Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พระราชบัญญัติประกันสังคม

พระราชบัญญัติประกันสังคม

Published by BC.1 UKJ, 2021-11-20 12:11:21

Description: พระราชบัญญัติประกันสังคม

Search

Read the Text Version

พระราชบัญญัตปิ ระกนั สังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่มี า http://web.krisdika.go.th/data/lawabout/lawdetail/lawdetail_082.htm

๑.หลักการและเหตผุ ล เนื่องจากได้มีประกาศใช้พระราชบญั ญัติ ประกนั สงั คม พ.ศ. ๒๔๙๗ มาเป็นเวลานานแลว้ แต่ในขณะนนั้ สภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คมยงั ไมอ่ านวยให้นากฎหมายน้ันมาใช้ บังคบั ปจั จบุ ันน้ีการพัฒนาในดา้ นเศรษฐกิจและสังคมไดก้ า้ วหน้า ไปมาก สมควรสรา้ งหลักประกนั ให้แกล่ กู จา้ งและบคุ คลอน่ื โดย จดั ตง้ั กองทุนประกนั สงั คมขนึ้ เพ่ือใหก้ ารสงเคราะห์แกล่ กู จ้าง และบุคคลอนื่ ซึ่งประสบอันตราย เจ็บป่วย ทุพพลภาพหรือตาย อนั มิใชเ่ น่อื งจากการทางานรวมทัง้ กรณคี ลอดบตุ ร กรณี สงเคราะหบ์ ตุ ร กรณีชราภาพและสาหรบั กรณีว่างงานซ่ึงให้ หลักประกันเฉพาะลกู จ้าง และพระราชบัญญตั ปิ ระกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ท่ใี ช้บังคับอยู่ในปจั จุบันมขี ้อขัดข้องและมปี ญั หาในทาง ปฏิบัตเิ กดิ ขนึ้ หลายประการทาใหผ้ ปู้ ระกันตนไมไ่ ด้รับสิทธิ ประโยชน์สมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย นอกจากน้ัน วิธีปฏิบตั ิ บางเรอื่ งในพระราชบญั ญตั ิดงั กลา่ วยงั มีขน้ั ตอนการปฏบิ ตั ิที่ ยุ่งยากสลับซับซอ้ นเกิดภาระแกน่ ายจ้างและไมเ่ อือ้ อานวย ประโยชน์และการให้บรกิ ารแก่นายจ้างและผ้ปู ระกันตน และโดยที่ ในมาตรา ๓๘ วรรคสอง บญั ญัตใิ ห้ผู้ประกนั ตนที่สิ้นสภาพการ เปน็ ลกู จ้างมีสิทธไิ ดร้ บั ประโยชนท์ ดแทนในกรณีประสบอนั ตราย หรอื เจ็บป่วย กรณคี ลอดบุตร กรณีทพุ พลภาพ และกรณีตาย ต่อไปอกี ๖ เดือน นับแต่วนั ทสี่ ้ินสภาพการเปน็ ลูกจา้ ง และมาตรา ๔๑ วรรคสาม ใหน้ าบทบัญญัติมาตรา ๓๘ วรรคสอง มาใช้บงั คับ แก่ผ้ปู ระกันตนโดยสมัครใจทส่ี ้ินสุดความเปน็ ผ้ปู ระกนั ตนโดย อนุโลม ซง่ึ บทบญั ญตั ิดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการช่วยเหลอื

