คมูอืครสูำหรับชดุการเรยน วชาทกัษะภาษาไทยเชงิวชาชพี หลักสตูรประกาศนียบตัรวชาชีพช้ันสูงพทธศกัราช๒๕๖๒ ศนูยอาชวีศกึษาทวภาคี ศนูยสงเสรมและพัฒนาอาชวีศึกษาภาคเหนือ สำนกังานคณะกรรมการการอาชีวศกึษากระทรวงศกึษาธกิาร
ค่มู อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชีพ ศนู ยอ์ ำชีวศกึ ษำทวิภำคี ศนู ย์สง่ เสริมและพฒั นำอำชวี ศึกษำภำคเหนือ สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรอำชวี ศกึ ษำ กระทรวงศึกษำธกิ ำร 1 ค่มู อื ครสู ำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี
ค่มู ือครสู ำหรับชุดกำรเรียน วิชำทักษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖2 จานวน 5๐ เล่ม ลขิ สทิ ธ์ขิ องศูนย์สง่ เสริมและพฒั นาอาชีวศกึ ษาภาคเหนือ สานักงานคณะกรรมการการอาชวี ศึกษา กระทรวงศึกษาธกิ าร จัดทำโดย ศูนยส์ ง่ เสรมิ และพัฒนาอาชีวศกึ ษาภาคเหนอื ศนู ยอ์ าชีวศกึ ษาทวภิ าคี สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา กระทรวงศกึ ษาธิการ พิมพ์ท่ี ชานาญการพมิ พ์ ๓๐/๙ หมู่ ๒ ถนนเจ็ดยอด-ช่างเคยี่ น ตาบลชา้ งเผอื ก อาเภอเมอื ง จังหวัดเชยี งใหม่ ๕๐๓๐๐ โทรศัพท์ ๐๕๓-๔๐๑๒๑๓, ๐๘๙-๑๙๒๑๙๑๖ โทรสาร ๐๕๓-๔๐๑๒๑๓
คำนำ คมู่ อื ครสู ำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี สืบเน่ืองจากนโยบายรัฐบาลได้กาหนดเป้าหมายในการยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยอาศัยระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษาสมัยใหม่เข้ามาประยุกตใ์ ช้และแกไ้ ขปัญหาการใช้ภาษาไทยที่ ไม่ถูกต้อง ซึ่ง ถือว่าเป็นปัญหาสาคญั ท่ีต้องเร่งแก้ไข เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาหลักท่ีต้องใช้ในการสือ่ สารในชีวิตประจาวนั และงานอาชีพ รวมทั้งต้องใช้ในการเรียนรู้ทุกรายวิชา สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาจึงได้กาหนด นโยบายเรง่ ดว่ นในการพฒั นาความรูแ้ ละทกั ษะภาษาไทยของนักเรียน นักศกึ ษาใหม้ ีความพร้อมสู่งานอาชีพ เพอื่ ใหก้ ารปฏริ ปู การเรยี นการสอนภาษาไทยมีประสทิ ธิภาพ ส่งผลต่อการพฒั นาคุณภาพการจดั การ เรียนการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี ร่วมกับศูนย์ส่งเสริมและพัฒนา อาชีวศึกษาภาคเหนือ ได้จัดทาชุดการเรียนรายวิชา ๓๐๐๐๐-๑๑๐๑ ทักษะภาษาไทยเชิงวิชาชีพ ๓-๐-๓ หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง พุทธศักราช ๒๕๖๒ จานวน ๗ หน่วยการเรียน โดยแต่ละหน่วย ประกอบด้วยแบบประเมินตนเองก่อนและหลังเรียน แผนการเรียนประจาหน่วย เน้ือหาสาระและกิจกรรม เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้และฝึกปฏิบัติด้วยตนเองแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการใช้ภาษาไทย และสามารถนาไปใช้เป็นเครอ่ื งมือส่อื สารในงานอาชีพ พร้อมท้ังได้จัดทาเอกสาร “คู่มือครูสาหรับชุดการเรียน วิชาทักษะภาษาไทยเชงิ วิชาชพี ” ซ่งึ ประกอบด้วยกจิ กรรมที่หลากหลายและเน้นผ้เู รยี นเป็นสาคญั สาหรับเปน็ แนวทางให้ครูผู้สอนภาษาไทยนาไปใช้พัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการสื่อสารท้ังในชีวิตประจาวันและในงานอาชพี โดยเน้นความเข้าใจและการฝึกปฏิบัติการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ ด้วยการเรียนรู้ผ่านสื่อและเทคโนโลยี สมัยใหม่ท่ีน่าสนใจเหมาะสมกับกลุ่มผู้เรียน ควบคู่กับการจัดการเรียนรู้ที่เน้นคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ การเรยี นรู้ร่วมกนั และการวัดประเมนิ ผลตามสภาพจริง ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาภาคเหนือ ขอขอบคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารและครูท่ีมีส่วนร่วมในการจัดทาเอกสารฉบับน้ีมา ณ โอกาสน้ี และหวังเป็นอย่างย่ิงว่า เอกสารฉบับน้ีจะเป็นประโยชน์ต่อสถานศึกษาในการนาไปใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพ่ือ พัฒนาคณุ ภาพผู้เรียนอาชีวศกึ ษาตอ่ ไป ศนู ย์สง่ เสรมิ และพัฒนาอาชวี ศึกษาภาคเหนือ ศูนยอ์ าชวี ศกึ ษาทวิภาคี พฤษภาคม ๒๕๖๒
สำรบญั ๑ ๖ คมู่ อื ครสู ำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๑๐ บทนำ ๑๒ ๑๒ การจดั การเรียนรทู้ ่ีเนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ ๑๘ การจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ท่ีเน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผู้เรียน ๒๑ ขอบขา่ ยเน้อื หาสาระ ๒๗ แนวทำงกำรนำไปใช้ ๓๐ ๓๒ คูม่ ือครู ๓๓ แผนการจัดการเรยี นรู้ ๔๓ การจดั การเรียนรู้ ๔๓ การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๖๘ บทบาทของครผู ู้สอนและผูเ้ รียน ๙๓ ๑๑๒ แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นรู้ : วชิ ำทกั ษะภำษำไทย ๑๔๙ เชงิ วชิ ำชพี ๑๖๑ ๑๗๗ ขอ้ เสนอแนะแนวทางการจดั การเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ ๑๘๙ แนวทางการจดั การเรียนรู้รายหน่วย ๒๐๓ แผนการจัดการเรยี นรเู้ สนอแนะ ๑๗๖ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี ๑ การใชภ้ าษาไทยในการสอื่ สารอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ หน่วยการเรียนรทู้ ่ี ๒ การวิเคราะหส์ ารจากการฟงั การดู การอ่าน หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ ๓ การพูดในงานอาชพี หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ ๔ การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ของสงั คม หนว่ ยการเรียนรู้ที่ ๕ การเขียนเพอื่ กิจธุระ หน่วยการเรียนรู้ท่ี ๖ การเขียนในงานอาชีพ หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี ๗ การเขยี นรายงานการปฏิบตั ิงานเชงิ วชิ าชพี ภำคผนวก แบบฟอรม์ แผนการจัดการเรียนรู้ คณะกรรมการ
บทนำ คมู่ อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี การจดั การเรยี นร้ทู เ่ี น้นผู้เรยี นเป็นสาคญั ในกำรจัดกำรเรียนรูต้ ำมหลักสตู รกำรอำชวี ศกึ ษำ ครูผู้สอนจะตอ้ งศึกษำทำควำมเข้ำใจ จุดหมำยและหลักกำรของหลักสูตร จดุ ประสงคส์ ำขำวชิ ำ มำตรฐำนกำรศึกษำวชิ ำชพี สำขำวชิ ำ รำยละเอียดของรำยวชิ ำทีส่ อน รวมทั้งขอ้ มลู ต่ำง ๆ ที่เกีย่ วข้อง เพือ่ ออกแบบกำรจัดกำรเรียนรู้ จัดเตรยี มควำมพรอ้ มของสิง่ อำนวยควำมสะดวกสนับสนนุ และส่งเสรมิ กำรจดั กำรเรียนรู้ให้ผู้เรียน เกิดผลสมั ฤทธิ์ตำมสมรรถนะทก่ี ำหนด และเปน็ ไปตำมแนวพระรำชบญั ญตั ิกำรศกึ ษำแหง่ ชำติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแ่ี กไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยเฉพำะในหมวด ๔ แนวกำรจดั กำรศกึ ษำ มำตรำ ๒๒ ทกี่ ลำ่ ววำ่ กำรจดั กำรศกึ ษำตอ้ งยึดหลักว่ำผูเ้ รยี นทุกคนมีควำมสำมำรถ เรยี นรู้และพัฒนำตนเองได้ และถือวำ่ ผู้เรยี นมคี วำมสำคญั ที่สดุ กระบวนกำรจดั กำรศกึ ษำตอ้ ง สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นสำมำรถพฒั นำตำมธรรมชำตแิ ละเต็มตำมศักยภำพ และมำตรำ ๒๔ ท่กี ำหนดให้ สถำนศกึ ษำและหนว่ ยงำนท่ีเกี่ยวขอ้ งดำเนินกำรจัดกระบวนกำรเรียนรู้ ดังนี้ ๑. จดั เนอ้ื หำสำระและกิจกรรมให้สอดคล้องกบั ควำมสนใจและควำมถนดั ของผเู้ รยี น โดยคำนงึ ถึงควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบคุ คล ๒. ฝกึ ทักษะกระบวนกำรคดิ กำรจดั กำร กำรเผชิญสถำนกำรณ์ และกำรประยกุ ต์ ควำมรู้ มำใชเ้ พ่ือป้องกันและแกป้ ัญหำ ๓. จดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รียนรจู้ ำกประสบกำรณจ์ ริง ฝกึ กำรปฏบิ ตั ิให้ทำได้ คิดเปน็ ทำเปน็ รกั กำรอำ่ น และเกิดกำรใฝร่ ้อู ยำ่ งต่อเน่อื ง ๔. จดั กำรเรียนกำรสอนโดยผสมผสำนสำระควำมรูด้ ำ้ นตำ่ ง ๆ อย่ำงไดส้ ดั ส่วนสมดลุ กนั รวมทงั้ ปลกู ฝงั คุณธรรม คำ่ นิยมทดี่ งี ำมและคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงคไ์ ว้ในทกุ วิชำ ๕. สง่ เสรมิ สนบั สนุนใหผ้ ้สู อนสำมำรถจัดบรรยำกำศ สภำพแวดล้อม สอื่ กำรเรียน และ อำนวยควำมสะดวกเพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นเกดิ กำรเรียนรู้และมีควำมรอบรู้ รวมท้ังสำมำรถใชก้ ำรวิจยั เปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนกำรเรียนรู้ ทง้ั นี้ ผู้สอนและผเู้ รียนอำจเรยี นรู้ไปพร้อมกนั จำกส่ือกำรเรยี น กำรสอนและแหลง่ วทิ ยำกำรประเภทต่ำง ๆ ๖. จดั กำรเรยี นร้ใู หเ้ กดิ ขึน้ ได้ทกุ เวลำ ทุกสถำนท่ี มีกำรประสำนควำมร่วมมอื กับบดิ ำ มำรดำ ผปู้ กครองและบุคคลในชุมชนทุกฝ่ำย เพอื่ ร่วมกนั พฒั นำผู้เรียนตำมศักยภำพ กำรจัดกำรเรียนรแู้ ตล่ ะเรอ่ื งหรือแต่ละหนว่ ยกำรเรียนรู้ ครผู สู้ อนสำมำรถเลอื กใช้ กระบวนกำรและวิธกี ำรทหี่ ลำกหลำย โดยเนน้ กำรเรียนรดู้ ้วยตนเอง กำรเรียนรรู้ ว่ มกนั กำร เรียนรู้จำกกำรปฏิบตั ิจริง กำรเรยี นรู้แบบบรู ณำกำร ควบค่ไู ปกบั กำรพฒั นำคุณธรรม จริยธรรม และลักษณะพฤติกรรมทีพ่ ึงประสงค์ของผู้เรียน และใช้วธิ ีกำรวดั ประเมนิ ผลตำมสภำพจรงิ คู่มือครูสำหรับชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๑
ปจั จัยท่ีส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ กำรจดั กำรเรียนรจู้ ะประสบควำมสำเร็จตำมจดุ ประสงค์หรอื ไม่ เพียงใด ขน้ึ อยกู่ บั กำร สง่ เสรมิ สนบั สนุนของปัจจยั ตำ่ ง ๆ ท่เี กยี่ วข้องกับตัวผสู้ อนและผ้เู รยี น ดังน้ี ๑. ความสนใจ (interest) หมำยถึง ภำวะทจี่ ิตใจของผูเ้ รียนจดจอ่ และปรำรถนำทจี่ ะ เรยี นรู้ สิง่ ใดสิง่ หนงึ่ ดงั นน้ั หำกเร่ืองทเี่ รียนตรงกบั ควำมสนใจ ผเู้ รียนกจ็ ะเรียนรูเ้ รอื่ งนั้นได้ดี ๒. ความตอ้ งการ (needs) หมำยถึง สภำวะทผ่ี ู้เรียนยังขำดหรอื ยังไม่มีสิง่ ใดส่งิ หน่ึง และมีควำมต้องกำรทจ่ี ะมหี รือใหไ้ ดม้ ำในสง่ิ เหล่ำนนั้ ควำมต้องกำรน้ีจะเปน็ แรงผลักดนั ใหผ้ เู้ รยี น มีกำรปรบั ปรุง เปล่ียนแปลงพฤติกรรมภำยในตนเองอย่ำงไมห่ ยดุ ยงั้ ด้วยกำรเรียนรู้ ๓. ความพร้อมในการเรยี นรู้ (readiness) หมำยถงึ สภำวะทีผ่ ู้เรยี นที่อยู่ในเกณฑ์หรือ ในสภำพทเี่ หมำะสมกบั กำรเรียนร้ใู นเรือ่ งใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมกั ข้นึ อยู่กับ อำยุ ประสบกำรณ์ สตปิ ญั ญำ ทจ่ี ะทำใหผ้ เู้ รยี นสำมำรถเรียนรูเ้ รอ่ื งต่ำง ๆ ได้ดีไมเ่ ทำ่ กัน ๔. การจดจา (retention) หมำยถงึ สภำวะของสมอง สติปญั ญำในกำรจดจำส่ิงตำ่ ง ๆ ท่ไี ดเ้ รียน ไดเ้ ห็น ไดร้ ู้มำ บำงคนมคี วำมสำมำรถในกำรจดจำ จำได้ดีและนำน แต่บำงคนอำจต้อง ทำซำ้ หรอื ทบทวนบอ่ ยคร้งั ๕. การกระตนุ้ เตือน (motivation) กำรเรียนรู้ที่เกดิ จำกแรงจงู ใจและมีกำรกระตนุ้ เตอื น ย่อมจะมีประสิทธภิ ำพกวำ่ กำรเรยี นรทู้ ไ่ี ม่มกี ำรกระตุ้นเตอื น ๖. การจงู ใจ (persuasion) คนเรำจะเรียนรไู้ ดม้ ำกหรือนอ้ ยอยูท่ ่กี ำรชนี้ ำ กำรจูงใจ ซึ่งมีทง้ั แรงจูงใจภำยในทีเ่ กดิ จำกตัวผู้เรียนเอง ไดแ้ ก่ ควำมตอ้ งกำรพฒั นำตนเอง ควำมต้องกำร ได้รับควำมสำเร็จ ฯลฯ และแรงจูงใจภำยนอก ซง่ึ ไดแ้ ก่ สงิ่ ของ รำงวลั ประโยชน์ เปน็ ต้น ๗. ความแตกต่างของบุคคล (individual different) ควำมแตกตำ่ งของบคุ คล มีผลกระทบตอ่ ควำมสำมำรถในกำรเรยี นรขู้ องบคุ คล ไมว่ ำ่ จะเป็นควำมรู้ ประสบกำรณ์ อำยุ ควำมถนัด สตปิ ญั ญำ ควำมสำมำรถ เป็นผลให้เกดิ กำรเรียนรู้ไม่เท่ำกนั ๘. การปรับตัว (adjustment) หมำยถึง กำรท่ีผูเ้ รียนปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลงพฤติกรรม กำรกระทำ เพ่อื หลีกเลีย่ งสภำวะที่จะเปน็ อุปสรรคขดั ขวำงชีวิตควำมเปน็ อยู่ของตน เพือ่ ให้ สำมำรถดำรงชวี ิตหรอื เปน็ ทย่ี อมรับสังคม ๙. เทคนคิ การสอน (teaching techniques) หมำยถงึ กำรจดั กำร วธิ ีกำรสอนหรือ วิธกี ำรถำ่ ยทอดควำมรู้ ขัน้ ตอนกำรใชส้ ื่อ เครอ่ื งมือ รูปแบบกิจกรรมกำรเรียนรู้ เพื่อใหผ้ เู้ รียน ไดร้ บั ควำมรแู้ ละประสบกำรณ์อยำ่ งเต็มท่ดี ้วยควำมเขำ้ ใจ ไม่เบอ่ื หน่ำย ทำให้เรยี นรู้ไดม้ ำก และจดจำไดน้ ำน ๑๐. การทบทวนบทเรยี น (repetition of practice) หมำยถึง วิธกี ำรที่จะชว่ ยให้ ผู้เรียนเกิดควำมรูค้ วำมเข้ำใจกระจ่ำงแจง้ เกิดควำมแมน่ ยำ ทำให้เกดิ ผลดีต่อกำรเรียนรู้ ๒ คู่มือครูสำหรับชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชพี
๑๑. การบบี บังคับใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ (reinforcement) หมำยถึง กำรต้ังกตกิ ำ จำกัด ขอบเขต เพ่อื บีบบงั คับใหผ้ ูเ้ รียนมีกำรตอบสนองต่อสิ่งทเ่ี รยี นมำกขึน้ ได้แก่ กำรทดสอบ กำรให้ คะแนน กำรตั้งเกณฑผ์ ่ำน กำรจำกัดเวลำให้เสรจ็ ทนั กำรกำหนดเวลำเรียน กำรลงโทษ เปน็ ตน้ ขอ้ ควรคานึงในการจัดกระบวนการเรียนรทู้ ี่เนน้ ผู้เรยี นเปน็ สาคัญ ในกำรจดั กำรเรยี นรูท้ ี่เนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคญั มขี อ้ ควรคำนงึ ดงั น้ี ๑. กระบวนกำรเรยี นรจู้ ะเกิดขน้ึ ไดด้ ี ถ้ำผู้เรียนมโี อกำสคดิ ทำ สรำ้ งสรรค์ โดยท่ี ครผู ้สู อนชว่ ยจดั บรรยำกำศกำรเรยี นรู้ จดั สอ่ื และสรปุ สำระกำรเรยี นร้รู ว่ มกัน ๒. คำนึงถงึ ควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบคุ คลในด้ำนควำมสำมำรถทำงสตปิ ัญญำ อำรมณ์ สังคม ควำมพรอ้ มของรำ่ งกำย จิตใจ และสร้ำงโอกำสใหผ้ ้เู รยี นเกิดกำรเรียนรดู้ ว้ ยวธิ ีกำรที่ หลำกหลำยและต่อเนอื่ ง ๓. สำระกำรเรียนร้มู คี วำมสมดุลเหมำะสมกับวัย ควำมถนดั ควำมสนใจของผู้เรียนและ ควำมคำดหวังของสังคม ทงั้ น้ี ผลกำรเรยี นรู้จำกสำระและกระบวนกำร จะตอ้ งทำใหผ้ ูเ้ รยี นมี ควำมรู้ ควำมคิด ควำมสำมำรถ ควำมดี และมคี วำมสุขในกำรเรียน ๔. แหล่งเรยี นรู้มีหลำกหลำยและเพียงพอทีจ่ ะใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชเ้ ปน็ แหลง่ คน้ ควำ้ หำควำมรู้ ตำมควำมถนัด ควำมสนใจ ๕. ปฏิสัมพนั ธร์ ะหวำ่ งผู้เรียนกบั ครผู ู้สอน และระหว่ำงผเู้ รยี นกบั ผเู้ รยี น มีลกั ษณะเปน็ กลั ยำณมิตรที่ชว่ ยเหลอื เกอ้ื กลู ห่วงใย มีกิจกรรมรว่ มกันในกระบวนกำรเรียนรู้ คอื แลกเปลี่ยน ควำมรู้ ถกั ทอควำมคิด พชิ ติ ปญั หำรว่ มกนั ๖. ผู้เรยี นมีควำมศรทั ธำตอ่ ครผู ้สู อน สำระทเ่ี รียน รวมทงั้ กระบวนกำรทจ่ี ะก่อให้เกิด กำรเรียนรู้ ผเู้ รียนใฝร่ ู้ มใี จรกั ทีจ่ ะเรยี นรู้ ทง้ั น้ี ครูผสู้ อนตอ้ งมคี วำมเช่อื วำ่ ผู้เรียนทุกคนสำมำรถ เรยี นรูไ้ ด้ และมวี ิธกี ำรเรยี นร้ทู แ่ี ตกต่ำงกนั ๗. สำระและกระบวนกำรเรียนรเู้ ชอื่ มโยงกบั เหตุกำรณ์และสิง่ แวดลอ้ มรอบตวั ผูเ้ รยี น จนผเู้ รยี นสำมำรถนำผลจำกกำรเรยี นร้ไู ปประยุกต์ใชไ้ ดใ้ นชวี ิตจริง ๘. กระบวนกำรเรียนรมู้ กี ำรเชอ่ื มโยงกับเครือข่ำยอนื่ ๆ เช่น ชมุ ชน ครอบครัว องคก์ ร ตำ่ ง ๆ เพอื่ สรำ้ งควำมสมั พนั ธ์และร่วมมอื กันใหผ้ ู้เรยี นเกดิ กำรเรียนรู้ และไดร้ บั ประโยชน์จำก กำรเรียนรู้สงู สุด บทบาทหนา้ ทีข่ องผสู้ อน ผู้สอนจะสำมำรถถำ่ ยทอดควำมร้ไู ด้อยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ และทำใหผ้ เู้ รยี นเกิดผลสัมฤทธ์ิ ตำมจดุ ประสงค์ทกี่ ำหนดไดน้ นั้ นอกจำกจะตอ้ งมคี วำมรู้ในเรือ่ งต่ำง ๆ ที่กล่ำวมำแล้ว จะต้อง ดำเนนิ กำรในเรอื่ งตอ่ ไปนท้ี กุ ครงั้ ทีท่ ำหนำ้ ท่สี อนหรอื ถำ่ ยทอดควำมรู้ ๑. เตรียมตวั เอง ได้แก่ ทำควำมเขำ้ ใจในหลกั สูตรและจดุ ประสงคข์ องหลกั สตู ร ศึกษำ คน้ คว้ำเนื้อหำสำระ ข้อมลู ตัวอยำ่ ง ประสบกำรณ์ที่เก่ยี วข้องกับเรื่องท่ีต้องกำรถำ่ ยทอด คูม่ อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี ๓
๒. เตรยี มส่อื ส่งิ แวดล้อมและสถานที่ ใหเ้ หมำะสม สอดคลอ้ งกบั กำรจดั กจิ กรรม กำรเรียนรู้ ๓. เตรียมผเู้ รยี นหรือผู้รบั การถ่ายทอดความรู้ ได้แก่ กำรชี้แจงวตั ถปุ ระสงคก์ ำร เรียนรู้ กำรประเมินควำมรู้พื้นฐำนเดมิ กำรประเมินควำมพร้อมในกำรเรียนรู้ กำรกระต้นุ ใหเ้ กิด ควำมอยำกรู้ ๔. ดาเนินการถา่ ยทอดความรู้ ให้เปน็ ไปตำมลำดบั ขน้ั ตอนตำมเวลำท่กี ำหนดดว้ ย กิจกรรม ท่หี ลำกหลำย คำสง่ั ที่ชัดเจนและเปดิ โอกำสให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วม ๕. ประเมินผลการเรียน โดยดำเนนิ กำรอยำ่ งต่อเน่ืองตำมสภำพจรงิ รวมทัง้ เปดิ โอกำส ใหผ้ เู้ รยี นได้ประเมนิ ตนเองและประเมนิ เพอื่ น คณุ ลักษณะทพ่ี งึ ประสงคข์ องผู้สอน ผู้สอนหรือผู้ถำ่ ยทอดควำมรู้ เปน็ ปจั จยั สำคญั ทจ่ี ะทำให้ผเู้ รยี นเกิดควำมรูค้ วำมเขำ้ ใจ ทักษะและทัศนคติท่ีดเี กยี่ วกบั เร่อื งท่ีได้รับกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ จนเกดิ กำรเรยี นรหู้ รอื กำรเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมตำมวตั ถปุ ระสงค์ ดงั นนั้ อำจสรุปคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ของผู้สอน ท่ีมีผลต่อควำมสำเร็จ ในกำรเรียนรขู้ องผู้เรียนได้ ดงั นี้ ๑. คุณลักษณะทัว่ ไปของผู้สอนหรือผูถ้ ่ายทอดความรู้ ได้แก่ ๑.๑ ม่นั ใจในตนเอง เตรยี มพรอ้ ม ซ้อมดี มีสอ่ื และวธิ ีกำรท่ีเหมำะสม และตรงต่อ เวลำ ๑.๒ เป็นคนชำ่ งสงั เกต ๑.๓ มีควำมคดิ รเิ รม่ิ สร้ำงสรรค์ ๑.๔ มคี วำมสำมำรถในกำรแก้ปัญหำเฉพำะหนำ้ ๑.๕ มีกำรวำงแผนที่ดี ทงั้ เนอ้ื หำ สำดบั ข้นั ตอนกำรนำเสนอ รวมท้ังสือ่ และ เครือ่ งมอื สือ่ สำร ๑.๖ มมี นุษยสัมพนั ธ์ท่ดี แี ละมคี วำมสำมำรถในกำรประสำนงำน ๑.๗ มีบุคลิกภำพท่ดี ี ๑.๘ มีควำมเปน็ กัลยำณมติ ร ยมิ้ แยม้ แจ่มใส เปน็ กันเอง มคี วำมเมตตำ ยอมรบั ในควำมแตกต่ำงระหวำ่ งบุคคล และมีควำมเห็นใจผู้รับกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ๑.๙ เปน็ นักประชำธปิ ไตย ยอมรบั ฟงั ควำมคิดเห็นของผ้รู ับกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ ๑.๑๐ มีควำมจรงิ ใจในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ ๑.๑๑ ปฏิบัตติ นต่อผู้รบั กำรถ่ำยทอดควำมรอู้ ย่ำงเสมอภำค ทดั เทียมกนั ๑.๑๒ มแี บบฉบบั ลลี ำทีเ่ ป็นของตนเอง ยอมรับจดุ เดน่ และจุดด้อยของตน มคี วำม ภมู ิใจและเขำ้ ใจในบคุ ลกิ ภำพของตนและใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ ๒. ตอ้ งร้จู รงิ ได้แก่ ๒.๑ ตอ้ งเป็นคนรอบรู้ ศึกษำหำควำมรอู้ ยู่เสมอ ๔ คู่มือครูสำหรบั ชดุ กำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี
๒.๒ ต้องรรู้ ำยละเอยี ดในเร่ืองทตี่ ้องกำรถำ่ ยทอดอยำ่ งเพียงพอ ๒.๓ ต้องเขำ้ ใจเหตุผลของรำยละเอยี ดนน้ั ๒.๔ ตอ้ งรูส้ มมตฐิ ำนหรอื ควำมเปน็ มำของส่ิงหรอื เรือ่ งนน้ั ๒.๕ ต้องสำมำรถประยุกต์สงิ่ หรอื เร่ืองนน้ั ให้เห็นเป็นจริงได้ ๓. ถา่ ยทอดเปน็ ได้แก่ ๓.๑ มีเทคนิคต่ำง ๆ เชน่ กำรบรรยำย กำรนำอภปิ รำย กำรสัมมนำ กรณศี กึ ษำ และ/หรือกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรทู้ ด่ี ี เขำ้ ใจงำ่ ย ได้สำระ ทำใหเ้ กดิ ควำมร้คู วำมเข้ำใจ ทกั ษะ และเจตคตทิ ตี่ อ้ งกำร ทงั้ น้ี ควรมกี ิจกรรมที่หลำกหลำยมำกกว่ำกำรบรรยำย และต้องสอดคล้อง กบั เนือ้ หำและเวลำ ๓.๒ พดู เปน็ คอื พดู แล้วทำให้ผฟู้ ังเข้ำใจไดอ้ ย่ำงรวดเร็ว สำมำรถพดู เร่อื งท่ซี ับซ้อน ยงุ่ ยำกให้เปน็ เรอ่ื งที่เข้ำใจงำ่ ย ๓.๓ ฟงั เปน็ คอื ตง้ั ใจฟัง ฟงั ให้ตลอด ฟังให้ไดค้ วำมหมำย และสำมำรถควบคมุ อำรมณ์ในขณะที่ฟัง ๓.๔ นำเสนอเปน็ ประเดน็ และสรปุ ประเด็นใหช้ ัดเจน ๓.๕ มีอำรมณข์ ัน สร้ำงบรรยำกำศในกำรเรียนรไู้ ด้อย่ำงเหมำะสม ๓.๖ มีประสทิ ธภิ ำพในกำรถ่ำยทอดควำมรู้ สำมำรถเช่อื มโยงทฤษฎเี ข้ำกบั กำรปฏบิ ัติไดด้ ี มองเห็นเปน็ รูปธรรม ๓.๗ ใชภ้ ำษำพดู ไดด้ ี ใช้ภำษำง่ำย ๆ ตรงตำมเนือ้ หำ ควำมตอ้ งกำรและพนื้ ฐำนควำมร้เู ดิมของผู้รบั กำรถ่ำยทอดควำมรู้ ๔. มีหลักจิตวิทยาในการสอนหรือถ่ายทอดความรู้ ไดแ้ ก่ ๔.๑ ให้ควำมสนใจ ควำมเอำใจใส่ และกำรรับร้ขู องผูร้ ับกำรถำ่ ยทอดควำมรู้ ๔.๒ คำนึงประโยชนข์ องผรู้ ับกำรถ่ำยทอดควำมรเู้ ป็นสำคญั ๔.๓ คำนงึ ถงึ หลกั กำรเรยี นร้วู ่ำผูร้ ับกำรถำ่ ยทอดควำมรจู้ ะเรยี นรไู้ ด้ดี ถ้ำผถู้ ำ่ ยทอด ควำมรู้ มกี ำรแยกเรอื่ งออกเปน็ ประเด็นหรอื หัวขอ้ ท่ชี ัดเจน เป็นลำดบั ข้ันตอน ๔.๔ คำนึงถึงผลสมั ฤทธิข์ องกำรเรยี นรวู้ ำ่ ผรู้ บั กำรถำ่ ยทอดควำมร้จู ะเรียนได้ดีและ จำไดน้ ำน ถำ้ ได้มกี ำรฝกึ ปฏบิ ตั คิ วบคูไ่ ปกบั กำรรบั ฟัง และไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั ิซำ้ อยเู่ สมอ ๔.๕ คำนึงถงึ แรงจงู ใจในกำรเรยี นรู้ว่ำ ผูร้ บั กำรถ่ำยทอดควำมรจู้ ะเรยี นรไู้ ดด้ ยี ิ่งขนึ้ ถ้ำปฏิบตั ิแลว้ ไดร้ บั ทรำบผลของกำรปฏบิ ตั ิอยำ่ งรวดเรว็ ๔.๖ คำนึงถึงควำมแตกต่ำงระหวำ่ งบคุ คลว่ำ ผู้รับกำรถำ่ ยทอดควำมรูม้ ีศกั ยภำพ แตกตำ่ งกนั จึงต้องเปิดโอกำสใหไ้ ด้ใช้เวลำในกำรศกึ ษำทำควำมเขำ้ ใจ ไม่เร่งรดั ผรู้ ับกำรถำ่ ยทอด ควำมรู้ ๔.๗ ตอ้ งคำนงึ อยูเ่ สมอว่ำตนมีหนำ้ ทช่ี ่วยทำให้ผรู้ ับกำรถ่ำยทอดควำมรเู้ กิด กำรเรยี นรไู้ มใ่ ช่ผบู้ อกควำมรู้ คูม่ ือครูสำหรับชดุ กำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๕
๕. มจี รรยาบรรณ ไดแ้ ก่ ๕.๑ เมอ่ื จะสอนหรือถำ่ ยทอดควำมรู้เรื่องใด ต้องรู้จริงในเรื่องนน้ั ๕.๒ ตอ้ งมงุ่ ประโยชนข์ องผรู้ บั กำรถำ่ ยทอดควำมรู้เปน็ สำคญั ๕.๓ ไม่ตำหนหิ รอื กลำ่ วโทษปัญหำอปุ สรรคในควำมไมพ่ รอ้ มของคนอ่ืนหรือ หนว่ ยงำน ๕.๔ ประพฤติปฏิบตั ติ นเปน็ ตัวอยำ่ งท่ดี ี และสอดคลอ้ งกบั เรื่องทส่ี อน การจดั กจิ กรรมการเรยี นรทู้ ่เี น้นบทบาทและการมีส่วนรว่ มของผเู้ รียน (Active Learning) กำรจดั กำรเรียนรู้ในศตวรรษท่ี ๒๑ ซ่งึ เป็นยคุ ของขอ้ มูลข่ำวสำรและกำรเปล่ียนแปลง ด้วยควำมกำ้ วหนำ้ ของเทคโนโลยีสำรสนเทศท่สี ่งผลให้กำรสือ่ สำรไรพ้ รมแดน กำรเข้ำถึง แหล่งข้อมลู สำมำรถทำได้ทุกทท่ี กุ เวลำ ผลกระทบจำกยคุ โลกำภิวตั นน์ ี้ ทำใหผ้ ู้เรียนจำเป็นตอ้ งมี ควำมสำมำรถในกำรเรยี นรู้ได้ดว้ ยตนเองและตอ้ งแสวงหำควำมรู้อยูต่ ลอดเวลำ กำรท่มี ีองค์ ควำมรูใ้ หม่ ๆ เกิดขึ้นอย่ำงตอ่ เนอื่ งมำกมำย ทำใหเ้ นือ้ หำสำระมมี ำกเกินกว่ำทผ่ี เู้ รยี นจะเรยี นรู้ จำกในห้องเรียนได้หมด กำรสอนด้วยกำร “พดู บอก เลำ่ ” ของครูผ้สู อนก็ไม่สำมำรถจะพฒั นำ ผู้เรียนให้นำควำมรู้ทไ่ี ด้จำกกำรเรยี นในชนั้ เรียนไปปฏิบตั ไิ ด้อย่ำงมีประสิทธภิ ำพและประสทิ ธิผล ดังนั้นจงึ จำเปน็ ต้องปรบั เปล่ยี นวธิ ีกำรจดั กำรเรยี นรู้ใหต้ อบสนองควำมเปลีย่ นแปลงของสงั คม เทคโนโลยี ผู้สอนต้องปรับบทบำทจำกผูถ้ ำ่ ยทอดควำมร้เู ป็นผชู้ ีแ้ นะวิธีกำรค้นควำ้ หำควำมรู้ เพือ่ พฒั นำผ้เู รียนใหส้ ำมำรถแสวงหำควำมรู้ และประยกุ ตใ์ ชท้ กั ษะต่ำง ๆ สร้ำงควำมเข้ำใจดว้ ย ตนเองจนเกิดเป็นกำรเรยี นรูอ้ ยำ่ งมคี วำมหมำย การเรียนรู้ทเ่ี น้นบทบาทและการมสี ว่ นรว่ มของผู้เรียน หรือการเรยี นรู้เชิงรกุ (Active Learning) เปน็ กระบวนกำรเรียนรู้ผำ่ นกำรปฏบิ ัตหิ รือกำรลงมือทำ “ควำมรูแ้ ละ ทกั ษะ” ท่เี กดิ ขน้ึ จำกประสบกำรณแ์ ละกำรลงมือปฏบิ ัติด้วยตนเอง กำรทผี่ เู้ รียนได้เรียนรู้โดย กำรอ่ำน กำรเขยี น กำรโตต้ อบและกำรวิเครำะห์ปญั หำ ตลอดจนกำรมีสว่ นรว่ มและมปี ฏสิ มั พนั ธ์ กับเพือ่ น ผ้สู อน สงิ่ แวดล้อมในกำรเรียนรูผ้ ่ำนกำรปฏิบตั ิจรงิ จะสง่ ผลใหผ้ ้เู รียนสำมำรถจดจำได้ดี และนำน รปู แบบวธิ กี ารจัดกจิ กรรมการเรียนร้แู บบ Active Learning กำรจัดกำรเรยี นร้ทู ่เี น้นบทบำทและกำรมสี ่วนร่วมของผู้เรียน (Active Learning) มพี ื้นฐำนมำจำกแนวคิดเดยี วกับกำรให้ผู้เรยี นเปน็ ผูม้ บี ทบำทหลกั ในกำรเรยี นรขู้ องตนเอง และ สร้ำงองคค์ วำมรู้ใหม่ (Constructivist) ด้วยตนเอง กำรจัดกำรเรยี นร้แู บบ Active Learning จึงครอบคลุมวธิ ีกำรจดั กำรเรยี นรูห้ ลำกหลำยวธิ ี เชน่ - กำรเรียนรโู้ ดยใชก้ จิ กรรมเปน็ ฐำน (Activity-Based Learning) ๖ คู่มือครูสำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชีพ
- กำรเรียนรเู้ ชงิ ประสบกำรณ์ (Experiential Learning) - กำรเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หำเปน็ ฐำน (Problem-Based Learning) - กำรเรียนรโู้ ดยใชโ้ ครงงำนเปน็ ฐำน (Project-Based Learning) - กำรเรยี นร้ทู ี่เน้นทกั ษะกระบวนกำรคดิ (Thinking Based Learning) - กำรเรยี นรูก้ ำรบริกำร (Service Learning) - กำรเรยี นรู้จำกกำรสบื คน้ (Inquiry-Based Learning) - กำรเรยี นรู้ดว้ ยกำรคน้ พบ (Discovery Learning) - ฯลฯ บทบาทของครกู บั การจัดกจิ กรรมการเรียนรูแ้ บบ Active Learning บทบำทของครผู สู้ อนในกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรตู้ ำมแนวทำงของ Active Learning มี ดงั น้ี (ณชั นนั แกว้ ชยั เจรญิ กิจ, ๒๕๕๐.) ๑. จัดใหผ้ ู้เรียนเป็นศูนยก์ ลำงของกำรเรียนกำรสอน กิจกรรมตอ้ งสะทอ้ นควำมต้องกำรใน กำรพัฒนำผเู้ รยี นและเนน้ กำรนำไปใช้ประโยชน์ในชวี ิตจริงของผ้เู รยี น ๒. สร้ำงบรรยำกำศของกำรมสี ่วนรว่ ม และกำรเจรจำโตต้ อบท่ีส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นมี ปฏิสัมพนั ธท์ ี่ดีกับครูผู้สอนและเพือ่ นในชน้ั เรยี น ๓. จดั กจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนให้เปน็ พลวัต สง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนมสี ว่ นร่วมในทุกกจิ กรรม รวมทง้ั กระตุ้นให้ผู้เรยี นประสบควำมสำเร็จในกำรเรยี นรู้ ๔. จดั สภำพกำรเรยี นรแู้ บบรว่ มมือ สง่ เสริมใหเ้ กิดกำรรว่ มมือในกล่มุ ผู้เรยี น ๕. จัดกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอนให้ท้ำทำย และใหโ้ อกำสผูเ้ รียนไดร้ ับวิธีกำรสอนท่ี หลำกหลำย ๖. วำงแผนเกย่ี วกับเวลำในจดั กำรเรียนกำรสอนอย่ำงชัดเจน ทง้ั ในสว่ นของเนอื้ หำและ กจิ กรรม ๗. ครผู สู้ อนต้องใจกว้ำง ยอมรับในควำมสำมำรถ กำรแสดงออกและควำมคดิ เหน็ ของ ผู้เรยี น ทกั ษะพน้ื ฐานของผู้เรียนในการเรียนรู้แบบ Active learning ในกำรจดั กำรเรยี นรู้แบบ Active Learning ครผู สู้ อนอำจจำเปน็ ต้องพฒั นำทักษะ พนื้ ฐำนของผ้เู รียน เพ่ือให้กำรเรียนรู้เป็นไปอยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพและเกิดผลสัมฤทธ์ติ ำม จดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ ในขณะเดียวกัน บำงกจิ กรรมที่ผสู้ อนออกแบบสำมำรถชว่ ยพฒั นำ ทักษะพืน้ ฐำนเหล่ำนใี้ หก้ ับผเู้ รยี นไดเ้ ชน่ กนั ไดแ้ ก่ ๑. การพดู และการฟงั เม่อื ผูเ้ รียนได้พดู ในหวั ข้อใดหวั ข้อหนงึ่ ไมว่ ำ่ จะเปน็ กำรตอบ คำถำมของผู้สอนหรอื กำรอธบิ ำยเรื่องใดเรื่องหน่ึงใหเ้ พื่อนรว่ มช้ันฟัง ผู้เรยี นไดฝ้ ึกเรียบเรยี งและ ประมวลควำมร้ทู ี่ตนได้ศึกษำและเรียนรใู้ นชัน้ เรียนเขำ้ ดว้ ยกัน เมื่อผเู้ รียนฟงั กำรบรรยำย ผสู้ อน คูม่ ือครสู ำหรบั ชดุ กำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๗
ควรมน่ั ใจวำ่ เปน็ กำรฟังท่มี ีควำมหมำย ผเู้ รยี นสำมำรถเช่ือมโยงระหวำ่ งสงิ่ ทีผ่ ู้เรียนรอู้ ยู่แลว้ กบั ส่ิงท่ีผูเ้ รียนกำลงั ฟงั ในกำรบรรยำยแตล่ ะคร้ัง ในขณะทผ่ี เู้ รียนบำงคนอำจตอ้ งกำรเวลำระยะหนง่ึ ในกำรทำควำมเข้ำใจและเรยี บเรียงขอ้ มูลท่ไี ดจ้ ำกกำรฟงั วิธกี ำรหน่งึ ที่ผสู้ อนจะกระตนุ้ ควำม สนใจของผ้เู รียนได้ คือ กำรใช้วธิ ีตัง้ คำถำมทจี่ ดุ ประกำยควำมสนใจใครร่ ูข้ องผู้เรยี นกอ่ นเริม่ กำรบรรยำย ผเู้ รยี นจะเกดิ ควำมสงสัย อยำกคน้ หำคำตอบ เพอื่ ให้ได้คำตอบน้นั ผู้เรียนจะให้ ควำมสนใจในสงิ่ ทผี่ ้สู อนจะบรรยำยตอ่ ไป หรือผสู้ อนอำจมอบหมำยงำนลว่ งหน้ำ ให้ผู้เรียน อธบิ ำยหวั ข้อใดหัวข้อหนงึ่ ทผี่ สู้ อนกำลงั จะบรรยำยแก่เพ่อื นร่วมชน้ั หลงั จบกำรบรรยำย ผู้เรยี น จะให้ควำมสนใจในเน้ือหำทผี่ สู้ อนจะบรรยำย ประมวลผลและเรยี บเรยี งเน้อื หำของกำรบรรยำย ภำยในระยะเวลำท่จี ำกัด และสอื่ สำรใหเ้ พื่อนรว่ มชั้นไดเ้ ขำ้ ใจในสงิ่ ท่ีตนเองเขำ้ ใจ ๒. การเขยี น คอื กระบวนกำรทผี่ เู้ รียนประมวลขอ้ มูลทต่ี นเองมอี ยแู่ ละถำ่ ยทอด ออกมำดว้ ยสำนวนภำษำของตนเอง กำรฝึกทักษะกำรเขยี นเหมำะกบั ผู้เรยี นที่ชอบเรียนรดู้ ว้ ย ตนเอง ทกั ษะกำรเขียนใช้ได้ผลดมี ำกกับชนั้ เรียนขนำดใหญ่ ในขณะทกี่ ำรมอบหมำยงำนกลุ่มยอ่ ย หรอื กำรจับคู่เป็นกิจกรรมท่ีไม่คอ่ ยเหมำะสมนัก เพรำะผเู้ รียนทกุ คนอำจไมไ่ ด้มสี ว่ นรว่ มในงำน เขยี นของกลมุ่ ๓. การอา่ น โดยปกตแิ ล้วผ้เู รียนสำมำรถเรยี นรู้ผ่ำนกำรอำ่ นไดด้ ี แต่มกั ขำดกำรไดร้ บั แนะนำเพ่ือกำรอ่ำนอยำ่ งมปี ระสทิ ธภิ ำพ กจิ กรรมเพอื่ สง่ เสริม Active learning เช่น กำรทำสรุป หรือ จดบันทกึ ตรวจสอบควำมเขำ้ ใจจะช่วยให้ผเู้ รยี นสรปุ แนวคดิ รวบยอดจำกกำรอ่ำน และ พัฒนำควำมสำมำรถในกำรจบั ใจควำมสำคญั ได้ ๔. การสะท้อน โดยปกติ ผสู้ อนจะจบกำรพูดบรรยำยทดี่ ำเนินมำอย่ำงต่อเน่อื งเมือ่ ใกล้ หมดเวลำเรียนแล้ว และผ้เู รยี นกเ็ ร่มิ เกบ็ อุปกรณ์กำรเรียนเพ่ือไปเขำ้ เรียนรำยวิชำถดั ไป ในบำงครง้ั ผู้เรยี นจงึ ไมไ่ ดซ้ มึ ซบั ควำมรูจ้ ำกกำรบรรยำยทีเ่ พงิ่ จบลงเลย เพรำะผ้เู รยี นไมม่ ีเวลำได้ ถ่ำยทอดในสิง่ ทเ่ี พง่ิ เรียนรโู้ ดยเชื่อมโยงเข้ำกับสง่ิ ท่รี ู้อยู่แล้ว หรือไดน้ ำควำมร้ทู ไี่ ดศ้ ึกษำมำน้นั ไปใช้ ดงั นน้ั กำรให้ผ้เู รียนไดห้ ยดุ เพือ่ คดิ หรือถ่ำยทอดควำมรู้ของตนผำ่ นกำรสอน หรอื ติวเพ่อื น รว่ มช้นั หรือตอบคำถำมตำ่ ง ๆ ที่เกย่ี วขอ้ งกับเรอื่ งนน้ั ๆ จะเปน็ วิธีทง่ี ำ่ ยทส่ี ดุ ในกำรกระตุ้นควำม สนใจของผู้เรยี น โดยสรปุ การจดั การเรยี นร้ทู ี่เนน้ บทบาทและการมสี ว่ นรว่ มของผู้เรยี น (Active Learning) โดยการนาเอาวิธีการสอนและเทคนคิ การสอนทหี่ ลากหลายมาใช้ในการออกแบบ จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้และกิจกรรมกระตุน้ ให้ผ้เู รยี นมีสว่ นรว่ มในชน้ั เรียน ส่งเสรมิ ปฏิสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผเู้ รยี นกบั ผู้เรียน และผู้เรียนกบั ผสู้ อน เปน็ การจัดการเรยี นรทู้ ม่ี งุ่ เน้นพฒั นา กระบวนการเรียนรู้ สง่ เสริมใหผ้ เู้ รยี นประยุกตใ์ ชท้ กั ษะและเชื่อมโยงองคค์ วามร้นู าไปปฏบิ ัติเพ่ือ แกไ้ ขปญั หาหรือประกอบอาชีพในอนาคต และถอื เปน็ การจัดการเรียนรปู้ ระเภทหน่งึ ทสี่ ง่ เสรมิ ให้ ผเู้ รียนมคี ณุ ลักษณะสอดคล้องกบั การเปล่ยี นแปลงในยุคปัจจบุ นั ๘ คู่มือครูสำหรับชดุ กำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี
เอกสารอา้ งองิ ไชยยศ เรืองสวุ รรณ. (๒๕๕๓) Active Learning. เขำ้ ถงึ ได้จำก http://www.drchaiyot.com เมอื่ วนั ที่ ๒๕ กรกฎำคม ๒๕๕๗. ณชั นนั แก้วชยั เจริญกจิ . (๒๕๕๐). บทบาทของครผู ู้สอนในการจัดกิจกรรมและวธิ ีการปฏิบตั ิ ตามแนวทางของ Active Learning. เข้ำถงึ ได้จำก http://www.itie.org เมอื่ วนั ท่ี ๒๕ กรกฎำคม ๒๕๕๒. บุปผชำติ ทฬั หกิ รณ.์ (๒๕๕๑). การประยุกต์ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศในการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ: โครงกำรเทคโนโลยสี ำรสนเทศตำมพระรำชดำรสิ มเดจ็ พระเทพรตั นรำชสดุ ำฯ สยำมบรมรำชกุมำรี ศูนยเ์ ทคโนโลยอี เิ ลก็ ทรอนิกส์และคอมพิวเตอรแ์ ห่งชำต.ิ วรพจน์ วงศก์ ิจรุง่ เรือง และอธิป จติ ตฤกษ์ (แปล). (๒๕๕๔). ทกั ษะแหง่ อนาคตใหม่ : การศึกษาเพอื่ ศตวรรษท่ี ๒๑. กรุงเทพฯ : Open Worlds. วัชรี เกษพิชัยณรงค์ และนำ้ คำ้ ง ศรีวัฒนำโรทยั . (๒๕๕๗). การเรียนเชงิ รกุ และเทคนิค การจดั การสอนทเ่ี น้นการเรยี นเชิงรกุ . เข้ำถึงได้จำก http://www.il.mahidol.ac.th/th/ เมื่อวนั ที่ ๑๐ ธันวำคม ๒๕๕๗. วิจำรณ์ พำนิช. (๒๕๕๕). วิถสี ร้างการเรยี นรู้เพื่อศษิ ย์ ในศตวรรษท่ี ๒๑. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๓. กรุงเทพฯ : มูลนิธสิ ดศรี-สฤษวงศ.์ คูม่ อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชพี ๙
แนวทำงกำรนำไปใช้ คมู่ อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี คมู่ อื ครู คูม่ ือครู หมำยถึง เอกสำรท่ใี หค้ วำมรเู้ ร่อื งใดเรื่องหน่งึ สำหรับครผู ู้สอน ซึง่ อธบิ ำย ข้นั ตอนและวธิ ีกำรใช้อยำ่ งเปน็ ระบบ เพ่ือแนะนำขน้ั ตอนกำรใชใ้ ห้ครผู สู้ อนสำมำรถนำไปใชไ้ ด้ อยำ่ งมีประสทิ ธภิ ำพ จำกควำมหมำยดังกล่ำวข้ำงต้น “คูม่ อื คร”ู จงึ มใิ ชแ่ ผนกำรจดั กำรเรียนรู้ แตเ่ ปน็ เอกสำรทนี่ ำเสนอเกย่ี วกับขอบขำ่ ยสำระกำรเรยี นรู้ของรำยวชิ ำ ซ่งึ แบ่งเปน็ หน่วยกำรเรียนร้ทู ่ี ครอบคลมุ สอดคล้องกับคำอธบิ ำยรำยวชิ ำ โดยในแตล่ ะหนว่ ยได้นำเสนอรำยกำรสอน สมรรถนะ และจดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรูป้ ระจำหน่วยทต่ี อ้ งกำรใหเ้ กดิ กบั ผู้เรียนหลงั จำกศกึ ษำเรียนรูใ้ นหนว่ ย นน้ั ๆ แลว้ รวมทง้ั เวลำ ท่ีใชใ้ นกำรจดั กำรเรยี นรู้แตล่ ะหน่วย อย่ำงไรก็ตำม เพือ่ ใหค้ รผู สู้ อน สำมำรถนำคู่มอื ครไู ปใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพและประสิทธิผลย่งิ ขึ้น คณะกรรมกำร จัดทำคมู่ ือครูอำจเสนอแนะกิจกรรมกำรเรยี นรหู้ รือเทคนิควิธกี ำรสอน สอ่ื และแหล่งกำรเรยี นรู้ หลักฐำนกำรเรยี นรู้ และแนวทำงกำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้ในแต่ละหน่วยกำรเรยี นรู้ ทั้งนี้ เพอ่ื เปน็ ทำงเลือกสำหรบั ครูผู้สอนในกำรนำไปใชแ้ ละหรอื ประยกุ ต์ใช้ สำหรบั คูม่ ือครูฉบับนไ้ี ดน้ ำเสนอเนอื้ หำสำระสำคญั เกย่ี วกับหลกั กำรจดั กำรเรียนรู้ กำร จดั ทำแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ กำรวัดและประเมนิ ผล บทบำทของผ้สู อนและผ้เู รยี น ตลอดจน ข้อแนะนำกำรนำไปใช้ เพอื่ ให้ครูผสู้ อนได้ศึกษำเรียนรู้นำไปใชใ้ นกำรวำงแผน ออกแบบกำรจัด กำรเรยี นรู้ จัดเตรียมส่อื กำรเรยี นรู้ จดั กจิ กรรมกำรเรยี นรแู้ ละวดั ผลประเมนิ ผล เพอ่ื พฒั นำผเู้ รียน ใหม้ ีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทกั ษะ เจตคตแิ ละกจิ นสิ ยั ตำมท่ีกำหนด แผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ หมำยถึง รำยละเอียดของกจิ กรรมต่ำง ๆ ทีค่ รผู สู้ อนกำหนดขนึ้ อย่ำงเป็นระบบและเปน็ ลำยลักษณ์อกั ษรไว้ล่วงหนำ้ เพื่อนำไปจัดกจิ กรรมกำรเรียนกำรสอนให้ บรรลุผลตำมวตั ถุประสงคท์ ีว่ ำงไว้ แผนกำรจดั กำรเรยี นร้นู บั ว่ำเปน็ เคร่อื งมอื สำคัญสำหรับครูผูส้ อนในกำรจดั กำรเรียนรู้ ครูผู้สอนจงึ ตอ้ งมคี วำมรคู้ วำมเขำ้ ใจในกำรจัดทำแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ เพอ่ื ไปสเู่ ปำ้ หมำยของกำร จดั กำรศึกษำของหลกั สูตรทกี่ ำหนดไว้ ครูผูส้ อนจะต้องหำกลยทุ ธแ์ ละวิธีกำรในกำรจดั ทำ แผนกำรจัดกำรเรยี นรู้ให้ครบถว้ นตำมองคป์ ระกอบสำคัญวำ่ จัดทำแผนอยำ่ งไร เพื่อใคร ๑๐ คู่มอื ครูสำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชีพ
มีเทคนิคและวิธีกำรอยำ่ งไร ผลที่ไดร้ ับจะเปน็ อยำ่ งไร ดงั นน้ั แผนกำรจดั กำรเรียนรู้จึงเปรียบ เสมอื นเปำ้ หมำยของควำมสำเร็จท่ีครผู สู้ อนคำดหวงั ไว้ ขน้ั ตอนการจดั ทาแผนการจดั การเรยี นรู้ ๑. วิเครำะห์คำอธบิ ำยรำยวชิ ำ เพ่ือประโยชนใ์ นกำรกำหนดหน่วยกำรเรียนร้แู ละ รำยละเอยี ดของแตล่ ะหัวข้อของแผนกำรจดั เรียนรู้ ๒. วเิ ครำะห์จดุ ประสงคร์ ำยวชิ ำและมำตรฐำนรำยวชิ ำ เพอื่ นำมำเขียนเปน็ จดุ ประสงค์ กำรเรียนรู้โดยใหค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรมทัง้ ดำ้ นควำมรู้ ทกั ษะ/กระบวนกำร เจตคติ ค่ำนยิ มและกจิ นสิ ยั ๓. วเิ ครำะห์สำระกำรเรียนรู้ โดยเลือกและขยำยสำระท่ีเรียนรใู้ หส้ อดคล้องกับผ้เู รยี น ชมุ ชนและทอ้ งถิ่น รวมทั้งวิทยำกำรและเทคโนโลยใี หม่ ๆ ท่จี ะเป็นประโยชนต์ ่อผู้เรียน ๔. วิเครำะหก์ ระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้ โดยเลือกรูปแบบกำรจดั กำรเรียนรูท้ เี่ น้น ผ้เู รียนเปน็ สำคัญ ๕. วเิ ครำะหก์ ระบวนกำรประเมนิ ผล โดยเลอื กใชว้ ิธีกำรวดั และประเมนิ ผลที่ สอดคลอ้ งกับจุดประสงค์กำรเรยี นรู้ ๖. วเิ ครำะหแ์ หล่งกำรเรียนรู้ โดยคัดเลอื กส่ือกำรเรียนร้แู ละแหลง่ กำรเรียนรู้ ทั้งใน และนอกห้องเรียนให้เหมำะสมสอดคลอ้ งกับกระบวนกำรเรียนรู้ องค์ประกอบสาคัญของแผนการจัดการเรียนรู้ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้อำจมีหลำยรปู แบบ เช่น แบบตำรำง แบบควำมเรยี ง ซึ่งแต่ละแบบ อำจมีหัวข้อหรือรำยละเอยี ดไมเ่ หมือนกัน แตต่ ้องมีองค์ประกอบสำคัญทคี่ รูผู้สอนจะต้องเขียนไว้อยำ่ ง สอดคล้องเช่ือมโยงกนั ว่ำ ต้องกำรให้เกดิ อะไรขน้ึ กบั ผู้เรียนหลงั จำกเรียนรู้ในหน่วยกำรเรยี นรู้หรือ เร่ืองนั้น ๆ แล้ว เนื้อหำสำระทต่ี ้องกำรให้ผ้เู รียนศึกษำเรียนรู้และหรอื ปฏบิ ตั ิมีอะไรบำ้ ง จะดำเนนิ กำร เรียนกำรสอนหรือใช้กิจกรรม ใช้ส่อื อะไรในกำรจัดกำรเรียนรู้ และจะใช้วธิ ีกำร เคร่ืองมือและเกณฑ์ กำรวดั และประเมนิ ผลอย่ำงไร องค์ประกอบสำคัญของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ สำมำรถแบ่งเปน็ ๓ สว่ น คือ ๑. สว่ นประกอบตอนตน้ หรือส่วนหน้ำ ๒. สว่ นของแผนกำรจดั กำรเรยี นรู้ ๓. สว่ นประกอบตอนท้ำยหรือสว่ นท้ำย คูม่ ือครสู ำหรับชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๑๑
๑. ส่วนประกอบตอนต้นหรอื สว่ นหน้า ประกอบด้วย ส่วนประกอบ รายละเอยี ด ๑. ปก - ประกอบด้วย ชอ่ื หลักสตู ร ช่ือรำยวิชำ ชอื่ ผสู้ อน ๒. คำนำ ชือ่ สถำนศกึ ษำ ภำคเรยี นและปีกำรศึกษำท่ีสอน ๓. สำรบัญ ๔. ลักษณะรำยวิชำ - เปน็ ส่วนท่มี ุ่งให้เหน็ ภำพรวมของแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ - ควรมอี ยำ่ งน้อย ๒ ย่อหน้ำ คือ ยอ่ หนา้ ที่ ๑ ควำมเป็นมำของรำยวิชำ และ องคป์ ระกอบของแผนกำรจัดกำรเรียนร้ทู ี่ผ้เู รียนจะตอ้ ง เรยี นรำยวชิ ำนี้ โดยเนน้ ทีค่ วำมสำคัญของรำยวิชำใน กำรนำไปใช้/ประยกุ ต์ใชใ้ นกำรเรียนร้หู รือกำรประกอบ อำชพี ย่อหน้าท่ี ๒ เป็นกำรขอบคุณผู้มีส่วนร่วมท่ีทำให้ แผนกำรจัดกำรเรียนรู้น้ีประสบควำมสำเร็จและควำม คำดหวังของแผนกำรจดั กำรเรียนรูท้ ี่มีตอ่ กำรศึกษำ - เปน็ กำรแสดงรำยกำรเนื้อหำสำระทบ่ี รรจุไวใ้ นแผนกำร จัดกำรเรยี นรู้ - ประกอบดว้ ย จดุ ประสงค์รำยวชิ ำ สมรรถนะรำยวชิ ำ และคำอธิบำยรำยวชิ ำของรำยวชิ ำที่กำหนดไวใ้ น หลกั สูตร ๕. กำรกำหนดหน่วยกำรเรยี นรู้ - เป็นกำรแบ่งเนอ้ื หำสำระจำกคำอธบิ ำยรำยวชิ ำออกเป็น รำยกำรสอนและเวลำที่ใช้ หน่วยกำรเรยี นรทู้ ี่ครอบคลุมตำมคำอธิบำยรำยวชิ ำ พรอ้ มเวลำทใ่ี ชใ้ นกำรจัดกำรเรยี นรู้ และในแตล่ ะหน่วย แบ่งเป็นรำยกำรสอนซง่ึ ประกอบด้วย หวั ขอ้ ใหญ่ หัวขอ้ รอง หัวข้อย่อย ตำมลำดบั กำรเรียนรู้ ๖. ตำรำงวเิ ครำะหห์ ลักสตู ร - เป็นกำรแยกแยะหลกั สูตรให้เห็นองค์ประกอบยอ่ ย โดย มุ่งหวังให้เห็นควำมสัมพันธ์ระหว่ำงเนื้อหำวิชำและ พฤติกรรม ซึ่งเป็นจุดหมำยปลำยทำงของแต่ละรำยวชิ ำ รวมถึงกำรกำหนดสัดส่วนน้ำหนักควำมสำคัญของ เนือ้ หำ และพฤติกรรมอันพึงประสงค์ ๑๒ คู่มือครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี
๒. สว่ นของแผนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย ส่วนประกอบ รายละเอียด ๑. หวั ขอ้ เรื่อง - คือ ช่ือของหน่วยกำรเรียนรู้ หรือชื่อของเรื่องที่จะจัดกำร ๒. สำระสำคัญ ๓. สมรรถนะประจำหน่วย เรียนกำรสอนในหนว่ ยนนั้ ๔. จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ - หมำยถึง ควำมคิดรวบยอดเกี่ยวกับเนื้อหำ หลักกำร ๕. สำระกำรเรยี นรู้ วิธีกำรที่ต้องกำรให้ผู้เรียนได้รับหลังจำกเรียนเร่ืองน้ัน ๆ แล้ว ท้ังในด้ำนควำมรู้ ทักษะ เจตคติและกิจนิสัย โดย พิจำรณำจำกจุดประสงค์กำรเรียนรู้และสำระกำรเรียนรู้ แลว้ เขยี นเปน็ ข้อสรุปเก่ียวกบั สง่ิ ทีผ่ ้เู รยี นจะได้รับ - เป็นควำมสำมำรถในกำรประยุกต์ใช้ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทักษะปฏิบัติและทักษะด้ำนควำมคิดในกำรปฏิบัติงำนใน หน่วย กำรเรยี นรู้นั้น ๆ ให้มีประสิทธิภำพ - วิธีกำรเขียน เขียนในรูป กริยำ+กรรม+เงื่อนไขหรือ สถำนกำรณ์ - คือ พฤติกรรมท่ีคำดหวังว่ำจะเกิดขึ้นกับผู้เรียนหลังจำก เรียนเร่ืองนั้น ๆ แล้ว ทั้งในด้ำนควำมรู้ ทักษะเจตคติและ กจิ นสิ ัย - กำรเขยี นจุดประสงค์กำรเรียนรู้มี ๒ ระดับ คือ จุดประสงค์ท่ัวไป หมำยถึง ควำมคำดหวังท่ีต้องกำรให้ เกิดขน้ึ กับผเู้ รียน หลังจำกผำ่ นกำรเรียนรแู้ ลว้ เปน็ ข้อควำม ท่ีเขียนอย่ำงกว้ำง ๆ จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม หมำยถึง พฤติกรรม กำร แสดงออกของผู้เรียน ภำยใต้เงื่อนไขหรือเนื้อหำหรือ สถำนกำรณ์ทส่ี ำมำรถวดั และสังเกตได้ - เป็นกำรเขียนเนื้อหำสำระที่ต้องกำรให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ เพอื่ ให้บรรลุตำมจดุ ประสงค์ทก่ี ำหนด - ผู้สอนอำจจะเขียนเนอ้ื หำรำยละเอียดทัง้ หมด ตำมหัวข้อท่ี กำหนดในแผนกำรจัดกำรเรียนรู้ หำกรำยละเอียดของ เน้ือหำมีมำก อำจเขียนเฉพำะหัวข้อเรื่องน้ัน ๆ ไว้ เป็น หัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง หัวข้อย่อยส่วนรำยละเอียดของ เน้ือหำให้นำเสนอในใบควำมรู้ คูม่ อื ครสู ำหรับชดุ กำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชพี ๑๓
ส่วนประกอบ รายละเอยี ด ๖. กิจกรรมกำรเรียนรู้ ๗. ส่อื และแหลง่ กำรเรียนรู้ - หมำยถึง กำรจัดประสบกำรณ์หรือกิจกรรมต่ำง ๆ ที่ผู้สอน ๘. หลกั ฐำนกำรเรยี นรู้ ได้จัดให้ผู้เรียนได้เรียนรู้และหรือปฏิบัติ เพ่ือให้สำมำรถ บรรลุผลตำมจุดประสงค์กำรเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในแผนกำร ๙. กำรวดั และประเมินผล จัดกำรเรยี นรู้ ๑๐. งำนที่มอบหมำย (ถ้ำม)ี - หมำยถงึ วสั ดุ อปุ กรณ์ เครื่องมือ วธิ ีกำรและแหลง่ วิทยำกำรทผี่ สู้ อนใชเ้ ปน็ ส่อื กลำงสง่ ถ่ำยควำมร้แู ละทกั ษะ ตลอดจนเจตคติไปยงั ผเู้ รียนไดอ้ ยำ่ งมีประสิทธภิ ำพ - เป็นกำรนำจุดประสงค์กำรเรียนรู้และเนื้อหำสำระมำ กำหนดเป็นหลักฐำนกำรแสดงออกของผู้เรียน ทั้งในเรื่อง ของควำมรู้ ทักษะ กระบวนกำร ผลงำน รวมท้ังกิจนิสัยใน กำรทำงำน - หลักฐำนกำรเรียนรู้ ประกอบดว้ ย หลกั ฐานความรู้ เช่น แบบทดสอบ งำนทีม่ อบหมำย แบบฝึกหดั เอกสำรและหรือรำยงำนทำงวชิ ำกำรอืน่ ๆ - หลักฐานการปฏิบัติงาน เช่น ชิ้นงำน ภำระงำนและ พฤติกรรม ท่ีแสดงถึงกำรบรรลุผลสำเร็จ รวมทั้งเกณฑ์ที่ จะประเมิน - เป็นกระบวนกำรใช้เคร่ืองมือเพ่ือตัดสินคุณค่ำของสิ่งของ หรือกำรกระทำน้ัน ๆ ว่ำบรรลวุ ตั ถุประสงค์ทต่ี ง้ั ไว้มำกนอ้ ย เพียงไร โดยต้องสอดคล้องและครอบคลุมจุดประสงค์กำร เรยี นรทู้ ี่ต้งั ไวท้ กุ ข้อ - เป็นส่ิงที่ครูผู้สอนมอบให้ผู้เรียนไปศึกษำเรียนรู้ และหรือ ฝึกปฏิบัติเพ่ิมเติมนอกเวลำเรียน เพ่ือเป็นกำรทบทวนสิ่งที่ ได้เรียนรู้ให้มีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทักษะมำกยิ่งข้ึน หรือ มอบให้ผู้เรียนไปศึกษำและหรือปฏิบัติล่วงหน้ำเพื่อเป็น กำรเตรยี มควำมพร้อมกอ่ นเข้ำรับกำรเรยี นรใู้ นชนั้ เรียน ๑๔ คู่มือครูสำหรบั ชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชพี
๓. ส่วนประกอบตอนท้ายหรือส่วนท้าย ประกอบดว้ ย สว่ นประกอบ รายละเอยี ด ๑. สือ่ กำรเรียนรู้ - คือ สื่อกำรเรียนรู้ที่ใช้ประกอบกำรจัดกำรเรียนรู้ เช่น สื่อ แผน่ ใส สอ่ื ประกอบกำรบรรยำย ส่ือวีดิทศั น์ทใ่ี ชป้ ระกอบกำร จดั กิจกรรมกำรเรียนรูใ้ นหนว่ ยนนั้ ๒. ใบชว่ ยสอน - หมำยถึง ส่ือประเภทส่งิ พิมพ์เฉพำะเรื่องทชี่ ่วยหรือใชเ้ สริมให้ ๓. แบบฝึก แบบฝึกหัด กำรจัดกำรเรยี นรูเ้ ปน็ ไปอยำ่ งมปี ระสิทธภิ ำพ หรือชดุ กำรฝึก - หมำยถึง สื่อกำรเรียนกำรสอนท่ีมีรูปแบบและลักษณะท่ี ๔. แบบทดสอบ หลำกหลำย ซ่ึงครูผู้สอนสร้ำงขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ ด้วยตนเองจนเกิดควำมรู้ ควำมเข้ำใจและมที ักษะเพม่ิ ขน้ึ โดย ๕. เครอ่ื งมอื ประเมนิ และ กิจกรรมท่ีให้ปฏิบัติในแบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหำที่ เกณฑ์กำรประเมนิ ผเู้ รียนไดเ้ รยี นไปแลว้ - หมำยถึง ชุดของข้อคำถำมที่ครูผู้สอนสร้ำงขึ้นเพื่อใช้วัด ควำมรู้ สติปัญญำ ควำมถนัดและบุคลิกภำพของผู้เรียน โดย ให้ผ้เู รียนพดู เขยี นหรอื แสดงท่ำทำง - ประกอบดว้ ย แบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อตรวจสอบพื้นฐำนประสบกำรณ์ เดิมของผู้เรียนก่อนศึกษำเรียนรู้ในแต่ละหนว่ ยกำรเรียนรู้ แต่ ละเรือ่ ง หรือแตล่ ะคร้ังทจี่ ัดกำรเรยี นรู้ แบบทดสอบหลังเรียน เพื่อตรวจสอบผลกำรเรียนรู้ของ ผู้เรียนหลังจำกได้เรียนรู้ในแต่ละหน่วยกำรเรียนรู้ แต่ละเร่อื ง หรือแต่ละคร้ังที่จัดกำรเรียนรู้แล้ว เพ่ือนำผลมำใช้ในกำร ปรบั ปรุง และหรือพฒั นำกำรจัดกำรเรียนรู้ รวมทั้งกำรพัฒนำ ผู้เรียนเปน็ รำยบุคคล - เป็นเคร่ืองมือที่ครูผู้สอนสร้ำงขึ้นเพื่อใช้ในกำรประเมิน ควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติงำน และหรือผลงำนของผู้เรียน รวมท้ังพฤติกรรมลักษณะนิสัยในกำรปฏิบัติงำน โดยมีกำร กำหนดรำยกำรท่ีจะประเมิน สัดส่วนคะแนนและเกณฑ์กำร ใหค้ ะแนนในแตล่ ะรำยกำรประเมิน (Scoring Rubric) คูม่ ือครูสำหรับชุดกำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๑๕
ส่วนประกอบ รายละเอยี ด ๖. เอกสำรอำ้ งอิง - เป็นกำรรวบรวมรำยกำรหนังสือ เอกสำร ตำรำ รวมทั้ง ๗. บันทกึ หลังกำรจัดกำร เอกสำรออนไลน์ ที่ครูผู้สอนได้ศึกษำค้นคว้ำ รวบรวมข้อมูล เรยี นรู้ สำรสนเทศมำใช้ในกำรจัดกำรเรียนรู้สำหรับหน่วยกำรเรียนรู้ แตล่ ะหนว่ ย - เป็นส่วนที่ให้ครูผู้สอนบันทึกผลกำรจัดกำรเรียนรู้ว่ำประสบ ควำมสำเร็จหรือไม่ มีปัญหำหรืออุปสรรคอะไรเกิดขนึ้ บำ้ ง ได้ แก้ไขหรือมีแนวทำงในกำรแก้ไขปัญหำและอุปสรรคน้ัน อย่ำงไร ส่ิงที่ไม่ได้ปฏิบัติตำมแผนมีอะไรบ้ำง เพรำะเหตุใด รวมทั้งข้อเสนอแนะสำหรับกำรปรับปรุงหรือพัฒนำในครั้ง ต่อไป กำรจดั กำรเรยี นรู้ จดุ มงุ่ หมายของการจัดการเรียนรู้ ในกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ นอกจำกต้องกำรใหผ้ เู้ รียนเกดิ กำรเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม ด้ำนควำมรู้ ทักษะ เจตคตแิ ละกจิ นิสยั ตำมจุดประสงค์รำยวิชำ สมรรถนะรำยวชิ ำและคำอธบิ ำย รำยวิชำแล้ว ผสู้ อนจะตอ้ งพฒั นำผ้เู รียนใหม้ สี มรรถนะสำคัญดังตอ่ ไปนด้ี ว้ ย ๑. สมรรถนะในการสือ่ สาร ไดแ้ ก่ ควำมสำมำรถในกำรรับและสง่ สำร ควำมสำมำรถ ในกำรใชภ้ ำษำเพอื่ ถำ่ ยทอดควำมคดิ ควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ควำมรู้สกึ และทัศนคตขิ องตนเอง เพอื่ แลกเปลย่ี นข้อมูลขำ่ วสำรและประสบกำรณ์ ควำมสำมำรถในกำรเจรจำต่อรองเพอ่ื ขจัดและ ลดปญั หำควำมขดั แยง้ ตำ่ ง ๆ ควำมสำมำรถในกำรเลอื กรับหรอื ไม่รับข้อมลู ขำ่ วสำรด้วยหลัก เหตุผลและควำมถกู ตอ้ ง รวมทั้งควำมสำมำรถในกำรเลอื กใชว้ ธิ กี ำรสอื่ สำรที่มปี ระสิทธภิ ำพ โดยคำนงึ ถึงผลกระทบต่อตนเองและสงั คม ๒. สมรรถนะในการคดิ ไดแ้ ก่ ควำมสำมำรถในกำรคิดวเิ ครำะห์ สงั เครำะห์ กำรคิด อย่ำงสรำ้ งสรรค์ กำรคิดอย่ำงมวี ิจำรณญำณ และกำรคดิ อย่ำงมรี ะบบ เพ่ือนำไปสู่กำรสร้ำง องค์ควำมรหู้ รอื สำรสนเทศเพอื่ กำรตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่ำงเหมำะสม ๓. สมรรถนะในการแก้ปญั หา ไดแ้ ก่ ควำมสำมำรถในกำรแกป้ ญั หำและอปุ สรรคได้ อย่ำงถูกต้องและเหมำะสมดว้ ยหลกั เหตผุ ลและมคี ณุ ธรรม ควำมสำมำรถในกำรแสวงหำควำมรู้ และนำมำประยกุ ตใ์ ชใ้ นกำรปอ้ งกนั และแก้ไขปญั หำ ควำมสำมำรถในกำรตดั สินใจโดยคำนึงถงึ ผลกระทบตอ่ ตนเอง สงั คมและสิง่ แวดล้อม ๑๖ คู่มอื ครูสำหรบั ชดุ กำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชีพ
๔. สมรรถนะในการใชท้ ักษะชีวติ ไดแ้ ก่ ควำมสำมำรถในกำรนำกระบวนกำรตำ่ ง ๆ ไปใช้ในกำรดำเนนิ ชีวิตประจำวนั ควำมสำมำรถในกำรเรียนรู้ดว้ ยตนเองและกำรเรียนรอู้ ย่ำง ต่อเน่อื ง ควำมสำมำรถในกำรสร้ำงเสรมิ ควำมสัมพนั ธอ์ ันดรี ะหว่ำงบคุ คล เพ่ือกำรทำงำนและ กำรอยูร่ ่วมกนั ในสังคม ควำมสำมำรถในกำรจดั กำรปญั หำและควำมขัดแย้งตำ่ ง ๆ ควำมสำมำรถ ในกำรปรบั ตัวให้ทนั กบั กำรเปลย่ี นแปลงของสังคมและสภำพแวดลอ้ ม และควำมสำมำรถในกำร ตดั สินใจหลีกเล่ยี งพฤติกรรมทีไ่ ม่พึงประสงคซ์ ง่ึ จะส่งผลกระทบตอ่ ตนเองและผูอ้ ่ืน ๕. สมรรถนะในการใช้เทคโนโลยี ได้แก่ ควำมสำมำรถในกำรเลือกและใช้เทคโนโลยี ดำ้ น ตำ่ ง ๆ มีทักษะกระบวนกำรทำงเทคโนโลยเี พือ่ กำรพฒั นำตนเองและสงั คมในด้ำนกำรเรยี นรู้ กำรสอ่ื สำร กำรทำงำน ควำมสำมำรถในกำรแก้ปญั หำอยำ่ งสรำ้ งสรรค์ ถูกต้อง เหมำะสมและมี คณุ ธรรม นอกจำกนี้ ครผู สู้ อนยงั ตอ้ งนำค่ำนยิ มหลกั ๑๒ ประกำร รวมทง้ั คุณธรรม จริยธรรมและ ค่ำนยิ มทพ่ี งึ ประสงคข์ องผู้เรียนอำชวี ศึกษำ มำวำงแผน บรู ณำกำรในกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ เพ่อื ให้ผเู้ รยี นสำมำรถอยู่ร่วมกบั ผู้อืน่ ในสงั คมได้อย่ำงมคี วำมสขุ ในฐำนะเปน็ พลเมืองไทยและ พลเมอื งโลกดว้ ย หลกั สาคญั ในการจดั การเรียนรู้ ในกำรจัดกำรเรียนร้ใู ห้เป็นไปอยำ่ งมีประสิทธภิ ำพและบรรลุวัตถุประสงค์ ครูผู้สอนต้อง คำนึงถึงหลักสำคญั ทเ่ี ก่ียวขอ้ ง ดงั นี้ ๑. เนอื้ หำสำระกำรเรียนรถู้ กู ต้อง ทนั สมยั เปน็ หมวดหมู่ เปน็ ไปตำมลำดบั ง่ำย-ยำก ๒. เทคนิควิธีกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้มีควำมหลำกหลำย เน้นผู้เรียนเปน็ สำคัญ เน้น กำรทำงำนรว่ มกัน ๓. สอื่ กำรเรยี นรแู้ ละแหลง่ กำรเรยี นรหู้ ลำกหลำย สนบั สนุนส่งเสริมกำรเรียนรู้ ๔. กำรจดั ประสบกำรณต์ รงให้แก่ผเู้ รียนเพอ่ื สรำ้ งองคค์ วำมรดู้ ้วยตนเอง ๕. กำรจัดบรรยำกำศกำรเรยี นรูท้ ี่ส่งเสรมิ กำรคิด กำรปฏบิ ัติของผเู้ รียน ๖. กำรปลกู ฝังจติ สำนกึ คุณธรรม จริยธรรม คำ่ นยิ มและพฤตกิ รรมทดี่ ีแกผ่ เู้ รียน ๗. กำรประเมินพัฒนำกำรรอบด้ำนของผเู้ รยี นด้วยวธิ ีกำรทีห่ ลำกหลำยและต่อเนอื่ ง หลักทวั่ ไปของการสอน ๑. ด้านเน้ือหา - สอนจำกส่งิ ทรี่ ู้ เหน็ และเข้ำใจง่ำยไปส่สู ิง่ ท่ีเขำ้ ใจยำกหรือยงั ไมร่ ู้ ไม่เหน็ - สอนจำกเน้อื หำงำ่ ยไปสู่เร่ืองท่คี อ่ ย ๆ ยำก ลมุ่ ลกึ ไปตำมลำดับ - ถ้ำส่งิ ที่สอนเป็นสง่ิ ท่แี สดงไดห้ รอื สำมำรถสัมผสั ได้ดว้ ยประสำทสัมผัส ควรสอน ดว้ ยของจรงิ คูม่ อื ครูสำหรับชดุ กำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๑๗
- สอนใหต้ รงเรือ่ งหรอื เนอ้ื หำ - สอนใหต้ รงตำมควำมเป็นจริงหรอื สอนสง่ิ ทม่ี เี หตุผล - สอนเท่ำทีจ่ ำเป็น ตอ้ งกำรใหร้ ใู้ หเ้ ข้ำใจ ๒. ดา้ นตัวผเู้ รยี น - สอนโดยคำนึงถึงควำมแตกตำ่ งระหวำ่ งบุคคล - สอนโดยคำนงึ ถึงวธิ ีกำรสอนทีเ่ หมำะกับผู้เรยี น - สอนโดยคำนึงถงึ ควำมพรอ้ มของผเู้ รียน - สอนโดยให้ผเู้ รยี นไดล้ งมอื ทำด้วยตัวเอง - สอนโดยให้ครผู สู้ อนกบั ผูเ้ รยี นมบี ทบำทรว่ มกันในกำรแสวงหำควำมจริง - สอนโดยกำรเอำใจใสผ่ ูเ้ รียนท่คี วรไดร้ บั ควำมสนใจพิเศษ หรอื ผ้เู รียนท่ีมปี ัญหำ เปน็ รำย ๆ ไป ๓. ดา้ นครูผู้สอน ได้แก่ - นำเขำ้ สบู่ ทเรียน โดยกำรสนทนำเรอ่ื งทีผ่ เู้ รยี นรู้หรือมปี ระสบกำรณ์อยู่บำ้ งแลว้ หรอื โดยกำรตงั้ คำถำม สร้ำงสถำนกำรณ์กระตนุ้ ใหผ้ ูเ้ รยี นคดิ - สอนโดยสรำ้ งบรรยำกำศให้ปลอดโปรง่ เพลิดเพลิน ไมต่ ึงเครียด - สอนโดยมุ่งเนอื้ หำ มุง่ ใหเ้ กิดควำมรู้ ควำมเขำ้ ใจส่งิ ทสี่ อนเป็นสำคญั - สอนด้วยควำมตงั้ ใจ ดว้ ยควำมรสู้ ึกว่ำมีคณุ คำ่ ๔. ด้านลีลาในการสอน ไดแ้ ก่ - สนั ทสั สนำ หมำยถึง สอนโดยอธิบำยใหเ้ หน็ ชัดเจนแจ่มแจง้ เหมือนจูงมอื ไปดู ให้เหน็ กบั ตำ - สมำทปนำ หมำยถงึ สอนโดยกำรชักจูงใจให้เหน็ จรงิ ชวนให้คลอ้ ยตำม จนต้อง ยอมรบั และนำไปปฏบิ ตั ิ - สมตุ เตชนำ หมำยถึง สอนโดยกำรเร้ำใจให้แกล้วกล้ำ บังเกดิ กำลงั ใจ - สัมปหงั สนำ หมำยถงึ สอนโดยชโลมใจใหแ้ ชม่ ชน่ื ร่ำเรงิ เบิกบำน ฟังไม่เบ่อื และ เปย่ี มดว้ ยควำมหวัง เพรำะมองเหน็ คุณประโยชน์ทต่ี นจะได้รับจำกกำรปฏิบตั ิ ๕. ด้านเทคนิควธิ สี อน ได้แก่ - สอนแบบสำกัจฉำ หรอื สอนโดยใช้หลักกำรสนทนำเพอ่ื แลกเปลยี่ นควำมคิดเห็น และอภิปรำยรว่ มกัน - สอนแบบบรรยำย - สอนแบบแกป้ ญั หำ หรอื ใช้ปญั หำเปน็ ฐำน (Problem-Based Learning) - สอนแบบวำงกฎขอ้ บังคับ - สอนแบบเผชิญสถำนกำรณ์ - สอนแบบสบื สวนสอบสวนหรอื สืบเสำะหำควำมรู้ ๑๘ คู่มือครสู ำหรับชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี
- สอนแบบสำธิต - สอนแบบบทบำทสมมติ - สอนแบบกรณีศึกษำ ๖. ด้านกลวิธแี ละอุบายประกอบการสอน - สอนโดยยกอุทำหรณแ์ ละเลำ่ นทิ ำน เพ่อื ทำให้เข้ำใจง่ำย - สอนโดยเปรียบเทียบดว้ ยขอ้ อุปมำ อปุ มยั หรือโดยกำรอธบิ ำยนำมธรรมให้เปน็ รูปธรรม - สอนโดยใชอ้ ุปกรณก์ ำรสอน - สอนโดยกำรทำเป็นตัวอยำ่ ง - สอนโดยใหล้ งมือปฏบิ ตั ดิ ้วยตนเอง - สอนโดยกระบวนกำรสรำ้ งควำมตระหนกั สรำ้ งคำ่ นิยม สรำ้ งเจตคติ - สอนโดยกำรลงโทษและให้รำงวัล - สอนโดยกลวิธแี กป้ ญั หำเฉพำะหน้ำ - สอนโดยใชก้ ระบวนกำรกลมุ่ กำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรยี นรู้ กำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรียนรเู้ ปน็ สว่ นหนงึ่ ของกระบวนกำรจัดกำรเรยี นรู้ โดย กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูลเกีย่ วกบั กำรเรยี นในระหวำ่ งกำรจดั กำรเรยี นรู้อย่ำงตอ่ เน่อื ง เพอ่ื ให้ได้ ข้อมลู และนำผลไปใช้ในกำรปรบั ปรงุ แก้ไขและหรอื พฒั นำผ้เู รียน รวมทงั้ ปรบั ปรงุ แก้ไขและหรอื พัฒนำกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนกำรสอนของครผู ูส้ อนและกระบวนกำรเรียนรู้ของผเู้ รียน หลกั ในการวดั และประเมนิ ผล ๑. เน้นกระบวนกำรประเมินเพ่ือพฒั นำผเู้ รยี น และประเมนิ เพื่อตดั สินผลกำรเรียน ท้ังดำ้ นควำมรู้ ทักษะ เจตคตแิ ละกจิ นิสยั ๒. เนน้ กำรนำผลกำรประเมนิ มำใชใ้ นกำรวำงแผนปรบั ปรุง พฒั นำกระบวนกำรจัด กจิ กรรมกำรเรียนรู้ ๓. เน้นกำรประเมนิ ดว้ ยวิธีกำรทีห่ ลำกหลำย สอดคลอ้ งกบั กระบวนกำรจดั กำรเรยี นรู้ ๔. เนน้ กำรประเมนิ ทง้ั กระบวนกำร ผลงำนและพฤติกรรมลักษณะนสิ ัยของผูเ้ รยี น ๕. เนน้ กำรมสี ่วนรว่ มของผู้เรยี นในกำรกำหนดเกณฑก์ ำรประเมิน กำรประเมนิ ตนเอง กำรประเมนิ โดยเพื่อน กลุม่ เพอื่ น ครู ผปู้ กครองและผมู้ สี ่วนเก่ยี วขอ้ ง ๖. เน้นกำรประเมินพฒั นำกำรรอบดำ้ นของผเู้ รยี น คูม่ ือครสู ำหรับชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๑๙
ขนั้ ตอนการวดั และประเมนิ ผล ๑. การประเมินผลกอ่ นเรยี น เปน็ กำรประเมินเพือ่ ตรวจสอบควำมรเู้ ดมิ ของผ้เู รยี น วำ่ มพี นื้ ฐำนควำมรู้ในเรือ่ งท่กี ำลงั จะสอนมำกน้อยเพยี งใด แตล่ ะคนมคี วำมรู้แตกตำ่ งกนั หรอื ไม่ เพ่ือจะไดจ้ ัดกระบวนกำรเรยี นรใู้ หก้ บั ผู้เรยี นได้อยำ่ งเหมำะสมตอ่ ไป ๒. การประเมนิ ผลระหวา่ งเรียน เปน็ กำรประเมนิ ขณะทำกำรสอนไปแล้วระยะหนึง่ ซงึ่ อำจประเมินโดยกำรใหผ้ เู้ รียนตอบหรอื อธิบำยปำกเปลำ่ หรอื ตอบในแบบฝกึ ทักษะหรือ แบบทดสอบ แล้วรว่ มกันเฉลยเพื่อจะไดท้ รำบผลสมั ฤทธิข์ องกำรเรียนกำรสอนวำ่ ไดผ้ ลหรอื ไม่ อย่ำงไร จะได้ปรบั ปรุงแกไ้ ข ทบทวนหรอื ซอ่ มเสริมใหแ้ ก่ผู้เรียนหรือกลุม่ ผเู้ รียนก่อนศกึ ษำเรียนรู้ ในขัน้ ตอนหรือเนอ้ื หำอ่นื ต่อไป ๓. การประเมินผลหลงั เรียน สำมำรถทำได้ ๒ ลกั ษณะ คือ ๓.๑ ประเมินหลังจำกทผี่ ู้สอนทำกำรสอนจบไปแลว้ ๑ คร้ัง หรอื ๑ หนว่ ย กำรเรยี นรู้ เพอื่ จะไดเ้ ตรยี มเน้อื หำ วธิ ีกำรสอนและวิธที ดสอบในคร้งั ต่อไป ๓.๒ ประเมนิ เม่ือเรียนครบหลักสตู ร เป็นกำรทดสอบควำมรู้ท้งั หมดท่ีผเู้ รยี น ไดเ้ รยี นมำแลว้ ว่ำผูเ้ รยี นมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจ ทักษะและพฤตกิ รรมลกั ษณะนิสยั ตำมเกณฑ์ ท่ีกำหนดไวห้ รอื ไม่ วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ โดยท่ัวไปครผู ู้สอนควรเลอื กวิธีกำรวดั และประเมินผลกำรเรียนรู้ใหเ้ หมำะสมกบั กิจกรรม กำรเรียนรแู้ ละจุดประสงค์ท่กี ำหนด โดยใชว้ ิธีกำรและเคร่อื งมือทีห่ ลำกหลำยประกอบกัน ไดแ้ ก่ ๑. กำรสงั เกตพฤติกรรมระหว่ำงกำรปฏิบัติกิจกรรมกำรเรียนรขู้ องผ้เู รียน ๒. กำรสอบปำกเปล่ำ ๓. กำรพูดคุย ๔. กำรใชค้ ำถำม ๕. กำรเขียนสะท้อนกำรเรยี นรู้ ๖. กำรประเมนิ กำรปฏบิ ตั ิ ๗. กำรประเมินดว้ ยแบบทดสอบ ๘. กำรประเมนิ ควำมรสู้ กึ นึกคดิ ๙. กำรประเมนิ โดยแฟ้มสะสมผลงำน ๑๐. กำรประเมินตำมสภำพจริง ๒๐ คู่มอื ครสู ำหรับชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชีพ
การออกแบบการวดั และประเมินผลการเรยี นรู้ ในกำรวัดและประเมินผลกำรเรียนรู้ ครูผ้สู อนควรดำเนินกำรตำมขัน้ ตอนดงั น้ี กำหนดผลกำรเรียนรู้หรอื คณุ ลกั ษณะที่ต้องกำรประเมนิ วเิ ครำะหพ์ ฤตกิ รรมสำคญั จำกผลกำรเรยี นร้เู พอื่ กำหนด หลักฐำนกำรเรยี นรู้ เลือกใชว้ ิธกี ำรเครือ่ งมอื ใหเ้ หมำะสมกบั พฤตกิ รรมทีจ่ ะประเมิน กำหนดเกณฑ์กำรประเมนิ พฤตกิ รรม (Scoring Rubrics) เคร่ืองมอื ทใ่ี ชใ้ นการวดั และประเมินผล เครอื่ งมอื ท่ใี ชใ้ นกำรประเมินผลกำรเรยี นรขู้ องผู้เรยี น เปน็ ตวั บง่ ชท้ี ่แี สดงใหเ้ หน็ ถึง ควำมสำมำรถของผู้เรยี นหรือผถู้ ูกประเมนิ ในดำ้ นควำมรู้ ควำมสำมำรถ เจตคติ ตลอดจนทกั ษะ ทำงกำรคิดและกำรปฏิบตั ิงำนของผ้เู รยี น เครือ่ งมอื ท่ใี ชใ้ นกำรประเมนิ จงึ ตอ้ งมคี วำมหลำกหลำย วัดได้ทงั้ ภำคทฤษฎี และภำคปฏบิ ตั ิ กำรสรำ้ งเครือ่ งมือควรคำนงึ ถึงหลกั กำรวัดผลกำรศึกษำ เพอ่ื ใช้เป็นพนื้ ฐำนในกำรสรำ้ ง เครือ่ งมอื ให้สำมำรถวัดได้จริง มคี วำมยุตธิ รรมสำหรับผ้รู บั กำรทดสอบ และเพ่อื ให้แปลผล คะแนนทไี่ ด้จำกกำรใชเ้ ครื่องมอื ประเมินถกู ตอ้ งและเชือ่ ถอื ได้ (Valid and Reliable) สำหรบั รำยวิชำทักษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี ซงึ่ เป็นรำยวชิ ำทเี่ นน้ ทฤษฎี แตก่ ็ไมไ่ ด้หมำยควำมว่ำครูผสู้ อน จะวัดและประเมินผลแตด่ ำ้ นพทุ ธพิ ิสยั หรือด้ำนควำมรู้เทำ่ นนั้ เนอ่ื งจำกในกำรจดั กิจกรรมกำร เรียนรทู้ ่เี น้นผเู้ รียนเปน็ สำคญั ผเู้ รียนไดม้ สี ว่ นร่วมในกจิ กรรมกำรเรยี นรูเ้ พ่อื พฒั นำทักษะกำร สอื่ สำรทงั้ เปน็ รำยบุคคลและรำยกลุม่ รวมทงั้ ได้ทำกิจกรรมกำรเรยี นรู้ท้งั ในหอ้ งเรียนและนอก ห้องเรียนตำมท่ีผสู้ อนกำหนด ดงั น้นั ครูผสู้ อนจงึ สำมำรถวัดและประเมนิ ผลพฤตกิ รรมของผู้เรียน ในดำ้ นทักษะพสิ ยั และจิตพสิ ยั ไดด้ ้วย โดยใชก้ ำรประเมินผลตำมสภำพจรงิ ซ่งึ มีกำรประเมนิ ท้ัง ด้ำนกระบวนกำร ผลงำนและพฤตกิ รรมลกั ษณะนสิ ยั ของผเู้ รยี นควบคู่กนั ไป ๑. เคร่ืองมอื ประเมินองค์ความรู้ทฤษฎี เครื่องมือท่ใี ช้ในกำรประเมิน คือ แบบสมั ภำษณ์ แบบทดสอบ แต่ในกำรเรียนกำรสอน ส่วนใหญ่จะใชแ้ บบทดสอบ เชน่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ แบบจบั คู่ แบบเติมคำในชอ่ งวำ่ ง และแบบควำมเรียง กำรสรำ้ งขอ้ คำถำมตอ้ งประเมนิ ควำมสำมำรถของผตู้ อบได้ตำมระดบั คูม่ ือครสู ำหรบั ชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๒๑
พฤติกรรมกำรเรียนรูท้ ่กี ำหนดไว้ในรำยวชิ ำ ฉะนั้นจงึ ต้องมีกำรวเิ ครำะห์หลักสตู รกอ่ น และนำผล ท่ีไดจ้ ำกกำรวิเครำะห์หลักสตู รมำกำหนดเปน็ ตำรำงวเิ ครำะหข์ อ้ สอบ เพ่ือกำหนดว่ำจะประเมิน ควำมสำมำรถของผูส้ อบถงึ ระดบั ใด และจำนวนขอ้ สอบจะวัดตำมระดับพฤติกรรมกำรเรยี นรู้ ในแต่ละระดบั จะมรี ะดบั ละกีข่ อ้ ลักษณะของขอ้ คำถำมหรือโจทย์ไม่ว่ำจะเปน็ แบบทดสอบภำคทฤษฏีหรือ แบบทดสอบภำคปฏบิ ตั ิกำรสรำ้ งขอ้ คำถำมจะมีลักษณะเดยี วกนั ข้อคำถำมท่จี ะสรำ้ งเปน็ แบบทดสอบ และวดั ไดต้ ำมระดบั พฤติกรรมกำรเรยี นรู้ ครูผ้สู อนควรพจิ ำรณำดงั นี้ ๑.๑ ขอ้ คาถาม โดยทวั่ ไปควรมลี กั ษณะดังนี้ ๑.๑.๑ บอกให้แนช่ ัดวำ่ เปน็ ข้อคำถำม ๑.๑.๒ ถำมใหต้ รงจดุ และชดั เจน ๑.๑.๓ กะทัดรดั ไม่ใชค้ ำฟมุ่ เฟอื ย ๑.๑.๔ เรำ้ ใจให้ผู้ตอบไดใ้ ช้ควำมคิด ๑.๑.๕ ใช้คำถำมให้เหมำะสมกับระดับผตู้ อบ ๑.๑.๖ ไม่ควรใช้คำปฏเิ สธหรือปฏิเสธซ้อนกัน ๑.๑.๗ ข้อคำถำมหนึง่ คำถำมควรถำมเร่ืองเดียว ๑.๑.๘ ไม่ควรถำมสิ่งผู้ตอบทอ่ งจำได้คล่องปำก ๑.๒ ข้อคาถามวัดตามระดบั พฤตกิ รรมการเรียนรู้ ๑.๒.๑ ข้อคาถามวดั ความรู้-ความจา เป็นกำรวัดควำมสำมำรถของผ้เู ขำ้ รับ กำรประเมินทไี่ ดเ้ รียนผ่ำนมำแลว้ เพอื่ ทดสอบว่ำจำอะไรไดบ้ ำ้ งแบ่งตำมประเภทของควำมจำ ลักษณะของข้อคำถำมจะเปน็ ดงั นี้ ๑) ถำมควำมจำในเนอ้ื เร่อื ง ๒) ถำมควำมรู้ในวธิ ดี ำเนินกำร ๓) ถำมควำมรูร้ วบยอดในเนื้อเร่ือง ๑.๒.๒ ขอ้ คาถามวดั ความเข้าใจ จะต้องวดั ควำมสำมำรถในกำรแปลควำม ตีควำมหมำย และขยำยควำมในเรื่องต่ำง ๆ ซงึ่ ผู้เรียนตอ้ งใช้พฤตกิ รรมอยำ่ งใดอย่ำงหนง่ึ ในกำร แก้ปญั หำ แบง่ เปน็ ๑) กำรแปลควำม เปน็ กำรวดั ควำมสำมำรถในกำรถ่ำยควำมหมำย จำกภำษำหนงึ่ ไปอกี ภำษำหนง่ึ แปลควำมสญั ลกั ษณ์ กำรแสดงออกดว้ ยท่ำทำง แปลควำมจำก แผนภูมิและภำพตำ่ ง ๆ ๒) กำรตคี วำม เป็นกำรวัดควำมสำมำรถในกำรตีควำมในเนอ้ื เรอ่ื ง เพ่อื นำมำสรุปเฉพำะใจควำมสำคญั เทำ่ น้ัน ตีควำมเรอ่ื ง ตคี วำมตำมข้อเท็จจรงิ ของข้อควำม โดยใช้หลกั เกณฑ์กำรตีควำมเฉพำะในเนอื้ เร่ืองท่กี ำหนดให้ ๒๒ คู่มอื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี
๓) กำรขยำยควำม เปน็ กำรวดั ควำมสำมำรถในกำรขยำยควำม ให้กวำ้ งและลึกลงไป ๑.๒.๓ ขอ้ สอบวดั การนาไปใช้ เปน็ กำรวัดพฤตกิ รรมในกำรนำควำมรู้และ ควำมเข้ำใจในเร่อื งตำ่ ง ๆ ที่สรำ้ งสมไว้มำใชแ้ กป้ ัญหำ หรอื ประยกุ ตใ์ ช้กับงำนและชีวิตประจำวนั ขอ้ คำถำมควรมลี ักษณะ ดงั นี้ ๑) นำหลักวชิ ำไปใช้ วัดควำมสำมำรถในกำรอธบิ ำยเรอื่ งรำว กำร กระทำตำ่ ง ๆ ตำมหลกั วชิ ำกำร หรอื นำหลกั วชิ ำ กฎเกณฑ์ ไปใชใ้ นกำรแก้ปญั หำ ๒) กำรแก้ปญั หำ วดั ควำมสำมำรถในกำรนำวิธีกำรแกป้ ญั หำที่เคย เรียนมำและฝึกปฏบิ ตั ิมำก่อนในวิธีกำรแก้ปัญหำเดมิ ไปแกป้ ญั หำใหม่ทม่ี ลี กั ษณะของปัญหำ ใกลเ้ คยี งกัน หรอื อยู่ในสถำนกำรณ์ตำ่ งกนั ๓) เปรยี บเทยี บควำมสอดคล้องหรอื สำธติ วัดควำมสำมำรถในกำร นำหลกั วชิ ำกำรไปเปรียบเทยี บ และสำธติ โดยมองในแง่มมุ อืน่ อีกแง่มมุ หน่ึง ซ่ึงต่ำงจำกแบบทน่ี ำ หลกั วิชำไปใช้ และแบบแก้ปัญหำ ๑.๒.๔ ข้อสอบวดั การวิเคราะห์ วดั ควำมสำมำรถในกำรแยกแยะสง่ิ ใหญ่ ๆ ออกเป็นส่วนย่อย ๆ ตำมหลักและกฎเกณฑ์ ส่วนย่อยแต่ละส่วนมีควำมสัมพนั ธ์กนั อยำ่ งไร ตอ้ ง ใช้เหตุและผลตำมควำมจรงิ ในกำรตอบปญั หำ โดยนำเอำพฤตกิ รรมกำรเรียนร้ทู ่ผี ำ่ นมำเปน็ องคป์ ระกอบช่วยในกำรพิจำรณำดว้ ย แบ่งเปน็ ๑) วิเครำะห์ควำมสำคัญ วดั ควำมสำมำรถในกำรค้นหำส่วนประกอบ เพื่อวเิ ครำะห์หำมูลเหตแุ ละผลลพั ธ์ ๒) วเิ ครำะหค์ วำมสมั พันธ์ วัดควำมสำมำรถในกำรคน้ หำควำมสำคัญ ย่อย ๆ ของเหตุกำรณต์ ่ำง ๆ มำเกี่ยวพนั กนั มีสิ่งใดทีท่ ำให้เกิดควำมเชอ่ื มโยง ๓) วเิ ครำะหห์ ลักกำร วัดควำมสำมำรถในกำรจบั ประเดน็ ในเรื่อง ตำ่ ง ๆ โดยยดึ หลกั กำรใดหลกั กำรหนึ่งเปน็ สอื่ เพอ่ื ทำให้เข้ำใจและเหน็ ภำพไดช้ ัดเจน ๑.๒.๕ ข้อสอบวัดการสงั เคราะห์ วัดควำมสำมำรถในกำรนำองคค์ วำมรูท้ มี่ ี อยูม่ ำปรบั ใหเ้ กิดสง่ิ ใหม่ ๆ เกดิ ขึน้ หรอื รวมองคค์ วำมรยู้ ่อย ๆ ทำให้เกิดกฎ วธิ กี ำร โครงสรำ้ ง และหน้ำทีใ่ หม่ ๆ ทแ่ี ตกตำ่ งไปจำกเดมิ กำรสังเครำะหเ์ ป็นควำมสำมำรถทีแ่ สดงให้เหน็ ควำมคดิ สรำ้ งสรรค์ของแตล่ ะบุคคล แบง่ เป็น ๑) สังเครำะห์ขอ้ ควำม วดั ควำมสำมำรถในกำรนำหลกั วิธีกำร และ ประสบกำรณ์ทสี่ ะสม ใช้ในกำรสรำ้ งบทควำม แตง่ คำประพนั ธ์ สรำ้ งงำนศลิ ป์ และงำนดนตรี แนวในกำรเขยี น ลกั ษณะแบบทดสอบควรเป็นแบบกำรเขียน ๒) สงั เครำะหแ์ ผนงำน วดั ควำมสำมำรถในกำรสร้ำงแผนงำน และ กำหนดและเขียนโครงกำรยอ่ ของแผนงำน ท้ังนีต้ ้องสอดคล้องกบั งำนที่ได้รบั มอบหมำยและทำให้ งำนบรรลุตำมวัตถปุ ระสงค์อยำ่ งมีประสทิ ธภิ ำพ เปน็ กำรวัดควำมสำมำรถในกำรคิดสรำ้ งสรรค์ ของผู้ตอบข้อคำถำม คูม่ อื ครสู ำหรับชุดกำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวิชำชพี ๒๓
๓) สงั เครำะห์ควำมสมั พนั ธ์ วดั ควำมสำมำรถในกำรนำหลักกำร ต่ำง ๆ มำเชอ่ื มโยงกัน เพือ่ ผสมผสำนใหเ้ ป็นเรอื่ งเดยี วกนั ทำให้เกดิ สิ่งใหม่ วิธกี ำรใหมท่ ี่แปลกไป จำกเดมิ ๑.๒.๖ ข้อสอบวดั การประเมินค่า เปน็ กำรวัดควำมสำมำรถขั้นสูงของกำร วดั ตำมระดบั พฤติกรรมกำรเรยี นรู้ เปน็ ควำมสำมำรถในกำรตัดสนิ ใจเกีย่ วกับคณุ ค่ำ โดยเทยี บกบั เกณฑท์ ก่ี ำหนด หรือมำตรฐำนทีม่ อี ย่แู ลว้ ควำมสำมำรถในกำรประเมนิ ค่ำตอ้ งมเี กณฑ์เปน็ ตัวกำกบั แบ่งลักษณะกำรวดั ตำมแหลง่ ท่มี ำของเกณฑ์ ดังนี้ ๑) เปรียบเทียบกับเกณฑ์ภำยใน วดั ควำมสำมำรถในกำรวินจิ ฉัย พจิ ำรณำควำมสมเหตุสมผลเปน็ ไปตำมเกณฑห์ รือสอดคลอ้ งตำมทีเ่ กณฑ์กำหนดไว้หรอื ไม่ ๒) เปรยี บเทยี บกบั เกณฑภ์ ำยนอก วดั ควำมสำมำรถในกำรวนิ จิ ฉัย และสรุป โดยนำเกณฑภ์ ำยนอกท่ีได้ยอมรบั วำ่ เป็นมำตรฐำนสำหรับเป็นตวั เปรียบเทียบ ๒. เคร่ืองมือประเมินความสามารถในการปฏบิ ัตงิ านและจิตพสิ ยั เปน็ กำรประเมินควำมสำมำรถของผูเ้ รียนใน ๓ ดำ้ น ดังนี้ ๒.๑ การประเมินบคุ ลกิ ภาพ ประกอบดว้ ยควำมสำมำรถในกำรปฏบิ ัติ “ทกั ษะ” และลกั ษณะทำงอำรมณ์ “เจตคต”ิ ๒.๒ การประเมินกระบวนการ เปน็ กำรประเมินควำมสำมำรถในกำรดำเนนิ งำน และกำรพฒั นำงำน ๒.๓ การประเมนิ ผลงาน เปน็ กำรประเมนิ ผลผลิตที่ได้จำกกำรปฏบิ ัตงิ ำน เชน่ ช้นิ งำน รำยงำนหรือผลสำเร็จทไ่ี ดจ้ ำกภำระงำน ๓. เคร่ืองมอื ประเมินพฤติกรรม กำรประเมนิ พฤติกรรมทั้ง ๓ ด้ำน สว่ นมำกจะเปน็ แบบประเมินในลกั ษณะตำ่ ง ๆ และเลอื กใช้ตำมลักษณะของกจิ กรรมกำรเรยี นกำรสอน ที่นิยมใช้มำก มีอยู่ ๒ แบบ คอื แบบท่ี ๑ แบบตรวจสอบรำยกำร (Checklist) แบบที่ ๒ แบบมำตรำสว่ นประมำณคำ่ (Rating scale) แบบประเมนิ ทัง้ ๒ แบบ ทีใ่ ช้ในกำรประเมินต้องมเี กณฑ์กำรใหค้ ะแนนทช่ี ัดเจน เพ่ือใช้พิจำรณำ คณุ ลกั ษณะหรือพฤตกิ รรมกำรกระทำในกำรตดั สนิ ควำมสำมำรถของผเู้ ขำ้ รับกำรประเมนิ ๓.๑ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) สำหรบั ตรวจสอบกำรปฏบิ ตั ิงำนหรือ กิจกรรมต่ำง ๆ ของสิง่ ทีต่ ้องประเมนิ ผูป้ ระเมนิ ใชใ้ นกำรสงั เกตเหตกุ ำรณ์ เรอ่ื งรำว พฤติกรรม ตำมรำยกำรท่ีกำหนด โดยกำหนดตัวเลอื กเพียง ๒ ตัวเลอื ก ข้อคำถำมของแบบตรวจสอบรำยกำร จะมีรำยละเอียดขององคป์ ระกอบ คณุ ลักษณะสำคัญของชน้ิ งำนหรือสมรรถนะงำน ฉะนั้นจะมี จำนวนขอ้ ของกำรประเมนิ หลำยข้อ ๒๔ คู่มือครสู ำหรับชดุ กำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี
๓.๒ แบบมาตราส่วนประมาณคา่ (Rating scale) ใชอ้ งคป์ ระกอบ คณุ ลักษณะ สำคัญของชน้ิ งำนหรือสมรรถนะงำนในกำรกำหนดคะแนน โดยใช้รำยละเอียดขององคป์ ระกอบ เปน็ เงื่อนไขของกำรประเมนิ ถำ้ ทำได้ครบทกุ เง่ือนไขจะได้คะแนนเต็ม และคะแนนจะลดลงอยำ่ ง ต่อเนอื่ ง (ลดลงครั้งละ ๑ คะแนนตอ่ ๑ เง่ือนไข) ตำมเง่ือนไขทกี่ ำหนด บทบำทของครผู สู้ อนและผเู้ รยี น ภำษำไทยนอกจำกเปน็ สญั ลกั ษณส์ ำคญั ทำงวฒั นธรรมของชำตแิ ล้ว ยังเปน็ เครอื่ งมอื ในกำรสื่อสำรและแสวงหำควำมรตู้ ลอดชวี ติ วัตถปุ ระสงค์ของกำรจัดกำรเรียนรูว้ ิชำภำษำไทย คอื เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนมีควำมรู้ ควำมเข้ำใจและมที กั ษะในกำรฟังและดู พูด อ่ำน เขียนภำษำไทยไดอ้ ยำ่ ง ถูกตอ้ งตำมหลักภำษำ สำมำรถนำไปใช้เพอ่ื กำรส่ือสำรและกำรศกึ ษำเรียนรู้ในชวี ิตประจำวนั และ งำนอำชพี นอกจำกนี้ยังเปน็ กำรปลูกฝงั ใหผ้ ูเ้ รยี นมที ศั นคตทิ ีด่ ตี อ่ ภำษำไทยและตระหนักถึง คณุ ค่ำของกำรใชภ้ ำษำไทยให้ถูกต้อง ดังนัน้ กำรจดั กำรเรยี นกำรสอนวชิ ำภำษำไทย ครผู สู้ อน จะตอ้ งเน้นให้ผู้เรียนไดฝ้ กึ ปฏิบตั จิ ริงดว้ ยตนเองผำ่ นกิจกรรมกำรเรยี นรทู้ ี่หลำกหลำย เน้นผู้เรียน เปน็ สำคัญ และตอ้ งให้ควำมสำคัญกบั กำรพฒั นำผู้เรียนเปน็ รำยบุคคลด้วย ในกำรจดั กำรเรียน กำรสอนให้เป็นไปอยำ่ งมีประสทิ ธิภำพและเกดิ ประสทิ ธผิ ล ครผู ู้สอนและผ้เู รียนจะตอ้ งเข้ำใจ ในบทบำทหนำ้ ทขี่ องตนเอง ดังนี้ บทบาทของครูผสู้ อน กำรท่ีจะทำให้กำรเรียนกำรสอนภำษำไทยบรรลวุ ตั ถุประสงค์ ครูผู้สอนต้องมีบทบำท ดงั นี้ ๑. เข้ำใจมโนทัศน์ (Concept) ของรำยวชิ ำ น่ันคอื กำรเขำ้ ใจวตั ถปุ ระสงคข์ องรำยวชิ ำ ทีต่ ้องกำรพัฒนำควำมรู้ ทกั ษะ คำ่ นยิ มและคณุ ลักษณะ อนั เกิดจำกกำรจดั กำรเรยี นกำรสอน ท่ีเน้นกำรฝกึ ปฏบิ ตั ิ ๒. วำงแผนกำรสอนทพ่ี ฒั นำอยำ่ งตอ่ เน่อื ง โดยใชก้ ระบวนกำรคดิ กระบวนกำรสบื คน้ กระบวนกำรแก้ปัญหำ รวมทง้ั กระบวนกำรพฒั นำคำ่ นยิ ม เพื่อใหเ้ กดิ กำรเรียนรแู้ ละนำไปสู่ คณุ ลักษณะอันพึงประสงคข์ องผ้เู รยี น ซ่ึงกำรวำงแผนกำรจดั กำรเรยี นรคู้ วรเปดิ โอกำสให้ผ้เู รยี น ได้ทำกิจกรรม ดังน้ี ๒.๑ ตง้ั คำถำมดว้ ยตนเองเพื่อกำรสบื ค้น ๒.๒ มีส่วนรว่ มในกจิ กรรมทหี่ ลำกหลำยในกำรสบื ค้นข้อมลู ๒.๓ ฝกึ กำรวเิ ครำะห์โดยใช้ข้อมลู จรงิ หรือในสภำพจรงิ คูม่ ือครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี ๒๕
๓. เนน้ ควำมเชอ่ื มโยงหรอื ควำมเกย่ี วขอ้ ง กำรลงมือทำหรอื ปฏบิ ตั ิอยำ่ งตอ่ เน่อื ง และ กำรเรยี นรอู้ ย่ำงกระตอื รือร้น โดยกำรเน้นควำมเชือ่ มโยงหรอื ควำมเก่ยี วขอ้ ง คือ กำรใช้ประเดน็ จรงิ ทีเ่ ป็นปจั จบุ นั ซึง่ เกย่ี วขอ้ งกบั ควำมคิดของคนวำ่ จะถูกหรือผิด ดหี รือไมด่ ี มคี ณุ ค่ำหรอื ไม่มี คุณคำ่ เพอื่ กำรเรยี นรขู้ องผเู้ รียนจะเช่ือมโยงกบั ประสบกำรณ์จริง แตใ่ นกรณใี ช้ประเด็นจรงิ ผ้สู อนควรใชว้ จิ ำรณญำณเพรำะบำงประเดน็ อำจมคี วำมอ่อนไหวตอ่ สงั คม รวมท้งั ควรคำนงึ ถงึ วยั และวฒุ ภิ ำวะของผ้เู รยี นดว้ ย ๔. มกี ลยทุ ธ์สำคญั ท่จี ะทำใหผ้ ้เู รียนในบริบทของสังคมไทยเรียนรู้อย่ำงมีประสิทธิภำพ กลำ่ วคอื ต้องจดั บรรยำกำศของห้องเรียนท่สี นับสนนุ และสง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนเกดิ กำรเรียนร้อู ย่ำง เสรใี นด้ำนกำรแสดงควำมคิดเหน็ โดยไม่มีบรรยำกำศของกำรใชอ้ ำนำจ หรอื ทำให้ผ้เู รียนเกิด ควำมไมส่ บำยใจ เชน่ ๔.๑ จัดกำรทำงำนเปน็ กล่มุ เล็ก เพอื่ ใหผ้ เู้ รยี นมีโอกำสแสดงควำมคดิ เห็นได้ท่ัวถงึ ๔.๒ เปดิ โอกำสให้ผู้เรยี นมสี ่วนกำหนดกตกิ ำในกำรทำงำน คุณภำพของงำน ประเดน็ กำรอภิปรำยหรือประเดน็ ทจ่ี ะศึกษำ ตลอดจนกำรจดั กิจกรรมทีเ่ ก่ยี วข้อง เพอ่ื ใหผ้ เู้ รยี น เกดิ ควำมรู้สึกวำ่ กำรเรยี นหรือกำรทำงำนนั้นมีควำมหมำยและมคี ุณคำ่ จะไดท้ ำงำนอยำ่ งต่อเนอื่ ง และตง้ั ใจ ๔.๓ เปดิ โอกำสใหผ้ ูเ้ รยี นทกุ คนแสดงควำมคิดเห็น และควรมีกำรสรปุ ควำมคิดเห็น ของทุกคนด้วย ๔.๔ สรำ้ งควำมรู้สกึ วำ่ กำรประสบควำมสำเรจ็ ทน่ี ำ่ ภำคภูมใิ จ คอื กำรเรียนรู้หรือ กำรทำงำนโดยผ่ำนกระบวนกำรต่ำง ๆ ๔.๕ คำนงึ ถงึ กำรเรียนร้หู ลำย ๆ รูปแบบ (Learning Style) ของผเู้ รยี น กำรจดั กจิ กรรมจึงควรมหี ลำกหลำย เชน่ กำรสำธติ กำรตอบคำถำม กำรอภิปรำย กำรคน้ คว้ำวิจยั กำร ทำโครงกำร กำรสำรวจ กำรแกป้ ญั หำ กำรใช้เกม กำรแสดงบทบำทสมมติ กำรใช้สถำนกำรณ์ จำลอง กำรใช้กรณศี ึกษำ โดยมกี ำรทำงำนกลุม่ เลก็ และรำยบคุ คล ๔.๖ กรณกี ำรเรียนรู้ที่เปน็ กระบวนกำร ครผู ู้สอนควรจดั ให้ครบข้นั ตอนอยำ่ ง ตอ่ เน่อื ง แตอ่ ำจนำบำงข้นั ตอนมำจัดกจิ กรรมแยกได้ เชน่ กิจกรรมกำรวเิ ครำะห์ ซึง่ เป็นกิจกรรม ทอ่ี ยใู่ นขั้นตอนของกระบวนกำรเรียนกำรสอนหลำยรปู แบบ สำมำรถนำมำจัดเป็นกิจกรรมแยก ออกมำได้ตำมควำมเหมำะสม เพ่ือฝกึ ควำมสำมำรถในกำรวเิ ครำะห์หรอื กำรจดั กำรกับขอ้ มลู ตำ่ ง ๆ แก่ผเู้ รยี น ๔.๗ ครูผู้สอนตอ้ งมีกำรวัดและประเมนิ ผลกำรเรียนรตู้ ำมสภำพจรงิ ของผูเ้ รยี น อยำ่ งต่อเนอ่ื งและรอบด้ำน ท้งั น้ี กำรวัดและประเมินผลต้องมกี ำรประเมินภำระงำนที่เกย่ี วกบั กิจกรรมให้ผ้เู รียนปฏบิ ัติ กำรสรำ้ งลักษณะนิสยั รวมทัง้ กระบวนกำรทำงำนและคุณภำพงำน ด้วยวิธกี ำรและเคร่ืองมือวดั และประเมินผลที่หลำกหลำย ๒๖ คู่มือครูสำหรับชุดกำรเรยี น วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี
บทบาทของผ้เู รยี น ๑. ผเู้ รยี นควรทำงำนเปน็ กล่มุ รว่ มกันกบั เพื่อน รวมทง้ั บคุ คลอื่นในชุมชนตำมโอกำส และวฒุ ภิ ำวะของผู้เรียน ๒. ผู้เรยี นควรนำเสนองำนหรือผลงำนดว้ ยวธิ กี ำรท่หี ลำกหลำย เชน่ จัดอภปิ รำย ทำปำ้ ยนเิ ทศ จดั นทิ รรศกำร แสดงบทบำทสมมติ จัดทำ Video Clip เป็นตน้ ๓. ผเู้ รยี นต้องลงมือปฏิบตั ดิ ว้ ยตนเองอยำ่ งต่อเนือ่ ง เพรำะกำรเรียนจำกประสบกำรณ์ จริง ถอื ว่ำเปน็ หลกั กำรสำคัญของกำรเรยี นรู้ ดังน้ันกำรลงมือปฏิบตั อิ ยำ่ งตอ่ เนอ่ื งกับประเด็นจรงิ หรือเหตกุ ำรณจ์ รงิ ท้ังในระดบั ครอบครวั หอ้ งเรยี น วิทยำลยั หรอื ชุมชน จงึ เปน็ สงิ่ สำคัญ ๔. ผู้เรียนควรเรยี นอยำ่ งกระตอื รอื ร้นในกำรทำกิจกรรมต่ำง ๆ ท้ังนี้ กำรเรยี นรโู้ ดย กำรอภปิ รำยเป็นวิธที ส่ี ำคัญวธิ ีหนงึ่ เพรำะกำรอภิปรำยเป็นกำรฝึกทกั ษะกำรคดิ กำรพดู แสดง ควำมคดิ เห็น กำรยอมรับควำมคิดเหน็ ของผอู้ นื่ อนั เปน็ กำรส่งเสริมทกั ษะของควำมเป็นพลเมอื ง ในกำรแสดงออกซ่ึงสิทธิและเสรภี ำพเกี่ยวกับกำรแสดงควำมคดิ เหน็ ในกำรนำค่มู อื ครูวิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ไปใช้ ครผู ู้สอนจะตอ้ งดำเนนิ กำรดงั น้ี ๑. วเิ ครำะห์รำยละเอียดของรำยวชิ ำ ได้แก่ จดุ ประสงคร์ ำยวชิ ำ สมรรถนะรำยวิชำ คำอธบิ ำยรำยวิชำ เวลำที่กำหนดในกำรจดั กำรเรียนรู้ ๒. ศึกษำกำรแบ่งหนว่ ยกำรเรยี นรู้ รำยกำรสอน จุดประสงคก์ ำรเรยี นรเู้ ชงิ พฤตกิ รรม และเวลำท่ีใชใ้ นกำรจัดกำรเรียนรู้ของแต่ละหน่วย ๓. พจิ ำรณำแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้ที่เสนอแนะไว้ ได้แก่ ๓.๑ วิธกี ำรจดั กำรเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ เทคนคิ วิธกี ำรสอนทีเ่ นน้ ผเู้ รยี นเปน็ สำคญั ๓.๒ สือ่ และแหลง่ กำรเรยี นรู้ ได้แก่ เอกสำร/หนังสือ/ตำรำ ใบชว่ ยสอน สื่อโสตทศั น์ ส่ืออิเล็กทรอนกิ ส์ และแหล่งกำรเรียนรู้ เช่น เว็บไซต์ สถำนที่ บคุ คล ฯลฯ ๓.๓ หลักฐำนกำรเรยี นรู้ ได้แก่ หลกั ฐำนควำมรู้ และหลกั ฐำนกำรปฏิบตั ิงำน ๓.๔ กำรวัดและประเมนิ ผล ไดแ้ ก่ เคร่อื งมอื และวธิ ีกำรทีใ่ ช้ ๔. ออกแบบกำรจัดกำรเรียนรู้และเขียนแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ ๕. จัดทำใบชว่ ยสอนของแตล่ ะหนว่ ยกำรเรียนรู้ ได้แก่ ใบควำมรู้ ใบกจิ กรรม และ ใบมอบหมำยงำน ๖. จดั ทำเคร่อื งมือประเมนิ และเกณฑก์ ำรประเมิน ๗. จัดกิจกรรมกำรเรยี นรูแ้ ละวัดผลประเมนิ ผล ๘. บนั ทกึ หลงั กำรจดั กำรเรียนรู้ เพื่อสรุปผลกำรจัดกำรเรียนรสู้ ำหรบั กำรปรบั ปรงุ แก้ไขหรอื พัฒนำ คูม่ อื ครูสำหรับชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๒๗
แนวทางการจดั การเรยี นรู้ วชิ าทักษะภาษาไทยเชงิ วชิ าชพี ๒๘ คู่มือครสู ำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี
แนวทำงกำรจดั กำรเรยี นรู้ วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี คมู่ อื ครสู ำหรบั ชดุ กำรเรยี น วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี จำกรำยละเอยี ดรำยวชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชีพ ซึ่งได้แก่ จดุ ประสงค์รำยวชิ ำ สมรรถนะรำยวิชำและคำอธิบำยรำยวชิ ำ สำมำรถกำหนดรำยกำรสอนออกเปน็ หนว่ ยกำรเรียนรู้ รำยกำรสอนและเวลำทีใ่ ช้ รวมทั้งสมรรถนะและจุดประสงค์กำรเรยี นรูใ้ นแต่ละหนว่ ยกำรเรยี นรู้ ที่ครู ผู้สอนสำมำรถนำไปใชเ้ ปน็ แนวทำงในกำรจดั ทำแผนกำรจดั กำรเรียนรู้ จดั กจิ กรรมกำร เรียนรู้ ตลอดจนสำมำรถกำหนดผงั กำรออกขอ้ สอบเพ่อื กำรวดั และประเมนิ ผลกำรเรียนรูไ้ ด้ ครอบคลุม สอดคล้องกับรำยกำรสอน ดังกรอบแนวทำงกำรจัดกำรเรียนรู้และตวั อย่ำงแผนกำร จัดกำรเรยี นรู้ท่ีไดเ้ สนอแนะไว้ในคู่มอื ครฉู บับน้ี ขอ้ เสนอแนะแนวทำงกำรจดั กำรเรยี นรู้ แนวทำงกำรจดั กำรเรียนรู้และตวั อยำ่ งแผนกำรจัดกำรเรยี นรูเ้ สนอแนะในคู่มอื ครฉู บบั น้ี เป็นเพยี งกรอบแนวทำงสำหรบั ครูผ้สู อนนำไปพจิ ำรณำวำงแผนและออกแบบกำรจัดกำรเรียน กำรสอนใหส้ อดคล้องเหมำะสมกับบรบิ ททีเ่ กย่ี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ ควำมพรอ้ มของสถำนท่ี ควำมพร้อม ของสอื่ โสตทัศนปู กรณ์ วสั ดุอปุ กรณแ์ ละแหล่งควำมรปู้ ระกอบกำรเรียน กำรสอน ควำมพรอ้ ม หรือศกั ยภำพของผู้เรยี น จำนวนผู้เรยี นต่อหอ้ งเรียน รวมทัง้ ควำมพร้อมของครูผสู้ อนเองด้วย ซง่ึ มีประเดน็ สำคญั ทข่ี อเสนอแนะ ดงั นี้ ๑. กำรกำหนดเนือ้ หำสำระในแต่ละหน่วยกำรเรยี นรู้ ครผู ูส้ อนอำจปรบั แก้ไข เพิ่มเตมิ หรอื บูรณำกำรหัวขอ้ หรือรำยกำรสอนไดต้ ำมควำมเหมำะสม แตต่ ้องครอบคลุมตำมคำอธิบำย รำยวชิ ำ โดยครูผ้สู อนอำจใช้หนังสือเรยี นสำเร็จรูปเปน็ สือ่ ชว่ ยสอนประเภทใบควำมรู้ และหรือ ศึกษำคน้ ควำ้ เพิ่มเติมแล้วเรียบเรียงขึน้ ใหม่เป็นใบควำมรู้ รวมทงั้ จัดทำเปน็ ชุดสือ่ นำเสนอ ประกอบกำรบรรยำยตำมควำมเหมำะสม เช่น PowerPoint, Infographic เปน็ ตน้ ๒. กำรเขยี นจดุ ประสงค์กำรเรียนรู้ในแตล่ ะหน่วยกำรเรยี นรู้ ครูผ้สู อนสำมำรถรวม รำยกำรจดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ทต่ี ้องกำรวดั พฤติกรรมกำรเรยี นรู้ทีเ่ หมอื นกันไดต้ ำมควำม เหมำะสม คู่มือครสู ำหรบั ชุดกำรเรยี นรู้ วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชีพ ๓๐
ตัวอย่ำง - บอกควำมหมำยของกำรสอ่ื สำรได้ - บอกควำมสำคัญของกำรส่ือสำรได้ สำมำรถเขียนรวมเป็น - บอกควำมหมำยและควำมสำคญั ของกำรส่ือสำรได้ ตัวอยำ่ ง - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบันชำติ ศำสนำและพระมหำกษตั ริย์ได้ - อธบิ ำยควำมสำคญั ของสถำบนั ครอบครวั ได้ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบนั กำรศึกษำได้ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบนั เศรษฐกจิ ได้ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบันกำรเมอื งกำรปกครองได้ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบนั สือ่ สำรมวลชนได้ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบันนันทนำกำรได้ - สำมำรถเขียนรวมเปน็ - อธบิ ำยควำมสำคัญของสถำบนั ทำงสงั คมแต่ละประเภทได้ ๓. กำรกำหนดจดุ ประสงค์กำรเรียนรดู้ ำ้ นจติ พิสัย ครผู สู้ อนสำมำรถเพิ่มเตมิ กำร ประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรมและคุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ไดต้ ำมบรบิ ทหรอื จดุ เนน้ ของ สถำนศกึ ษำ ๔. กำรแบ่งกล่มุ ผูเ้ รยี น ครผู สู้ อนสำมำรถปรบั จำนวนกลมุ่ และจำนวนผเู้ รียนต่อกล่มุ ไดโ้ ดยยืดหยนุ่ ตำมจำนวนผ้เู รียนและลกั ษณะของกจิ กรรม ทงั้ น้ี โดยยดึ หลักวำ่ ผูเ้ รยี นทกุ คนตอ้ งมี ส่วนร่วมในกำรทำงำนกลมุ่ และต้องได้รับควำมรคู้ วำมเข้ำใจและหรือทกั ษะจำกกำรทำกจิ กรรม นน้ั ๆ อยำ่ งครบถ้วนและเปน็ ไปตำมจดุ ประสงคก์ ำรเรยี นร้ทู กี่ ำหนดไว้ ๕. กำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ ครูผู้สอนสำมำรถปรบั ลดหรือเพ่มิ จำนวนกจิ กรรมได้ เพ่อื ให้เหมำะสมกบั จำนวนกลุ่มผู้เรียนและเวลำในกำรจดั กำรเรียนรู้ โดยเลือกกจิ กรรมทีส่ ำมำรถ ทำให้เกดิ กำรเรยี นรตู้ ำมเนอ้ื หำและจดุ ประสงคเ์ ปน็ หลกั กจิ กรรมทยี่ ำกซงึ่ ครผู สู้ อนจะต้องให้ ควำมรูใ้ ห้คำแนะนำเพ่มิ เตมิ ควรจดั ในชัน้ เรียน กิจกรรมท่ีตอ้ งมีกำรแลกเปลี่ยนเรยี นรูร้ ะหว่ำง ผู้เรยี นกบั ผู้เรยี น หรอื ผู้เรยี นกับครผู ู้สอนควรจดั ในชนั้ เรียน สว่ นกิจกรรมรองหรือกจิ กรรมเสริม เพอื่ เพมิ่ ควำมรหู้ รือพฒั นำทกั ษะเปน็ รำยบคุ คลอำจจดั เปน็ งำนมอบหมำยนอกช้ันเรยี น คูม่ อื ครสู ำหรับชุดกำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๓๑
ขอบขำ่ ยเนอ้ื หำสำระ ขอบข่ำยเนื้อหำสำระของรำยวชิ ำ ๓๐๐๐๐-๑๑๐๑ ทกั ษะภาษาไทยเชงิ วชิ าชีพ ๓-๐-๓ ในกลมุ่ วชิ ำภำษำไทย หมวดวิชำสมรรถนะแกนกลำง กล่มุ ทักษะภำษำและกำรสอ่ื สำร หลกั สูตรประกำศนยี บัตรวชิ ำชพี ช้นั สงู พุทธศกั รำช ๒๕๖๒ มดี ังน้ี ๓๐๐๐๐-๑๑๐๑ ทกั ษะภาษาไทยเชงิ วชิ าชพี ๓-๐-๓ (Occupational Thai Language Skills) จุดประสงค์รายวชิ า เพ่ือให้ ๑. เขำ้ ใจหลกั กำรใช้ภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี ๒. สำมำรถวเิ ครำะห์ สงั เครำะห์ ประเมนิ ค่ำสำรและใช้ภำษำไทยเป็นเครอ่ื งมือส่อื สำร ในวชิ ำชพี ตำมหลักภำษำ เหมำะสมกบั กำลเทศะ บคุ คลและสถำนกำรณ์ ๓. เห็นคุณคำ่ และควำมสำคัญของกำรใช้ภำษำไทยในวชิ ำชีพอย่ำงมจี รรยำบรรณ สมรรถนะรายวิชา ๑. แสดงควำมรู้เก่ียวกับหลักกำรฟงั กำรดู กำรพดู กำรอำ่ น กำรเขียน กำรวเิ ครำะห์ กำรสงั เครำะห์และกำรประเมินคำ่ สำรภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี อยำ่ งมีจรรยำบรรณ ๒. วเิ ครำะห์ สังเครำะหแ์ ละประเมินค่ำสำรทไ่ี ด้จำกกำรฟงั กำรดูและกำรอำ่ นสอ่ื ประเภท ต่ำง ๆ ๓. พดู นำเสนอขอ้ มลู เพือ่ สื่อสำรในงำนอำชีพและในโอกำสตำ่ ง ๆ ตำมหลกั ภำษำ กำลเทศะ บุคคลและสถำนกำรณ์ ๔. เขียนเพ่อื ติดต่อกจิ ธุระ บันทกึ ขอ้ มูลและรำยงำนกำรปฏิบตั ิงำนเชิงวชิ ำชีพตำมหลกั กำรใช้ภำษำไทย คาอธบิ ายรายวิชา ศกึ ษำและปฏบิ ตั เิ ก่ียวกับหลกั กำรฟัง กำรดู กำรพดู กำรอ่ำนและกำรเขียนภำษำไทย กำรคิดวเิ ครำะห์ สงั เครำะห์และประเมนิ คำ่ สำรในงำนอำชีพจำกสอื่ ประเภทตำ่ ง ๆ กำรพูดนำเสนอ ขอ้ มูลเพ่อื สอ่ื สำรในงำนอำชีพและในโอกำสตำ่ ง ๆ กำรเขียนเพ่อื กจิ ธรุ ะ กำรจดบันทกึ ขอ้ มลู และ เขยี นรำยงำนกำรปฏิบตั ิงำนเชิงวิชำชพี และจรรยำบรรณในกำรใชภ้ ำษำไทยเชงิ วิชำชีพ คู่มอื ครูสำหรบั ชุดกำรเรยี นรู้ วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชีพ ๓๒
กำรจัดกำรเรยี นกำรสอนรำยวชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี กำหนดให้ใชเ้ วลำเรียน ๓ ชว่ั โมงตอ่ สปั ดำห์ รวมเวลำเรยี นและกำรประเมินผลสมั ฤทธก์ิ ำรเรยี นตลอดภำคเรยี น ๑๘ สปั ดำห์ จำนวน ๕๔ ชว่ั โมง ซงึ่ จำกคำอธิบำยรำยวชิ ำดงั กลำ่ ว สำมำรถแบ่งเป็น ๗ หน่วย กำรเรียนรู้ เพ่อื จัดกำรเรยี นกำรสอนสำหรับ ๑๘ สปั ดำห์ ดงั นี้ หนว่ ยท่ี ๑ กำรใช้ภำษำไทยในกำรส่ือสำรอยำ่ งมีประสทิ ธิภำพ หนว่ ยท่ี ๒ กำรวเิ ครำะห์สำรจำกกำรฟัง กำรดูและกำรอ่ำน หน่วยท่ี ๓ กำรพดู ในงำนอำชพี หน่วยที่ ๔ กำรพดู ในโอกำสตำ่ ง ๆ ของสังคม หน่วยท่ี ๕ กำรเขยี นเพอ่ื กิจธรุ ะ หนว่ ยที่ ๖ กำรเขียนในงำนอำชพี หน่วยที่ ๗ กำรเขยี นรำยงำนกำรปฏิบตั งิ ำนเชงิ วชิ ำชีพ หน่วยการเรยี นรู้ ๓๐๐๐๐-๑๑๐๑ ทักษะภาษาไทยเชงิ วิชาชีพ ๓-๐-๓ หนว่ ยท่ี ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ เวลา (ชวั่ โมง) ๙ ๑ กำรใชภ้ ำษำไทยในกำรสอื่ สำรอยำ่ งมปี ระสทิ ธิภำพ ๙ ๙ ๒ กำรวิเครำะห์สำรจำกกำรฟัง กำรดู กำรอำ่ น ๖ ๖ ๓ กำรพูดในงำนอำชพี ๖ ๙ ๔ กำรพูดในโอกำสตำ่ ง ๆ ของสงั คม ๕ กำรเขียนเพ่อื ติดตอ่ กจิ ธรุ ะ ๖ กำรเขียนในงำนอำชพี ๗ กำรเขยี นรำยงำนกำรปฏบิ ตั ิงำนเชิงวิชำชพี รวมตลอดภาคเรยี น ๕๔ คูม่ ือครูสำหรับชดุ กำรเรียน วิชำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วิชำชพี ๓๓
แนวทางจดั การเรยี นรูร้ ายหน่วย หนว่ ยการเรยี นรแู้ ละรายการสอน สมรรถนะประจาหนว่ ย เวลา และจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) หนว่ ยที่ ๑ การใชภ้ าษาไทยในการ ส่ือสารอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ๙ ๑. การใช้คาในการสือ่ สารใหเ้ กิด สมรรถนะประจาหนว่ ย ประสทิ ธภิ าพ ๑. แสดงความรเู้ ก่ยี วกับความหมาย ๑.๑ คาในภาษาไทย ของคา เรียบเรียงประโยค โดยใช้ ๑.๒ ประโยคในภาษาไทย ถอ้ ยคา สานวนโวหารในการ ๑.๓ การใช้ถ้อยคาในการสื่อสาร สอ่ื สารตามหลักภาษา ๒. การใช้สานวนโวหารในการสอ่ื สาร ๒. สอ่ื สารตามหลกั การใช้ภาษา ให้เกดิ ประสิทธภิ าพ ๒.๑ สานวนไทย จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๒.๒ โวหาร ๑. จุดประสงค์ทว่ั ไป ๒.๓ การเรยี บเรียงถอ้ ยคา ๑.๑ มีความรคู้ วามเขา้ ใจเร่ือง การใช้คา ประโยค สานวน โวหารเพ่อื การส่ือสาร ๑.๒ สามารถใชถ้ อ้ ยคา สานวน โวหารในการสื่อสารไดอ้ ยา่ ง มปี ระสิทธภิ าพ ๑.๓ มมี ารยาทและคณุ ธรรม ในการส่อื สาร ๒. จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ๑.๑ อธบิ ายความหมายของคาได้ ๑.๒ ใช้คาได้ถกู ตอ้ งตรง ความหมาย ๑.๓ เรียบเรยี งประโยคได้ถกู ต้อง ตามเจตนาของการสื่อสาร ๑.๔ ใชส้ านวนไทยได้ถกู ต้องตาม สถานการณ์ ๑.๕ สามารถใชโ้ วหารไดถ้ กู ตอ้ ง ตามจุดประสงคข์ องการ ส่ือสาร คมู่ ือครูสำหรบั ชดุ กำรเรียน วชิ ำทกั ษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชพี 33
หน่วยการเรยี นรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา หน่วยที่ ๑ (ตอ่ ) และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (ช่วั โมง) ๙ ๑.๖ เรียบเรยี งถ้อยคาเพื่อสอ่ื สาร ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ๑.๗ แสดงมารยาทและคุณธรรม ในการสอ่ื สารได้เหมาะสมแก่ บุคคลและโอกาส 34 คมู่ ือครสู าหรับชุดการเรยี น วิชาทกั ษะภาษาไทยเชงิ วิชาชีพ
หนว่ ยการเรยี นรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหนว่ ย เวลา และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (ช่ัวโมง) หนว่ ยที่ ๒ การวเิ คราะหส์ ารจาก การฟัง การดูและการอา่ น ๙ ๑. การวเิ คราะห์ สงั เคราะหแ์ ละประเมนิ สมรรถนะประจาหน่วย ค่าสารจากการฟงั และการดู ๑. แสดงความรู้เกี่ยวกบั หลักการ ๑.๑ ลักษณะการสื่อสารท่มี ี วเิ คราะห์ สังเคราะห์และ ประสิทธิภาพ ประเมินคา่ สารจากการฟงั การดู ๑.๒ ความหมายของการวเิ คราะห์ และการอา่ นสารจากสื่อสงิ่ พมิ พ์ และการประเมินคา่ สาร และส่ืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ตามหลักการ ๑.๓ ประเภทของสาร ๒. วเิ คราะห์ สังเคราะหแ์ ละ ๑.๔ การวิเคราะหแ์ ละประเมนิ คา่ ประเมินค่าสารจากการฟงั การดู สารจากการฟัง และการอา่ นสารจากสอื่ สง่ิ พมิ พ์ ๑.๕ การวิเคราะหแ์ ละประเมินคา่ และส่อื อเิ ลก็ ทรอนิกสต์ าม สารจากการดู หลกั การ ๒. การวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ประเมนิ คา่ สารจากการอา่ น ๑. จุดประสงค์ทวั่ ไป ๑.๑ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับ การวเิ คราะห์สารจากการฟงั การดแู ละการอ่าน ๑.๒ มีทักษะการวิเคราะหส์ ารจาก การฟัง การดูและการอา่ น ๑.๓ มคี ณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม ตลอดจนคุณลักษณะพงึ ประสงค์ ๒. จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ๑.๑ อธิบายความหมายของการ วิเคราะห์และการประเมนิ ค่า สารได้ถกู ต้อง ๑.๒ ระบุประเภทของสารไดถ้ ูกตอ้ ง ค่มู ือครูสำหรับชุดกำรเรยี น วิชำทักษะภำษำไทยเชงิ วชิ ำชีพ 35
หนว่ ยการเรยี นรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหนว่ ย เวลา หน่วยท่ี ๒ (ต่อ) และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (ชวั่ โมง) ๙ ๑.๓ วิเคราะห์และประเมินคา่ สาร จากการฟงั การดูและ การอ่านไดถ้ กู ตอ้ ง ๑.๔ วเิ คราะห์และประเมินคา่ สาร จากการฟัง การดแู ละ การอา่ นได้ถูกตอ้ ง ๑.๕ วเิ คราะหแ์ ละประเมินคา่ สาร โดยไมม่ ีอคติ 36 คูม่ ือครูสาหรับชุดการเรียน วชิ าทกั ษะภาษาไทยเชิงวชิ าชพี
หน่วยการเรียนรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (ชัว่ โมง) หนว่ ยท่ี ๓ การพูดในงานอาชีพ ๙ การพูดในงานอาชพี ๑. ความหมายของการพดู ในงาน สมรรถนะประจาหน่วย อาชพี ๑. แสดงความรูเ้ กี่ยวกบั หลกั การพดู ๒. ประเภทของการพดู ในงาน อาชีพ ในงานอาชีพ ๒.๑ การพูดโทรศพั ท์ ๒. พูดในงานอาชพี ตามสถานการณ์ ๒.๒ การพูดสัมภาษณ์ ๒.๓ การพูดสาธติ ท่ีกาหนด ๒.๔ การพูดนาเสนอ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ๑. จุดประสงคท์ ั่วไป ๑.๑ มคี วามรแู้ ละความเข้าใจ เกีย่ วกับการพูดในงาน อาชพี ๑.๒ มที กั ษะการพดู ในงานอาชพี ๑.๓ คานงึ ถึงกาลเทศะ บคุ คล และโอกาสในการพดู ในงาน อาชพี ๒. จุดประสงค์เชงิ พฤตกิ รรม ๒.๑ บอกความหมายของการพดู ในงานอาชีพได้ ๒.๒ จาแนกประเภทของการพูด ในงานอาชีพได้ ๒.๓ ใชข้ อ้ ความพูดโต้ตอบทาง โทรศัพท์ไดอ้ ยา่ งชัดเจน และมมี ารยาท ๒.๔ พูดสัมภาษณ์ หรือตอบ สมั ภาษณไ์ ด้อยา่ งชดั เจน และตรงประเดน็ ๒.๕ พูดสาธิตการปฏบิ ตั ิงานได้ ๒.๖ พดู นาเสนอผลงานได้อยา่ งมี ประสทิ ธิภาพ ค่มู อื ครสู ำหรบั ชุดกำรเรียน วชิ ำทักษะภำษำไทยเชิงวิชำชีพ 37
หน่วยการเรียนรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหนว่ ย เวลา และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (ช่วั โมง) หน่วยท่ี ๔ การพูดในโอกาสต่าง ๆ ของสงั คม ๖ การพดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ของสังคม สมรรถนะประจาหน่วย ๑. การกลา่ วแนะนา ๑. แสดงความรเู้ ก่ียวกบั หลกั การพดู ใน ๒. การพดู อวยพร ๓. การกล่าวตอ้ นรบั โอกาสต่าง ๆ ของสังคม ๔. การกล่าวอาลา อาลยั ๒. พดู ในโอกาสตา่ ง ๆ ตามสถานการณ์ ทก่ี าหนด จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. จุดประสงค์ทว่ั ไป ๑.๑ มคี วามรู้และความเข้าใจ เกย่ี วกบั การพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ของสังคม ๑.๒ มที ักษะการพูดในโอกาสตา่ ง ๆ ของสังคม ๑.๓ พูดในโอกาสต่าง ๆ ของสงั คม อยา่ งรู้จักกาลเทศะและบคุ คล ๒. จุดประสงค์เชงิ พฤติกรรม ๒.๑ พดู แนะนาตวั เอง และแนะนา ผู้อนื่ ให้รจู้ ักกันอย่างถกู ต้อง เหมาะสม ๒.๒ กล่าวขอ้ ความอวยพรให้ สอดคลอ้ งกับโอกาสตา่ ง ๆ ได้ ๒.๓ กลา่ วตอ้ นรบั สมาชกิ ใหมห่ รอื ผู้มาเยือนและสามารถกลา่ ว ตอบได้ ๒.๔ กลา่ วอาลาอาลยั ได้ถกู ต้อง ตามหลักการ 38 ค่มู อื ครูสาหรับชดุ การเรยี น วชิ าทกั ษะภาษาไทยเชิงวิชาชพี
หน่วยการเรยี นรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา หนว่ ยท่ี ๕ การเขียนเพ่ือติดต่อกจิ ธุระ และจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ (ชัว่ โมง) ๖ การเขียนเพอื่ ตดิ ตอ่ กจิ ธุระ สมรรถนะประจาหน่วย ๑. การเขยี นรายงานการประชมุ ๑. แสดงความรู้เก่ยี วกบั หลักการ ๒. การเขยี นรายงานการปฏบิ ตั ิงาน ๓. การเขียนบันทกึ ภายใน และวธิ กี ารเขียนเพือ่ ตดิ ตอ่ กจิ ธุระ หนว่ ยงาน ๒. เขยี นเพอ่ื ตดิ ต่อกิจธุระตาม ๔. การเขียนโครงการ หลกั การ เทคนคิ วธิ ีการและ มารยาททดี่ ี จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ ๑. จดุ ประสงคท์ วั่ ไป ๑.๑ มีความรู้และเขา้ ใจเกยี่ วกบั หลักการและวิธีการเขียน เพื่อติดต่อกจิ ธุระ ๑.๒ เขียนรายงานการประชมุ รายงานการปฏบิ ตั ิงาน เขยี นบันทึกภายในหน่วยงาน และเขยี นโครงการได้ ๑.๓ มคี วามซอื่ สตั ย์ในการเขยี น เพ่ือติดต่อกจิ ธุระ ๒. จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ๒.๑ อธบิ ายความหมายของ การเขียนเพอื่ ตดิ ตอ่ กจิ ธรุ ะได้ ๒.๒ จาแนกประเภทของการเขยี น เพ่อื ตดิ ต่อกิจธรุ ะได้ ๒.๓ อธบิ ายจดุ ม่งุ หมายของ การเขียนเพ่ือตดิ ต่อกิจธรุ ะได้ ๒.๔ อธิบายวิธกี ารเขียนเพอ่ื ตดิ ตอ่ กจิ ธรุ ะได้ ๒.๕ เขียนตดิ ต่อกจิ ธุระในโอกาส ต่าง ๆ ไดถ้ กู ตอ้ งตามรปู แบบ ค่มู ือครสู ำหรบั ชุดกำรเรยี น วชิ ำทักษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี 39
หน่วยการเรียนรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา และจดุ ประสงค์การเรียนรู้ (ชั่วโมง) หน่วยที่ ๖ การเขียนในงานอาชพี สมรรถนะประจาหน่วย ๖ การเขยี นในงานอาชีพ ๑. เขียนจดหมายธรุ กจิ แตล่ ะประเภท ๑. การเขยี นจดหมายธุรกิจ ๒. การเขยี นโฆษณา ตามรปู แบบท่กี าหนด ๓. การเขียนประชาสัมพนั ธ์ ๒. เขยี นโฆษณาในสื่อสง่ิ พิมพ์ ตามหลักการ ๓. เขยี นประชาสมั พันธ์ในรูปแบบ ต่าง ๆ ตามหลักการ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๑. จุดประสงคท์ ั่วไป ๑.๑ ให้ตระหนักถึงความสาคญั ของการสือ่ สารดว้ ยจดหมาย ๑.๒ ใหร้ ู้และเขา้ ใจรูปแบบและ ภาษาท่ใี ช้ในการเขียน จดหมายธุรกจิ ๑.๓ ใหร้ ู้ถงึ ความแตกต่างของ การโฆษณาและ การประชาสมั พนั ธ์ ๑.๔ ใหร้ ู้และเข้าใจรูปแบบ และภาษาทใี่ ช้ในการเขียน โฆษณาในส่อื สง่ิ พมิ พ์ ๑.๕ ใหร้ ู้และเขา้ ใจรปู แบบ และภาษาที่ใช้ในการเขียน ประชาสัมพนั ธ์ในรปู แบบ ตา่ ง ๆ 40 คมู่ อื ครสู าหรับชดุ การเรยี น วิชาทักษะภาษาไทยเชงิ วิชาชพี
หนว่ ยการเรียนรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา หนว่ ยท่ี ๖ (ตอ่ ) และจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ (ช่วั โมง) ๒. จดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤตกิ รรม ๖ ๒.๑ เขยี นจดหมายธุรกิจได้ ถกู ตอ้ งตามรปู แบบและใช้ ภาษาได้เหมาะสม ๒.๒ เขยี นขอ้ ความโฆษณาในส่ือ สงิ่ พมิ พไ์ ด้ครบองคป์ ระกอบ ของโฆษณา ๒.๓ เขียนข้อความเพ่ือการ ประชาสัมพนั ธ์ในรปู แบบ ตา่ ง ๆ ได้ ค่มู ือครสู ำหรับชุดกำรเรียน วิชำทักษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชีพ 41
หน่วยการเรยี นรู้และรายการสอน สมรรถนะประจาหน่วย เวลา และจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ (ช่วั โมง) หนว่ ยที่ ๗ การเขยี นรายงานการ ปฏิบตั ิงานเชงิ วิชาชพี สมรรถนะประจาหน่วย ๙ ๑. แสดงความรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกับ รายงานการวจิ ยั ๑. ความหมายของการเขยี น การเขียนรายงานการวจิ ัย รายงานการวิจยั ๒. เขียนรายงานการวจิ ยั ตามรปู แบบ ๒. ความสาคญั ของการเขยี น รายงานการวจิ ัย จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๓. ประโยชนข์ องการวิจัย ๑. จุดประสงคท์ ว่ั ไป ๔. ประเภทของรายงานการวจิ ยั ๕. หลกั การเขียนรายงานการวิจยั ๑.๑ มีความรู้ และเขา้ ใจ ๖. เทคนคิ การเขียนรายงาน กระบวนการเขียนรายงาน การวิจยั การวจิ ัย ๗. ขน้ั ตอนการเขยี นรายงาน การวจิ ัย ๑.๒ มีทกั ษะในการเขียนรายงาน ๘. สว่ นประกอบของรายงาน การวิจัยตามรูปแบบ การวจิ ยั ๙. การจดั รูปแบบการพมิ พ์ ๒. จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม รายงานการวิจัย ๒.๑ อธบิ ายความหมายของ รายงานการวิจยั ได้ ๒.๒ บอกความสาคญั ของรายงาน การวิจัยได้ ๒.๓ ระบปุ ระโยชนข์ องการวิจัยได้ ๒.๔ จาแนกประเภทของรายงาน การวิจยั ได้ ๒.๕ อธิบายหลักการเขียนรายงาน การวิจัยได้ ๒.๖ บอกเทคนคิ การเขียนรายงาน การวจิ ัยได้ ๒.๗ อธบิ ายข้นั ตอนการเขียน รายงานการวิจยั ได้ ๒.๘ เขียนส่วนประกอบตา่ ง ๆ ของรายงานการวจิ ยั ได้ 42 คมู่ อื ครสู าหรบั ชุดการเรียน วชิ าทักษะภาษาไทยเชงิ วิชาชีพ
แผนจัดการเรยี นรู้เสนอแนะ วิชาทกั ษะภาษาไทยเชิงวชิ าชพี ค่มู ือครผู สู้ อนสำหรบั ชดุ กำรเรียนรู้แบบ Active Learning วิชำทักษะภำษำไทยเชิงวชิ ำชพี ๑
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197