รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา สารจากผูอ้ านวยการ “การนาเทคโนโลยที ี่ทันสมัย ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโรค COVID-19 มาใช้ในการทางาน อยา่ งตอ่ เนอ่ื งตงั้ แต่ปีงบประมาณ 2563 ทุกคนตอ้ งปรับตัวหรือ ปรับรูปแบบการปฏิบัติงานเพื่อให้โครงการต่างๆที่ศูนย์ ถือเปน็ การทางานท่ีฉลาด ดาเนินการได้บรรลุเป้าหมาย เช่นการใช้วิธีประชุม หรืออบรม (WORKSMART)” ผ่านระบบออนไลน์ ด้วย Application ZOOM หรือในช่วงที่มี การห้ามเดินทางข้ามจังหวัด กลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก ประเมินห้องปฏิบัติการเครือข่ายตรวจ COVID-19 ผ่านวีดิโอ คอล หรอื การจดั KM day การจดั ประกวด DMSC R2R Forum 2021 ล้วนปรับรูปแบบผ่านระบบออนไลน์ทั้งสิ้น การท่ี บุคลากรมีความพร้อมและก้าวทันเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีการตรวจวิเคราะห์ เทคโนโลยีการส่ือสาร จะทาให้ เกิดการพัฒนางานของตัวเอง ของหน่วยงาน และของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ให้ก้าวหน้า ทันสมัย สร้าง นวัตกรรมที่ช่วยแก้ไขปัญหาด้านการสาธารณสุขและเศรษฐกิจ ของประเทศได้ ซึ่งการเสริมสร้างศักยภาพองค์กรในการ ยกระดับการบริหารจัดการโดยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมการ บริหารจัดการที่เหมาะสมและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศท่ี ทันสมัยเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (Strategy) ขอขอบคุณบุคลากรของศูนย์ฯทุกท่านที่ช่วยกัน ปฏิบัติงานอย่างมุ่งมั่นภายใต้สภาวะวิกฤติ สะท้อนเป็นผลการ ดาเนินการที่ดี เกิดประโยชน์ต่อประชาชน ตามวิสัยทัศน์ กระทรวงสาธารณสุข คือเป็นองค์กรหลักด้านสุขภาพ ที่รวม พลังสงั คม เพือ่ ประชาชนสขุ ภาพดี นางสาวธาริยา เสาวรัญ ผอู้ านวยการศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา สารจากผ้อู านวยการ รางวัลแหง่ ความภูมใิ จ................................................................................................................................................... 1-4 ผลงานเด่น การรองรบั สถานการณ์ COVID-19................................................................................................................................. 5-8 แนะนาองค์กร ประวตั คิ วามเป็นมา.......................................................................................................................................................... 10 หน้าทีแ่ ละความรบั ผดิ ชอบ, ทีต่ ง้ั /แผนท่.ี ......................................................................................................................... 11 วสิ ัยทศั น์, พันธกจิ , ค่านิยม, อตั ลกั ษณอ์ งค์กร................................................................................................................. 12 พ้ืนทค่ี วามรับผดิ ชอบ....................................................................................................................................................... 13 การรบั รองมาตรฐาน........................................................................................................................................................ 14 โครงสรา้ งการบริหาร....................................................................................................................................................... 15 อัตรากาลัง....................................................................................................................................................................... 15-16 งบประมาณรายจา่ ย......................................................................................................................................................... 17 สถานะเงนิ บารงุ ............................................................................................................................................................... 18 ผลการดาเนินงาน Agenda Based ⬧ โครงการพัฒนาห้องปฏิบตั ิการรงั สวี นิ จิ ฉยั เพอ่ื ธารงรักษาระบบคณุ ภาพห้องปฏบิ ัตกิ ารทางการแพทย์และรงั สวี นิ ิจฉัย โรงพยาบาลสมเด็จพระยพุ ราช โรงพยาบาลเฉลิมพระเกยี รติ โรงพยาบาลชัยพฒั น์และโรงพยาบาลเทพรัตนเวชชานกุ ูล ปงี บประมาณ 2564............................................................................................................................................................ 21-22 Functional Based ⬧ โครงการพัฒนาศนู ย์แจ้งเตอื นภัยฯ และ อสม.วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ชุมชน ปีงบประมาณ 2564............................. 24 ⬧ โครงการคณุ ภาพผลติ ภณั ฑ์สมุนไพรทผี่ ลติ โดยโรงพยาบาลในพนื้ ท่ี 4 จังหวดั ชายแดนใต้ ปงี บประมาณ 2564......... 25 ⬧ โครงการประกันคณุ ภาพยา ปีงบประมาณ 2564......................................................................................................... 26 ⬧ โครงการวจิ ยั และพฒั นาผลติ ภัณฑส์ ขุ ภาพจาก ดอกดาหลา และไพลดา ทีม่ ฤี ทธ์ิทางชวี ภาพเพ่อื สง่ เสรมิ สขุ ภาพ และป้องกนั โรคไมต่ ดิ ต่อเรอ้ื รงั และโรคในผสู้ ูงอายุ......................................................................................................... 27-28 ⬧ การศกึ ษาฤทธท์ิ างชวี ภาพของพชื กระทอ่ ม เพ่อื ผปู้ ว่ ยโรคไมต่ ิดต่อเร้อื รงั และผสู้ ูงอายุ................................................ 29-30 ⬧ โครงการพฒั นาเครือข่ายห้องปฏบิ ตั ิการทางการแพทย์และห้องปฏบิ ตั กิ ารรังสวี นิ ิจฉยั ................................................ 31-32 ⬧ โครงการจดั ทาคา่ ปรมิ าณรังสีอ้างองิ จากการถา่ ยภาพรังสวี ินิจฉยั ................................................................................ 33 ⬧ การจดั ทาอปุ กรณป์ ดิ คอลลเิ มเตอร(์ Collimator) สาหรับเครอ่ื งเอกซเรยเ์ ตา้ นม เพื่อวัดรงั สรี วั่ จากหลอดเอกซเรย์..... 34
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ⬧ โครงการบรู ณาการ “ขับขีป่ ลอดภยั มน่ั ใจไร้แอลกอฮอล์” สนบั สนนุ นโยบายลดอุบตั เิ หตุทางถนน............................. 35 ⬧ โครงการบรู ณาการคณุ ภาพผลติ ภณั ฑ์แอลกอฮอลเ์ พอ่ื สุขอนามยั สาหรับมอื (Alcohol-Based Hand Rub) ท่ี ผลติ และวางจาหนา่ ยในประเทศไทย ประจาปีงบประมาณ 2564 เขตสุขภาพท่ี 12................................................. 36-37 ⬧ โครงการพัฒนาระบบเฝ้าระวงั เชอ้ื ด้อื ยาต้านจุลชีพระดับชาตสิ ู่ระดับโลก : การพฒั นาเครอื ขา่ ยหอ้ งปฏบิ ัติการอ้างองิ ระดับภูมภิ าค ....................................................................................... 38 ⬧ การทดสอบความชานาญทางหอ้ งปฏิบัตกิ ารหนว่ ยบริการปฐมภูมิ การตรวจภาวะตง้ั ครรภ์ การตรวจโปรตีนและน้าตาลในปสั สาวะ .................................................................................................................. 39-40 Area Based ⬧ การพฒั นาห้องปฏิบตั ิการยาเพื่อขยายงาน และเพิ่มศกั ยภาพการตรวจวเิ คราะหด์ ว้ ยเทคนิคขัน้ สูง ในผลติ ภณั ฑ์ เสรมิ อาหาร ยา เครื่องสาอาง และกัญชาทางการแพทย์......................................................................................... 42-44 ⬧ คุณภาพและความปลอดภัยของผลติ ภณั ฑไ์ ขค่ รอบ จงั หวดั สงขลา........................................................................... 45 ⬧ โครงการประเมินการได้รบั สมั ผัสแอฟลาทอกซนิ ในวตั ถุดบิ ข้าวยาและกว๋ ยเตยี๋ วที่จาหนา่ ยในจงั หวดั สงขลา........... 46-47 ⬧ สถานการณ์การตกค้างสารเคมีป้องกนั กาจัดศัตรูพชื ในผกั และผลไมส้ ดโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย ในเขตสุขภาพที่ 12.................................................................................................................................................... 48-49 ⬧ คุณภาพและความปลอดภัยของผลิตภณั ฑม์ ะม่วงแชอ่ ม่ิ จังหวดั สงขลา.................................................................... 50-51 ⬧ โครงการพฒั นาศักยภาพหอ้ งปฏิบัติการตรวจวเิ คราะห์ปรมิ าณตะกว่ั ในเลือดดว้ ยเทคนิคGFAAS............................ 52 ผลงานบรกิ าร................................................................................................................................................................ 55-58 ผลงานประกนั คณุ ภาพห้องปฏิบัตกิ าร.................................................................................................................... 59-61 การเผยแพรผ่ ลงานวิชาการ ..................................................................................................................................... 62 ผลการปฏิบตั ิงานตามคารับรองการปฏิบตั ิราชการ ........................................................................................... 63-65 การพฒั นาองค์กร การพัฒนาองค์กรตามเกณฑ์การพฒั นาคณุ ภาพการบริหารจดั การภาครฐั (PMQA) .................................................... 67-70 การพัฒนาองคก์ รสอู่ งคก์ รคณุ ธรรมต้นแบบ .................................................................................................................. 75 การปรับปรุงระบบบรหิ ารคณุ ภาพ ตามมาตรฐานสากล ISO/IEC 17025:2017........................................................... 76 ระบบแจ้งเตอื นเอกสารคณุ ภาพ ด้วย LINE Notify....................................................................................................... 77 ภาพกจิ กรรม ............................................................................................................................................................... 78-96 คณะผ้จู ัดทา ................................................................................................................................................................. 97
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา รางวัลแห่งความภูมใิ จ หน้า 1
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา รางวัลแห่งความภมู ใิ จ หน้า 2
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา รางวลั แหง่ ความภมู ใิ จ หน้า 3
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา รางวัลแหง่ ความภมู ิใจ หน้า 4
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา ผลงานเด่น หน้า 5
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา การรองรบั สถานการณ์ COVID-19 กลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก สถานการณ์ระบาดของโรคปอดอักเสบจากเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 หรือ Covid-19 ในประเทศจีนและ กระจายไปทว่ั โลก องคก์ ารอนามยั โลกไดป้ ระกาศให้เปน็ โรคระบาดใหญ่ (Pandemic) เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2563 นน้ั ผู้ติดเชื้อทั่วโลกพบ จานวน 246,156,427 ราย และเสียชีวิต 4,993,797 ราย (ข้อมูลวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564) ใน ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อคร้ังแรกเป็นชาวจนี เมอ่ื วนั ท่ี 13 มกราคม 2563 และปจั จุบนั มีผ้ปู ว่ ยสะสม 1,920,189 ราย เสียชีวิตสะสม 19,260 ราย ซึ่งการระบาดของโรครวดเร็วเป็นวงกว้าง เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรนาสามารถแพร่ผ่าน droplet และ direct contact สามารถติดต่อจากคนส่คู นได้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์มีนโยบายเชิงรุกในการจดั การแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 และมอบ นโยบายให้ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์แต่ละแห่งดาเนินการในพื้นที่รับผิดชอบ ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ดาเนินการใน 5 สว่ น ดังนี้ 1. บริการตรวจวเิ คราะหโ์ รค COVID-19 โดยวิธี RT-PCR ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ได้ตรวจหาการติดเชื้อCOVID-19 ในเขต สุขภาพที่ 12 จานวน 58,827 ตัวอย่าง พบเชื้อ 9,133 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 15.53 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการติดเช้ือ แบบกลมุ่ กอ้ น ได้แก่ การตดิ เชอ้ื ในโรงเรียนสอนศาสนา ตลาด และการตดิ เช้ือในครอบครัว ตา่ งจากปี 2563 ซง่ึ ผู้ป่วย ติดเชื้อป่วยส่วนใหญ่เป็นผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ ดังนั้นการเพิ่มศักยภาพในการค้นหาผู้ป่วยในพื้นที่รวดเร็ว รกั ษาผู้ป่วยได้ทันเวลา สามารถควบคมุ โรคได้ก่อนแพร่ เชื้อสู่ชุมชน และตอบสนองต่อมาตรการเชิงรุกของ กระทรวงสาธารณสุขได้ 2. พัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการเครือข่าย ตรวจ COVID-19 ในพนื้ ที่ 4 จงั หวดั ชายแดนใต้ สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยศูนย์ฯ ให้คาแนะนาในเรื่องความเหมาะสมของพื้นที่ในการจัดต้ัง ห้องปฏิบัติการ ประเมินพื้นที่ปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ สนับสนุนน้ายา และวัสดุวิทยาศาสตร์ที่ จาเปน็ ในชว่ งแรกของการจัดตั้งห้องปฏบิ ัติการ เปน็ พเ่ี ล้ยี งใหค้ าแนะนาเพ่ือสร้างความมั่นใจ เน่ืองจากห้องปฏิบัติการ ในพื้นที่ส่วนใหญ่ยังไม่เคยปฏิบัติงานด้านอณูชีวโมเลกุล โดยห้องปฏิบัติการเครือข่ายต้องผ่านการประเมิน ความสามารถ และการตรวจสอบคุณภาพจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก่อนเปิด ใหบ้ ริการตรวจวินิจฉัยได้ ผลการดาเนินการพฒั นาศักยภาพเครอื ข่ายใน จังหวดั สงขลา ยะลา ปตั ตานี และนราธิวาส มีห้องปฏิบัติการที่สามารถเปิดบริการตรวจวินิจฉัย COVID-19 ด้วยวิธี มาตรฐาน (Real Time PCR) ได้ครบแล้ว ทั้ง 4 จังหวัด จานวน 24 แห่ง (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) สามารถรองรับการตรวจ COVID-19 วิธี RT-PCR ได้ถึงวันละ 10,970 ตัวอย่าง ดังแสดงในตาราง ซึ่งการมี เครอื ข่ายหอ้ งปฏิบัติการที่ครอบคลุมและเข้มแข็งเพม่ิ ศักยภาพในการค้นหา ผ้ปู ่วยในพ้นื ที่รวดเร็ว รกั ษาผู้ป่วยได้ทันเวลา ตอบสนองต่อมาตรการเชิงรุก ของกระทรวงสาธารณสุขได้ หน้า 6
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา ขอ้ มลู ศกั ยภาพของห้องปฏบิ ตั กิ ารตรวจวิเคราะห์ COVID-19 พื้นที่ 4 จงั หวดั ชายแดนใต้ สงขลา ยะลา ปตั ตานี และนราธวิ าส จงั หวัด ลาดับ หนว่ ยงาน/โรงพยาบาล ศักยภาพ จานวนตวั อยา่ ง/วัน สงขลา 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ 500 2 ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทยท์ ี่ 12 สงขลา 800 3 หน่วยกามโรคและโรคเอดส์ที่ 12.1 อาเภอหาดใหญ่ 400 4 โรงพยาบาลหาดใหญ่ 470 5 บรษิ ทั เนชัน่ แนล เฮลทแ์ คร์ ซสิ เตม็ ส์ คลนิ ิกเทคนิคการแพทย์ สาขาหาดใหญ่ 1,000 6 โรงพยาบาลสงขลา 500 7 พอี าร์ คลินิกเทคนคิ การแพทย์ 1,000 8 โรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ 350 9 โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชินนี าถ ณ อาเภอนาทวี 800 10 สานกั งานป้องกนั ควบคุมโรคที่ 12 สงขลา 400 11 คณะเทคนคิ การแพทย์ มหาวิทยาลยั สงขลานครินทร์ 94 12 โรงพยาบาลราษฎรย์ ินดี 200 ยะลา 13 โรงพยาบาลยะลา 1,000 14 โรงพยาบาลสโิ รรส ยะลา 564 15 โรงพยาบาลรามนั 500 16 โรงพยาบาลสมเดจ็ พระยพุ ราชยะหา 270 17 โรงพยาบาลเบตง 300 ปตั ตานี 18 โรงพยาบาลปตั ตานี 500 19 โรงพยาบาลสมเดจ็ พระยุพราชสายบุรี 120 20 โรงพยาบาลยะรัง 200 นราธิวาส 21 โรงพยาบาลนราธวิ าสราชนครินทร์ 250 22 โรงพยาบาลตากใบ 282 23 โรงพยาบาลสไุ หงโกลก 188 24 โรงพยาบาลระแงะ 282 รวม 10,970 หน้า 7
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา 3. การเฝา้ ระวังสายพนั ธ์ุ COVID-19 4 จังหวดั ชายแดนใต้ ศูนย์วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา ได้เฝ้าระวงั สายพันธุ์ COVID-19 พื้นที่รับผิดชอบ 4 จังหวัดภาคใต้ (สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) เพื่อตรวจจับการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์หรือกลายพันธุ์ของเชื้อ COVID-19 ท่ี ระบาดในพื้นที่ ผลการศึกษาข้อมูลการตรวจคัดแยกสายพันธุ์ผู้ป่วย COVID-19 ในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่วันท่ี 26 มิถุนายน ถึง 30 กันยายน 2564 จานวน 2,181 ตัวอย่าง ในภาพรวมพบสายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) มากที่สุด จานวน 1,342 ราย (ร้อยละ 61.53) รองลงมาคอื สายพันธเ์ุ บตา (แอฟรกิ าใต)้ จานวน 532 ราย (รอ้ ยละ 24.39) สาย พันธุ์เดลตา (อินเดีย) จานวน 274 ราย (ร้อยละ 12.56) และมีตัวอย่างตรวจที่ไม่ได้คุณภาพ 33 ตัวอย่าง (ร้อยละ 1.51) หากจาแนกข้อมูลเป็นรายจังหวัดพบว่า จังหวัดนราธิวาสพบสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) สูงถึงร้อยละ 52.27 สายพันธุ์อัลฟา (อังกฤษ) และสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ร้อยละ 39.39 และ 7.18 ตามลาดับ จังหวัดยะลา ปัตตานี และสงขลา พบสายพนั ธอ์ุ ัลฟา (องั กฤษ) มากกว่าสายพันธุ์เดลตาและเบตา คิดเปน็ รอ้ ยละ 93.04, 75.55 และ 73.94 ตามลาดับ ซึ่งศนู ยฯ์ คนื ข้อมลู กลบั ให้พืน้ ทผ่ี า่ นสานักงานสาธารณสุขทุกจงั หวัด เพอ่ื ประโยชน์ในการเฝ้าระวังแนวโน้ม ของสายพนั ธ์ุท่ีจะระบาดในพนื้ ทตี่ ่อไป 4. การใช้ระบบ CO-LAB สถานการณ์ระบาดรุนแรงของโรค COVID-19 ในประเทศไทย ส่งผลให้ความต้องการตรวจการติดเช้ือ COVID-19 มจี านวนมากข้นึ นา้ ยาทีใ่ ชต้ รวจขาดแคลน การรายงานผลไม่ทนั กับสถานการณ์ โรงพยาบาลเตยี งเต็ม ไม่ เพียงพอรองรับผู้ป่วยจานวนมากทาให้มีผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษา แต่ประเทศไทยยังไม่มีระบบสารสนเทศที่มีข้อมูล เพยี งพอให้นามาใช้ในการบริหารจัดการ ทัง้ เรอื่ งการตรวจหาเช้ือและการรักษา กรมวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ จงึ พัฒนา ให้มีระบบ CO-LAB ซึ่งเป็น Platform สาหรับการรายงานผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการของกระทรวงสาธารณสุข ระบบจะรับข้อมูลคาขอตรวจ (Lab request) จากหน่วยงานที่เก็บตัวอย่าง และเชื่อมโยงการรายงานผลไปยังกอง ระบาดวิทยา/สคร. ระบบ CO-Ward และอื่นๆ ตามพื้นที่นั้นๆ แบบ real time เพื่อให้สามารถดาเนินการสอบสวน โรค กักกนั จองเตียง รกั ษา ไดอ้ ย่างรวดเรว็ ทนั การณ์ และรวบรวมข้อมูลการตรวจทางห้องปฏิบัติการในภาพรวมของ ประเทศ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ได้เริ่มใชง้ านระบบ CO-LAB ในการส่งรายงานผลการตรวจ ตั้งแต่ เดอื น เมษายน 2564 จนถงึ ปจั จบุ นั และตดิ ตามให้หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารเครอื ขา่ ยทุกแห่งเข้าใช้งานระบบ CO-LAB ทงั้ หนว่ ย สง่ ตรวจ และหนว่ ยรบั ตรวจ 5. การสนบั สนุนวสั ดุวิทยาศาสตร์เพอ่ื การควบคมุ ปอ้ งกันโรค ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ปีงบประมาณ 2564 ให้การสนับสนุนอุปกรณ์เก็บและรักษา ตัวอย่าง Viral Transport Media พร้อมด้วย Nasopharyngeal swab และ Throat swab แก่ สสจ. และ โรงพยาบาล ในเขตสขุ ภาพท่ี 12 จานวน 175,071 ชุด หนา้ 8
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา แนะนาองค์กร หน้า 9
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ประวตั คิ วามเปน็ มา ศาสตราจารย์ ดร. เภสัชกร จาลอง สุวคนธ์ ท่านอธิบดี 2509 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีคาสั่งให้จัดตั้งหน่วยชันสูตร ทางการแพทย์ที่จังหวัดสงขลา ท่ีตั้งศูนย์อนามัย ต่อมา เปลี่ยนเป็นสานกั งานสาธารณสขุ จงั หวัดสงขลา กระทรวงสาธารณสุขมีคาสั่งให้รวมการปฏิบัติงาน 2504 ชันสูตรโรคโรงพยาบาลจังหวัด สังกัดกรมการแพทย์ และแผนกชันสูตรโรคของหน่วยคุดทะราด กรม อนามยั เปลี่ยนช่อื เป็นหนว่ ยชนั สูตรสาธารณสุข แล้ว ย้ายทต่ี ัง้ มาทโ่ี รงพยาบาลสงขลา 2526 กระทรวงสาธารณสุขได้โอนศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์เขตและหน่วยชันสูตร สาธารณสุขทุกจังหวัดขึ้นตรงกับโรงพยาบาล ยกเว้นศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทยเ์ ขต 2 ชลบรุ ี, เขต 3 นครราชสีมา, เขต 4 ขอนแก่น, เขต 6 พิษณโุ ลก และเขต 9 สงขลา ใหส้ ังกดั กรมวิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ 2534 2545 วันจนั ทร์ ที่ 9 กนั ยายน พ.ศ.2534 นายแพทยไ์ พโรจน์ 1111 นิงสานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็น ประธานพิธีเปิด และส่งมอบอาคารเป็นอนุสรณ์เฉลิม ทาพิธีเปิดอาคารใหม่ เมือ่ วนั ท่ี พระเกียรติในวโรกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ 9 กันยายน พ.ศ.2545 โดยผวู้ ่าราชการ สยามบรมราชกมุ ารี มีพระชนมายคุ รบ 36 พรรษา จงั หวดั สงขลา นายอานวย รองเงิน ณ ท่ีทาการมาที่ 616/1 ม. 2 ต.พะวง อ.เมืองสงขลา จ.สงขลา หน้า 10
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา หน้าทแ่ี ละความรับผดิ ชอบ เปน็ ห้องปฏิบัตกิ ารใหบ้ รกิ ารตรวจวิเคราะห์ ยา ยาเสพตดิ วัตถุออกฤทธ์ิ สมนุ ไพร เครือ่ งสาอาง อาหาร เครื่องมือ แพทย์ พิษวิทยา ตรวจชันสูตร และพิสูจน์ยืนยันทางพยาธิวิทยาคลินิก ตรวจสอบมาตรฐานและความปลอดภัยของ เครื่องกาเนิดรังสี ตามความต้องการของสถานบริการสาธารณสุขและเอกชน เพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัย และสนับสนุน การรักษาการควบคุมเฝ้าระวัง และป้องกันโรค รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาวิชาการด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อแก้ไข ปญั หาสาธารณสุขในพืน้ ท่ีรับผดิ ชอบ ท่ตี ั้ง/แผนท่ี หนา้ 11
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา วิสัยทศั น์ คา่ นยิ ม มงุ่ ส่กู ารเปน็ องค์กรท่ีเชย่ี วชาญดา้ นวิทยาศาสตร์ เปิดใจ ใฝ่รู้ ค่คู ุณธรรม การแพทยร์ ะดับประเทศ พร้อมรกุ และรบั การเปลีย่ นแปลง นาหลักวชิ าการ มาตรฐานสากล ในทกุ มิติ (Committed to be the Professional organization of Medical Sciences) พันธกจิ อตั ลักษณอ์ งคก์ ร 1. พัฒนาศักยภาพและคุณภาพห้องปฏิบัติการ อ้างอิงและห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และ สาธารณสขุ 2. วิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ สรรสร้างนวัตกรรม เพื่อสนับสนุนด้านการแพทย์และสาธารณสุขของ ประเทศ ใหเ้ ป็นท่ียอมรบั ในระดบั สากล 3. พัฒนาระบบและประเมินความเสี่ยงเพื่อแจ้ง เตอื นภัยสุขภาพ 4. สนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติดใน ระดบั ประเทศ 5. พัฒนาสมรรถนะสากลและคุณภาพการทางาน ของบุคลากร บนฐานของความพร้อมด้าน เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อก้าวสู่เข้าประชาคม อาเซยี น หนา้ 12
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา เขตพื้นทรี่ ับผดิ ชอบ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบครอบคลุมพื้นที่ใน 4 จังหวัด ภาคใตต้ อนล่าง คอื สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธวิ าส หนา้ 13
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา การรบั รองมาตรฐาน ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทยท์ ี่ 12 สงขลา ไดร้ บั การรับรอง ระบบคณุ ภาพมาตรฐาน ISO 9001:2015 ISO/IEC 17025:2017 ISO 15189:2012 ISO 15190:2003 ISO 17043:2010 หนา้ 14
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงสรา้ งการบริหาร อตั รากาลัง หนา้ 15
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ตารางที่ 1 แสดงจานวนบุคลากรแยกตามตาแหน่ง ตาแหน่ง ข้าราชการ พนกั งาน พนักงาน ลกู จา้ งประจา รวม ราชการ กระทรวง สาธารณสุข 3 1 ผอู้ านวยการ 1 1 1 8 เภสชั กร 8 1 2 1 3 นักเทคนิคการแพทย์ 3 1 5 26 นกั วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ 24 2 4 นักฟสิ กิ ส์รังสี 2 3 1 เจ้าพนกั งานวทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ 1 5 นกั จดั การงานทว่ั ไป 2 1 1 นกั วชิ าการเงนิ และบญั ชี 2 1 2 นักวชิ าการคอมพิวเตอร์ 1 นกั วชิ าการพัสดุ 43 3 1 เจา้ พนักงานพสั ดุ 3 3 พนักงานห้องปฏบิ ัตกิ าร 1 3 พนักงานประจาหอ้ งทดลอง 3 เจ้าพนกั งานธรุ การ 1 2 พนักงานขบั รถยนต์ 16 1 พนกั งานบริการเอกสารทว่ั ไป 1 พนกั งานบริการ 66 รวม หนา้ 16
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา งบประมาณรายจา่ ย ตารางท่ี 2 แสดงงบประมาณรายจ่าย ประจาปงี บประมาณ 2564 หมวด รับจดั สรร จ่ายจริง กนั ไวเ้ บกิ คงเหลอื (บาท) (บาท) (บาท) (บาท) 8,666,049.46 งบดาเนนิ งาน 20,353,043.46 - เงนิ งบประมาณรายจา่ ยปี 2564 8,666,050.00 279,999.50 - 0.54 - 11.54 - งบกลางเงินสารองจา่ ยกรณีฉกุ เฉนิ หรอื จาเป็น 20,353,055.00 8,483,890.00 - 0.50 1,498,942.45 - งบประมาณเบิกแทนกัน อย. 280,000.00 39,281,924.87 งบลงทุน - ครภุ ณั ฑ์ (เงนิ งบประมาณ) 8,483,890.00 -- -- - ครุภัณฑ์ (เงนิ งบกลาง) 1,498,942.45 - 12.58 รวมทง้ั สิ้น 39,281,937.45 ขอ้ มลู ณ 30 กนั ยายน 2564 แผนภูมิที่ 2 แสดงแนวโน้มจานวนงบประมาณที่ได้รบั จาแนกตามปงี บประมาณ พ.ศ. 2560 – 2564 ปีงบประมาณ 2564 39.3 16.8 2563 26.1 11.5 งบประมาณ เงนิ บารุง 2562 19.9 6.5 60 ลา้ นบาท 2561 35.8 8.9 2560 17.5 9.8 0 10 20 30 40 50 หน้า 17
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา สถานะเงนิ บารงุ ตารางท่ี 3 แสดงสถานะเงินบารุง ประจาปงี บประมาณ 2564 รายการ ยอดยกมา รายรับ รายจ่าย คงเหลือ (บาท) (บาท) (บาท) ณ 30 ก.ย. 63 56,327,591.00 2,776,953.85 71,350,626.44 รายรบั 2,954.69 73,344.00 2,635,800.00 84,710.00 - รายไดจ้ ากการขายสินคา้ และบรกิ าร 9,778.00 22,305.32 27,585.60 - รายได้จากดอกเบ้ียเงนิ ฝาก 2,000,000.00 1,608,838.75 - รายได้จากการรบั โอนเงนิ บารุงระหวา่ ง 60,988,651.01 468,500.00 หนว่ ยงานภายในกรมฯ 1,337,715.24 4,638,088.23 - รายไดอ้ น่ื ๆ 462,718.10 - รายไดจ้ ากการบริจาค 5,032,544.00 รายจา่ ย 363,153.95 - ค่าใชจ้ า่ ยด้านบคุ ลากร 16,883,929.72 - คา่ จา้ งพนกั งานกระทรวงสาธารณสขุ - ค่าประกันสงั คม (สว่ นของผปู้ ระกนั ตน) - เงินสมทบประกันสังคม - เงินสมทบกองทนุ เงินทดแทน - เงนิ สมทบกองทุนสารองเลยี้ งชพี (พกส.) คา่ ใชจ้ ่ายในการดาเนนิ งาน - คา่ ล่วงเวลา - ค่าตอบแทนด้านวทิ ยาศาสตร์ การแพทย/์ นกั ฟสิ ิกส/์ ตรวจพสิ ูจน์ ยาเสพตดิ /คา่ ตอบแทนกรรมการ - ค่าใชส้ อย - ค่าวัสดุ - ค่าสาธารณปู โภค - ค่าครภุ ณั ฑ์ - ค่าท่ีดินและส่งิ ก่อสรา้ ง - โอนสนับสนุนหน่วยงานภายในกรมฯ รวม 27,245,905.15 ข้อมลู ณ 30 กันยายน 2564 หน้า 18
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ผลการดาเนนิ งาน หนา้ 19
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา Agenda Based หนา้ 20
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงการพฒั นาห้องปฏิบัติการรงั สีวินจิ ฉัยเพื่อธารงรักษาระบบคณุ ภาพหอ้ งปฏบิ ัตกิ าร ทางการแพทยแ์ ละรงั สีวนิ จิ ฉัย โรงพยาบาลสมเดจ็ พระยพุ ราช โรงพยาบาลเฉลมิ พระเกยี รติ โรงพยาบาลชยั พัฒนแ์ ละโรงพยาบาลเทพรตั นเวชชานุกลู ปีงบประมาณ 2564 กลมุ่ งานรงั สแี ละเครื่องมือแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์ในฐานะหน่วยงานหลักด้านห้องปฏิบัติการ ได้เริ่มจัดทาโครงการเฉลิมพระเกียรติถวายแด่ พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวฯ ในปี 2561 และดาเนนิ การต่อเนอ่ื งมาจนถงึ ปี 2564 คอื โครงการพฒั นาระบบคุณภาพ ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และทางรังสีวินิจฉัย เพื่อส่งเสริมการดาเนินงานระบบคุณภาพและธารงรักษาระบบ คุณภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่เกี่ยวข้องเป็นหลักประกันในกระบวนการทางานและผลการตรวจวิเคราะห์ทาง ห้องปฏิบัติการให้แก่ผู้มารับบริการ เพื่อตอบสนองต่อนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาระบบบริการสุขภาพ ให้ ผู้รับบริการสามารถเข้าถึงการบริการที่มีคุณภาพอย่างทั่วถึง โดยใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธภิ าพ มีการเข้าร่วมการ อบรม เรื่อง การพัฒนาศักยภาพและการจัดการระบบคุณภาพด้วยเทคนคิ LEAN สาหรับ ห้องปฏิบัติการรังสีวนิ ิจฉยั โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ห้องปฏิบัติก ารรังสีวินิจฉัยพัฒนาระบบคุณภาพตามมาตรฐานท่ี เก่ยี วข้องอยา่ งยง่ั ยืนและต่อเน่ือง และสามารถนาเทคนิค LEAN มาประยุกต์ ใช้ได้ เมอื่ วันที่ 17-18 ธนั วาคม 2563 ณ โรงแรมริชมอนด์ จ.นนทบรุ ี ผลการดาเนนิ งานการพฒั นาห้องปฏิบัติการรังสีวินจิ ฉยั ของโรงพยาบาลท้ัง 3 แห่ง มกี ารประสานคณะผู้ตรวจ ประเมินคุณภาพภายในจากโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร, โรงพยาบาลสมเด็จ พระยพุ ราชธาตุพนม จังหวัดนครพนม และโรงพยาบาลสมเดจ็ พระยุพราชบ้านดุง จังหวดั อุดรธานี ดาเนินการตรวจ ประเมินคุณภาพภายในตามมาตรฐานห้องปฏิบัติการรังสีวินิจฉัย กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2562 ที่โรงพยาบาล สมเดจ็ พระยุพราชสายบรุ ี จงั หวัดปตั ตานี เมือ่ วันที่ 28 มิถุนายน 2564, โรงพยาบาลย่งี อเฉลิมพระเกยี รติ 80 พรรษา จังหวัดนราธิวาส เม่ือวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564 มกี ารตดิ ตามความก้าวหน้าการแก้ไขข้อบกพร่องและข้อสังเกตของโรงพยาบาลท่ีได้รบั การประเมิน และประสานขอ้ มลู การแก้ไขข้อบกพร่องกบั ผ้ปู ระเมนิ เพอื่ พิจารณาผลการแก้ไขทผ่ี ู้รบั การตรวจประเมนิ ได้ดาเนินการ แก้ไขซึ่งทาให้ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการรังสีวินิจฉัย โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช และ โรงพยาบาลเฉลมิ พระเกียรติ ไดร้ บั การพฒั นาระบบคุณภาพตามมาตรฐานท่ีกาหนด และสามารถให้บริการประชาชน หรือผู้ป่วยได้อย่างมีคุณภาพ มาตรฐาน และปลอดภัย และได้รับองค์ความรู้เท่าทันเทคโนโลยี สามารถสร้าง ผลงานวจิ ยั หรอื นวัตกรรมสาหรับการพัฒนาระบบงานให้มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ขึน้ หน้า 21
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบรุ ี จงั หวดั ปัตตานี โรงพยาบาลยง่ี อเฉลมิ พระเกียรติ 80 พรรษา จงั หวัดนราธิวาส โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา จังหวัดยะลา หน้า 22
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา Functional Based หน้า 23
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการพฒั นาศนู ย์แจง้ เตอื นภัยฯ และ อสม.วทิ ยาศาสตร์การแพทยช์ มุ ชน ปีงบประมาณ 2564 กล่มุ งานยา ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ร่วมกับศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ตา่ งๆ ทัว่ ประเทศ ถ่ายทอด องคค์ วามรู้และนวัตกรรมจากงานวจิ ัยและพัฒนาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ให้แกป่ ระชาชนและหน่วยงานต่างๆ ภายใต้โครงการวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลรักษาสุขภาพและการ พฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของคนในชุมชนมาตงั้ แต่ปี พ.ศ.2549 และในปี พ.ศ.2564 ได้จดั ทาโครงการพัฒนาศูนย์แจ้งเตือน ภัย เฝ้าระวัง และรับเรื่องร้องเรียนปัญหาผลิตภัณฑ์สุขภาพในชุมชน เพื่อพัฒนาศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ ให้มีศักยภาพใน การเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ปลอดภัยในชุมชนได้ด้วยตนเอง และจัดทาฐานข้อมูลศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ ในพื้นที่ รับผิดชอบ และโครงการพัฒนา อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน เพื่อพัฒนา อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน/ อสม.หมอประจาบ้าน ให้มีความรู้ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยวิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน และจัดทาฐานข้อมูล อสม.วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทยช์ ุมชน ทส่ี ามารถนาไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพฒั นากาลงั คนด้านสาธารณสุข การดาเนนิ โครงการฯ ในชว่ งแรก ได้ประสานงานเครอื ขา่ ยในพ้ืนทจ่ี งั หวดั สงขลา ปตั ตานี ยะลา นราธิวาส มีการลงพื้นที่ประเมินและบันทึกผลการพัฒนาศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเครือข่าย ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง แต่เนื่องจากได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค Covid-19 ทาให้ไม่สามารถลงไปในพื้นที่ ต่อไปได้ จึงต้องเปลี่ยนรูปแบบการดาเนินงานใหม่ เพื่อประเมินผลและจัดทาฐานข้อมูล โดยสร้าง google form สาหรับการบันทึกข้อมูลศูนย์แจ้งเตือนภัย และ ข้อมูล อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน และดาเนินการทางระบบ online แทน จนสามารถพัฒนาศูนย์แจ้งเตือนภัยฯ ที่เป็นเป้าหมาย ผ่านเกณฑ์คุณภาพ และจัดทาฐานข้อมูล ได้ จานวน 26 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 100 ของเป้าหมาย ส่วนการพัฒนา อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน สามารถ พฒั นา อสม.วทิ ยาศาสตร์การแพทยช์ ุมชน ได้จานวน 170 คน คิดเปน็ รอ้ ยละ 101.4 ซง่ึ สงู กว่าเปา้ หมายท่ีต้ังไว้ (167 คน) ปัจจยั ที่สง่ ผลใหส้ าเรจ็ แมจ้ ะมีการเปล่ียนแปลงรูปแบบการทางานจากการลงพ้ืนทเี่ ป็นแบบ online เกิดจาก ผลของการดาเนินงานอย่างต่อเน่ือง ทาให้เครอื ข่ายไว้วางใจ มคี วามเชอ่ื ถือในสิ่งที่ศูนย์ฯ ไปพฒั นาให้ โดยปัญหาการ แพรร่ ะบาดของโรค Covid-19 ทีไ่ มส่ ามารถควบคุมได้น้ี จะได้นามาประเมนิ ความเสยี่ ง หาวิธกี ารแกไ้ ขปรับปรุง และ ปรับเปลีย่ นรูปแบบวิธีการพัฒนา เช่น การพัฒนาหลักสตู ร การประเมินผล การให้คาปรกึ ษาดว้ ยระบบ online เป็น ต้น จะทาให้การพัฒนาศูนย์แจ้งเตือนภัย ฯ และพัฒนา อสม.วิทยาศาสตร์การแพทย์ชุมชน สามารถดาเนินการและ ประสบความสาเร็จไดอ้ ยา่ งตอ่ เนื่องในปตี อ่ ๆ ไป หนา้ 24
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการคุณภาพผลิตภัณฑส์ มุนไพรท่ผี ลิตโดยโรงพยาบาลในพื้นท่ี 4 จังหวดั ชายแดนใต้ ปีงบประมาณ 2564 กลุ่มงานยา กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขทุกระดับใช้ยาสมุนไพรทดแทนยา แผนปจั จบุ ัน เพือ่ ลดการสญู เสียเงินตราจากการนาเขา้ โดยสมุนไพรทมี่ ีปรมิ าณการผลิตและใช้มากทส่ี ุดในโรงพยาบาล ได้แก่ ขมิ้นชัน ซึ่งใช้บรรเทาอาการแน่นท้อง จุกเสียด ท้องอืด ท้องเฟ้อ หรือผู้ป่วยทีส่ งสัย ว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหาร รองลงมา คือ ฟ้าทะลายโจร ซึ่งช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ และอาการของโรคหวัด ขมิ้นชันและฟ้าทะลายโจร จัดเป็นยาพัฒนาจากสมุนไพรในบัญชี ยาหลกั แหง่ ชาติฉบบั ปี พ.ศ. 2561 ตามประกาศคณะกรรมการพฒั นาระบบยาแห่งชาติ ใน ยารักษากล่มุ อาการของระบบทางเดินอาหารและระบบทางเดินหายใจ ผลติ ภณั ฑ์สมุนไพร ทม่ี คี ุณภาพจะนาไปสคู่ วามเชอ่ื มนั่ ในความปลอดภัยของผลิตภัณฑข์ องผู้บริโภค ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ได้ดาเนินการโครงการคุณภาพผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่ผลิตโดย โรงพยาบาลในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนใต้ วัตถุประสงค์เพื่อเป็นการเฝ้าระวังคุณภาพความปลอดภัยและส่งเสริมการ ใช้ยาสมุนไพรในโรงพยาบาล จานวน 2 ชนิด ได้แก่ ขมิ้นชันและฟ้าทะลายโจร โดยเก็บตัวอย่างที่ผลติ ในโรงพยาบาล 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลสิงหนคร โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสายบรุ ี โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชยะหา และ โรงพยาบาลจะแนะ เป็นขมิ้นชันแคปซูล จานวน 7 ตัวอย่าง วัตถุดิบขมิ้นชัน 1 ตัวอย่าง ฟ้าทะลายโจรแคปซูล 9 ตัวอย่าง วัตถุดิบฟ้าทะลายโจร 2 ตัวอย่าง รวมทั้งสิ้น 19 ตัวอย่าง นามาทดสอบคุณภาพความปลอดภัย ตามตารา มาตรฐานสมุนไพรไทย (Thai Herbal Pharmacopoeia 2020) ในรายการปริมาณสารสาคัญ (Curcuminoids content ในขมิ้นชัน และ Andrographolide content ในฟ้าทะลายโจร) ความแตกต่างจากน้าหนักเฉลี่ย และการ ปนเปอ้ื นจลุ ินทรยี ์ พบ ผา่ นมาตรฐาน จานวน 16 ตวั อยา่ ง (คดิ เป็นร้อยละ 84) ผิดมาตรฐาน จานวน 3 ตัวอยา่ ง โดย ผดิ มาตรฐานการปนเปอ้ื นจุลนิ ทรีย์ในวัตถุดบิ ขม้นิ ชนั 1 ตัวอยา่ ง ปริมาณ Andrographolide content ในวัตถุดิบฟ้า ทะลายโจร 1 ตัวอย่าง และฟ้าทะลายโจรแคปซูล 1 ตัวอย่าง ส่วนการ ทดสอบความแตกต่างจากน้าหนักเฉลี่ยของยาในแคปซูล ผ่านมาตรฐาน ทั้งหมด สรุปผล ยาสมุนไพรที่ผลิตในแต่ละโรงพยาบาลในพื้นที่ 4 จังหวัด ชายแดนใต้ มีความสม่าเสมอในการบรรจุแคปซูลสาหรับการผลิตได้เป็น อย่างดี แต่พบปัญหาด้านการปนเปื้อนจุลินทรีย์ และปริมาณสารสาคัญ ซึ่ง เป็นปัญหาของวัตถุดิบท่ีนามาใชส้ าหรับผลิต โดยเฉพาะปัญหาด้านปริมาณ สารสาคัญในฟ้าทะลายโจร ซึ่งจะมีผลต่อประสิทธิภาพในการรักษา และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติด เชื้อไวรสั โคโรนา 2019 ทาใหก้ ระทรวงสาธารณสุขมนี โยบายใหโ้ รงพยาบาลผลติ และกระจายการใช้ยาฟ้าทะลายโจร มากขึ้นทั่วทั้งประเทศ ทาให้วัตถุดิบไม่เพียงพอ ส่งผลให้คุณภาพวัตถุดิบลดลงได้ ดังนั้นศูนย์ฯ 12 สงขลา จะได้ ดาเนินการเฝา้ ระวังผลติ ภัณฑส์ มุนไพรที่ผลติ โดยโรงพยาบาลภาครัฐ ในปี 2565 ตอ่ ไป โดยจะไดด้ าเนนิ การขยายพื้นท่ี เปน็ โรงพยาบาลทผ่ี ลิตสมนุ ไพรในเขตสุขภาพที่ 12 และเพิ่มรายการทดสอบการปนเป้ือนโลหะหนักด้วย หนา้ 25
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการประกันคณุ ภาพยา ปงี บประมาณ 2564 กลมุ่ งานยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยสานักยาและวัตถุเสพติดและศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ดาเนินโครงการ ประกันคุณภาพยา โดยคัดเลือกรายชื่อผลิตภัณฑ์ยา ทั้งยาแผนปัจจุบันและผลิตภณั ฑ์ยาสมุนไพร เพื่อดาเนินการเฝา้ ระวังคุณภาพในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จานวน 31 รายการ ซึ่งศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ได้ ดาเนินการโครงการมาอยา่ งต่อเน่ือง โดยในปี พ.ศ. 2564 คดั เลือกยาเพื่อตรวจวิเคราะหค์ ุณภาพมาตรฐาน จานวน 2 รายการ ได้แก่ Fenofibrate capsules และ Fenofibrate tablets ซง่ึ เป็นยาลดระดบั ไขมนั ในเลือด ท่ีมีประสทิ ธิภาพ ดีในการลดไตรกลีเซอไรด์ ลดโคเลสเตอรอลและยงั เพ่มิ HDL (ไขมนั ตวั ท่ีดี) ได้ ในการรักษาภาวะไขมนั ในเลอื ดสูง การพิจารณาคัดเลือกยา Fenofibrate capsules และ Fenofibrate tablets มาตรวจวิเคราะห์ เนื่องจาก ไม่มีการวิเคราะห์หัวข้อ Impurities แต่มาตรฐานในตารายา (USP) ปัจจุบัน มีข้อกาหนดในหัวข้อ Impurities จึง คัดเลือกยาทั้ง 2 รายการมาตรวจสอบคุณภาพซ้าในปีนี้ และจากข้อมูลผลิตภัณฑ์ยาในเว็บไซต์ของสานักงาน คณะกรรมการอาหารและยา Fenofibrate capsules มียาขึ้นทะเบียน 14 ทะเบียนยา ขนาดความแรง 100, 160, 200 และ 300 มิลลิกรัม และ Fenofibrate tablets มียาขึ้นทะเบียน 9 ทะเบียนยา ขนาดความแรง 145 และ 160 มิลลิกรัม ก่อนการตรวจวิเคราะห์มีการจัดท า Protocol โดยอ้างอิงตามเภสัชตารับ The United States Pharmacopeia (USP 43) เพื่อทาการทวนสอบความใช้ได้ของวิธี ในข้อ Specificity, Accuracy, Precision และ Linearity และวิธกี ารตรวจวิเคราะห์ของยา ท้ัง 2 รายการ ในหัวขอ้ การตรวจเอกลักษณ์ (Identification) ปรมิ าณตวั ยาสาคัญ (Assay) การละลายของตัวยา (Dissolution) ค่าเบี่ยงเบนจากน้าหนักเฉลี่ย (Weight variation) (เฉพาะ Fenofibrate capsules) ความสม ่าเสมอของปริมาณตัวยาในแต่ละเม็ด (Content uniformity) (เฉพาะ Fenofibrate tablets) และสารปนเปอื้ น (Impurities) ผลการทวนสอบความใช้ได้ของวิธีของยาทั้ง 2 รายการ ผ่านตามเกณฑ์ทุกหัวข้อ และได้ตรวจวิเคราะห์ ตัวอย่างยาทั้ง 2 รายการ รวมจานวน 25 ตัวอย่าง ได้แก่ Fenofibrate capsules จานวน 23 ตัวอย่าง ที่ขนาดความ แรง 100, 160, 200 และ 300 mg เข้ามาตรฐาน ทั้ง 23 ตัวอย่าง และ Fenofibrate tablets จานวน 2 ตัวอยา่ ง ท่ี ขนาดความแรง 160 mg ผิดมาตรฐาน ในหัวข้อ Dissolution ทั้ง 2 ตัวอย่าง ซึ่งเป็นยาจากทะเบียนยาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่า Fenofibrate capsules มีคุณภาพมาตรฐาน แต่ Fenofibrate tablets 1 ทะเบียนยา ที่ขนาดความ แรง 160 mg ยังมีปัญหาเรื่อง Dissolution ซึ่งได้รายงานผลไปยังสานักงานคณะกรรมการอาหารและยา เพ่ือ ตรวจสอบและมีการดาเนินการต่อไป ข้อมูลคุณภาพของยาทั้ง 2 รายการ จะถูกนาไปรวมกับข้อมูลจากห้องปฏิบัติการยาทั่วประเทศที่เข้าร่วม โครงการฯ โดยสานักยาและวัตถุเสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพ่ือ สรุปและนาไปเผยแพร่สู่สาธารณะทางเว็บไซต์สานักยาและวัตถุเสพติด (https://bdn.go.th) และทาง mobile application ชื่อ “GREEN BOOK DMSC” หนา้ 26
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑส์ ขุ ภาพจาก ดอกดาหลา และไพลดา ท่ีมีฤทธทิ์ างชวี ภาพเพอ่ื สง่ เสรมิ สขุ ภาพและป้องกนั โรคไมต่ ดิ ตอ่ เรื้อรังและโรคในผ้สู ูงอายุ (โครงการพฒั นาเขตระเบียงเศรษฐกิจพเิ ศษภาคใต้ SEC) กลุ่มงานยา รฐั บาลได้ดาเนินการพัฒนาเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษใน 10 พ้ืนท่ชี ายแดน เปา้ หมายเพ่อื กระจายความเจริญ สู่ภูมิภาค ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จัดระเบียบความมั่นคงชายแดน และเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันของประเทศโดยใช้ประโยชน์จากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา เล็งเหน็ ความสาคัญของการพัฒนาพน้ื ท่เี ศรษฐกิจพิเศษตามนโยบายรัฐบาล และมองเห็นโอกาสของการใช้ยุทธศาสตร์ แผนแม่บทด้านสมุนไพรในการสนับสนุนการพัฒนาพืน้ ที่เศรษฐกิจพิเศษ ดังนั้นในปีงบประมาณ 2564 จึงดาเนินการ ศึกษาวิจัยสมุนไพรอยา่ งครบวงจรตัง้ แต่การศึกษาฤทธ์ทิ างชวี ภาพ การควบคมุ คณุ ภาพสาร สกดั และผลิตภัณฑ์ รวมถึง การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบจากสารสกัดสมุนไพรโดยศึกษาวิจัยสมุนไพร 2 ชนิด คือ ดอกดาหลา และไพลดา ดาเนินการสกัดและศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพ คือ ฤทธิ์ลดน้าตาลในเลือด โดยการยับยั้งเอนไซม์ Alpha-glucosidase และ Alpha-amylase ฤทธิ์ลดความดันโลหิตโดยยับยั้งเอนไซม์ Angiotensin converting enzyme I ฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์ Acetylcholinesterase และ Butyrylcholinesterase ฤทธิ์ลดไขมันโดยการ ยับยั้งเอนไซม์ HMG CoA reductase ฤทธิ์ต้านการอักเสบในเซลล์เพาะเลี้ยงโดยการยับยั้งการสังเคราะห์ Nitric oxide และ Prostaglandin E2 (PGE2) รวมถงึ การศกึ ษาฤทธยิ์ ับย้งั เช้ือจุลนิ ทรีย์กอ่ โรค ผลการศึกษาพบว่า สารสกัดดอกดาหลาซึ่งสกัดด้วย 50%เอทานอล และ 70%เอทานอล มีฤทธิ์ยับยั้ง เอนไซม์ Alpha-glucosidase ในระดับปานกลาง โดยมีค่าความเข้มข้นที่ยับยั้งเอนไซม์ได้ครึ่งหนึ่ง (Half inhibitory concentration; IC50) ในชว่ งประมาณ 400 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรคได้เล็กน้อยจานวน 2 เชื้อคือ เช้ือ Methicillin Resistant Staphylococcus Aureus (MRSA) และ เชื้อ S.aureus สารสกัดดาหลาซึ่งสกัดด้วย 95%เอทานอล มีฤทธ์ิ ต้านการอักเสบที่ดีโดยยับยั้งการสร้าง Nitric oxide โดยมีค่า IC50 เทา่ กบั 16.8 ไมโครกรมั ตอ่ มลิ ลิลติ ร และยับยง้ั การสรา้ ง PGE2 ปาน กลาง โดยมคี า่ IC50 เทา่ กับ 45.3 ไมโครกรมั ต่อมลิ ลลิ ติ ร สารสกัดไพลดาซึ่งสกัดด้วย Ethyl acetate และ 95%เอทานอล มีฤทธิ์ต้านอักเสบดีมาก ยับยั้งการสร้าง nitric oxide โดยมคี า่ IC50 เท่ากบั 3.37 และ 3.27 ไมโครกรัมตอ่ มิลลิลิตร ตามลาดับ และยับยงั้ การสรา้ ง PGE2 โดย มีค่า IC50 เท่ากับ 16.86 และ 8.9 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลาดับ นอกจากนี้สารสกัดทั้ง 2 ชนิด มีฤทธิ์ยับยั้งเช้ือ MRSA และ S.aureus ได้เล็กน้อย แต่มีฤทธิ์ต่อเชื้อ Helicobacter pylori โดยมีค่าความเข้มข้นต่าสุดที่มีฤทธิ์ยับย้ัง การเจริญเติบโตของเชื้อ (Minimum inhibitory concentration ; MIC) เท่ากับ 1.6 และ 0.4 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ตามลาดับ สารสกดั ดอกดาหลามีฤทธ์ยิ ับย้ังเอนไซม์ alpha-glucosidase ซง่ึ เกีย่ วขอ้ งกบั การยบั ยั้งการเปล่ียนน้าตาล หน้า 27
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา โมเลกุลใหญ่เป็นน้าตาลโมเลกุลเล็กซึ่ง พร้อมที่จะดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ผู้วิจัยจึง พัฒนาเป็นเครื่องดื่มเยลลี่เหลวผสมน้า ดอกดาหลาเพื่อเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ สาหรับไพลดา มีฤทธิ์ต้านการอักเสบดี มาก จึงพฒั นาเป็นไพลดาอิมลั เจล ใช้ สาหรับทาถนู วดบริเวณที่มีอาการปวดอักเสบ ผลิตภัณฑ์ทีพ่ ัฒนาข้ึนเป็นต้นแบบ ทีผ่ า่ นการศึกษาวิจยั ฤทธิ์ทางชีวภาพ และพฒั นาจากผลผลติ ทางการเกษตรของเกษตรกรในพืน้ ที่เขตระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคใต้ (SEC) เป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยการศึกษาวิจัย ซึ่งองค์ความรู้ที่ได้ จากการวิจัยและพัฒนาผลิตภณั ฑส์ ามารถนาไปต่อยอด รวมถงึ ถ่ายทอดแก่ผู้ประกอบการทส่ี นใจต่อไป หนา้ 28
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา การศึกษาฤทธิ์ทางชีวภาพของพชื กระท่อม เพ่อื ผู้ปว่ ยโรคไม่ติดต่อเร้ือรงั และผู้สูงอายุ กลุ่มงานยา พืชกระท่อมเป็นพืชที่มีคณุ ประโยชน์ทางยา มีการใช้โดยแพทย์แผนไทยในการรักษาโรคมาตั้งแต่สมัยโบราณ เปน็ สว่ นประกอบในตารบั ยาแผนไทยตา่ ง เช่น ตารับยาประสะกระท่อม ตารับยากล่อมอารมณ์ ใชเ้ ป็นยาแกป้ วดเม่ือย แก้ท้องเสีย ท้องร่วง ทาให้นอนหลับ แพทย์พื้นบ้านใช้กระท่อม เพื่อให้สามารถทางานท่ีใชก้ าลังได้ทนทานมาก มีการ ใชก้ ระทอ่ มเป็นยาพอกแผล ลดไข้ บรรเทาอาการหอบหดื ถา่ ยพยาธิ เพมิ่ สมรรถนะทางเพศ และใช้ในการถอนยาจาก การติดฝ่นิ สารสาคญั หลกั ไมตราไจนนี ในพชื กระท่อมมีฤทธ์ิทางเภสชั วิทยาซึ่งมีผลการศึกษาท้ังในหลอดทดลองและ ในสตั วท์ ดลองในการลดปวด มฤี ทธ์ิตอ่ ระบบทางเดินอาหาร ฤทธติ์ า้ นอาการซึมเศร้า ปัจจุบันทั่วโลกให้ความสนใจในการนาพืชกระท่อมมาใช้ในทางยาและ ผลติ ภัณฑส์ ุขภาพมากขน้ึ ประเทศไทยประกาศยกเลิกพืชกระท่อมจากการเป็นยาเสพ ตดิ ให้โทษในประเภท 5 ตามความในพระราชบัญญตั ิยาเสพติดให้โทษ (ฉบบั ที่ 8) พ.ศ. 2564 ประกาศวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 โดยมีวัตถุประสงค์ให้สามารถนามาศึกษา เพื่อใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ และ เนื่องจากหลายประเทศมิได้กาหนดให้พืช กระท่อมเป็นยาเสพติดให้โทษ ประกอบกับอนุสัญญาเดี่ยวว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ค.ศ.1961 และ พิธีสารแกไ้ ขอนสุ ญั ญาเด่ียววา่ ด้วยยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ค.ศ.1972 ซ่งึ เป็น อนุสัญญาสหประชาชาติเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดที่ประเทศไทย เปน็ สมาชกิ มิได้กาหนดให้พชื กระทอ่ มเป็นยาเสพตดิ ใหโ้ ทษ ในปีงบประมาณ 2564 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ได้ศึกษา ฤทธิ์ทางชีวภาพของพืชกระท่อมซึ่งไดด้ าเนนิ การอย่างถูกตอ้ งตามกฎหมาย ร่วมกับสานกั งานป้องกันและปราบปราม ยาเสพติดภาค 9 (สานักงาน ปปส.ภาค9) โดยศึกษาฤทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง ดังนี้คือ ฤทธิ์ต้านอนุมูล อิสระ DPPH, ฤทธิ์ลดน้าตาลในเลือดโดยการศึกษาการยับยั้งเอนไซม์ alpha-glucosidase และ alpha-amylase, ฤทธิ์ลดความดันโลหิตโดยการศกึ ษาการยับยั้งเอนไซม์ Angiotensin converting enzyme I (ACE I) และฤทธิ์ยับย้งั เอนไซมท์ ี่เกยี่ วข้องกับโรคอลั ไซม์ คือ Acetylcholinesterase และ Butyrylcholinesterase ผลการศึกษาวิจัยพบว่า สารสกัดของพืชกระท่อม มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระดีมาก โดยมีฤทธิ์ยับยั้งอนุมูลอิสระ DPPH ได้ดีกว่าตัวควบคุมเชิงบวก มีค่าความเข้มข้นสูงสุดที่มีประสิทธิผลการยับยั้งได้ครึ่งหนึ่ง (Half Maximum Effective Concentration : EC50) น้อยกว่า 5 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร สารสกัดพืช กระท่อม 95%เอทานอล มฤี ทธ์ิยบั ย้งั เอนไซม์ท่เี กย่ี วข้องกับโรคอัลไซเมอร์ คือ เอนไซม์ Butyrylcholinesterase ในระดับปานกลางโดยมีค่า ความเขม้ ข้นสงู สุดที่สามารถยับยั้ง ปฏิกิริยาได้ครึ่งหนึ่ง (Half Maximum Inhibitory Concentration : IC50) ประมาณ 60 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร นอกจากนี้สารสกัดพืชกระท่อมยังมีผลยับยั้งเอนไซม์ท่ี เกี่ยวข้องกับโรคอัลไซเมอร์อีกหนึ่งชนิดคือ เอนไซม์ Acetylcholinesterase แต่ สามารถยับยั้งได้น้อยกว่าเอนไซม์ Butyrylcholinesterase โดยมีค่า IC50 ประมาณ 160 ไมโครกรมั ต่อมลิ ลิลิตร หนา้ 29
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา พืชกระท่อมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีมากและมีฤทธ์ิ เกี่ยวข้องกับเอนไซม์ที่สัมพันธ์กับโรคอัลไซเมอร์ งานวิจัยในระยะ ถดั ไป คอื การศกึ ษาฤทธ์ิทเ่ี ก่ียวข้องกับความเสื่อมของระบบประสาท และสมองซึ่งเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์ รวมถึงศึกษากลุ่มสาร เช่น ฟีนอลิค ฟลาโวนอยส์ อัลคาลอยด์ ในพืชกระท่อมที่สามารถ ยับย้ังเอนไซม์ Acetylcholiesterase และ Butyrylcholinesterase มีฤทธิต์ า้ นอนุมลู อิสระ และตา้ นการอักเสบในเซลล์เพาะเล้ยี ง ก่อนที่ จะศึกษาทางเภสชั วิทยาในสตั วท์ ดลองเพอ่ื ศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของพืชกระท่อมเพ่อื ใชใ้ นการรักษาโรคต่อไป หน้า 30
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการพฒั นาเครอื ข่ายห้องปฏิบัตกิ ารทางการแพทย์และหอ้ งปฏิบตั กิ ารรังสีวนิ ิจฉัย กลมุ่ งานรังสแี ละเคร่ืองมือแพทย์ การสนับสนุนการพัฒนาระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ เป็นภารกิจหนึ่งของกรมวิทยาศาสตร์ การแพทย์ โดยความรว่ มมือของศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อให้ห้องปฏิบัตกิ ารทางการแพทยแ์ ละห้องปฏิบัติการ รังสวี นิ จิ ฉัยทุกแห่งในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข มีการพัฒนาศักยภาพหรือยกระดบั ความสามารถในการ สร้างเสริมความเข้มแข็งของระบบ คุณภาพที่มีมาตรฐาน และบุคลากรของ ห ้ อ ง ป ฏิ บ ั ต ิ ก า ร ท า ง ก า ร แ พ ท ย ์ แ ล ะ ห้องปฏบิ ัตกิ ารรงั สวี ินจิ ฉัย สามารถพฒั นา งานประจาตามระบบคุณภาพสู่งานวิจัย หรือสร้างนวัตกรรมที่สนับสนุนการ ดาเนนิ งานของห้องปฏบิ ตั ิการได้ การดาเนินโครงการฯ เป็นการจัดประชุมเพือ่ วางแผนการพัฒนา/ดาเนินกิจกรรมและยกระดับความเข้มแขง็ ของระบบคุณภาพให้กับโรงพยาบาลเครือข่ายในเขตพื้นที่รับผิดชอบ จานวน 4 ครั้ง ณ สานักงานสาธารณสุขจังหวัด สงขลา เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564, สานักงานสาธารณสุขจังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2564, สานักงาน สาธารณสุขจังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 และสานักงานสาธารณสุขจังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2564 และจัดประชุม/สัมมนาเรื่อง “แนวทางการสร้างนวัตกรรมทางห้องปฏิบัติการรังสีวินิจฉัยของ โรงพยาบาลในสงั กดั กระทรวงสาธารณสุข เขตสขุ ภาพท่ี 12” เพ่ือพฒั นาระบบคุณภาพมาตรฐานห้องปฏิบัติการรังสี วินิจฉัย และการจัดทานวัตกรรม/R2R/งานวิจัยของห้องปฏิบัติการรังสีวินิจฉัยโรงพยาบาลในเขตบริการสุขภาพท่ี 12 (สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง พัทลุง และสตูล) เมื่อวันที่ 22 - 23 มีนาคม 2564 จัดโดยศูนย์วิทยาศาสตร์ การแพทย์ที่ 12 สงขลา รว่ มกับศูนยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12/1 ตรัง โดยมีบคุ ลากรจากห้องปฏิบัติการรงั สีวินิจฉัย ของโรงพยาบาล และสานักงานสาธารณสขุ จงั หวัด ในเขตสุขภาพท่ี 12 รวมผูเ้ ขา้ รว่ มอบรมทั้งส้นิ 70 คน ณ โรงแรมสงขลาเมอรเ์ มด จงั หวดั สงขลา หนา้ 31
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ผลการดาเนนิ งานหลังจากการจัดประชุมฯ ทาใหผ้ ปู้ ฏิบตั ิงานของห้องปฏิบัติการรังสวี ินจิ ฉัยมีการแลกเปล่ียน แนวความคิด และสามารถพัฒนาต่อยอดงานประจาสู่การสร้างนวตั กรรมได้สาเร็จ และมีการนาเสนอผลงานเครือข่าย ห้องปฏิบัติการทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการรังสีวินิจฉัย ในวันที่ 20 สิงหาคม 2564 ผ่านระบบ Application Zoom โดยในเขตบริการสุขภาพท่ี 12 ได้นวัตกรรมจากโรงพยาบาลธารโต จังหวัดยะลา เรื่อง “ผลของการใช้ไฟแดง ในการถ่ายภาพรังสีปอดต่อการหายใจเข้าจนเห็นถึงกระดูกซี่โครงที่ 10 ในผู้ป่วยสูงอายุ” และนวัตกรรมจาก โรงพยาบาลสตลู จงั หวดั สตลู เร่ือง “อุปกรณ์จับยึดเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) สาหรับถ่ายภาพเอกซเรย์ เคลื่อนท่ี” หน้า 32
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงการจัดทาคา่ ปริมาณรังสีอา้ งอิงจากการถ่ายภาพรงั สีวนิ ิจฉัย กล่มุ งานรังสแี ละเคร่ืองมือแพทย์ การถ่ายภาพรังสีวินิจฉัย (Diagnostic Radiography) ของอวัยวะแต่ละส่วน เจ้าหน้าที่รังสีจะกาหนดค่าทาง เทคนิคที่เครื่องเอกซเรย์แตกต่างกันตามขนาดของผู้ป่วย รวมทั้งองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ตัวรับภาพรังสี และความรู้ทักษะของผู้ปฏิบัติงาน เจ้าหน้าที่รังสีไม่ได้วัดว่าใช้ปริมาณรังสีสาหรับผู้ป่วยมากน้อยเพียงใด เพียงแต่ดู คุณภาพของภาพรังสีที่ได้เท่านั้น บางครั้งอาจจะใช้ปริมาณรังสีมากเกินไป ทาให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่วยและผู้ใช้งาน ดงั นน้ั เพือ่ ตรวจสอบและเปรียบเทยี บไมใ่ ห้มีการใช้ปรมิ าณรังสีกับผู้ปว่ ยสูงเกินไป โดยการวัดปริมาณรังสีที่ใช้ถ่ายภาพ รังสีให้กับผู้ป่วยจากหลายโรงพยาบาล เพื่อให้โรงพยาบาลนาไปใช้เปรียบเทียบกับค่าปริมาณรังสีอ้างอิงจากการ ถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยด้วยเครื่องเอกซเรย์ เพื่อช่วยควบคุมไม่ให้มีการใช้ปริมาณรังสีกับผู้ป่วยสูงเกินความจาเป็น เป็น การชว่ ยลดปัจจัยเสี่ยงทีเ่ ป็นอนั ตรายต่อสขุ ภาพของผปู้ ่วย การดาเนนิ โครงการฯ เป็นการเก็บข้อมลู ปรมิ าณรังสีเชงิ พ้นื ท่ี (Dose Area Product : DAP) โดยใชห้ นุ่ จาลอง เทียบเท่าความหนาของผู้ป่วย (Phantom PMMA) จากโรงพยาบาลที่มีการให้บริการด้านรังสีวินิจฉัยด้วย เครื่องเอกซเรย์ดิจติ อลแบบ DR (Digital Radiography) ทั่วประเทศรวม 466 เครื่อง โดยในเขตพื้นทีร่ ับผิดชอบศนู ย์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา ประกอบด้วยโรงพยาบาลกลุ่มเป้าหมาย จานวน 26 แห่ง ทั้งจากโรงพยาบาล ภาครฐั และภาคเอกชน รวมจานวน 61 เครอื่ ง สรุปหลงั จากการวเิ คราะห์ขอ้ มูลทาใหไ้ ดค้ ่าปริมาณรงั สอี ้างอิงสาหรับเคร่ืองเอกซเรยด์ จิ ิตอลแบบ DR (Digital Radiography) ของประเทศ และเผยแพร่ค่าปริมาณรังสีจากการถ่ายภาพรังสีวินิจฉัยเพื่อให้โรงพยาบาลนาไปใช้ อ้างอิงในการพัฒนาการถ่ายภาพรังสีให้กับผู้ป่วยภายใต้พระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 หน้า 33
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา การจดั ทาอปุ กรณป์ ิดคอลลเิ มเตอร์ (Collimator) สาหรับเครื่องเอกซเรยเ์ ตา้ นม เพ่ือวัดรงั สีรัว่ จากหลอดเอกซเรย์ กลุ่มงานรงั สแี ละเคร่ืองมือแพทย์ การทดสอบปริมาณรังสีรั่ว (Leakage Radiation dose) เป็นรายการทดสอบหนึ่งในการทดสอบ มาตรฐานคุณภาพเครื่องเอกซเรย์เต้านม ตามประกาศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เรื่อง มาตรฐานคุณภาพ เครื่องเอกซเรย์วินิจฉัยทางการแพทย์ พ.ศ.2562 สาหรับวธิ ีการทดสอบปรมิ าณรังสีรัว่ จากหลอดเอกซเรย์ของ เครื่องเอกซเรย์เต้านมที่นักฟิสิกส์รังสีปฏิบัติ คือ นาแผ่นตะกั่วความหนา 1.5 มิลลิเมตร ไปปิดคอลลิเมเตอร์ (Collimator) ของหลอดเอกซเรย์ แล้วทาการวัดปริมาณรังสีรั่วจากหลอดเอกซเรย์ ที่ระยะห่าง 1 เมตร จาก จุดโฟกัส แต่พบว่าแผ่นตะกั่วความหนา 1.5 มิลลิเมตร มีน้าหนักมากเป็นอุปสรรคในการติดตั้งให้แผ่นตะกั่วฯ ใหแ้ นบสนทิ กับผิวหน้า housing collimator ซงึ่ หากแผน่ ตะก่ัวไม่แนบสนิทกับผวิ หนา้ housing collimator จะทาให้รังสีเอกซ์สามารถสะท้อนผ่านช่องว่างดังกล่าว ส่งผลให้ค่าที่วัดได้ของการทดสอบปริมาณรังสีรั่วจาก หลอดเอกซเรย์ มีค่าผิดพลาดไปจากที่ควรจะเป็น จึงเกิดแนวคิดที่จะจัดทาอุปกรณ์ปิดคอลลิเมเตอร์ (Collimator) สาหรับเครือ่ งเอกซเรย์เตา้ นม เพอื่ ใชส้ าหรับวดั รังสรี ่วั จากหลอดเอกซเรย์ให้มีประสิทธิภาพและ สะดวกในการใช้งาน กอ่ ให้เกดิ ความเชอื่ ม่ันในผลการทดสอบปริมาณรงั สีรั่ว (Leakage Radiation dose) การ จัดทาอุปกรณ์ปิดคอลลิเมเตอร์ สาหรับเครื่องเอกซเรย์เต้านม โดยนาแผ่นตะกั่วหนา 1.5 มิลลิเมตร มา ออกแบบตัดและบัดกรีเพื่อทาอุปกรณ์ปิดคอลลิเมเตอร์ ให้มีลักษณะเป็นลิ้นเพื่อสอดเข้าไปในช่องคอลลิเม เตอร์ส่งผลให้อุปกรณ์ปิดคอลลิเมเตอร์แนบสนิทกับช่องและหน้าสัมผัสคอลลิเมเตอร์ จนไม่เกิดช่องว่างที่รังสี เอกซ์ จะกระเจิงออกมาขณะวัดปริมาณรังสีรั่วจากหลอดเอกซเรย์ ทาให้สะดวกในการปฏิบัติงานในขั้นตอน การทดสอบ และก่อให้เกิดความเชื่อมั่นในผลการทดสอบปริมาณรังสีรั่ว (Leakage Radiation dose) ของ เครื่องเอกซเรย์เต้านมมีความถูกต้องตามประกาศกาศกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ฯ คาสาคญั : คอลลเิ มเตอร์ (Collimator) หมายถึง อปุ กรณท์ ่ีทาหนา้ ทค่ี วบคุมปรับขนาดของลารังสีเอกซ์ housing collimator หมายถงึ อปุ กรณท์ บี่ รรจุหลอดเอกซเรย์ และป้องกนั ความเสยี หายทีจ่ ะ เกิดข้ึนกบั หลอดเอกซเรย์ทอี่ ยภู่ ายใน ลักษณะเปน็ ถังทรงกระบอก ทาด้วยอลูมเิ นยี ม ภายในบุ ดว้ ยแผ่นตะก่ัว เรียก Lead shield มชี ่องเปิดเพ่อื เป็นท่ใี หร้ ังสีเอ็กซ์ออกมาจากหลอด เรียกว่า Tube port ซ่ึงช่องนจ้ี ะมอี ุปกรณ์มาต่อเช่ือมคือ Collimator หน้า 34
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงการบรู ณาการ “ขบั ข่ีปลอดภัย ม่นั ใจไรแ้ อลกอฮอล์” สนบั สนุนนโยบายลดอบุ ตั ิเหตุทางถนน กลมุ่ งานพิษวทิ ยา ปัญหาอบุ ตั เิ หตทุ างถนน ยังเป็นปัญหาสาคญั ในเขตพ้ืนท่ี 4 จงั หวัดภาคใต้ ไดแ้ ก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา และ นราธิวาส ซึ่งอุบัติเหตุทางถนนไดส้ ร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ดังนั้น การดาเนินงานเชิงบูรณาการรว่ มกับ หน่วยงานทเ่ี ก่ยี วข้องเป็นเร่อื งสาคญั และจาเป็นต่อการสนับสนนุ นโยบายลดอุบัตเิ หตทุ างถนนของเขตสุขภาพท่ี 12 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โดย ห้องปฏิบัติการพิษวิทยา มีบทบาทหน้าที่ในการตรวจ วิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด เพื่อประโยชนต์ ่อการ นาไปใช้ประกอบอรรถคดีทางกระบวนงานยุติธรรมและ คุ้มครองสังคม ซึ่งจากข้อมูลการตรวจวิเคราะห์ทาง ห้องปฏิบัติการ ปีงบประมาณ 2564 ดาเนินการไปทั้งสิ้น 427 ตัวอยา่ ง ตรวจพบปรมิ าณแอลกอฮอล์ในเลือด เกนิ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ จานวน 164 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 38.4 ของจานวนตวั อย่างที่ส่งตรวจ และจากข้อมูลย้อนหลัง ตั้งแต่ปี 2562-2564 พบว่าแนวโน้มการส่งตรวจปริมาณ แอลกอฮออลใ์ นเลอื ดตัวอยา่ งเพิ่มขึ้น การดาเนินงานเพื่อสนับสนุนนโยบายลดอุบัติเหตุทางถนน ในเขตพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส มีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี เนื่องจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสาคัญและปฏิบัติงานเชิงบูรณา การเพื่อที่จะลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ภายใต้หัวข้อการรณรงค์ “ขับขี่ปลอดภัย มั่นใจไร้ แอลกอฮอล์” หนา้ 35
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา โครงการบูรณาการคุณภาพผลิตภัณฑแ์ อลกอฮอล์เพอื่ สุขอนามัยสาหรบั มือ (Alcohol-Based Hand Rub) ทผี่ ลิตและวางจาหน่ายในประเทศไทย ปงี บประมาณ 2564 เขตสขุ ภาพที่ 12 กล่มุ งานพษิ วิทยา ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา และศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ทั้ง 14 แห่งร่วมกับสานัก เครื่องสาอางและวัตถุอันตราย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ดาเนินการโครงการบูรณาการคุณภาพผลิตภัณฑ์ แอลกอฮอล์เพ่ือสุขอนามัยสาหรับมือ (Alcohol-Based Hand Rub) ทผ่ี ลิตและวางจาหน่ายในประเทศไทย ประจาปี งบประมาณ 2564 เพื่อสารวจคุณภาพและผลิตภัณฑ์ทาความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ทั้งก่อน จาหน่าย (pre-marketing) และหลังจาหน่าย (post-marketing) ในระหวา่ งปีงบประมาณ 2564 โดยมวี ตั ถุประสงค์ เพื่อเพม่ิ ความสามารถของห้องปฏบิ ัตกิ ารในการตรวจวิเคราะห์หาปริมาณแอลกอฮอลใ์ นผลติ ภัณฑ์ทาความสะอาดมือ ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ ในการเฝา้ ระวัง ติดตามคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานตามประกาศกระทรวง สาธารณสขุ เพื่อประโยชนใ์ นการคุ้มครองผู้บริโภคจากผลติ ภัณฑท์ ี่ไม่ได้มาตรฐาน ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โรคโควิด-19 โครงการพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการในการ วิเคราะห์ปริมาณแอลกอฮอล์ในผลิตภัณฑ์ทาความสะอาดมือ ทีม่ ีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบโดยวิธี GC-FID โดยมีสภาวะ ที่เหมาะสมของเครื่อง GC-FID คอลัมน์ DB-624, Column Oven 70 ํC ถึง 90 ํC, Injection temperature 200 ํC แ ล ะ Detector temperature 250 ํ C พ บ ว่ า เมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ บิวทิลแอลกอฮอล์ และเอนโพรพิลแอลกอฮอล์สามารถแยก ออกจากกันได้ดี ภายในเวลา 6 นาที และจากการศึกษาความ ใช้ได้ของวิธี (Method validation) พบว่าเมทิลแอลกอฮอล์ เอทิลแอลกอฮอล์ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ และเอนโพ รพิลแอลกอฮอล์ มีความเป็นเส้นตรง (Linearity) อยู่ในช่วง 0.5-5.0 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร, r2 = 0.9992, 0.9999, 1.000 และ 0.9997 ตามลาดับ มีค่าร้อยละของการได้กลับคืน (%Recovery) อยู่ในช่วง 95.86 – 102.24 และการ ทดสอบการวิเคราะห์ซ้าในวันเดียวกัน (Intra-day precision) มีค่า %RSD อยู่ในช่วง 0.15 - 0.61 การทดสอบการ วิเคราะห์ซ้าในระหว่างวัน (Inter-day precision) มีค่า %RSD อยู่ในช่วง 0.30 - 0.67 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (%RSD ไม่เกิน 3%) และวิธีนี้มีขีดจากัดของการตรวจวัด (LOD) ของเมทิลแอลกอฮอล์, เอทิลแอลกอฮอล์, ไอโซโพ รพิลแอลกอฮอล์ และเอนโพรพิลแอลกอฮอล์ เท่ากับ 0.11, 0.15, 0.47 และ 0.35 % v/v ตามลาดับ และความ เข้มข้นต่าสดุ ทีว่ ิเคราะห์ในเชิงปริมาณ (LOQ) เท่ากับ 1.57, 2.20, 4.63 และ 5.72 % v/v ตามลาดับ ซึ่งวิธนี ้ีมคี วาม เหมาะสมและสามารถเปิดให้บริการตรวจวิเคราะห์คุณภาพผลิตภัณฑ์ทาความสะอาดมือที่มีแอลกอฮอล์เป็น สว่ นประกอบได้ หนา้ 36
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา จากการดาเนินการเก็บและตรวจวเิ คราะหต์ วั อยา่ งผลิตภณั ฑท์ าความสะอาดมือทผ่ี ลติ หรือวางจาหนา่ ยในเขต พน้ื ทีร่ บั ผิดชอบของศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา จานวน 36 ตัวอยา่ ง พบว่าชนิดและปรมิ าณแอลกอฮอล์ เป็นไปตามที่กฎหมายกาหนด (70 %v/v ขึ้นไป) จานวน 22 ตัวอย่าง คิดเป็น ร้อยละ 61.11 และมีปริมาณแอลกอฮอล์น้อยกว่าที่กฎหมายกาหนด จานวน 14 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 38.89 ซึ่งจากผลการวิเคราะห์ดังกล่าวแสดงให้ เห็นว่าประชาชนในจังหวัดสงขลามีความเสี่ยงที่จะใช้สเปรย์แอลกอฮอล์และ เจลแอลกอฮอล์ที่ไม่มปี ระสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อ ดังนั้นประชาชนจึงควรเลอื ก ผลิตภณั ฑ์ที่มีมาตรฐานในการฆ่าเช้ือเพื่อป้องกันตวั จากสถานการณ์การระบาด ของโรค Covid-19 หนา้ 37
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงการพฒั นาระบบเฝ้าระวังเช้ือดอ้ื ยาตา้ นจุลชพี ระดับชาติสูร่ ะดับโลก : การพฒั นาเครือข่าย หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารอ้างอิงระดบั ภูมภิ าค (Enhanced Incorporation of Global and National Antimicrobial Resistance Surveillance: EIGNA) กล่มุ งานพยาธวิ ทิ ยาคลินกิ การดื้อยาต้านจุลชีพ เป็นภัยคุกคามที่สำคัญทางสาธารณสุขและนับวันยิ่งส่งผลทวีความรุนแรงมากขึ้น ปัจจุบันมีการรายงานเชื้อแบคทีเรียดื้อยาอุบัติใหม่ในหลายประเทศ ส่งผลให้โรคติดเชื้อต่างๆ ที่ควบคุมได้กลับมา ระบาดและมีค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่มขึน้ เพราะเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพมากขึ้น ระบบการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ทางห้องปฏิบัติการ จึงเป็นกระบวนการสำคัญในการติดตามสถานการณ์และแนวโน้มของเชื้อดื้อยา ทั้งใน ระดับประเทศและระดับโลก ดังนั้นในปีงบประมาณ 2564 กลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จัดทำโครงการพัฒนาระบบเฝ้า ระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพระดับชาติสู่ระดับโลก (Enhanced Incorporation of Global and National Antimicrobial Resistance Surveillance : EIGNA) โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณภายใต้ความร่วมมือไทย- สหรัฐ ด้านสาธารณสุข (Thailand MOPH-U.S.CDC Collaboration) โดยมีเป้าหมายเพื่อ จัดตั้งเครือข่ายห้องปฏิบัติการอ้างอิงการเฝ้า ระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพระดับภูมิภาค โดยในเขตภาคใต้ จัดตั้งท่ี ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา มีวัตถุประสงค์เพ่ือรายงาน การระบาดของเช้ือแบคทีเรยี ดื้อยาในพนื้ ท่ี ใหท้ ันต่อการควบคุมเช้ือด้ือ ยาในโรงพยาบาลและเฝ้าระวังเชอื้ ดื้อยาอุบตั ใิ หม่ของประเทศ กลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก ได้เตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาบุคลากร โดยส่งนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ เข้าอบรมรับการถ่ายทอดเทคนิควิธีการตรวจยืนยันเชื้อแบคทีเรียและยีนดื้อยา จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เตรียมเครื่องมือวิทยาศาสตร์ และรับนิเทศงานจากทีมผู้เช่ียวชาญ เพื่อจัดตัง้ ห้องปฏิบัติการอ้างอิงตรวจวิเคราะหเ์ ชอ้ื ดอ้ื ยากลมุ่ ทมี่ ีแนวโน้มเป็นปัญหาดา้ นสาธารณสุขท่ีสำคญั ของประเทศ 8 ชนิด โดยในปงี บประมาณ 2564 ได้รับตรวจ ยืนยันเชื้อดื้อยา ที่ส่งยืนยันจากโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิก EIGNA จำนวน 5 แห่ง คือ รพ.หาดใหญ่, รพ.มหาราช นครศรีธรรมราช, รพ.วชิระภูเก็ต, รพ.สุราษฎร์ธานี และ รพ.ตากสิน จำนวน 449 สายพันธ์ุ โดยตรวจคู่ขนานกบั ฝ่าย แบคทีเรียทั่วไป สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ด้านเทคนิค Identification และ ตรวจวเิ คราะหย์ ีนด้อื ยาด้วยวิธี PCR ผลการเปรียบเทยี บใหผ้ ลสอดคล้อง ร้อยละ 100 และรอ้ ยละ 90.79 ตามลำดับ นอกจากนั้นห้องปฏิบัติการฯ ได้ผ่านการตรวจประเมิน Laboratory Assessment Antibiotic Resistance Testing Capacity (CDC) ซึ่งผลการดำเนินงานที่ผ่านมา แสดงถึงความพร้อมของกลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินิก ในการเป็น ห้องปฏิบัติการอ้างอิงการเฝ้าระวังเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพ ระดับภาคใต้ เพื่อเฝ้าระวังการระบาดของเชื้อแบคทีเรียด้ือ ยา และเฝา้ ระวงั เช้ือดือ้ ยาอบุ ตั ใิ หมใ่ นประเทศ ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ หน้า 38
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ยว์ ิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา การทดสอบความชานาญทางหอ้ งปฏิบตั ิการหน่วยบริการปฐมภมู ิ การตรวจภาวะตง้ั ครรภ์ การตรวจโปรตนี และน้าตาลในปสั สาวะ กลุ่มงานพยาธิวิทยาคลินกิ ระบบสุขภาพของประเทศไทยขยายการเข้าถึงบริการสุขภาพ โดยมีการสร้างสถานีอนามัย ครอบคลุมในทุก พื้นที่ทั่วประเทศ ปัจจุบันสถานีอนามัยได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบล (รพ.สต.) ได้มีการ ยกระดบั การให้บรกิ ารดา้ นการส่งเสรมิ ป้องกนั รักษา ฟื้นฟู รวมถึงงานคุ้มครองผบู้ ริโภค ทาใหป้ ระชาชนได้รับบริการ สุขภาพปฐมภูมิอย่างครอบคลุม ครบถ้วน และสาคัญที่สุดคือมีคุณภาพมาตรฐาน กระทรวงสาธารณสุขจึงกาหนด โครงการพัฒนาคุณภาพหน่วยบริการปฐมภูมิ ที่เรียกว่า โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตาบลติดดาว (รพ.สต.ติดดาว) โดยกาหนดยุทธศาสตร์พัฒนาความเป็นเลิศใน 4 ด้าน (P&P, Service, People, Governance) ซึ่งเกณฑ์คุณภาพ รพ.สต.ติดดาว หมวด 4 บริการดี การจัดระบบบริการสนับสนุน ในด้านระบบคุณภาพและมาตรฐานทาง ห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุข (LAB) ของ รพ.สต.กาหนดให้มีการประกันคุณภาพการทดสอบคือมี การควบคุมคุณภาพโดยองค์กรภายนอก (External Quality Assessment, EQA) หรือเปรียบเทียบผลระหว่าง ห้องปฏิบัติการ (Inter-lab) ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา จึงจัดทาโครงการการทดสอบความชานาญทางห้องปฏิบัติการหน่วย บรกิ ารปฐมภมู ิ ใน 3 รายการทดสอบ คือ การตรวจภาวะตงั้ ครรภ์ การ ตรวจโปรตีนและน้าตาลในปัสสาวะ โดยมีวัตถุประสงค์พัฒนา ความสามารถเพื่อให้บริการแผนการทดสอบความชานาญทาง ห้องปฏิบัติการหน่วยบริการปฐมภูมิ และสนับสนุนระบบคุณภาพ ห้องปฏิบัตกิ ารหนว่ ยบริการปฐมภูมิใหส้ ามารถตรวจสอบความสามารถของห้องปฏิบัติการเองและเปรียบเทียบผลกับ หอ้ งปฏิบตั กิ ารอน่ื ได้ ผลการดาเนินงานศูนย์ฯมีการพัฒนาบุคลากรด้วยการศึกษาดูงาน ณ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 สมทุ รสงคราม และรบั สมาชิกแผนทดสอบความชานาญดว้ ยการประชาสัมพนั ธผ์ ่านสานักงานสาธารณสุขจังหวัดทั้ง 7 แห่ง ในเขตสุขภาพที่ 12 ซึ่งมหี นว่ ยบริการปฐมภูมิสมัครเข้ารว่ มแผนทดสอบความชานาญ จานวน 172 แหง่ สมาชิก ได้รับวัตถุตัวอย่างทดสอบความชานาญ 2 รอบ รอบละ 3 ตัวอย่าง ผลการเข้าร่วมแผนทดสอบความชานาญพบว่า สมาชกิ 172 แห่ง โดยสมาชิกท่ีเข้าร่วมแผนฯจะได้รบั 1.รายงานเบ้ืองต้น เพ่อื นาไปเปรียบเทียบผลของห้องปฏิบัติการ เองกบั คา่ เป้าหมาย 2.รายงานเฉพาะแห่ง 3.รายงานสรุปฉบับสมบูรณ์ของแต่ละรอบ จากการประเมนิ สมาชกิ พบว่า มี รายงานผลกลับ ร้อยละ 93.60 และ ร้อยละ 87.79 ในรอบที่ 1 และรอบที่ 2 สมาชิกรายงานผลการตรวจภาวะ ตั้งครรภ์สอดคล้องกับค่าเป้าหมายร้อยละ 95.65 และ 97.35 ในรอบท่ี 1 และ 2 ตามลาดับ การตรวจโปรตีนและ น้าตาลในปัสสาวะพบว่าสมาชิกรายงานผลการทดสอบสอดคล้อง การตรวจโปรตีน 81.13 และ 82.78 การตรวจ นา้ ตาล 90.6 และ 86.75. ในรอบที่ 1 และ 2 ตามลาดับ สมาชิกรายงานผลการทดสอบไม่สอดคล้องกับค่าเป้าหมาย อาจเกิดจากหลายสาเหตุได้แก่ ผู้ทดสอบไม่ได้ปฏิบัติตามคู่มือที่แนบมากับชุดทดสอบ อาจผู้ทดสอบอ่านผลการ ทดสอบเร็วเกินไป หรอื ท้งิ ไวน้ านเกินไปกว่าจะอ่านผลการทดสอบ ทาใหส้ ขี องแถบทดสอบอ่อนหรอื เขม้ กว่าปกติ หน้า 39
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา ส่งผลให้อ่านผลการทดสอบผิดพลาดรวมทั้งความผิดพลาด ในการกรอกข้อมูล สมาชิกรายผลการตรวจ และยังมี รพ.สต.ที่ไม่รายงานผลการทดสอบ การสื่อสาร ให้เจ้าหน้าที่ รพ.สต เห็นความสาคัญของการประกันคุณภาพการทดสอบ จึงเป็น เรื่องสาคัญ รวมถึงจากสถานการณ์การระบาดของโรค COVID-19 ทาให้ รพ.สต. และหน่วยบรกิ ารปฐมภมู ิมีภาระหน้าที่ต้องคน้ หาเชิงรุก ดแู ลผูป้ ว่ ย และสารวจการ ฉีดวัคซีน ต้องออกพื้นที่ทุกวันไม่ได้อยู่ที่ทางาน ทาให้หลายแห่งไม่ทราบถึงการรับ สมัคร หรือสมัครแล้วไม่ได้ทดสอบตัวอย่าง ในการรับสมัคร ปี 2565 ต้องเปิดรับ สมัครให้เร็วกว่าเดิม แต่ระยะเวลาการรับสมัครให้ยาวขึ้น จะได้ประชาสัมพันธ์ได้ ท่วั ถึง และหน่วยบริการปฐมภมู มิ ีระยะเวลาเพียงพอในการสมัคร หน้า 40
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา Area Based หนา้ 41
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา การพัฒนาห้องปฏบิ ตั ิการยาเพือ่ ขยายงาน และเพิ่มศกั ยภาพการตรวจวเิ คราะหด์ ว้ ยเทคนิคขั้นสงู ในผลติ ภัณฑเ์ สรมิ อาหาร ยา เคร่ืองสาอาง และกัญชาทางการแพทย์ กลมุ่ งานยา ห้องปฏิบัติการยา ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา มีภาระกิจตรวจวิเคราะห์คุณภาพและสิ่งปน ปลอมในผลิตภัณฑ์สขุ ภาพชนดิ ตา่ ง ๆ ได้แก่ ยา ยาเสพติด เครอ่ื งสาอาง สมนุ ไพร และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แตเ่ น่อื ง ด้วยสถานการณ์ปัจจบุ ันไดม้ ีการเปลีย่ นแปลงในดา้ นต่างๆ มากขึ้น ทั้งข้อกฎหมาย เทคนิคและวิธีการตรวจวิเคราะห์ ซึ่งส่งผลต่อการตรวจวิเคราะห์ของห้องปฏิบัติการ เช่น การประกาศใช้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 ที่เปิดช่องให้สามารถนากัญชามาให้ประโยชน์ทางการแพทย์ ทาให้ต้องเพิ่มการตรวจคุณภาพและปริมาณ สารสาคัญในกัญชาและกัญชง การเพิ่มการปนปลอมยาและวัตถุออกฤทธิ์ชนิดใหม่ๆ ที่ผิดกฎหมายในผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร และการปนปลอมสารหา้ มใชก้ ล่มุ สเตยี รอยดใ์ นผลิตภัณฑเ์ คร่อื งสาอางหลากหลายชนิดมากขน้ึ เหล่านส้ี ่งผลให้ ห้องปฏิบัติการยาต้องพัฒนาวิธีให้มีศักยภาพมากขึ้นเช่นกัน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 กลุ่มงานยาจึงได้พัฒนา ห้องปฏิบัติการเพื่อขยายงาน และเพิ่มศักยภาพการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคขั้นสูงในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยา เครื่องสาอาง และกัญชาทางการแพทย์ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ห้องปฏิบัติการยาสามารถเปิดให้บริการตรวจ วเิ คราะหไ์ ดค้ รอบคลุม ทนั กับสถานการณ์ และมีความแมน่ ยามากข้นึ ดงั น้ี 1. การพัฒนาด้วยเทคนคิ LC-MS 1.1 การตรวจยืนยนั เอกลกั ษณ์ยาและวตั ถุออกฤทธิ์ 8 ชนิด ท่ปี นปลอมในผลิตภัณฑเ์ สริมอาหารในครงั้ เดยี วกนั แตเ่ ดมิ หอ้ งปฏิบัติการใชว้ ธิ ีตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิค TLC ซึ่งสามารถแยกสารได้เพียง 6 ชนิดพร้อมกัน ซึ่งใช้เวลานาน และ ตรวจวิเคราะห์ในตวั อย่างทม่ี คี วามเขม้ ขน้ สงู จึงพฒั นาวธิ ีให้สามารถ ตรวจวิเคราะห์ได้พร้อมกัน 8 ชนิดในครั้งเดียวกัน ด้วยเทคนิค LC- MS โดยเตรียมตัวอย่างที่สกัดด้วยเอทานอลสาหรับฉีดปริมาตร 1 ไมโครลิตร ผ่าน Retain PEP Online SPE ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.1 มิลลิเมตร ความยาว 20 มิลลิเมตร ใช้เฟสเคลื่อนที่เป็นระบบ Gradient ชนิด Acetonitrile และน้า ด้วยอัตรา การไหล 0.5 มิลลิลิตรต่อนาที เพื่อแยกสารเบื้องต้น จากนั้นแยกสารอีกครั้งผ่านคอลัมน์ AccucoreTM C18 ขนาด เส้นผา่ ศนู ยก์ ลาง 2.1 มิลลิเมตร ความยาว 150 มลิ ลิเมตร ท่มี ีการควบคมุ อณุ หภูมิ 40 องศาเซลเซียส ใชเ้ ฟสเคล่ือนท่ี เป็นระบบ Gradient ชนิด 0.1 % Formic acid และ Acetonitrile ด้วยอัตราการไหล 0.4 มิลลิลิตรต่อนาที แล้ว ตรวจวดั ด้วย detector ชนิด mass และ diode array ทาการทดสอบความถูกต้องของวิธี พบมีความจาเพาะเจาะจง สามารถแยกสารได้ 8 ชนิดพร้อมกัน ได้ค่า Retention time ของ Ephedrine, Caffeine, Phentermine, Fenfluramine, Phenolphthalein, Bisacodyl, Sibutramine แ ล ะ Fluoxetine ท ี ่ 4.03, 7.62, 7.76, 10.89, 17.01, 19.07, 20.49 และ 21.30 นาที ตามลาดับ มีความแม่นจากการทดสอบความทวนซ้าได้ (Repeatability) มี ความเที่ยงของการเปลี่ยนสภาวะ (Intermediate Precision) และได้ค่า LOD ของสารทั้ง 8 ชนิดอยู่ในช่วง 10-500 ppb หน้า 42
รายงานประจาปี 2564 | ศูนยว์ ทิ ยาศาสตรก์ ารแพทย์ท่ี 12 สงขลา 1.2 การตรวจเอกลกั ษณย์ า 6 ชนิด ในของกลางยาแก้แพ้ แก้ไอ การตรวจเอกลักษณ์ของกลางกลุ่มยาแก้แพ้ แก้ไอ ใน ห้องปฏิบัติยาเดิมใช้เทคนิคพื้นฐาน คือ Color test และ Thin layer chromatography มีขั้นตอนการเตรียมตัวอย่างและการ วิเคราะห์หลายขั้นตอนทาให้ต้องใช้เวลานาน รวมถึงมีการใช้ สารเคมีปริมาณสูง จึงมีการพัฒนาการตรวจวิเคราะห์ เพื่อ ปรับเปลี่ยนวิธีวิเคราะห์ด้วยเทคนิคที่มีความถูกต้องแม่นยาและ ความไวสูง มีความปลอดภัย ลดภาระงานในการเตรียมตัวอย่าง และการวิเคราะห์ ซึ่งสามารถวิเคราะห์ยาได้พร้อมกัน 6 ชนิดใน ครั้งเดียว ด้วยเครื่อง LC-MS เตรียมตัวอย่างโดยเจือจางด้วยน้า ฉีดตวั อย่างท่ไี ดป้ ริมาตร 1 ไมโครลิตร ผา่ น Retain PEP Online SPE ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.1 ความยาว 20 มิลลิเมตร ใช้เฟสเคลื่อนที่ สารละลาย Ammonium formate ความ เข้มข้น 10 mM pH 10 เป็นระบบ Isocratic ด้วยอัตราการไหล 0.5 มิลลิลิตรต่อนาที เพื่อแยกสารเบื้องต้น เข้าสู่ คอลัมน์AccucoreTM C18 ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.1 ความยาว 150 มิลลิลิตร ควบคุมอุณหภูมิคอลัมน์ 40 องศา เซลเซียส ใช้เฟสเคลื่อนท่ีเป็นระบบ Isocratic ชนิด สารละลาย Ammonium formate ความเข้มข้น 15 mM pH 4 และ Acetonitrile สัดส่วน 75 ต่อ 25 ด้วยอัตราการไหล 0.4 มิลลิลิตรต่อนาที ตรวจวัดด้วย Mass และ Diode array detector ผลการทวนสอบความใช้ได้ของวิธี พบว่ามีความจาเพาะเจาะจง สามารถแยกสารได้ 6 ชนิดด้วยค่า Retention time และคา่ Mass ได้ค่า Retention time ของ Codeine, Chlorpheniramine, Brompheniramine, Dextromethorphan, Diphenhydramine และ Promethazine เป็น 2.63, 5.09, 5.79, 6.11, 7.20, 10.40 ตามลาดับ และคา่ LOD ของสารทั้ง 6 ชนิด มคี ่าอย่ใู นช่วง 1-100 ppb 2. การพัฒนาดว้ ยเทคนิค HPLC การตรวจเอกลกั ษณส์ ารหา้ มใช้ 10 ชนิด ในเครอื่ งสาอาง เดิมห้องปฏิบัติการตรวจวิเคราะห์สารห้ามใช้ในเครื่องสาอาง 9 ชนิด โดยแยกตรวจ Hydroquinone และ Retinoic acid ดว้ ยเทคนิค TLC และ UV-Vis Spectrophotometry และตรวจสารสเตยี รอยด์ 7 ชนิด ด้วยเทคนิค HPLC ทาให้สิ้นเปลืองเวลา และทรัพยากรในการตรวจวิเคราะห์ จึงได้พัฒนาวิธีให้สามารถตรวจ วิเคราะหไ์ ดพ้ ร้อมกัน 10 ชนดิ ในครง้ั เดียวกนั ด้วยเทคนิค HPLC และเพ่มิ การตรวจสารหา้ มใช้ชนิด Ketoconazole ที่ มีการตรวจพบปนปลอมในปี 2564 เตรียมตัวอย่างที่สกัดด้วยเมทานอลสาหรับฉีดปริมาตร 10 ไมโครลิตร เข้าสู่ คอลมั น์ ZORBRAX Eclipse XDB C-18 ขนาดเสน้ ผ่าศนู ย์กลาง 4.6 ความยาว 250 มิลลิเมตร ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ใช้เฟสเคลื่อนที่เป็นระบบ Gradient ชนิด สารละลาย Ammonium formate ความเข้มข้น 10 mM pH 2.9 และ Acetonitrile ด้วยอัตราการไหล 1.3 มิลลิลิตรต่อนาที ตรวจวัดด้วย detector ชนิด diode array ช่วง 200-400 นาโนเมตร ผลการทดสอบความถูกต้องของวิธี วเิ คราะหพ์ บว่ามคี วามจาเพาะเจาะจง (Specificity) สามารถแยกสารได้ 10 ชนิด หน้า 43
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา ด ้ ว ย ค ่ า Retention time แ ล ะ UV Spectrum โ ด ย ค ่ า Retention time ข อ ง Hydroquinone, Prednisolone, Hydrocortisone, Betamethasone, Dexamethasone, Ketoconazole, Triamcinolone acetonide, Betamethasone 17-valerate, Clobetasol propionate และ Retinoic acid เป็น 3.9, 11.4, 11.9, 16.9, 17.6, 20.6, 21.0, 25.4, 26.0 และ 37.5 นาที ตามลาดับ วิธีมีความแม่นจากการทดสอบความทวนซ้าได้ (Repeatability) มีความเที่ยงของการเปลี่ยนสภาวะ (Intermediate Precision) และค่า LOD ในตัวอย่าง เครอื่ งสาอางของสารมาตรฐานทง้ั 10 ชนดิ มคี า่ อยูใ่ นช่วง 0.0005 - 0.004 %w/w 3. การพัฒนาดว้ ยเทคนคิ GC-FID การตรวจวิเคราะหป์ รมิ าณ THC และ CBD ในพชื กัญชา กัญชง เพื่อให้ครอบคลุมวิธีวิเคราะห์การหาปริมาณสารสาคัญ THC และ CBD ตามคู่มือการส่งตรวจวิเคราะห์กัญชา และกญั ชง ตามนโยบายกญั ชาเสรีทางการแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์แพทย์ กระทรวงสาธารณสขุ พ.ศ.2564 กาหนดวิธี วิเคราะห์ไว้ 4 เทคนิค คือ HPLC, GC, LC-MS และ GC-MS/MS ซ่ึง เดิมห้องปฏิบัติการยาสามารถเปิดให้บริการตรวจวิเคราะห์ได้เฉพาะ เทคนิค HPLC จึงเพิ่มพัฒนาศักยภาพห้องปฏบิ ัติการใหส้ ามารถตรวจ วิเคราะห์ได้ด้วยเทคนิค GC-FID เตรียมตัวอย่างโดยสกัดด้วยเมทา นอล ใช้ 2, 2, 2-Triphenylacetophenone เปน็ Internal standard เตรียมสารละลายมาตรฐาน THC และ CBD อยู่ในช่วง 0.01-0.2 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตร ฉีดตัวอย่างปริมาตร 1 ไมโครลิตร เข้าสู่คอลัมน์ DB-5MS ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.25 มิลลิเมตร ความยาว 30 เมตร ใช้แก๊สฮีเลียมเปน็ ตัวพาดว้ ยอตั ราการไหล 2 มิลลิลิตรต่อนาที แบบอัตราการไหลคงที่ (Constant flow) สภาวะเครอื่ งมือ Injection temperature ท่ี 260 องศาเซลเซียส Detector temperatureที่ 280 องศาเซลเซียส Oven temperature ที่ 230 องศาเซลเซียส นาน 7 นาที แล้วเพิ่มขึ้นเป็น 260 องศาเซลเซียส ด้วย อัตรา 10 องศาเซลเซียสต่อนาที และคงให้ที่ 260 องศาเซลเซียส นาน 10 นาที ผล การทวนสอบความใช้ได้ของวิธีพบว่า มีความจาเพาะเจาะจง และไม่พบการรบกวน ของสารอนื่ มีความสมั พันธเ์ ชิงเส้นของกราฟมาตรฐานตลอดช่วงความเข้มขน้ ที่วดั ค่า LOD ของ THC และ CBD เท่ากับ 0.0077 และ 0.0087 และค่า LOQ เท่ากับ 0.0257 และ 0.0291 มิลลิกรัมต่อมิลลิลิตรตามลาดับ ความทวนซ้าได้อยู่ในเกณฑ์ท่ี กาหนด การเปรียบเทียบผลระหว่างห้องปฏิบัติการโปรแกรมการตรวจวิเคราะห์ ปริมาณสารสาคัญในพชื กญั ชาและกัญชง ผลการทดสอบพบวา่ ค่า z or z’ ≤2 ผลเปน็ ทน่ี า่ พอใจ จากการพัฒนาศักยภาพห้องปฏิบัติการยาดังกล่าว สามารถเพิ่มศักยภาพการตรวจวิเคราะห์ด้วยเทคนิคที่มี ความถูกต้องแม่นยาสูงขึ้น ซึ่งห้องปฏิบัติการจะได้นามาใช้ตรวจวิเคราะห์เป็นงานประจาต่อไป พร้อมเตรียมขยาย ขอบขา่ ยการรบั รอง ISO/IEC 17025 ตามระบบคณุ ภาพต่อไป หนา้ 44
รายงานประจาปี 2564 | ศนู ย์วิทยาศาสตรก์ ารแพทย์ที่ 12 สงขลา คณุ ภาพและความปลอดภยั ของผลิตภัณฑไ์ ข่ครอบ จังหวัดสงขลา กลมุ่ งานอาหาร ไข่ครอบ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารที่ได้จากภูมิปัญญาการถนอมอาหารอย่างหนึ่งของชาวประมงพื้นบ้านแถบริม ทะเลสาบสงขลาที่ชาวประมงแยกเอาเฉพาะไข่ขาวไปย้อมอวนและแหให้มีความเหนียว แต่ปัจจุบันมีการทาไข่ครอบ ขายเปน็ อาชีพ นาไปจาหน่ายตามงานเทศกาล ตลาดนัด รวมถึงร้านของฝากตามแหลง่ ท่องเท่ยี วและสนามบิน เปน็ ต้น แตย่ ังไม่มขี ้อมูลคุณภาพและความปลอดภยั ในผลิตภัณฑ์น้ี ดังนนั้ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จึงได้จดั ทาโครงการตรวจ เฝ้าระวงั คุณภาพและความปลอดภัยของผลติ ภัณฑ์ “ไข่ครอบ” ในจังหวดั สงขลาข้นึ โดยเกบ็ ตัวอยา่ งจากแหล่งผลิตท่ี ขึ้นทะเบียนไว้กับสานักงานพัฒนาชุมชนจานวน 3 แห่ง และจากแหล่งจาหน่ายจานวน 19 แห่ง รวมทั้งหมด 39 ตัวอย่าง ตรวจวิเคราะห์หาจานวนจุลินทรีย์ทั้งหมดและเชื้อโรคอาหารเป็นพิษ และตรวจวิเคราะห์การใช้สารเคมี ไดแ้ ก่ กรดเบนโซอคิ กรดซอรบ์ ิค โซเดียมคลอไรด์ และสีสังเคราะห์ ผลการวเิ คราะห์พบว่าผลิตภัณฑ์ไข่ครอบไม่ผา่ นมาตรฐานทั้งหมด 17 ตวั อยา่ ง จาก 39 ตวั อยา่ ง คิดเป็นร้อย ละ 43.6 โดยเป็นไข่ครอบจากแหล่งผลิต 1 แห่ง พบจานวนจุลินทรีย์รวมเกินเกณฑ์ คุณภาพทางจุลชีววิทยา จานวน 1 ตัวอย่าง และผลิตภัณฑ์ไข่ครอบจากแหล่งจาหน่าย ไม่ผ่าน จานวน 13 แห่ง จานวน 16 ตัวอย่าง โดยไม่ผ่านตามเกณฑ์คุณภาพทางจุล ชีววิทยาของอาหารจานวน 15 ตัวอย่าง (ร้อยละ 38.46) สาเหตุจากจานวนจุลินทรีย์ รวม S. aureus และ E. coli จานวน 4, 3 และ 2 ตวั อยา่ งตามลาดบั สาเหตจุ ากจานวนจลุ นิ ทรีย์รวม +S. aureus 3 ตัวอยา่ ง สาเหตจุ าก จานวนจุลินทรีย์รวม+ E. coli 2 ตัวอย่าง และสาเหตจุ าก จานวนจลุ ินทรียร์ วม + S. Aureus + E. coli 1 ตัวอย่าง สาหรับการใช้สารเคมีพบการใส่วัตถุกันเสีย กรดเบนโซอิค จานวน 1 ตัวอย่าง ปริมาณ 699 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ซึ่งไม่ผ่านตามตามประกาศกระทรวงสาธารณสขุ ฉบับที่ 418 ที่ห้ามใส่วตั ถกุ ันเสีย แต่ไม่พบการ ใช้สีสังเคราะห์ทุกตัวอย่าง สาหรับปริมาณเกลือมีค่าอยู่ในช่วง 0.93 % - 2.47 % คิดเป็นค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.54 % (คานวณเปน็ ปริมาณโซเดียม 0.605 %) สรุปผลิตภัณฑ์ไข่ครอบไม่มีการใช้สีสังเคราะห์เพื่อให้ไข่มีสีแดง มีการใช้วัตถุกันเสียเพียง 1 ตัวอย่างซึ่งไม่ เหมาะสมเนื่องจากเป็นสารห้ามใช้ในไข่ครอบ และมีการปนเปื้อนเชื้อโรคจากกระบวนการผลิตร้อยละ 38.46 ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องควบคุมกระบวนการผลิตตั้งแต่ขั้นตอนการทาความสะอาดเปลือกไข่เป็ด ขั้นตอนการแยกไข่แดง ออกจากไข่ขาว ต้องมีการทาความสะอาดมือทุกครั้ง และในขั้นตอนการแช่เกลือควรใช้ความเข้มข้นเกลือมากกว่า 20% ขึน้ ไปเพื่อยับย้ังการเจริญหรือทาลายเชื้อจุลนิ ทรีย์ หน่วยงานทีเ่ กี่ยวข้องกับการคมุ้ ครองผู้บริโภคควรให้ความรู้ ผู้ประกอบการถึงสุขลักษณะที่ดีในการผลิตไข่ครอบที่จาหน่ายให้มีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค สาหรั บผู้บริโภคควร เลอื กซือ้ จากรา้ นค้าหรอื แหลง่ จาหน่ายผลติ ภณั ฑ์ที่บรรจุในถงุ ปิดสนทิ สะอาด และผลติ ภัณฑ์ถกู จัดเกบ็ ไว้ในอุณหภูมิท่ี เหมาะสมขณะวางจาหน่าย และก่อนที่จะนามาบริโภคทุกครั้งควรอุ่นให้ร้อนอีกครั้ง ก่อนรับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดีควรรับประทานไข่ครอบวันละไม่เกิน 2 ฟอง เพื่อลด การได้รับไขมันและโซเดียมมากเกินไป หากทานไม่หมดในครั้งเดียวควรเก็บไว้ใน ภาชนะปิดสนิทและแช่ในตู้เย็นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์ แต่ไม่ควรเก็บไว้ นานจนเกินไปหรือเกินวันท่ีผผู้ ลติ แนะนา หน้า 45
รายงานประจาปี 2564 | ศูนย์วทิ ยาศาสตร์การแพทย์ท่ี 12 สงขลา โครงการประเมินการได้รับสมั ผสั แอฟลาทอกซินในวัตถดุ ิบขา้ วยาและกว๋ ยเตย๋ี ว ทจี่ าหน่ายในจงั หวดั สงขลา กลมุ่ งานอาหาร เชื้อราที่สร้างสารพิษชนิดแอฟลาทอกซิน ( Aflatoxin) สามารถปนเปื้อนในวัตถุดิบหรือเครื่องปรุงรสข้าวยา และก๋วยเตี๋ยวได้ โดยแอฟลาทอกซินที่พบทั่วไปคือ ชนิด B1 G1 B2 และ G2 ซึ่งชนิด B1 (AFB1) พบมากที่สุดและมี อันตรายต่อมนุษย์สูงสุด เป็นสารก่อมะเร็งในตับชนิดร้ายแรง จึงมีการควบคุมระดับการปนเปื้อนในอาหาร ตามประกาศ กระทรวงสาธารณสุข ฉบับท่ี 414 พ.ศ. 2563 เรือ่ งมาตรฐานอาหารที่มีสารปนเป้ือน กาหนดใหม้ สี ารแอฟลาทอกซินในถ่ัว ลิสงและอาหารอื่น ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่อกิโลกรัมของอาหาร ดังนั้นศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 12 สงขลา จัดทา โครงการประเมินการได้รับสัมผสั แอฟลาทอกซินในวัตถดุ ิบข้าวยาและกว๋ ยเต๋ียวที่จาหน่ายใน จงั หวัดสงขลาในปีงบประมาณ พ.ศ.2564 โดยการเก็บตวั อย่างวตั ถุดิบข้าวยาและก๋วยเต๋ียว จากผู้ผลิตที่ขึ้นทะเบียนเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ชุมชน และผู้จาหน่ายในตลาดสดจังหวัดสงขลา จานวน 60 ตวั อยา่ ง ประกอบดว้ ย ปลาป่น/กุง้ ป่น มะพร้าวคั่ว พรกิ ป่น และถ่ัวลิสงปน่ ชนิด ละ 15 ตัวอย่าง วิเคราะห์ปริมาณแอฟลาทอกซินด้วยเทคนิค High Performance Liquid Chromatography-FLD ประเมนิ การได้รับสัมผัสและบ่งบอกความปลอดภัยต่อสุขภาพโดย ใชค้ ่า The margin of exposure (MOE) approach ผลการศึกษา พบการปนเปื้อนแอฟลาทอกซิน จานวน 30 ตัวอย่าง (ร้อยละ 50) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน กาหนด จานวน 10 ตัวอยา่ ง (รอ้ ยละ 33.33) แบ่งเปน็ พรกิ ปน่ และถวั่ ลสิ งปน่ ชนิดละ 5 ตวั อยา่ ง (รอ้ ยละ16.67) โดย มีคา่ การปนเป้ือนแอฟลาทอกซนิ ทง้ั หมด (Total Aflatoxins) ในพริกปน่ ระหวา่ ง 1.18 - 47.87 ไมโครกรมั ตอ่ กิโลกรัม (g/kg) ถั่วลิสงป่น ระหว่าง 0.34 – 295 g/kg และพบการปนเปื้อน AFB1 มากกว่าชนิดอื่น อย่างไรก็ตามไม่พบ แอฟลาทอกซินในปลาปน่ / กงุ้ ปน่ และมะพรา้ วค่วั เมื่อนาข้อมูลมาประเมินการได้รับสัมผัสแอฟลาทอกซินที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยใช้ ค่าเฉลี่ยและค่ามัธยฐาน ที่พบในถั่วลิสงป่น เท่ากับ 33.42 และ 7.13 g/kg ตามลาดับ ในพริกป่นเท่ากับ 14.86 และ 9.47 g/kg ตามลาดับ และการได้รับสัมผัสแอฟลาทอกซินจากการบริโภคของคนไทยคานวณจากค่าเฉล่ีย ปริมาณบรโิ ภคของประชากรท้ังหมดท่ีอายุ 3 ปีขนึ้ ไป ได้เทา่ กับ 0.48 และ 0.17 นาโนกรมั ตอ่ น้าหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน (ng/kg.bw/day) ตามลาดับ แบ่งเป็น ถั่วลิสงป่น เท่ากับ 0.33 และ 0.07 ng/kg.bw/day ตามลาดับ และ พริกป่น เท่ากับ 0.15 และ 0.09 ng/kg.bw/day ตามลาดับ แล้วนามาคานวณ ความปลอดภัยต่อสุขภาพด้วย ค่า The margin of exposure (MOE) โดยเทียบกับค่าที่ต่ากว่าค่าจากัดความเชื่อมั่นของปริมาณท่ี เป็นเกณฑ์ เปรียบเทียบที่ 10% (BMDL10) ของแอฟลาทอกซินท่ีสง่ ผลต่อการเกดิ มะเร็งตับในหนูทดลองคือ 400 ng/kg.bw/day ได้ค่า MOE ของ AFB1 จากการบรโิ ภควัตถุดิบหรือเครือ่ งปรุงรสในข้าวยาและก๋วยเต๋ียว (ถั่วลิสงปน่ และพรกิ ป่น) อยู่ ในช่วง 828-2,410 (ถั่วลิสงป่นมีค่า MOE อยู่ในช่วง 1,197-5,610 และและพริกป่น มีค่า MOE อยู่ในช่วง 2,692- 4,224) ค่า MOE จากการบริโภครวมทง้ั ถัว่ ลิสงป่นและพริกป่น หรอื แยกเป็นแตล่ ะชนิดมีคา่ ตา่ กว่า 10,000 แสดงถึง ความเส่ยี งในการบรโิ ภค ปนเป้ือนในอาหารอย่างต่อเน่อื ง อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมสี ภาพอากาศที่ร้อนชื้น อาจทา หนา้ 46
Search