ผปู้ ระกันตนมใิ หไ้ ด้รบั ความเดอื ดรอ้ นช่ัวระยะเวลาทสี่ น้ิ สภาพการ เป็นลกู จ้างหรอื สนิ้ สุดความเปน็ ผู้ประกันตน แลว้ แตก่ รณี สมควร กาหนดให้ขยายระยะเวลาการมีสิทธไิ ด้รับประโยชนท์ ดแทน ภายหลงั ลกู จ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนสิ้นสภาพการเปน็ ลูกจา้ งโดย ตราเปน็ พระราชกฤษฎีกา ประกอบกบั บทบัญญตั ใิ นสว่ นที่ เกย่ี วกับสิทธิของผู้ประกนั ตนในการไดร้ ับประโยชน์ทดแทนใน กรณีสงเคราะหบ์ ุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงานยงั ไม่ เหมาะสม สมควรแก้ไขเพ่ิมเตมิ ใหช้ ัดเจนและเกดิ ประโยชนส์ ูงสุด ตอ่ ผปู้ ระกนั ตนและการออกเงนิ สมทบเขา้ กองทนุ ประกนั สังคม ของรฐั บาล นายจ้าง และผปู้ ระกนั ตนตามมาตรา ๓๓ ยังไม่ สอดคล้องกับความสามารถในการออกเงนิ สมทบและสภาวการณ์ ทางเศรษฐกิจ สมควรแก้ไขเพ่ิมเติมบทบญั ญตั ิดงั กลา่ วให้ เหมาะสมยิ่งขนึ้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิน้ี ๒.สรุปสาระสาคญั ของพระราชบัญญตั ิ มาตรา ๓ ใหย้ กเลิกพระราชบญั ญัตปิ ระกันสังคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ซ่ึงมคี วามล้าสมัยไม่เหมาะสมกบั สภาพเศรษฐกจิ และสงั คมใน ปัจจบุ ันดงั ทก่ี ล่าวแล้วข้างต้น ปัจจุบันพระราชบัญญัตปิ ระกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ นใี้ ช้ บังคบั แกน่ ายจา้ งท่มี ีลูกจา้ งตัง้ แต่หน่งึ คนขึน้ ไป ในทกุ ท้องทท่ี ่ัว ราชอาณาจักร ซ่ึงแตเ่ ดมิ ใชบ้ งั คบั แก่กิจการทม่ี ีลกู จา้ งตัง้ แต่สบิ คนขึ้นไป ทาใหล้ กู จ้างซงึ่ ทางานให้นายจา้ งทีม่ ีลูกจา้ งน้อยกว่าสบิ คนยังไมไ่ ด้รบั ความคมุ้ ครองตามระบบประกนั สงั คม แต่ยังคงมี

ลกู จา้ งบางประเภทท่ไี มไ่ ดร้ ับความคมุ้ ครองซ่งึ พระราชบญั ญัติ ประกันสังคมมิให้ใช้บังคับแก่หน่วยงาน ดังตอ่ ไปนี้ ๑. ข้าราชการ ลกู จ้างประจา ลกู จา้ งชว่ั คราวรายวนั และ ลกู จา้ งชว่ั คราวรายชว่ั โมง ของราชการส่วนกลาง ราชการสว่ น ภมู ิภาค และราชการส่วนทอ้ งถิ่น ยกเวน้ ลูกจา้ งชว่ั คราวรายเดือน ๒. ลกู จ้างของรฐั บาลตา่ งประเทศหรือองคก์ ารระหว่าง ประเทศ ๓. ลูกจ้างของนายจ้างทมี่ ีสานักงานในประเทศ และไป ประจาทางานในต่างประเทศ ๔. ครหู รอื ครใู หญข่ องโรงเรยี นเอกชนตามกฎหมายว่า ดว้ ยโรงเรยี นเอกชน ๕. นกั เรยี น นกั เรยี นพยาบาล นสิ ิตหรือนักศึกษา หรอื แพทยฝ์ กึ หัดซึง่ เปน็ ลกู จา้ งของโรงเรยี น มหาวิทยาลัย หรอื โรงพยาบาล ๖. กิจการหรอื ลกู จ้างอ่ืนตามทีก่ าหนดในพระราช กฤษฎีกา อันได้แก่ ลูกจา้ งของสภากาชาดไทย ลูกจา้ งของ รฐั วิสาหกจิ ลูกจ้างของกิจการเพาะปลกู ประมง ป่าไม้ และเล้ยี ง สัตว์ ซ่งึ มิไดใ้ ชล้ กู จา้ งตลอดปี และไมม่ ีงานลกั ษณะอน่ื รวมอยู่ ด้วย ลูกจ้างของนายจ้างท่ีจ้างไว้เพื่อทางานอนั มีลักษณะเปน็ ครงั้ คราวเปน็ การจร หรือเป็นไปตามฤดูกาล และลกู จ้างของ สถาบนั วิจัยจุฬาภรณ์[๑]

คณะกรรมการประกันสงั คม มาตรา ๘ บญั ญตั ิใหม้ ีคณะกรรมการประกันสังคมขึน้ โดยมีอานาจ หนา้ ที่ ตามมาตรา ๙ ดงั น้ี ๑.เสนอความเหน็ ต่อรัฐมนตรเี กย่ี วกับนโยบายและมาตรการใน การประกนั สังคมตามพระราชบญั ญตั นิ ี้ ๒.พิจารณาให้ความเห็นตอ่ รัฐมนตรใี นการตราพระราชกฤษฎีกา การออกกฎกระทรวง และระเบยี บต่างๆ เพ่ือดาเนินการตาม พระราชบญั ญตั นิ ้ี ๓.วางระเบียบโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลงั เกย่ี วกับ การรบั เงนิ การจา่ ยเงิน และการเกบ็ รักษาเงินของกองทนุ ๔.วางระเบยี บโดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลังเก่ียวกับ การจัดหาผลประโยชน์ของกองทนุ ๕.พิจารณางบดุลและรายงานการรบั จา่ ยเงนิ ของกองทนุ และ รายงานผลการปฏบิ ัติงานประจาปีของสานักงานในส่วนที่ เกยี่ วกับการประกันสงั คมตามพระราชบญั ญตั ินี้ ๖. ให้คาปรกึ ษาและแนะนาแก่คณะกรรมการอืน่ หรอื สานักงาน ๗.ปฏบิ ัตกิ ารอน่ื ใดตามท่ีพระราชบัญญตั ินี้หรอื กฎหมายอ่นื บัญญัตใิ หเ้ ปน็ อานาจหนา้ ท่ขี องคณะกรรมการ หรอื ตามท่ี รฐั มนตรีมอบหมาย ทั้งนค้ี ณะกรรมการอาจมอบหมายให้สานักงานประกันสงั คมเปน็ ผู้ ปฏิบตั เิ พ่ือเสนอตอ่ คณะกรรมการพิจารณาดาเนินการตอ่ ไปก็ได้ นอกจากนกี้ ฎหมายยงั บญั ญัตใิ หม้ คี ณะกรรมการ การแพทยข์ น้ึ อีกคณะหนึง่ โดยมอี านาจหน้าท่ีตามมาตรา ๑๕ ดังนี้

๑.เสนอความเหน็ ต่อคณะกรรมการเก่ียวกับการดาเนินงานในการ ให้บรกิ ารทางการแพทย์ ๒.กาหนดหลักเกณฑแ์ ละอตั ราสาหรบั ประโยชนท์ ดแทนในการรับ บรกิ ารทางการแพทยข์ องผ้ปู ระกนั ตนตามมาตรา ๕๙ มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๖ มาตรา ๖๘ มาตรา ๗๐ และมาตรา ๗๒ ๓.เสนอความเห็นต่อคณะกรรมการเกยี่ วกบั การออกกฎกระทรวง ตามมาตรา ๖๔ ๔.ใหค้ าปรกึ ษาและแนะนาในทางการแพทยแ์ ก่คณะกรรมการ คณะกรรมการอทุ ธรณ์ และสานักงาน ๕.ปฏิบตั ิการอื่นตามท่ีพระราชบญั ญตั นิ ีบ้ ัญญตั ิใหเ้ ป็นอานาจ หนา้ ทีข่ องคณะกรรมการการแพทย์ หรือตามท่ีรฐั มนตรหี รือ คณะกรรมการมอบหมาย คณะกรรมการคณะกรรมการการแพทย์และ คณะอนกุ รรมการมอี านาจสงั่ ให้บุคคลใดบคุ คลหน่งึ สง่ เอกสาร หรอื ข้อมูลที่จาเป็นมาพิจารณาได้ในการนี้จะส่ังให้บุคคลที่ เกีย่ วข้องมาช้แี จงดว้ ยก็ได้ ในสานกั งานประกันสงั คม มาตรา ๒๑ บญั ญัตใิ หจ้ ัดตงั้ กองทุนขึ้นกองทุนหนง่ึ เรียกว่ากองทุนประกนั สังคม เพื่อเป็นทนุ ใช้จา่ ยให้ผู้ประกนั ตนไดร้ ับประโยชนท์ ดแทน และคา่ ใชจ้ า่ ยตามท่ี บญั ญัติไว้ในกฎหมาย กองทนุ ประกอบด้วย เงินสมทบจาก รัฐบาล นายจ้าง และผปู้ ระกนั ตน เงินเพิ่ม ผลประโยชนข์ อง กองทนุ เงนิ คา่ ธรรมเนียม เงินทไ่ี ด้รบั จากการบริจาคหรอื เงนิ อุดหนนุ เงนิ ทตี่ กเปน็ ของกองทุนตามกฎหมาย เงินอุดหนุนหรอื

