี ดอกซ์โดยใชเ๎ ลขออกซิเดชันและคร่งึ ปฏิกิริยา เซลลก์ ัลวานกิ การเขียนแผนภาพของเซลลก์ ลั วานิก ศกั ยไ์ ฟฟ้า ของเซลล์ ศักย์ไฟฟา้ มาตรฐานของคร่ึงเซลล์ เซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์ การแยกสารละลายด๎วย กระแสไฟฟ้า การแยกสารท่หี ลอมเหลวด๎วยกระแสไฟฟ้า การชุบโลหะ การทาโลหะใหบ๎ รสิ ทุ ธ์ิ การผกุ รํอนของโลหะ และการป้องกันความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยที ่ีเกีย่ วข๎องกบั เซลล์ไฟฟา้ เคมี อตุ สาหกรรมแรํ ผลิตภัณฑเ์ ซรามกิ การผลิตโซเดียมคลอไรด์ การผลิตโซเดียมไฮดรอกไซด์และกา๏ ซ คลอรีน การผลิตโซดาแอช การผลิตสารฟอกขาว อตุ สาหกรรมปยุ๋ ประเภทของป๋ยุ โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู๎ การ แกป๎ ัญหา มคี วามสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบคน๎ ขอ๎ มูล และการอภิปราย เพ่อื ใหเ๎ กิดความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถส่ือสารสง่ิ ท่ีเรียนรู๎ และนาความรู๎ไปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ และดูแลสงิ่ แวดลอ๎ ม มีคุณธรรม จรยิ ธรรม คํานยิ มที่เหมาะสม และเข๎าใจ วาํ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่ิงแวดล๎อมเก่ยี วข๎องสัมพนั ธก์ ัน ผลการเรยี นร๎ู 1. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับปฏิกิริยารดี อกซ์ 2. มีความร๎ูความเขา๎ ใจเกยี่ วกับหลกั การดลุ สมการรดี อกซ์โดยใชเ๎ ลขออกซเิ ดชัน 3. มีความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับการหลกั การดลุ สมการรีดอกซโ์ ดยใชค๎ ร่งึ ปฏิกิริยา 4. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกีย่ วกับเซลลก์ ัลวานกิ 5. มีความรคู๎ วามเข๎าใจเกี่ยวกับหลกั การเขยี นแผนภาพของเซลล์กลั วานกิ 6. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับหลกั การคานวณหาคาํ ศกั ยไ์ ฟฟ้าของเซลลไ์ ฟฟา้ 7. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับประเภทและประโยชน์ของกลั วานกิ 8. มีความรคู๎ วามเข๎าใจเก่ียวกับหลกั การและประโยชนข์ องเซลลอ์ เิ ลก็ โทรไลต์ 9. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ียวกับการแยกสารดว๎ ยกระแสไฟฟา้ 10. มีความรู๎ความเข๎าใจเกย่ี วกับการชบุ โลหะ 11. มคี วามรูค๎ วามเข๎าใจเกี่ยวกบั การทาสารให๎บรสิ ทุ ธิ์ 12. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเก่ียวกับการผกุ รอํ นของโลหะและวธิ ีปอ้ งกัน
93 13. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ความกา๎ วหน๎าทางเทคโนโลยีท่ีเกีย่ วขอ๎ งกบั เซลลไ์ ฟฟา้ เคมที ี่ มตี ํอการดารงชีวิตและสงิ่ แวดล๎อม 14. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับอุตสาหกรรมแรํ 15. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเก่ยี วกบั กระบวนการผลติ แรํ ประโยชนแ์ ละผลกระทบทเี่ กดิ ข้ึนจาก การทาอตุ สาหกรรมแรํ 16. มีความร๎คู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกบั กระบวนการผลติ ประโยชน์และผลกระทบท่ีเกดิ ขึน้ จาก การทาอตุ สาหกรรมเซรามกิ 17. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเกีย่ วกบั ประโยชนแ์ ละผลกระทบท่ีเกิดขนึ้ จากการผลิตโซเดยี ม คลอไรด์จากนา้ ทะเลและนา้ ในดินท่ีมีรสเค็ม 18. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกยี่ วกับประโยชน์และผลกระทบท่ีเกดิ ข้ึนจากการผลิตโซเดียม ไฮดรอกไซดแ์ ละก๏าซคลอรนี 19. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั การผลติ โซดาแอชและสารฟอกขาว 20. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ประเภทของกระบวนการผลิต ประโยชน์ตลอดจน ผลกระทบทเ่ี กดิ ขึน้ จากอตุ สาหกรรมป๋ยุ ท่ีมตี ํอสง่ิ มีชีวติ และสงิ่ แวดล๎อม รวม 20 ผลการเรียนร๎ู
94 คาอธิบายรายวิชาเคมีเพิม่ เติม ว30225 เคมี 5 กลํุมสาระการเรียนร๎ูวิทยาศาสตร์ ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 6 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 60 ชั่วโมง จานวน 1.5 หนํวยกิต ศกึ ษา อธิบาย ทดลอง สืบคน๎ ขอ๎ มูล วเิ คราะห์ สารวจตรวจสอบเกีย่ วกับพันธะของ คารบ์ อน เขียนสูตรโครงสรา๎ งของสารประกอบอนิ ทรีย์ ไอโซเมอรซิ มึ หมฟํู งั กช์ นั สารประกอบ ไฮโดรคาร์บอนประเภทและสมบัติบางประการของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน สารประกอบที่มี ออกซเิ จน ไนโตรเจนเปน็ องคป์ ระกอบ ซากเชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์และผลติ ภณั ฑ์ ถํานหิน หิน น้ามันและปิโตรเลียมการกล่ันน้ามนั ดบิ การแยกกา๏ ซธรรมชาติ ปิโตรเคมีภัณฑ์ พอลิเมอร์ ปฏกิ ิรยิ าพอลิเมอไรเซชัน โครงสร๎างและสมบตั ขิ องพอลิเมอร์ ผลิตภณั ฑ์จากพอลิเมอร์ ความก๎าวหน๎าทางเทคโนโลยีของผลติ ภัณฑพ์ อลเิ มอร์สงั เคราะห์ ภาวะมลพิษท่ีเกิดจากการผลิตและ การใช๎ผลติ ภณั ฑ์เชื้อเพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ท้งั ทางอากาศ ทางน้าและทางดิน โปรตีน กรดอะมิโน และเปปไทด์ โครงสรา๎ ง ชนดิ และหน๎าทข่ี องโปรตีน เอนไซม์ การแปลงสภาพโปรตีน ชนดิ โครงสร๎าง สมบตั ิและปฏิกริ ิยาของคาร์โบไฮเดรต ไขมันและนา้ มนั ฟอสโฟลปิ ดิ ไข สเตียรอยด์ กรดนวิ คลีอิก โครงสรา๎ งของนวิ คลโี อไทด์ ดีเอ็นเอและอาร์เอน็ เอ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละจิตวิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความร๎ู การ แก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื คน๎ ข๎อมูล และการอภปิ ราย เพ่ือให๎เกิดความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสอ่ื สารส่ิงทีเ่ รียนร๎ู และนาความรู๎ไปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ และดแู ลสิ่งแวดล๎อม มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม คํานยิ มทเ่ี หมาะสม และ เข๎าใจวาํ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสง่ิ แวดลอ๎ มเก่ยี วข๎องสมั พนั ธ์กัน ผลการเรียนร๎ู 1. มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจเกย่ี วกับพนั ธะของคาร์บอน 2. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับไอโซเมอรซิ ึม 3. มคี วามร๎คู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับหมฟํู งั กช์ นั 4. มีความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอน 5. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเก่ียวกับสารประกอบอินทรยี ท์ ่มี ีธาตอุ อกซิเจนเป็นองคป์ ระกอบ 6. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับสารประกอบอินทรีย์ที่มีธาตุไนโตรเจนเป็นองคป์ ระกอบ 7. มคี วามร๎ูความเข๎าใจเก่ยี วกับสารประกอบอินทรียท์ ีม่ ีธาตอุ อกซเิ จนและไนโตรเจนเป็น องคป์ ระกอบ 8. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับถาํ นหิน 9. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ยี วกับหนิ น้ามนั
95 10. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับปโิ ตรเลียม 11. มคี วามร๎ูความเข๎าใจเก่ียวกับพอลเิ มอร์ 12. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกับพลาสตกิ 13. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ียวกับเส๎นใยสังเคราะห์ 14. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกย่ี วกบั ยางสงั เคราะห์ 15. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับความกา๎ วหนา๎ ทางเทคโนโลยีของผลิตภณั ฑ์พอลิเมอร์ สงั เคราะห์ 16. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกบั ภาวะมลพษิ ทีเ่ กิดจากการผลิตและการใชผ๎ ลิตภัณฑ์ เช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์ 17. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกับโปรตีน 18. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ียวกบั คาร์โบไฮเดรต 19. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเก่ยี วกบั ลปิ ดิ 20. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกย่ี วกบั กรดนิวคลีอิก รวม 20 ผลการเรียนรู๎
96 คาอธิบายรายวชิ าชีววทิ ยาเพิ่มเตมิ ว30241 ชีววิทยา 1 กลมุํ สาระการเรยี นรว๎ู ิทยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 60 ชัว่ โมง จานวน 1.5 หนํวยกิต ศึกษา วิเคราะห์ สารวจ สืบค๎นข๎อมูลและอธบิ ายเกีย่ วกับหนํวยของส่ิงมีชวี ิต การแบํง เซลลข์ องส่งิ มชี ีวิต เอ็นไซม์และการทางานของเอ็นไซม์ กระบวนการแมแทบอลซิ ึม ประชากรและ ความหนาแนํนของประชากร ความสมั พนั ธร์ ะหวาํ งสิ่งมีชีวติ และส่งิ แวดล๎อม ผลกระทบทเ่ี กดิ ขึ้นจาก การกระทาของมนษุ ยต์ ํอส่ิงแวดลอ๎ ม ความหลากหลายของสิง่ มชี วี ิต โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตรใ์ นการสบื เสาะหาความรู๎ การ แกป๎ ัญหา มคี วามสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบคน๎ ข๎อมลู และการอภิปราย เพื่อให๎เกดิ ความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถสอื่ สารสงิ่ ทเี่ รยี นร๎ู และนาความร๎ไู ปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ และดูแลสง่ิ แวดล๎อม มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คํานยิ มท่เี หมาะสม และ เขา๎ ใจวาํ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสิง่ แวดลอ๎ มเกย่ี วขอ๎ งสมั พันธ์กนั ผลการเรยี นร๎ู 1. มคี วามร๎ูความเข๎าใจเกีย่ วกับหนํวยของสงิ่ มชี ีวติ 2. มคี วามร๎คู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับการแบงํ เซลลข์ องสิง่ มีชีวติ 3. ตระหนักถึงความจาเป็นในการศึกษาชนดิ ของสารเคมีท่มี ีอยํูในราํ งกายของสงิ่ มชี วี ิต 4. เหน็ คณุ คาํ ของสารอาหารคาร์โบไฮเดรต 5. เห็นคณุ คาํ ของสารอาหารโปรตีน 6. เห็นคณุ คําของสารอาหารไขมัน 7. เหน็ คุณคาํ ของสารอาหารวิตามนิ เกลอื แรํและน้า 8. มีความร๎ูความเขา๎ ใจเกย่ี วกับเอน็ ไซม์ การทางานของเอ็นไซม์ และสารยบั ยั้งเอน็ ไซม์ 9. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกีย่ วกับกระบวนการแมแทบอลิซมึ 10. มที กั ษะในการทดลองเก่ียวกบั การสารวจประชากร ความหนาแนํนของประชากร 11. มีความรคู๎ วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั ความสมั พนั ธ์ระหวาํ งส่งิ มชี ีวติ และสง่ิ แวดลอ๎ ม 12. ตระหนักถึงผลกระทบทเี่ กิดขึ้นจากการกระทาของมนุษย์ตอํ สิ่งแวดล๎อม 13. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกบั การจาแนกส่งิ มีชีวิต 14. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกบั การตั้งชอ่ื สงิ่ มีชีวิต 15. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกย่ี วกับการจัดหมวดหมํูของสง่ิ มชี ีวติ รวม 15 ผลการเรยี นร๎ู
97 คาอธบิ ายรายวิชาชวี วิทยาเพิ่มเติม ว30242 ชีววิทยา 2 กลํมุ สาระการเรียนร๎วู ิทยาศาสตร์ ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 1 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หนวํ ยกิต ศึกษา วิเคราะห์ ทดลองและอธบิ ายเกย่ี วกับโครงสรา๎ งและหน๎าท่ขี องราก ลาต๎น ใบ ของพืชมีดอก การแลกเปลี่ยนแก๏สของพชื การคายน้าและการลาเลยี งแรํธาตุ การลาเลียงอาหารของ พชื การสงั เคราะห์ด๎วยแสงของพชื ปฏกิ ริ ยิ าและสารสที ใ่ี ชใ๎ นกระบวนการสังเคราะหด์ ว๎ ยแสง ปัจจัยทีม่ ีผลตอํ อตั ราการสงั เคราะหด์ ๎วยแสง โครงสร๎างของดอก การสรา๎ งเซลล์สบื พนั ธุ์ของพชื มี ดอก การงอกของ เมลด็ การเจริญเตบิ โตภายหลงั การงอกของพืชมดี อก การเจรญิ เติบโตของเนื้อเย่ือ เจริญบรเิ วณปลายยอดและปลายรากของพืชใบเลยี้ งเดีย่ วและใบเลี้ยงคํู วัฏจกั รชวี ติ ของพชื การตอบสนองของพืชตอํ ส่ิงแวดลอ๎ มและตํอสารเคมใี นพืช โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความรู๎ การแก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื คน๎ ขอ๎ มูล และการอภปิ ราย เพื่อให๎เกดิ ความรู๎ ความคดิ ความเขา๎ ใจ สามารถสอื่ สารสิง่ ทเี่ รยี นร๎ู และนาความร๎ูไปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวิตและดแู ลสิง่ แวดล๎อม มีคณุ ธรรม จริยธรรม คํานิยมทเี่ หมาะสม และเข๎าใจ วาํ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และส่งิ แวดล๎อมเกีย่ วข๎องสมั พันธก์ ัน ผลการเรียนร๎ู 1. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับโครงสรา๎ งและหน๎าทีข่ องรากของพืชมีดอก 2. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับโครงสร๎างและหน๎าที่ของลาต๎นของพืชมีดอก 3. มีความร๎คู วามเข๎าใจเก่ียวกับโครงสร๎างและหน๎าท่ีของใบของพืชมดี อก 4. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับการแลกเปล่ยี นแกส๏ ของพชื 5. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกย่ี วกับการคายนา้ และการลาเลียงแรธํ าตุ 6. มีความรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับการลาเลยี งอาหารของพชื 7. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกยี่ วกับการสังเคราะหด์ ๎วยแสงของพชื 8. มีความรคู๎ วามเข๎าใจเกย่ี วกับปฏิกริ ยิ าและสารสีท่ีใชใ๎ นกระบวนการสังเคราะห์ด๎วยแสง 9. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับปจั จยั ทมี่ ผี ลตํออัตราการสงั เคราะหด์ ๎วยแสง 10. มีทกั ษะในการทดลองเกี่ยวกับโครงสรา๎ งของดอก 11. มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจเกี่ยวกับการสร๎างเซลล์สบื พันธขุ์ องพชื มีดอก 12. มีความรคู๎ วามเข๎าใจเก่ียวกบั การงอกของเมล็ด 13. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกยี่ วกบั การเจรญิ เติบโตภายหลังการงอกของพชื มีดอก
98 14. มคี วามร๎ูความเข๎าใจเก่ียวกับการเจรญิ เตบิ โตของเนื้อเยื่อเจรญิ บริเวณปลายยอดและ ปลายรากของพืชใบเลีย้ งเด่ยี วและใบเลี้ยงคูํ 15. มีความรูค๎ วามเข๎าใจเกย่ี วกบั วฏั จกั รชีวิตของพืช 16. มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจเก่ียวกับการตอบสนองของพืชตอํ ส่งิ แวดลอ๎ ม และตํอสารเคมี ในพชื รวม 16 ผลการเรียนรู๎
99 คาอธิบายรายวชิ าชีววทิ ยาเพ่ิมเตมิ ว30243 ชวี วทิ ยา 4 กลํุมสาระการเรียนรูว๎ ทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 60 ชวั่ โมง จานวน 1.5 หนํวยกิต ศกึ ษา ทดลอง วเิ คราะห์ สารวจ สบื ค๎นข๎อมลู และอธิบายเกยี่ วกบั การยํอยและการดดู ซึมอาหารของโพรทิสตแ์ ละสตั ว์ การยอํ ยและการดดู ซมึ อาหารในมนษุ ย์ การลาเลียงสารในสตั ว์ โครงสรา๎ งและระบบหมนุ เวียนเลอื ดของมนษุ ย์ สํวนประกอบของเลอื ด ระบบน้าเหลอื งและระบบ ภมู ิคมุ๎ กันของรํางกายมนุษย์ โครงสรา๎ งทใ่ี ชใ๎ นการหายใจของสัตว์ มนุษย์ กลไกการหายใจและการ ควบคมุ การหายใจ โครงสร๎างท่ีใชใ๎ นการกาจัดของเสีย การรกั ษาสมดุลของนา้ และแรธํ าตุ การรักษา สมดุลของกรด-เบสในรํางกาย โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจิตวทิ ยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความร๎ู การ แก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสืบคน๎ ข๎อมูล และการอภิปราย เพอ่ื ใหเ๎ กิดความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถสอ่ื สารสง่ิ ที่เรยี นรู๎ และนาความรไ๎ู ปใช๎ ประโยชนใ์ นการดารงชีวติ และดแู ลส่งิ แวดลอ๎ ม มคี ุณธรรม จริยธรรม คาํ นยิ มท่เี หมาะสม และ เขา๎ ใจวําวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคม และสิง่ แวดลอ๎ มเกย่ี วขอ๎ งสัมพนั ธก์ นั ผลการเรยี นรู๎ 1. มีความรู๎ความเข๎าใจเกยี่ วกับการยํอยและการดูดซึมอาหารของโพรทิสต์และสตั ว์ 2. มคี วามรคู๎ วามเขา๎ ใจเก่ยี วกับการยํอยและการดูดซึมอาหารในมนุษย์ 3. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับการลาเลียงสารในสตั ว์ 4. มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจเกี่ยวกับโครงสรา๎ งและระบบหมุนเวียนเลือดของมนษุ ย์ 5. มคี วามรคู๎ วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับระบบน้าเหลืองและระบบภมู ิคม๎ุ กันของราํ งกายมนษุ ย์ 6. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ียวกับโครงสร๎างทใ่ี ช๎ในการหายใจของสัตว์ 7. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกีย่ วกับโครงสรา๎ งท่ีใชใ๎ นการหายใจของมนษุ ย์ กลไกการหายใจ และการควบคุมการหายใจ 8. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเก่ียวกับโครงสร๎างท่ีใชใ๎ นการกาจัดของเสียในราํ งกายของสัตว์ และมนุษย์ 9. มีความร๎คู วามเข๎าใจเกี่ยวกับการรกั ษาสมดุลของนา้ และแรํธาตุในราํ งกายของสตั ว์ และมนษุ ย์ 10. มีทกั ษะในการทดลองเก่ียวกบั การรกั ษาสมดลุ ของกรด-เบสในราํ งกายของสัตว์ และมนษุ ย์ รวม 15 ผลการเรียนรู๎
100 คาอธบิ ายรายวิชาชีววทิ ยาเพ่ิมเติม ว30244 ชีววทิ ยา 4 กลํุมสาระการเรยี นรูว๎ ิทยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 ภาคเรียนท่ี 1 เวลา 60 ชว่ั โมง จานวน 1.5 หนํวยกติ ศกึ ษา วิเคราะห์ และสบื คน๎ ข๎อมูลการเคลื่อนทขี่ องส่งิ มีชวี ติ การรับรูก๎ ารตอบสนอง การทางานของเซลลป์ ระสาท ระบบตอํ มไร๎ทอํ ฮอร์โมน ฟีโรโมน พฤติกรรมของสตั ว์ การสือ่ สาร ระหวาํ งสัตว์ การสืบพันธุ์และการเจริญเตบิ โตของสัตว์ โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์และจติ วทิ ยาศาสตรใ์ นการสืบเสาะหาความร๎ู การ แก๎ปัญหา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื ค๎นขอ๎ มูล และการอภิปราย เพอื่ ใหเ๎ กดิ ความรู๎ ความคดิ ความเข๎าใจ สามารถสือ่ สารสิ่งท่เี รยี นรู๎ และนาความรไ๎ู ปใช๎ ประโยชน์ในการดารงชีวิตและดูแลสิ่งแวดลอ๎ ม มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม คํานิยมท่เี หมาะสม และ เขา๎ ใจวําวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดล๎อมเกีย่ วขอ๎ งสมั พันธก์ นั ผลการเรยี นร๎ู 1. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเกย่ี วกับการเคลอ่ื นไหวของส่ิงมชี ีวิตเซลล์เดยี ว 2. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเกย่ี วกับการเคลอ่ื นไหวของสตั วไ์ มํมีกระดกู สนั หลงั 3. มีความรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกับการเคลอื่ นไหวของสัตวท์ มี่ ีกระดูกสนั หลัง 4. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับการรับรแู๎ ละตอบสนองของส่ิงมชี ีวติ เซลล์เดยี ว 5. มคี วามรูค๎ วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับเซลลป์ ระสาท 6. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเก่ยี วกับการทางานของเซลล์ประสาท 7. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเกี่ยวกับโครงสรา๎ งของระบบประสาท 8. มีความรูค๎ วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับการทางานของระบบประสาทสง่ั การ 9. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ียวกับอวยั วะรบั ความรสู๎ กึ 10. ตระหนักถึงความสาคัญของอวยั วะรับความร๎ูสึก 11. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเก่ยี วกับตํอมไร๎ทํอ 12. มีความรคู๎ วามเข๎าใจเก่ียวกบั ฮอร์โมนจากตํอมไรท๎ ํอและอวัยวะท่สี าคญั 13. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเก่ียวกับการรกั ษาดุลยภาพของราํ งกายด๎วยฮอร์โมน 14. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเก่ียวกบั ฟีโรโมน 15. มคี วามร๎คู วามเข๎าใจเก่ียวกบั การเกดิ พฤติกรรมของสัตว์ 16. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเก่ียวกบั ประเภทพฤติกรรมของสัตว์
101 17. มคี วามรูค๎ วามเข๎าใจเกีย่ วกับความสัมพนั ธ์ระหวาํ งพฤตกิ รรมกับการพัฒนาการของ ระบบประสาท 18. มีความร๎คู วามเข๎าใจเกย่ี วกับการสื่อสารระหวาํ งสัตว์ 19. มีความร๎คู วามเขา๎ ใจเก่ยี วกับการสืบพนั ธุข์ องสงิ่ มชี ีวติ เซลล์เดยี วและสตั วบ์ างชนิด 20. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกีย่ วกบั ระบบสบื พันธ์ุของมนษุ ย์ 21. มีความรคู๎ วามเขา๎ ใจเกีย่ วกับกระบวนการสร๎างเซลลส์ บื พนั ธ์ุ 22. มคี วามรู๎ความเข๎าใจเก่ยี วกบั การปฏสิ นธิ 23. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับการเจริญเตบิ โตของส่ิงมชี ีวิตเซลลเ์ ดียวและสัตวบ์ างชนดิ 24. มีความร๎คู วามเข๎าใจเก่ยี วกบั การเจรญิ เตบิ โตของมนุษย์ 25. ตระหนักถงึ ปัจจยั ภายในและภายนอกทม่ี ผี ลตํอการเจริญเติบโตของลกุ ออํ น รวม 25 ผลการเรยี นรู๎
102 คาอธิบายรายวิชาชวี วิทยาเพ่ิมเตมิ ว 30245 ชีววิทยา 5 กลมํุ สาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 6 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ชัว่ โมง จานวน 1.5 หนวํ ยกติ ศึกษา ทดลอง วิเคราะห์ อธิบายลกั ษณะทางพันธุกรรม ทฤษฎกี ารถํายทอดลักษณะทาง พันธกุ รรม ลักษณะทางพนั ธกุ รรมท่นี อกเหนือกฎของเมนเดล มัลติเปิลอลั ลลี พอลียนี ยีนใน โครโมโซม เพศ ยีนในโครโมโซมเดยี วกัน โรคทางพันธกุ รรมในมนษุ ย์ การถํายทอดยีนและ โครโมโซม การค๎นพบสารพนั ธุกรรม องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNAและ RNA โครงสร๎างของ DNA และRNA สมบตั ิของสารพันธุกรรม การเกดิ มิวเทชัน พนั ธวุ ศิ วกรรม การโคลนยีน การศกึ ษาจโี นม การประยุกต์ใชเ๎ ทคโนโลยีของ DNA ความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทาง DNA และ มุมมองทางสังคม จรยิ ธรรม หลกั ฐานที่บงํ บอกถงึ ววิ ัฒนาการของสิ่งมชี ีวิตแนวความคิดเกยี่ วกับ วิวัฒนาการของส่ิงมชี วี ิต พันธุศาสตร์ประชากร ปัจจัยทาใหเ๎ กิดการเปล่ียนแปลงความถขี่ องอัลลลี การกาเนิดของสปีชสี ์ โดยใชก๎ ระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และจติ วิทยาศาสตร์ในการสืบเสาะหาความรู๎ การ แก๎ปญั หา มีความสามารถในการสารวจ ตรวจสอบ การสบื ค๎นข๎อมูล และการอภิปราย เพอ่ื ให๎เกิดความรู๎ ความคิด ความเขา๎ ใจ สามารถสือ่ สารสิ่งทเี่ รียนร๎ู และความรไู๎ ปใช๎ ประโยชน์ในการดารงชีวติ และดแู ลสง่ิ แวดลอ๎ ม มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คํานิยมท่เี หมาะสม และเขา๎ ใจวาํ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงั คม และสงิ่ แวดลอ๎ มเก่ยี วขอ๎ งสัมพนั ธก์ นั ผลการเรียนรู๎ 1. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับลักษณะทางพันธุกรรม 2. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับการศึกษาพันธศุ าสตรข์ องเมนเดล และศัพท์ที่เกี่ยวขอ๎ งกบั ลักษณะการถํายทอดทางพันธุกรรม 3. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกับความนําจะเปน็ และกฎแหงํ การแยก 4. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเก่ียวกับกฎของเมนเดล 5. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับกฎแหงํ การรวมกลํุมอยํางอิสระ 6. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเก่ยี วกับการผสมเพ่ือทดสอบ 7. มคี วามรูค๎ วามเข๎าใจเกี่ยวกับลกั ษณะทางพันธกุ รรมท่ีนอกเหนือกฎของเมนเดล 8. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเก่ยี วกับการถาํ ยทอดยนี และโครโมโซม 9. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเกีย่ วกับการค๎นพบสารพันธกุ รรม 10.มีความรคู๎ วามเขา๎ ใจเกี่ยวกับโครโมโซม 11. มคี วามรคู๎ วามเข๎าใจเก่ยี วกบั องคป์ ระกอบทางเคมีของ DNAและ RNA
103 12. มีความร๎คู วามเข๎าใจเก่ียวกับโครงสร๎างของ DNA และRNA 13. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับสมบัติของสารพันธุกรรม 14. มคี วามร๎ูความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั มิวเทชัน 15. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกย่ี วกบั พันธุวิศวกรรม 16. มคี วามรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกับการโคลนยนี 17. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกบั การวิเคราะห์ DNA และการศึกษาจีโนม 18. มีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกบั การประยุกต์ใชเ๎ ทคโนโลยีของDNA 19. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเก่ียวกับความปลอดภยั ของเทคโนโลยีทาง DNA และมุมมองทาง สงั คมจริยธรรม 20. มีความรค๎ู วามเข๎าใจเก่ียวกบั หลกั ฐานที่บํงบอกถึงวิวัฒนาการของสง่ิ มีชีวิต 21. มีความรู๎ความเข๎าใจเกย่ี วกับแนวความคิดเกีย่ วกบั วิวฒั นาการของส่งิ มชี วี ิต 22. มคี วามรค๎ู วามเข๎าใจเกี่ยวกับพนั ธุศาสตร์ประชากร 23. มีความรูค๎ วามเข๎าใจเก่ยี วกับปจั จัยทาใหเ๎ กดิ การเปลี่ยนแปลงความถ่ีของอลั ลีล 24. มีความรู๎ความเขา๎ ใจเกี่ยวกบั การกาเนดิ ของสปีชีส์ 25. มคี วามรค๎ู วามเขา๎ ใจเกย่ี วกบั การจดั หมวดหมขํู องส่ิงมีชวี ติ รวม 25 ผลการเรียนรู๎
104 คาอธบิ ายรายวชิ าเพิ่มเตมิ (ไมํเนน๎ วิทย์) ว30281 เส๎นใยและกระดาษ กลุมํ สาระการเรียนรู๎วิทยาศาสตร์ ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หนวํ ยกติ ศกึ ษาวิเคราะห์ คน๎ ควา๎ กระบวนการสงั เคราะห์ สารสังเคราะห์ สารสงั เคราะห์ธรรมชาติ ในทอ๎ งถิ่น และสารสังเคราะห์วทิ ยาศาสตร์ สมบตั ิของเส๎นใย การเลอื กใชเ๎ สน๎ ใยในท๎องถ่ิน โดยใชก๎ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ ทดลอง กระบวนการสบื เสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสงั เกต การสืบคน๎ ข๎อมลู การอภิปราย อธิบายสรปุ ผล การใช๎หลกั เศรษฐกจิ พอเพียงมาประยุกตใ์ ช๎กับการจัดกจิ กรรม เพ่ือใหเ๎ กิดความร๎ู ความคิด ความเข๎าใจ สอื่ สารสิง่ ท่เี รียนรู๎ มีความสามารถในการ ตดั สินใจ สามารถนาไปใช๎ประโยชน์ในชีวิตประจาวันของตนเองไดอ๎ ยํางมีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และ คํานิยมท่ีเหมาะสม ผลการเรียนรู๎ 1. สบื คน๎ ขอ๎ มลู อภปิ รายและความหมายเสน๎ ใยจากธรรมชาติ ประเภท ชนดิ และยกตวั อยาํ ง ประโยชนข์ องเส๎นใยจากธรรรมชาติ 2. วิเคราะห์ และปรียบเทียบสมบัตของเส๎นใยทไ่ี ดจ๎ ากพืชและสัตว์ 3. อธิบายเก่ียวกบั โครงสร๎างทางกายภาพของคุณสมบัตขิ องเส๎นใยท่ไี ด๎จากธรรมชาติ 4. ตรวจสอบ วเิ คราะห์ ข๎อมูลคณุ สมบัตขิ องเสน๎ ใยท่ีได๎จากธรรมชาติและสามารถนาไปพัฒนา ใหเ๎ กิดประโยชน์ เพือ่ ใชใ๎ นการดารงชีวิตประจาวนั 5. สารวจ ตรวจสอบ การวางแผนดาเนินการ พฒั นาสงิ่ แวดล๎อมและอนรุ ักษ์ธรรมชาติ เพ่ือ พฒั นาคุณภาพชวี ติ และความปลอดภยั ในการดารงชวี ิต 6. สืบคน๎ ขอ๎ มลู อภิปราย และอธิบายเกีย่ วกับการตระหนักถงึ ความสาคัญในการมีสวํ นรวํ ม รับผิดชอบ การสรปุ ผลในการสืบเสาะหาความรใู๎ นสํวนประกอบของเส๎นใยท่ไี ด๎จากธรรมชาติ 7. วิเคราะห์ เปรียบเทียบการเลอกวัสดุ อปุ กรณ์ เทคนคิ วิธีในการผลติ ชิน้ งานหรอื โครงงาน เพื่อ ส่ือสารสง่ิ ทีเ่ รยี นร๎ู และมีจติ วิทยาศาสตร์ นาไปใชป๎ ระโยชนใ์ นการพัฒนาแนวทางสํกู ารประกอบอาชีพใน อนาคต 8. สบื คน๎ ขอ๎ มูล และนาเสนอเกี่ยวกบั เส๎นใยท่ีไดจ๎ ากธรรมชาตแิ ละการนาไปใช๎ใน ชีวติ ประจาวัน 9. สืบคน๎ ข๎อมลู และยกตัวอยํางการนาความร๎ูเกีย่ วกับเส๎นใยไปใช๎ประโยชน์ในการพัฒนาอาชพี ในอนาคต 10. วิเคราะห์ เปรียบเทยี บ จัดแสดงผลงาน รายงานและนาเสนอเก่ยี วกับแนวคดิ กระบวนการ และผลของโครงงานหรอื ช้ินวาน สอื่ สารสงิ่ ทเี่ รยี นร๎ใู ห๎ผ๎อู ่ืนเขา๎ ใจ รวม 10 ผลเรียนรู๎
105 คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเตมิ (ไมเํ นน๎ วิทย์) ว30282 สยี อ๎ มจากวัสดุธรรมชาติ กลํมุ สาระการเรยี นรู๎วทิ ยาศาสตร์ ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ชวั่ โมง จานวน 1.0 หนํวยกติ ศึกษาวิเคราะห์ ค๎นควา๎ ทดลอง สมบัตขิ องสี ตัวสมี าจากไหน สธี รรมชาติ ทพ่ี บใน ทอ๎ งถ่นิ สีผสมอาหาร สยี อ๎ มผ๎า สเี คลอื บผิว อันตรายและการป้องกนั พิษภัยจากสี บทบาทของสแี ละ การเลือกใช๎สใี นชวี ิตประจาวัน โดยใช๎กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ ทดลอง กระบวนการสืบเสาะหาความร๎ู การสารวจตรวจสอบ การสงั เกต การสืบค๎นข๎อมลู การอภิปราย อธบิ ายสรปุ ผล การใช๎หลักเศรษฐกิจ พอเพยี งมาประยุกตใ์ ช๎กับการจดั กจิ กรรม เพอื่ ใหเ๎ กดิ ความร๎ู ความคดิ ความเข๎าใจ สอื่ สารสงิ่ ท่ีเรียนร๎ู มีความสามารถในการ ตดั สินใจ สามารถนาไปใช๎ประโยชนใ์ นชวี ิตประจาวนั ของตนเองไดอ๎ ยํางมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และ คาํ นยิ มทเ่ี หมาะสม ผลการเรียนรู๎ 1. อภิปราย และอธิบาย เครือ่ งมือและอุปกรณ์ในการย๎อมสีจากวสั ดธุ รรมชาติ 2. สารวจ อธบิ าย เคร่ืองมอื และอุปกรณใ์ นการย๎อมสจี ากวสั ดุธรรมชาติ 3. สบื คน๎ ขอ๎ มูล รถู๎ ึงกรรมวธิ ีในการย๎อมสจี ากวสั ดุธรรมชาติ 4. สืบคน๎ ข๎อมลู อธิบายกรรมวิธีในการยอ๎ มสจี ากวสั ดธุ รรมชาติ 5. วิเคราะห์และเปรยี บเทยี บถึงการตลาดในการจาหนํายผลติ ภัณฑท์ ่ีไดจ๎ ากการย๎อมสี จากสสั ดุธรรมชาติ 6. สารวจ และอธบิ ายการตลาดในการจาหนํายผลิตภัณฑ์ทไ่ี ด๎จากการย๎อมสีจากวสั ดุ ธรรมชาติ รวม 6 ผลเรียนร๎ู
Search
Read the Text Version
- 1 - 46
Pages: