50 • อนาถบิณฑกิ เศรษฐี มีชื่อเดิมวา่ สุทตั ตะ เป็ นชาวเมือง สาวตั ถี • อนาถบิณฑกิ เศรษฐีถวาย วดั เชตวนั • อนาถบิณฑกิ เศรษฐี ซ้ือทดี่ ิน จาก เจา้ เชตราชกมุ าร สรา้ งวดั • พระพทุ ธองคท์ รงจาํ พรรษาที่ ๔๕ ณ เวฬวุ คาม เมืองเวสาลี แควน้ วชั ชี • คาํ วา่ “ ปลงอายสุ งั ขาร” หมายถึงการ ต้งั ใจที่จะตาย ณ ปาวาลเจดีย์ • วนั ท่ีพระพทุ ธองคท์ รงปลงอายสุ งั ขารตรงกบั วนั วนั เพญ็ เดือน ๓ • ผทู้ ที่ ูลเชิญพระพทุ ธองคใ์ หเ้ สด็จเขา้ สู่ปรินิพพานคอื พญามารวสวตั ตี • คาํ วา่ “นิมิตโอภาส” หมายถึง ตรสั ความทางออ้ มแก่พระอานนท์ • พระพทุ ธเจา้ ทรงทาํ นิมิตโอภาส ๑๖ คร้ัง ดงั น้ี ท่กี รุงราชคฤห์ ๑๐ คร้งั ท่ีเมืองไพสาลี ๖ คร้งั • ตามพทุ ธประวตั ิ เหตใุ หเ้ กิดแผน่ ดินไหว มี ๘ อยา่ ง ๑.ลมกาํ เริบ ๒. ท่านผมู้ ีฤทธ์ิบนั ดาล ๓. พระโพธิสตั วจ์ ุติจากดุสิตสู่พระครรภ์ ๔. พระโพธิสตั วป์ ระสุติจากครรภม์ ารดา ๕. พระตถาคตเจา้ ตรัสรู้อนุตรสมั มาสมั โพธิญาณ ๖.พระตถาคตเจา้ แสดงธรรมจกั รกปั ปวตั นสูตร ๗. พระตถาคตเจา้ ปลงอายสุ งั ขาร ๘. พระตถาคตเจา้ เสด็จปรินิพพานดว้ ยอนุปาทเิ สสนิพพาน • ทรงรบั ผา้ สิงคิวรรณ ๑ คู่ จากปุกกสุ ะ ราชบตุ รแห่งมลั ลกษตั ริย์ • พระฉววี รรณผอ่ งใสใน ๒ เวลา ๑. ในเวลาจะตรัสรู้อนุตตรสมั มาสมั โพธิญา ๒.ในราตรีที่จะปรินิพพานดว้ ยอนุปาทเิ สสนิพพาน • บณิ ฑบาตทาน ๒ คราวมีผลเสมอกนั (อานิสงส์มาก) ๑. บิณฑบาตทน่ี างสุชาดาถวายในวนั ตรัสรู้ ๒. บิณฑบาตรที่นายจุนทะถวายในวนั ปรินิพพาน • “อนุฏฐานไสยา” คอื การนอนทไี่ มล่ ุกข้ึนอีกเลย • การบชู ามี ๒ อยา่ ง ๑. อามิสบูชา คอื การบชู าวตั ถุสิ่งของ ๒. ปฏิบตั บิ ูชา คอื การบูชาดว้ ยการปฏิบตั ติ าม ทรงสรรเสริญปฏบิ ตั บิ ชุ า • ถูปารหบุคคลคือบคุ คลท่ีควรบรรจุใวใ้ นสถูปเพอื่ บูชา มี ๔ จาํ พวกคือ ๑. พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ๒. พระปัจเจกพระพทุ ธะเจา้ ๓. พระอรหนั ตสาวก ๔. พระเจา้ จกั รพรรดิ • สงั เวชนียสถาน คอื สถานทค่ี วรระลึกถึง มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. สถานทีป่ ระสูติ (ลุมพนิ ีวนั ) พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 50
51 ๒. สถานท่ีตรัสรู้ ( ตน้ พระศรีมหาโพธ์ิ) ๓. สถานทีแ่ สดงธรรมจกั กปั ปวตั นสูตร (ป่ าอิสิปตนมฤคทายวนั ) ๔. สถานท่ปี รินิพพาน คือ สาลวโนทยาน • สาวกองคส์ ุดทา้ ย มีช่ือวา่ สุภทั ทปริพาชก • ก่อนเสด็จปรินิพพานพระพทุ ธเจา้ ต้งั พระธรรมวนิ ยั เป็ นศาสดาแทน • ปัจฉิมโอวาท พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเก่ียวกบั ความไม่ประมาท • ในเวลาจวนจะปรินิพพานของพระศาสดา มีพระอานนทแ์ ละพระอนุรุทธะ อยใู่ นทีน่ ้นั • พระบรมศาสดาปรินิพพานที่ สาลวโนทยาน ใตต้ น้ สาละคู่ เมืองกุสินารา วนั องั คาร ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๖ ปี มะเส็ง • ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ทีม่ กุฏพนั ธนเจดีย์ ทางทิศตะวนั ออกแห่งกรุงกุสินารา บทท่ี ๑๓- ๑๖ • พระอานนทส์ ่งข่าวสารการเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแก่เจา้ มลั ลกษตั ริย์ • สถานทีถ่ วายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ เรียกวา่ มกฏุ พนั ธนเจดีย์ • พระสุภทั ทะกล่าวจาบจว้ งพระธรรมวนิ ยั หลงั จากทราบข่าวการปรินิพพาน • วนั ถวายพระเพลิง เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ วนั อฏั ฐมีบูชา • พระพทุ ธเจา้ ปรินิพพานได้ ๘ วนั ถึงถวายพระเพลิง • การจดั พทุ ธสรีระ จดั ตามแบบพระเจา้ จกั รพรรดิ • ส่ิงท่พี ระพทุ ธองคอ์ ธิษฐานมิให้เพลิงไหม้ มี ๔ ประการ ๑. ผา้ ห่อพระบรมศพช้นั ใน ๑ ผนื ช้นั นอก ๑ ผนื ๒. พระเข้ยี วแกว้ ๓. พระรากขวญั ท้งั ๒ (ไหปลารา้ ) ๔. พระอุณหิส ( กรอบหนา้ ) • โทณพราหมณ์เป็นผแู้ บง่ พระบรมสารีริกธาตุ • พระบรมสารีริกธาตไุ ดร้ ับการแบ่ง แก่ ๘ ส่วน ๆ ละ ๒ ทะนาน ใหแ้ ก่ ๘ เมือง คือ ๑. เมืองราชคฤห์ ๒. เมืองไพสาลี ๓. เมืองกบิลพสั ดุ์ ๔. เมืองอลั ลกปั ปะ ๕. เมืองรามคาม ๖. เมืองเวฏฐทปี กะ ๗. เมืองปาวา ๘. เมืองกสุ ินารา • กษตั ริยเ์ มืองรามคามไดพ้ ระองั คารธาตุ • พระเข้ียวแกว้ บนขวาประดิษฐานท่จี ฬุ ามณีเจดีย์ • พระเข้ียวแกว้ บนซา้ ยประดิษฐานทแ่ี ควน้ คนั ธาระ • ประเภทแห่งสมั มาสมั พทุ ธเจดีย์ มี ๔ ประเภท ๑. ธาตุเจดีย์ หมายถึง พระบรมสารีริกธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ ๒. บริโภคเจดีย์ หมายถึง ส่ิงของหรือสถานทที่ ่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงใชส้ อย เช่นบาตร จวี ร กุฏิ วหิ ารเป็ นตน้ ๓. ธรรมเจดีย์ หมายถึง สิ่งทีใ่ ชจ้ ารึกคาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ เช่น คมั ภีร์ พระไตรปิ ฏก เป็ นตน้ ๔. อุทเทสิกเจดีย์ หมายถึง สิ่งท่ีสร้างข้ึนเป็ นรูปเหมือนของพระพทุ ธเจา้ โดยตรง เช่น พระพทุ ธรูปเป็นตน้ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 51
52 สงั คายนา หมายถึง การรอ้ ยกรองพระธรรมวนิ ยั หรือการประชุมตรวจสอบ ชาํ ระสอบทานและจดั หมวดหมู่ คาํ สอนของพระพทุ ธเจา้ วางลงเป็นแบบแผนอนั หน่ึงอนั เดียวกนั สังคายนา สงั คายนา หรือสงั คตี ิ หรือการรอ้ ยกรอง หรือจดั แจงพระธรรมวนิ ยั ใหเ้ ป็นหมวดหมู่วา่ น่ีเป็นธรรม น่ี เป็ นวนิ ยั จดั เป็น ๓ หมวด เรียกวา่ พระไตรปิ ฎก คอื ๑. ทเ่ี ป็นกฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั จดั เป็ น วนิ ยั ปิ ฎก ๒. ทีเ่ ป็นพระธรรมคาํ สอน อนั เป็ นบุคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็ นอุทาหรณ์ จดั เป็ นสุตตนั ตปิ ฎก ๓. ที่เป็นธรรมลว้ น ๆ ไม่เกี่ยวกบั บคุ คลเป็ นธรรมท่ีสุขมุ ลึกซ่ึง จดั เป็ น อภิธรรมปิ ฎก การทาํ สงั คายนาน้นั ท่ีพอจะนบั ไดม้ ี ๕ คร้งั ทาํ ในชมพทู วปี ๓ คร้งั ในลงั กาทวปี ๒ คร้ัง คือ ๑. ปฐมสงั คายนา คร้งั ที่ ๑ กระทาํ ทห่ี นา้ ถ้าํ สตั ตบรรณคูหา เชิงภเู ขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์ พระ เจา้ อชาตศตั รูเป็นองคอ์ ุปถมั ภก ภายหลงั พทุ ธปรินิพพาน ๓ เดือน พระมหากสั สปะ เป็ นประธาน พระอุบาลี เถระ วสิ ชั นาพระวนิ ยั พระอานนท์ วสิ ชั นาพระสูตร และพระอภิธรรม รวมกบั พระอรหนั ตขีณาสพจาํ นวน ๕๐๐ องค์ ปรารภเร่ืองพระสุภทั ทะกล่าวจว้ งจาบศาสนา กระทาํ อยู่ ๗ เดือนจงึ สาํ เร็จ ๒. ทุตยิ สงั คายนา คร้งั ที่ ๒ กระทาํ ท่ีวาลิการาม เมื่องเวสาลี พระเจา้ กาฬาโศกราชเป็ นองคอ์ ุปถมั ภก เมื่อ พ.ศ. ๑๐๐ โดยพระอรหนั ตจ์ าํ นวน ๗๐๐ องค์ มีพระยสกากณั ฑกบตุ รเถระเป็ นประธานและมีพระสพั พกา มีเถระ และพระเรวตั ตเถระ เป็ นตน้ ชาํ ระเร่ืองวตั ถุ ๑๐ ประการ ทีพ่ วกภิกษชุ าววชั ชีบตุ ร ชาวเมืองเวสาลีนาํ มา แสดงวา่ ไม่ผดิ ธรรมวนิ ยั กระทาํ อยู่ ๘ เดือน จงึ สาํ เร็จ ๓. ตติยสงั คายนา คร้งั ท่ี ๓ กระทาํ ท่อี โศการาม เม่ืองปาฏลีบตุ ร พระเจา้ อโศกมหาราชเป็นองค์ อุปถมั ภก เมื่อ พ.ศ. ๒๑๘ โดยพระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ มีพระโมคคลั ลีบุตรติสส เถระเป็ นประธาน เน่ืองดว้ ยเดียรถียป์ ลอมบวชในพทุ ธศาสนา กระทาํ อยู่ ๙ เดือน จงึ สาํ เร็จ ๔. จตตุ ถสงั คายนา คร้งั ที่ ๔ กระทาํ ท่ีถูปาราม เมืองอนุราชบุรี ลงั กาทวปี พระเจา้ เทวานมั ปิ ยตสิ สะ เป็ นองคอ์ ุปถมั ภก เม่ือ พ.ศ. ๒๓๖ โดยพระมหินทเถระ และพระอริฏฐเถระ เป็นประธานชกั ชวนภิกษชุ าวสีหล ๖๘,๐๐๐ องค์ เพอ่ื ประดิษฐานพระพทุ ธศาสนาใหม้ นั่ คงในสงั กาทวปี กระทาํ อยู่ ๑๐ เดือน จึงสาํ เร็จ ๕. ปัญจมสงั คายนา คร้ังท่ี ๕ กระทาํ ที่อาโลกเลณสถาน ในมลยั ชนบท ลงั กาทวปี พระเจา้ วฏั ฏคามินี อภยั เป็ นองคอ์ ุปถมั ภก เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ โดยภิกษุชาวสีหลผพู้ ระอรหนั ต์ จาํ นวน ๑,๐๐๐ องค์ พระติสสมหา เถระ และพระพทุ ธทตั ตเถระเป็ นตน้ เห็นความเสื่อมถอยปัญญาแห่งกุลบุตรจงึ ไดป้ ระชุมกนั มาจารึกพระธรรม วนิ ยั เป็ นอกั ษรลงไวใ้ นใบลาน ทาํ อยู่ ๑ ปี จงึ สาํ เร็จ ฯ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 52
53 เนื้อหาวชิ าศาสนพธิ ี ธรรมศึกษาช้ันตรี พิธี คอื แบบอยา่ ง, แบบแผนทพ่ี งึ ปฏบิ ตั ิ ศาสนา คือคาํ สง่ั สอน ในทีน่ ้ีหมายถึงพระพทุ ธศาสนา ศาสนพธิ ีเกิดข้นึ หลงั ประกาศศาสนาแลว้ มีทมี่ าจากหลกั การสาํ คญั ทางพระพทุ ธศาสนา คือ โอวาทปาฏิโมกข์ อนั ไดแ้ ก่ การไม่ทาํ บาปท้งั ปวง การกระทาํ ความดี การทาํ จติ ให้ผอ่ งใส บญุ กริ ิยาวตั ถุ คอื หลกั การทาํ บุญ ๓ ประการ คอื ทาน, ศีล, ภาวนา ศาสนพธิ ี มี ๔ หมวด คอื ๑. กศุ ลพิธี ได้แก่ พิธีบาํ เพญ็ กศุ ล ๒. บุญพธิ ี ได้แก่ พธิ ีทําบุญ ๓. ทานพธิ ี ได้แก่ พิธีถวายทาน ๔. ปกิณกพิธี ได้แก่ พธิ ีเบด็ เตลด็ หมวดท่ี ๑ กศุ ลพิธี กศุ ล แปลวา่ ฉลาด, ส่ิงท่ตี ดั ความชว่ั หมายถึง ส่ิงทีด่ ีงาม ถูกตอ้ ง กศุ ลพิธี หมายถงึ พธิ ีกรรมทฉี่ ลาด และดีงาม มี ๓ เร่ืองคือ ๑.พธิ ีแสดงตนเป็ นพทุ ธมามกะ การแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ พทุ ธมามกะ คือ ผทู้ ีร่ ับเอาพระพทุ ธเจา้ เป็ นทพ่ี ่งึ ของตนเอง ๒. พิธีเวยี นเทียนในวนั สําคญั ทางพระพทุ ธศาสนา เวียนเทยี น หมายถึง การเดินเวยี นขวาเพอ่ื แสดงความเคารพตอ่ ปูชณียวตั ถุ, ปูชณียสถาน วนั สาํ คญั มี ๔ วนั ดงั น้ี วันมาฆบูชา วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน๓ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ วนั จาตรุ งคสนั ติบาต พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 53
54 วนั วสิ าขบูชา วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน๖ วนั ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพทุ ธองค์ เป็ นวนั สาํ คญั สากลของโลก วนั อฎั ฐมบี ูชา วนั แรม ๘ ค่าํ เดือน ๖ วนั ถวายพระเพลิงพระพทุ ธสรีระ ไม่เป็ นวดั หยดุ ราชการ วนั อาสาฬหบูชา วนั ข้ึน ๑๕ ค่าํ เดือน ๘ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา พระรตั นตรัย พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆเ์ กิดครบองค์ ๓ ๓. พธิ ีรักษาอโุ บสถศีล อโุ บสถ แปลวา่ การเขา้ จาํ หมายถึง การเขา้ ไปอยรู่ ักษาศลี ๘ อยา่ งเคร่งครดั มี ๓ อยา่ งคอื ปกตอิ ุโบสถ การรกั ษาเพยี งหน่ึงวนั หน่ึงคืน ปฏชิ าครอุโบสถ การรักษาคร้งั ละ ๓ วนั คอื วนั รับ วนั รักษา วนั ส่ง ปาฏหิ าริกปักขอุโบสถ การอยจู่ าํ เป็ นเวลา ๓ เดือน ปัจจบุ นั ไม่ค่อยมีแลว้ วาจาอธิษฐานอุโบสถ อิมงั อฏั ฐงั คสมนั นาคะตงั พทุ ธะปัญญตั ตงั อุโปสะถงั ....ฯ หมวดที่ ๒ บุญพิธี บญุ พธิ ี หมายถึง พธิ ีกรรมเก่ียวกบั การทาํ บญุ ในพระพทุ ธศาสนา มี ๒ ประเภท คือ งานมงคล ปรารภเหตุมงคล เช่น ข้นึ บา้ นใหม่ มงคลสมรส ทาํ บญุ วนั เกิด-อายุ นิยมนิมนตพ์ ระ ๕,๗,๙ รูป ใชค้ าํ นิมนตว์ า่ อาราธนาเจริญพระพทุ ธมนต์ เตรียมขนั น้าํ มนต+์ สายสิญจน์ งานอวมงคล ปรารภเหตุอวมงคล เช่น ทาํ บุญหนา้ ศพ บุญอฐั ิ นิยมนิมนตพ์ ระ ๖,๘,๑๐ รูป ใชว้ า่ อาราธนาสวดพระพทุ ธมนต์ เตรียม ภูษาโยง ไม่ทาํ น้าํ มนต์ หมวดที่ ๓ ทานพธิ ี ทานพธิ ี คือ พธิ ีถวายทาน ต่าง ๆ , ทายก ทายกิ า คือผถู้ วายทาน, ปฏิคาหก คอื ผรู้ ับทาน ทานวัตถุ คอื วตั ถุทค่ี วรใหเ้ ป็นทาน มี ๑๐ อยา่ ง เช่น ภตั ตาหาร น้าํ ด่ืม เครื่องนุ่งห่ม ดอกไม้ เป็นตน้ ทาน มี ๒ ประเภท คือ ปาฏปิ คุ ลกิ ทาน การถวายเจาะจงรูปใดรูปหน่ึง สังฆทาน การถวายแก่สงฆใ์ หเ้ ป็ นของกลาง ไม่เจาะจง ทานแบ่งตามกาลเวลาท่ีถวาย มี ๒ คือ กาลทาน คอื ถวายตามกาล เช่น กฐิน ผา้ จาํ นาํ พรรษา อกาลทาน คือ ถวายไดท้ ุกฤดูกาล เช่น ผา้ ป่ า เสนาสนะ เป็ นตน้ คาํ ถวายสงั ฆทานทว่ั ไป = อิมานิ มะยงั ภนั เต ภตั ตานิ สะปริวารานิ....ฯ หมวดท่ี ๔ ปกิณกะ ปกิณกะ คอื หมวดเบด็ เตล็ด ไดแ้ ก่ พธิ ีกรรมเลก็ ๆ นอ้ ยๆ มี ๕ เรื่อง พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 54
55 ๑.วิธีแสดงความเคารพพระ มี ๓ ลกั ษณะคอื ๑.๑อญั ชลี การประนมมือ ๑.๒ วนั ทา หรือ นมสั การ คอื การไหว้ ๑.๓ อภิวาท การกราบ นิยมกราบดว้ ยองค์ ๕ ทเ่ี รียกวา่ เบญจางคประดิษฐ์ คอื หนา้ ผาก๑ ฝ่ ามือ ๒ เขา่ ๒ กราบใหอ้ งค์ ๕ จรดพน้ื ๒.วธิ ีประเคนของพระ การประเคน คอื การถวายของโดยส่งใหถ้ ึงมือพระ มีองค์ ๕ ไดแ้ ก่ - ของทปี่ ระเคนไม่ใหญห่ รือหนกั เกินไป ยกคนเดียวได้ - ผปู้ ระเคนอยหู่ ่างจากพระประมาณ ศอกหน่ึง (อยใู่ นหตั ถบาส) - นอ้ มสิ่งของเขา้ ไปถวายดว้ ยความเคารพ (ใชท้ ้งั ๒ มือ) - นอ้ มส่งใหด้ ว้ ยกาย หรือของทเ่ี นื่องดว้ ยกาย เช่น ใชท้ พั พตี กั ขา้ วใส่บาตร - พระภกิ ษุรบั ดว้ ยมือ หรือของทเี่ น่ืองดว้ ยกายเช่น บาตร ผา้ รับประเคน ๓.วิธีทาํ หนังสืออาราธนา และใบปวารณาบตั รถวายปัจจัย ๔ ๔.วธิ ีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร อาราธนาธรรม อาราธนา คือ การเช้ือเชิญพระสงฆ์ บางคร้งั ใชว้ า่ นิมนต์ อาราธนาศีล คอื การนิมนตพ์ ระใหศ้ ลี (เบญจศีล,ศีล ๕,ปัญจะสีลานิ) อาราธนาพระปริตร คอื นิมนตพ์ ระสงฆส์ วดมนต,์ เจริญพระพทุ ธมนต์ อาราธนาธรรม คอื นิมนตพ์ ระแสดงธรรม หลักการอาราธนา พธิ ีเจริญพระพทุ ธมนต์ อาราธนาศีล,อาราธนาพระปริตร พธิ ีเล้ียงพระ อาราธนาศีล พธิ ีถวายทาน อาราธนาศลี พธิ ีเทศน์ อาราธนาศลี ,อาราธนาธรรม พธิ ีสวดศพ อาราธนาศลี ,อาราธนาธรรม วธิ ีกรวดนํา้ การกรวดน้าํ ในท่ีน้ีหมายถึง การอุทิศส่วนบุญให้ผตู้ าย หรือผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ พระสงฆ์ อนุโมทนา ดว้ ย บทวา่ ยะถา วาริวหา....ฯ ใหเ้ ร่ิมรินน้าํ พระสงฆส์ วดถึงบทวา่ .........มณิโชติระโส ยะถา ใหเ้ ทน้าํ จนหมด ประนมมือรับพร นาํ น้าํ ทก่ี รวดไปเทท่ีพ้นื ดินสะอาด(ปัจจุบนั นิยมรดโคนตน้ ไม)้ คาํ กรวดน้าํ แบบส้นั : อิทงั เม ญาตีนงั โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย คาํ แสดงตนเป็ นพุทธมามกะ เอสาหงั ภนั เต สุจิระปรินิพพตุ มั ปิ ตงั ภะคะวนั ตงั สะระณงั คจั ฉามิ ธมั มญั จะ สงั ฆญั จะ พทุ ธมา มะโกติ มงั สงั โฆ ธาเรตุ. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 55
56 ขา้ แตท่ า่ นผเู้ จริญ ขา้ พเจา้ ขอถึงพระผมู้ ีพระภาคเจา้ พระองคน์ ้นั แมป้ รินิพพานนานแลว้ ท้งั พระธรรม และพระสงฆเ์ ป็นที่พ่งึ ทรี่ ะลึกทนี่ บั ถอื ขอพระสงฆจ์ งจาํ ขา้ พเจา้ ไวว้ า่ เป็ นพทุ ธมามกะ ผรู้ บั เอา พระพทุ ธเจา้ เป็นท่พี งึ ของตน หมายเหตุ. ผหู้ ญิง วา่ ...พทุ ธมามะกาติ มงั .. หลายคนวา่ เอเต มะยงั ...คจั ฉาะ ..พทุ ธมามะกาติ โน.. คาํ อาราธนาศีล ๕ มะยงั ภนั เต วสิ ุง วสิ ุง รกั ขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ทตุ ยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วสิ ุง วสิ ุง รกั ขะณตั ถายะ ตสิ ะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ ตตยิ มั ปิ มะยงั ภนั เต วสิ ุง วสิ ุง รกั ขะณัตถายะ ติสะระเณนะ สะหะ ปัญจะสีลานิ ยาจามะ. คาํ สมาทานศีล ๕ ปาณาตปิ าตา เวระมะณีสิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทิยามิ มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ สุราเมระยะมชั ชะปะมาทฏั ฐานา เวระมะณี สิกขาปะทงั สะมาทยิ ามิ คาํ อาราธนาธรรม พรหมา จะ โลกาธิปะติ สะหมั ปะติ กตั อญั ชะลี อนั ธิวะรงั อายาจะถะ สนั ตธี ะ สนั ตาปปะระชกั ขะชาตกิ า เทเสตุ ธมั มงั อะนุกมั ปิ มงั ปะชงั คาํ อาราธนาพระปริตร วปิ ัตตปิ ะฏพิ าหายะ สัพพะสมั ปัตตสิ ิทธิยา สพั พะทกุ ขะวนิ าสายะ ปริตตงั พรูถะ มงั คะลงั วปิ ัตตปิ ะฏิพาหายะ สพั พะสมั ปัตติสิทธิยา สพั พะภะยะวนิ าสายะ ปริตตงั พรูถะ มงั คะลงั วปิ ัตติปะฏพิ าหายะ สพั พะสมั ปัตตสิ ิทธิยา สัพพะโรคะวนิ าสายะ ปริตตงั พรูถะ มงั คะลงั คาํ ถวายสังฆทาน อิมานิ มะยงั ภนั เต ภตั ตานิ สะปริวารานิ ภกิ ขสุ งั ฆสั สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภนั เต ภกิ ขสุ งั โฆ อิมานิ ภตั ตานิ สะปริวารานิ ปฏิคคณั หาตุ อมั หากงั ทีฆะรัตตงั หิตายะ สุขายะ.. ขา้ แตท่ ่านผเู้ จริญ ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ขอนอ้ มถวายภตั ตาหารกบั ท้งั บริวารท้งั หลายเหล่าน้ี แก่ภกิ ษุสงฆ์ ขา้ แต่ท่านผเู้ จริญ ขอพระภกิ ษสุ งฆ์ จงรบั ภตั ตาหารกบั ท้งั บริวารท้งั หลายเหล่าน้ี เพอื่ ประโยชน์ เพอื่ ความสุข แก่ขา้ พเจา้ ท้งั หลาย ส้ินกาลนานเทอญ. พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 56
57 เนื้อหาวชิ าวนิ ัยมุข ธรรมศึกษาช้ันตรี กัณท่ี ๑ วิธีการอุปสมบท ในพทุ ธศาสนา พระศาสดาทรงอนุญาตใหบ้ วชเป็ นภิกษุโดย ๓ วิธี คอื ๑. เอหิภกิ ขอุ ุปสมั ปทา แปลวา่ อุปสมบทดว้ ยทรงอนุญาตใหเ้ ป็ นภิกษมุ า วธิ ีน้ีทรงทาํ เอง. ๒. ตสิ รณคมนุปสมั ปทา แปลวา่ อุปสมบทดว้ ยถึง ๓ สรณะวธิ ีน้ีทรงอนุญาตใหส้ าวกทาํ . ๓. ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอุปสมั ปทา แปลวา่ อุปสมบทดว้ ยกรรมวาจาท่ี ๔ ท้งั ญตั ติ วธิ ีน้ีทรงใหส้ งฆท์ าํ . การบวชในพระพุทธศาสนามี ๒ อย่าง คอื :- ๑. การบวชเป็นสามเณร เรียก บรรพชา. ๒. การบวชเป็นภิกษุ เรียก อุปสมบท. สมบัติของการอปุ สมบทอตุ ้องถึงพร้อมด้วยสบัติ ๕ คือ ๑. วตั ถสุ มบัต.ิ ๒. ปริสสมบตั ิ. ๓. สีมาสมบัติ. ๔. บุรพกิจ (สมบตั )ิ ๕. กรรมวาจาสมบัต.ิ ๑. วตั ถสุ มบตั ิ ในท่นี ้ีวตั ถุหมายถึงตวั ผอู้ ปสมบทนนั่ เอง ๑. ตอ้ งเป็นมนุษยผ์ ชู้ าย. ๒. มีอายคุ รบ ๒๐ ปี . ๓. ไม่เป็นมนุษยว์ บิ ตั ิ คือถูกตอนเป็ นตน้ . ๔. ไม่เป็นคนทาํ ผดิ อยา่ งร้ายแรง เช่นฆ่ามารดาหรือบดิ าเป็ นตน้ . ๕. ไม่เคยเป็นคนทาํ ความเสียหายร้ายแรงในพระพทุ ธศาสนา เช่นตอ้ ง ปาราชิก. ๒. ปริสสมบตั ิ คอื สมบรู ณ์ดว้ ยบริษทั หมายความวา่ ตอ้ งมีภกิ ษสุ งฆเ์ ขา้ องคป์ ระชุมครบกาํ หนด ในมชั ฌิม ชนบท ๑๐ รูปข้นึ ไป ในปัจจนั ตชนบท ๕ รูปข้นึ ไป. (ในประเทศไทย ๑๐ รูปข้นึ ไป) ๓. สีมาสมบัติ สมบูรณ์โดยสีมา คอื ภกิ ษุอยใู่ นสีมาเดียวกนั ตอ้ งเขา้ ประชุมหมด หากมีเหตุขดั ขอ้ งตอ้ งมอบ ฉนั ทะสีมา ๒ ชนิด ๑. พทั ธสีมา เขตทสี่ งฆส์ มมตไิ วท้ าํ สงั ฆกรรม ๒. อพทั ธสีมา เขตนอกเหนือจากทสี่ มมตวิ ดั ทย่ี งั ไม่ไดผ้ กู พทั สีมา. ๔. บุรพกจิ ๑. ตอ้ งมีผรู้ ับรอง คือพระอุปัชฌายะ ๒. ตอ้ งมีบริขารท่จี าํ เป็ น คือ บาตร สังฆาฏิ อุตราสงค์ อนั ตรวาสก (รัดประคต องั สะ ผา้ รัดอก) ๓. ซกั ถามอนั ตรายกิ ธรรม. ๕. กรรมวาจาสมบตั ิ คอื การสวดประกาศในท่ามกลางสงฆ์ โดยออกช่ือผอู้ ุปสมบท ออกชื่ออุปัชฌายด์ ว้ ย และ สวดใหถ้ ูกตอ้ งชดั เจนตามลาํ ดบั ดว้ ยญตั ติจตตุ ถกมั มวาจา. กัณฑ์ท่ี ๒ พระวนิ ัย พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 57
58 กฎหมายและขนบธรรมเนียม สาํ หรับป้องกนั ความเสียหายและชกั จงู ใหภ้ กิ ษุประพฤตดิ ีงาม เรียกวา่ พระวนิ ยั จดั เป็นส่วนหน่ึงของ พระไตรปิ ฎก (พระวนิ ยั ปิ ฎก, พระสุตตนั ตปิ ฎก, พระอภิธรรมปิ ฎก). ๑. พระวนิ ัยน้นั แบ่งเป็ น ๒ ส่วน คอื ๑. พระพทุ ธบญั ญตั ิ ขอ้ ทท่ี รงต้งั ไวเ้ ป็ นบทบงั คบั ภิกษุ เพอ่ื ป้องกนั ความเสียหาย และวางโทษแก่ผูล้ ่วง ละเมิด โดยปรบั อาบตั ิหนกั บา้ งเบาบา้ ง อยา่ งเดียวกบั พระราชบญั ญตั .ิ ๒. อภิสมาจาร ขอ้ ท่ีทรงแตง่ ต้งั ไว้ เป็ นขนบธรรมเนียม เพอื่ ชกั นาํ ความประพฤติของภกิ ษุใหด้ ีงาม เหมือนอยา่ งขนบธรรมเนียมของสกุล. ๒. การบญั ญัตพิ ระวินัย การบญั ญตั พิ ระวนิ ยั น้นั ไม่ไดท้ รงบญั ญตั ไิ วล้ ่วงหนา้ ต่อเมื่อเกิดความเสียหาย เพราะการกระทาํ อยา่ ง ใดอยา่ งหน่ึงของภิกษรุ ูปใดรูปหน่ึงแลว้ จงึ ทรงบญั ญตั หิ า้ มเป็ นขอ้ ๆ ไป. เฉพาะขอ้ หน่ึง ๆ ยงั แบ่งการบญั ญตั ิ ออกเป็ น ๒ วาระก็มี ๑. มูลบญั ญตั ิ ขอ้ ทที่ รงบญั ญตั ิไวเ้ ดิม. ๒. อนุบญั ญตั ิ ขอ้ ทที่ รงบญั ญตั ิเพม่ิ เตมิ ทหี ลงั . รวมมูลบญั ญตั ิและอนุบญั ญตั ิเขา้ ดว้ ยกนั เรียกวา่ สิกขาบท (ขอ้ ที่ตอ้ งศึกษา). สิกขาบทขอ้ หน่ึง ๆ มีหลายอนุบญั ญตั ิก็มี เหมือนกบั มาตราทางพระราชบญั ญตั .ิ ๓. อาบัติ แปลวา่ ความตอ้ งการ ไดแ้ ก่โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในขอ้ ที่พระพทุ ธเจา้ หา้ ม หรือไดแ้ ก่กิริยาที่ ล่วงละเมิดพระราชบญั ญตั ิ และมีโทษเหนือตนอย.ู่ ๔. โทษ อาบตั ิน้นั วา่ โดยโทษมี ๓ สถาน คอื ๑. อย่างหนัก ขาดจากภกิ ษ.ุ ๒. อย่างกลาง ตอ้ งอยกู่ รรมจึงพน้ . ๓. อย่างเบา ตอ้ งประจานตนตอ่ ภกิ ษดุ ว้ ยกนั จงึ พน้ ได.้ อีกอยา่ งหน่ึงมี ๒ สถาน คือ ๑. อเตกจิ ฉา แกไ้ ขไม่ได.้ ๒. สเตกจิ ฉา แกไ้ ขได.้ ๕. ชื่ออาบตั ิ อาบตั ิน้นั วา่ โดยช่ือ มี ๗ อยา่ ง คือ ๑. ปาราชิก. ๒. สงั ฆาทเิ สส. ๓. ถุลลจั จยั . ๔. ปาจติ ตยี ์ (นิสสคั คิยปาจติ ตีย์ ๑ สุทธิกปาจติ ตีย์ ๑). พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 58
59 ๕. ปาฏเิ ทสนียะ. ๖. ทุกกฎ. ๗. ทุพภาสิต. ๖. ครุกาบัติ-ลหุกาบตั ิ ครุกาบตั ิ คือ อาบตั หิ นกั แบง่ เป็ น ๒ พวก คอื ๑. หนกั แกไ้ ม่ได้ คอื ปาราชิก เรียก อเตกิจฉา. ๒. หนักแก้ได้ คือ สงั ฆาทิเสส เรียก สเตกิจฉา ลหุกาบตั ิ คือ อาบตั เิ บา คอื ถุลลจั จยั ถึงทุพภาสิต. ๗. สมฏุ ฐาน คอื ทางเกิดอาบตั โิ ดยตรง มี ๔ ทาง คอื ๑. ทางกาย เช่น ปาจิตตีย์ เพราะด่ืมน้าํ เมา. ๒. ทางวาจา เช่น ปาจติ ตีย์ เพราะสอนธรรมแก่อนุสมั บนั ใหว้ า่ พรอ้ มกนั . ๓. ทางกายกับจติ เช่น ปาราชิก เพราะทาํ โจรกรรมเอง. ๔. ทางวาจากบั จิต เช่น ปาราชิก เพราะสง่ั ใหท้ าํ โจรกรรม. ๘. สจติ ตกะ-อจิตตกะ อาบตั ิท้งั หมดน้นั เพง่ เอาเจตนาเป็ นทีต่ ้งั แบ่งออกเป็ น ๒ พวก คอื ๑. สจิตตกะ เกิดข้นึ โดยสมุฏฐานท่ีมีเจตนา. ๒. อจิตตกะ เกิดข้นึ โดยสมุฏฐานทไ่ี ม่มีเจตนา. ทางกาํ หนดรู้อาบตั ิที่เป็นสจิตตกะ หรือ อจติ ตกะ น้นั อยทู่ รี่ ูปความและโวหาร (คาํ พดู ) ในสิกขาบท น้นั ๆ นน่ั เอง ๙. โลกวชั ชะ-ปัณณตั ติวชั ชะ อน่ึง อาบตั ิน้นั เป็นโทษเสียหายไดอ้ ีก ๒ ทาง คอื ๑. โลกวัชชะ เป็นโทษทางโลก เช่น การฆ่ากนั ทุบตี ขโมย. ๒. ปัณณัตติวัชชะ เป็นโทษทางพระบญั ญตั ิ เช่น ขดุ ดิน,ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล. ๑๐. อาการทีต่ ้องอาบตั ิ ๖ อย่าง ๑. ตอ้ งดว้ ยไม่ละอาย (แลว้ ขนื ทาํ ) ๒. ตอ้ งดว้ ยไม่รู้ -\"- ๓. ตอ้ งดว้ ยสงสยั -\"- ๔. ตอ้ งดว้ ยสาํ คญั วา่ ควรในของที่ไม่ควร (แลว้ ขนื ทาํ ) ๕. ตอ้ งดว้ ยสาํ คญั วา่ ไม่ควรในของท่ีควร -\"- ๖. ตอ้ งดว้ ยลืมสติ -\"- ๑๑. อานิสงส์พระวินัย พระวนิ ยั น้นั ภิกษุรกั ษาโดยถูกทางยอ่ มไดอ้ านิสงส์ (ผลดี) คือความไม่ตอ้ งเดือดร้อนใจเรียกวา่ วปิ ฏิสาร* ยอ่ มไดค้ วามแช่มช่ืนเบิกบานเพราะรูส้ ึกวา่ ตนประพฤติดีงาม ไม่ตอ้ งถูกจบั กมุ ลงโทษ หรือติเตยี นมี พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 59
60 แต่จะไดร้ ับการสรรเสริญ จะเขา้ หมู่ภกิ ษผุ ทู้ รงศีลก็องอาจ ไม่สะทกสะทา้ นฝ่ ายภกิ ษุประพฤตไิ ม่ถูกทาง ยอ่ หยอ่ นทางวนิ ยั ยอ่ มจะไดผ้ ลตรงกนั ขา้ มกบั ทก่ี ลา่ วแลว้ . ๑๒. ผลทมี่ ุ่งหมายแห่งพระวนิ ัย ๘ อย่าง ๑. เพอ่ื ป้องกนั ไม่ใหเ้ ป็นคนเห้ียมโหด เช่น หา้ มฆ่ามนุษย.์ ๒. \" \" ความลวงโลกเล้ียงชีพ เช่น หา้ มอวดอุตตริ ฯ ๓. \" \" ความดุร้าย เช่นหา้ มด่ากนั ตีกนั . ๔. \" \" ความประพฤติเลวทราม เช่น หา้ มพดู ปด. ๕. \" \" ความประพฤติเสียหาย เช่น หา้ มแอบฟังความ. ๖. \" \" ความเล่นซุกซน เช่น หา้ ไม่ใหเ้ ล่นจ้กี นั . ๗. ทรงบญั ญตั ิตามความนิยมของคนคร้ังน้นั เช่น หา้ มมิใหข้ ดุ ดิน. ๘. \" \" โดยเป็นธรรมเนียมของภกิ ษุ เช่น หา้ มฉนั อาหารในวกิ าล. * วปิ ฏิสาร คอื ความเดือดรอ้ น หมายถึงความรอ้ นใจหลงั จากการปฏิบตั ผิ ดิ กัณฑ์ท่ี ๓ สิกขาบท พระบญั ญตั มิ าตราหน่ึง ๆ เป็นสิกขาบทอนั หน่ึง ๆ สิกขาบทมาในพระปาติโมกข์ ตอ้ งรกั ษาไวเ้ ป็ นหลกั มีจาํ นวนจาํ กดั คอื ๒๒๗ ขอ้ .สิกขาบทนอกพระปาติโมกข์ พงึ รกั ษาปฏบิ ตั ติ ามความสามารถ มีจาํ นวนมาก หาก ภกิ ษุทาํ ยอ่ หยอ่ น ขาดตกบกพร่องไปมาก กเ็ สียธรรมเนียม หากรักษาไดม้ าก ก็จะส่งเสริมใหน้ ่าเคารพนบั ถือ ยง่ิ ข้นึ สิกขาบทในพระปาติโมกขเ์ ดิมมี ๑๕๐ ตอ่ มาเพมิ่ อนิยต ๒, เสขยิ -วตั ร ๗๕ รวมเป็น ๒๒๗ ผลู้ ะเมิด สิกขาบทในพระปาติโมกข์ ยอ่ มตอ้ ง โทษโดยตรง ๔ คอื ๑. ปาราชิก. ๒. สงั ฆาทิเสส. ๓. ปาจติ ตีย.์ ๔. ปาฏิเทสนียะ. โดยอ้อมอกี ๓ คอื ๑. ถุลลจั จยั . ๒. ทกุ กฏ. ๓. ทพุ ภาสิต. อทุ เทส ๙ ๑. นิทานุทเทส วิธีอนั ภิกษผุ ฟู้ ังพระปาติโมกขค์ วรปฏบิ ตั ิก่อนสวดสิกขาบท ๒. ปาราชิกุทเทส สิกขาบทพวกปาราชิก ๔ ขอ้ . ๓. สงั ฆาทเิ สสุทเทส \" สงั ฆาทิเสส ๑๓ ขอ้ . พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 60
61 ๔. อนิยตุทเทส \" อนิยต ๒ ขอ้ . ๕. นิสสคั คยิ ททุ เทส \" นิสสคั คิยปาจติ ตีย์ ๓๐ ขอ้ . ๖. ปาจิตตยิ ทุ เทส \" สุทธิกปาจิตตยี ์ ๙๒ ขอ้ . ๗. ปาฏเิ ทสนิยทุ เทส. \" ปาฏิเทสนียะ ๔ ขอ้ . ๘. เสขยิ ทุ เทส \" เสขิยวตั ร ๗๕ ขอ้ . ๙. อธิกรณสมถุทเทส \" อธิกรณสมถะ ๗ ขอ้ . อนุศาสน์ ๘ อย่าง นิสสัย ๔ อกรณยี กจิ ๔ ปัจจยั เคร่ืองอาศยั ของบรรพชิต เรียกนิสสยั มี ๔ อยา่ ง คือ เทีย่ วบณิ ฑบาต ๑ นุ่งห่มผ้าบังสุกลุ ๑ อยู่โคนไม้ ๑ ฉันยาดองด้วยนํา้ มูตรเน่า ๑ กิจที่ไม่ควรทาํ เรียกอกรณียกิจ มี ๔ อยา่ ง คอื เสพเมถนุ ๑ ลักของเขา ๑ ฆ่าสัตว์ ๑ พูดอวดคณุ พเิ ศษที่ไม่มีในตน ๑ กิจ ๔ อยา่ งน้ี บรรพชิตทาํ ไม่ได้ สิกขาของภกิ ษมุ ี ๓ อย่าง คอื ศีล สมาธิ ปัญญา ความสาํ รวมกายวาจาใหเ้ รียบร้อย ช่ือวา่ ศีล ความรักษาใจมน่ั ช่ือวา่ สมาธิ ความ รอบรูใ้ นกองสงั ขาร ชื่อวา่ ปัญญา อาบัตนิ ้ันว่าโดยชื่อ มี ๗ อย่าง โทษที่เกิดเพราะความละเมิดในขอ้ ท่ีพระพทุ ธเจา้ หา้ ม เรียกวา่ อาบัติ อาบตั ิน้นั วา่ โดยช่ือ มี ๗ อยา่ ง คือ ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถลุ ลจั จยั ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทกุ กฎ ๑ ทุพภาสิต ๑ ศีล ๒๒๗ ข้อท่ีเป็ นวินัยของสงฆ์ ทาํ ผดิ ถือว่าเป็ นอาบัติ สามารถแบ่งออกได้เป็ นลําดบั ข้ัน ต้ังแต่ข้นั รุนแรงจนกระทัง่ เบาทสี่ ุดได้ดงั นี้ ได้แก่ ปาราชิก มี ๔ ขอ้ สงั ฆาทิเสส มี ๑๓ ขอ้ อนิยต มี ๒ ขอ้ (อาบตั ทิ ่ไี ม่แน่วา่ จะปรับขอ้ ไหน) นิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ ๓๐ ขอ้ (อาบตั ทิ ต่ี อ้ งสละส่ิงของวา่ ดว้ ยเร่ืองจวี ร ไหม บาตร อยา่ งละ ๑๐ขอ้ ) ปาจติ ตยี ์ มี ๙๒ ขอ้ (วา่ ดว้ ยอาบตั ทิ ไ่ี ม่ตอ้ งสละส่ิงของ) ปาฏเิ ทสนียะ มี ๔ ขอ้ (วา่ ดว้ ยอาบตั ิทพ่ี งึ แสดงคืน) เสขยิ ะ (ขอ้ ทภี่ กิ ษุพงึ ศึกษาเร่ืองมารยาท) แบ่งเป็น สารูปมี ๒๖ ขอ้ (ความเหมาะสมในการเป็นสมณะ) โภชนปฏิสงั ยตุ ต์ มี ๓๐ ขอ้ (วา่ ดว้ ยการฉนั อาหาร) ธมั มเทสนาปฏสิ งั ยตุ ต์ มี ๑๖ ขอ้ (วา่ ดว้ ยการแสดงธรรม) ปกิณสถะ มี ๓ ขอ้ (เบด็ เตลด็ ) อธิกรณสมถะ มี ๗ ขอ้ (ธรรมสาํ หรบั ระงบั อธิกรณ์) พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 61
62 ปาราชิก มี ๔ ข้อไดแ้ ก่ ๑. เสพเมถุน แมก้ บั สตั วเ์ ดรัจฉานตวั เมีย (ร่วมสงั วาสกบั คนหรือสตั ว)์ ๒. ถือเอาทรัพยท์ เี่ จา้ ของไม่ไดใ้ หม้ าเป็ นของตน จากบา้ นก็ดี จากป่ าก็ดี (ขโมย) ๓. พรากกายมนุษยจ์ ากชีวติ (ฆ่าคน)หรือแสวงหาศาสตราอนั จะนาํ ไปสู่ความตายแก่ร่างกายมนุษย์ ๔. กล่าวอวดอุตตริมนุสสธมั ม์ อนั เป็ นความเห็นอยา่ งประเสริฐ อยา่ งสามารถ นอ้ มเขา้ ในตวั วา่ ขา้ พเจา้ รูอ้ ยา่ งน้ี ขา้ พเจา้ เห็นอยา่ งน้ี (ไม่รู้จริง แตโ่ ออ้ วดความสามารถของตวั เอง) สังฆาทิเสส มี ๑๓ ข้อ ถอื เป็นความผดิ หากทาํ ส่ิงใดตอ่ ไปน้ี ๑.ปล่อยน้าํ อสุจิดว้ ยความจงใจ เวน้ ไวแ้ ต่ฝัน ๒.เคลา้ คลึง จบั มือ จบั ชอ้ งผม ลูบคลาํ จบั ตอ้ งอวยั วะอนั ใดก็ตามของสตรีเพศ ๓.พดู จาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เก้ียวพาราสี ๔.การกล่าวถึงคุณในการบาํ เรอตนดว้ ยกาม หรือถอยคาํ พาดพงิ เมถุน ๕.ทาํ ตวั เป็นส่ือรัก บอกความตอ้ งการของอีกฝ่ ายใหก้ บั หญิงหรือชาย แมส้ ามีกบั ภรรยา หรือแมแ้ ต่ หญิงขายบริการ ๖.สรา้ งกุฏิดว้ ยการขอ ๗.สรา้ งวหิ ารใหญ่ โดยพระสงฆม์ ิไดก้ าํ หนดที่ รุกรานคนอื่น ๘.แกลง้ ใส่ความวา่ ปาราชิกโดยไม่มีมูล ๙.แกลง้ สมมุตแิ ลว้ ใส่ความวา่ ปาราชิกโดยไม่มีมลู ๑๐.ยยุ งสงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๑๑.เป็นพวกของผทู้ ีท่ าํ สงฆใ์ หแ้ ตกกนั ๑๒.เป็นผวู้ า่ ยากสอนยาก และตอ้ งโดนเตอื นถึง 3 คร้งั ๑๓. ทาํ ตวั เป็นเหมือนคนรบั ใช้ ประจบคฤหสั ถ์ อนิยตกณั ฑ์ มี ๒ ข้อไดแ้ ก่ ๑. การนง่ั ในที่ลบั ตา มีอาสนะกาํ บงั อยกู่ บั สตรีเพศ และมีผมู้ าเห็นเป็ นผทู้ เี่ ชื่อถือไดพ้ ดู ข้ึนดว้ ยธรรม ๓ ประการอนั ใดอนั หน่ึงกล่าวแก่ภกิ ษุน้นั ไดแ้ ก่ ปาราชิกกด็ ี สงั ฆาทิเสสก็ดี หรือปาจิตตียก์ ็ดี ภกิ ษนุ ้นั ถือ วา่ มีความผดิ ตามที่อุบาสกผนู้ ้นั กล่าว ๒. ในสถานทที่ ่ไี ม่เป็นทลี่ บั ตาเสียทีเดียว แตเ่ ป็ นท่ที ี่จะพดู จาค่อนแคะสตรีเพศไดส้ องต่อสองกบั ภกิ ษุ ผเู้ ดียว และมีผมู้ าเห็นเป็นผทู้ ีเ่ ชื่อถือไดพ้ ดู ข้ึนดว้ ยธรรม 2 ประการอนั ใดอนั หน่ึงกล่าวแก่ภกิ ษุน้นั ไดแ้ ก่ สงั ฆาทเิ สสก็ดี หรือปาจิตตยี ก์ ็ดี ภิกษนุ ้นั ถือวา่ มีความผดิ ตามทอ่ี ุบาสกผนู้ ้นั กล่าว นิสสัคคยิ ปาจติ ตยี ์ มี ๓๐ ข้อ ถือเป็นความผดิ ไดแ้ ก่ ๑.เกบ็ จีวรทเ่ี กินความจาํ เป็นไวเ้ กิน ๑๐ วนั ๒.อยโู่ ดยปราศจากจีวรแมแ้ ตค่ นื เดียว ๓.เก็บผา้ ที่จะทาํ จวี รไวเ้ กินกาํ หนด ๑ เดือน พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 62
63 ๔.ใชใ้ หภ้ ิกษุณีซกั ผา้ ๕.รับจีวรจากมือของภกิ ษุณี ๖.ขอจีวรจากคฤหสั ถท์ ีไ่ ม่ใช่ญาติ เวน้ แตจ่ ีวรหายหรือถูกขโมย ๗.รบั จีวรเกินกวา่ ท่ีใชน้ ุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป ๘.พดู ทาํ นองขอจีวรดีๆ กวา่ ท่ีเขากาํ หนดจะถวายไวแ้ ต่เดิม ๙.พดู ใหเ้ ขารวมกนั ซ้ือจีวรดีๆ มาถวาย ๑๐.ทวงจวี รจากคนทรี่ บั อาสาเพอ่ื ซ้ือจีวรถวายเกินกวา่ ๓ คร้งั ๑๑.หล่อเครื่องปูนงั่ ทีเ่ จอื ดว้ ยไหม ๑๒.หล่อเคร่ืองปนู งั่ ดว้ ยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดาํ ลว้ น ๑๓.ใชข้ นเจยี มดาํ เกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเคร่ืองปนู งั่ ๑๔.หล่อเครื่องปนู งั่ ใหม่ เมื่อของเดิมยงั ใชไ้ ม่ถึง ๖ ปี ๑๕.เม่ือหล่อเครื่องปูนงั่ ใหม่ ใหเ้ อาของเก่าเจือปนลงไปดว้ ย ๑๖.นาํ ขนเจยี มไปดว้ ยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เวน้ แต่มีผนู้ าํ ไปให้ ๑๗.ใชภ้ กิ ษณุ ีทีไ่ ม่ใชญ้ าตทิ าํ ความสะอาดขนเจยี ม ๑๘.รบั เงนิ ทอง ๑๙.ซ้ือขายดว้ ยเงินทอง ๒๐.ซ้ือขายโดยใชข้ องแลก ๒๑.เก็บบาตรท่ีมีใชเ้ กินความจาํ เป็ นไวเ้ กิน ๑๐ วนั ๒๒.ขอบาตร เม่ือบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง ๒๓.เก็บเภสชั ๕ (เนยใส เนยขน้ น้าํ มนั น้าํ ผ้งึ น้าํ ออ้ ย)ไวเ้ กิน ๗ วนั ๒๔.แสวงและทาํ ผา้ อาบน้าํ ฝนไวเ้ กินกาํ หนด ๑ เดือนก่อนหนา้ ฝน ๒๕.ใหจ้ ีวรภกิ ษุอื่นแลว้ ชิงคืนในภายหลงั ๒๖.ขอดา้ ยเอามาทอเป็นจีวร ๒๗.กาํ หนดใหช้ ่างทอทาํ ใหด้ ีข้นึ ๒๘.เก็บผา้ จาํ นาํ พรรษา (ผา้ ทถี่ วายภกิ ษเุ พอื่ อยพู่ รรษา) เกินกาํ หนด ๒๙.อยปู่ ่ าแลว้ เก็บจีวรไวใ้ นบา้ นเกิน ๖ คืน ๓๐.นอ้ มลาภสงฆม์ าเพอื่ ใหเ้ ขาถวายตน ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อไดแ้ ก่ ๑.หา้ มพดู ปด ๒.หา้ มด่า ๓.หา้ มพดู ส่อเสียด ๔.หา้ มกล่าวธรรมพรอ้ มกบั ผไู้ มไ่ ดบ้ วชในขณะสอน พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 63
64 ๕.หา้ มนอนร่วมกบั อนุปสมั บนั (ผไู้ ม่ใชภ้ ิกษุ)เกิน ๓ คนื ๖.หา้ มนอนร่วมกบั ผหู้ ญิง ๗.หา้ มแสดงธรรมสองตอ่ สองกบั ผหู้ ญงิ ๘.หา้ มบอกคุณวเิ ศษท่ีมีจริงแก่ผมู้ ิไดบ้ วช ๙.หา้ มบอกอาบตั ิชวั่ หยาบของภิกษแุ ก่ผมู้ ิไดบ้ วช ๑๐.หา้ มขดุ ดินหรือใชใ้ หข้ ดุ ๑๑.หา้ มทาํ ลายตน้ ไม้ ๑๒.หา้ มพดู เฉไฉเม่ือถูกสอบสวน ๑๓.หา้ มตเิ ตียนภิกษผุ ทู้ าํ การสงฆโ์ ดยชอบ ๑๔.หา้ มทิง้ เตียงตงั่ ของสงฆไ์ วก้ ลางแจง้ ๑๕.หา้ มปล่อยทนี่ อนไว้ ไม่เก็บงาํ ๑๖.หา้ มนอนแทรกภกิ ษผุ เู้ ขา้ ไปอยกู่ ่อน ๑๗.หา้ มฉุดคร่าภกิ ษุออกจากวหิ ารของสงฆ์ ๑๘.หา้ มนง่ั นอนทบั เตยี งหรือตง่ั ทีอ่ ยชู่ ้นั บน ๑๙.หา้ มพอกหลงั คาวหิ ารเกิน ๓ ช้นั ๒๐.หา้ มเอาน้าํ มีสตั วร์ ดหญา้ หรือดิน ๒๑.หา้ มสอนนางภิกษุณีเม่ือมไิ ดร้ ับมอบหมาย ๒๒.หา้ มสอนนางภิกษุณีต้งั แตอ่ าทติ ยต์ กแลว้ ๒๓.หา้ มไปสอนนางภกิ ษุณีถึงทอี่ ยู่ ๒๔.หา้ มติเตียนภิกษอุ ่ืนวา่ สอนนางภกิ ษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ ๒๕.หา้ มใหจ้ ีวรแก่นางภิกษุณีผมู้ ิใช่ญาติ ๒๖.หา้ มเยบ็ จีวรใหน้ างภิกษุณีผมู้ ิใช่ญาติ ๒๗.หา้ มเดินทางไกลร่วมกบั นางภิกษณุ ี ๒๘.หา้ มชวนนางภกิ ษุณีเดินทางเรือร่วมกนั ๒๙.หา้ มฉนั อาหารท่นี างภกิ ษุณีไปแนะใหเ้ ขาถวาย ๓๐.หา้ มนง่ั ในทล่ี บั สองต่อสองกบั ภิกษณุ ี ๓๑.หา้ มฉนั อาหารในโรงพกั เดินทางเกิน ๓ ม้ือ ๓๒.หา้ มฉนั อาหารรวมกลุ่ม ๓๓.หา้ มรบั นิมนตแ์ ลว้ ไปฉนั อาหารท่ีอื่น ๓๔.หา้ มรบั บณิ ฑบาตเกิน ๓ บาตร ๓๕.หา้ มฉนั อีกเม่ือฉนั ในทน่ี ิมนตเ์ สร็จแลว้ ๓๖.หา้ มพดู ใหภ้ ิกษทุ ีฉ่ นั แลว้ ฉนั อีกเพอ่ื จบั ผดิ ๓๗.หา้ มฉนั อาหารในเวลาวกิ าล พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 64
65 ๓๘.หา้ มฉนั อาหารทีเ่ ก็บไวค้ า้ งคนื ๓๙.หา้ มขออาหารประณีตมาเพอ่ื ฉนั เอง ๔๐.หา้ มฉนั อาหารท่ีมิไดร้ ับประเคน ๔๑.หา้ มยนื่ อาหารดว้ ยมือใหช้ ีเปลือยและนกั บวชอ่ืนๆ ๔๒.หา้ มชวนภิกษุไปบิณฑบาตดว้ ยแลว้ ไล่กลบั ๔๓.หา้ มเขา้ ไปแทรกแซงในสกลุ ทมี่ ีคน ๒ คน ๔๔.หา้ มนง่ั ในทีล่ บั มีที่กาํ บงั กบั มาตุคาม (ผหู้ ญงิ ) ๔๕.หา้ มนงั่ ในทีล่ บั (หู) สองตอ่ สองกบั มาตุคาม ๔๖.หา้ มรบั นิมนตแ์ ลว้ ไปทอ่ี ่ืนไม่บอกลา ๔๗.หา้ มขอของเกินกาํ หนดเวลาทเ่ี ขาอนุญาตไว้ ๔๘.หา้ มไปดูกองทพั ทย่ี กไป ๔๙.หา้ มพกั อยใู่ นกองทพั เกิน ๓ คนื ๕๐.หา้ มดูเขารบกนั เป็นตน้ เม่ือไปในกองทพั ๕๑.หา้ มดื่มสุราเมรยั ๕๒.หา้ มจ้ีภิกษุ ๕๓.หา้ มวา่ ยน้าํ เล่น ๕๕.หา้ มหลอกภิกษุใหก้ ลวั ๕๔.หา้ มแสดงความไม่เอ้ือเฟ้ื อในวนิ ยั ๕๖.หา้ มตดิ ไฟเพอื่ ผงิ ๕๗.หา้ มอาบน้าํ บอ่ ยๆเวน้ แต่มีเหตุ ๕๘.ใหท้ าํ เครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม ๕๙.วกิ ปั จีวรไวแ้ ลว้ (ทาํ ให้เป็นสองเจา้ ของ-ใหย้ มื ใช)้ จะใชต้ อ้ งถอนก่อน ๖๐.หา้ มเล่นซ่อนบริขารของภกิ ษุอ่ืน ๖๑.หา้ มฆ่าสตั ว์ ๖๒.หา้ มใชน้ ้าํ มีตวั สตั ว์ ๖๓.หา้ มร้ือฟ้ื นอธิกรณ์(คดีความ-ขอ้ โตเ้ ถียง)ที่ชาํ ระเป็ นธรรมแลว้ ๖๔.หา้ มปกปิ ดอาบตั ิชวั่ หยาบของภกิ ษอุ ่ืน ๖๕.หา้ มบวชบคุ คลอายไุ ม่ถึง ๒๐ ปี ๖๖.หา้ มชวนพอ่ คา้ ผหู้ นีภาษีเดินทางร่วมกนั ๖๗.หา้ มชวนผหู้ ญงิ เดินทางร่วมกนั ๖๘.หา้ มกล่าวตู่พระธรรมวนิ ยั (ภกิ ษุอ่ืนหา้ มและสวดประกาศเกิน ๓ คร้งั ) ๖๙.หา้ มคบภกิ ษุผกู้ ล่าวตูพ่ ระธรรมวนิ ยั พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 65
66 ๗๐.หา้ มคบสามเณรผกู้ ล่าวตูพ่ ระธรรมวนิ ยั ๗๑.หา้ มพดู ไถลเม่ือทาํ ผดิ แลว้ ๗๒.หา้ มกล่าวตเิ ตียนสิกขาบท ๗๓.หา้ มพดู แกต้ วั วา่ เพง่ิ รู้วา่ มีในปาฏโิ มกข์ ๗๔.หา้ มทาํ ร้ายร่างกายภิกษุ ๗๕.หา้ มเง้ือมือจะทาํ รา้ ยภกิ ษุ ๗๖.หา้ มโจทภกิ ษดุ ว้ ยอาบตั สิ งั ฆาทิเสสท่ไี ม่มีมลู ๗๗.หา้ มก่อความราํ คาญแก่ภิกษอุ ่ืน ๗๘.หา้ มแอบฟังความของภกิ ษผุ ทู้ ะเลาะกนั ๗๙.ใหฉ้ นั ทะแลว้ หา้ มพดู ติเตยี น ๘๐.ขณะกาํ ลงั ประชุมสงฆ์ หา้ มลกุ ไปโดยไม่ใหฉ้ นั ทะ ๘๑.ร่วมกบั สงฆใ์ หจ้ ีวรแก่ภิกษุแลว้ หา้ มตเิ ตียนภายหลงั ๘๒.หา้ มนอ้ มลาภสงฆม์ าเพอ่ื บคุ คล ๘๓.หา้ มเขา้ ไปในตาํ หนกั ของพระราชา ๘๔.หา้ มเก็บของมีค่าท่ีตกอยู่ ๘๕.เม่ือจะเขา้ บา้ นในเวลาวกิ าล ตอ้ งบอกลาภิกษกุ ่อน ๘๖.หา้ มทาํ กล่องเขม็ ดว้ ยกระดูก งา หรือเขาสตั ว์ ๘๗.หา้ มทาํ เตยี ง ตงั่ มีเทา้ สูงกวา่ ประมาณ ๘๘.หา้ มทาํ เตียง ตง่ั ที่หุม้ ดว้ ยนุ่น ๘๙.หา้ มทาํ ผา้ ปูนงั่ มีขนาดเกินประมาณ ๙๐.หา้ มทาํ ผา้ ปิ ดฝีมีขนาดเกินประมาณ ๙๑.หา้ มทาํ ผา้ อาบน้าํ ฝนมีขนาดเกินประมาณ ๙๒.หา้ มทาํ จีวรมีขนาดเกินประมาณ ปาฏิเทสนียะ มี ๔ ข้อไดแ้ ก่ ๑. หา้ มรบั ของคบเค้ยี ว ของฉนั จากมือภิกษณุ ีมาฉนั ๒. ใหไ้ ล่นางภิกษณุ ีทม่ี ายงุ่ ใหเ้ ขาถวายอาหาร ๓. หา้ มรับอาหารในสกลุ ท่ีสงฆส์ มมุตวิ า่ เป็ นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยงั ไม่ไดบ้ รรลุเป็ นอรหนั ต)์ ๔. หา้ มรับอาหารทเี่ ขาไม่ไดจ้ ดั เตรียมไวก้ ่อนมาฉนั เมื่ออยปู่ ่ า เสขยิ ะ สารูป มี ๒๖ ข้อไดแ้ ก่ ๑.นุ่งใหเ้ ป็นปริมณฑล (ล่างปิ ดเขา่ บนปิ ดสะดือไม่หอ้ ยหนา้ หอ้ ยหลงั ) ๒.ห่มใหเ้ ป็นนปริมณฑล (ใหช้ ายผา้ เสมอกนั ) ๓.ปกปิ ดกายดว้ ยดีไปในบา้ น พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 66
67 ๔.ปกปิ ดกายดว้ ยดีนง่ั ในบา้ น ๕.สาํ รวมดว้ ยดีไปในบา้ น ๖.สาํ รวมดว้ ยดีนง่ั ในบา้ น ๗.มีสายตาทอดลงไปในบา้ น (ตาไม่มองโน่นมองน่ี) ๘.มีสายตาทอดลงนง่ั ในบา้ น ๙.ไม่เวกิ ผา้ ไปในบา้ น ๑๐.ไม่เวกิ ผา้ นงั่ ในบา้ น ๑๑.ไม่หวั เราะดงั ไปในบา้ น ๑๒.ไม่หวั เราะดงั นงั่ ในบา้ น ๑๓.ไม่พดู เสียงดงั ไปในบา้ น ๑๔.ไม่พดู เสียงดงั นงั่ ในบา้ น ๑๕.ไม่โคลงกายไปในบา้ น ๑๖.ไม่โคลงกายนง่ั ในบา้ น ๑๗.ไม่ไกวแขนไปในบา้ น ๑๘.ไม่ไกวแขนนงั่ ในบา้ น ๑๙.ไม่สนั่ ศรี ษะไปในบา้ น ๒๐.ไม่สน่ั ศรี ษะนงั่ ในบา้ น ๒๑.ไม่เอามือค้าํ กายไปในบา้ น ๒๒.ไม่เอามือค้าํ กายนง่ั ในบา้ น ๒๓.ไม่เอาผา้ คลุมศีรษะไปในบา้ น ๒๔.ไม่เอาผา้ คลุมศีรษะนงั่ ในบา้ น ๒๕.ไม่เดินกระโหยง่ เทา้ ไปในบา้ น ๒๖.ไม่นง่ั รดั เข่าในบา้ น โภชนปฏิสังยุตต์ มี ๓๐ ข้อคอื หลกั ในการฉนั อาหารไดแ้ ก่ ๑.รับบณิ ฑบาตดว้ ยความเคารพ ๒.ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร ๓.รบั บิณฑบาตพอสมส่วนกบั แกง (ไม่รับแกงมากเกินไป) ๔.รับบณิ ฑบาตแคพ่ อเสมอขอบปากบาตร ๕.ฉนั บิณฑบาตโดยความเคารพ ๖.ในขณะฉนั บณิ ฑบาต และดูแต่ในบาตร ๗.ฉนั บิณฑบาตไปตามลาํ ดบั (ไม่ขดุ ใหแ้ หวง่ ) ๘.ฉนั บิณฑบาตพอสมส่วนกบั แกง ไม่ฉนั แกงมากเกินไป พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 67
68 ๙.ฉนั บิณฑบาตไม่ขยมุ้ แต่ยอดลงไป ๑๐.ไม่เอาขา้ วสุกปิ ดแกงและกบั ดว้ ยหวงั จะไดม้ าก ๑๑.ไม่ขอเอาแกงหรือขา้ วสุกเพอ่ื ประโยชนแ์ ก่ตนมาฉนั หากไม่เจบ็ ไข้ ๑๒.ไม่มองดูบาตรของผอู้ ่ืนดว้ ยคิดจะยกโทษ ๑๓.ไม่ทาํ คาํ ขา้ วใหใ้ หญ่เกินไป ๑๔.ทาํ คาํ ขา้ วใหก้ ลมกลอ่ ม ๑๕.ไม่อา้ ปากเมือ่ คาํ ขา้ วยงั มาไม่ถึง ๑๖.ไม่เอามือท้งั มือใส่ปากในขณะฉนั ๑๗.ไม่พดู ในขณะที่มีคาํ ขา้ วอยใู่ นปาก ๑๘.ไม่ฉนั โดยการโยนคาํ ขา้ วเขา้ ปาก ๑๙.ไม่ฉนั กดั คาํ ขา้ ว ๒๐.ไม่ฉนั ทาํ กระพงุ้ แกม้ ใหต้ ยุ่ ๒๑.ไม่ฉนั พลางสะบดั มือพลาง ๒๒.ไม่ฉนั โปรยเมล็ดขา้ ว ๒๓.ไม่ฉนั แลบล้ิน ๒๔.ไม่ฉนั ดงั จบั ๆ ๒๕.ไม่ฉนั ดงั ซูด ๆ ๒๖.ไม่ฉนั เลียมือ ๒๗.ไม่ฉนั เลียบาตร ๒๘.ไม่ฉนั เลียริมฝีปาก ๒๙.ไม่เอามือเป้ื อนจบั ภาชนะน้าํ ๓๐.ไม่เอาน้าํ ลา้ งบาตรมีเมล็ดขา้ วเทลงในบา้ น ธัมมเทสนาปฏสิ ังยุตต์ มี ๑๖ ข้อคือ ๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ มี่ ีร่มในมือ ๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ่ีมไี มพ้ ลองในมือ ๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ มี่ ีของมีคมในมือ ๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ม่ี ีอาวธุ ในมือ ๕.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ่ีสวมเขียงเทา่ (รองเทา้ ไม)้ ๖.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ่ีสวมรองเทา้ ๗.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ไี่ ปในยาน ๘.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ อ่ี ยบู่ นที่นอน ๙.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ีน่ ง่ั รัดเข่า พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 68
69 ๑๐.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ี่โพกศรี ษะ ๑๑.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ีค่ ลมุ ศีรษะ ๑๒.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ อี่ ยบู่ นอาสนะ (หรือเครื่องปนู งั่ ) โดยภิกษอุ ยบู่ นแผน่ ดิน ๑๓.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ ี่นงั่ บนอาสนะสูงกวา่ ภิกษุ ๑๔.ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไขท้ น่ี งั่ อยู่ แต่ภิกษุยนื ๑๕.ภิกษเุ ดินไปขา้ งหลงั ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็ นไขท้ ่เี ดินไปขา้ งหนา้ ๑๖.ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็ นไขท้ ี่ไปในทาง ปกณิ สถะ มี ๓ ข้อ ๑. ภิกษไุ ม่เป็นไขไ้ ม่ยนื ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ๒. ภกิ ษไุ ม่เป็นไขไ้ ม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบว้ นน้าํ ลายลงในของเขยี ว (พนั ธุไ์ มใ้ บหญา้ ตา่ งๆ) ๓. ภิกษุไม่เป็นไขไ้ ม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบว้ นน้าํ ลายลงในน้าํ อธิกรณสมถะ มี ๗ ข้อได้แก่ ๑. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความทต่ี กลงกนั ไม่ได)้ ในที่พรอ้ มหนา้ (บคุ คล วตั ถุ ธรรม) ๒. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความทต่ี กลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยการยกใหว้ า่ พระอรหนั ตเ์ ป็นผมู้ ีสติ ๓. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความทีต่ กลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยยกประโยชน์ใหใ้ นขณะเป็ นบา้ ๔. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยถือตามคาํ รับของจาํ เลย ๕. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความทตี่ กลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยถือเสียงขา้ งมากเป็นประมาณ ๖. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความทีต่ กลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยการลงโทษแก่ผผู้ ดิ ๗. ระงบั อธิกรณ์ (คดีความ หรือความที่ตกลงกนั ไม่ได)้ ดว้ ยใหป้ ระนีประนอมหรือเลิกแลว้ กนั ไป พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 69
70 เนือ้ หาวชิ าคหิ ปิ ฏิบตั ิ ธรรมศึกษาช้ันตรี จตุกกะ คือ หมวด ๔ ทฏิ ฐธัมมกิ ตั ถประโยชน์ คอื ประโยชน์ในปัจจุบนั ๔ อย่าง ๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความหมน่ั ในการประกอบกิจ เครื่องเล้ียงชีวิตก็ดี ในการศึกษาเล่า เรียนก็ดี ในการทาํ ธุระหนา้ ท่ขี องตนกด็ ี ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยการรักษา คือรักษาทรพั ยท์ ่ีแสวงหามาไดด้ ว้ ยความหมน่ั ไม่ให้เป็ น อนั ตรายกด็ ี รกั ษาการงานของตน ไม่ใหเ้ สื่อมเสียไปก็ดี ๓. กัลยาณมติ ตตา ความมีเพอ่ื นเป็ นคนดี ไม่คบคนชวั่ ๔. สมชีวติ า ความเล้ียงชีวติ ตามสมควร แก่กาํ ลงั ทรพั ยท์ ี่หาได้ ไม่ให้ ฝืดเคืองนกั ไม่ใหฟ้ ่ ุมเฟื อยนกั สัมปรายิกตั ถประโยชน์ คือ ประโยชน์ภายหน้า ๔ อย่าง ๑. สัทธาสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศรัทธาคอื เชื่อส่ิงทค่ี วรเช่ือ เช่นเชื่อวา่ ทาํ ดีไดด้ ี ทาํ ชว่ั ไดช้ ว่ั เป็ นตน้ ๒. สีลสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยศลี คือ รกั ษา กาย วาจาเรียบรอ้ ยดีไม่มีโทษ ๓. จาคสัมปทา ถึงพรอ้ มดว้ ยการบริจาคทาน เป็ นการเฉลี่ยสุขใหแ้ ก่ผอู้ ื่น ๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยปัญญา รู้จกั บาป บญุ คุณ โทษประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ มติ ตปฏิรูป คอื คนเทียมมิตร ๔ จําพวก ๑. คนปลอกลอก ๒. คนดีแต่พูด ๓. คนหัวประจบ ๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย คน ๔ จาํ พวกน้ี ไม่ใช่มิตร เป็นแตค่ นเทียมมิตร ไม่ควรคบ ๑. คนปลอกลอก มีลกั ษณะ ๔ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 70
71 ๑. คดิ เอาแตไ่ ดฝ้ ่ายเดียว ๒. เสียใหน้ อ้ ย คิดเอาใหไ้ ดม้ า ๓. เม่ือมีภยั แก่ตวั จึงรบั ทาํ กิจของเพอ่ื น ๔. คบเพอ่ื นเพราะเห็นแก่ประโยชนข์ องตวั ๒. คนดแี ต่พูด มีลกั ษณะ ๔ ๑. เก็บเอาเรื่องล่วงแลว้ มาปราศรัย ๒. อา้ งเอาเร่ืองทย่ี งั ไม่มีมาปราศรัย ๓. สงเคราะห์ดว้ ยส่ิงหาประโยชน์มิได้ ๔. ออกปากพ่งึ มิได้ ๓. คนหัวประจบ มลี กั ษณะ ๔ ๑. จะทาํ ชวั่ กค็ ลอ้ ยตาม ๒. จะทาํ ดีก็คลอ้ ยตาม ๓. ตอ่ หนา้ วา่ สรรเสริญ ๔. ลบั หลงั ต้งั นินทา ๔. คนชักชวนในทางฉิบหาย มลี ักษณะ ๔ ๑. ชกั ชวนดื่มน้าํ เมา ๒. ชกั ชวนเทีย่ วกลางคืน ๓. ชกั ชวนใหม้ วั เมาในการเล่น ๔. ชกั ชวนเล่นการพนนั มิตรแท้ ๔ จาํ พวก ๑. มติ รมอี ปุ การะ ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ๓. มติ รแนะประโยชน์ ๔. มิตรมีความรักใคร่ มติ ร ๔ จาํ พวกนี้ เป็ นมติ รแท้ ควรคบ ๑. มิตรมอี ปุ การะ มลี กั ษณะ ๔ ๑. ป้องกนั เพอ่ื นผปู้ ระมาทแลว้ ๒. ป้องกนั ทรัพยส์ มบตั ขิ องเพอื่ นผปู้ ระมาทแลว้ ๓. เม่ือมีภยั เป็นท่พี ่งึ พาํ นกั ได้ ๔. เม่ือมีธุระ ช่วยออกทรัพยใ์ หเ้ กินกวา่ ทอี่ อกปาก ๒. มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ มีลกั ษณะ ๔ ๑. ขยายความลบั ของตนแก่เพอื่ น ๒. ปิ ดความลบั ของเพอื่ นไม่ใหแ้ พร่งพราย ๓. ไม่ละทง้ิ ในยามวบิ ตั ิ ๔. แมช้ ีวติ ก็อาจสละแทนได้ ๓. มติ รแนะประโยชน์ มีลักษณะ ๔ ๑. หา้ มไม่ใหท้ าํ ความชวั่ ๒. แนะนาํ ใหต้ ้งั อยใู่ นความดี ๓. ใหฟ้ ังสิ่งท่ียงั ไม่เคยฟัง ๔. บอกทางสวรรคใ์ ห้ ๔. มิตรมีความรักใคร่ มลี กั ษณะ ๔ ๑. ทกุ ขๆ์ ดว้ ย ๒. สุขๆดว้ ย ๓. โตเ้ ถียงคนทีพ่ ดู ตเิ ตียนเพอ่ื น ๔. รับรองคนท่พี ดู สรรเสริญเพอ่ื น สังคหวัตถุ ๔ อย่าง ๑. ทาน ใหป้ ันสิ่งของของตนแก่ผอู้ ื่นที่ควรใหป้ ัน ๒. ปิ ยวาจา เจรจาวาจาท่อี ่อนหวาน ๓. อตั ถจริยา ประพฤติสิ่งทเ่ี ป็ นประโยชน์แก่ผอู้ ่ืน ๔. สมานัตตตา ความเป็ นคนมีตนเสมอไม่ถือตวั พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 71
72 คุณท้งั ๔ อยา่ งน้ี เป็นเครื่องยดึ เหนี่ยวใจของผอู้ ื่นไวไ้ ด้ ฆราวาสธรรม ๔ อย่าง ๑. สัจจะ สตั ยซ์ ่ือตอ่ กนั ๒. ทมะ รู้จกั ขม่ จติ ของตน (หมายถึง ปัญญา) ๓. ขันติ อดทน(หมายถึง ความเพยี ร) ๔. จาคะ สละใหป้ ันสิ่งของของตนแก่คนทีค่ วรใหป้ ัน ปัญจกะ คือ หมวด ๕ มจิ ฉาวณชิ ชา คอื การค้าขายไม่ชอบธรรม ๕ อย่าง ๑. คา้ ขายเครื่องประหาร ๒. คา้ ขายมนุษย์ ๓. คา้ ขายสตั วเ์ ป็นสาํ หรับฆ่าเพอื่ เป็ นอาหาร ๔. คา้ ขายน้าํ เมา ๕. คา้ ขายยาพษิ สมบตั ขิ องอบุ าสกอุบาสิกา ๕ ประการ ๑. ประกอบดว้ ยศรทั ธา ๒. มีศลี บริสุทธ์ิ ๓. ไม่ถือมงคลต่นื ขา่ ว คอื เช่ือกรรม ไม่เชื่อมงคล ๔. ไม่แสวงหาเขตบญุ นอกพทุ ธศาสนา ๕. บาํ เพญ็ บญุ แตใ่ นพระพทุ ธศาสนา อุบาสกพงึ ต้งั อยใู่ นสมบตั ิ ๕ ประการ และเวน้ จากวบิ ตั ิ ๕ ประการ ซ่ึงวปิ ริตจากสมบตั ิน้นั ฉักกะ คือ หมวด ๖ ทศิ ๖ ๑. ปุรัตถมิ ทิส คอื ทิศเบือ้ งหน้า มารดาบดิ า ๒. ทักขณิ ทสิ คอื ทิศเบือ้ งขวา อาจารย์ ๓. ปัจฉิมทิส คอื ทศิ เบื้องหลงั บตุ รภรรยา ๔. อตุ ตรทิส คือ ทิศเบือ้ งซ้าย มิตร ๕. เหฏฐิมทสิ คือ ทศิ เบื้องต่าํ บ่าว ๖. อปุ ริมทิส คอื ทศิ เบือ้ งบน สมณพราหมณ์ ๑. ปุรัตถิมทิส คอื ทิศเบือ้ งหน้า มารดาบดิ า บตุ รพึงบาํ รุงด้วยสถาน ๕ ๑. ทา่ นไดเ้ ล้ียงมาแลว้ เล้ียงท่านตอบ ๒. ทาํ กิจของท่าน ๓. ดาํ รงวงศส์ กุล ๔. ประพฤติตนใหเ้ ป็นคนควรรบั ทรัพยม์ รดก ๕. เมื่อทา่ นล่วงลบั ไปแลว้ ทาํ บญุ อุทิศใหท้ ่าน มารดาบดิ าไดร้ บั บาํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะหบ์ ุตรดว้ ยสถาน ๕ ๑. หา้ มไม่ใหท้ าํ ความชวั่ ๒. ใหต้ ้งั อยใู่ นความดี ๓. ใหศ้ ึกษาศิลปวทิ ยา ๔. หาภรรยา/สามีทีส่ มควร ๕. มอบทรัพยใ์ หใ้ นสมยั ๒. ทักขณิ ทิส คอื ทิศเบื้องขวา อาจารย์ ศิษย์พึงบํารุงด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยลุกข้นึ ยนื รับ ๒. ดว้ ยเขา้ ไปยนื คอยรบั ใช้ ๓. ดว้ ยเช่ือฟัง พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 72
73 ๔. ดว้ ยอุปัฏฐาก ๕. ดว้ ยเรียนศิลปวทิ ยาโดยเคารพ อาจารยไ์ ดร้ บั บาํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะหศ์ ิษยด์ ว้ ยสถาน ๕ ๑. แนะนาํ ดี ๒. ใหเ้ รียนดี ๓. บอกศลิ ปใหส้ ิ้นเชิง ไม่ปิ ดบงั อาํ พราง ๔. ยกยอ่ งใหป้ รากฏในเพอ่ื นฝงู ๕. ทาํ ความป้องกนั ในทิศท้งั หลาย ๓. ปัจฉิมทสิ คอื ทศิ เบื้องหลัง ภรรยา สามีพึงบํารุงด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยยกยอ่ งนบั ถือวา่ เป็นภรรยา ๒. ดว้ ยไม่ดูหม่ิน ๓. ดว้ ยไม่ประพฤติล่วงใจ ๔. ดว้ ยมอบความเป็นใหญใ่ ห้ ๕. ดว้ ยใหเ้ ครื่องแตง่ ตวั ภรรยาไดร้ บั บาํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะห์สามีดว้ ยสถาน ๕ ๑. จดั การงานดี ๒. สงเคราะห์คนขา้ งเคยี งของผวั ดี ๓. ไม่ประพฤติล่วงใจผวั ๔. รักษาทรัพยท์ ผ่ี วั หามาไดไ้ ว้ ๕. ขยนั ไม่เกียจครา้ นในกิจการท้งั ปวง ๔. อตุ ตรทสิ คือทิศเบือ้ งซ้าย มติ ร กลุ บตุ รพึงบาํ รุงด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยใหป้ ัน ๒. ดว้ ยเจรจาถอ้ ยคาํ ไพเราะ ๓. ดว้ ยประพฤติประโยชน์ ๔. ดว้ ยความเป็นผมู้ ีตนเสมอ ๕. ดว้ ยไม่แกลง้ กล่าวใหค้ ลาดจากความเป็ นจริง มิตรไดบ้ าํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะหก์ ลุ บตุ รดว้ ยสถาน ๕ ๑. รักษามิตรผปู้ ระมาทแลว้ ๒. รักษาทรพั ยข์ องมิตรผปู้ ระมาทแลว้ ๓. เมื่อมีภยั เอาเป็นทพ่ี ่งึ พาํ นกั ได้ ๔. ไม่ละทง้ิ ในยามวบิ ตั ิ ๕. นบั ถือตลอดถึงวงศข์ องมิตร ๕. เหฏฐิมทิส คือทิศเบื้องตา่ํ บ่าว นายพงึ บาํ รุงด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยจดั การงานใหท้ าํ ตามสมควรแก่กาํ ลงั ๒. ดว้ ยใหอ้ าหารและรางวลั ๓. ดว้ ยรกั ษาพยาบาลในเวลาเจบ็ ไข้ ๔. ดว้ ยแจกของมีรสประหลาดใหก้ ิน ๕. ดว้ ยปล่อยในสมยั บา่ วไดบ้ าํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะหน์ ายดว้ ยสถาน ๕ ๑. ลุกข้ึนทาํ การงานก่อนนาย ๒. เลิกการงานทหี ลงั นาย ๓. ถือเอาแตข่ องทีน่ ายให้ ๔. ทาํ การงานใหด้ ีข้ึน ๕. นาํ คุณของนายไปสรรเสริญในท่นี ้นั ๆ ๖. อปุ ริมทิส คอื ทิศเบือ้ งบน สมณพราหมณ์ กลุ บตุ รพงึ บํารุงด้วยสถาน ๕ ๑. ดว้ ยกายกรรม คอื ทาํ อะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๒. ดว้ ยวจกี รรม คอื พดู อะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๓. ดว้ ยมโนกรรม คือคดิ อะไร ๆ ประกอบดว้ ยเมตตา ๔. ดว้ ยความเป็นผไู้ ม่ปิ ดประตู คือมิไดห้ า้ มเขา้ บา้ นเรือน ๕. ดว้ ยใหอ้ ามิสทาน สมณพราหมณ์ไดร้ ับบาํ รุงฉะน้ีแลว้ ยอ่ มอนุเคราะหก์ ลุ บุตรดว้ ยสถาน ๖ ๑. หา้ มไม่ใหก้ ระทาํ ความชว่ั ๒. ใหต้ ้งั อยใู่ นความดี พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 73
74 ๓. อนุเคราะหด์ ว้ ยน้าํ ใจอนั งาม ๔. ใหไ้ ดฟ้ ังสิ่งทีย่ งั ไม่เคยฟัง ๕. ทาํ สิ่งทเ่ี คยฟังแลว้ ใหช้ ดั เจน ๖. บอกทางสวรรคใ์ ห้ อบายมุข คอื เหตเุ ครื่องฉิบหาย ๖ ๑. ดื่มนํ้าเมา ๒ เทย่ี วกลางคืน ๓. เท่ยี วดูการเล่น ๔. เล่นการพนัน ๕. คบคนชั่วเป็ นมติ ร ๖. เกียจคร้านการทาํ งาน ๑. ด่ืมนํ้าเมา มีโทษ ๖ ๒. ก่อการทะเลาะววิ าท ๓. เกิดโรค ๑. เสียทรพั ย์ ๖.ทอนกาํ ลงั ปัญญา ๔. ตอ้ งติเตยี น ๕. ไมร้ ู้จกั อาย ๒ เท่ียวกลางคนื มีโทษ ๖ ๑. ชื่อวา่ ไม่รกั ษาตวั ๒. ชื่อวา่ ไม่รกั ษาลูกเมีย ๓. ช่ือวา่ ไม่รกั ษาทรัพยส์ มบตั ิ ๔. เป็นทรี่ ะแวงของคนท้งั หลาย ๕. มกั ถูกใส่ความ ๖. ไดค้ วามลาํ บากมาก ๓. เทย่ี วดูการเล่น มโี ทษตามวตั ถุทีไ่ ปดู ๖ ๑. ราํ ทไ่ี หนไปทน่ี นั่ ๒. ขบั ร้องทไ่ี หนไปที่นนั่ ๓. ดีดสีตีเป่ าท่ีไหนไปท่นี น่ั ๔. เสภาทไ่ี หนไปท่ีนนั่ ๕. เพลงท่ีไหนไปทนี่ น่ั ๖. เถิดเทิงทีไ่ หนไปท่นี นั่ ๔. เล่นการพนัน มีโทษ ๖ ๑. เม่ือชนะยอ่ มก่อเวร ๒. เม่ือแพย้ อ่ มเสียดายทรพั ยท์ ่ีเสียไป ๓. ทรัพยย์ อ่ มฉิบหาย ๔.ไม่มีใครเช่ือถือถอ้ ยคาํ ๕. เป็นทหี่ มิ่นประมาทของเพอ่ื น ๖.ไม่มีใครประสงคจ์ ะแตง่ งานดว้ ย ๕. คบคนชั่วเป็ นมติ ร มโี ทษตามบคุ คลทค่ี บ ๖ ๑. นาํ ใหเ้ ป็นนกั เลงการพนนั ๒. นาํ ใหเ้ ป็ นนกั เลงเจา้ ชู้ ๓. นาํ ใหเ้ ป็นนกั เลงเหลา้ ๔.นาํ ใหเ้ ป็ นคนลวงเขาดว้ ยของปลอม ๕. นาํ ใหเ้ ป็นคนลวงเขาซ่ึงหนา้ ๖.นาํ ใหเ้ ป็ นคนหวั ไม้ ๖. เกยี จคร้านการทํางาน มโี ทษ ๖ ๑. มกั ใหอ้ า้ งวา่ หนาวนกั แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๒. มกั ใหอ้ า้ งวา่ รอ้ นนกั แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๓. มกั ใหอ้ า้ งวา่ เวลาเยน็ แลว้ แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๔. มกั ใหอ้ า้ งวา่ ยงั เชา้ อยู่ แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๕. มกั ใหอ้ า้ งวา่ หิวนกั แลว้ ไม่ทาํ การงาน ๖. มกั ใหอ้ า้ งวา่ กระหายนกั แลว้ ไม่ทาํ การงาน ผหู้ วงั ความเจริญดว้ ยโภคทรัพย์ พงึ เวน้ เหตุเคร่ืองฉิบหาย ๖ ประการน้ีเสีย พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 74
75 ปัญหาธรรมวภิ าค นักธรรมช้ันตรี หมวดที่ ๒ – ๓ ************************************* ๑. ๑.๑ พระธรรมคืออะไร ? ๒๕๔๐ ๑.๒ ผปู้ ฏิบตั ิดี ไดร้ ับอานิสงส์อยา่ งไร ? ๒๕๔๐ ๒. ๒.๑ ธรรมคุม้ ครองโลกมอี ะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๒.๒ ธรรมขอ้ นีจะคุม้ ครองโลกไดอ้ ยา่ งไร ? ๒๕๔๔ ๓. ๓.๑ จะเรียกคนเช่นไรวา่ เป็นหนีท่านผอู้ ืนอยู่ ? ๒๕๔๓ ๓.๒ บคุ คลมกี าย วาจา ใจ งดงาม เพราะปฏิบตั ิธรรมอะไร ? ๒๕๔๓ ๔. ๔.๑ ทจุ ริต คืออะไร มเี ท่าไร อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๔.๒ คนทีรับปากคาํ เขาไวแ้ ลว้ แต่ไมท่ าํ ตามนัน) จดั เขา้ ในทจุ ริตขอ้ ไหน ? ๒๕๔๓ ๕. ๕.๑ มลู เหตุทีทาํ ใหบ้ ุคคลทาํ ความชวั เรียกว่าอะไร มอี ะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๕.๒ เฉพาะขอ้ ๒ มอี ธิบายว่าอยา่ งไร ? ๒๕๔๓ ๖. ๖.๑ สิงทีเป็นทีตงั แห่งการบาํ เพญ็ บุญ เรียกว่าอะไร โดยยอ่ มีเทา่ ไร อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๖.๒ วตั ถุทคี วรให้ ท่านแสดงไว้ ๑๐ อยา่ ง มอี ะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๗. ๗.๑ พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ คือใคร รวมเรียกวา่ อะไร ? ๒๕๔๒ ๗.๒ ไตรสรณคมน์ คืออะไร ? ๒๕๔๒ ๘. ๘.๑ โอวาทของพระพุทธเจา้ ๓ ขอ้ คืออะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๘.๒ ในโอวาท ๓ ขอ้ นนั ) ขอ้ ไหนเป็นคาํ สงั คือหา้ มทาํ ขอ้ ไหนเป็นคาํ สอน คอื คาํ แนะนาํ ? ๒๕๔๒ ๙. ๙.๑ อกุศลมูลคืออะไร มีเท่าไร อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๙.๒ เมื่อรู้วา่ อกุศลมลู เหล่านนั ) เกิดขึน) ในใจ ควรทาํ อยา่ งไร ? ๒๕๔๑ ๑๐. ๑๐.๑ ความทกุ ขท์ มี นุษยก์ าํ ลงั ประสบอยทู่ กุ วนั นี ) มีสาเหตุมาจากอะไร ? ๒๕๓๙ ๑๐.๒ จะดบั ความทุกขใ์ นขอ้ ๑๐.๑ นนั ) ไดอ้ ยา่ งไร ? ๒๕๓๙ ----------------------------------------------- พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 75
76 เฉลยปัญหาธรรมวภิ าค นกั ธรรมช้ันตรี หมวดที่ ๒ – ๓ ************************************* ๑. ๑.๑ คือ พระธรรมวินยั ที2เป็นคาํ ส2ั งสอนของพระพุทธเจา้ ฯ ๑.๒ ไดร้ ับอานิสงส์อยา่ งนี คือ รักษาผปู้ ฏิบตั ิไมใ่ หต้ กไปในที ชวั ไดร้ ับความสุขเป็นชนั ๆ ตามสมควรแก่ความปฏิบตั ิ เช่น ธรรมคือ หิริและโอตตปั ปะ มีอยใู่ นผใู้ ด ยอ่ มนาํ ผนู้ นั )ไมใ่ ห้ทาํ ทุจริตอนั เป็นเหตุให้ถูกลงโทษต่างๆ มถี ูก ออกจากตาํ แหน่งและถูกคุมขงั เป็นตน้ ฯ ๒ ๒.๑ มีอยู่ ๒ อยา่ ง คือ ๑.หิริ ความละอายแก่ใจ ๒. โอตตปั ปะ ความเกรงกลวั ฯ ๒. ๒ ธรรมขอ้ นนั จะคุม้ ครองโลกได้ เนืองจากปัจจุบนั โลกทเี กิดวกิ ฤตการณ์ ในดา้ นต่างๆ ส่วนหนึง นนั ) เป็ นเพราะชาวโลก ละทิง) ธรรม คือ หิริ และโอตตปั ปะ ไมล่ ะอายแก่ใจ ไมเ่ กรงกลวั ต่อผลแห่งความช2ั ว ขาดเมตตา กรุณา เป็นคนเห็นแก่ตวั จดั มี การเบียดเบยี น กระทาํ ทุจริต โดยวิธีต่างๆ หากชาวโลกมธี รรมคู่นี )ตงั ) มนั ในใจแลว้ กจ็ ะช่วยคุม้ ครองโลกให้พน้ จากภาวะ วิกฤตในปัจจุบนั ได้ ฯ ๓. ๓.๑ เรียกคนผไู้ ดร้ ับอุปการะจากทา่ นแลว้ ว่าเป็นหนีบญุ คุณของทา่ น เช่นลูกเป็นหนีม ารดาบดิ า ศษิ ยเ์ ป็นหนีค) รูอาจารย์ ประชาราษฎร์เป็นหนีสมเด็จพระเจา้ แผน่ ดิน พุทธบริษทั เป็นหนีพ) ระพทุ ธเจา้ เมือเป็นหนีบ) บญุ คุณท่านอยเู่ ช่นนี สมควรจะ ทาํ ปฏิการะตอบแทนคุณท่านจึงจะเปลือ งหนีเสียไดฯ้ ๓.๒ เพราะปฏิบตั ิธรรมอนั ทาํ ใหง้ าม ๒ อยา่ ง คือ ๑.ขนั ติ ความอดทน ๒. โสรัจจะความเสงี2ยม ฯ ๔ ๔.๑ ทจุ ริต คือประพฤติช2ั ว ประพฤติเสียหาย มี ๓ คือ ๑.ประพฤติช2ั วดว้ ยกาย เรียกว่า กายทจุ ริต ๒.ประพฤติช2ั วดว้ ยวาจา เรียก วจีทจุ ริต ๓.ประพฤติชวั ดว้ ยใจ เรียกมโนทุจริต ฯ ๔.๒ จดั เขา้ ในวจีทจุ ริต ฯ ๕. ๕.๑ เรียกวา่ อกศุ ลมลู หมายถึง รากเหงา้ ของอกศุ ล มี ๓ คือ ๑.โลภะ อยากได้ ๒.โทสะ คิดประทุษร้ายเขา ๓.โมหะ หลงไม่รู้จริง ๕.๒ มีอธิบายวา่ เมื2อมีโทสะแลว้ ความไม่ดีอยา่ งอื2นเช่น ความจองลา้ งจองผลาญ ความจองเวร การพดู คาํ หยาบ การวา่ ร้าย การทาํ ร้าย และการฆ่าเขาเป็นตน้ ที ยงั ไมเ่ กิด กเ็ กิดขึน) ทเี กิดขึน) แลว้ กเ็ จริญมากขึน) ฯ ๖ ๖.๑ เรียกว่า บญุ กิริยาวตั ถุ โดยยอ่ มี ๓ คือ ๑. ทานมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการบริจาคทาน ๒.สีลมยั บุญสาํ เร็จดว้ ยการรักษาศลี ๓. ภาวนามยั บญุ สาํ เร็จดว้ ยการเจริญภาวนา ๖.๒ มีดงั ต่อไปนีคือ ขา้ ว นาํ ผา้ พาหนะ มาลยั ของหอม เครืองลูบไล้ ทนี อนทีพกั และประทีป แมส้ ส่ิงอคือนอนั เป็นกปั ปิ ยะไมม่ ีโทษก็สงเคราะห์เขา้ ในทานวตั ถุนี ) ๗. ๗.๑ ทา่ นผสู้ อนประชุมชนให้ประพฤติชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวนิ ยั ทที า่ นเรียกวา่ พระพุทธศาสนา ชื2อวา่ พระพทุ ธเจา้ พระธรรมวินยั คาํ ส2ั งสอนของ พระพุทธเจา้ ชือวา่ พระธรรม หมู่ชนทฟี ังคาํ สอนของพระพุทธเจา้ ปฏิบตั ิชอบตาม พระธรรมวินยั ชื2อวา่ พระสงฆ์ ฯ รวมเรียกว่าพระรัตนตรัย ฯ ๗.๒ คือ การถึงพระพทุ ธเจา้ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะฯ ๘. ๘.๑ โอวาทของพระพุทธเจา้ ๓ ขอ้ คือ ๑. เวน้ จากทจุ ริต คือ ประพฤติช2ั วดว้ ยกาย วาจา ใจ ๒.ประกอบสุจริต คอื ประพฤติ ชอบดว้ ยกาย วาจา ใจ ๓. ทาํ ใจให้หมดจด จากเครื2องเศร้าหมอง คือ กิเลส ๘.๒ ขอ้ ๑ เป็นคาํ สั2งคือห้ามทาํ ขอ้ ๒ และขอ้ ๓ เป็นคาํ สอนคือคาํ แนะนาํ ใหท้ าํ ฯ ๙. ๙.๑ คือรากเหงา้ ของอกศุ ลฯ มี ๓อยา่ งคือ โลภะ ความอยากได้ ๑ โทสะ ความคิด ประทุษร้ายเขา ๑ โมหะ หลงไมร่ ู้จริง ๑ ฯ ๙.๒ เมอ่ื อรูว้ า่ อกุศลมลู เหล่านนั ) เกิดขึน) แลว้ ควรละเสีย ฯ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 76
77 ๑๐. ๑๐.๑ มสี าเหตุมาจากตณั หา คือความอยากมีประการต่าง ๆ ไดแ้ ก่ กามตณั หา ความ อยากในอารมณ์ ที2น่ารักใคร่น่าพอใจ ภวตณั หา ความอยากเป็นโนน้ เป็นนี2 วภิ วตณั หา ความอยากไม่เป็นโนน้ ไม่เป็นนี2 (อยากเปลียน ) ๑๐.๒ จะดบั ความทกุ ขน์ นั ได้ ตอ้ งปฏิบตั ิตามอริยมรรคมอี งค์ ๘ คือ ปัญญาอนั เห็นชอบ ดาํ ริชอบ เจรจาชอบ การงานชอบ เลีย งชีพชอบ ทาํ ความเพยี รชอบ ตงั สติชอบ ตงั ใจ ไวช้ อบ หรือปฏิบตั ิตามหลกั ไตรสิกขา คือศลี สมาธิ และปัญญา ฯ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 77
78 ปัญหาธรรมวภิ าค นักธรรมชันตรี หมวด ๔–๕ *********************************** ๑. ๑.๑ ปธาน ๔ มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๑.๒ คนเสพยาเสพติด เพียรพยายามจะเลิกให้ได้ ชือว่าตงั อยใู่ นปธานขอ้ ไหน ? ๒๕๔๔ ๒. ๒.๑ อธิษฐานธรรมคือ ธรรมทีควรตงั ไวใ้ นใจ มีกีอยา่ ง อะไรบา้ ง?๒๕๔๓ ๒.๒ ผทู้ ที าํ งานไมส่ าํ เร็จผลตามทมี ุ่งหมาย เพราะขาดคุณธรรมอะไรบา้ ง ?๒๕๔๓ ๓. ๓.๑ พรหมวิหาร ๔ มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๓.๒ ในพรหมวิหาร ๔ ขอ้ นนั ขอ้ ไหนสาํ คญั ทีสุด เพราะอะไร ? ๒๕๔๒ ๔. ๔.๑ อนั ตรายของภิกษุสามเณรผบู้ วชใหม่ คือ อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๑ ๔.๒ อนั ตรายของภิกษสุ ามเณรผบู้ วชใหม่นนั ขอ้ ไหนสาํ คญั ทีสุด เพราะเหตุอะไร ? ๒๕๔๑ ๕. ๕.๑ วฑุ ฒิ คือ อะไร มกี ีอยา่ ง ตอบมาดู ? ๒๕๔๐ ๕.๒ วฑุ ฒิ ขอ้ ๔ มอี ธิบายอยา่ งไร ? ๒๕๔๐ ๖. ๖.๑ อริยสจั ๔ มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๖.๒ ปรารถนาสิงใด ไม่ไดส้ มหวงั จดั เป็นอริยสจั ขอ้ ไหน ? ๒๕๔๔ ๗. ๗.๑ กรรมที\"เป็นบาปหนกั ท\"ี สุด มีชื\"อเรียกวา่ อะไร ? ๒๕๔๔ ๗.๒ เพราะเหตุไร จึงเป็นกรรมที\"เป็นบาปหนกั ที\"สุด ? ๒๕๔๔ ๘. ๘.๑ ขนั ธ์ ๕ คือ อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๘.๒ จงจดั ขนั ธ์ ๕ ลงในนามรูปมาดู ? ๒๕๔๒ ๙. ๙.๑ นิวรณธรรม คอื อะไร มีเท่าไร อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๑ ๙.๒ จงจดั นิวรณธรรมท&ั งหมดลงในอกศุ ลมูลมาดู ? ๒๕๔๑ ๑๐. ๑๐.๑ ธรรมเครืองทาํ ความกลา้ หาญ ๕ อยา่ ง มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๓๕ ๑๐.๒ การฟังธรรมมีอานิสงส์เทา่ ไร จงตอบมาให้ครบ ๒๕๓๔ ----------------------------------------- พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 78
79 เฉลยธรรมวภิ าค นักธรรมชันตรี หมวด ๔–๕ *********************************** ๑. ๑.๑ ปธาน ๔ มี ๑. สงั วรปธาน เพียรระวงั ไม่ให้บาปเกิดขึนในสนั ดาน ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปทีเกิดขึนแลว้ ๓. ภาวนาปธาน เพยี รใหก้ ุศลเกิดขึนในสันดาน ๔. อนุรักขนาปธาน เพยี รรักษากศุ ลทีเกิดขึนแลว้ ไวใ้ ห้เสือม ๑.๒ คนเสพยาเสพติด เพยี รพยายามจะเลิกใหไ้ ดต้ งั อยใู่ นปหานปธาน ๒. ๒.๑ อธิษฐานธรรม คือ ธรรมทคี วรตงั ไวใ้ นใจ มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. ปัญญา รอบรู้สิงทีควรรู้ ๒. สัจจะ ความจริง คือ ประพฤติสิงใดกใ็ ห้ไดจ้ ริง ๓. จาคะ สละสิงทีเป็นขา้ ศกึ แก่ความจริง ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิงทเี ป็นขา้ ศกึ แก่ความสงบ ๒.๒ เพราะขาดอิทธิบาท คือ คุณเครืองใหส้ าํ เร็จความประสงค์ ๔ อยา่ ง คอื ๑. ฉนั ทะ พอใจรักใคร่ในสิงนนั ๒. วริ ิยะ เพียรประกอบสิงนนั ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ ในสิงนนั ไม่วางธุระ ๔. วิมงั สา หมนั \" ตริตรองพจิ ารณาเหตุผลในสิงนนั ๓. ๓.๑ พรหมวิหาร ๔ คือ ๒. กรุณา ความสงสารคิดจะช่วยให้พน้ ทุกข์ ๑. เมตตา ความรักใคร่ปรารถนาจะให้ผอู้ ืนเป็นสุข ๓. มุทิตา ความพลอยยนิ ดีเมอื ผอู้ ืนไดด้ ี ๔. อุเบกขา ความวางเฉยไมด่ ีใจไม่เสียใจ ในเมือผอู้ ืนถึงความวบิ ตั ิ ๓.๒ ขอ้ ๔ คอื อเุ บกขา สาํ คญั ทีสุด เพราะเป็นธรรมสนบั สนุนใหใ้ ชพ้ รหมวหิ าร ๓ ขอ้ เบอื งตน้ ไดถ้ ูกตอ้ งดี ๔. ๔.๑ อนั ตรายของพระภิกษุสามเณรผบู้ วชใหม่ คือ ๑. อดทนต่อคาํ สอนไมไ่ ด้ เบอื ต่อคาํ สังสอน ขีเกียจทาํ ตาม ๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ทอ้ ง ทนความอดอยากไมไ่ ด้ ๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากไดส้ ุขยงิ \" ๆ ขึนไป ๔. รักผหู้ ญิง ๔.๒ ขอ้ ๓ สาํ คญั เพราะกามคุณเป็นส่วนใหญ่ อนั ตรายขอ้ อืน ๆ ยอ่ มรวมลงในกามคุณทงั สิน ๕. ๕.๑ วฑุ ฒิ คอื ธรรมเป็นเครื\"องเจริญ มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. สปั ปรุ ิสังเสวะ คบทา่ นผปู้ ระพฤติชอบดว้ ย กาย วาจา ใจ ท\"ี เรียกวา่ สัตบรุ ุษ ๒. สทั ธมั มสั สวนะ ฟังคาํ สอนของท่านโดยเคารพ ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองใหร้ ู้จกั สิงทีดีหรือชวั โดยอุบายทชี อบ ๔. ธมั มานุธมั มปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึงไดต้ รองเห็นแลว้ ๕.๒ ธมั มานุธมั มปฏิปัตติ คือ เมือไดค้ บสัตบรุ ุษ ฟังธรรมของท่านแลว้ พจิ ารณา ตริตรองโดยแยบคายแลว้ ปฏิบตั ิตามสมควรแก่ ตน ตามสมควรแก่หนา้ ท\"ี ตามสมควร แก่เพศ ตามสมควรแก่วยั หรือตามท\"ี ตนไดต้ รองเห็นแลว้ เป็นตน้ ชือวา่ ธมั มานุธมั ม ปฏิบตั ติ ๖. ๖.๑ อริยสจั ๔ มี ๑. ทกุ ข์ คือ ความไม่สบายกาย ไมส่ บายใจ ๒. สมทุ ยั คือ เหตุใหเ้ กิดทกุ ข์ ๓. นิโรธ คือ ความดบั ทกุ ข์ ๔. มรรค คือ ขอ้ ปฏิบตั ิให้ถึงความดบั ทุกข์ ๖.๒ ปรารถนาสิ\"งใด ไมไ่ ดส้ มหวงั จดั เป็นทุกข์ ๗. ๗.๑ กรรมที\"เป็นบาปหนกั ทีสุดมชี ือเรียกวา่ อนนั ตริยกรรม คือ ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา ๒. ปิ ตุฆาต ฆ่าบดิ า ๓. อรหนั ตฆาต ฆ่าพระอรหันต์ ๔. โลหิตุปบาท ทาํ ร้ายพระพทุ ธเจา้ จนถึงยงั พระโลหิตให้หอ้ ข&ึ นไป ๕. สังฆเภท ยงั สงฆใ์ ห้แตกจากกนั พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 79
80 ๗.๒ ทีเป็นบาปหนกั ทีสุด เพราะหา้ มสวรรค์ หา้ มนิพพาน ต&ั งอยใู่ นฐานปาราชิกของผนู้ บั ถือพระพทุ ธศาสนา หา้ มไม่ใหท้ าํ เด็ดขาด ๘. ๘.๑ ขนั ธ์ ๕ มี รูป เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ ๘.๒ เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ จดั เป็นนาม รูป คงเป็นรูป ๙. ๙.๑ นิวรณธรรม คอื ธรรมอนั ก&ั นจิตไมใ่ หบ้ รรลุความดี มี ๕ อยา่ ง คือ กามฉนั ทะ พยาบาท ถีนมทิ ธะ อุทธจั จกกุ กุจจะ วจิ ิกิจฉา ๙.๒ จดั กามฉนั ทะ ลงในโลภะ จดั พยาบาทลงในโทสะ จดั ถีนมทิ ธะ อุทธจั จกุกกุจจะ และวิจิกิจฉา ทงั ๓ นี ลงในโมหะ ๑๐. ๑๐.๑ ธรรมเครื\"องทาํ ความกลา้ หาญมี ๕ คือ ๑. สัทธา เชอื สิ\"งทีควรเชือ ๒. สีล รักษากาย วาจาใหเ้ รียบร้อย ๓. พาหุสจั จะ ความเป็นผศู้ กึ ษามาก ๔. วริ ิยารัมภะ ปรารภความเพียร ๕. ปัญญา รอบรู้สิ\"งท\"ี ควรรู้ ๑๐.๒ อานิสงส์ของการฟังธรรมมี ๕ อยา่ ง คือ ๑. ผฟู้ ังยอ่ มไดฟ้ ังสิ\"งทยี งั ไม่เคยฟัง ๒. สิงใดทเี คยฟังแลว้ แต่ยงั ไมเ่ ขา้ ใจชดั ยอ่ มเขา้ ใจสิ\"งน&ั นชดั ๓. บรรเทาความสงสยั ลงเสียได้ ๔. ทาํ ความเห็นให้ถูกตอ้ งได้ ๕. จิตของผฟู้ ังยอ่ มผอ่ งใส พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 80
81 ปัญหาธรรมวภิ าค นักธรรมชันตรี หมวด ๖–๑๐ ******************************* ๑. ๑.๑ อินทรีย์ ๖ กบั อารมณ์ ๖ มีความสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร ? ๒๕๔๓ ๑.๒ อะไรเรียกวา่ สัมผสั ? ๒๕๔๓ ๒. ๒.๑ หลกั ธรรมเป็นทีต'ังแห่งความระลึกถึงกนั และกนั ชือว่าอะไร ? ๒๕๓๘ ๒.๒ หลกั ธรรมน'ันไดแ้ ก่อะไรบา้ ง ? ๒๕๓๘ ๓. ๓.๑ อานิสงส์แห่งการปฏิบตั ิตามสาราณียธรรม มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๓๐ ๓.๒ สาราณียธรรมขอ้ ไหนสาํ คญั เพราะเหตุไร ? ๒๕๔๑ ๔. ๔.๑ อายตนะ ๑๒ คืออะไรบา้ ง ? ๒๕๓๘ ๔.๒ ในอายตนะ ๑๒ นนั อยา่ งไหนเป็นรูป อยา่ งไหนเป็นนาม ? ๒๕๓๘ ๕. ๕.๑ คารวะมีกีอยา่ ง อะไรบา้ ง ? ๒๕๓๒ ๕.๒ การคารวะในบิดามารดาครูอาจารย์ จดั เขา้ ในอยา่ งไหน เพราะเหตุไร ? ๒๕๓๒ ๖. ๖.๑ ทรัพยป์ ระเภทไหนเรียกว่า “อริยทรัพย”์ ? ๒๕๔๔ ๖.๒ อริยทรัพยด์ ีกวา่ ทรัพยภ์ ายนอกเพราะเหตุไร ? ๒๕๔๔ ๗. ๗.๑ โลกธรรมมกี ี อยา่ ง อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๗.๒ ท่านสอนให้ปฏิบตั ิต่อโลกธรรมอยา่ งไร ? ๒๕๔๔ ๘. ๘.๑ มละ คือ มลทิน หมายถึงอะไร ? ๒๕๔๓ ๘.๒ มลทินขอ้ ที ๑ และขอ้ ท๙ี คืออะไร แกด้ ว้ ยธรรมอะไร ? ๒๕๔๓ ๙. หลกั ธรรมต่อไปนีแปลว่าอะไร และเป็นชือของธรรมอะไร ? ๒๕๓๙ ๙.๑ สีลมยั ๙.๒ สีลกถา ๑๐. ๑๐.๑ อนุสสติ ๑๐ วา่ โดยชือ คอื อะไรบา้ ง ?๒๕๓๑ ๑๐.๒ ประชุมอยา่ งไรไม่ควร จงตอบใหม้ ีหลกั ประกอบดว้ ย?๒๕๓๘ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 81
82 เฉลยธรรมวภิ าค นกั ธรรมชันตรี หมวด ๖ – ๑๐ ******************** ๑. ๑.๑ อินทรีย์ ๖ กบั อารมณ์ ๖ มีความสมั พนั ธ์กนั อยา่ งนี ตา เป็นใหญ่ในการเห็นอารมณ์คือรูป หู เป็นใหญ่ในการฟังอารมณ์คือเสียง จมกู เป็นใหญ่ในการสูดดมอารมณ์คือกลิน ลิน เป็นใหญ่ในการล'ิ มอารมณ์คือรส กาย เป็นใหญ่ในการถูกตอ้ งอารมณค์ ือโผฏฐพั พะ ใจ เป็นใหญ่ในการรู้อารมณ์คือธรรม ๑.๒ การกระทบกนั ระหว่างอายตนะภายในมตี าเป็นตน้ อายตนะภายนอกมี รูปเป็นตน้ เกิดความรู้ขึ'น เรียกว่า จกั ขุวิญญาณ ทงั ๓ อยา่ งนี'ร่วมกนั ในขณะเดียวกนั เรียกว่า สัมผสั ๒. ๒.๑ หลกั ธรรมเป็นทีต'ังแห่งความระลึกถึงกนั และ กนั ชือวา่ สาราณียธรรม ๒.๒ หลกั ธรรมน'ันไดแ้ ก่ เขา้ ไปต'ั งเมตตากายกรรม ๑ เมตตาวจีกรรม ๑ เมตตา มโนกรรม๑ เฉลียลาภ ๑ มศี ลี เสมอกนั ๑ มี ความเห็นร่วมกนั ๑ ๓. ๓.๑ อานิสงส์แห่งการปฏิบตั ิสาราณียธรรม ดงั นี คือ เป็นทรี ัก เป็นทเี คารพเป็นไปเพือสงเคราะห์กนั และกนั เป็นไปเพือความ ไม่ววิ าทกนั เป็นไปเพือความพร้อมเพรียงกนั ๓.๒ สาราณียธรรม ขอ้ ที ๖ สาํ คญั เพราะทิฏฐิสามญั ญตา มีความเห็นเสมอกนั ยอ่ มพาให้ต'ังมนั % ในความสามคั คี ใหม้ คี วาม เมตตาอารีเอือเฟื อเผอื แผ่ กนั ประพฤติดีเสมอกนั อนั เป็นทางตดั การทะเลาะวิวาท สามารถควบคุมสาราณียธรรมขอ้ อืน ๆให้ยงั ยนื อยไู่ ด้ ๔. ๔.๑ อายตนะ ๑๒ คือ ตา หู จมูก ล'ิ น กาย ใจ รูป เสียง กลิน รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ ๔.๒ ตา หู จมกู ลิ'น กาย รูป เสียง กลิน รส โผฏฐพั พะ ท'ัง ๑๐ อยา่ งนี' จดั เป็นรูป เป็น ใจและธรรมารมณ์ คืออารมณท์ เี กิดกบั ใจ นี'เป็นนาม ๕. ๕.๑ คารวะมี ๖ คือ เคารพในพระพทุ ธเจา้ ๑ เคารพในพระธรรม ๑เคารพใน พระสงฆ์ ๑ในการศกึ ษา๑ ในความไมป่ ระมาท ๑ ในการปฏิสันถาร๑ ๕.๒ การคารวะในบิดามารดาครูอาจารย์ จดั เขา้ ในเคารพในพระธรรม เพราะพระธรรมคือคาํ สงั สอนของพระพทุ ธเจา้ พระองค์ สอนให้เคารพบชู าคนทีควรเคารพบชู า เช่นบดิ ามารดาครูอาจารยเ์ ป็นตน้ ๖. ๖.๑ ทรัพยค์ ือคุณงามความดีทีมีในสนั ดานอยา่ งประเสริฐ เรียกวา่ อริยทรัพย์ มศี รัทธา ศีลเป็นตน้ ๖.๒ ดีกว่า เพราะอริยทรัพยเ์ ป็นคุณธรรมเครืองบาํ รุงจิตใจให้ปลื'ม ใหอ้ บอุ่นมีแลว้ ไมต่ อ้ งเป็นทกุ ขก์ งั วลในการคุม้ ครองรักษา ใครแยง่ ชิงเอาไปไม่ได้ ใช้ เทา่ ไรไมต่ อ้ งกลวั หมด ไม่ตอ้ งเสียงภยั ในการแสวงหา ท'ังสามารถติดตวั ไปในสมั ปรายภพไดด้ ว้ ย ๗. ๗.๑ โลกธรรมมี ๘ อยา่ งคือ มลี าภ ๑ เสือมลาภ ๑ มียศ ๑ เสือมยศ๑สรรเสริญ ๑ นินทา ๑ สุข ๑ ทกุ ข๑์ ๗.๒ ท่านสอนให้ปฏิบตั ิต่อโลกธรรมอยา่ งนี' คือ อยา่ งใดอยา่ งหนึงเกิดขึ'น ควรพิจารณาวา่ สิงนี' เกิดขึ'นแลว้ แก่เรา มนั เป็น ของไม่เทยี ง เป็นทกุ ขม์ คี วามแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามเป็นจริง อยา่ ให้ครอบงาํ จิตไดค้ ืออยา่ ยนิ ดีในส่วนทปี รารถนา อยา่ ยนิ ร้ายในส่วนท%ี ไม่ปรารถนา ๘. ๘.๑ มละคือมลทิน หมายถึง กิเลสเป็นเครืองทาํ จิตให้เศร้าหมอง ไมผ่ อ่ งใส ๘.๒ มลทินขอ้ ท๑ี คือโกรธ แกด้ ว้ ยเจริญเมตตา และมลทินขอ้ ที๙ คือเห็นผดิ แกด้ ว้ ยสมั มาทิฏฐิ ๙. ๙.๑ สีลมยั แปลวา่ บุญสาํ เร็จดว้ ยการรักษาศีล เป็นชือของบุญกิริยาวตั ถุ คือ สิงเป็นทีต'ังแห่งการบาํ เพญ็ บญุ ๙.๒ สีลกถา แปลวา่ ถอ้ ยคาํ ทีชกั ชวนให้อยใู่ นศลี เป็นชือของกถาวตั ถุคอื ถอ้ ย คาํ ทคี วรพดู พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 82
83 ๑๐. ๑๐.๑ อนุสสติ ๑๐ วา่ โดยชือ คอื พทุ ธานุสสติ๑ ธมั มานุสสติ ๑ สงั ฆานุสสติ๑ สีลานุสสติ ๑ จาคานุสสติ๑ เทวตานุสสติ๑ มรณสั สติ๑ กายคตาสติ ๑ อานาปานสติ ๑ อุปสมานุสสติ๑ ๑๐.๒ ถา้ ประชุมกนั ดว้ ยเรืองหาประโยชน์มไิ ด้ หรือประชุมพูดเรือง ติรัจฉานกถา อยา่ งนีไมค่ วร ดงั แสดงไวใ้ นกถาวตั ถุ ๑๐ ขอ้ ที ๔ วา่ อสงั สคั คกถาถอ้ ยคาํ ทีชกั นาํ ไม่ใหร้ ะคนดว้ ยหมู่ ***************************** พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 83
84 ปัญหาคหิ ิปฏบิ ตั ิ นักธรรมชันตรี หมวดที ๔ - ๖ (๑) *********************************** ๑. ๑.๑ เหตุใหเ้ กิดประโยชน์ในปัจจุบนั เรียกวา่ อะไร มกี ีอยา่ ง อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๑.๒ เมอื ปฏิบตั ิตามเหตุนนั ( แลว้ จะไดร้ ับผลอะไร ? ๒๕๔๓ ๒. ๒.๑ ตระกลู อนั มง◌ั คง◌ั จะตงั ( อยไู่ ดน้ าน เพราะสถานใดบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๒.๒ ฆราวาสผคู้ รองเรือนควรตงั ( อยใู่ นธรรมขอ้ ใดบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๓. ๓.๑ กรรมกิเลส คืออะไร มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๓.๒ กรรมตรงขา้ มกบั กรรมกิเลสมีอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๒ ๔. ๔.๑ สัมปรายกิ ตั ถประโยชน์ หมายความว่าอยา่ งไร ? ๒๕๒๔ ๔.๒ มีกอี ยา่ ง อะไรบา้ ง ? ๒๕๒๔ ๕. ๕.๑ สุขของคฤหสั ถผ์ คู้ รองเรือนนนั ( มีก◌อี ยา่ ง ? ๒๕๒๓ ๕.๒ มีอะไรบา้ ง จงตอบมาให้ครบ ? ๒๕๒๓ ๖. ๖.๑ จงเขียนศีล ๕ ขอ้ ท◌ี ๓ พร้อมทงั ( คาํ แปล ? ๒๕๔๔ ๖.๒ อุบาสกอุบาสิกา ควรงดเวน้ การคา้ ขายทไี มช่ อบธรรมอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๗. ๗.๑ จงเขียนศีล ๕ ขอ้ ท◌ี ๕ พร้อมทงั ( คาํ แปล ? ๒๕๔๓ ๗.๒ สมบตั ิและวบิ ตั ิของอุบาสกและอุบาสิกามอี ะไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๘. ๘.๑ คฤหสั ถ์ แสวงหาโภคทรัพยโ์ ดยทางท◌ชี อบนนั ( คือทางใด จงอธิบาย ?๒๕๔๐ ๘.๒ จะใชจ้ ่ายอยา่ งไร จึงชือวา่ ใชจ้ ่ายใหเ้ ป็นประโยชน์อยา่ งแทจ้ ริง ? ๒๕๔๐ ๙. ๙.๑ อยากทราบว่า ใครเป็นทศิ เบอื ( งขวา เพราะเหตุไรจึงไดช้ ◌ือเช่นนนั ( ? ๒๕๔๐ ๙.๒ จะปฏิบตั ิบาํ รุงผเู้ ป็นทิศเบอื ( งขวาอยา่ งไรบา้ ง ? ๒๕๔๐ ๑๐. ๑๐.๑ บคุ คลผปู้ ระสบกบั ความเสอมเสียหรือลม้ เหลว ไมส่ ามารถตงั (ตวั ไดเ้ ป็นเพราะเหตุอะไร ? ๒๕๓๙ ๑๐.๒ ขอทราบรายละเอียดของเหตุในขอ้ ๗.๑ นนั จงชแี จง ? ๒๕๓๙ ************************ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 84
85 เฉลยปัญหาคหิ ิปฏบิ ตั ิ นักธรรมชันตรี หมวดที ๔ - ๖ *********************************** ๑. ๑.๑ เหตุใหเ้ กิดประโยชนใ์ นปัจจุบนั เรียกวา่ ทฏิ ฐธมั มกิ ตั ถะ มี ๔ อยา่ ง คือ ๑. อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยความหมนั ๒. อารักขสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยการรักษา ๓. กลั ยาณมติ ตตา ความมีเพือนเป็นคนดี ๔. สมชีวติ า ความเลีย( งชีวติ ตามสมควร ๑.๒ เมอื ปฏิบตั ิตามจะไดร้ ับผล คือ มที รัพย์ มียศ ไมตรี เป็นตน้ ในปัจจุบนั ๒. ๒.๑ ตระกลู อนั มงั คงั จนตงั (อยไู่ ดน้ าน เพราะสถาน ๔ คือ ๑. แสวงหาพสั ดุทีหายแลว้ ๒. บรู ณะพสั ดุทีคราํ คร่า ๓. รู้จกั ประมาณในการบริโภคสมบตั ิ ๔. ตงั สตรีหรือบุรุษผมู้ ศี ลี ใหเ้ ป็นพอ่ เรือนแมเ่ รือน ๒.๒ ควรตงั อยใู่ นฆราวาสธรรม ๔ คือ ๒. ทมะ รู้จกั ข่มจิตของตน ๑. สจั จะ สัตยซ์ ือต่อกนั ๓. ขนั ติ ความอดทน ๔. จาคะ สละให้ปันสิงของของตนแก่คนทีควรใหป้ ัน ๓. ๓.๑ กรรมกิเลส คือ กรรมเครืองเศร้าหมอง มี ๔ คือ ๑. ปาณาติบาต ทาํ ชีวติ สตั วใ์ หต้ กล่วง ๒. อทนิ นาทาน ถือเอาสิงของทีเจา้ ของเขาไมไ่ ดใ้ หด้ ว้ ยอาการแห่งขโมย ๓. กาเมสุ มจิ ฉาจาร ประพฤติผดิ ในกาม ๔. มุสาวาท พูดเทจ็ ๓.๒ กรรมอนั ตรงกนั ขา้ มกบั กรรมกิเลส คือ ๑. เมตตา กรุณา ๒. ทาน หรือ สัมมาอาชีวะ ๓. กามสงั วร สาํ รวมในกาม ๔ สจั จวาจา พูดคาํ จริง ๔. ๔.๑ สมั ปรายกิ ตั ถประโยชน์ คือ ธรรมทเี ป็นไปเพือประโยชนใ์ นภพชาติเบอื ( งหนา้ ๔.๒ มี ๔ ประการ คือ ๑. สทั ธาสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยศรัทธา คือ เชือสิงทีควรเชือ ๒. สีลสมั ปทา ถึงพร้อมดว้ ยศีล คือรักษากาย วาจาใหเ้ รียบร้อยดี งาม ๓. จาคสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยการบริจาคทาน ๔. ปัญญาสัมปทา ถึงพร้อมดว้ ยปัญญา รู้จกั บาปบญุ คุณโทษ ๕. ๕.๑ สุขของคฤหสั ถผ์ อู้ ยคู่ รองเรือนนนั มี ๔ ประการ ๕.๒ คือ ๑. สุขเกิดแต่การมที รัพย์ ๒. สุขเกิดจากการจ่ายและบริโภคทรัพย์ ๓. สุขเกิดแต่การไม่ตอ้ งเป็นหนี ๔. สุขเกิดแต่การประกอบการงานทปี ราศจากโทษ ๖. ๖.๑ ศีลขอ้ ที ๓ กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เวน้ จากการประพฤติผดิ ในกาม ๖.๒ อุบาสก อุบาสิกา ควรงดเวน้ การคา้ ขายทไี มช่ อบธรรม ดงั ต่อไปนี ๑. คา้ ขายเครืองประหาร ๒. คา้ ขายมนุษย์ ๓. คา้ ขายสัตวเ์ ป็นสาํ หรับฆ่าเพอื เป็นอาหาร ๔. คา้ ขายนาํ ( เมา ๕. คา้ ขายยาพิษ ๗. ๗.๑ ศลี ขอ้ ท๕ สุราเมรย มชั ชปมาทฏั ฐานา เวรมณี เวน้ จากการด◌ืมนาํ ( เมา คือ สุราและเมรัยอนั เป็นท◌ตี งั ( แห่งความ ประมาท ๗.๒ สมบตั ิของอุบาสก อุบาสิกา มีดงั ต่อไปนี ๑. ประกอบดว้ ยศรัทธา ๒. มีศลี ๓. ไม่ถือมงคล ตืนข่าว คือ เชือกรรม ไมเ่ ชือมงคล ๔. ไม่แสวงหาเขตบุญนอกพระพุทธศาสนา ๕. บาํ เพญ็ บญุ แต่ในพระพุทธศาสนาตรงกนั ขา้ มกบั สมบตั ิ ๕ นี (เป็นวบิ ตั ิของอุบาสก อุบาสิกา พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 85
86 ๘. ๘.๑ คือ ทางสุจริตไดแ้ ก่ ขยนั ทาํ งานทีปราศจากโทษ อาศยั กาํ ลงั แขนขา อดทนต่อความเหน◌ือยยากลาํ บาก อาบเหงือต่างนาํ (ก็ ไมท่ อ้ ถอย ๘.๒ ใชจ้ ่ายทรัพยใ์ หเ้ ป็นประโยชน์อยา่ งแทจ้ ริงอยา่ งนี ๑. เลียงตวั เอง บิดา มารดา บตุ รภรรยา บ่าวไพร่ใหเ้ ป็นสุข ๒. เลียงเพือนฝงู ให้เป็ นสุข ๓. บาํ บดั อนั ตราย ทเี กิดแต่เหตุต่าง ๆ ๔. ทาํ พลี ๕ อยา่ ง คอื ญาติพลี สงเคราะห์ญาติ๑ อติถิพลี ตอ้ นรับแขก๑ปพุ พเปตพลี ทาํ บญุ อุทิศให้ผตู้ าย๑ ราชพลี ถวายเป็ห ลวงมภี าษีอากรเป็นตน้ ๑ เทวตาพลี ทาํ บุญอุทศิ ให้เทวดา๑ ๕. บริจาคทานในสมณพราหมณผ์ ปู้ ระพฤติชอบ ๙. ๙.๑ ทิศเบืองขวา คอื อาจารยร์ วมทงั อุปัชฌาย์ และครูผสู้ ง◌ั สอนวิชาการต่าง ๆ ทกุ ระดบั ทีไดช้ ◌ือเช่นนนั ( เพราะทา่ นได้ แนะนาํ พราํ สอน ชีผดชีถูกใหโ้ ดยหวงั ดี เปรียบเหมอื นมือขา้ งขวาทตี อ้ งทาํ งานประจาํ ทีสาํ คญั ๙.๒ ศิษยต์ อ้ งปฏิบตั ิบาํ รุงดว้ ยสถาน ๕ คอื ๑. ดว้ ยลุกขึนยนื รับ๒. ดว้ ยเขา้ ไปยนื คอยรับใช้ ๓. ดว้ ยเชือฟัง ๔. ดว้ ยอุปัฏฐาก ๕. ดว้ ยเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ ๑๐. ๑๐.๑ บคุ คลผปู้ ระสบกบั ความเสือมเสียหรือลม้ เหลว ไมส่ ามารถตงั ตวั ได้ เพราะประพฤติตวั เกียวขอ้ งในอบายมุขอนั เป็นเหตุ ใหฉ้ ิบหาย ๑๐.๒ มี ๖ ประการ คือ ๑. ดืมนาํ เมา ๒. เทยี วกลางคืน ๓. เทยี วดูการละเล่น ๔. เล่นการพนนั ๕. คบคนชวั เป็นมิตร เกียจคร้านทาํ การงาน ( ตอบอบายมขุ ๔ ประการก็ได้ ) พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 86
87 ปัญหาพทุ ธประวตั ิ นักธรรมตรี ปริเฉทที ๑ – ๔ ********************* ๑. ๑.๑ พุทธประวตั ิคืออะไร? ๒๕๔๓ ๑.๒ มีความสาํ คญั อยา่ งไรท!ี ตอ้ งเรียนรู้ ? ๒๕๔๓ ๒. ๒.๑ ในครั'งพทุ ธกาล ชาวชมพูทวีปส่วนมากนบั ถือศาสนาอะไร ?๒๕๔๔ ๒.๒ ชนเหล่าน'ั นมคี วามคิดเห็นเรืองความตาย และการเกิด โดยสรุปอยา่ งไร ?๒๕๔๔ ๓. ๓.๑ ชมพูทวีปในอดีต ปัจจุบนั แยกออกเป็นประเทศอะไรบา้ ง ตอบมาอยา่ งนอ้ ย ๓ ประเทศ ? ๒๕๓๙ ๓.๒ วรรณะท'ัง ๔ มชี ือเรียกวา่ อยา่ งไร แต่ละวรรณมหี นา้ ท!◌ตี ่างกนั อยา่ งไร ท ?๒๕๓๙ ๔. ๔.๑ สกั กชนบทต'ังอยทู่ ใี ด เหตุไรจึงชืออยา่ งน'ัน ?๒๕๔๑ ๔.๒ เมอื งหลงของสกั กชนบทชือว่าอยา่ งไร เหจุใจจึงช!◌ือเช่นน'ัน ? ๒๕๔๑ ๕. ๕.๑ พระเจา้ สุทโธทนะ พระนางมหาปาบดีโคตรมี เกี!ยวขอ้ งกบั พระมหาบุราในฐานะไหน ? ๒๕๓๘ ๕.๒ สกั กชนบทที!ปรากฏในตาํ นานแบง่ เป็นกีนคร ? ๒๕๓๗ ๖. ๖.๑ ใครท!ี แสดงความเคารพนบั ถือพระสิทธตั ถกมุ ารเป็ นคนแรก ? ๒๕๔๐ ๖.๒ ผแู้ สดงความเคารพน'ัน ไดท้ าํ นายพระลกั ษณะของพระราชกุมารไวอ้ ยา่ งไร ?๒๕๔๐ ๗. ๗.๑ พระราชโอรสน'ัน ประสูติได้ ๕ วนั ๗ วนั มีเหตุการณ์สาํ คญั อะไรเกิดขึ'น ? ๒๕๔๔ ๗.๒ พระพทุ ธองคป์ ระสูติ ณ ท!ี ใด? ๒๕๔๒ ๘. ๘.๑ พิธีวปั ปมงคล คือพธิ ีอะไร ?๒๕๓๙ ๘.๒ เหตุใดพระนางสิริมหามายา จึงไปประสูติพระโอรสท!ี สวนลุมพนิ ีวนั ของฟังขอ้ สันนิฐาน ? ๒๕๓๙ ๙. ๙.๑ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงปรารภถึงอะไรจึงเสด็จออกบรรพชา ? ๒๕๔๓ ๙.๒ ทรงบรรพชาเมื!อชนั ษาเท่าไร และทรงบรรพชาไดก้ ี!ปี จงั ตรัสรู้ ? ๒๕๔๓ ๑๐. ๑๐.๑ พระโพธิสตั วเ์ สด็จออกบรรพชาดว้ ยอาการอยา่ งไร ?๒๕๔๒ ๑๐.๒ เมือพระมหาบุรุษบรรพชาน'ั น ไดบ้ าตรและจีวรจากใคร ?๒๕๓๗ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 87
88 เฉลยพทุ ธประวตั ิ นักธรรมชันตรี ปริเฉทที ๑ – ๔ ****************************** ๑. ๑.๑ พุทธประวตั ิ คือเรืองที!พรรณนาความเป็นไปของสมเดจ็ พระสัมมาสมั พทุ ธเจา้ ๑.๒ มคี วามสาํ คญั ในการศึกและปฏิบตั ิพระพทุ ธศาสนา เพราะแสดงพุทธจริยาให้ปรากฏเช่นเดียวกบั ตาํ นานยอ่ มมีความสาํ คญั ต่อชาติของตน ทใี ห้รู้ไดว้ า่ ชาติไดเ้ ป็นมาแลว้ อยา่ งไรฯ ๒. ๒.๑ ในครั'งพทุ ธกาล ชาวชมพูทวปี โดยส่วนมากนบั ถือศาสนาพราหมณ์ ๒.๒ เห็นอยา่ งนี'คือ เห็นวา่ ตายแลว้ เกิดอยา่ งหนึ!ง เห็นว่าตายแลว้ สูญอยา่ งหนึ!ง ๓. ๓.๑ ชมพูทวีปปัจจุบนั แยกออกเป็นประเทศอินเดีย เนปาล ปากีสถาน บงั คลาเทศ และอฟั กานิสถาน ๓.๓ วรรณท'ัง ๔ คือ กษตั ริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร กษตั ริย์ มีหนา้ ท!ี ในการปกครองบา้ นเมืองพราหมณ์ มหี นา้ ทใี นการสงั สอน และประกอบพิธีกรรมแพศย์ มหี นา้ ทใี นการทาํ นา คา้ ขายศทู ร มีหนา้ ทใี นการรับจา้ งทาํ งาน เป็นกรรมกร ๔. ๔.๑ สกั กชนบทต'ังอยใู่ นชมพทู วีปตอนเหนือ เขตประเทศหิมพานต์ (เชิงเขาหิมาลยั ติดชายแดนระหว่างอินเดียกบั เนปาล) เพราะต'ังอยใู่ นดงไมส้ ักกะและเพราะพระราชโอรสพระราชธิดาของพระเจา้ โอกกากราชสามารถต'ังอาณาจกั รขึ'นดว้ ยตนเอง พระราชบิดาจึงออกพระโอษฐช์ มเชยวา่ สกั กะ แปลว่า สามารถ ๔.๒ สกั กชนบทมเี มอื งหลวงชือวา่ กบลิ พสั ดุ์ เพราะสรา้ งขึ'น ณ บริเวณอาศรมของกบลิ ดาบส ๕. ๕.๑ พระเจา้ สุทโธทนะ เกี!ยวขอ้ งในฐานะเป็นพุทธบดิ า พระนางมหาปชาบดีโคตรมีเกี!ยวขอ้ งในฐานะเป็ นนา้ นาง เลียงดูพระ มหาบุรุษต่อมา ๕.๒ สกั กชนบทที!ปรากฏในตาํ นานแบง่ เป็ น ๓ นคร นครเดิมของพระเจา้ โอกกากราช ๑ นครกบลิ พสั ดุน์ ครเทวทหะ ๖. ๖.๑ อสิตดาบส หรือกาฬเทวิลดาบส เป็นคนแรกท!ี แสดงความเคารพพระสิทธตั กุมาร ๖.๒ ทาํ นายว่า ถา้ ทรงครอบครองฆราวาส จกั ไดเ้ ป็นพระเจา้ จกั รพรรดิ ถา้ ออกผนวชจกั เป็นศาสดาเอกในโลก ๗. ๗.๑ เม!ื อประสูติได้ ๕ วนั พระราชบดิ าโปรดใหช้ ุมนุมพระญาติวงศแ์ ละเสนามาตยพ์ ร้อมกบั เชิญพราหมณ์ ๑๐๘ คนมารับ โภชนาหารแลว้ ทาํ นายพระลกั ษณะและขนานพระนามวา่ สิทธตั ถกมุ ารเมือประสูติได้ ๗ วนั พระนางเจา้ มายาผเู้ ป็นพระราช มารดาสิ'นพระชนม์ ๗.๒ พระพุทธองคป์ ระสูติท!◌ลี ุมพินีวนั ต'ั งอยกู่ ึ!งกลางแห่งกรุงกบิลพสั ดุแ์ ละกรุงเทวทหะแควน้ สักกะ ๘. ๘.๑ วปั ปะมงคลไดแ้ ก่พธิ ีแรกนาขวญั อนั เป็นนกั ขตั ฤกษข์ องบา้ นเมือง ๘.๒ เหตุทีไปประสูติทีสวนลุมพินีวนั คือ ขอ้ หนึ!ง เพือตอ้ งการเสดจ็ ประพาสอุทยาน ขอ้ สองเพ!ื อตอ้ งการไปประสูติพระ โอสถท!ี เมืองเดิมของพระนาง ตามราชประเพณี ๙. ๙.๑ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงปรารภถึงความแก่ ความเจบ็ ความตาย และสมณะ จึงเสด็จออกบรรพชา ๙.๒ ทรงบรรพชาเมื!อพระชนั ษา ๒๙ ปี และทรงบรรพชาได้ ๖ ปี จึงไดต้ รัสรู้ ๑๐. ๑๐.๑ เชื!อวา่ พระโพธิสัตว์ เสด็จออกผนวชในเวลากลางคืน ทรงมา้ กณั ฐกะและนายฉนั นะตามเสดจ็ จนถึงริมฝังแมน่ าํ อโนมา จึงอธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต ณ ทีนนั ๑๐.๒ เมื!อทรงบรรพชาไดบ้ าตรและจีวรจากฆฏิการพรหมนาํ มาถวาย พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 88
89 ปัญหาพทุ ธประวตั ิ นกั ธรรมตรี ปริเฉทที ๕ – ๘ ********************************** ๑. ๑.๑ ในวนั ตรัสรู้ทรงอธิษฐานพระหฤทยั ทีไดต้ นั มหาโพธิ ว่าอยา่ งไร? ๒๕๔๔ ๑.๒ พระสิทธตั ถะทรงผจญมารไดช้ ยั ชนะดว้ ยบารมธี รรมอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๒. ๒.๑ ญาณ ๓ ทพี ระพุทธองคท์ รงไดใ้ นวนั ตรัสรู้คืออะไรบา้ ง ?๒๕๔๓ ๒.๒ ญาณขอ้ ไหน ทีทาํ ใหพ้ ระองคส์ าํ เร็จความเป็นพุทธะโดยสมบูรณ์ ?๒๕๔๓ ๓. ๓.๑ ทีว่าพระโพธิสัตวต์ รัสรู้น7ั น ทรงรู้ธรรมอะไร ? ๒๕๔๒ ๓.๒ ขา้ วมธุปายาส ทีทรงเสวยก่อนตรัสรู้ใครเป็นผถู้ วาย ?๒๕๔๒ ๔. ๔.๑ ทุกรกิริยาคอื อะไร ?๒๕๓๘ ๔.๒ พระมหาบุรุษของเราไดท้ รงทาํ วธิ ีใดบา้ ง ? ๒๕๓๘ ๕. ๕.๑ พระพุทธองคท์ รงตดั สินพระทยั ทีจะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตวท์ ไี หน ? ๒๕๔๑ ๕.๒ ปฐมเทศนาชือวา่ อะไร ทรงแสดงเมือไร และทไี หน? ๒๕๔๑ ๖. ๖.๑ อะไรเป็นคุณทีสุดของพรหมจรรย์ ? ๒๕๔๐ ๖.๒ ผทู้ ไี ดบ้ รรลุคุณน7ั นก่อนกวา่ ผอู้ ืนคือใคร ดว้ ยพระธรรมเทศนาชือว่าอะไร ?๒๕๔๐ ๗. ๗.๑ คาํ ว่า ทนี ีวุน่ วายหนอ ทีนีขดั ขอ้ งหนอ เป็นคาํ พดู ของใคร เพราะเหตุใดจึงอุทานเช่นน7ั น ?๒๕๔๔ ๗.๒ การบวชในพระพุทธศาสนาทีปรากฏในพุทธประวตั ิมกี ีวิธี อะไรบา้ ง ? ๒๕๓๙ ๘. ๘.๑ เวทนาปริคคหสูตรพระพทุ ธองคท์ รงแสดงแก่ใคร ทไี หน ?๒๕๓๕ ๘.๒ อนุปุพพิกถา ว่าดว้ ยเรืองอะไร ?๒๕๔๐ ๙. ๙.๑ พระบรมศาสดาทรงแสดงอาทติ ตปริยายสูตรแก่ใคร ทไี หน ? ๒๕๓๔ ๙.๒ ใจความโดยยอ่ วา่ อยา่ งไร? ๒๕๔๐ ๑๐. ขอ้ ความทวี ่า ขอให้ขา้ พเจา้ รู้ทวั ถึงธรรมของพระอรหันต์ ดงั นี7 ๑๐.๑ เป็นความปรารถนาของใคร ?๒๕๔๐ ๑๐.๒ ความปรารถนาน7ั นสาํ เร็จบริบรู ณไ์ ดเ้ มือใด ?๒๕๔๐ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 89
90 เฉลยพทุ ธประวตั ิ นักธรรมชั$นตรี ปริเฉทที ๕- ๘ ********************************** ๑. ๑.๑ ทรงอธิฐานพระหทยั วา่ “ยงั ไมบ่ รรลุโพธิญาณเพยี งใด จกั ไมล่ ุกขึ7นเพยี งน7ั น เนือเลอื ดแหง้ ไป เหลือหนงั หุ้มกระดูกกต็ าม ที” ๑.๒ พระสิทธตั ทรงผจญมารชนะไดด้ ว้ ยบารมธี รรม ๑๐ อยา่ งคือ ทาน๑ ศีล ๑ เนกขมั มะ๑ ปัญญา ๑ วริ ิยะ ๑ ขนั ติ๑ สัจจะ ๑ อธิษฐาน ๑ เมตตา ๑ อุเบกขา ๑ ๒. ๒.๑ ญาณ ๓ คือ ๑. ปพุ เพนิวาสานุสสติญาณ ๒.จุตูปปาตญา ๓. อาสวกั ขยญาณ ๒.๒ ญาณขอ้ ที๓ คอื อาสวกั ขยญาณ ทาํ ให้ทรงสาํ เร็จความเป็นพุทธะโดยสมบรู ณ์ ๓. ๓.๑ พระโพธิสตั วท์ รงรู้ธรรมคืออริยสจั ๔ คือ ทุกข์ สมทุ ยั นิโรธ มรรค ๓.๒ นางสุชาดา ธิดาของกุฏุมพี นายบา้ นเสนานิคม เป็นผถู้ วายขา้ วมธุปายาส ๔. ๔.๑ ทกุ รกิริยา คือ การทรมานกายใหล้ าํ บาก หรือการกระทาํ ทที าํ ไดย้ าก ๔.๒ พระมหาบรุ ุษก่อนตรัสรู้ไดท้ รงกระทาํ ๓ วาระคือ ๑. ทรงกดพระทนตด์ ว้ ยพระทนต์ กดพระตาลุดว้ ยพระชิวหา ๒. ทรงกลนั ลมหายใจ ๓. ทรงอดพระกระยาหาร ๕. ๕.๑ พระพทุ ธองคท์ รงตดั สินพระทยั ทจี ะแสดงธรรมโปรดเวไนยสัตวท์ ีตน้ อชปาลนิโครธเขตอุรุเวลาเสนานิคม แควน้ มคธ ๕.๒ ปฐมเทศนาชือวา่ ธมั มจกั กปั ปวตั ตนสูตร ทรงแสดงเมอื วนั ขึ7น ๑๕ คาํ เดือน ๘ พรรษา แรกทตี รัสรู้ แสดงทีป่ าอิสิปตน มฤคทายวนั แขวงเมืงพาราณาสี ๖. ๖.๑ พระอรหตั ตผล เป็นคุณทสี ุดของพรหมจรรย์ ๖.๒ พระภิกษุปัญจวคั คียไ์ ดส้ าํ เร็จคุณน7ั นก่อนกวา่ ใคร ดว้ ยพระธรรมเทศนาชือวา่ อนตั ตลกั ขณสูตร ๗. ๗.๑ คาํ วา่ ทนี ีวนุ่ วายหนอ ทนี ีขดั ขอ้ งหนอ เป็นคาํ อุทานของยสกลุ บตุ รเพราะเห็นอาการพิกลต่างๆ ของหม่ชู นบริวารทนี อน หลบั ไม่เป็นทตี 7ั งแก่ความยนิ ดีเหมือนเมือก่อน หม่ชู นบริวารเหล่านนั ปรากฏแก่ยสกลุ บุตร ดุจซากศพทที ิ7งอยใู่ นชา้ ครั7นเห็น แลว้ เกิดความสงั เวชสลดใจคือเบอื หน่ายจึงไดอ้ ุทานออกเช่นน7ั น ๗.๒ การบวชในพระพุทธศาสนาทีปรากฏ ในพระพทุ ธประวตั ิ มี ๓ คือ ๑. เอหิภิกขอุ ุปสัมปทา พระพทุ ธเจา้ ประทานการบวชใหด้ ว้ ยพระองคเ์ อง ๒.ติสรณคมนูปสัมปทา การบวชดว้ ยการถึงสรณะ ๓ พระสาวกบวชให้ ๓.ญตั ติจตุตถกรรมอุปสัมปทา การอุปสมั บททสาํ เร็จดว้ ยกรรมวาจาเป็นที ๔ ท7ั งญตั ติ โดยวธิ ีประชุมสงฆ์ หรือสงฆเ์ ป็นผบู้ วช ให้ ๘. ๘.๑ เวทนาปริคคหสูตร พระพุทธอิงคท์ รงแสดงแก่ทฆี นขปริพาชก ณ ถาํ สุกรขาตาเขาคิชฌกฏู แขวงเมอื งราชคฤห์ ๘.๒ อนุปพุ พกิ ถาวา่ ดว้ ยเรือง ทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์ของการออกจากกาม ๙. ๙.๑ พระบรมศาสดาทรงแสดงอาทิตตปริยายสูตรแก่ชฎิล ๑๐๐๓ ณ ตาํ บลคยาสีสะ แควน้ มคธ ๙.๒ มีใจความว่า สิงท7ั งปวงคือ อายตนะภายใจ อายตนะภายนอก วญิ ญาณ ผสั สะ เวทนาเป็นของร้อน และรอ้ นเพราะไฟคือ ราคะ โทสะ โมหะ รอ้ นเพราะความเกิด ความแก่ ความตายความเศร้าโศก ความรําไรราํ พนั ความเจบ็ ไข้ ความเสียใจ ความคบั ใจ ๑๐. ๑๐.๑ เป็นความปรารถนาของพระเจา้ พมิ สาร ครังยงั ทรงเป็นพระราชกมุ าร ๑๐.๒ ความปรารถนาน7ั น สาํ เร็จบริบรู ณไ์ ดใ้ นวนั ทไี ดฟ้ ังอนุปุพพกิ ถาและอริยสัจ ๔ ทีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงโปรด ณ สวนตา หนุ่ม จนไดด้ วงตาเห็นธรรม พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 90
91 ปัญหาพทุ ธประวตั ิ นกั ธรรมชันตรี ปริเฉทที ๙-๑๒ *************** ๑. ๑.๑ จงบอกโอวาท ๓ ทีพระบรมศาสดาประทานแก่ปิ ปผลิมาณพมาใหค้ รบ ?๒๕๓๖ ๑.๒ ทา่ นบวชแลว้ ไดช้ ือวา่ อะไร และไดร้ ับยกยอ่ งวา่ เป็นเลิศในทางกา้ นใด ?๒๕๓๗ ๒. ๒.๑ จาตุรงคสนั นิบาต คืออะไร เหตุการณน์ ี2เกิดขึนทไี หน ?๒๕๓๘ ๒.๒ โอวาทปาฏิโมกขค์ าถาที ๒ พระพุทธอง๕ตรัสสอนอยา่ งไร ?๒๕๓๘ ๓. ๓.๑ พระพุทธเจา้ ทรงแสวงวธิ ีทาํ เทวตาพลีแก่ใคร ทีไหน? ๒๕๓๘ ๓.๒ การประชุมทปี ระกอบดว้ ยองค์ ๔ มีอะไรบา้ ง จงเขียนมาใหค้ รบ ?๒๕๓๙ ๔. ๔.๑ สงั เวชนียสถาน ๔ มีอะไรบา้ ง ?๒๕๔๔ ๔.๒ พระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงเกียวกบั การทภี ิกษุจะพึงปฏิบตั ิต่อสตรีไวอ้ ยา่ งไร? ๓๕๔๔ ๕. ๕.๑ พระพทุ ธองคเ์ สด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ณ แควน้ อะไร? ๕.๒ เมอื จะเสดจ็ ขนั ธปรินิพพานทรงแต่งต2ั งใครเป็นศาสดาแทนพระองค์ ?๒๕๔๒ ๖. ๖.๑ ถูปารหบุคคล คือใคร?๒๕๔๐ ๖.๒ เมอื วนั ทีพระพุทธองคป์ รินิพพานมีพระสาวกผใู้ หญ่ในทนี 2ั น ๒ รูป คือใคร ? ๒๕๔๐ ๗. ๗.๑ ใครเป็นปัจฉิมสกั ขีสาวกทนั เห็นพระพุทธองค์ ? ๒๕๓๐ ๗.๒ ใครเป็นตน้ เหตุใหพ้ ระมหากสั สปะริเริมทาํ สังคายนา ?๒๕๔๐ ๘. ๘.๑ ขณะประทบั อยู่ ณ บา้ นเวฬุวคาม ทรงแสดงธรรมอะไรเป็นส่วนมาก ?๒๕๓๗ ๘.๒ พระบรมศาสดาเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน เมือพระชนมายเุ ทา่ ไร ทีไหน? ๓๕๒๘ ๙. ๙.๑ อามสิ บูชา และปฏิบตั ิบูชาแบบ ต่างกนั อยา่ งไร ?๒๕๓๐ ๙.๒ พระพทุ ธองคท์ รงสรรเสริญการบชู าแบบไหน เพราะเหตุไร?๒๕๓๐ ๑๐. ๑๐.๑ พระพุทธองคก์ ่อนเสด็จดบั ขนั ปรินิพพาน ไดประทานโอวาทโดยสรุปไวว้ า่ อยา่ งไง?๒๕๒๙ ๑๐.๒ พระโอวาทน2ั นเรียกว่าอะไร?๒๕๒๙ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 91
92 เฉลยพทุ ธประวตั ิ นักธรรมชนตรี ปริเฉทที ๙- ๑๒ **************************** ๑. ๑.๑ โอวาท ๓ ทีทรงประทานแก่ปิปผลิมาณพ คือ ๑.เราจกั เขา้ ไปต2ั งความละอาย และความเกรงไวใ้ นภิกษุทเี ป็นผเู้ ฒ่าผใู้ หม่และเป็นผปู้ านกลางอยา่ งแรงกลา้ ๒.เราจกั ฟังธรรมอยา่ งใดอยา่ งหนึง ซึงประกอบดว้ ยกศุ ล เราจกั เงียลงฟังธรรมน2ั นพิจารณาเนือความ ๓.เราจกั ไม่สละสติทไี ปในกาย คือ พิจารณาร่างกายเป็นอารมณ์ ๑.๒ ทา่ นบวชแลว้ ไดช้ ือว่า พระมหากสั สปะ เป็นเอตตทคั คะในทางธุดงคค์ ุณ ๒. ๒.๑ จาตุรงคส์ นั นิบาต คือ การประชุมทดี ว้ ยองค์ ๔ เหตุการณ์นี2เกิดขึ2นทีวดั พระเวฬุวนั เมอื งราชคฤห์ แควน้ มคธ ๒.๒ โอวาทปาฏิโมกขค์ าถาที ๒ ไดต้ รัสสอนไวว้ ่า ไมท่ าํ ความชวั ท2ั งปวง๑ ทาํ ความดีให้ถึงพร้อม๑ ทาํ จิตให้สะอาดบริสุทธิ ๑ ๓. ๓.๑ พระพุทธเจา้ ทรงแสดงวธิ ีทาํ เทวตาพลีแก่สุนิธพราหมณ์และวสั สการพราหมณท์ ีบา้ นปาฏลิคาม แควน้ มคธ ๓.๒ การประชุมทีประกอบดว้ ยองค์ ๔ คือ ๑.พระสงฆ์ ๑๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกนั โดยมิไดน้ ดั หมาย ๒.พระสงฆเ์ หล่าน2ั นลว้ นเป็นเอหิภิกขอุ ุปสมั ปทา ๓.พระสงฆเ์ หล่าน2ั นลว้ นเป็นพระอรหนั ต์ ๔.พระศาสดาทรงประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ๔. ๔.๑ สงั เวชนียสถาน ๔ มี ๑.สถานทีพระพุทธเจา้ ประสูติ ๒.สถานทีพระพทุ ธเจา้ ตรัสรู้ ๓.สถานทพี ระพทุ ธเจา้ ทรงแสดงปฐมเทศนา ๔.สถานทีพระพุทธเจา้ ปรินิพพาน ๔.๒ ทรงแสดงว่า “ ไม่เห็นเสียเลยดีกว่า ถา้ จาํ เป็นจะตอ้ งเห็นกอ็ ยา่ งพูดดว้ ยถา้ จาํ เป็นตอ้ งพูด กใ็ หม้ สี ติสาํ รวมระวงั อยา่ ให้ แปรปรวนไปดว้ ยราคะ ๕. ๕.๑ ไดเ้ สด็จดบั ขนั ธปรินิพพาน ณ สาลวโนทยาน แควน้ มลั ละ ๕.๒ มิไดท้ รงแต่งต2ั งใครเป็นศาสดาแทน แต่ไดท้ รงมีพุทโธวาทแก่พระภิกษุวา่ “ ธรรมก็ดีวนิ ยั กด็ ี อนั พระองคไ์ ดแ้ สดงแลว้ บญั ญตั ิแลว้ ธรรมและวนิ ยั น2ั น จกั เป็นศาสดาแทนพระองค์ ” ๖. ๖.๑ ถูปารหาบคุ คล คือ บุคคลทีควรสร้างสถูปหรือเจดีย์ ใส่อฏั ฐิไวส้ กั การะบูชามี ๔ ประเภท คอื ๑.พระตถาคตเจา้ สัมมาสมั พุทธเจา้ ๒. พระปัจเจกพุทธเจา้ ๓.พระสาวกอรหนั ต์ ๔. พระเจา้ จกั รพรรดิราช ๖.๒ พระสาวกผใู้ หญ่ ๒ รูป คือ พระอนุรุทธ๑ พระอานนท์ ๑ ๗. ๗.๑ สุภทั ทปริพาชก เป็นปัจฉิมสักขีสาวกทนั เห็นพระพุทธองค์ ๗.๒ สุภทั ทวุฑฒบรรพชิต เป็นตน้ เหตุให้พระมหากสั สปะริเริมทาํ สังคายนา ๘. ๘.๑ ทรงแสดงอริยธรรมคือ ศลี สมาธิ ปัญญา และวิมุตติเป็นส่วนมาก ๘.๒ พระบรมศาสดาเสดจ็ ดบั ขนั ธปรินิพพาน เมอื พระชนมายุ ๘๐ พรรษาระหวา่ งตน้ ไมส้ าละท2ั งคู่ ทีเมืองกสุ ินารา ๙. ๙.๑ อามิสบชุ าและปฏิบตั ิบชู าต่างกนั ดงั นีอามสิ บูชา ไดแ้ ก่การบชู าดว้ ยวตั ถุสิงของ เช่นดอกไมธ้ ูปเทยี น เป็นตน้ ปฏิบตั ิบูชา ไดแ้ ก่การปฏิบตั ิตามคาํ สอนของพระพุทธเจา้ ๙.๒ ใน ๒ ขอ้ นี2 พระพทุ ธองคท์ รงสรรเสริญปฏิบตั ิบูชา เพราะว่าเหตุวา่ ปฏิบตั ิบชู าสามารถยงั พระศาสนาให้ยงั ยนื ตลอดกาล นาน พระพุทธองคจ์ ึงตรัสวา่ เป็นการบูชาอยา่ งยงิ พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 92
93 ๑๐. ๑๐.๑ ไดป้ ระทานโอวาทว่า “ดูก่อนภิกษุท2ั งหลาย บดั นี2เราพระตถาคตขอเตือนทา่ นท2ั งหลายใหร้ ู้วา่ สงั ขารท2ั งหลายมคี วาม เสือมมีความฉิบหายไปเป็นธรรมดาทา่ นท2ั งหลายจงยงั กินท2ั งปวงอนั เป็นประโยชนต์ นและประโยชน์ของผอู้ ืนให้บริบูรณ์ ดว้ ยความไมป่ ระมาทเถิด ๑๐.๒ พระโอวาทน2ั นเรียกวา่ “ ปัจฉิมโอวาท” พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 93
94 ปัญหาพทุ ธประวตั ิ นักธรรมชันตรี หมวดที ๑๓ - ๑๖ ************* ๑. ๑.๑ พระศาสดาเสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานแลว้ กีวนั จึงถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ? ๑.๒ และเกิด เหตุการณ์อะไรทนี ่าสลดใจยงิ ๒. ๒.๑ สถานทถี วายพระเพลิง ของพระองคช์ ือว่าอะไร? ๒.๒ พระบรมศพต0ั งอยทู่ เี มืองอะไร ๓. ๓.๑ พระศาสดาทรงทาํ อายสุ ังขาราธิษฐานและปลงอายสุ งั ขาร น0ั นต่างกนั อยา่ งไร? ๓.๒ ทรงปรารภอะไรเป็นเหต?ุ ๔ ๔.๑ เจดียม์ ีกีประเภท ? อะไรบา้ ง? ๔.๒ สถานทีบรรจุพระบรมสารีริกธาตุมีกีแห่ง ? ทีไหนบา้ ง? ๕. ๕.๑ พระฉวีวรรณของพระสมั มาสมั พุทธเจา้ ยอ่ มผอ่ งใสยงิ ขึ0นเป็นพิเศษในกาลไหนบา้ ง? ๕.๒ ในวนั ทพี ระสัมมาสัมพุทธเจา้ เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานน0ั น มีพระสาวกผใู้ หญ่กีรูปเป็นประธานอยใู่ นทีนัน? ๖. ๖.๑ ปฐมสาวก ปัจฉิมสาวก ไดแ้ ก่ใคร ? ปฐมเทศนาและปัจฉิมเทศนา ไดแ้ ก่เทศนาอะไร ๖.๒ พระพทุ ธเจา้ ทรงจาํ พรรษาสุดทา้ ยทีไหน ?เขตเมอื งอะไร? ๗. ๗.๑ สงั คายนาคอื อะไร ? ๗.๒ สังคายนาทปี ากฎในหนงั สือมีกีครั0ง ? ๘. ๘.๑ การทาํ สงั คายนาครั0งที ๑-๒ ทรงปรารภใคร ? และทาํ ทีไหน ? ใครเป็นประธานประชุม? ๙. ๙.๑ การทาํ สังคายนาครั0งที ๓-๔ ทรงปรารภใคร ? และทาํ ทีเมืองไหน ? ใครเป็นประธานประชุม? ๙.๒ การทาํ สงั คายนาครั0งที ๑-๒ ทรงปรารภใคร ? และทาํ ทีไหน ? ใครเป็นประธานประชุม? ๑๐. ๑๐.๑ การทาํ สงั คายนา ครั0งใดทจี ารึกลงในแผน่ ใบลาน ? ๑๐.๒ พระพุทธศาสนา ไดแ้ พร่หลายออกมาจากมธั ยมประเทศในปี ไหน ใครเป็นผจู้ ดั ส่งมาเผยแพร่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 94
95 เฉลยพทุ ธประวตั ิ นักธรรมชันตรี ปริเฉทที ๑๓ -๑๖ ***************************** ๑. ๑.๑ พระศาสดาเสดจ็ ดบั ขนั ปรินิพพานแลว้ ๗ วนั จึงถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ๑.๒ และเกิดเหตุการณท์ ีน่าสลดใจคือมพี ระภิกษุชือวา่ สุภทั ทะกล่าวจว้ งจาบพระธรรมวินยั ๒. ๒.๑ มกุฏพนั ธนเจดีย์ ๒.๒ เมอื งกุสินารา ๓. ๓.๑ ต่างกนั อยา่ งนี0คือ อายสุ งั ขาราธิษฐาน คือ พระองคท์ รงต0ั งปณิธานใคร่จะดาํ รงพระชนมายอุ ยจู่ นกวา่ จะไดท้ รงประกาศ พระศาสนาให้แพร่หลายประดิษฐานใหม้ นั คงถาวร สาํ เร็จประโยชนแ์ ก่ชนนิกรทกุ หมู่เหล่า ส่วนปลงอายสงั ขาร คือ พระพทุ ธเจา้ ทรงปลงพระหทยั วา่ จะบาํ เพญ็ พุทธกิจต่อไปไม่ไดอ้ ีกแลว้ ๓.๒ อายสุ ังขาราธิษฐาน ทรงปรารภเวไนยสัตวผ์ คู้ วรไดร้ ับพระธรรมเทศนาเป็นเหตุปลงอายสุ งั ขาร ทรงปรารภมารผมู้ าเตือน พระหทยั ให้ปรินิพพานเป็นเหตุ ๔. ๔.๑ เจดีย์ มี ๔ ประเภท คอื ธาตุเจดีย์ เจดียบ์ รรจุพระบรมสารีริกธาตุบริโภคเจดีย์ เจดียบ์ รรจุเครืองบริขารและวตั ถุทีเนืองดว้ ย พระพทุ ธเจา้ ธรรมเจดีย์ เจดียบ์ รรจุวตั ถุทีจารึกพระธรรมอุทเทสิกเจดยี ์ เจดียบ์ รรจุพระพุทธรูป, องคพ์ ระพุทธรูป ๔.๒ มี ๘ แห่ง คอื ๑.เมอื งราชคฤห์ ๒.เมอื งไพศาลี ๓.เมอื งกบิลพสั ดุ์ ๔.เมอื งอลั ลกปั ปะ ๕.เมืองรามคาม ๖.เมอื งเวฏฐทีปกะ ๗.เมืองปาวา ๘.เมอื งกสุ ินารา ๕. ๕.๑ มี ๒ กาล คอื ๑.ในเวลาทีจะตรัสรู้ ๒.ในเวลาทจี ะปรินิพพาน ๕.๒ มพี ระสาวกผใู้ หญ่อยู่ ๒ รูป คือ ๑. พระอนุรุทธเถระ ๒. พระอานนทเ์ ถระ ๖. ๖.๑ ปฐมสาวก คือ พระอญั ญาโกณทญั ญะ ปัจฉิมสาวก คือ พระสุภทั ทะ ปฐมเทศนา คือ พระธรรมจกั รกปั ปวตั ตนสูตร ปัจฉิมเทศนา คือ อปั ปมาทธรรม ๖.๒ ทรงจาํ พรรษาสุดทา้ ยทีเมืองปาวา เขตเมอื งไพศาลี ๗. ๗.๑ สงั คายนาคอื การร้อยกรองพระธรรมวนิ ยั หรือการประชุมตรวจสอบชาํ ระทานและจดั หมวดหมคู่ าํ สงั สอนของ พระพทุ ธเจา้ วางเป็นแบบฉบบั ทถี ูกตอ้ ง ๗.๒ สังคายนาทปี รากฏในหนงั สือมี ๕ ครั0ง ๘. ๘.๑ ครั0งที ๑ ปรารภเรืองสุภทั ทะ ทาํ ทีสตั ตบรรณคูหา ขา้ งภูเวภารบรรพตเมืองราชคฤห์ รัฐมคธ พระมหากสั สปะเป็น ประธานประชุม ครังี ๒ ปรารภภิกษุชาววชั ชีบตุ รแสดลวตั ถุ ๑๐ ประการนอกธรรมนอกวนิ ยั ทาํ ทวี าลิการาม เมอื งไพศาลี รัฐวชั ชี พระยสกา กญั ฑบตุ รเป็นประธานประชุม ๙. ๙.๑ ครั0งที ๓ ปรารภพวกเดียรถียป์ ลอมบวช ทาํ ทีอโศการาม เมืองปาฏลีบุตร รัฐมคธพระโมคคลั ลีบตรติสสเถระเป็นประธาน ประชุม ๙.๒ ครังที ๕ ปรารภพระสงฆจ์ ะแตกกนั และควรจะจารึกพระพทุ ธพจน์ลงในใบลานเพือเป็นหลกั ฐาน เพราะต่อไปอาจจะไม่มี ภิกษุรูปใดสามารถจาํ ไดท้ 0ั งหมดและถูกตอ้ งทาํ ทีอาโลกเลณสถานมลยั ชนบท ประเทศลงั กาพระพทุ ธทตั ตะเป็นประธาน ประชุม ๑๐. ๑๐.๑ ครังที ๕ ๑๐.๒ ในปี ๒๓๔ พระโมคคลั ลีบุตรติสสะเถระเป็นผจู้ ดั ส่งมาเผยแพร่ พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 95
96 ปัญหาศาสนพธิ ี นักธรรมชันตรี หมวดที ๑ - ๒ ************************** ๑. ๑.๑ ศาสนพธิ ีมคี วามหมายวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๔๑ ๑.๒ ศาสนพิธีมกี ีหมวด อะไรบา้ ง ? ๒๕๔๔ ๒. ๒.๑ การเวียนเทยี นในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนามกี ีวนั อะไรบา้ ง ?๒๕๔๑ ๒.๒ อุโบสถของคฤหัสถม์ กี ีอยา่ งอะไรบา้ ง ? ๒๕๔๑ ๓. ๓.๑ กุศลพิธีหมายถึงอะไร ว่าดว้ ยเรืองอะไรบา้ ง ? ๒๕๓๙ ๓.๒ พิธีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะ หมายถึงอะไร ? ๒๕๔๔ ๔. วนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนาต่อไปนี 5 มีความสาํ คญั อยา่ งไร ๔.๑ วนั เพญ็ เดือน ๓ ? ๒๕๓๘ ๔.๒ วนั เพญ็ เดือน ๖ ? ๒๕๓๘ ๕. ๕.๑ พระอริยสงฆเ์ กิดขึน5 ครัง5 แรกในโลกวนั อะไร ? ๒๕๓๖ ๕.๒ คาํ ลาพระกลบั บา้ นวา่ อยา่ งไร จงเขียนมาดู ? ๒๕๓๙ ๖. ๖.๑ วนั อฏั ฐมบี ชู า มคี วามสาํ คญั อยา่ งไร ? ๒๕๓๙ ๖.๒ การกรวดนาํ 5 เมอื พระผเู้ ป็นประธานในพิธีอนุโมทนาเริมบทวา่ … ? ๒๕๓๓ ๗. ๗.๑ ผศู้ กึ ษามีความรู้เรืองบุญพิธีในศาสนพิธีเล่ม ๑ อยา่ งไรบา้ ง ? ๒๕๔๓ ๗.๒ ในงานมงคลควรจุดเทยี นนาํ 5 มนตเ์ มือไร ? ๒๕๔๔ ๘. คาํ ต่อไปนี 5 ใชต้ ่างกนั อยา่ งไร ? ๒๕๔๒ ๘.๑ สวดพระพุทธมนต์ ? ๘.๒ เจริญพระพทุ ธมนต์ ? ๙. ๙.๑ ในงานทาํ บุญต่างๆมีผเู้ กียวขอ้ งในการปฏิบตั ิกีฝ่ ายคือใคร ? ๒๕๓๘ ๙.๒ งานมงคลและงานอวมงคล ใชค้ าํ นิมนตพ์ ระสงฆต์ ่างกนั อยา่ งไร ? ๒๕๓๙ ๑๐ ๑๐.๑ ทาํ บุญศพ ๗ วนั สวดพระสูตรอะไร ?. ๑๐.๒ จงอธิบายถึงวธิ ีชกั ผา้ บงั สกลุ มาดู ? ๒๕๓๖ ทาํ บุญศพ ๕๐ วนั สวดพระสูตรอะไร ? พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 96
97 เฉลยศาสนพธิ ี นักธรรมชันตรี หมวดที ๑ - ๒ ********************** ๑. ๑.๑ พิธีกรรมเกียวกบั ระเบยี บแบบแผนต่างๆ ทีพงึ ปฏิบตั ิในศาสนาเรียกว่า ศาสนพิธี ๑.๒ มี ๔ หมวด คอื ๑. กศุ ลพิธี วา่ ดว้ ยพธิ ีบาํ เพญ็ กุศล ๒. บุญพิธี วา่ ดว้ ยพิธีทาํ บญุ ๓. ทานพิธี ว่าดว้ ยพธิ ีถวายทาน ๔. ปกิณกะ ว่าดว้ ยพิธีเบด็ เตล็ด ๒. ๒.๑ การเวยี นเทียนในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนามี ๔ วนั คือวนั มาฆบชู า วนั วสิ าขบชู า วนั อฏั ฐมีบชู า วนั อาสาฬหบูชา ๒.๒ อุโบสถของคฤหสั ถม์ ี ๒ อยา่ งคือ ๑. ปกติอุโบสถ ๒. ปฏิชาครอุโบสถ ๓. ๓.๑ กุศลพิธีคอื พิธีทาํ ความดีให้แก่ตนตามหลกั ทางพระพทุ ธศาสนาว่าดว้ ยเรือง ๑. การแสดงตนเป็นพุทธมามกะ ๒. การรักษาศลี อุโบสถ ๓. การเวียนเทยี นในวนั สาํ คญั ทางพระพุทธศาสนา ๓.๒ พธิ ีแสดงตนเป็นพทุ ธมามกะหมายถึงการประกาศตนว่าเป็นผรู้ ับนบั ถือพระพุทธเจา้ ว่าเป็นทีพึง ทรี ะลึก ตลอดชีวิตของตน ๔. ๔.๑ วนั เพญ็ เดือน ๓ คือ วนั มาฆบูชา เป็นวนั ทีพระพุทธเจา้ ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เรียกอกี อยา่ งหนึงวา่ วนั พระธรรม ๔.๒ วนั เพญ็ เดือน๖คอื วนั วิสาขบชู าซึง เป็นวนั ประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธเจา้ เรียกอกี อยา่ งหนึงว่าวนั พระพุทธ ๕. ๕.๑ พระอริยสงฆเ์ กิดขึน5 ครัง5 แรกในโลก วนั อาสาฬหบูชา ขึน5 ๑๕ คาํ เดอื น ๘ ๕.๒ คาํ ลาพระกลบั บา้ นวา่ หนททานิ มยํ ภนเต อาปุจฉาม พหุกิจจา มยํพหุกรณียา ๖. ๖.๑ วนั อฏั ฐมีบูชามคี วามสาํ คญั คือ เป็นวนั คลา้ ยวนั ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ซึงตรงกบั แรม ๘ คาํ เดือน ๖ หลงั ปรินิพพานได้ ๗ วนั ๖.๒ การกรวดนาํ 5 เริมเมอื ประธานสงฆอ์ นุโมทนาดว้ ยบทว่า ยถา วาริวหา………… ๗. ๗.๑ บุญพธิ ี ว่าดว้ ยทาํ บุญมี ๒ อยา่ งคือ ทาํ บญุ งานมงคล เช่นทาํ บุญขึน5บา้ นใหม่ ทาํ บญุ ฉลองอายุ เป็นตน้ และทาํ บุญงาน อวมงคล เช่น งานศพเป็นตน้ ๗.๒ในงานมงคลควรจุดเทยี นนาํ 5 มนต์ เมอื พระสงฆเ์ จริญพระพทุ ธมนตถ์ ึงมงคลสูตร ขึน5 ตน้ วา่ อเสวนา จ พาลานํ ฯ ๘. ๘.๑ คาํ ว่า “สวดพระพุทธมนต์” ใชใ้ นงานอวมงคลทเี กียวกบั ศพและเนืองดว้ ยวนั ตาย เช่น ทาํ บญุ ครบ ๗ วนั ๕๐ วนั ๑๐๐ วนั งานฌาปนกิจหรือทาํ บุญครบรอบวนั ตาย เป็นตน้ ฯ ๘.๒ คาํ ว่า “เจริญพระพทุ ธมนต”์ ใชใ้ นงานมงคลทวั ไปทไี มเ่ กียวกบั งานตาย เช่นงานขึน ปี ใหม่ งานแต่งงาน เป็นตน้ ฯ ๙. ๙.๑ งานมงคล ใชค้ าํ วา่ “ขออาราธนาเจริญพระพุทธมนต”์ งานอวมงคล ใชค้ าํ วา่ “ขออาราธนา สวดพระพทุ ธมนต”์ ๙.๒ ในการทาํ บญุ ต่างๆ มผี เู้ กียวขอ้ งในการปฏิบตั ิ ๒ ฝ่ าย คือ ๑.ฝ่ ายเจา้ ภาพ คือ ทายก ทายกิ า ผปู้ ระกอบการทาํ บญุ ๒.ฝ่ ายปฏิคาหก คือ ผรู้ ับทานและประกอบพิธีกรรมตามความประสงคข์ องเจา้ ภาพซึงเป็นบรรพชิต เรียกอีกอยา่ งหนึงวา่ ฝ่าย สงฆ์ ๑๐. ๑๐.๑ วธิ ีชกั ผา้ บงั สกุล ตอ้ งจบั พดั ดว้ ยมือซา้ ย จบั สายโยงดว้ ยมอื ขวา หวั แม่มือจบั บนสายโยง สอดสีนิว5 ใตผ้ า้ สายโยง ถา้ มกี าร ทอดผา้ บนสายโยงกจ็ บั ผา้ โดย วธิ ีเดียวกนั หลงั พจิ ารณาบงั สกุลวา่ อนิจจา วต สงั ขารา..เป็นตน้ ๑๐.๒ ทาํ บุญศพ ๗ วนั สวดอนตั ตลกั ขณสูตรทาํ บุญศพ ๕๐ วนั สวดอาทติ ตปริยายสูตร พระธีรวฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงินโชตนาราม | นักธรรมช้ันตรี 97
98 ปัญหาศาสนพธิ ี นกั ธรรมชันตรี หมวดที ๓ - ๔ *********************************** ๑. ๑.๑ ปาฏิบคุ ลิกทาน หมายถึงอะไร ? ๒๕๔๔ ๑.๒ สงั ฆทาน หมายถึงอะไร ? ๒๕๔๔ ๒. ๒.๑ กาลทาน หมายถึงอะไร ? ๒๕๓๔ ๒.๒ พิธีถวายทาน เม'ื อพระสงฆอ์ นุโมทนาให้พร ทายกพงึ ทาํ อยา่ งไร ? ๒๕๓๙ ๓. ๓.๑ จงเขียนคาํ ถวายสังฆทานประเภทสามญั พร้อมทงั 3 คาํ แปล ?๒๕๔๓ ๓.๒ ทานบดี หมายถึงอะไร ? ๒๕๓๔ ๔. ๔.๑ ทา่ นมคี วามรู้เรืองทานพธิ ี อยา่ งไรบา้ ง ? ๒๕๓๘ ๔.๒ ทานวตั ถุ คืออะไร มเี ท่าไร อะไรบา้ ง ? ๒๕๓๔ ๕. ๕.๑ ในศาสนพธิ ีเล่ม ๑ หมวดที' ๔ ปกิณกะ ว่าดว้ ยวธิ ีปฏิบตั ิมกี ี'อยา่ ง ? ๒๕๓๕ ๕.๒ ในขอ้ ๕.๑ นนั มีอะไรบา้ ง ? ๒๕๓๕ ๖. ๖.๑ วธิ ีกรวดนาํ คอื วธิ ีทาํ อะไร ? ๒๕๒๘ ๖.๒ คาํ กรวดนาํ 3 อยา่ งสนั 3 ทีสุดวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๒๘ ๗. ๗.๑ วธิ ีกราบทเี รียกวา่ เบญจางคประดิษฐน์ นั 3 กราบอยา่ งไร ? ๒๕๓๐ ๗.๒ การกราบ ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลีวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๓๓ ๘. ๘.๑ การไหว้ ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลีวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๒๒ ๘.๑ การประนมมอื ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลีวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๒๒ ๙. ๙.๑ การประเคนของพระ มีความหมายว่าอยา่ งไร ? ๒๕๓๗ ๙.๒ การอาราธนาพระ มคี วามหมายวา่ อยา่ งไร ? ๒๕๓๗ ๑๐. ๑๐.๑ จงเขียนคาํ อาราธนาพระปริตรมาดู ? ๑๐.๒ จงเขียนคาํ อาราธนาธรรมมาดู ? พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 98
99 เฉลยศาสนพธิ ี นักธรรมชันตรี หมวดที ๓ - ๔ ************************* ๑. ๑.๑ ปาฏิบคุ ลิกทาน หมายถึง ทานท'◌ถี วายเจาะจงเฉพาะรูปนนั รูปนี ๑.๒ สังฆทาน หมายถึง ทานทีถวายไม่เจาะจงรูปใดรูปหนึ'ง มอบใหเ้ ป็นของกลางให้สงฆจ์ ดั เฉลี'ยกนั ใชส้ อยเอง ๒. ๒.๑ กาลทาน หมายถึงทานที'ทายกถวายเฉพาะกาลหรือถวายในกาลพเิ ศษ เช่นกฐิน เป็นตน้ ๒.๒ ขณะพระสงฆอ์ นุโมทนา ทายกพงึ กรวดนาํ 3 เมอื พระเริมบท ยถา…… พอถึงบท สพั พีติโย….เป็นตน้ ไป พึงประนมมือรับ พรไปจนจบ แลว้ กราบ ๓ หน ๓. ๓.๑ อิมานิ มะยงั ภนั เต ภตั ตานิ สะปะริวารานิ ภิกขสุ ังฆสั สะ โอโณชะยามะ สาธุ โน ภนั เต ภิกขสุ งั โฆ อิมานิ ภตั ตานิ ปะฏิคคณั หาตุ อมั หากงั ฑีฆะรัตตงั หิตายะ สุขายะ ขา้ แต่พระสงฆผ์ เู้ จริญ ขา้ พเจา้ ทงั 3 หลาย ขอนอ้ มถวายภตั ตาหารกบั ทงั บริวารเหล่านี 3 แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์ จงรับภตั ตาหารกบั ทงั บริวารเหล่านี 3 ของขา้ พเจา้ ทงั 3 หลาย เพอื ประโยชน์ และความสุขแก่ขา้ พเจา้ ทงั หลาย สิน กาลนานเทอญ ฯ ๓.๒ ทานบดี หมายถึง บคุ คลผใู้ หท้ านและเป็นใหญ่ในทานนนั 3 ๔. ๔.๑ ทานพิธี ว่าดว้ ยพธิ ีถวายทานต่างๆ เช่น สงั ฆทานเป็นตน้ ฯ ๔.๒ ทานวตั ถุ คือ วตั ถุท'ี จะใหเ้ ป็นทานได้ มี ๑๐ ประการ คือ ๑. ภตั ตาหาร ๒. นาํ รวมเครืองดืม ๓. ผา้ เครืองนุ่งห่ม ๔. ยานพาหนะ ๕. มาลยั ดอกไม้ ๖. ของหอม เช่น ธูปเทียน ๗. เครื'องลูบ ไล้ ๘. ทนี อนอนั ควรแก่สมณะ ๙. ทอี ยอู่ าศยั ๑๐. เครื'องตามประทีป เช่นตะเกียง เป็นตน้ ๕. ๕.๑ ในศาสนพธิ ีเล่ม ๑ หมวดที' ๔ ปกิณกะ วา่ ดว้ ยวธิ ีปฏิบตั ิมี ๕ อยา่ ง ๕.๒ คือ วธิ ีแสดงความเคารพ ๑ วธิ ีประเคนของพระ ๑ วิธีทาํ หนงั สืออาราธนา และในปวารณาถวายจตุปัจจยั ๑ วิธีอาราธนาศีล อาราธนาพระปริต อาราธนาธรรม ๑วิธีกรวดนาํ ๑ ๖. ๖.๑ วธิ ีกรวดนาํ 3 คอื อุทิศส่วนกุศลใหแ้ ก่ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ หลงั จากการทาํ บญุ โดยเตรียมนาํ สะอาดใส่ภาชนะทใี ส่นาํ กรวดนนั จะเป็นทีกรวดนาํ โดยเฉพาะ หรือ แกว้ นาํ หรือขนั อยา่ งใดอยา่ งหนงึ ก็ได้ พอพระสงฆเ์ ริมอนุโมทนาดว้ ยบทวา่ ยถา………. ก็ เริมกรวดนาํ 3 ๖.๒ คาํ กรวดนาํ 3 แบบยอ่ วา่ อิทํ เม ญาตีนํ โหตุ แปลว่า ขอบญุ กุศลนี จงสาํ เร็จแกญ่ าติทงั หลายของขา้ พเจา้ เถิด หรือจะต่อวา่ สุขิตา โหนตุ ญาตโย ซงึ แปลว่า ขอญาติทงั 3 หลาย จงเป็นสุขๆ เถิด ๗. ๗.๑ มวี ิธีกราบอยา่ งนี 3 คือ กราบดว้ ยอวยั วะทงั 3 ๕ จดกบั พืน3 คือ เข่า ๒ ขา้ งแขน (มอื – แขน) และหนา้ ผาก จดพืน3 ระหว่าง มือทงั 3 ๒ รวมเป็น ๕ ๗.๒ การกราบ ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลี วา่ อภิวาท ๘. ๘.๑ การไหว้ ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลีวา่ นมสั การ ๘.๒ การประนมมือ ตรงกบั คาํ ท'ี เรียกในภาษาบาลีวา่ อญั ชลี ๙. ๙.๑ การประเคนของพระ หมายถึง การถวายของใหพ้ ระไดร้ ับถึงมือ ๙.๒ การอาราธนาพระ หมายถึง การนิมนตพ์ ระสงฆไ์ ปประกอบพิธีต่าง ๆ ตอ้ งทาํ เป็นกิจจะลกั ษณะ ๑๐. ๑๐.๑ คาํ อาราธนาประปริตร ว่าดงั นี 3 วิปัตติปฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะทุกขะวนิ าสายะ ปะริตตงั พรูถ มงั คะลงั วิปัตติปฏิพาหายะ สัพพะสมั ปัตติสิทธิยา สัพพะภะยะวนิ าสายะ ปะริตตงั พรูถ มงั คะลงั วิปัตติปฏิพาหายะ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา สัพพะโรคะวินาสายะ ปะริตตงั พรูถ มงั คะลงั พระธรี วฒั น์ จนฺทโสภโณ : วดั ไผ่เงนิ โชตนาราม | นกั ธรรมช้ันตรี 99
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113