เงินทดรองราชการท่รี ัฐบาลจา่ ยตามกฎหมาย เงนิ คา่ ปรบั และ รายไดอ้ ่ืน ๆ (มาตรา ๒๒) เงนิ ดงั กล่าวข้างต้นน้ีให้เป็นของ สานกั งานโดยไม่ตอ้ งนาสง่ กระทรวงการคลงั เปน็ รายได้แผน่ ดนิ การประกันสงั คม การเป็นผ้ปู ระกันตน บคุ คลผทู้ ีจ่ ะไดร้ บั ประโยชนต์ อบแทนตามพระราชบัญญตั นิ จ้ี ะตอ้ ง เปน็ ผปู้ ระกันตนตามความหมายของพระราชบญั ญัตนิ ี้ กล่าวคือ เปน็ ผซู้ ่งึ จ่ายเงนิ สมทบอนั กอ่ ให้เกิดสิทธไิ ด้รบั ประโยชนท์ ดแทน ผูป้ ระกันตนตามพระราชบัญญัตินแี้ บง่ ไดเ้ ป็น ๒ ประเภท คือ ๑. การเปน็ ผูป้ ระกนั ตนตามมาตรา ๓๓ มาตรา ๓๓ บัญญัติใหล้ กู จา้ ง[๒] ซึ่งมีอายไุ มต่ ่ากวา่ ๑๕ ปี บริบรู ณ์ และไมเ่ กิน ๖๐ ปีบรบิ รู ณเ์ ปน็ ผู้ประกันตน ในกรณีท่ี ลูกจา้ งเปน็ ผู้ประกันตนอย่แู ลว้ และเม่ือมอี ายุ ๖๐ ปีบริบูรณแ์ ละยงั เป็นลกู จ้างของนายจ้างอยู่ ให้ถือวา่ ลูกจ้างนั้นยังเปน็ ผ้ปู ระกันตน ต่อไป ความเป็นผู้ประกนั ตนตามมาตรา ๓๓ ส้ินสุดลงเมื่อ ผ้ปู ระกันตนนนั้ ๑. ตาย ๒. สิ้นสภาพการเปน็ ลกู จ้าง ในกรณที ผ่ี ปู้ ระกันตนสนิ้ สภาพการเปน็ ลกู จา้ งตาม ข้อ ๒ ไดส้ ง่ เงินสมทบครบตามเงื่อนเวลาทจ่ี ะก่อให้เกิดสิทธไิ ด้รบั ประโยชน์ ทดแทนใหผ้ นู้ ้ันมีสิทธิได้รบั ประโยชนท์ ดแทนในกรณีประสบ อนั ตรายหรือเจบ็ ปว่ ย ในกรณคี ลอดบุตร ในกรณที พุ พลภาพ

และในกรณตี าย ตอ่ ไปอีก ๖ เดือนนับแต่วันท่ีสนิ้ สภาพการเป็น ลูกจ้างหรอื ตามระยะเวลาทก่ี าหนดเพ่ิมขนึ้ โดยพระราชกฤษฎีกา ซ่ึงตอ้ งไมเ่ กนิ ๑๒ เดอื นนบั แต่วนั ทีส่ ้ินสภาพการเป็นลกู จ้าง (มาตรา ๓๘) ๒.การเป็นผู้ประกนั ตนตามมาตรา ๓๙ หากผใู้ ดเคยเป็น ผปู้ ระกันตนตามมาตรา ๓๓ โดยจา่ ยเงินสมทบมาแล้วไม่นอ้ ยกวา่ ๑๒ เดือน ต่อมาความเป็นผู้ประกันตนส้ินสุดลงเพราะการส้นิ สภาพการเป็นลูกจา้ งหากถา้ ผู้ประกันตนนัน้ ประสงค์จะเป็น ผปู้ ระกนั ตนต่อไปใหแ้ สดงความจานงต่อสานกั งานตามระเบียบท่ี เลขาธกิ ารกาหนดภายใน ๖ เดอื นนบั แต่วันสน้ิ สุดความเปน็ ผปู้ ระกนั ตน และให้ผูป้ ระกนั ตนนาส่งเงินสมทบเขา้ กองทนุ เดอื น ละครั้งภายในวนั ที่ ๑๕ ของเดือนถัดไป หากผูป้ ระกนั ตนไม่ส่งเงิน สมทบหรือสง่ ไม่ครบจานวนภายในเวลาที่กาหนดดังกล่าว ต้อง จา่ ยเงนิ เพิ่มในอตั ราร้อยละ ๒ ต่อเดือนของจานวนเงนิ สมทบที่ ยังมิไดน้ าส่งหรอื ของจานวนเงนิ สมทบทยี่ ังขาดอยู่นบั แต่วนั ถัด จากวันทตี่ อ้ งนาส่งเงนิ สมทบ ตามมาตรา ๓๙ ซึง่ ความเปน็ ผูป้ ระกันตนตามมาตรานี้จะสนิ้ สดุ ลงในกรณีดงั ต่อไปน้ี ตาม มาตรา ๔๑ ๑. ตาย ๒. ได้เปน็ ผปู้ ระกนั ตนตามมาตรา ๓๓ อีก ๓. ลาออกจากความเป็นผูป้ ระกนั ตนโดยการแสดงความจานงตอ่ สานักงาน

๔. ไมส่ ง่ เงนิ สมทบ ๓ เดอื นตดิ ตอ่ กัน จะสน้ิ สดุ ลงตัง้ แตเ่ ดอื น แรกทีไ่ ม่สง่ เงินสมทบ ๕. ภายในระยะเวลา ๑๒ เดอื นส่งเงินสมทบมาแล้วไม่ครบ ๙ เดอื น ซง่ึ จะส้ินสุดลงในเดอื นที่ส่งเงนิ สมทบไม่ครบเก้าเดอื น ในกรณที ผ่ี ูป้ ระกันตนทีส่ ิ้นสดุ ความเปน็ ผู้ประกนั ตนตาม ขอ้ ๓ ขอ้ ๔ และ ข้อ ๕ ไดส้ ่งเงนิ สมทบครบตามเงือ่ นเวลาทจี่ ะ ก่อใหเ้ กิดสทิ ธไิ ดร้ ับประโยชนท์ ดแทน ให้ผู้นน้ั มสี ิทธิไดร้ ับประโยชน์ ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บปว่ ย ในกรณคี ลอดบุตร ในกรณที พุ พลภาพ และในกรณตี าย ตอ่ ไปอีก ๖ เดอื นนับแต่วันท่ี ส้ินสดุ ความเป็นผู้ประกนั ตน (มาตรา ๔๑ วรรคทา้ ย) การนบั ระยะเวลาเพื่อกอ่ สิทธแิ ก่ผปู้ ระกันตนในการขอรับประโยชน์ทดแทน ดังกลา่ ว ให้นบั ระยะเวลาประกนั ตนตามมาตรา ๓๓ และหรือมาตรา ๓๙ ทุกช่วงเขา้ ดว้ ยกัน กฎหมายเปดิ โอกาสให้บคุ คลที่มใิ ช่ลกู จ้างสามารถสมัคร เขา้ เปน็ ผปู้ ระกนั ตนตามกฎหมายนไ้ี ด้ แต่หลกั เกณฑ์ และอตั ราการ จา่ ยเงินสมทบประเภทประโยชน์ทดแทนท่ีจะได้รับ ตลอดจน หลักเกณฑ์และเงือ่ นไขแหง่ สทิ ธใิ นการรับประโยชนท์ ดแทนนนั้ ให้ ตราเป็นพระราชกฤษฎกี า[๓] หน้าทขี่ องนายจา้ ง ๑.นายจา้ งทมี่ ีลกู จ้างเป็นผปู้ ระกนั ตนต้องยน่ื แบบรายการแสดง รายชอ่ื ผ้ปู ระกนั ตน อตั ราค่าจา้ ง และขอ้ ความอืน่ ตามแบบท่ี เลขาธิการกาหนดตอ่ สานักงานประกนั สังคมภายใน ๓๐ วันนบั แต่ วันที่ลูกจ้างนน้ั เป็นผู้ประกันตน (มาตรา ๓๔) นายจ้างนนั้

หมายความรวมถงึ ผปู้ ระกอบกจิ การท่ีได้วา่ จ้างโดยวิธีเหมา คา่ แรง หรือมอบหมายให้ผู้อื่นเปน็ ผู้จัดหาลกู จ้างมาทางาน ตาม มาตรา ๓๕ ๒.ในกรณที ีข่ ้อเท็จจรงิ เก่ยี วกับข้อความในแบบรายการ ทไ่ี ดย้ ่นื ไว้ต่อสานักงานเปลีย่ นแปลงไป ให้นายจา้ งแจง้ เปน็ หนงั สือต่อสานกั งานตามระเบียบทเี่ ลขาธกิ ารกาหนด เพ่ือขอ เปลีย่ นแปลงหรอื แกไ้ ขเพิ่มเติมรายการภายในวนั ท่ี ๑๕ ของเดือน ถัดจากเดอื นท่มี ีการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ ว (มาตรา ๔๔) หากนายจา้ งผใู้ ดโดยเจตนาไมย่ ่ืนแบบรายการตอ่ สานักงานภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ๓๔ หรือไมแ่ จ้งเปน็ หนังสือต่อสานักงานขอเปลยี่ นแปลงหรอื แกไ้ ขเพิ่มเติมรายการ ภายในกาหนดเวลาตามมาตรา ๔๔ ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไม่เกนิ หก เดือน หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สองหมน่ื บาท หรือทงั้ จาทงั้ ปรบั ตามมาตรา ๙๖ แต่หากนายจา้ งผใู้ ดยน่ื แบบรายการตามมาตรา ๓๔ หรือแจ้ง เป็นหนังสือขอเปลย่ี นแปลงหรอื แกไ้ ขเพิ่มเตมิ ตามมาตรา ๔๔ โดยเจตนากรอกข้อความเปน็ เทจ็ ในแบบรายการ หรอื แจ้งการ เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเปน็ เท็จในหนังสอื แจ้งขอเปลี่ยนแปลง หรือแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กนิ หกเดือน หรอื ปรบั ไมเ่ กินสองหมื่นบาท หรอื ท้ังจาทงั้ ปรบั ตามมาตรา ๙๗ เงนิ สมทบ ให้รฐั บาล นายจ้าง และผู้ประกนั ตนตามมาตรา ๓๓ ออก เงนิ สมทบเขา้ กองทนุ เพื่อการจ่ายประโยชนท์ ดแทนในกรณปี ระสบ อนั ตรายหรอื เจบ็ ปว่ ย กรณที พุ พลภาพ กรณตี ายและกรณีคลอด

บุตร ฝ่ายละเท่ากนั ตามอัตราที่กาหนดในกฎกระทรวง กล่าวคอื ใน ปจั จุบนั เงนิ สมทบเพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีดังกลา่ ว ให้รัฐบาล นายจา้ ง และผูป้ ระกนั ตนสง่ เงนิ สมทบในอัตราร้อยละ ๑.๕ ของค่าจา้ งของผปู้ ระกนั ตน[๔] ใหร้ ัฐบาล นายจ้าง และผ้ปู ระกนั ตนตามมาตรา ๓๓ ออก เงนิ สมทบเขา้ กองทุนเพ่ือการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณี สงเคราะหบ์ ุตร กรณชี ราภาพ และกรณีวา่ งงานตามอตั ราที่ กาหนดในกฎกระทรวง ซงึ่ สาหรบั กรณกี ารสง่ เงนิ สมทบเพ่ือการ จา่ ยประโยชน์ทดแทนกรณสี งเคราะหบ์ ุตร และกรณีชราภาพน้นั ให้รัฐบาลส่งเงินสมทบในอตั ราร้อยละ ๑ ของคา่ จา้ งของ ผ้ปู ระกันตน นายจา้ งและลกู จ้างให้สง่ เงนิ สมทบในอตั รารอ้ ยละ ๓ ของค่าจ้างของผู้ประกนั ตน[๕] แตส่ าหรบั กรณีการออกเงนิ สมทบ เขา้ กองทุนประกนั สังคมเพื่อการจา่ ยประโยชน์ทดแทนในกรณี วา่ งงานน้ันใหร้ ฐั บาลจ่ายในอตั ราร้อยละ ๐.๒๕ ของคา่ จา้ งของ ผูป้ ระกนั ตน นายจา้ งในอตั ราร้อยละ ๐.๕ ของค่าจ้างของ ผปู้ ระกันตน และผปู้ ระกนั ตนในอัตราร้อยละ ๐.๕ ของคา่ จา้ งของ ผปู้ ระกนั ตน[๖] สาหรบั การประกันตนตามมาตรา ๓๙ ใหร้ ฐั บาลและ ผ้ปู ระกนั ตนออกเงินสมทบเข้ากองทนุ โดยรัฐบาลออกหนึ่งเทา่ และผู้ประกนั ตนออกสองเท่าของอตั ราเงินสมทบท่แี ต่ละฝ่ายตอ้ ง ออกตามทก่ี าหนดไว้ข้างตน้

หน้าท่ขี องนายจา้ งในการสง่ เงนิ สมทบ[๗] มาตรา ๔๗ บญั ญัติให้ทุกครัง้ ทม่ี กี ารจ่ายคา่ จ้าง ให้ นายจา้ งหักค่าจา้ งของผปู้ ระกนั ตนตามจานวนทตี่ ้องนาสง่ เป็น เงินสมทบในสว่ นของผปู้ ระกนั ตนตามอตั ราข้างต้นของเงนิ เดอื น โดยให้ถือว่าผู้ประกนั ตนไดจ้ า่ ยเงนิ สมทบแลว้ ตงั้ แต่วนั ทีน่ ายจา้ ง หกั คา่ จ้าง และใหน้ ายจ้างนาเงนิ สมทบในสว่ นของผู้ประกนั ตนทีไ่ ด้ หักไว้ และเงินสมทบในส่วนของนายจ้าง สง่ ให้แก่สานักงาน ภายในวันท่ี ๑๕ ของเดือนถัดจากเดอื นทมี่ กี ารหกั เงินสมทบไว้ พร้อมท้ังย่ืนรายการแสดงการส่งเงนิ สมทบตามแบบท่เี ลขาธิการ กาหนด ถ้านายจ้างไมจ่ า่ ยค่าจ้างตามกาหนดเวลาท่ีต้องจา่ ย ให้ นายจา้ งมหี นา้ ท่ีนาสง่ เงนิ สมทบตามเวลาที่กฎหมายบญั ญตั ิไว้ โดยถือเสมือนวา่ มกี ารจา่ ยค่าจา้ งแล้ว ในกรณีท่ีนายจ้างนาเงนิ สมทบในสว่ นของผู้ประกนั ตน หรือเงนิ สมทบในสว่ นของนายจา้ งสง่ ให้แก่สานักงานเกินจานวน ท่ตี ้องชาระ ให้นายจา้ งหรอื ผปู้ ระกนั ตนย่นื คารอ้ งขอรบั เงินใน ส่วนทเ่ี กนิ คืนได้ตามระเบยี บท่ีเลขาธิการกาหนด ถ้านายจ้างหรอื ผูป้ ระกนั ตนมไิ ด้เรียกเอาเงนิ ดังกล่าวคนื ภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ นาสง่ เงนิ สมทบหรือไมม่ ารบั เงินคืนภายใน ๑ ปีนับแต่วันท่ีไดร้ บั แจง้ ให้มารบั เงนิ ให้เงินนั้นตกเปน็ ของกองทนุ ประกันสงั คม หากนายจา้ งไม่นาสง่ เงินสมทบหรอื นาสง่ ไมค่ รบตาม กาหนดเวลาให้พนกั งานเจ้าหน้าที่มีคาเตอื นเป็นหนังสอื ให้ นายจ้างนาเงนิ สมทบทค่ี า้ งชาระและเงินเพ่ิม[๘]มาชาระภายใน

กาหนดไมน่ ้อยกว่า ๓๐ วนั นับแต่วันที่ได้รบั หนงั สือนัน้ ถ้านายจ้าง ไดร้ บั คาเตอื นดงั กล่าวแล้วแต่ยงั ไมน่ าเงินสมทบท่ีค้างชาระและ เงนิ เพิ่มมาชาระภายในกาหนด ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีมีอานาจ ประเมินเงินสมทบและแจ้งเปน็ หนังสือให้นายจ้างนาสง่ ได้ ดังน้ี (๑) ถา้ นายจ้างเคยนาส่งเงินสมทบมาแล้ว ให้ถือวา่ จานวนเงนิ สมทบท่นี ายจ้างมหี น้าท่ีนาสง่ ในเดอื นต่อมาแตล่ ะเดือน มจี านวนเท่ากบั จานวนเงนิ สมทบในเดอื นท่นี ายจ้างไดน้ าสง่ แลว้ เดือนสดุ ท้ายเต็มเดือน (๒) ถา้ นายจา้ งซ่ึงมีหนา้ ทตี่ ามพระราชบัญญัติน้ีแต่ไม่ ยื่นแบบรายการตาม มาตรา ๓๔ หรือย่นื แบบรายการตามมาตรา ๓๔ แลว้ แตไ่ ม่เคยนาสง่ เงนิ สมทบ หรอื ยื่นแบบรายการตาม มาตรา ๓๔ โดยแจง้ จานวนและรายช่ือลกู จา้ งน้อยกวา่ จานวน ลูกจา้ งท่ีมอี ยูจ่ ริง ให้ประเมนิ เงินสมทบจากแบบรายการที่นายจ้าง เคยย่นื ไว้ หรอื จากจานวนลกู จา้ งทพ่ี นักงานเจา้ หนา้ ท่ตี รวจพบ แล้วแตก่ รณี โดยถือวา่ ลกู จา้ งแต่ละคนไดร้ บั ค่าจา้ งเปน็ รายเดือน ในอตั ราทไี่ ด้เคยมกี ารยืน่ แบบรายการไว้ แตถ่ ้าไม่เคยมีการยน่ื แบบรายการหรือยน่ื แบบรายการไม่ครบถ้วน ให้ถือวา่ ลูกจ้างแต่ ละคนได้รบั คา่ จ้างรายเดือนไม่นอ้ ยกว่าอัตราค่าจ้างข้นั ตา่ รายวนั ตามกฎหมายว่าด้วยการคมุ้ ครองแรงงานทีใ่ ชบ้ งั คับอยู่ในท้องท่ี นนั้ คูณดว้ ยสามสิบ ในกรณีท่ีมกี ารพิสจู นไ์ ดภ้ ายในสองปีนบั แต่วนั ที่มีการ แจง้ การประเมนิ เงินสมทบวา่ จานวนเงินสมทบทีแ่ ท้จริงที่นายจ้าง มหี น้าท่ตี ้องนาส่ง มีจานวนมากกวา่ หรอื น้อยกว่าจานวนเงิน

สมทบที่พนักงานเจา้ หนา้ ทปี่ ระเมนิ ไว้ตาม (๑) หรือ (๒) ให้ สานกั งานมีหนังสอื แจ้งผลการพิสจู น์ใหน้ ายจ้างทราบภายใน สามสิบวันนับแต่วันท่ีทราบผลการพิสจู น์ เพ่ือให้นายจ้างนาส่ง เงินสมทบเพ่ิมเตมิ ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ไดร้ ับแจง้ หรือยื่น คาขอต่อสานกั งานเพื่อขอให้คนื เงินสมทบ ถา้ นายจ้างไมม่ ารับเงิน ดังกล่าวคืนภายในหนง่ึ ปนี บั แตว่ ันทที่ ราบผลการพิสูจน์ ให้เงนิ น้นั ตกเป็นของกองทนุ (มาตรา ๔๗ ทว)ิ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook