ความหมายวนั มาฆบชู า วนั มาฆบูชา หมายถึง การ บูชา ในวนั เพ็ญเดือน ๓ เนื องในโอกาสคลา้ ย วนั ทพี ระพทุ ธเจ้าทรงแสดง โอวาทปาติโมกข์ แกพ่ ระ ภกิ ษุจํานวน ๑,๒๕๐ รูป
ความสําคัญวนั มาฆบชู า วนั มาฆบชู า เปนวนั ขึน ๑๕ คา เดือน ๓ มเี หตกุ ารณ์ อัศจรรย์ที พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจา้ จาํ นวน ๑,๒๕๐ รูป มาเฝาพระพุทธเจา้ ณ วดั เวฬุวัน เมือง ราชคฤห์ แควน้ มคธ โดยมิได้นั ดหมายกนั พระสงฆ์ ทงั หมดเปนพระอรหันต์ ผู้ได้อภญิ ญา ๖ และเปนผทู้ ไี ด้ รบั การอุปสมบทโดยตรงจากพระพุทธเจ้า ในวันนี พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในทปี ระชุม สงฆ์เหล่านั น ซงึ เปนทังหลักการอุดมการณ์และวธิ กี าร ปฏิบัติทีนํ าไปใชไ้ ด้ทกุ สังคม มเี นื อหาโดยสรุปคือให้ละ ความชวั ทุกชนิ ด ทาํ ความดีให้ถึงพรอ้ มและทําจติ ใจให้ ผ่องใส
ความเปนมาวันมาฆบชู า ส่วนทเี กยี วกับพระพุทธเจ้า หลังจากพระพุทธเจา้ ตรสั รูไ้ ด้ ๙ เดอื นขณะนั นเมอื เสรจ็ พุทธกจิ แสดงธรรมทถี าสุกรขาตาแลว้ เสด็จมาประทบั ทวี ัดเวฬุวัน เมือง ราชคฤห์ แคว้นมคธ ประเทศอินเดยี ในปจจบุ ัน วนั นั นตรงกบั วันเพ็ญ เดอื นมาฆะ หรอื เดอื น ๓ในเวลาบา่ ยพระอรหันตส์ าวกของพระพทุ ธเจา้ มาประชุม พรอ้ มกนั ณ ทปี ระทบั ของพระพทุ ธเจ้า นั บเปนเหตุอัศจรรย์ ทมี ีองค์ประกอบสําคัญ ๔ ประการ เรยี กวา่ วันจาตุรงคสันนิ บาต
คําว่า \"จาตรุ งคสันนิ บาต\" แยกศัพท์ ไดด้ ังนี คือ \"จาตรุ \" แปลวา่ ๔ \"องค์\" แปลวา่ ส่วน \"สันนิ บาต\" แปลวา่ ประชุม
ฉะนั นจาตุรงคสันนิ บาตจงึ หมายความวา่ \"การประชุมดว้ ย องค์ ๔\" กล่าวคือมีเหตุการณ์พิเศษทเี กิดขึนพรอ้ มกันในวันนี คือเปนวันที พระสงฆส์ าวกของพระพุทธเจ้า จํานวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพรอ้ มกนั ทเี วฬุวนั วหิ ารในกรุงราชคฤห์ โดย มไิ ด้นั ดหมาย พระภกิ ษุสงฆเ์ หลา่ นี ล้วนเปน \"เอหิภกิ ขุอุป สั มปทา\" คือเปนผทู้ ไี ดร้ บั การอุปสมบทโดยตรงจาก พระพทุ ธเจ้าทงั สินพระภกิ ษุสงฆท์ กุ องค์ทไี ด้มาประชุมใน ครงั นี ลว้ นแตเ่ ปนผไุ้ ด้บรรลุพระอรหันต์แล้วทกุ ๆ องค์ เปน วันทพี ระจันทรเ์ ตม็ ดวงกําลังเสวยมาฆฤกษ
ประวัตวิ นั มาฆบชู า มลู เหตุวนั มาฆะบูชา หลงั จากพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ ได้ตรสั รูใ้ น วันขึน 15 คา เดือน 6 และได้ทรงประกาศ พระศาสนาและส่ งพระอรหันตสาวกออก ไปจารกิ เพือเผยแพรพ่ ระพทุ ธศาสนายงั สถานทตี า่ ง ๆ ลว่ งแล้วได้ 9 เดอื น ในวันที ใกล้พระจันทรเ์ สวยมาฆฤกษ์ (วนั ขึน 15 คา เดอื น 3) พระอรหันตท์ งั หลายเหลา่ นั น ต่างไดร้ ะลกึ ว่า วนั นี เปนวนั สําคัญของ ศาสนาพราหมณ์ อนั เปนศาสนาของตน อย่เู ดิม กอ่ นทจี ะหันมานั บถือพระธรรม วินั ยของพระพทุ ธเจา้
และในลทั ธศิ าสนาเดิมนั นเมือถึงวนั เพ็ญเดอื นมาฆะ เหล่าผศู้ รทั ธาพราหมณลัทธนิ ิ ยมนั บถือกนั ว่าวันนี เปน วันศิวาราตรี โดยจะทาํ การบูชาพระศิวะด้วยการ ลอยบาปหรอื ล้างบาปด้วยนา แต่มาบัดนี ตนไดเ้ ลิก ลัทธเิ ดมิ หันมานั บถือพระธรรมวนิ ั ยของพระพุทธเจา้ แล้ว จงึ ควรเดนิ ทางไปเข้าเฝาบูชาฟงพระสัทธรรมจาก พระพทุ ธเจา้ พระอรหันต์เหล่านั นซงึ เคยปฏิบัติ ศิวาราตรอี ยเู่ ดมิ จงึ พรอ้ มใจกนั ไปเข้าเฝาพระพทุ ธเจา้ โดยมิได้นั ดหมาย มผี กู้ ล่าวว่า สาเหตุสําคัญทที าํ ให้พระ สาวกทงั 1,250 องค์มาประชุมพรอ้ มกนั โดยมไิ ด้ นั ดหมาย มาจากในวนั เพ็ญเดือน 3 ตามคตพิ ราหมณ์ เปนวนั พิธศี ิวาราตรี พระสาวกเหลา่ นั นซงึ เคยนั บถือ ศาสนาพราหมณ์มาก่อนจงึ ไดเ้ ปลียนจากการรวมตวั กันทาํ พิธชี าํ ระบาปตามพิธพี ราหมณ์ มารวมกนั เข้าเฝา พระพทุ ธเจา้ แทน
โอวาทปาฏโิ มกข์ หลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา หรอื คําสอนอันเปนหัวใจของ พระพุทธศาสนา ไดแ้ ก่ พระพุทธพจน์ ๓ คาถากงึ ทพี ระพุทธเจ้าตรสั แกพ่ ระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผไู้ ปประชุมกันโดยมไิ ดน้ ั ดหมาย ณ พระเวฬุ วนาราม ในวนั เพ็ญเดอื น ๓ ทเี ราเรยี กกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถา กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏโิ มกข์นี แกท่ ปี ระชุมสงฆ์ ตลอดมา เปนเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนทจี ะโปรดให้สวดปาฏโิ มกข์อยา่ ง ปจจบุ นั นี แทนตอ่ มา), คาถาโอวาทปาฏโิ มกข์ มีดังนี (โอวาทปาตโิ มกข์ ก็เขียน)
สพฺพปาปสฺส อกรณํกสุ ลสฺสูปสมปฺ ทา สจิตฺตปรโิ ยทปนํ เอตํ พุทธาน สาสนํ ฯ ขนตฺ ี ปรมํ ตโป ตตี กิ ขฺ า นิ พฺพานํ ปรมํ วทนตฺ ิ พุทธฺ า น หิ ปพฺพชโิ ต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วเิ หฐยนโฺ ตฯ อนปู วาโท อนปู ฆาโต ปาตโิ มกเฺ ข จ สํวโร มตตฺ ฺ ุตา จ ภตตฺ สฺมึ ปนตฺ ฺจ สยนาสนํ อธจิ ติ ฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ แปล : การไม่ทาํ ความชวั ทงั ปวง ๑ การบําเพ็ญแต่ ความดี ๑ การทําจิตของตนให้ผอ่ งใส ๑ นี เปนคําสอน ของพระพุทธเจ้าทงั หลาย ขันติ คือความอดกลัน เปน ตบะอย่างยิง, พระพุทธเจ้าทังหลายกล่าววา่ นิ พพาน เปนบรมธรรม, ผู้ทํารา้ ยคนอืน ไมช่ อื วา่ เปนบรรพชติ , ผเู้ บียดเบียนคนอืน ไม่ชอื วา่ เปนสมณะการไมก่ ล่าว รา้ ย ๑ การไมท่ าํ รา้ ย ๑ ความสํารวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเปนผู้รูจ้ ักประมาณในอาหาร ๑ ทนี ั งนอนอัน สงดั ๑ ความเพียรในอธจิ ิต ๑ นี เปนคําสอนของ พระพุทธเจ้าทงั หลายทีเข้าใจกนั โดยทวั ไป และจาํ กนั ได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกทีว่า ไมท่ าํ ชวั ทําแต่ ความดี ทําจิตใจให้ผอ่ งใส
สถานทสี ําคัญเนืองดว้ ยวนั มาฆบชู า (พทุ ธสังเวชนียสถาน) พระพุทธรูปยืนกลางมณฑลมหาสังฆสันนิ บาต ในโบราณสถานวดั เวฬุวนั มหาวิหาร เมอื งราชคฤห์ รฐั พิหาร อินเดีย (เปนพระพุทธรูปสรา้ ง ใหม่ ปจจุบันเปนสถานทจี ารกิ แสวงบญุ สําคัญของชาวพุทธทวั โลก) เหตุการณ์สําคัญทเี กิดในวันมาฆบชู า เกิดภายในบรเิ วณทตี ังของ \"กลุ่ม พุทธสถานโบราณวัดเวฬุวันมหาวหิ าร\" ภายในอาณาบรเิ วณของวัดเวฬุวนั มหาวหิ าร ซงึ ลานจาตรุ งคสันนิ บาตอันเปนจดุ ทเี กดิ เหตกุ ารณ์สําคัญใน วนั มาฆบชู านั น ยังคงเปนทถี กเถียงและหาข้อสรุปทางโบราณคดีไม่ได้มา จนถึงปจจุบัน
วดั เวฬุวันมหาวหิ าร \"วัดเวฬุวนั มหาวหิ าร\" เปนอาราม (วดั ) แห่ง แรกในพระพุทธศาสนา ตงั อยใู่ กลเ้ ชงิ เขา เวภารบรรพต บนรมิ ฝงแมน่ าสรสั วดซี งึ มีต โปธาราม (บ่อนารอ้ นโบราณ) คันอยู่ ระหวา่ งกลาง นอกเขตกําแพงเมืองเกา่ ราชคฤห์ (อดีตเมืองหลวงของแควน้ มคธ) รฐั พิหาร ประเทศอินเดยี ในปจจุบนั (หรอื แคว้นมคธ ชมพทู วปี ในสมยั พทุ ธกาล)
วัดเวฬุวนั ในสมยั พุทธกาล เดิมวัดเวฬุวันเปนพระราชอุทยาน สําหรบั เสด็จพระพาสของพระเจ้าพิมพิสาร เปนสวนปาไผร่ ม่ รนื มี รวั รอบและกาํ แพงเข้าออก เวฬุวนั มอี ีกชอื หนึ งปรากฏในพระสูตรว่า \"พระวิหารเวฬุวนั กลันทกนิ วาปสถาน\"หรอื \"เวฬุวนั กลันทกนิ วาป\" (สวนปาไผส่ ถานทสี ําหรบั ให้เหยือแก่กระแต) พระเจา้ พิมพิสารได้ ถวายพระราชอุทยานแห่งนี เปนวัดในพระพุทธศาสนาหลังจากได้ สดับพระธรรมเทศนาอนปุ ุพพิกถาและจตรุ ารยิ สัจจ์ ณ พระราช อุทยานลัฏฐวิ ัน (พระราชอุทยานสวนตาลหน่ มุ ) โดยในครงั นั น พระองค์ได้บรรลพุ ระโสดาบัน เปนพระอรยิ บุคคลในพระพุทธ ศาสนา และหลังจากการถวายกลันทกนิ วาปสถานไม่นาน อาราม แห่งนี กไ็ ด้ใชเ้ ปนสถานทสี ําหรบั พระสงฆป์ ระชุมจาตรุ งคสันนิ บาต ครงั ใหญ่ในพระพุทธศาสนา อันเปนเหตกุ ารณ์สําคัญในวนั มาฆบชู า
วัดเวฬุวนั หลังการปรนิ ิ พพาน หลังพระพุทธเจ้าเสด็จปรนิ ิ พพาน วัดเวฬุวนั ได้รบั การดูแลมาตลอด โดยเฉพาะมูลคันธกฎุ ีทมี พี ระ สงฆ์เฝาดูแลทาํ การปดกวาดเชด็ ถูปูลาดอาสนะและปฏิบัติต่อสถานที ๆ พระพทุ ธเจา้ เคยประทับอยู่ ทุก ๆ แห่ง เหมือนสมยั ทพี ระพุทธองค์ทรงพระชนมชพี อย่มู ไิ ด้ขาด โดยมีการปฏิบัตเิ ชน่ นี ติดตอ่ กนั กวา่ พันป แตจ่ ากเหตุการณ์ย้ายเมอื งหลวงแห่งแคว้นมคธหลายครงั ในชว่ ง พ.ศ. 70 ทเี รมิ จากอํามาตยแ์ ละ ราษฎรพรอ้ มใจกนั ถอดกษัตรยิ ์นาคทัสสกแ์ ห่งราชวงศ์ของพระเจ้าพิมพิสารออกจากพระราช บัลลังก์ และยกสุสูนาคอํามาตย์ซงึ มเี ชอื สายเจา้ ลิจฉวใี นกรุงเวสาลีแห่งแคว้นวชั ชเี ก่า ให้เปน กษัตรยิ ์ตังราชวงศ์ใหมแ่ ล้ว พระเจา้ สุสูนาคจึงได้ทําการย้ายเมอื งหลวงของแควน้ มคธไปยงั เมอื ง เวสาลีอันเปนเมอื งเดิมของตน และกษัตรยิ ์พระองค์ต่อมาคือพระเจ้ากาลาโศกราช ผูเ้ ปนพระราช โอรสของพระเจา้ สุสูนาค ได้ย้ายเมอื งหลวงของแคว้นมคธอีก จากเมอื งเวสาลีไปยังเมอื งปาตลีบุตร ทาํ ให้เมืองราชคฤห์ถูกลดความสําคัญลงและถูกทงิ รา้ ง ซงึ เปนสาเหตสุ ําคัญทที ําให้วดั เวฬุวนั ขาดผู้ อุปถัมภแ์ ละถูกทงิ รา้ งอย่างสินเชงิ ในชว่ งพันปถัดมา
โดยปรากฏหลักฐานบนั ทกึ ของหลวงจีนฟาเหียน (Fa-hsien) ทไี ดเ้ ข้ามาสืบศาสนาในพทุ ธภมู ใิ นชว่ งป พ.ศ. 942 - 947 ในชว่ งรชั สมัยของพระเจา้ จันทรคุปต์ที ๒ (พระเจา้ วิกรมาทติ ย์) แห่งราชวงศ์คุปตะ ซงึ ทา่ นไดบ้ นั ทกึ ไวว้ ่า เมอื งราชคฤห์อยใู่ นสภาพปรกั หักพัง แต่ยงั ทนั ได้เห็น มลู คันธกฎุ วี ัดเวฬุวันปรากฏอยู่ และยังคงมพี ระภกิ ษุหลาย รูปชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษาปดกวาดอยเู่ ปนประจาํ แตไ่ ม่ปรากฏ ว่ามกี ารบนั ทกึ ถึงสถานทเี กดิ เหตกุ ารณ์จาตุรงคสันนิ บาต แตป่ ระการใด แต่หลังจากนั นประมาณ 200 ป วดั เวฬุวันก็ถูกทงิ รา้ งไป ตามบนั ทกึ ของพระถังซาํ จัง (Chinese traveler Hiuen-Tsang) ซงึ ได้จารกิ มาเมอื งราชคฤห์ราวป พ.ศ. 1300 ซงึ ทา่ นบันทกึ ไว้แต่เพียงว่า ทา่ นไดเ้ ห็นแต่เพียงซากมูล คันธกฎุ ซี งึ มกี ําแพงและอฐิ ลอ้ มรอบอย่เู ทา่ นั น (ในสมัยนั น เมืองราชคฤห์โรยราถึงทสี ุดแลว้ พระถังซาํ จังไดแ้ ตเ่ พียง จดตาํ แหน่ งทตี ังทศิ ทางระยะทางของสถูปและ โบราณสถานเกา่ แกอ่ นื ๆ ในเมอื งราชคฤห์ไว้มาก ทาํ ให้ เปนประโยชน์ แกน่ ั กประวัตศิ าสตรแ์ ละนั กโบราณคดีใน การค้นหาโบราณสถานต่าง ๆ ในเมอื งราชคฤห์ในปจจบุ นั )
จดุ แสวงบุญและสภาพของวดั เวฬุวันในปจจบุ ัน ปจจุบันหลังถูกทอดทิงเปนเวลากวา่ พันป และได้รบั การบูรณะ โดยกองโบราณคดีอินเดียในชว่ งทีอินเดียยังเปนอาณานิ คม ของอังกฤษ วัดเวฬุวัน ยังคงมีเนิ นดินโบราณสถานทยี ังไม่ได้ ขุดค้นอีกมาก สถานทีสําคัญ ๆ ทพี ุทธศาสนิ กชนในปจจุบัน นิ ยมไปนมสั การคือ \"พระมูลคันธกฎุ ี\" ทปี จจุบันยังไมไ่ ด้ทําการ ขุดค้น เนื องจากมีกโุ บรข์ องชาวมสุ ลิมสรา้ งทับไวข้ ้างบนเนิ น ดิน, \"สระกลันทกนิ วาป\" ซงึ ปจจุบันรฐั บาลอินเดียได้ทําการ บูรณะใหม่อย่างสวยงาม, และ \"ลานจาตรุ งคสันนิ บาต\" อันเปน ลานเล็ก ๆ มีซุม้ ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางประทานพรอยู่ กลางซุม้ ลานนี เปนจุดสําคัญทชี าวพุทธนิ ยมมาทาํ การ เวยี นเทยี นสักการะ (ลานนี เปนลานทกี องโบราณคดีอินเดีย สันนิ ษฐานวา่ พระพุทธองค์ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ในจุดนี )
จุดทเี กิดเหตกุ ารณ์สําคัญในวันมาฆบชู า (ลาน จาตุรงคสันนิ บาต) ถึงแม้ว่าเหตกุ ารณ์จาตุรงคสันนิ บาตจะเปน เหตกุ ารณ์สําคัญยิงทเี กิดในบรเิ วณวัดเวฬุวันมหา วิหาร แต่ทวา่ ไมป่ รากฏรายละเอียดในบันทกึ ของ สมณทูตชาวจนี และในพระไตรปฎกแต่อย่างใดว่า เหตุการณ์ใหญ่นี เกดิ ขึน ณ จุดใดของวัดเวฬุวัน รวมทงั จากการขุดค้นทางโบราณคดีกไ็ ม่ปรากฏ หลักฐานวา่ มีการทําเครอื งหมาย (เสาหิน) หรอื สถูประบสุ ถานทปี ระชุมจาตรุ งคสันนิ บาตไว้แต่ อย่างใด (ตามปกตแิ ล้วบรเิ วณทีเกดิ เหตุการณ์ สําคัญทางพระพุทธศาสนา มักจะพบสถูปโบราณ หรอื เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราชสรา้ งหรอื ปกไว้ เพือเปนเครอื งหมายสําคัญสําหรบั ผูแ้ สวงบุญ) ทาํ ให้ในปจจบุ ันไมส่ ามารถทราบโดยแน่ ชดั ว่า เหตกุ ารณ์จาตรุ งคสันนิ บาตเกดิ ขึนในจดุ ใด ของวัด
ในปจจุบนั กองโบราณคดีอินเดียไดแ้ ต่เพียงสันนิ ษฐานวา่ \"เหตกุ ารณ์ดังกล่าวเกดิ ใน บรเิ วณลานด้านทศิ ตะวันตกของสระกลนั ทกนิ วาป\" (โดยสันนิ ษฐานเอาจากเอกสาร หลกั ฐานวา่ เหตุการณ์ดังกล่าวมีพระสงฆป์ ระชุมกันมากถึงสองพันกว่ารูป และเกดิ ใน ชว่ งทพี ระพุทธองค์พึงได้ทรงรบั ถวายอารามแห่งนี การประชุมครงั นั นคงยังต้องนั ง ประชุมกันตามลานในปาไผ่ เนื องจากเสนาสนะหรอื โรงธรรมสภาขนาดใหญ่ยังคงไม่ได้ สรา้ งขึน และโดยเฉพาะอยา่ งยิงในปจจบุ นั ลานด้านทศิ ตะวนั ตกของสระกลนั ทกนิ วาป เปนลานกว้างลานเดียวในบรเิ วณวัดทไี ม่มโี บราณสถานอืนตงั อย่)ู โดยได้นํ าพระพุทธ รูปยืนปางประทานพรไปประดิษฐานไว้บรเิ วณซมุ้ เล็ก ๆ กลางลาน และเรยี กว่า \"ลาน จาตุรงคสันนิ บาต\" ซงึ ในปจจุบนั กย็ งั ไม่มขี ้อสรุปแน่ ชดั วา่ ลานจาตรุ งคสันนิ บาตทแี ท้ จรงิ อยใู่ นจุดใด และยงั คงมชี าวพทุ ธบางกล่มุ สรา้ งซุม้ พระพทุ ธรูปไว้ในบรเิ วณอืน ของวดั โดยเชอื ว่าจดุ ทตี นสรา้ งนั นเปนลานจาตรุ งคสันนิ บาตทแี ทจ้ รงิ แต่ พทุ ธศาสนิ กชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็เชอื ตามข้อสันนิ ษฐานของกองโบราณคดอี ินเดียดัง กล่าว โดยนิ ยมนั บถือกันว่าซุม้ พระพุทธรูปกลางลานนี เปนจดุ สักการะของชาวไทยผมู้ า แสวงบญุ จุดสําคัญ 1 ใน 2 แห่งของเมืองราชคฤห์ (อีกจุดหนึ งคือพระมูลคันธกฎุ บี นยอด เขาคิชกฏู )
กจิ กรรมต่างๆ ทคี วรปฏิบตั ิในวนั มาฆบูชา การปฎบิ ตั ติ นสําหรบั พทุ ธศาสนาในวนั นี กค็ ือ การทาํ บญุ ตักบาตรในตอนเชา้ หรอื ไมก่ จ็ ดั หา อาหารคาวหวานไปทาํ บญุ ฟงเทศน์ ทวี ดั ตอนบา่ ย ฟงพระแสดงพระธรรมเทศนา ในตอนกลางคืน จะพากันนํ าดอกไม้ ธูปเทยี น ไปทวี ัดเพือชุมนมุ กัน ทาํ พิธเี วียนเทยี น รอบพระอุโบสถ พรอ้ มกบั พระ ภกิ ษุสงฆโ์ ดยเจ้าอาวาสจะนํ าวา่ นะโม ๓ จบ จาก นั นกลา่ วคํา ถวาย ดอกไมธ้ ูปเทยี น ทกุ คนวา่ ตาม จบแล้วเดิน เวียนขวา ตลอดเวลาให้ระลกึ ถึง พระ พุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ จนครบ ๓ รอบ แลว้ นํ าดอกไม้ ธูปเทยี นไปปกบูชาตามทที าง วัด เตรยี มไว้ เปนอนั เสรจ็ พิธี
ผจู้ ดั ทาํ นางสาวพชรมน เสงยี มงาม ปวส.1/13 เลขที 1 สาขาการบัญชี
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: